ฝึกจิตให้มีกำลัง
พระโพธิญาณเถร
(หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง
อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
(แสดงธรรมเมื่อ
9 พฤศจิกายน 2513 ณ วัดป่าวิเวกธรรมชาน์)
ญาติโยมทั้งหลาย ต่อไปนี้
จงเตรียมกายเตรียมใจฟัง ธรรมให้ดี การเทศน์วันนี้ จะต้องใช้เวลานานหน่อย
จงพากันทำใจให้เย็น อย่าใจร้อนกระวนกระวาย
วันนี้มีพระเณรมาจากสาขาต่างๆพร้อมทั้งมีญาติโยมจำนวนมาก ได้มารวมกันที่วัดใหม่นี้ การฟังธรรมในวันนี้ ต่างจากที่เคยได้ฟังมา
การทำบุญนั้นก็ต่างจากที่เคยทำมา เมื่อเราตั้งใจมา ก็ให้มาทำบุญจริงๆ บุญในวัดป่าเท่าที่เคยทำมานั้น
ไม่มีมหรสพดนตรี ไม่มีสุรายาเมาอะไร ญาติโยมทั้งหลายทุกๆบ้านที่มารวมกัน
ก็จะต้องอาศัยตัวเอง เวลาฟังธรรมก็ตั้งใจให้ดี วางมือลงบนตักให้สบาย
ในทางที่ดีนั้น กระทำจิตให้เป็นหนึ่ง
นั่งหลับตาทำสมาธิไปด้วย อย่าคุยกัน ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เว้นไว้แต่ปวดศรีษะปวดท้อง
ก็ให้พูดดกันบ้างเบาๆมันจึงจะรู้เรื่อง
การฟังเทศน์นี้ก็ต้องฟังให้รู้เรื่อง
ถ้าไม่รู้เรื่องมันไม่มีประโยชน์ เช่นเดียวกับเราเลี้ยงควาย
ถ้าหากควายหายเข้าไปในป่า เราตามหาควาย
ก็จะต้องหยุดฟังเสียงเกราะมันดังมาจากคอควาย จึงจะรู้ว่าควายเราอยู่ที่ไหน
ถ้าเราวิ่งไปเรื่อยๆ พูไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ได้ยินเสียงเกราะดัง ตามหาควายเลยไม่พบ
ในปีนี้ สาขาบ้านม่วงของเรานี้เป็นสาขาที่
7 เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ไม่กี่เดือนมานี้
ได้ส่งพระมหาอมรมาเป็นประธานพร้อมทั้งมีพระเณรติดตามมาด้วย
มีญาติโยมชาวม่วงสามสิบอยากได้ จึงให้มา
อาตมาจะพูดอะไรให้ฟังว่า
ทำไมจึงอยากสร้างแต่วัดป่า อาตมามีอุดมคติอันหนึ่งอยู่ในใจ
จะพูดให้ฟังเพราะพระพุทธเจ้าเรานั้น เมื่อเกิดท่านก็เกิดอยู่ป่า ตรัสรู้
ท่านก็ตรัสรู้อยู่ป่า ท่านนิพพานก็นิพพานอยู่ในป่า
ท่านตรัสรู้ธรรมะก็ตรัสรู้ในความหลง มันหลงที่ตรงไหน ท่านก็ไปรู้ตรงนั้น
ฉะนั้นการสร้างวัดป่า จึงเป็นอุดมคติของอาตมา ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มีความนึกคิดอยู่อย่างนี้
จึงได้ชักชวนลูกศิษย์ลูกหาผู้เป็นกัลยาณมิตรสร้างข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา
เมื่อก่อนนั้นอาตมาเคยเรียนปริยัติธรรมมา เรียนอยู่แถวๆบ้านเค็งใหญ่ บ้านหนองหลักนี่แหละ
เรียนไปๆจึงเลื่อนจากการศึกษาเล่าเรียนมาสร้างข้อประพฤติปฏิบัติ รวมแล้วมี 7 สาขา
รวมเป็น 8 ทั้งวัดป่าพง ส่วนสาขาเล็กๆน้อยๆยังไม่ได้นับเข้า
การทำบุญให้ทานต่างๆ
และการประพฤติปฏิบัตินั้น อาตมาคิดแล้ว มีความเชื่อพระศาสนา เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก
ทำไมจึงเชื่อท่านมากเพราะมันเป็นความจริง คำสอนที่พระศาสดาตรัสไว้นี้
มีความจริงอยู่มาก ที่อาตมามาเทศน์ให้ฟังนี้
ก็มิได้เอาธรรมะของตัวเองเป็นแต่พึ่งมาซ้ำรอยเก่าของพระพุทธเจ้าของเรา
นอกจากจะเอาความดีมาฝากแล้วอันที่ยิ่งกว่าความดีนั้นอีกไม่มี มันก็สุขก็สุขอยู่กับความดีนี้
สุขอยู่กับของจริง จึงนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกแล้วแน่แล้ว จริงแล้วมาบอก
แต่เรายังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตรมเป็นจริงกัน ข้อใดที่พระองค์ทรงห้ามไว้
มันก็เป็นจริงมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งใดที่พระองค์ทรงอนุญาตไว้
ก็เป็นจริงอยู่ตามนั้น สิ่งใดที่พระพุทธองค์ทรงบอกว่าไม่ดี
มันก็ไม่ดีจนถึงทุกวันนี้ แต่ว่าเราทั้งหลายยังไม่ได้นำมาปฏิบัติตาม เช่นว่า
การเบียดเบียนสัตว์ เบียดเบียนคน
เบียดเบียนพี่ป้าน้าอา ตั้งแต่เล็กๆน้อยๆจนถึงทำให้ขาดจากชีวิตมันไม่ดี
เราก็เห็นได้ง่ายๆไม่ใช่ของยาก อย่างเขาเบียดเบียนเรา หรือฆ่าเรานี่ ดีไหม?
มันไม่ดี นี่เราก็เห็นได้ง่ายๆอันนี้มันจริงอยู่ ความจริงข้อนี้มันมีอยู่ตลอดเวลา
คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีวันเก่า มันใหม่อยู่เสมอ ทันสมัยอยู่เสมอ
ถ้าทำผิดก็ผิดอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ใครไปทำมันก็ผิด นี่คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ง่ายๆ ไม่ต้องเรียนในคัมภีร์ก็มองเห็นได้
การเบียดเบียนกันมันผิด เขาเบียดเบียนเรา เราก็เดือดร้อน เราเบียดเบียนเขา
เขาก็เดือดร้อน นี่มันจริงอยู่ตลอดเวลา
คนเราทั้งหลายนั้น มิได้มองดูตัวเอง มองดูแต่คนอื่น
สิ่งอื่น สิ่งอื่นสวยก็สวยไปกับสิ่งอื่น สิ่งอื่นไม่สวยก็ไม่สวยไปตาม นี่มันพึ่งนอื่น
ไม่ได้พึ่งตนเองพูดง่ายๆเช่น ชาวนา ชาวไร่ พ่อค้า ข้าราชการหรือภิกษุ สามเณร
ก็เหมือนกัน ผู้ปฏิบัติตรงไปตรงมา ทำงานตามหน้าที่ของตน ถ้ารู้จักตัวเองแล้ว
มันทำชั่วไม่ได้ ทำผิดไม่ได้ แต่โดยมากนั้น เราไม่ค่อยเห็นตัวเอง เช่นพวกโจรไปแอบลักของเขา
มันกลัวแต่เขาจะเห็นมัน หลบซ่อนอยู่อย่างนั้น หลบๆหลีกๆกลัวเจ้าของทรพย์จะเห็น
ถ้าเจ้าของไม่เห็น ก็ลักเอาไปได้ตามสบาย โจรนั้นก็นึกกระหยิ่มใจ ดีใจที่คนไม่เห็น
ดูเอาเถอะ มันดูถูกตัวเองขนาดไหน ก็ผู้ที่ไปลักเอาของนั้นไม่ใช่คนหรืออย่างไร
นี่มันมองเห็นแต่ทางนอก ไม่เห็นตัวเองนี่เขาเรียกว่า ดูถูกตัวเองอย่างมาก
ก็ตัวโจรเองเป็นคนหรือเปล่า ถ้าหากรู้ว่าตัวเองเป็คนแล้วไปทำชั่วทำผิดอะไร ที่ไหน
เรื่องคนจะไม่เห็นนั้นไม่มีหรอก คนอื่นไม่เห็นคน คือตัวโจรนั่นแหละเห็นเอง
นี่ท่านเรียกว่า คนมองดูแต่ด้านนอก มิได้ดูด้านใน จนเห็นตัวเองไม่เป็นคน
ไม่มีคนอยู่ นี่มันหลง
อะไรเล่าปิดไว้ ความอยากปิดไว้
ความอยากได้มากจนลืมตัวลืมตน เลยเห็นตนเองไม่เป็นคน ทำชั่วอยู่ก็ไม่รู้จัก
ก็ตัวเองนั่นแหละทำ แต่ตัวเองไม่รู้จัก คนดูถูกตัวเองนั่นเรียกว่าคนไม่มีที่พึ่งที่อาศัย
มันขัดคำสอนที่ว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงเตือนตนด้วยตนเองมองข้ามตนเองไป
ธรรมะข้อนี้ไม่ใช่ของลึกซึ้ง เป็นของง่ายๆ เป็นของอยู่ตื้นๆ
เพราะมีสิ่งปิดบังเอาไว้จึงมองไม่เห็น สิ่งที่ปิดบังนั้น
ก็คือกิเลสโลภะบังไว้ความอยากบังไว้ มันปิดกั้นเอาไว้หมด โลภะ โทสะ โมหะ นี้
มันเป็นกิเลสก้อนใหญ่ ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นคน ไม่มีหู ไม่มีตา หูไม่มี
ตาไม่มี พูดไม่ฟังก็ไม่ได้ยิน ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน ตาเห็นอยู่ก็เหมือนไม่เห็น
ปากพูดเป็นอยู่ก็เหมือนพูดไม่เป็น กลายเป็นคนใบ้ คนบอด คนหนวก ไปหมด ฉะนั้น
มันจึงงมทำในสิ่งที่ไม่ดี
อาตมามาคำนึงถึงตั้งแต่ครั้งไปเรียนหนังสือ
ไปเรียนคัมภีร์มูลเดิม (มูลกัจจายนะ) เรียกว่าไปเรียน “หนังสือใหญ่”
มีความสงสัยอยู่ ที่คนเฒ่าคนแก่ เขาพูดกันว่าไปเรียนหนังสือใหญ่จบ
