ปริเฉทที่สาม
(1)
ในที่ซึ่งเป็นเรือนสงบแห่งชีวิตเปี่ยมสุขและรักนั้น
ดำรงอยู่เหนืออื่นใดนั้นคือ
พุทธองค์ของเรา, หาได้รู้ไม่ถึง ความทุกข์ร้อน,
หรือความอยาก,
หรือความเจ็บปวด, หรือความป่วยไข้, หรือความแก่, หรือความมรณา,
ปลอดภัยเฉกเช่เมื่อผู้นอนหลับล่องลอยไปในทะเลฝัน,
และขึ้นสู่ฝั่งของวันเมื่อสิ้นเรี่ยวแรง,
นำมาซึ่งสินค้าแปลกถิ่นจากการเดินเรืออันดำมืด.
กระนั้นในบ่อยครั้งเมื่อพระองค์เอนนอนลงวางอิงศีรษะอันุน่มนวล
แอบบเอนซบสงบบนหว่างอกมืดมนของ
ยโสธรา (Yasôdhara-คำเดิมต้นฉบับ),
หัตถ์แห่งรักของพระนางโบกพัดวีช้าเชื่องกล่อมเกลาเปลือกตาหลับไหลของพระองค์,
พระองค์จะตื่นขึ้นขึ้นและร้องร่ำ,
โลกของข้า! โอ, โลก!
ข้าได้ยิน! ข้ารู้! ข้ามาปรากฏแล้ว !
และพระนางก็จะตรัสถามว่า,
“เจ็บปวดอะไรหรือองค์ท่านของข้า?”
ด้วยดวงตากลมโตตื่นตระหนก
เพราะชั่วขณะนั้นทีท่าของความสงสารใจของพระองค์นั้น
ช่างน่าเกรงขามสพรึงกลัวยิ่ง,
และสีหน้าดุจดังของเทพเทวา.
แล้วพระองค์ก็จะยิ้มแย้มอีกคราเพื่อหยุดยั้งสายพระเนตรที่รินไหลมาของพระนาง,
และตรัสสั่งให้เล่นบรรเลงวีนา
(vinas-คำเดิมต้นฉบับ)
; แต่เมื่อพวกนั้นได้
ตั้งฐานสายเสียงพิณน้ำเต้าเหล่านั้นเสร็จ,
ที่ซึ่งสายลม
สามารถอ้อยอิ่งตัวโน้ตออกมาและเล่นได้ตามใจประสงค์---
ดนตรีเร่งเร้านั้นสามารถทำให้สายลมบังเกิดแก่เส้นสายพิณเงินเหล่านั้น---
และพวกเหล่านั้นที่นอนทอดกายรายรอบได้สดับเพียงเท่านั้น;
แต่เจ้าชายสิทธัตถะกลับสดับยินเทพไท้เทวะมาบรรเลง,
และสำหรับพระกรรณขององค์ท่านพวกเขานั้นได้ขับขานคำเช่นสรวงสวรค์นี้:--
(2) เราคือเสียงทั้งหลายของสายลมจร,
ซึ่งครวญคร่ำสำหรับพักและหลับใหลที่มิอาจเคยได้พานพบ;
ดูเถิด! เช่นสายลมนั้นดุจดังชีวิตอันต้องมรณา,
เสียงครวญ, ถอนหายใจ, สะอื้นไห้, คุคั่ง,
ดิ้นรน.
ด้วยเหตุใดและเมื่อใดนั้นที่เราไม่สามารถรู้ได้,
หรือที่แห่งใดซึ่งชีวิตได้ผลิบานหรือยังที่ไหนที่ชีวิตจำต้องไป:
เราคือเช่นที่สูเจ้าเป็น,
วิญญาณจากความว่างเปล่า,
ความพึงใจใดหรือที่เราจะมีได้ในความเจ็บปวดของความเปลี่ยนแปลงของเรานี้?
ความพึงใจใดหรือที่สูเจ้าได้มีแห่งพรประเสริฐของความเปลี่ยนแปลงของสูนี้?
ไม่หรอก, ถ้ารักนั้นยืนยาวยั่งยืนอยู่,
ย่อมมีความรื่นรมย์ใจในสิ่งนี้;
แต่วิถีของชีวีนี้คือวิถีแห่งสายลม,
ทั้งปวงสิ่งเหล่านี้นั้น
เป็นแต่เสียงสั้นของหายใจรินลงสายพิณแกว่งไกวเหล่านั้น.
โอ โอรสของพระนางมายา! เพราะเรานั้นท่องเที่ยวจรไปในปฐพีนี้
ครวญผ่านไปบนสายพิณเหล่านี้; เราหาได้สร้างความเบิกบานใด,
มากมายเหลือเกินความโศกเศร้าที่เราได้เห็นมาหลายดินแดน,
มากมายเหลือของน้ำจากเนตรนัยนาผ่านไหลไปและมือที่บิดผันไป.
กระนั้นยังได้เย้ยหยันที่เรายามคร่ำครวญ,
เพราะ, พวกเขาจะรู้ได้ฤา,
ชีวิตนี้ที่พวกเขายึดแน่นนั้นแต่เห็นชัดว่าว่างเปล่า;
ทั้งหมดนั้นดังเช่นการจะเชื้อเชิญเมฆาให้หยุดยืนก่อน,
หรือฉุดยุดรั้งสายน้ำในนทีด้วยมือ.
แต่สูเจ้าที่ได้มีศิลป์ได้รอด,
ชั่วโมงยามของสูเจ้าที่เกือบใกล้!
โลกอันโศกาซึ้งได้รอคอยอยู่ในความมืดมนของตน,
โลกอันมืดบอดงุ่มง่ามไปในวังวนของความเจ็บปวดของตน;
ลุกขึ้นเถิด, โอรสของพระนางมายา! ตื่นเถิด! อย่าได้งุ่มง่ามอยู่อีกเลย!
เราคือเสียงทั้งหลายของสายลมจร:
ร่อนเร่ไปเถิดสูท่าน, โอ
เจ้าชาย, ความสงบใจของสูท่านที่หา;
ทิ้งรักเพื่อความรักของบรรดาผู้ที่รักเพื่อรอดพ้นจากทุกข์โศก
เลิกพ้นสถานะอันเศ้าใจ,
และทำการปลดปล่อย.
จึ่งเราถอดถอนลมหายใจ,
ผ่านไปบนเส้นสายพิณเงิน,
สู่สูท่านผู้หายังได้รู้ถึงสรรพสิ่งแห่งโลกนี้;
จึ่งเราได้กล่าว; เลียนล้อ, ยามเราผ่านจากไป,
เงาสลัวอันน่ารักใครเหล่านี้ที่ซึ่งด้วยสูท่านได้เล่นสรวล.
(3)
หลังจากนั้นที่ได้บังเกิดขึ้นซึ่งองค์ท่านอิ่มจนเอือมระอา
ท่ามกลางราชสำนักงามงด,
กุมหัตถ์
ของพระนางยโสธราผู้แสนหวาน,
และสาวงามบางคนเล่าขับขาน –
ด้วยดนตรีสอดแทรกเมื่อเสียงอันไพเราะอุดมของเธอลดหยุดลง—
นิทานโบราณเพื่อที่จะเร่งรัดชั่วโมงแห่งยามสายัณห์,
แห่งรัก,
และของอาชามนต์, และเหล่าดินแดนทั้งหลาย
อันมหัศจรรย์,
ห่างไกล, ที่ซึ่งผู้คนซีดเซียวอยู่อาศัย,
และที่ซึ่งตะวันยามราตรีจมดิ่งลงสู่ห้วงมหานที.
แล้วองค์ท่านจึ่งตรัส,
ทอดถอนใจ, “จิตรา เจ้าพาข้ากลับยัง
เพลงของสายลมในสายพิณกับนิทานอันงดงามนั้นเถิด.
จงมอบนาง,
น้องยโสธรา, ด้วยสร้อยมุกข์ของเจ้าเพื่อขอบคุณนางเถิด.
แต่องค์ท่าน,
มุกข์ของหม่อมฉัน! นี่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่เช่นนั้นฤา?
ยังมีดินแดนที่เห็นมหาสุริยันม้วนไป
ในเหล่าเกลียวคลื่น,
และยังมีบรรดาดวงใจเหมือนเช่นของเรา,
เหลือคณา,
ไม่รู้จัก,ไม่มีสุข – ที่อาจจะเป็น –
ผู้ซึ่งเราอาจจะสงเคราะห์ได้ถ้าเราได้รู้จักพวกเขานั้นฤา?
มิอาจตอบได้ที่ข้าพิศวง,
ดั่งเทพไท้แห่งวัน
ก้าวย่างจากทิศตะวันออกแห่งราชสุวรรณวิถีของพระองค์,
ผู้ใดฤาคือผู้แรกบนริมขอบโลกภพอันได้โห่ร้องในแสงสาดส่องของพระองค์,
เหล่าเด็กแห่งรุ่งอรุณ; บ่อยครั้ง,
แม้กระทั่งในอ้อมแขนของเจ้าและบนอกอุ่นไอของเจ้า,
ศรีภริยา,
ข้านั้นได้เจ็บปวดจนหอบ,
เมื่อสุริยันคล้อยลง,
เพื่อผ่านไปกับพระองค์เข้าสู่ทิศตะวันตกสีแดงฉาน
และเห็นเหล่าผู้คนในยามสายัณห์.
ต้องมีอีกมากมายที่เราควรรัก
– อื่นอีกฤา?
ตอนนี้ข้าอยู่ในกาลยามของความปวดร้าว,
ในที่สุด,
ริมฝีปากอันละมุนของน้องนางไม่สามารถจุมพิตพรากเอาไปได้; โอ, สาวเอย!
โอ จิตรา! เจ้าผู้รู้ถึงดินแดนสุขาวดี!
เชือกของพวกเขานั้นอยู่ที่ไหนฤาที่ใช้ล่ามอาชาว่องไวของนิทานนี้?
พระราชวังของเราเองเพียงเพื่อหนึ่งวันบนหลังของอาชานั้น,
ที่จะขี่ไปและขี่ไปและได้เห็นปฐพีอันแผ่กว้างไกล
เปล่าเลย, ถ้าข้าได้เช่นนกแร้งอันขนอ่อนหัดที่โน่นนั้น
–
อันมรดกตกทอดอันเปื่อยเน่าเหม็นของอาณาจักรอันกว้างไกลกว่าของข้า
–
ข้านั่นจะเหยียดออกไปสู่ยอดสูงสุดของหิมาลัยได้เช่นไร,
แสงสว่างที่เปล่งประกายกุหลาบอ้อยอิ่งบนหิมะเหล่านั้น,
และให้ขึงเครียดต่อการจับจ้องมองหาซึ่งสิ่งที่อยู่รายรอบ!
ทำไมเล่าฤาข้าจึงมิได้เคยเห็นหรือเคยเสาะหาพบ?
บอกกับข้าทีถึงว่าอะไรฤาที่พ้นออกไปจากทวารบานทองเหลืองของเรานี้.”
(4) แล้วผู้นั้นก็กล่าวตอบ, “นครแรกนั้น,
เจ้าชายผู้งามสง่า!
เหล่าอารามวิหาร, และบรรดาอุทยาน,
และเหล่าป่าละเมาะ,
และแล้วก็ท้องทุ่ง,
และตอนหลังเป็นเหล่าสนามระบัดใบ,
ด้วย ร่องธาร, ทุ่งม้า, ป่าไพร, งามงดสอดสลับรับกันไป;
และถัดไปนั้นคือราชาณาจักรของพิมพิสารราชา
(Bimbasâra-คำเดิมต้นฉบับ), และแล้ว
โลกอันกว้างใหญ่ราบไพศาล,
ด้วยเหล่ากลุ่มเป็นโกฏิและโกฏิ.”
“ดีแล้ว,” องค์สิทธัตถะตรัส,
“จงบอกคำออกไป
ให้ ฉันนะ เทียมโคผูกราชรถของข้า –
ยามเที่ยง
พรุ่ง-นี้ข้าจะขี่และออกไปดู.”
ด้วยการนั้น พวกเขาจึงทูลต่อพระราชา: “องค์ราชาเจ้าข้า, ราชบุตรของพระองค์,
ได้รับสั่งให้ราชรถขององค์โอรสได้ผูกเทียมในยามเที่ยง,
ว่าองค์โอรสจะขี่ออกไปและเที่ยวชมผู้คน.”
"ได้สิ!" พระราชาผู้รอบคอบตรัส, "ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้เห็น!
แต่ให้ผู้ร้องครวญทุกข์ทรมานทั้งหลายจงไปเสียและพ้นจาก
ชานนครของข้า, ดังนั้นองค์โอรสจักมิได้พบพาน
ภาพอันรำคาญใจ; และอย่าให้ผู้ตาบอดหรือผู้เป็นใบ้,
แต่ให้ผู้ร้องครวญทุกข์ทรมานทั้งหลายจงไปเสียและพ้นจาก
ชานนครของข้า, ดังนั้นองค์โอรสจักมิได้พบพาน
ภาพอันรำคาญใจ; และอย่าให้ผู้ตาบอดหรือผู้เป็นใบ้,
ห้ามผู้ที่เจ็บไข้หรือป่วยเรื้อรังฝังลึกหลายปีปรากฏ,
ห้ามผู้เป็นโรคเรื้อน, และห้ามง่อยเปลี้ยเสียขาโง่ทึ่มมาเสนอหน้า.”
ดั่งนั้นเองก้อนศิลาทั้งหลายได้ถูกกวาดออกไป,
และขึ้นลงไป
เหล่าคนแบกน้ำได้สาดล้างตามท้องถนน
จากเหงื่อที่ชุ่มผิว,
เหล่าศรีภรรยาโปรยปรายอันสดใหม่
ของผงแดงบนธรณีประตูของพวกตน,
แขวนห้อยพวงมาลัยใหม่,
และตัดแต่งเล็มพุ่มกะเพราที่อยู่หน้าประตูของพวกเขา
ภาพวาดบนผนังถูกติดตั้งสูงขึ้น
ด้วยการปัดถูไปทั่ว,
เหล่าต้นไม้หนาแน่นด้วยธงทิว,
เหล่าเทวรูปเคลือบทาสีทอง; ในทางสี่แยก
สุริยะเทพ (Suryadeva-คำเดิมต้นฉบับ) และเหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่เปล่งแสง
ในท่ามกลางของวิหารแห่งใบพฤกษา; ดั่งนั้นเองที่นคราดูเหมือนว่าจะ
คือมหาราชธานีแห่งดินแดนเทพนิยาย.
อีกทั้งผู้ป่าวร้องผ่านไป,
ด้วยเมรีและฆ้อง,
ประกาศแจ้งออกไป,
“จงฟังเถิดพลเมืองทั้งหลาย,
พระราชาได้มีบัญชาว่าจะไม่มีให้ได้เห็นในวันนี้
ซึ่งภาพอันชั่วร้าย; อย่าได้มีผู้บอดและใบ้,
ไม่ให้มีผู้ที่ป่วยไข้หรือทุกข์ทรมานฝังลึกมานานปี,
ห้ามผู้เป็นโรคเรื้อน,
และเหล่าผู้เป็นง่อยได้เสนอหน้า.
และอย่าได้, เช่นเดียวกัน,
เผาศพผู้ตายหรือว่าแห่แหนพวกเขาออกมา
จนกว่าจะถึงยามราตรี. องค์ราชาสุทโธทนะ (Suddhôdana-คำเดิมต้นฉบับ)
มีบัญชาไว้เช่นนี้.”
(5)
ดังนั้นทั้งปวงจึงได้งดงามชวนมองและบ้านเรือนก็ตัดแต่ง
ไปตลอดทั่วกรุงกบิลพัสดุ์ (Kapilavast-คำเดิมต้นฉบับ),
ขณะที่เจ้าชาย
เสด็จออกมาโดยราชรถสีเรืองรอง,
เทียมลากด้วยสองโค,
สีขาวดั่งหิมะ, เหนียงห้อยแผ่แกว่งไกวและหนอกนูนใหญ่
ย่นยับรับแอกคานแกะสลักเสลาเคลือบสีเงาวาว.
งามงดเป็นที่ต้องตาให้ผู้คนได้ปลื้มปิติใจที่ได้ชม
โห่ร้องต้อนรับเจ้าชายของพวกเขา; และองค์สิทธัตถะที่แย้มสรวลเปล่งประกาย
ในภาพที่ได้เห็นเหล่าผู้จงรักภักดีและชาวเมืองผู้เป็นมิตร
เสื้อผ้าสดใสและหัวเราะใคร่ราวกับมีชีวีนี้แสนประเสริฐ.
“โลกนี้ช่างงดงามยิ่ง,”
พระองค์ตรัส, “โลกนี้ชอบในตัวเราเป็นอย่างดีเลย!
และสว่างไสวและเอาอกเอาใจโดยเหล่าชายนั้นที่มิใช่บรรดาราชา,
และพี่สาวน้องสาวของตัวเราในที่นี้อันแสนหวาน,
ผู้ตรากตรำและรับใช้;
ตัวเราได้ทำอะไรให้กับพวกเขาหรือจึงทำให้พวกเขาเป็นเช่นนี้?