หนังสือใหญ่มันคืออะไรหนอ เราคิดอยากไปเรียนกับเขา หนังสือใหญ่นี่มันจะใหญ่ขนาดไหน
แต่คนไปเรียนมาแล้วก็ไม่เห็นใครปฏิบัติธรรม อวดอ้างตัวเองว่าเรียนหนังสือใหญ่จบ
เมื่ออาตมามาคิดดูพิจารณาดูแล้ว จึงรู้ว่า
“อ้อหนังสือใหญ่นี้มีไม่มาก มีโลภะ – อยากได้ของเขา 1 โทสะ – คิดทำร้ายเขา 1 โมหะ – หลงไม่รู้จริง 1 เหล่านี้มันเป็นหนังสือใหญ่จริงๆ” ถ้ามันมีโลภะ โทสะ โมหะแล้ว
มันใหญ่ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ตาลืมอยู่ก็มองไม่เห็น
หูดีอยู่ก็ไม่ได้ยินเสียงพูดกับญาติพี่น้องไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักคนใกล้คนไกล
มันเป็นไปได้จริงๆ เพราะหนังสือพวกนี้ มันใหญ่จริงๆ
ไปท่องตำราไปพูดตามตำราไปท่องจำเอาแค่นั้นก็ยังเข้าใจว่าตัวเองเรียนจบหนังสือใหญ่แล้ว
แตที่แท้แล้ว ไปเรียนเอาคำพูดท่านเฉยๆ ที่จริงนั้น กิเลส 3
อย่างที่กล่าวมามันมีอยู่แล้วในใจ จนอัดแน่นเต็มอยู่แล้ว แต่มิได้ตรวจดู
ที่ว่าเรียนจบนั้น มันไม่จบง่ายนักหรอก
ถ้าหากว่า โลภะ โทสะ โมหะ
มันมีอยู่ในใจของสัตว์ทั้งหลายแล้ว มันใหญ่จริงๆไม่มีทางข้ามภพข้ามชาติไปได้เลย
เขาจะทำความชั่วความผิดได้หลายอย่างไม่หวาดกลัว
ไม่สะดุ้งต่อบาปกรรมทำให้คนเป็นเปรตเป็นผีไปได้
ถ้าหากว่าเราละสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว
มันก็ใหญ่จริงๆ อย่างพระบรมศาสดาของเรา และพระพุทธสาวกทั้งหลาย
เป็นผู้ปลดเปลื้องภาระออกไปจากจิตใจได้แล้ว นั่นก็ใหญ่จริงๆ คนมี โลภะ โทสะ โมหะ
นั้นใหญ่ไปในทางที่ไม่ดี ถ้าหากไล่สิ่งที่เป็นสนิมเหล่านั้นออกจากใจได้แล้ว
ก็ใหญ่ไปในทางที่ไม่ดี ถ้าหากไล่สิ่งที่เป็นสนิมเหล่านั้นออกจากใจได้แล้ว
ก็ใหญ่ไปในทางที่ดี อาตมาจึงได่บอกว่ามันเป็นของจริงแท้
แต่มันไม่จริงที่พวเราไม่ได้ทำตามที่ท่านสอนคือไม่ได้พิจารณาให้มันรู้แจ้งชัด
การเบียดเบียนกันทางทรัพย์สิน
ลักของกันอันนี้มันก็ผิด มันเป็นของจริงมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าหากมีใครมาลักของๆเรา
เราก็เกืดความเสียดาย อาจจะตามจับตามฆ่ากันก็ได้ นี่ก็จริงอญู่แล้ว
แต่เราคิดไม่ละเอียดจึงมองไม่เห็น เรื่องธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านี้
มันยังไม่เสื่อมไปไหน ไม่ล้าสมัย มันยังเป็นของทันสมัยอยู่
เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร ไม่ให้นอกใจกัน
การนอกใจกันนั้นมันไม่ดี แม้แต่ลูกศิษย์นอกใจครูบาอาจารย์ก็ไม่ดี
ครูบาอาจารย์นอกใจศิษย์มันก็ไม่ดี ยิ่งถ้าหากผัวนอกใจเมีย เมียนอกใจผัวแล้ว
ก็เป็นเรื่องใหญ่มากเดือดร้อนวุ่นวายมาก เรื่องอย่างนี้มันก็ไม่เก่า
ยังใหม่อยู่เสมอถ้าทำผิดวานนี้ ก็เดือดร้อนวานนี้ ทำวันนี้ก็เดือดร้อนวันนี้
ถ้าทำพรุ่งนี้ ก็ต้องเดือดร้อนพรุ่งนี้ ไม่เชื่อก็ลองดูซิ
มันจะอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร ถ้าหากยังนอกใจกันอยู่จะอยู่ปราสาทก็ไม่มีความสุข
มีเงินเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่มีความสุข นี่แหละมันยังเป็นของใหม่อยู่
ธรรมะนี้มันเป็นของตื้นๆของเห็นอยู่ ของเป็นอยู่นี่แหละ
มุสาวาท พูดไม่จริง พูดเหลวไหล
พูดไม่จริงมันก็ไม่จริงจนถึงทุกวันนี้ ถ้าโกหกวานนี้มันก็เป็นโกหกอยู่นั้นเอง โกหกวันนี้มันก็ผิด
จะโกหกวันพรุ่งนี้ มันก็ไม่ดีอยู่นั้นแหละ กฏอันนี้ก็ยังไม่เสือม
สุราของมึนเมาของมีโทษเมื่อไม่รู้จักประมาณไปดื่มไปเสพเข้า
ก็เกิดโทษ ขาดสติ เกิดเป็นบ้าเป็นบอไม่รู้จักญาติพี่น้องไม่รู้จักดีชั่ว
ไม่รู้จักผิดหรือถูกพวกเราก็คงรู้ๆกันอยู่แล้ว ได้เห็นประจักษ์กับตากับหูมาแล้วโทษ
5 ประการนี้ มันมีอยู่ในโลกของคนผู้ยังหมกมุ่นอยู่ เราก็ควรจะละเว้นเสีย
นี่เป็นเรื่องศีลธรรมเป็นธรรมที่มนุษย์ควรประพฤติ ควรรักษา ถ้าหากขาดศีลธรรมทั้ง 5
ประการนี้แล้ว บ้านเมืองเราก็จะเกิดความเดือดร้อน มิได้อยู่เย็นเป็นสุขเลย ที่เรายังเดือดร้อนอยู่เพราะยังไม่ได้ทำให้ถูกต้องอย่างจริงจัง
โทษทั้ง 5 เหล่านี้ พวกเราได้ยินได้ฟังมาบ่อยๆ จำได้ พูดได้ แต่ยังทำไม่ได้
จึงเกืดความเดือดร้อนเพราะศีลธรรมเป็นเพียงเรื่อง เรื่องศีลธรรมนี้
แม้แต่นักบวชนักพรต ก็ควรศึกษาเข้าให้เข้าใจและปฏิบัติตามให้ถูกต้อง
มันไม่เป็นของยากลำบากอะไร มันยากก็ตรงที่เราตามใจตัวเอง
ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเองไว้ ไม่ทำตามกฏระเบียบของพระพุทธเจ้า
อาตมาว่า ข้อวัตรปฏิบัตรนี้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้สอนไว้พร้อมแล้วทุกอย่าง ที่เราพากันศึกษาเล่าเรียนรู้อยู่
ทั้งนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก
แต่เราขาดการปฏิบัติตามความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้น
มิใช่ว่าจะขาดตำราขาดยุคขาดสมัย ตำรับตำรายังอยู่ เพราะขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง
ต่อมาการนับถือศาสนาเลยกลายเป็นประเพณีไป บวชก็บวชพอเป็นประเพณี
ทำบุญก็ทำบุญพอเป็นประเพณี ทุกอย่างจะเหลือเป็นประเพณีไปแล้ว มันจึงเสื่อมลงๆ
พูดอีกอย่าง ข้อปฏิบัติศีลธรรมทั้งหลาย
เปรียบเหมือนเกลือ สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนก้อนเนื้อ
ถ้าหากว่าเกลือมันเสื่อมคุณภาพ หรือมีน้อยเมื่อไรแล้ว เนื้อก็จะเน่าเท่านั้น
มีน้อยก็เน่าน้อย มีมากก็เน่ามาก
โลกเรานี้ ถ้าหากขาดจากศีลธรรมแล้ว ไม่ไหวไปไม่รอด
จะหมุนเข้าไปใกล้ความพินาศ เหมือนเกลือกับก้อนเนื้อที่มันต้องเน่า เพราะขาดเกลือ
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
การแสดงความเคารพคารวะทั้งหลายนั้น
ก็จะหมดไปสิ้นไป ถ้าปราศจากศีลธรรมแล้ว ลูกกับพ่อแม่ก็ไร้ความหมาย
ครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ก็ไม่มีความหมายภรรยาสามีก็ไร้ความหมายเช่นกัน
มันจะกลับกลายเป็นสภาพอย่างอื่นไป อันนี้มิใช่เรื่องอื่น
เป็นเพราะมนุษย์ขาดจากการปฏิบัติตามศีลธรรมนั่นเอง
คำที่ว่า พระพุทธเจ้า และพระสาวก
ปฏิบัติตรัสรู้ธรรมนั้น พวกเราไปเข้าใจเอาว่า
ท่านไปรู้สิ่งอื่นที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้ สูงเกินไป พวกเราที่เป็นสามัญชนคนธรรมดา
เมื่อเข้าใจดังนี้ จึงไม่มีความสามารถ ที่จะประพฤติปฏิบัติตามข้อวัตรนั้นได้
เกิดความท้อแท้จิตใจอ่อนใจในข้อวัตรปฏิบัติ
ในสมัยก่อนนั้น พระอาจารย์มั่น
พระอาจารย์เสาร์ เทศน์สั่งสอนประชาชน ก็เทศน์เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค
ท่าเจ้าคุณสมเด็จดุเอาว่า
“ธรรมะของจริงของพระอริยเจ้าเอามาเทศน์ทำไม ไม่ควรเอามาเทศน์ให้คนธรรมดาฟัง” นี่เห็นไหมเล่าถึงคราวจะหลง มันไม่ยากหรอก
เพราะไม่เข้าใจว่า อริยสัจ 4 นั้น มันเป็นไม่ได้ง่ายนักหรอก
ให้อุบายแนะให้สัตว์ทั้งหลาย เข้าไปเห็นความจริง เมื่อสัตว์ทั้งหลายเข้าไปเห็นความจริงแล้ว
เขาจึงจะรู้เองเห็นเอง การประกาศธรรมทั้งหลาย ก็ไม่อยากให้ประกาศอริยสัจ 4
อันเป็นความจริง ให้ช่วยกันปกปิดไว้เหมือนกับพระพุทธองค์ตรัสว่า
ให้พิจารณาความเกิดแก่เจ็บตาย มรณัสสติคือความตาย พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาให้รู้
มีอานิสงส์มาก แต่บางคนไม่อยากฟัง ไม่ยอมพูดถึง ใครพูดถึงก็ห้ามไว้ว่า “พูดถึงความตายแล้ว มันหมดสนุก ห้ามพูด”
ให้พูดถึงแต่เรื่องอื่น เรืองที่มันพามัวเมา หลงระเริง ไปตามกิเลสตัณหา
คนที่ไม่อยากเห็นงูแต่พอไปเหยียบงูเข้า ก็ร้องลั่นกลัวตาย
นี่เป็นความเข้าใจผิดของคนเราโดยมาก
การบำเพ็ญบุญวันนี้ก็เหมือนกัน
ให้ทำความเข้าใจคำว่าบุญ บางทีเข้าใจผิด เห็นคนมาร่วมมากๆก็เข้าใจว่าเป็นบุญ
เห็นคนมาน้อยก็เข้าใจว่าไม่เป็นบุญ ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น บุญมิได้เกี่ยวกับความน้อยความมากของจำนวนคนหรือสิ่งของ
ถ้าหากทำถูกต้องตามคำสอนตามความเป็นจริงแล้ว
ก็เป็นบุญทั้งนั้นเหมือนกับเราไปดูลิงนั่นแหละ ไปดูน้อยคนก็เห็นลิง
ไปดูมากคนก็เห็นลิง ไม่มีใครไปดูเลยมันก็เป็นลิงของมันอยู่
มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น ฉะนั้น
เรื่องบุญก็เช่นกันไม่ได้อยู่กับจำนวนน้อยหรือมาก คนมากสร้างความผิดก็มีอยู่
สร้างความถูกต้องก็มีอยู่ มันไม่แน่นอน ที่แน่นอนก็ตรงที่เป็นความจริง
เป็นความถูกต้องตามคำสอนของพระพพุทธเจ้าเท่านั้น
เช่นเราพากันมาทำบุญกฐินวันนี้
ได้ทำบุญแล้วก็ดีใจ ถ้าหากได้นำมหรสพ ดนตรี มาฉลองหมดเงินหมดทองไปหลายพันหลายหมื่น
ก็นึกดีใจ เราทำบุญแล้วไม่ได้พิจารณาหาเหตุผล ไม่เอาสิ่งที่ควรจะเอา
ไม่ยอมละวางสิ่งที่ควรละวาง ก่อนจะทำบุญก็ทำความผิดเวลาทำบุญก็มาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นความผิดความเดือดร้อน
เราต้องฟัง คำว่าบุญนั่นน่ะ ถ้าเป็นบุญ มันก็ไม่เป็นบาป ถ้าถูกต้องมันก็ไม่ใช่ผิด
การทำบุญแต่ละครั้งสิ้นเปลืองมาก สิ้นเปลืองของภายนอก หมดสัตว์ไปหลายตัว
หมดเหล้าไปหลายลัง หมดสิ่งของไปหลายอย่าง เราไม่ได้พิจารณา
มันเป็นการทำบุญนอกพระพุทธศาสนา อาตมาพูดไปก็ขัดใจคนที่ยังไม่เข้าใจ
ถ้าเขาเข้าใจแล้วก็ทำผิดไม่ได้
เราเคยคิดไหมว่า บุญที่เราจะได้รับมันคืออะไรอยู่ที่ไหน
บุญนั้นก็คือความสุขที่ปราศจากโทษ มันอยู่ที่จิตใจของเราเอง ถ้าหากใจเราไม่เป็นบุญ
ใจไม่เลิกละคว่มผิดออกไป ใจไม่ยอมละความชั่ว ความดีเข้ามาได้อย่างไร
ไม่มีทางเข้ามาได้
การทำบุญกุศลก็เพื่อละกิเลส
เพื่อสำรอกกิเลสเพื่อละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง เพื่อถอนความสกปรกความไม่ดี ออกจากใจตัวเองต่างหาก
มันไม่ใช่เรื่องร่าเริงสนุกเฮฮา เรื่องบุญคือเรื่องของความสงบระงับ บุญกุศลนั้น
มันมิได้อยู่ ที่หมอน ที่สาด ที่เสื่อ มิได้อยู่ที่ผ้า
เพราะว่าคนมีสิ่งเหล่านี้แล้วยังฆ่ากัน ยังลักของกัน ยังด่ากัน
ยังเบียดเบียนกันอยู่
พูดง่ายๆบุญก็คือ การเอาวัสดุต่างๆมาให้คนอื่น
เพื่อลดละความอยากของตนให้น้อยลง ไม่เบียดเบียน ไม่ลักของคนอื่น ไม่อิจฉา ไม่ริษยา
พี่ป้าน้าอาทั้งหลาย การทำบุญก็เพื่อบรรเทาความชั่วออกจากใจ
มิใช่ว่าของที่จะเอาออกก็เอาออกแต่ของที่ขนเข้าก็ยังขนเข้าไว้ในใจอยู่
มันเหมือนกับการเดินทางเดินหน้าหนึ่งก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวมันจะไปถึงไหนกันเล่า
มันจะถึงที่หมายกันได้อย่างไร อย่างนี้มันไม่ถึงหรอก
เรื่องพระศาสนานี้ เป็นเรื่องของจิตใจ
ไม่ใช่เรื่องอย่างอื่น ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเรื่องของจิตใจ แม้คนเราจะคืดผิดหรือคิดถูกก็ให้รู้
เรื่องบุญนั้นจะได้มากหรือน้อยก็ให้ดูที่ใจเรา ถ้าให้ทานของมากๆ
แต่กิเลสเรายังละไม้ได้ ก็หมายความว่า ทุกข์มันยังไม่หมดทำบุญเพื่อลดละความโลภ
ความโกรธ ความหลง ให้เบาบางลง นี่เป็นการสร้างบารมีของเรา เรียกว่า ทานมัย
เรื่องการสร้างบุญกฐินนั้น
เป็นเรื่องถวายผ้าและสิ่งของแก่ภิกษุสงฆ์ ที่มีจำพรรษาอยู่ในอาวาส 5 รูปขึ้นไป
ใครมีมากทำมากใครมีน้อยทำน้อย พูดถึงผ้ากฐินนั้นไม่ยาก
เขามาทอดผ้าบังสุกุลภิกษุชวนกันทำเอาเองก็ได้ ถ้าไม่ต้องการอานิสงส์
(ข้อผ่อนผันทางวินัย 5 ข้อ)
ดังนั้น การกระทำบุญกฐินที่วัดป่าพงนี้
และสาขาของวัดป่าพงนั้น ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด ต้องการจิตใจของญาติโยม
ให้มีความรู้ความเห็นให้ถูก ตัวการก็คือจิตใจคน เพราะจิตใจของคนเรานั้น
พระบรมศาสดาตรัสว่า ทุกข์ทั้งหลาย โทษทั้งหลาย นั่นมันเกิดที่ใจ
ไม่มีอะไรที่จะร้ายแรงเท่าจิตใจมีความเห็นผิด
ความเห็นผิดนี่มันร้ายแรงกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้น
ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่าความเห็นถูกต้อง พระศาสดาต้องการจะน้อมนำใจสัตว์ทั้งหลาย
ส่งเข้าไปที่ความเห็นถูกความเห็นชอบเรียกว่ามรรค
พวกเราพากันนับถือพระพุทธศาสนามาหลายพันปีแล้ว มันเสื่อมหรือมันเจริญ
เคยพิจารณาไหม หรือสักแต่ว่าทำๆไปเท่านั้น เช่นเรากล่าวว่า พุทํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นที่พึ่งที่ท่านพระศาสดาให้ถึงนั้น ท่านสอนให้เราสนใจในตัวเอง
อย่าสนใจในของนอกตัว
อันความสุขหรือทุกข์ที่เกิดในอดีต
ในอนาคตหรือปัจจุบันนั้น มันเป็นกฏธรรมชาติธรรมดา มันเป็นกฏของกรรมที่เราได้ทำไว้
ได้บำเพ็ญไว้ ก็อยู่ที่การกระทำคือกรรม
เมื่อเรายังไม่เข้าใจมันจึงเกิดความยุ่งยากลำบาก
การเรียนรู้พุทธศาสนานี้
บางคนเรียนแต่ด้านนอกเรียนเวทมนต์กลคาถาต่างๆนานา
เพื่อให้อยู่ยงคงกะพันไปตามเรื่อง ส่วนการนับถือต้นไม้ ภูเขา จอมปลวกก้อนหินต่างๆ
ว่าเป็นที่พึ่ง ไปพึ่งของภายนอก ซึ่งมันไม่เป็นสาระประโยชน์อะไรเลย
มันเป็นเพียงการอ้อนวอนตามความคิดผิดๆ
เจ็บไข้ได้ป่วยมาก็ไปอ้อนวอนเพื่อให้หายจากป่วยไข้ ไปหาหมอดู ไม่ได้ไปปรึกษาหมอยา
ปรึกษาแพทย์นั้นมันมีเหตุผล แพทย์จะได้ค้นหาสมุฏฐานของโรคที่เป็น
แล้วก็จัดการรักษาให้ยาส่วนหมอดูนั้นก็จะบอกไปตามปะสาว่าวันไม่ดีเดือนไม่ดีปีไม่ดี
ให้สะเดาะเคราะห์ผูกดวง รดน้ำมนต์ ไปอย่างนั้นแหละ ยิ่งทำก็ยิ่งฉลาดน้อยลง
ถ้าวันเดือนปีไม่ดี ก็พากันเอาทิ้งเสียสิ อย่าไปใช้มันเลย ความจริงแล้ว
วันเดือนปีมันก็อยู่แค่นั้นแหละ มันไม่ดีไม่ร้ายอะไร
แต่จะดีร้ายเพียงใดก็อยู่ที่คนเอาเวลานั้นไปสร้างกรรม
แล้วผลของกรรมก็ตามมาสนองเขาผู้ทำไว้นั้นๆ
การบวชนาค ถึงคราวเราพากันบวชนาค
บวชเป็นพระแล้วก็ยังมาทำบายศรีสู่ขวัญอีก ให้โยมมาบายศรีให้พระ
อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำ แต่เราชอบทำกันนัก ถ้าได้ทำแล้วก็สบายใจ