ทำไม, ถ้าตัวเรารักพวกเขา, เด็กๆเหล่านั้นควรจะรู้หรือ?
ข้าสวดมนต์ให้กับเด็กชายศากยะที่งดงาม
ผู้โปรยปรายดอกไม้แก่เรา,
และให้เขาได้ขี่ไปกับตัวเรา.
ช่างดีกระไรฤาที่จะครองบัลลังก์ในอาณาจักรเช่นนี้!
ช่างพึงใจง่ายดายนัก,
ถ้าเหล่านี้คือสิ่งที่น่าพึงใจ
เพราะว่าตัวเรานี้ได้ออกมาข้างนอกนี้! ช่างมีอะไรมากมาย
ข้าจึ่งไม่จำเป็นต้องทำถ้าบ้านเรือนเล็กน้อยเช่นนี้ได้มีซึ่ง
อย่างเพียงพอที่จะทำให้นครของเราเต็มไปด้วยรอยยิ้ม!
ขับไปเถิด, ฉันนะ! ผ่านทวารบานนั้นไป, และให้ข้าได้เห็น
โลกอันงดงามมากกว่านี้ที่ข้าได้รู้.”
(6) ดังนั้นจึ่งได้ผ่านทวารบานนั้นไป,
ฝูงชนรื่มรมย์เริงร่า
เนือ.แน่นเบียดจนชิดล้อราชรถ,
ที่ซึ่งหลายคนวิ่ง
นำหน้าวัวเทียมนั้นไป, โยนพวงมาลัยดอกไม้,
บางรายลูบไล้
สีข้างอันเนียนดุจไหมของวัวทั้งสองนั้น,
บ้างก็นำบรรดาข้าวและขนมหวานมาให้,
ทั้งหมดต่างร้อง, “ชัย! ชัย! จงมีแด่เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ของเราเทอญ!”
เช่นนั้นเองที่ทุกหนทางต่างเต็มไปด้วยผู้ปลื้มปีติในทีท่า
และเต็มไปด้วยแต่ภาพงดงาม –
เพราะคำบัญชาขององค์ราชานั้นเป็น
ว่าเช่นนั้นจะต้องเป็นไป –
เมื่ออยู่ในกลางกึ่งหนทางในท้องถนนนั้น,
อย่างช้าๆโซซัดเซออกมาจากกระท่อมที่ซึ่งเขาได้ซ่อนกายอยู่,
คลานเล็ดรอดมาข้างหน้าคือผู้น่าเวทนาในผ้าริ้วขาด,
ร่างผ่ายผอมและน่ารังเกียจ,
ชายชรา, เฒ่า,
ผู้ซึ่งผิวไหม้เกรียม, คล้ำด้วยแดด,
กอดแขวนเหมือนหนังสัตว์อยู่รัดติดกระดูกไร้เนื้อหนังทั้งหลาย.
โค้งโก่งงอคือหลังของเขาด้วยน้ำหนักถ่วงบรรทุกมานานวัน,
เบ้าตาของเขาแดงก่ำลึกด้วยสนิมน้ำตาโบราณนานนมกาเล,
โลกทัศน์ของเขาพร่ามัวด้วยเมือกมูก,
กรามไร้ซึ่งฟันของเขา
แกว่งไกวด้วยง่อยเปลี้ยและตื่นตระหนกที่เห็น
ซึ่งผู้คนมากมายและเริงร่าเช่นนั้น. มือผอมเหี่ยวข้างหนึ่ง
กุมบีบแน่นผ้าห่มกายอันขาดวิ่นเพื่อหุ้มห่อแขนขาอันสั่นเทาของเขา,
และอีกข้างหนึ่งนั้นกดแน่นอยู่บนซี่โครงปูดโปน
เมื่อยามที่หอบสูดลมหายใจที่หนักหน่วงเจ็บปวด.
“ขอเถิด!” เขาครวญคราง, “ให้ทานที! ผู้มีเมตตาดีทั้งหลาย! เพราะข้านั้นตาย
วันพรุ่งหรือวันถัดไปนี้แล้ว!” แล้วการไอหอบ
ได้ทำให้ขัน้นสำลัก,
แต่กระนั้นยังคงที่เขาได้เหยียดยื่นฝ่ามือของเขา, และยืน
กระพริบตา,
และก่นครางในท่ามกลางความสะท้านสั่นของเขา, “ขอเถิด!”
แล้วเหล่าผู้รายล้อมได้ดึงกระชากเท้าอันกะปลกกะเปลี้ยของเขา
หลีกหลบข้างไป,
และดันลากเขาไปจากถนนอีกครั้ง,
บอกว่า, “นั่นเจ้าชาย! ไม่เห็นหรือ? จงไปยังรังของเจ้า!”
แต่องค์ สิทธัตถะ ร้องตรัสห้าม,
“ปล่อยนั่นไป! ปล่อยนั่นไป!
ฉันนะ! สิ่งนั้นคืออะไรหรือที่ดูเช่นเป็นคน,
กระนั้นยังแน่เลยแต่เพียงดูคล้าย,
ช่างโก่งงอกระไรนั้น,
ช่างเดือดร้อน, ช่างน่ากลัว,
ช่างน่าเศร้าใจนัก?
หรือว่าคนเราจะได้เกิดมาในบางครั้งเช่นนี้?
ความหมายอะไรหรือที่เขา
ครางกร่นว่า ‘วันพรุ่งหรือวันถัดไปที่ข้าจะตายนั้น’?
หาซึ่งอาหารแก่เขาไม่ได้หรือจึ่งกระดูกของเขาปูดโปนออกมาเช่นนั้นได้?
ความเดือดร้อนใดที่ได้บังเกิดกับผู้ที่น่าสงสารนี้หรือ?
แล้วคำตอบจึงได้มาจากสารถีนั้น,
“องค์ชายผู้เปี่ยมกรุณา!
นี่มิได้เป็นอะไรอื่นไปกว่าคือชายชราดอก.
เมื่อหลายปีก่อนเนิ่นนานมานั้นหลังของเขาก็ยังยืดตรงดอก,
ดวงตาของเขาก็ใสกระจ่าง,
และร่างกายของเขาก็ยังดี:
ในบัดนี้
หลายปีขโมยได้ดูดเอาเลือดไขของเขาไปสิ้น,
ปล้นสะดมแรงกายของเขาและลักเล็กขโมยน้อยซึ่งปณิธานและปัญญาชาญของเขา;
ตะเกียงของเขาได้สูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยง,
ไส้ประทีปของเขาได้ไหม้ดำ;
ชีวิตใดที่เขาเก็บรักษาเอาไว้คือเปลวประกายหรี่ริบอาวรณ์ไว้
ซึ่งปะทุอีกเพื่อส่งสุดท้ายจบสิ้น: อายุไขเยี่ยงนี้เอง;
ทำไมฝ่าบาทไยต้องใส่ใจด้วยเล่า?”
แล้วเจ้าชายจึ่งตรัส –
“แต่สิ่งนี้จะได้มาสู่ผู้อื่น,
หรือต่อผู้คนทั้งปวง,
หรือว่ามันเป็นสิ่งหาได้ยากที่ผู้ใดจะเป็นเยี่ยงเขาผู้นี้?”
“องค์สูงศักดิ์,” ฉันนะ ทูลตอบ,
“กระทั่งเช่นเขาผู้นั้น,
จะเป็นซึ่งคนทั้งปวงเหล่านั้นได้เติบโตไปเมื่อมีชีวีอยู่นานเช่นนี้.”
“แต่,” ตรัสถามโดยเจ้าชาย,
“ถ้าข้าจักได้มีชีวิตอยู่นานเช่นนั้น
ข้าก็จะเป็นเยี่ยงนั้น; และถ้า ยโสธรา
มีชีวีหลายปีเช่นนั้น,
วัยชราเยี่ยงนี้จะเป็นกับนางด้วย,
ชาลินี! หัสตาน้อย! โคตะมี,
และ กุนจา,
และคนอื่นอีกนั้นหรือ?” “พ่ะย่ะค่ะ,
องค์ชาย!”
สารถีราชรถนั้นทูลตอบ.
แล้วเจ้าชายจึ่งตรัสสั่ง:
“เลี้ยวกลับเถิด,
และจงพาข้าไปยังวังของข้าอีกครา!
ข้าได้เห็นแล้วในสิ่งที่ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็น.”
(7) พิจารณาดั่งนั้นแล้ว,
ต่อราชสำนักพระองค์อันชวนมองที่ได้กลับคืน
อย่างละห้อยหาอันองค์สิทธัตถะ, ท่าทีและอารมณ์เศร้าสร้อย;
หรือไม่ลิ้มรสพระองค์ในขนมขาวหรือผลไม้บรรดามี
วางเรียงรายสำหรับงานเลี้ยงยามเย็น,
หรือหาได้เงยพระพักตร์ขึ้นสักครั้ง
ในขณะที่บรรดานักร่ายรำพยายามอย่างหนักที่จะร่ายเสน่ห์;
หรือว่าเอ่ยตรัส –
ช่วยถึงสักสิ่งเศร้าหนึ่งใด – เมื่อด้วยปริเวทนา
ยโสธรา
ได้ล้มลงยังที่แทบพระบาทขององค์ท่านและร่ำไห้,
สะอื้นร่ำ,
“โปรดเถิดทูลกระหม่อมไม่สบพระทัยใดในน้องนางหรือ?”
“ อ้า, ที่รักเอย!” พระองค์ตรัส,
“สบพระทัยอะไรหรือที่จิตวิญญาณของข้า
ปวดร้าว,
กำลังคิดใคร่ครวญว่ามันต้องจบสิ้น, เพราะมันจะจบสิ้น,
และเราทั้งสองจะล่วงถึงวัยชรา,
ยโสธรา!
ปราศจากรัก, ไม่น่ารัก, อ่อนแอ,
และชรา, และหลังโก่งงอ.
ไม่เลย, ถึงแม้ว่าเราถูกปิดขังรักและชีวิตด้วยริมฝีปาก
ใกล้ชิดเหลือทั้งราตรีและกลางวันที่ลมหายใจของเรางอกงามขึ้น
กาลเวลาจะแทรกเข้ามาในระหว่างเพื่อขโมยจากไป
ความหลงใหลของข้าและความงามสง่า,
เช่นราตรีดำมืดมาขโมย
กุหลาบเป็นประกายจากยอดของน้องนาง,
ซึ่งเลือนจางสู่ซีดเทา
และมิได้เห็นซึ่งที่เลือนจากไป. นี่เองที่ตัวเราได้ค้นพบ,
และเต็มเปี่ยมดวงใจของตัวเรานั้นได้ดำมืดมิดด้วยความน่ากลัวมากของมัน,
และเต็มเปี่ยมดวงใจของตัวเรานั้นได้ถูกติดตรึงอยู่กับความคิดว่ารักอย่างใด
ที่อาจช่วยรักษาความหวานหอมของมันได้จากมือฆาตกร,
กาลเวลา,
ผู้ที่ทำให้คนเราแก่เฒ่า.” ดั่งนั้นเองที่ได้ผ่านยามราตรีไปซึ่งพระองค์ได้อย่างเบื่อหน่าย
ไร้ซึ่งหลับไหล, อึดอัดรำคาญใจ.
(8) และตลอดทั้งราตรีนั้น
ราชาสุทโธทนะ (King
Suddhôdana-คำเดิมต้นฉบับ) ได้ฝันซึ่งฝันอันวุ่นวายใจ.
ความกลัวอันดับแรกของภาพนิมิตของพระองค์คือธงผืนหนึ่ง
กว้างใหญ่, เจิดจรัส,
เปล่งประกายด้วยแสงอาทิตย์,
เครื่องหมายของพระอินทร์ (Indra-คำเดิมต้นฉบับ); และสายลมแรงกล้าได้พัดมา,
ฉีกทึ้งคลี่รอยพับม้วนโดยสรวงสวรรค์ของมัน,
และกระแทกเหวี่ยงมัน
ลงสู่ฝุ่นธุลี; ที่ซึ่งฝูงชนก็ได้มา
ในเงามืดของ เหล่าผู้นั้น (Ones-คำเดิมต้นฉบับ) ,
ผู้ที่ได้รับเอาธงไหมอันแหลกริ้วนั้นขึ้นมา
และนำพามันไปยังทิศตะวันออกจากประตูเมืองทั้งหลาย.
ความกลัวอันดับสองคือคชสารใหญ่โตสิบเชือก,
ด้วยงาสีเงินยวงและเท้าที่ก้าวสะเทือนปฐพี,
เหยียบย่างกันมาตามถนนด้านทิศใต้เยี่ยงสวนสนามอันทรงพลัง;
และผู้ที่นั่งอยู่เหนือสัตว์ร้ายอันนำหน้าสุดนั้น
คือองค์โอรสของพระราชานั้นเอง –
เชือกอื่นๆตามติดพระองค์มา,
ความกลัวอันดับที่สามของภาพนิมิตนั้นเป็นราชรถ,
ส่องประกายแสงเจิดจ้าต่อนัยนา,
ที่มีอาชาสี่ตนเทียมลากดึง,
พ่นลมหายใจออกจากจมูกเป็นไอควันขาวและฟองฟอดหลั่งเดือดพล่าน;
และในราชรถนั้นที่เจ้าชายสิทธัตถะได้นั่งประทับมาอย่างเหนื่อยหน่าย.
ความกลัวอันดับสี่คือกงล้อซึ่งหมุนและหมุนมิหยุด,
ที่จุดศูนย์กลางนั้นทำด้วยทองคำหุ้มและซี่ล้อฝังอัญมณี,
และมีสิ่งประหลาดเขียนจารไว้บนยางล้อที่ติดยึดไว้นั้น,
ซึ่งดูเหมือนทั้งเป็นเปลวเพลิงและดนตรียามที่มันหมุนวนรอบอย่างเร็ว.
ความกลัวอันดับห้านั้นเป็นกลองใหญ่,
ติดตั้งลงไว้
ในกลางทางระหว่างเมืองและเหล่าเนินเขา,
ซึ่งองค์เจ้าชายตีกระหน่ำอยู่ด้วยคฑาเหล็ก,
และดั่งนั้นที่เสียงเผยดังดุจสายฟ้าฟาด,
พลิกม้วนทั่วท้องฟ้าและสุดแดนห่างไกล.
ความกลัวอันดับหกคือหอคอยหนึ่ง,
ซึ่งสูงและสูงขึ้น
สูงเหนือทั่วทั้งมหานครจนกระทั่งมันเสียดตะหง่านชูปลายยอด
ส่องแสงรายล้อมดุจมงกุฏด้วยหมูเมฆา,
และบนยอดนั้นคือเจ้าชาย
ประทับยืน,
โบกสบัดกระจายจากสองหัตถ์, ทางนี้และทางนั้น,
อัญมณีแห่งแสงอันเป็นที่สุดรักปรารถนา,
โปรยปรายลงมาดุจสายฝน
โกเมน และทับทิม; และทั้งหลายทั้งปวงของโลกนี้มีมา,
ประชันขันแข่งเทียบเคียงขนาดในทรัพย์สมบัติเหล่านยามที่พวกเขาร่วงหล่นมา
ยังทั่วทั้งสี่ภาคส่วน. แต่ความกลัวที่เจ็ดนั้นคือ
เสียงของการคร่ำครวญ,
และเห็นซึ่งชายหกคน
ผู้ที่ร่ำไห้และขบเขี้ยวกัดฟันของพวกตน,
และวางฝ่ามือของพวกเขา
เหนือปากของตน,
เดินไปมาอย่างหดหู่ใจ.
(9) ความกลัวทั้งเจ็ดนี้ได้ทำนิมิตปรากฏในการหลับของพระองค์,
แต่ไม่มีนักปราชญ์ทั้งหมดในราชสำนักผู้ทำนายพระสุบิน,
สามารถบอกความหมายของนิมิตเหล่านั้นได้.
ดั่งนั้นพระราชาจึงพิโรธ,
ตรัสว่า,
“มีปีศาจร้ายได้มายังราชสำนักของข้า,
และไม่มีเลยในพวกสูเจ้าจะมีปัญญาชาญที่จะช่วยให้ข้าได้รู้
ว่าเหล่าเทพผู้ยิ่งใหญ่ส่งลางนี้มาให้แก่ข้า.”
ดั่งนั้นเองในนครผู้คนจึ่งต่างพากันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เพราะองค์ราชาได้ทรงสุบินลางเจ็ดอย่างของความกลัว
ซึ่งไม่มีผู้ใดอ่านทำนายได้; แต่ที่ทวารบานนั้นได้มีมาถึง
ซึ่งชายชราผู้หนึ่ง, ในชุดคลุมหนังกวางแต่งกาย,
ด้วยลักษณะภายนอกเช่นฤาษี,
ไม่มีเป็นที่รู้จัก;
เขาได้ร้องขึ้นว่า,
“พาข้าไปเฝ้าต่อองค์ราชา,
เพราะข้าสามารถอ่าน
ภาพนิมิตพระสุบินขององค์ท่านได้;” ผู้ที่, เมื่อเขาได้ยิน
ปริศนาลึกลับเจ็ดส่วนของพระสุบินเที่ยงคืนนั้น,
ค้อมบังคมทำความเคารพและกล่าวว่า,
“โอ มหาราชา!