ของเล็กๆน้อยๆเหล่านี้แหละ มันเป็นเหตุให้เห็นผิดเป็นถูก เมื่อเราทำอย่างนั้น
ชื่อว่าไม่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้าไม่ให้นับถือสิ่งเหล่านั้น
มัวไปถือว่า สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นไม่ดี วันนั้นดี วันนั้นไม่ดี ไปดูแต่ของภายนอก ไม่ได้ตรวจดูตัวเอง
ไม่ได้ดูในใจของตัวเอง
เวลาปลูกบ้าน ก็หาฤกษ์หายาม ไปถามอาตมาว่า
วันไหนดี อาตมาบอกว่า มันดีทุกวัน ถ้าอุปกรณ์ไม่มี ช่างก็ไม่มีทำงานให้
วันนั้นไม่ดีเลย บางคนจะเดินทางไกลก็เลือกหาวันดี วันไม่ดี มาถามอาตมา
อาตมาก็บอกว่า ถ้าวันไหนเรามีเงิน คู่ครองก็อนุญาต วันนั้นเดินทางดี
เงินไม่มีแม่บ้านก็ไม่อนุญาต วันนั้นไม่ดี
ไม่เป็นมงคลเลยอาตมาบอกอย่างนี้บางคนก็ไม่ชอบใจ
คนสมัยนี้ ชอบพูดว่า คนนั้นไม่ทันสมัย
คนนี้ไม่ทันสมัย ไม่ทราบว่าเป็นสมัยอะไรของเขา สมัยสบายหรือสมัยวุ่นวาย
บางคนชอบพูดว่า พระป่าชอบใช้สีแก่นไม้ขนุน เพราะสมัยก่อนไม่มีสีย้อม
เวลาฉันก็ฉันในบาตรเพรไม่มีถ้วยชามใช้ แต่เดี๋ยวนี้ ทันสมัยแล้ว ของใช้มีเยอะแยะ
ไม่ต้องฉันในบาตรก็ได้ ฟังเขาพูดเถอะ พูดไปตามความคิด ไม่ได้พิจารณาให้ถ่องแท้
เพราะเป็นเช่นนี้เอง ระเบียบกฏเกณฑ์ วินัย ที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้จึงเลอะเลือน
ถูกกลบเกลื่อนไปจากเดิม เพราะเราตีความหมายเอาตามใจชอบ
เมื่อเราเข้าวัดตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว
ก็ยังมีบุคคลบางคนล้อเลียนว่า “เป็นคนแก่ เจ้าธัมมะธัมโม” ก็เลยละอายไม่อยากไปอีก
จะอายไปทำไม เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมมันผิดอะไร มันผิดตรงไหน พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องความละอายความกลัวไว้
แต่ท่านมิได้สอนให้อายอย่างนี้ ท่านสอนให้ละอายต่อความชั่วความผิดอันจะนำชีวิตไปสู่ความเดือดร้อนเสียหาย
ให้กลัวผลของความชั่วความผิดที่จะตามมาให้โทษ ทุกข์ เวรภัย แก่ตนเอง ท่านให้ละอาย
ให้กลัวอย่างนี้ การกระทำความดีมีประโยชน์ การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม
มันเป็นความดีไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ ดีใจสบายใจ
จึงจะถูก เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรจะสนใจ
พระพุทธองค์สอนให้มีความเชื่อ
ก็ให้เชื่อพระธรรมคำสอนของท่าน เชื่อความจริง เชื่อเหตู เชื่อผล
ต้องพิจารณาไตร่ตรองให้ดี อย่าไปเชื่อมงคลตื่นข่าว เชื่อลมๆแล้งๆ
ไม่มีเหตุผลเพียงพอ เชื่อตามคำ ทำตามเขา ไปตามเขาก็เลยกลายเป็นรเหมือนควาย
ที่ถูกเขาจูงจมูกถ้าเขาร้อยจมูกได้แล้ว เสร็จเลย
แล้วแต่เขาจะจูงไปทางไหนจูงไปกินเหล้า จูงไปเล่นการพนัน
จูงไปเที่ยวกลางคืนและจูงไปทำชั่วทำผิดอีกหลายอย่าง แล้วผลของการกระทำก็ตามมา
ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่เฉพาะแต่ตัวผู้ทำเท่านั้น
แม้แต่พ่อแม่และญาติพี่น้องก็พลอยเดือดร้อนวุ่นวายไปด้วย
เสียเงินเสียทรัพย์สินเสียเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นอันกล่าวได้ว่า
เราทำผิดทำชั่วคนเดียวเพราะถูกจูงจมูก แต่ผลลัพธ์ออกมา ขยายเป็นวงกว้างออกไป
ถึงวงศาคณาญาติอีกด้วย
ฉะนั้น
เราควรหันเข้าหาการปฏิบัติธรรมเดินจงกรม นั่งสมาธิ อบรมจิตใจของตน
อย่าประมาทอย่าปล่อยให้คนอื่นหรือกิเลสตัณหาราคะจูงเราได้ เมื่อใจถูกอบรม
มีกำลังดีแล้ว ใจก็จะมีภูมิต้านทานเพียงพอ กิเลสตัณหาจะพ่ายแพ้
ไม่สามารถมาจูงเราได้ถ้ากำลังเราน้อย กำลังใจอ่อน กิเลสก็จะเข้ามาแทรกซ้อน
เข้าทับถม ชักจูงไปตามเส้นทงสู่ความเลวร้ายทั้งหลาย
จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องรีบสร้างวัดใหม่ขึ้นในใจ สร้างคุณธรรมไว้ในใจ
เอาข้อวัตรปฏิบัติของพระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์สาวกมาเป็นหลัก ทำตามท่านอบรม จิตใจ
กาย และวาจาของตน ให้เจริญก้าวหน้า จึงจะได้ชื่อว่าได้ทำบุญที่แท้ ทำกุศลที่จริง ทั้งชายและหญิง
เชิ่ว่าเราทั้งหลายได้ร่วมกันสร้างวัดใหม่ขึ้นภายในของตน ย่อมเกิดผลเป็นสุข
ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป และเป็นตัวอย่างที่ดีของลูกหลานในภายหลัง
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
การบำรุงพระพุทธศาสนานั้นมีสองประการ
หนึ่งอามิสบูชา คือปัจัย 4 ได้แก่จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช
นี่บำรุงพรพุทธศาสนาโดยการบำรุงผู้ที่จะปฏิบัติตามพระพุทธศาสนา ให้มีความเป็นอยู่ได้แล้วถ่ายทอดออกไปถึงการปฏิบัติ
ส่วนการปฏิบัติก็ถ่ายทอดออกไปถึงข้อปฏิบัติตามความเป็นจริงให้พรพุทธศาสนาเจริญยิ่งขึ้น
เหมือนกันกับต้นไม้ต้นหนึ่ง มันมีราก โคน ลำต้น ใบ ใบทุกใบ กิ่งทุกกิ่ง ทั้งลำต้น
อาศัยรากดูดกินอาหารส่งขึ้นไปหล่อเลี้ยง
ต้นไม้ก็อาศัยรากเป็นเค้ามูลเอาอาหารไปหล่อเลี้ยง
เรานี้ก็เหมือนกัน ทั้งกายทั้งวาจานี้
หรืออายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่เปรียบเหมือนกิ่ง ก้าน ลำต้น
ใจเปรียบเป็นรากสำหรับดูดกินอาหารแล้วก็แบ่งขึ้นสู่ลำต้น แบ่งไปหากิ่ง หาใบ ให้เป็นดอกออกผล
จิตของเรานี้ถ้ามันตั้งอยู่ในสภาพใด
เช่นว่ามันตั้งอยู่ในความถูกต้องหรือว่าตั้งอยู่ในความเห็นผิด
ก็แสดงความเห็นผิดไปถึงสุดขีดของมัน ความเห็นถูกก็แสดงออกไปถึงที่สุด คือ ทางกาย และวาจาของเราเหมือนกัน
ฉะนั้น
การบำรุงพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัตินี้จึงสำคัญมาก โดยตรงเข้าไป ไม่มีอะไร
มีแต่ข้อวัตร ตรงไปตรงมา เช่น เราสมาทานศีลทุกวัน พระท่านก็บอกสิ่งที่ผิดทุกวัน
พระให้พากันสมาทาน แต่ถ้าสมาทานเฉยๆไม่ได้ภาวนาไม่ได้พิจารณาตามเหตุผล มันก็เป็นไปได้ยาก
หาข้อประพฤติปฏิบัติไม่ได้ การบำรุงพระพุทธศาสนานีก็บำรุง อย่างนั้น คือ
ปฏิบัติบูชา คือการปฏิบัติให้มันเป็นศีลจริง ให้เป็สมาธิจริง ให้เป็นปัญญาจริง
มันจึงจะรู้เรื่อง ถ้าไม่รู้โดยการปฏิบัติ ไม่รู้เรื่องพระพุทธศาสนา
ถึงจะเรียนจบพระไตรปิฎกก็ยังไม่รู้จัก
ในสมัยก่อนครั้งพุทธกาล
มีสาวกองค์หนึ่งชื่อว่าตุจโฉโปฏฐิละ ตุจโฉโปฏฐิละนี้มีปัญญามาก แตกฉานในคัมภีร์
แตกฉานในพระไตรปิฎก มีวัดสาขาตั้ง 18 แห่ง เป็นครูเป็นอาจารย์
จนประชาชนศิษยานุศิษย์ทั้งหลายนับหน้าถือตาโดยทั่วถึง ถ้าใครได้ยินชื่อว่า
ตุจโฉโปฏฐิละก็กลัวเกรง ไม่กล้าพูดไม่กล้าเถียง เมื่อท่านอธิบายธรรมะกลัวอำนาจ
ที่ท่านได้เรียนมากจนแตกฉานในพระไตรปิฎก ฉะนั่น ท่านตุจโฉโปฏฐิละ
จึงเป็นะระเถระผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งพุทธกาลเพราะการเรียน
วันหนึ่งท่านไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า
ขณะท่านกำลังกราบลงสาธุการ พระพุทธองค์ตรัสว่า “มาแล้วหรือพระใบลานเปล่า?”