ข้าขออวยชัยในราชสำนักอันงดงามนี้,
เมื่อจะได้ชูเชิดขึ้น
แผ่กว้างไกลแจ่มจรัสยิ่งกว่าแสงแห่งดวงตะวัน!
ฟังเถิด!
ความกลัวทั้งเจ็ดนี้คือเจ็ดความปีติรื่นรมย์ดอก,
ที่ซึ่งอย่างแรกนั้น,
ที่องค์ท่านได้เห็นซึ่งธงหนึ่ง
ใหญ่กว้าง, แจ่มจรัส, ส่องประกายด้วยดวงตราของอินทรานั้น
– ล้มหักลง
และถูกลากพาไป,
เป็นเครื่องหมายสำคัญของจุดจบ
ของความเชื่อถือเก่าแก่และเริ่มต้นในสิ่งใหม่,
เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงกับเทพเทวาทั้งหลายไม่น้อยไปกว่ามนุษย์,
และเมื่อวันเวลาเหล่าผ่าน กัลป์ (kalpas-คำเดิมต้นฉบับ) ผ่านที่ความยาวไกล.
เหล่ามหาคชสารสิบเชือกที่สั่นสะเทือนปฐพีนั้น
คือของขวัญสิบประการอันยิ่งใหญ่เป็นเครื่องหมายแห่งพุทธิปัญญา,
พละกำลังเข้มแข็งที่ซึ่งองค์เจ้าชายจักได้ละทิ้งสถานะของพระองค์
และเขย่าโลกภพด้วยหนทางแห่งอริยสัจจ์.
(passage of the Truth-คำเดิมของต้นฉบับ)
สี่อาชาผู้หายใจไอเปลวเพลิงของราชรถนั้น
คือสี่คุณความดีที่ปราศจากความกลัวซึ่งนำพา
โอรสของพระองค์พ้นจากกังขาและมืดมนสู่แสงปีติสว่างไสว;
กงล้อที่หมุนไปด้วยดุมที่หุ้มด้วยทองคำ
คือกงล้อวัฏจักรอันล้ำค่าที่สุดแห่งกฏแห่งธรรม
ซึ่งองค์ชายจักได้หมุนให้ปรากฏต่อสายตาทั่วทั้งโลกา.
มหาเภรีที่ซึ่งเจ้าชายได้ตีกระหน่ำอยู่นั้น,
จนกระทั่งเสียงดังสนั่นไปทั่วดินแดนทั้งปวง,
เป็นเช่นเครื่องหมายสำคัญ
ดังฟ้าคำรณแห่งคำเทศนาของโลกภพ
ซึ่งองค์ท่านจักได้เทศน์; หอคอยที่เติบโตถึงสรวงสวรรค์
คือการเติบใหญ่แห่งคำสวดมนต์ของพุทธะ
(Buddh-คำเดิมต้นฉบับ) นี้
ออกมาซึ่งเบื้องหน้า;
และบรรดาอัญมณีหายากเหล่านั้นที่ร่วงกระจัดกระจาย
สมบัติอันมิอาจบอกได้นั้นคือแห่งกฏบัญญัติที่ดี
ต่อเหล่าเทพเทวาและเหล่ามนุษย์อันรักใคร่และปรารถนาได้ซึ่งนั้น.
เช่นนี้เองที่ได้ไขความแห่งวปริศนาของหอคอยนั้น;
แต่สำหรับคนทั้งหกที่ร่ำไห้ด้วยปากที่ปิดทั้งหลายนั้น,
พวกเขาคือหกหัวหน้าอาจารย์ผู้ซึ่งบุตรของตน
จะ,
ด้วยความเจิดจ้าของอริยสัจจ์และคำเทศนาอันมิอาจตอบได้,
ชักจูงใจได้ก็ต่อผู้โง่เขลาปัญญา. โอ ราชา! จงปีติสุขเถิด;
ทรัพย์มหาศาลของฝ่าบาทเจ้าชายของข้านั้นมากมายไป
กว่าอาณาจักรทั้งหลาย,
และผ้าห่มกายเก่าขาดขององค์ท่านจะเป็น
เหนือไปยิ่งเสียกว่าพัสตราแห่งทองคำ. นี่คือพระสุบินของพระองค์!
และในเจ็ดราตรีและเจ็ดวันที่สิ่งเหล่านี้จะพ่ายล้มลง.”
ดั่งนั้นเองที่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าว,
และก้มกระทำกายลง
แปดอากัปกิริยา, แตะสามครายังพื้น;
แล้วหันร่างและผ่านจากไป; แต่เมื่องพระราชายื่นส่งเสนอ
บรรณาการสูงค่าตามหลังเขาไป,
ผู้นำสาส์น
นำคำกลับมาทูลว่า,
“เราได้ไปถึงที่ซึ่งเขาได้เข้าไป
วิหารของจันทรา (Chandra's
temple-คำเดิมของต้นฉบับ), แต่ภายในหาได้มีอะไรเลย
นอกจากนกฮูกซึ่งบินแตกตื่นออกมาจากแท่นบูชานั้น.”
ประหนึ่งเทพเทวาได้เสด็จมาเยือนกระนั้น.
(10) แต่พระราชา
พิศวงในพระทัย,
และได้ออกคำบัญชาว่าให้มีความปีติใจใหม่
ได้วางอุบายเพื่อที่จะติดตรึงในหฤทัยองค์สิทธัตถะ
ในท่ามกลางหมู่เหล่านักระบำของวังสำราญขององค์โอรส,
อีกทั้งองค์ราชายังบัญชาให้ประตูทองเหลืองทั้งหมดเหล่านั้น
ได้เพิ่มยามรักษาการเป็นสองเท่า.
แต่กระนั้นผู้ใดหรือที่จะปิดผนึกขังชะตาลิขิตได้?
(11) และอีกคราที่จิตวิญญาณขององค์เจ้าชาย
ได้ถูกเคลื่อนคล้อยไปจากเห็นโลกนี้พ้นไกลไปจากทวารบานของพระองค์,
ชีวิตนี้ของมนุษย์,
ช่างแสนสุขสบายราวกับคลื่นของมัน
ไหลไปไม่ต้องสูญเสียและทุกข์ร้อนในบั้นปลาย
ในธุลีทรายแห้งของกาลเวลา. “ข้าสวดอ้อนวอนท่านได้ปล่อยให้ข้าได้ทัศนา
นครของเราอย่างที่มันเป็น,”
เยี่ยงนี้เองคือคำสวดของพระองค์
ต่อพระบิดาราชาสุทโธทนะ. “ฝ่าบาท
ในการที่ได้ทุ่มเทเอาใจใส่แจ้งเตือนต่อชาวบ้านก่อนหน้า
ให้เอาผู้เจ็บป่วยไข้ทั้งหลายและภาพอันปริเวทนาพ้นไปจากสายตา,
และทำให้ใบหน้าของพวกเขาปีติยินดีที่จะต้อนรับข้าพระองค์,
และตลอดหนทางที่มีแค่ความชื่นชมยินดี; กระนั้นข้าพระองค์ก้ได้เรียนรู้
ว่านี่ไม่ใช่ชีวิตประจำวัน,
และถ้าข้าพระองค์ได้ยืนอยู่
ใกล้ชิดที่สุด, พระราชบิดาของข้า,
ต่อราชอาณาจักรและพระองค์ท่าน,
ด้วยยินดีที่ข้าพระองค์ได้รู้ว่าผู้คนและท้องถนนเหล่านั้น,
วิถีเรียบง่ายของพวกเขาตามปกตินั้น,
และงานการแต่ละวันนั้น,
และชีวิตอาศัยที่ผู้คนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ที่ไม่ใช่พระราชาเหล่านั้น.
ขอจงพระราชทานให้ข้าพระองค์ได้ออกไปเถิด,
ฝ่าบาทอันเป็นที่รัก!
เพื่อที่จะได้ผ่านการไม่รู้
พ้นไปจากอุทยานความสุขของข้าพระองค์; ข้าจะกลายไปสู่
ความสันโดษมากขึ้นสู่สันติสุขของพวกเขาอีกครา,
หรือไม่ก็ฉลาดมากขึ้น, พระบิดา,
ถ้ามิอาจสันโดษได้ดี.
ดั่นนั้นเอง,
ข้าขอสวดอ้อนวอนต่อพระองค์, ให้ข้าได้ออกไปตามใจประสงค์เถิด
ในวันพรุ่ง,
พร้อมด้วยข้ารับใช้ของข้าพระองค์, ผ่านไปตามท้องถนนนั้น.”
และพระราชาตรัสตอบว่า, ในท่ามกลางเสนาบดีมนตรีของพระองค์,
“จงเป็นเหมือนการบินครั้งที่สองนี้ได้แก้ไขจากครั้งแรก.
จงบันทึกไว้ว่าอย่างไรที่เหยี่ยวนั้นได้เริ่มต้นที่ทุกภาพเห็น
ใหม่จากขนหัวของเขา,
แต่อะไรที่ทำให้ดวงตาอันเงียบสงบ
ได้มาถึงแห่งอิสรภาพ; จงให้โอรสของข้าได้เห็นทั้งหมด,
และเสนอต่อพวกเขานำข้าผูกโยงจิตใจขององค์โอรสเอาไว้.”
(12) กิรดังนั้นเองในวันพรุ่ง, เมื่อเที่ยงวันมาถึง,
เจ้าชาย และ ฉันนะ ได้ผ่านพ้นทวารบานนั้นออกไป,
เจ้าชาย และ ฉันนะ ได้ผ่านพ้นทวารบานนั้นออกไป,
ซึ่งเปิดออกโดยโดยตราประทับขององค์ราชา;
เป็นราชโอรสขององค์ราชาเองในชุดคลุมของพ่อค้าวานิชย์นั้น,
และอยู่ในชุดเสมียนรับใช้คือสารถีขององค์ท่าน.
เตร็ดเตร่ไปข้างหน้าที่พวกเขาลงไปตามทางเดินสามัญด้วยเท้า,
ปะปนไปกับพลเมืองชาวศากยะทั้งหลาย,
ได้เห็นสิ่งยินดีและสิ่งเศร้าใจของเมืองนี้;
ท้องถนนที่ถูกแต้มสีมีชีวิตชีวาด้วยเสียงหึ่งฮีมของยามเที่ยงวัน,
เหล่าพ่อค้านั่งไขว่ห้างในท่ามกลางพริกไทยและข้าวของพวกตน,
และผู้ซื้อกับเงินของพวกเขาอยู่เสื้อคลุม,
สงครามคำต่อรองราคาให้ถูกลงนี่และนั่น,
เสียงตะโกนให้เปิดทางในถนน,
ล้อหินยักษ์,
วัวแข็งแรงเชื่องช้าและและเสียงเอียดอาดของการบรรทุกหนัก,
เหล่าคนแบกหามร้องตะโกนมาด้วยพร้อมด้วยแคร่เสลี่ยงทั้งหลาย,
คอหนอกหนาของคนขนของเหงื่อย้อยไหลในแสงแดด,
เหล่าภรรยาแบกโถน้ำกลับจากบ่อสระ
ด้วยร้องเท้าแตะทรงกาย,
และเยื้องตะโพกพวกนางไปอีกทาง
พวกเด็กทารกตาดำกลม;
ร้านค้าแขวนเนื้อหวานที่มีแมลงวันเกาะตอมเต็ม,
ช่างทอนั่งอยู่หลังกี่ของเขา,
กงล้อฝ้าย
แกว่งหมุน,
โม่หินกำลังบดป่นอาหาร, พวกสุนัข
เดินด้อมมองหาเศษอาหาร,
เหล่านักสร้างอาวุธมีทักษะ
ด้วยคีมหนีบและฆ้อนแขวนห้อยเสื้อเกราะ,
ช่างตีเหล็กกับพลั่วและหอก
แดงคุอยู่ด้วยกันในเตากองถ่านของเขา,
โรงเรียน
ที่รายล้อมเหล่าคุรุของพวกเขา,
ในรูปสุสานครึ่งจันทรา,
เหล่าลูกหลานศากยะร่ายท่องมนตราเจื้อยแจ้ว,
และเล่าเรียนรู้ถึงเหล่าบรรดาเทพเทวาใหญ่และน้อย;
เหล่าช่างย้อมสีคลี่ขยายผ้าสีสันออกตาก,
ในแสงตะวัน
เปียกโชกจากโถย้อม – ส้ม,
และกุหลาบ, และเขียว;
เหล่าทหารตบเท้าผ่านเสียงเคร้งคร้างจากดาบและโล่ห์เขน,
เหล่าคนขี่อูฐเยื้องย่างนั่งโยกมาบนหนอกนูนของพวกมัน,
พวกพราหมณ์ที่ทะนงตน,
เหล่าขัตติยะ (Kshatriya-คำเดิมต้นฉบับ) นักสู้,
เหล่าผู้ต่ำต้อยใช้แรงงาน ศูทร; ที่นี่เนืองแน่น
แห่ห้อมล้อมที่มุงดูนักฝึกงูพูดอวดโอ้
พันไว้รอบเอวของเขาดั่งสร้อยถนิมล้ำค่า
ด้วยงูพิษและนาค (nâg-คำเดิมต้นฉบับ), หรือร่ายคาถางูพิษร้ายในตะกร้าฝาครอบ
ให้เต้นเร่าโกรธเลื้อยชุแผ่แม่เบี้ยส่ายไปมาด้วยเสียงปี่น้ำเต้า;
มีถวยาวของเหล่ากลองและแตรเป่า, ซึ่งเดินไปตาม,
เหล่าม้าแต้มสีสดใสและบรรดาชายคากระเชิงไหม,
แห่แหนจะนำเจ้าสาวเยาว์สู่เรื่อน; และนี่ก็ภริยา
แอบลอบรีบร้อนด้วยขนมและพวงมาลัยถวายแด่เทพ
เพื่อสวดอ้อนวอนของให้สามีปลอดภัยได้กลับมาจากการค้าขาย,
หรือไม่ก็ขอให้ได้ลูกชายในการกำเนิดคราวหน้า; ยากลำบากด้วยร้านรวง
ที่ซึ่งช่างทำเครื่องโถถ้วยผิวดำคล้ำตีทองเหลืองดังลั่นหู
เพื่อเป็นโคมตะเกียงและหม้อโลตา; จากนั้น, ไปตามกำแพงวิหาร
และช่องประตู,
ไปสู่แม่น้ำและสะพาน
ภายใต้กำแพงมหานคร.
(13) เหล่านี้เองที่พวกเขาได้ผ่าน.
เมื่อจากข้างถนนั้นมีเสียงร้องครางโหยหวนครวญดังมา,
“ช่วยด้วย, นายท่าน! พยุงข้าขึ้นยืนทีเถิด; โอ้, ช่วยทีเถิด
ไม่เช่นนั้นข้าจะตายเสียก่อนกลับไปถึงบ้านข้า!”
ผู้น่าเวทนาป่วยไข้เป็นเช่นนั้น,
ด้วยร่างโครงสั่นเทา,
จากถูกโรคระบาดร้ายกัดกิน,
นอนจ่มจมอยู่ในฝุ่นธุลี
บิดดิ้น, ด้วยร่างแดงจ้ำคล้ำม่วงตามเนื้อตัวปูดตุ่มเต็ม;
เหงื่อกาฬเย๋นยะเยือกถั่งไหลจับคิ้วของเขา,
ปากของเขา
ห้อยเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่กำลังบิดเกลียวจับ,
ดวงตาเบิกโพลงท่วมน้ำตาหลั่งด้วยความทรมานจากข้างใน.
หอบกะเส่าหนัก,
เมื่อเขาคว้ากุมกอหญ้าเพื่อลุกขึ้น, และยกร่าง
มาได้กึ่ง-ทาง, แล้วก็ร่วงลงไป,
ด้วยขาแขนโก่งงออันสั่นระริก
และกรีดร้องของความตระหนก,
ร่ำร้องว่า, “อ้า, เจ็บปวดเหลือเกิน
ท่านคนดีเอ๋ย, ช่วยข้าด้วยเถิด!” ที่ซึ่ง สิทธัตถะ วิ่งเข้าไปหา,
ยกร่างชายผู้ปริเวทนาด้วยมือทั้งสองอันอ่อนโยน,
ด้วยสายพระเนตรอันอ่อนหวานจ้องจับวางศีรษะผู้ป่วยนั้นลงกับตักพระองค์,
และขณะที่สัมผัสอันนุ่มนวลปลอบประโลมผู้ทุกข์ทรมาน
ตรัสถาม, “พี่เอย,
เจ้าป่วยไข้ด้วยอะไรหรือ? ความเจ็บอะไร
ได้ทำให้ล้มลงมาหรือ?
ด้วยเหตุใดหรือที่สูมิอาจลุกขึ้นได้?
ทำไมเป็นเช่นนั้น, ฉันนะ, ที่ทำให้เขาหอบและคร่ำคราง,
และหอบกระเส่าที่จะพูดและถอนหายใจน่าเวทนาขนาดนั้น?”