...ซึ้งในใจ ก็เลยพูดกันไป
พอท่านจบประโยคพอสมควรแล้ว จะลาพระพุทธองค์กลับวัด... “กลับอาวาสแล้วหรือ
พระใบลานเปล่า?” พระพุทธองค์ตรัสแค่คำนั้น...มาก็ “มาแล้วหรือพระใบลานเปล่า?” จะกลับก็ “กลับแล้วหรือพระใบลานเปล่า?” ไม่ได้หน้าได้หลังท่านเทศน์อยู่เท่านั้น
ตุจโฉโ)ฏฐิละเป็นอาจารย์ใหญ่ ก็คิดในใจว่า
“เอ...ทำไมพระพุทธองค์จึงรับสั่งอย่างนั้น? เป็นอะไรหนอ..”
คิดไปคิดมาคิดตามการศึกษา ย้อนไปพิจารณาไป จนเห็นว่า “เออ..มันจริงที่พระองค์ว่า
พระใบลานเปล่า” คือพระเรียนเฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติ
เมื่อมาดูจิตใจของตนก็เหมือนกับฆราวาส ฆราวาสอยากได้อะไรก็อยาดได้เหมือนเขา
ฆราวาสยินดีอย่างไร เราก็ยินดีอย่างเขา ความเป็นสมณะไม่มี
ไม่มีธรรมะอันซึ้งบังเกิดขึ้นในจิตใจที่จะมาข่มจิตของตน
ให้สงบระงับด้วยการอบรมทั้งหลายได้ จึงเกิดความสนใจอยากจะออกปฏิบัติ
แต่ว่าการออกปฏิยัตินั้นไม่มทางที่จะไป ไปหาอาจาย์นั่นอาจารย์นี่
ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งหมด เขาก็เลยไม่รับ ธรรมดาคนเราเห็นครูบาอาจารย์
ก็เคารพเกรงกลัวไม่กล้าพูด ก็เลยไม่กล้ารับให้ท่านมาปฏิบติด้วย ไปสำนักผู้ใดก็ตาม
ไม่กล้ารับ ท่านมีความรู้มากมีปัญญามาก ใครๆก็ไม่กล้าตักเตือน ไม่กล้าสอน
ถึงแม้ว่าท่านนั้งอยู่ที่นั้นจะเทศนาว่ากล่าวก็ยังเกรงกลัวอำนาจของท่าน
ท่านจึงไปหาสามเณรนน้อย ซึ่งเป็นอริยบุคคล
ท่านตุจโฉโปฏฐิละก็ไปขอปฏิบัติกับเณรน้อย เณรบอกว่า “พระคุณเจ้าจะมาปฏิบัติกับผม
ถ้าทำจริงก็มาได้ แต่ถ้าทำไม่จริงมาไม่ได้”
ตุจโฉโปฏฐิละจึงมอบกายถวายชีวิต
สามเณรให้ห่มผ้า เมื่อห่มผ้าเรียบร้อยแล้วเผอิญมีสระน้ำอยู่ใกล้ๆที่เป็นเลน
เณรก็บอกว่า “เอ้า ให้วิ่งลงไปในสระน้ำนี่ วิ่งลงไป ถ้ายังไม่บอกให้หยุดอย่าหยุดนะ
ถ้ายังไม่บอกให้ขึ้นอย่าขึ้นนะ...เอ้า...วิ่ง”
ตุจโฉโปฏฐิละห่มผ้าดีๆ แล้วก็วิ่งลงไปสระน้ำต่ำลงๆๆ
เณรน้อยไม่ได้บอกให้หยุด ท่านก็ลงไปจนตัวเปียกหมด เปื้อนตมและขี้เลนหมด
สามเณรก็บอก “เอาละ หยุดได้” ท่านจึงหยุด สามเณรว่า “เอาละ ขึ้นมา”
ท่านจึงขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าท่านละทิฏฐิของท่านแล้วจึงยอมรับ
ถ้าไม่ยอมรับจะไม่ยอมลงขี้เลนหรอกคนผู้ใหญ่ขนาดนั้น
แต่ว่าท่านยอมไปสามเณรเห็นแล้วรู้อุปนิสัยแล้วว่าตุจโฉโปฏฐิละเอาจริง
เมื่อท่านขึ้นมาแล้วสามเณรจึงสอนให้โดยใช้วิธีกำหนดอารมณ์จับอารมณ์
ให้รู้จักจิตของตน ให้รู้จักอารมณ์ของตน เณรก็ยกอุบายอันหนึ่งขึ้นว่า
ให้ใช้วิธีที่บุรุษทั้งหลายจะจับเหี้ย เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปในโพรงจอมปลวกซึ่งมีรูอยู่หกรู
ถ้าเหี้ยเข้าในที่นั้น จะทำอย่างไรเราจึงจะจับมันได้
จะต้องปิดไว้สักห้ารูเอาอะไรมาปิดมันไว้ให้เหลือแค่รูเดียวสำหรับให้เหี้ยออก
นอกนั้นปิดไว้หมด แล้วให้นั่งจ้องมองอยู่ที่รูนั้น ครั้นเหี้ยวิ่งออกมาก็จับ
อันนี้ฉันใด การกำหนดจิตก็ฉันนั้น ตาก็ปิดไว้ หูก็ปิดไว้ จมูกก็ปิดไว้
ลิ้นก็ปิดไว้ กายก็ปิดไว้ เหลือแค่จิตอันเดียว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันไว้
คือสำรวมสังวร ให้กำหนดจิตอย่างเดียว
การภาวนาก็เหมือนกันกับบุรุษจับเหี้ย อย่างเราจะกำหนดลมหายใจให้มีสติ
สติ คือ ความระมัดระวังรู้อยู่ว่าเดี่ยวนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ สัมปชัญญะ คือ
รู้ตัวว่าเรากำลังทำอันนั้นอยู่
ผู้รู้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่ให้กำหนดลมหายใจเข้าด้วยการมีสติ – ความระลึกได้
สัมปชัญญะ – ความรู้ตัว
การที่ว่าระลึกได้ คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต
ไม่ใช่การที่เราไปศึกษาที่ไหนมา ให้รู้จักแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา
จิตมันอยู่เฉยๆมันก็มีความรู้สึกขึ้นมา อันนี้แหละเป็นความรู้สึก
สติที่ควบคู่กันกับความรู้สึกมีสติอยู่ คือความระลึกได้ว่า เราพูดอยู่
หรือเราทำอยู่ หรือเราไปเดินอยู่ หรือเรานั่งอยู่ จะไปจะมาก็รู้ นั่นเรียกว่า
สติระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวว่า บัดนี้เรากำลังเดินอยู่ เรานอนอยู่
เรารับอารมณิอะไรอยู่เดี่ยวนี้ สองอย่างนี้ ทั้งสติความระลึกได้
และสัมปชัญญะความรู้ตัวในการที่เราระลึกได้อยู่เสมอกัน
เราก็สามารถรู้ใจของเราว่าในเวลานี้มันคิดอย่างไร เมื่อถูกอารมณ์ชนิดนั้นมา มันคิดอย่างไร
อันนั้นเราจะรู้จัก
ผู้ที่รับรู้อารมณ์นั้น คือ ตัวจิต อารมณ์
คือสภาวะที่มันจรเข้ามา เช่น มีเสียง อย่างเสียงเขาไสกบ อยู่นี่ มันเข้าทงหูแล้ว
จิตก็รับรู้ว่าเสียงกบ นั่นผู้ที่รับรู้อารมณ์รับรู้เสียงกบนั้น เรียกว่าจิต
ที่นี่จิตที่รับรู้นี่เป็นจิตที่หยาบๆ เป็นจิตที่ปกติของจิต
บางทเรานั่งฟังเสียงกบอยู่รำคาญในความรู้สึกของผู้ที่รับรู้
เราจะต้องอบรมผู้ที่รับรู้นั้นให้มันรู้ตามเป็นจริงอีกทีหนึ่ง ที่เรียกว่าพุทโธ
ถ้าหากว่าเราไม่รู้แจ้งตามเป็นจริงเราอาจจะรำคาญในเสียงคนหรือเสียงรถหรือเสียงกบ
มีแต่จิตเฉยๆรับรู้ว่ารำคาญรู้ตามสัญญา ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง
เราจะต้องให้มันรู้ในญาณทัศนะ คือ
อำนาจของจิตที่ละเอียดให้รู้ว่าเสียงกบที่ดังอยู่นั้น ก็สักแต่ว่าเสียงเฉยๆ
ถ้าหากว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็น่ารำคาญอะไร เสียงก็ดังของมันไปเราก็นั่งรับรู้ไป
อันนั้นก็เรียกว่ารู้ถึงอารมณ์ขึ้นมา นี่ถ้าหากว่าเราภาวนาพุทโธ
มีความรู้แจ้งในเสียงกบ เสียงกบนั้นไม่ได้มากวนใคร มันก็ดังอยู่ตามสภาวะ
เสียงนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา เรียกว่าเสียงเท่านั้น
มันก็ทิ้งไป วางไป
ถ้ารู้อย่างนี้ คือจิตรู้โดยสภาวะที่รียกว่า
พุทโธ คือ ความรู้แจ้งตลอดเบิกบาน รู้ตามความเป็นจริง
เสียงก็ปล่อยไปตามเรื่องของเสียงไม่ได้รบกวนใคร นอกจากกเราจะไปยึดมั่นว่า
“เออ...เรารำคาญไม่อยากจะได้ยินคนพูดอย่างนั้นมิอยากได้ยินเสียงอย่างนั้น” ก็เลยเกิดทุกข์ขึ้นมา นี่เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมา
เหตุที่มีทุกข์ขึ้นมาก็เพราะอะไร ก็เพราะเราไม่รู้จักเรื่องตามความจริง
ยังไม่ได้ภาวนาพุทโธ ยังไม่เบิกบาน ยังไม่ตื่น ยังไม่รู้จัก มีแต่เฉพาะจิตล้วนๆ
ที่ยังไม่บริสุทธิ เป็นจิตที่ใช้การงานอะไรยังไม่ได้เต็มที่
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้ฝึกหัด
ฝึกจิตนี้ให้มีกำลัง การทำจิตให้มีกำลังกับการทำกายให้มีกำลังมีลักษณะอันเดียวกัน
ตามีวิธีการต่างกัน การฝึก กำลังกายเราต้องเคลื่อนไหวอวัยวะ
มีการนวดกายเหยียดกายเช่น วิ่งตอนเช้าตอนเย็นเป็นต้น นี่เรียกว่า ออกกำลังกาย
กายนั้นก็จะมีกำลังขึ้นมา จะคล่องแคล่วขึ้นมาเลือดลมจะมีกำลังวิ่งไปมาสะดวกตามเส้นประสาทต่างๆได้