แล้วสารถีนั้นจึงทูลตอบ: “เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่! ชายผู้นี้
ถูกสัตว์แมลงร้ายบางอย่างกัด; ทุกองค์ประกอบในกายของเขา
ต่างปนเปเสียหายไปหมด; ในเส้นสายเลือดของเขา
ซึ่งไหลเวียนไปทั่วดั่งแม่น้ำ,
เปลี่ยนโจนและเดือดพล่าน
ร้อนรุ่มท่วมท้น; หัวใจของเขา, ซึ่งเที่ยงตรงเวลา,
เต้นรัวเหมือนกลองหนังที่ป่วยไข้,
เร็วและช้า;
เส้นเอ็นของเขาหย่อนยานเหมือนสายธนูหลุดเลื่อน;
กำลังของเขาหายไปจากเนื้อ,
และสะโพกหลัง, และคอ,
และบรรดาความเป็นชายแกร่งอันบรรเจิดและเริงร่าได้โบยบินหนีไป:
นี่คือชายป่วยไข้ที่อาการชักเต็มไปทั่วร่างของเขา.
ดูเถิดว่าเขาดึงและทึ้งที่จะกุมเวทนาของเขาอย่างไร
และเกลือกกลิ้งเลือดลมไหลเวียนของเขา,
และบดเคี้ยวเขี้ยวฟันของเขา,
และสืดลมหายใจราวกับเป็นเช่นสำลักควัน.
ดูเถิด, ตอนนี้เขาน่าจะสิ้นชีพไปแล้ว,
แต่กลับจะไม่ตาย
จนกว่าโรคร้ายได้จัดการกับเขาจนสิ้นหมดในกายของเขา,
ฆ่าทำลายประสาททั้งหลายที่ตายไปก่อนชีวียัง;
แล้ว,
เมื่อเส้นสายของเขาได้แตกขาดด้วยทุกข์ทรมาน
และกระดูกทั้งหมดของเขาได้ว่างเปล่าจากความรู้สึกใด
ที่จะเจ็บปวด, โรคร้ายนี้ก็จะลาจากไปและโบยบินไปยังที่อื่น.
โอ, องค์ท่าน!
ไม่เป็นการดีนักที่จะโอบอุ้มเขาไว้เช่นนั้น!
ความป่วยไข้อาจผ่านต่อมาได้,
และโจมตีองค์ท่าน, กระทั่งติดองค์ท่าน.”
แต่องค์ชายได้ตรัส,
ยังคงปลอบประโลมชายผู้นั้นอยู่,
“แล้วยังมีผู้อื่นอีก,
อีกมากมายเช่นนี้หรือ?
หรือว่ามันอาจจะบังเกิดกับข้าได้เป็นเช่นตอนนี้ได้มีกับเขา?
“โอ้ ฝ่าบาทของข้าน้อย!” สารถีนั้นทูลตอบ, “สิ่งนี้มาเยือน
ในหลายหลายรูปร่างต่อผู้คนทั้งปวง; เศร้าสลดและบาดเจ็บ,
ความป่วยไข้และพุพอง, อัมพาต, เกลื้อนกลากเรื้อน,
ไข้ร้อนรุ่ม, สูญเสียเหงื่อน้ำ, เนื้อเยื่อ,
อักเสบ
บังเกิดกับกล้ามเนื้อและเข้าไปในทุกหนแห่ง.”
“ความเจ็บป่วยเช่นนี้มิได้สังเกตพบเห็นได้หรอกหรือ?”
เจ้าชายตรัสค้านถาม.
และ ฉันนะ ทูล,”
เหมือนงูพิษเจ้าเล่ห์ที่พวกมันมาเยือน
ฉกกัดโดยมิเห็นได้; เหมือนฆาตกรเปล่าเปลือย,
ผู้รอคอยจะกระโจนจากพุ่มไม้ คารุนดา
(Karunda bush-คำเดิมต้นฉบับ).
หลบซ่อนอยู่เคียงป่าละเมาะข้างบาทวิถี; หรือเหมือนเช่น
สายฟ้า,
ผ่าลงมาตรงนี้และเว้นตรงนั้นไว้,
ดั่งส่งโอกาสให้ได้.”
(14) “แล้วคนทุกคนมีชีวิตอยู่ในความกลัวนี้หรือ?”
“เช่นนี้เองที่พวกเขามีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ,
องค์ชาย!”
“และไม่มีผู้ใดสามารถพูดได้ว่า,
“ข้านอนหลับ
อย่างสุขีและตลอด-ทั้งคืน,
และจะได้ตื่นขึ้นมาอีกเช่นนั้น, เลยหรือ?”
“ไม่มีผู้ใดกล่าวเช่นนั้นได้,
พ่ะย่ะค่ะ.”
“และที่สุดของความเจ็บป่วยไข้มากมายนี้,
ซึ่งมามิได้เห็น,
และจะมาถึงเมื่อพวกเขามา,
นี่, ร่างกายที่แตกสลายและใจอันเศร้าหมอง,
และวัยที่ชราภาพเหลือเกินนี้,
เยี่ยงนี้หรือ?
พ่ะย่ะค่ะ,
ถ้าคนเราอยู่มานานได้นานเช่นนี้?”
“แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถทนต่อความปริเวทนาของพวกตนได้,
หรือว่าถ้าพวกเขาจะไม่อาจทนรับได้,
และเสาะหาเงื่อนไข;
หรือว่าพวกเขาทนรับได้,
และเป็นเช่นว่า, เช่นชายผู้นี้เป็น,
อ่อนแอเกินไปกว่าจะทำได้นอกจากครวญคราง,
และยังมีชีวีอยู่กระนั้น,
และแก่เฒ่าลงไป, ชราลงไปอีกมาก,
แล้วจะจบสิ้นสุดอย่างไรหรือ?”
“พวกเขาตายพ่ะย่ะค่ะ, องค์ชาย.”
“ตาย หรือ?”
“เจ้าข้า,
ท้ายสุดแล้วความตายก็มาเยือน,
บ้างน้อยรายที่ได้แก่ชรา, ส่วนใหญ่มักเจ็บและล้มป่วยลง,
แต่จะอย่างไรทั้งหมดก็ล้มตาย—โอ,
มรณาเอ๋ยมิรู้มาจากที่ใด!”
(15) และแล้วองค์สิทธัตถะก็ช้อนสายตาขึ้นมา,
และเห็น
กลุ่มหนึ่งก้าวเดินรีบเร็วมายังริมแม่น้ำ
ของผู้คนร่ำไห้ร้องครวญ,
นำหน้ามาด้วยผู้หนึ่งที่เหวี่ยงแกว่ง
หม้อดินเผาที่เต็มด้วยถ่านติดไฟ,
เบื้องหลัง
เป็นญาติพี่น้องที่ถูกแยกจาก,
พร้อมด้วยหน้ากากไว้ทุกข์, คลายหลวม,
ร้องตะโกนออกมาดังไกล, “โอ ราม (Rama-คำเดิมต้นฉบับ),
จงฟังด้วยเถิด!
ข้าขอเพรียกหาต่อองค์ราม,
พี่น้องเอ๋ย!” อยุ่หน้าแคร่หาม,
ถักด้วยสี่เสาด้วยไม้ไผ่เข้าไขว้ด้วยกัน,
ที่บนนั้นนอนไว้ด้วยร่างแน่นิ่งและแข็งทื่อ,
เท้ายื่นโผล่นำ, เอียงเพล่,
ตกห้อย, มืดบอด, โพรงเบ้าตาลึก,
แสยะยิ้ม,
ถุกโปรยปรายมาด้วยฝุ่นแดงและเหลือง
– มรณา,
ผู้ซึ่งอยู่ที่ทางแยกสี่วิถีพวกเขาก็หันหัวให้ก่อน,
และร้องว่า, “ราม, ราม!” หามแบกต่อไป
ยังที่เสาต้นหนึ่งถูกปักชูอยู่ที่ข้างลำน้ำ;
ที่นั้นเองซึ่งพวกเขาได้วางร่างนั้นลง,
ก่อเชื้อสูงขึ้น –
หลับสนิทนิ่งดุจผู้นอนกองอยู่บนเตียง!
เขาจักมิได้ตื่นขึ้นมาหนาวเย็นกายที่ได้นอน
เปลือยเปิดต่ออากาศทั้งหลายอีก –
เพราะในมิช้าพวกเขาก็จัด
จุดไฟลุกโชนแดงทั้งสี่มุม,
ซึ่งได้คืบคลาน,
และเล็มเลีย, และปะทุ,
เมื่อพบกับเนื้อหนังของเขา
และกัดกินไปบนมันด้วยเสียงสืดสาดของลิ้นสบัดกวาดไป,
และปริแยกหนังเกรียมออก,
แตกหลุดข้อต่อ,
จนกระทั่งไขมันควันโขมงบางเบาและเถ้าธุลีจ่อมจม
แดงและเทา,
และที่นั่นโน่นอันกระดูกได้
ขาวโพลนออกมาในท่ามกลางสีเทาหม่นนั้น
– ที่สุดของคนเรา.