กายจะมีกำลังดีกว่าเมื่อไม่ได้ฝึก
แต่การฝึกจิตให้มีกำลัง
ไม่ใช่ให้มันวิ่งให้มันเคลื่อนไหวอย่างกับการออกกำลังกาย คือ ทำจิตให้มันหยุด
ทำจิตให้มันพักผ่อน เช่น เราทำสมาธิยกอารมณ์อันใดอันหนึ่งขึ้นมา เช่น อานาปานสติ
ลมหายใจเข้าออก อันนี้เป็นรากฐาน เป็นเป้าหมายในการเพ่งในการพิจารณาเราก็
กำหนดลมหายใจ การกำหนด ก็คือ การรู้ตามลมนั่นเอง กำหนดลมเข้าแล้วกำหนดลมออก
กำหนดให้รู้ระยะของลม ให้มีความรู้อยู่ในลม
ตามรู้ลมเข้าออกสบายแล้วพยายามปล่อยสิ่งทั้งหลายออก
จิตของเราก็มีกำลังเพราะว่ามีอารมณ์เดียว ถ้าหากว่าเราปล่อยให้จิตคิดอย่างนั้นอย่างนี้สารพัด
มีหลายอารมณ์ มันไม่รวมเป็นอารมณ์เดียว จิตเราก็จะหยุดไม่ได้
ที่ว่าจิตหยุดได้นั้นก็คือหยุดในความรู้สึก ไม่คิดแล่นไปทั่ว เช่น
เรามีมีดเล่มหนึ่งที่เราลับไว้ดีแล้ว แล้วมัวแต่ฟันหินฟันอิฐฟันหญ้าไปทั่ว
ถ้าเราฟันไม่เลือกอย่างนี้ มีดเราก็จะหมดความคม
เราจึงต้องฟันแต่สิ่งที่จะเกิดประโยชน์ จิตนี้ก็เหมือนกัน
ถ้าเราปล่อยให้จิตแล่นไปในสิ่งที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ ก็จะไม่ได้ปล่อยอะไรจิตนั้นจะไม่มีกำลัง
ไม่ได้พักผ่อน ถ้าจิตไม่มีกำลัง ปัญญามันก็ไม่เกิด จิตไม่มีกำลังคือ จิตที่ไม่มีสมาธิเลย
ถ้าจิตไม่ได้หยุดจะเห็นอารมณ์นั้นไม่ได้ชัดเจน
ถ้าเรารู้จักว่าจิตนี้เป็นจิต อารมณ์เป็นอารมณ์
นี่คือหัวข้อแรกที่จะตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมาได้
นี้คือตัวศาสนาเราบำรุงจิตนี้เกิดขึ้น
เป็นลักษณะของการปฏิบัติให้เป็นสมถะให้เป็นวิปัสสนา รวมกันเข้าเป็นสมถะวิปัสสนา
เป็นข้อปฏิบัติ มาบำรุงจิตให้มีศีลธรรมให้จิตได้หยุด ให้จิตได้เกิดปัญญา
ให้รู้เท่าตามความเป็นจริงของมัน ถ้าพูดตามความเป็นจริง
อย่างที่ว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ กิริยาที่เราอยู่ กิริยาที่เรากิน
กิริยาที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ เราก็เหมือนกันกับเด็กน้อย
เด็กน้อยมันไม่รู้เรื่องอะไร ถ้าผู้ใหญ่มามองดูกิริยาของเด็ก การเล่นการกระโดดนั้น
มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร จิตเราที่ไม่ได้ฝึกก็เหมือนกัน เป็นจิตที่ไม่มีกำลัง
จะพูดก็ไม่มีสติการกระทำก็ไม่มีปัญญา เสื่อมไม่น้อย
จิตที่เราไม่รู้จักจะเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น จึงควรฝึกจิตของเรา
พระพุทธเจ้าตรัสว่าฝึกจิตอันนี้อบรมจิตอันนี้ให้มาก
ถึงแม้ว่าเราบำรุงพระพุทธศาสนาด้วยปัจจัย 4
ปัจจัยลาภทั้งหลายก็จริงก็เป็นเพียงสิ่งที่ผิวเผิน เป็นเศษเปลือกๆเป็นแต่กระพี้
การบำรุงพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น ก็คือการปฏิบัตินี่เองไม่มีอันอื่นไกลอะไร
ที่เราฝึกอยู่นี่ ฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกจิตของเรานี้ เรียกว่าข้อประพฤติปฏิบัติ
แล้วมันจะถ่ายทอดไปหลายๆแห่ง ถ้าหากว่าคนเรา มีความซื่อสัตย์ มีความสุจริต
มีศีลธรรม การประพฤติปฏิบัติในกาลอนาคตมันก็เจริญทั้งนั้นแหละ ไม่มีเรื่องอิจฉา
ไม่มีเรื่องพยาบาท ศาสนาก็สอนให้เป็นอย่างนั้น ให้เข้าใจอย่างนั้น
เหมือนกับพวกเราทั้งหลายสมาทานศีลกัน
นี่เองไม่ใช่โดยลักษณะที่ทำตามประเพณีรับศีลเฉยๆ
สิ่งที่ท่านแนะนำสั่งสอนนั้นมันเป็นเรื่องจริง
ถึงพูดเราก็พูดได้ถึงเรียนเราก็เรียนได้ ถึงว่าเราก็ว่าได้ ยังเหลือแต่การปฏิบัติเท่านั้น
เราจึงยังไม่รู้เรื่อง
ถ้าหากว่าการปฏิบัติ คือ
ปฏิบัติบูชานี้ไม่เกิดขึ้นเมื่อไร มันก็จะทำให้เราไม่เข้าถึง พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ตลอดชีวิต หลายๆชีวิตก็ได้
หรือจะพูดง่ายๆว่าจะไม่รู้เรื่องหลักพระพุทธศาสนานี้เลยก็ได้
คล้ายกับผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่เขาเล่าว่ามันหวานหรือเปรี้ยวหรือมัน เมื่อไม่ได้กิน
จะยังไม่เกิดประโยชน์โดยสมบูรณ์ ถึงแม้มันจะเป็นพันธุ์ที่ดีก็ตามเถอะ
เราไม่รู้เรื่อง ถ้าเราไม่รู้จักผลไม้ตามความเป็นจริง
เรื่องพระพทธศาสนานี้ก็เหมือนกัน
เราขาดจากการภาวนาเราไม่รู้เรื่องทานไม่รู้เรื่องศีล ไม่รู้เรื่องภาวนา
ฉะนั้น การปฏิบัตินี้จึงเป็นกุญแจ
กุญแจภาวนาแม่กุญแจนั้นจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ รถือลูกกุญแจมันไว้ในมือเรา
ถึงมันจะปิดแน่นเท่าไรก็ช่าง
ถ้าเร้เอาลูกกุญแจไปเปิดเมื่อไรก็สำเร็จประโยชน์เมื่อนั่น
ถ้าหากว่ากุญแจไม่มีลูกก็ไม่มีประโยชน์อะไร ของอยู่ภายในลังเราก็เอาไม่ได้
อันนี้เหมือนกันฉันนั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้
ความรู้มีสองอย่าง
คนที่รู้จักธรรมะนั้นท่านไม่ได้เอาความจำมาพูด แต่ท่านเอาความจริงมาพูด
คนทางโลกก็เอาความจำมาพูดกัน และก็พูดในแง่ที่ว่ายกหูชูหางขึ้นไป เช่น
เราพรากกันมานานแล้วไปอยู่ต่างประเทศกันหรืออยู่ต่างจังหวัดกันมานาน
อีกวันหนึ่งขึ้นรถก็บังเอิญพบกันเข้า “แหม ผมดีใจเหลือเกิน
ผมนึกว่าจะไปเยี่ยมคุณอยู้เร็วๆนี้”
อันนี้ไม่ใช่ความเป็นจริง ไม่เคยนึกเลย แต่ไปปรุงขึ้นมาโกหกอย่างนั้นแหละแต่ไม่รู้ตัว
ความจริงไม่ได้คิดว่าจะเยี่ยมไม่เคยคิดสักที มันมีความรู้สึกเกิดขึ้นในเวลานั้น
จึงพูดขึ้นในเวลานั้น นี่โกหกโดยไม่รู้ตัวเองอย่างนี้ก็มี นี่เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง
คือไม่ได้เป็นความจริง ในคำที่เราพูดในเวลานั้น แต่มันปรุงแต่งขึ้นให้ทำได้
นี่เป็นเรื่องโกหกอย่างละเอียด และคนเราชอบพูดกันอย่างนั้นชอบว่าอย่างนั้น
ฉะนั้น เรื่องจิตใจนี้ พระตุจโฉโปฏฐิละก็ทำตามที่สามเณรว่า
หายใจเข้าหายใจออก พิจารณามีสติสัมปชัญญะ มีความรู้รอบคอบอยู่
จึงเห็นความโกหกของมัน โกหกเรื่องจิตใจของตัวเอง เห็นกิเลสทั้งหลายเมื่อมันออกมา
เหมือนกับเหี้ยออกมาจากโพรงพอโผล่ขึ้นมาก็เห็นทันที จบเรื่องมันเลย
เดี๋ยวมันก็เกิดปรุงขึ้นมาเดี๋ยวมันก็เกิดแต่งขึ้นมา
เกิดปรุงโดยวิธีนั้นเกิดแต่งโดยวิธีอันนี้ ความคิดของเรานั้นเป็นสังขตธรรม
คือปัจจัยมันปรุงได้แต่งได้ ไม่ได้เป็นอสังขจธรรมคือ
สิ่งที่ปัจจัยไม่ได้ปรุงไม่ได้แต่ง จิตที่อบรมดีแล่ว มีความรู้สึกดีแล้ว
อารมณ์มันปรุงไม่ได้แต่งไม่ได้ ไม่ได้เชื่อใคร ตรัสรู้ตามความเป็นจริง เรียกว่า
อริยสัจ รู้ตามอริยสัจ คือรู้ตามความเป็นจริง
อารมณ์มันจบิดพริ้วว่าอันนั้นดีอันนั้นงาม อันนั้นอย่างไรก็ตาม
ถ้าหากว่ามีพุทในใจก็โกหกไม่ได้
คือรู้จิตตามเป็นจริงของมันแล้วอารมณ์จะมาปรุงแต่งไม่ได้
เห็นอารมณ์ก็เห็นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง อารมณ์นี้มันเป็นทุกข์
ผู้ไปยึดอารมณ์นั้นก็จะเป็นทุกข์เพราะอารมณ์นั้นมันไม่เที่ยงอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น
จะไปอยู่ในทิศไหนก็ตามผู้รู้เป็นอย่างนั้น ตุจโฉโปฏฐิละก็มารู้อย่างนั้น
ดูอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นกับจิต ดูเรื่องจิตมันเป็นไป
โกหกหลายอย่างท่านก็รู้เรื่องของมัน จับตัวของมันได้ว่า “เออ...อันนี้ตัวโกหก
มันเป็นตัวสำคัญนะ อันนี้มันพาให้เราดีใจจนเกินพอดี พาให้เราเสียใจจนเกินพอดี
ให้เราวนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ ทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งดีทั้งชั่ว
ตลอดเวลาก็เพราะตัวเรานี่เอง”
ตุจโฉโปฏฐิละรู้เรื่องของมันแล้ว
ท่านก็จับตัวมันได้เหมือนกันกับบุรุษจับตัวเหี้ยได้ คือ จับตัวการมันได้
เรานี้ก็เหมือนกัน
มีจิตตัวเดียวนี่แหละเป้นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นท่านจึงให้อบรมจิต จิตก็เรียกว่าจิต
จะเอาอะไรมาอบรมมันอีกล่ะ จิตนี้? ถ้าเรามีสติ มีสัมปชัญญะ
อยู่สม่ำเสมอแล้วเราก็รู้จักดจิต ผู้รู้อันนั้นคือรู้เหนือกว่าจิตขึ้นไปอีก
คือผู้รู้สภาวะของจิตนั้น จิตนี้ก็เป็นจิต ผู้ที่รู้ว่าจิตนี้สักแต่ว่าจิต
นั่นแหละเรียกว่าผู้รู้ ผู้รู้เหนือกว่าจิตของเราไปอีก จึงได้ตามรักษาจิตของตน
จึงสอนจิตของตนให้รู้ว่าอันนี้ผิดอันนี้ถูกได้ ในที่สุดพูดตามธณรมชาติแล้ว
มันก็สุดแต่จิตเท่านั้น มนุษย์เรามันสุดแต่จิตที่มันเพียงแต่แต่งไปแต่งมา
ถ้ามันแต่งไปแต่งมา และไม่มีสิ่งที่รู้ยิ่งไปกว่านั้นอีก จิตของเราก็เป็นหมัน
ฉะนั้น อาศัยจิตอันนี้เป้นผู้รับฟัง ท่านจึงเรียกว่า ภาวนาพุทโธ
คือความรู้แจ้งรู้เบิกบานตลอดรู้ถึงที่สุด รู้เหนือกว่าจิตของเราอีก รู้เรื่องของจิตทุกอย่าง
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงให้อบรมคือ
การภาวนาเอาพุทโธนั้นไปบริกรรมให้มันรู้จิตให้มันรู้เหนือกว่าจิต
ให้เห็นแต่จิตนี้จะคิดดีก็ตามคิดชั่วก็ตาม
จนกว่าผู้รู้นั้นว่าจิตนี้สักแต่ว่าจิตเท่านั้น ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา
นี้เรียกว่า จิตตานุปัสนสนา ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วจิตเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จิตอันนั้นยังไม่เป็นของเราอีก ยังโกหกเราได้อีก
สรุปความได้ว่า จิตก็เป็นผู้รับรู้อารมณ์
อารมณ์ก็ฌป็นอารมณ์ จิตนี้ก็เรียกว่าจิต
ผู้รู้ทั้งจิตทั้งอารมณ์นั้นมันเหนือกว่าจิต เหนือกว่าอารมณ์ไปอีก
มันเป็นของมันอย่างนั้น แล้วมันก็มีสิ่งที่มันซับซ้อนอยู่เสมอท่านเรียกว่า สติ
สตินี้ก็มีทุกคน แมวมันก็มีสติ เวลาที่มันตะครุบหนูกิน
สุนัขมันก็มีสติเวลามันจะเห่าคนกัดคนอันนั้นก็เรียกว่าสติ เหมือนกัน
แต่ไม่ใช่สติโดยธรรมะ คนทุกคนก็มีสติเหมือนกัน
ก็เหมือนกันกับกายให้เราพิจารณากายของเรา จะพิจารณาอะไรกายนี่ ใครจะไม่เห้นมัน
เกศาก็เห็น โลมาก็เห็น นขาก็เห็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เห็นหมด แล้ว จะให้มันรู้อะไรอีก
แน่ะมันก็เป็นอย่างนี้คนเราเห็นอยู่แต่ว่าไม่เห็นถึงที่สุดของความเห็น
ไม่เห็นโดยพุทโธผู้รู้แล้วตื่นแล้ว เห็นตามธณรมชาติ คือ เห็นกายเป็นกาย
เห็นกายเฉยๆก็ยังไม่พอ ถ้าเห็นกายเฉยๆมัน
เสียหาย ให้เห็นภายในกายเข้าไปอีกทีหนึ่งมันจึงจะชัดเจนเข้าไป
ถ้าเห็นแต่กายส่วนเดียวมันก็หลงกาย ก็ยังรักสวยรักงาม ไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา จึงเป็นกามฉันทะ ยังติดอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโ(ฏฐัพพะ ผู้เห็นกายก้อนนี้คือตาเนื้อธรรมดา
เห็นแต่รักคนนั้นเกลียดคนนี้ อันนั้นสวยอันนั้นไม่สวย
พระพุทธเจ้าสอนว่าอันนั้นยังไม่พอ ต้องรู้ด้วยตาของจิต อีกทีหนึ่ง ให้เห็นกายในกาย
ถ้าเห็นกายในกายมองเข้าไปในกายมันมีอะไรบ้าง อ้อ มันไม่น่าดูเลยนะของวันนี้ก็มี
ของแต่เมื่อวานนี้ก็มีอยู่ในนั้น ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
อย่างนี้มันจะเห็นแจ้งเหนือกว่านั้นอีก พิจารณาให้เห็นด้วยตาจิต ด้วยปัญญาจักษุ
เห็นด้วยปัญญา
ความเห็นมันต่างกันอย่างนั้น
บางคนถ้าสอนให้พิจารณา เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ไม่รู้พิจารณาอะไร ผม ขน เล็บ
ฟัน หนัง ก็เห็นอยู่แล้ว แต่มันไม่เห็นนะ เห็นด้วยตาเท่านั้น
ตาผีบ้านี่มันดูแต่สิ่งที่น่าดู สิ่งใดไม่น่าดูก็ไม่ได้ดูสิ่วเหล่านั้น
มันเลือกอย่างนั้นนะ คำว่าเห้นกายในกาย คือให้มันแจ้งกว่านั้น
ดังนั้นให้พิจารณากายแล้วพิจารณาเห็นกายในกาย มันก็เห็นชัดเข้าไปอีก
มันละเอียดกว่ากันเท่านั้น
ตัวนี้เป้นตัวพิจารณาถอนความยึดมั่นในขันธ์ห้าได้
ถ้าถอนความยึดมั่นถือมั่น มันก็เหมือนกันกับถอนทกข์ออกด้วย
ก็เพราะสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ถ้าทุกข์เกิดมันจะเกิด ในที่นี้
คืออุปาทานขันธ์ห้า ไม่ใช่ว่าขันธ์ห้าเป็นทุกข์นะ ตัวอุปาทานขันธ์ห้ายึดมั่นขันธ์ห้าว่าเป็นเรานั่นแหละเป็นทุกข์
ถ้าเราเห็นเช่นนัน้ตามความจริง คือ การภาวนามันก็จะคลายออกเหมือนเกลียวเหมือนน๊อต
หมุนทางซ้ายเรื่อยๆ มันก็ถอนออกมาเรื่อยๆ มันไม่แน่น มันไม่หนา มันไม่ตึง
ไม่เหมือนเราหมุนเข้าทางขวา มันถอย มันวาง มันละ ไม่ตึงในความดีความชั่ว ในลาภ ในยศ
ในสรรสเริญ สุข ทุกข์ นินทาประการใด
ถ้าเราไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันก็หมุนเข้าไปเรื่อยๆหันเข้าไปบีบตัวเองเรื่อยๆก็เป็นทุกข์หมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าเรารู้เรื่องเหล่านี้มันก็เหมือนกับคลายเกลียวออกมาในทางธณรมะ ท่านเรียกว่า
เกิดนิพพิทา คือ ความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายแล้วก็คลายความกำหนัดรักใคร่
ความยึดมั่นถือมั่น ถ้าหากว่าเราคลายความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็สบายล่ะ
ยกตัวอย่าง เช่น ศีรษะของเรา
ในเมืองไทยเราหัวนี้เป็นสิ่งสำคัญแท้ๆแตะมันไม่ได้ จะไปจับหัวกันกลางทางก็ตีกันเลย
คือมันยังไม่ยอม ถ้ายอมเหมือนนายพลนายพันทั้งหลายที่มาหาอาตมาให้เป่าศีรษะก็ไม่เป็นไร
จับศีรษะได้สบาย เขากับมีกำลังใจอีกด้วยซ้ำ แต่ว่าเรายอมเสียสละคราวหนึ่ง
ถ้าเจอกันตามทางไหจับศีรษะอย่างนั้นตีกันเลย นี่มันเกิดทุกข์ตรงตัวนี้
มันยึดมั่นถือมั่นตัวนี้ อาตมาเคยไปในประเทศต่างๆ เขาจับหัวกันเลย ผู้หญิงก็ตาม
ผู้ชายก็ตาม จับหัวกันเลย มันก็จริงของเขานะนี่ ถ้าไม่ยึดมั่นมากมันก็ผาสุกจริงๆ
ถ้ามาในเมืองไทยนี้
จะจับหัวเขานี่ก็ไม่เป็นไรเราไม่ได้ถือมันถ้าจับศีรษะก็ถือกันจริงๆว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
นี่คือความยึดความหมายมั่น ที่จริงทุกๆส่วนในร่างกายนี้มันก็เท่าๆกัน
แต่ส่วนที่เรายึดแท้ๆนี่คนเราก็ผูกพันไว้ ซึ่งความยึดมั่นถือมั่น
อันนั้นแหละเป็นเหตุ
ที่นั่นเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ฉะนั้น เราดับเหตุเสียไม่ให้มันมีรากฐาน
อย่าให้มันมีพื้นฐานที่ทุกข์จะเกิด เช่น