(16) แล้วตรัสมาด้วยองค์ชาย: “หรือนี่คือที่สุดซึ่งมาถึง
ทั้งหมดของผู้มีชีวิต?”
“นี่คือที่สุดซึ่งมาถึง
ทั้งหมดทุกผู้,” ฉันนะ ทูล; “เขาผู้อยู่บนกองฟอน –
ที่ส่วนเหลือนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยเสียซึ่งพวกกา
ร้องไม่พออิ่ม, แล้วเลิกหนีไปจากงานเลี้ยงไร้ผลไม้
–
กิน, ดื่ม, หัวเราะ, รัก,
และดำรง, และชื่นชอบของชีวิตอย่างดี.
แล้วก็มาถึง – ใครรู้หรือ? –
ลมกระโชกของสายลม-ป่า,
สะดุดล้มบนเส้นทาง,
มลทินที่ในถัง,
งูฉก, ครึ่งหนึ่งคืบของเหล็กกล้าโกรธาร้อนแดง,
ความเย็นเยือก, ก้างปลา, หรือกระเบื้องที่ร่วงหล่นลงมา,
แล้วชีวิตก็จบสิ้นและคนเราก็ตาย;
ไม่อร่อยลิ้น, ไม่ยินดี,
และไม่เจ็บปวด
มีเช่นนั้น; จุมพิตที่ริมฝีปากของเขานั้นไร้ค่า,
ที่ไหม้เกรียมไฟนั้นไร้ซึ่งค่า; เขาได้กลิ่นนั้นหาใช้เนื้อหนังของเขา
ที่ปิ้งย่าง, หรือกระนั้นยังหาได้เป็นไม้จันทร์และไม้เทศ
ที่พวกเขาเผาไหม้; รสชาตินั้นว่างเปล่าจากปากของเขา,
การได้สนับด้วยหูของเขานั้นอุดตันหนวก,
ภาพทัศนา
นั้นมืดบอดไปจากดวงตาของเขา; ผู้ซึ่งเขาได้รัก
พิราปร่ำไห้พ้นแยกไป,
เพราะกระทั่งนั่นก็ต้องไป,
ร่างนั้น, ซึ่งได้เป็นตะเกียงมีต่อชีวิต,
หรือหนอนทั้งหลายก็จะได้มีงานเลี้ยงอาหารอันสยดสยองกับมัน
นี่คือชตากรรมธรรมดาทั่วไปของเนื้อหนัง:
ทั้งผู้สูงและต่ำ, ผู้ดีและเลว,
ต้องตาย,
และกระนั้นเอง,
นี่ได้สอนสั่งกันไว้, ก็เริ่มต้นใหม่และดำรงชีวี
ที่ใดสักแห่ง, เมื่อใดสักครา, ---
ใครฤาที่รู้? --- แล้วก็เป็นเช่นนั้นอีก
ความเจ็บปวดแปลบ, ความแยกจาก,
และกองฟอนที่ลุกสว่างโพลง:
--
เช่นนี้เองคือรอบวนของคนเรา.”
(17) แต่ ดูกรนั้น! องค์สิทธัตถะหัน
พระเนตรแวววับด้วยหยาดน้ำพระเนตรสวรรค์ท่วมท้นสู่ท้องฟ้า,
นัยนาลุกโชนด้วยความสงสารแห่งสวรรค์สู่ปฐพีโลก;
จากฟ้าสู่ดินที่องค์ท่านทอดพระเนตร,
จากฟ้าสู่ดิน,
ราวกับว่าจิตวิญญาณของพระองค์นั้นเสาะบินหาอย่างโดดเดี่ยวลำพัง
ในภาพนิมิตห่างไกล,
เชื่อมต่อนี่และนั่น,
สูญ –- ผ่าน – แต่ค้นหาได้,
แต่เห็นได้, แต่รู้ได้.
แล้วพระองค์ก็ตรัสร้อง, ขณะที่พระพักตร์ที่เงยขึ้นอยู่นั้น
ร้อนผ่าวด้วยแรงอารมณ์ที่แผดเผาด้วยความรัก
มิอาจเปล่งคำพูดออกมาได้, อารมณ์เร่ร้อนของความคาดหวัง
โอ้! ได้รู้และมิได้รู้แห่งเลือดเนื้อสามัญของข้า,
ติดอยู่ในตาข่ายสามัญของมรณาและเศร้าโศก,
และชิวีที่ผูกมัดยังทั้งคู่! ข้าเห็น, ข้ารู้สึก
ความไพศาลแห่งปริเวทนาของโลก,
ควมไร้ประโยชน์ในปีติของมัน,
ความเย้ยหยัน
ในทั้งหมดที่ดีที่สุดของมัน,
ความปวดร้าวที่เลวที่สุดของมัน;
ในเมื่อความปีติใจได้จบลงที่ความเจ็บปวด,
และเยาว์ในอายุไข,
และความรักในความสูญเสีย,
และชีวิตในความตายอันน่าชัง,
และความตายในหมู่ชีวิตที่ไม่รู้,
ซึ่งจะแต่กระนั้นสวมแอก
ผู้คนกับกงล้อของพวกเขาอีกคราที่จะผลักหมุนวงรอบ
ของความยินดีปรีดาอันไม่เที่ยงแท้และความทุกข์ทั้งหลายที่ไม่แปลกปลอม.
ข้าด้วยเช่นกันที่มนต์เสน่ห์ยั่วงยวนนี้ได้หลอกล่อ,
ดังนั้นมันจึ่งดูเหมือน
ช่างน่ารักใคร่ในการมีชีวีอยู่,
และชีวิตคือสายน้ำในแสงตะวันสาดส่อง
ไหลชั่วนิรันดร์ในสันติ์อันมิเปลี่ยนแปร;
ในที่ซึ่งระลอกกระเพื่อมอันโง่เขลาของอุทกธาร
เริงระบำเช่นเบิกบานลงไล่เรียงเคียงหมู่ไม้ดอกและสนามหญ้า
เพียงแค่ที่จะรินหลั่งแก้วผลึกของตนอย่างรีบเร็ว
ลงในห้วงทะเลน้ำเค็มปนเปื้อน. ผ้าคลุมได้ถูกเช่า
ซึ่งปิดบังข้าให้มืดบอด! ข้าเป็นเช่นผู้คนเหล่านี้ทั้งหมด
ผู้ร่ำไห้ต่อเหล่าเทพเทวาของพวกเขาและมิได้ยิน
หรือมิได้ใส่ใจ –
กระนั้นยังต้องได้รับถูกช่วยเหลือ!
เพราะสำหรับพวกเขาและตัวเราและทั้งหมดแล้วจักต้องถุกช่วยเหลือ1
โดยบังเอิญที่เทพเทวาทั้งหลายเองก็จำเป็นต้องได้รับควมช่วยเหลือด้วยเอง
ได้อ่อนกำลังลงเหลือจนเป็นว่าเมื่อริมฝีปากโศกาได้แย้มร้องร่ำไห้
พวกเขานั้นก้มิอาจช่วยได้! ข้าจักมิปล่อยให้ผู้ใดร่ำร้อง
ถ้าผู้นั้นเป็นที่ข้าช่วยเหลือได้! มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรฤาที่พรหม (Brahm-คำเดิมต้นฉบับ)นั้น
จะได้สร้างโลกและปล่อยให้มืดมนอยู่เช่นนี้
เขามิใช่พระผู้เป็นเจ้า,
และถ้ามิได้ทรงอำนาจเช่นนั้น,
เข้าก็มิใช่ พระผู้เป็นเจ้า
หรอกหรือ? – ฉันนะ! จงนำข้ากลับเคหะเถิด!
มันเป็นที่เพียงพอต่อดวงตาข้าแล้วที่ได้เห็น!”
และเมื่อองค์ราชาได้สดับเรื่องราว,
ที่ทวารบานทั้งหลายพระองค์จึ่งทรงจัด
เหล่ายามรักษาขึ้นอีกสามเท่า,
และบัยชาห้ามมิให้ผู้ใดได้ผ่านออกไป
ทั้งทิวาและราตรีกาล,
จำหน่ายออกหรือเข้าไปข้างใน,
จนกระทั่งหลายเพลาวันจากนิมิตฝันนั้น.