เราพิจารณาร่างกายของเรามันก็เสมอกันทั้งนั้น ด้านล่างกับด้านหัวมันก็เท่ากัน
ด้านข้างๆกับด้านหัวมันก็เท่ากัน มันก็เท่านั้นอยู่ ถ้าเราคิดให้ดีๆ
เขามาตบหัวเรามันก็เหมือนเดิมอยู่ไม่เป็นไร นี่คือผู้ที่ละเหตุได้
มันมีเรื่องเท่นี้แหละ มนุษย์ เรานี้มีความยึดมั่นรูปเดียวเท่านี้
อาศัยรูปเดียวเท่านั้นก็ฆ่ากันเลย มันก็เรื่องเท่านี้เองไม่มีเรื่องมาก
พูดถึงส่วนบุคคลก็เป็นเรื่องเท่านี้ เรื่องครอบครัวก็เรื่องเท่านั้น
เรื่องประเทศชาติก็ไม่มีอะไร มีเท่านี้ ไม่มีรายได้ เลยรบกันฆ่ากันเลย
ไม่มีใครได้อะไรสักคน ไม่รู้เป็นอะไร ฆ่ากันเฉยๆ
มีอำนาจ มีลาภ มียศ มีสรรสเริญ มีสุข มีทุกข์
มันเป็นโลกธรรม ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกอยู่ สัตว์โลกจึงเป็นไปตามโลกธรรม มีลาภหนึ่ง
ไม่มีลาภหนึ่ง มียศหนึ่ง ไม่มีบศหนึ่ง มีสรรเสริยหน฿ง มีนินทาหนึ่ง มีสุขหนึ่ง
มีทุกข์หนึ่ง ท่านเรียกว่า โลกธรรม ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่ชั่ว
เป็นธรรมที่นำความทุกข์มาให้ ถ้าไม่ภาวนา ถ้าไม่พิจารณารู้เท่ามันก็เป็นทุกข์
ฆ่ากันก็ได้ ทำอะไรกันก็ได้เรื่องลาภ เรื่องยศ เรื่องอำนาจนี่ เพราะอะไร
เพราะไม่ได้ภาวนา
ไม่ได้พิจารณามันให้สม่ำเสมอกันเดี๋ยวเขาตั้งเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา
เป็นผู้ใหญ่บ้านเป็นกำนันขึ้น เป็นนั่นเป็นนี่ เป็นขึ้นเลย แต่ก่อนเคยมีผู้เฒ่าเล่าเรื่องเป็นผู้ใหญ่บ้านชั่วให้ฟัง
พอเขาให้ยศเป็นผู้ใหญ่บ้านตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านขึ้นมาก็หลงอำนาจตนเพื่อนเก่าก็เล่นด้วยไม่ได้เหมือนกเก่าละ
มาแล้วก็ว่า “อย่ามาใกล้กันนะ มันไม่เหมือนเก่าแล้วนะ”
มีลาภก็ดี มียศก็ดี มีสรรเสริญก็ดี มีสุข
มีทุกข์ก็ดี พระพุทธองค์ก็ให้รู้มันเสีย ให้มันเหมือนเดิมเท่านั้นแหละ
เอาไว้เพื่อใช้ในการงาน แล้วก้วางไว้พอปานเก่าเป็นผู้เดียวกับผู้เก่า
ถ้าไม่รู้เท่าลาภยศสรรสเริญนินทาก็ฆ่ากันเลย หลงอำนาจของตน หลงลูกหลานหมดทุกคน
ถ้ารู้จักดีแล้วก็เห็นว่าเป็นพวกเดียวกันเถอะ เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติแท้ๆ
แต่มันเป็นกิเลสมาก ท่านเรียกว่า โลกธรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนี้
มีคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาทีหลัง เมื่อเกิดมาแรกๆก็มีแต่รูปกับนามเกิดขึ้นเฉยๆ
ครั้นเอ่นาย”ก”เข้ามาใส่ นี่เป็นไปด้วยสมมติ ต่อมาก็มีเรื่องนายพล นายพันขึ้นมา
ถ้าไม่รู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นของจริง ก็เลยแบกไว้ แบกลาภไว้
แบกยศไว้ แบกชื่อไว้ แบกเสียงไว้ มีอำนาจ ชี้นกให้เป็นนก
ชี้หนูให้เป็นหนูหมดทุกอย่างก็ได้ เกิดอำนาจขึ้นม้เอาคนนั้นไปฆ่าเสีย
เอาคนนี้ไปติดคุกเสียอย่างนี้แหละ จึงมีอำนาจขึ้นมาเพราะเกียรติ
คำที่ว่าเกียรตินั้นตรงนั้นแหละมันเป็นอุปาทานพอมีเกียรติขึ้นมาเป็นต้นก็สั่งเลย
ผิดชัดๆก็ทำไปตามอำนาจของตน ทำไปตามอารมณ์ของตน ก็เลยไปตามความผิดอันนั้นเรื่องมันจึงขาดธรรมะ
นี่เรื่องข้อปฏิบัติ
ถ้ารู้แล้วก็ไม่ทำอย่างนั้น ความดีความชั่วมันมีมาแต่ไหนแต่ไรมา ลาภยศก็มีขึ้นมา
ก็ให้มันมีแต่เฉพาะลาภนั้นยศนั้น อย่าให้มันมีมาถึงเรา
เอามาใช้เฉยๆตามการงานแล้วก็แล้วไป เราก็เหมือนเดิม ถ้าเราได้ภาวนาเรื่องสิ่งเหล่านี้แล้ว
ถึงมันจะได้อะไรขึ้นมาก็ดีก็ไม่มีหลง สบายอยู่เหมือนเก่า สม่ำเสมออยู่เหมือนเก่า
มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งหมดไม่มีอะไร เรื่องนี้พระพุทธเจ้าให้พิจารณาอย่างนี้
จึงจะรู้เรื่องมันตามเป็นจริงถ้ าเราได้อะไรขึ้นมาไม่มีอะไรจะปรุงได้แต่ได้
เขาตั้งให้เป็นกำนันเป็นแต่ไม่เป็น เขาจะให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นอยู่แต่ไม่เป็น
เบื้องปลายเราจะเป็นอะไร? มันก็ตายเหมือนเก่าเท่านั้นแหละ เขาจะให้เป็นกำนันเป็นผู้ใหญ่บ้านก็ยังเหมือนเก่าจะว่าอย่างไร
ถ้าเราคิดอย่างนั้นแล้วมันก็ดีแน่นหนาดี มันก็พอปานเก่าเท่านั้นแหละ นี่เรียกว่า
คนไม่หลง จะเอาอะไรมาให้มันก็ยังเป็นอย่างนั้นแหละ เขาจะให้เป็นกำนันเป็นผู้ใหญ่บ้านมันก็ยังเหมือนเก่าจะว่าอย่างไร
ถ้าเราคิดอย่างนั้นแล้วมันก็ดี แน่นหนาดี มันก็พอปานเก่า เท่านั้นแหละ นี่เรียกว่า
คนไม่หลง จะเอาอะไรมาให้มันก็ยังเป็นอย่างนั้นแหละ มันสักแต่ว่าสังขาร
ไม่มีอะไรจะมาปรุงจะมาแต่งจิตใจอันนี้ได้อีก ไม่มีอะไรจะมาย้อมมันได้อีก
เครื่องย้อมใจให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีอันนี้แหละเป็นผู้ที่บำรุงพระพุทธศาสนา
ให้ผู้ที่ถูกบำรุงก็ดี ผู้ที่ตั้งใจบำรุงก็ดี ให้คิดในแง่นี้ให้มาก
ให้มีศีลธรรมเกิดขึ้นในจิตใจของตน
นี่สรุปได้ว่า
ดารบำรุงพระพุทธศาสนานี่แน่นอนต้องบำรุงอย่างนี้ บำรุงให้อาหาร ให้การขบการฉัน
ให้ที่อยู่อาศัย ให้ยาบำบัดโรค ก็ถูกเหมือนกัน แต่มันถูกแต่กระพี้ของมันฉะนั้น
ทายกทายิกาทั้งหลาย ที่ได้มาฟังเทศน์ฟังธรรมบำเพ็ญกุศลนั้น อย่าลืมอันนี้
ไม้มันก็มีเปลือกมีกระพี้ มีแก่น สิ่งทั้งสามนี้อาศัยซึ่งกันและกัน
จะมีแก่นไม้เพราะเปลือก จะมีเปลือกได้ก็เพราะกระพี้
จะมีกระพี้ได้ก็เพราะแก่นมันรวมกันเหมือนกับศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือ
การตั้งกายวาจาใจให้เรียบร้อย สมาธิก็คือ การตั้งใจมั่น ปัญญาคือ
การรอบรู้ในกองสังขารทั้งหลาย ให้เรียนกันอย่างนี้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นปฏิบัติบูชา
จึงจะเป็นผู้ที่บำรุงพระพุทธศาสนาที่ลึกซึ้ง
ถ้าหากว่าเราไม่ได้เอาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาปฏิบัติที่ใจ
ที่มีลาภมากก็หลง มียศก็หลงหมดทุกอย่าง มันเป็นเรื่องอย่างนั้น ถ้าหากว่าเราบำรุง
แต่สิ่งทั้งหลายภายนอก เรื่องทะเลาะขัดแย้งกันไม่มีหยุด เรื่องผู้นั้นก่อกรรมกับคนนี้ก็ไม่หยุด
เรื่องการแทงมีดกัน ยิงปืนกัน ก็ไม่มีหยุด
ก่อนจะหยุดได้ต้องพิตารณาเรื่องลาภยศสรรเสรืญสุขทุกข์นินทา
พิจารณาข้อปฏิบัติให้เป็นศีลธรรม ให้ระลึกว่าชาวโลกเรานี้ก็เป็นก้อนเดียวกัน
เห็นว่าเราก็เหมือนเขาเห็นเขาก็เหมือนเรา เขาสุขเราก็สุข เขาทุกข์เราก็ทุกข์เหมือนกัน
มันก็พอปานกัน พิจารณาอย่างนี้ก็จะเกิดความสบายเกิดธรรมะขึ้นมา
นี่เป็นหลักของพระพุทธศาสนา ผู้ที่บำรุงพระพุทธศาสนา ก็บำรุงศีล บำรุงสมาธิ
บำรุงปัญญา ให้เกิดสม่ำเสมอได้ จึงจะเป็นผู้ที่บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง
อันนี้ให้เราไปคิดดู
โอกาสที่บรรยายธรรมะแก่ญาติโยมทั้งหลายก็สมควรแล้ว
ท้ายสุดนี้ ก็ขอจงพากันตั้งอกตั้งใจนำข้อความเหล่านี้ไปพินิจพิจารณา
ให้บำรุงด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริงทุกๆคน ขอให้จงเป็นสุขเป็นสุขกันทุกๆคนเถิด.
