หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เวลา_ตามที่กำหนดในคัมภีร์พระเวท



Time According to the Vedas
“เวลา” ตามที่กำหนดใน คัมภีร์พระเวท
ถึงแม้ว่าการพรรณาของคัมภีร์ปุราณะ(Puranic description)ของ”เวลา”ว่าคือ “ศักยภาพที่ทำงานของพระผู้เป็นเจ้า(the Supreme)ที่เปลี่ยนแปลงปรับพลังงานวัตถุ(material energy)” นี้, อาจจะปรากฏเข้ากันไม่ได้กับแนวความคิดเรื่องเวลา(conception of time)ของ ไอน์สไตน์ ที่เป็นพิกัดทางเรขาคณิต(geometric coordinate) ในโครงสร้างของอวกาศ(the fabric of space), การตรึกตรองอย่างละเมียดของ สาทบุตร ทสะ(Sadaputa Dasa)(ดร.ริชาร์ด ล. ธอมป์สัน) เผยความละเมีดลไมที่น่าประหลาดใจใน ฉบับชุดพระเวท(Vedic version), รวมทั้งการคำนวณเวลา(calculation of time)ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ปฏิกิริยาของอะตอม(atomic action), การหมุนเวียนของดาวเคราะห์และดวงดาว(rotation of planets and stars)ในคำศัพท์ของ ส่วนโค้ง-ฟิลิปดา(arc-seconds), และการขยายตัวของเวลา(time dilation)ออกครอบคลุมระยะจักรวาล(cosmic distances).
พระเวท (สันสกฤต: वेद) โดยทั่วไปถือว่าเป็นคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หากกล่าวโดยเฉพาะลงไป หมายถึง บทสวดต่างๆ ที่เกี่ยวกับความเชื่อของชาวอินโดอารยัน หรืออาจเรียกได้ว่าศาสนาพราหมณ์ฮินดู โดยมีการรวบรวมเป็นหมวดหมู่ในชั้นหลัง คำว่า เวทนั้น หมายถึง ความรู้ มาจากธาตุวิทฺ” (กริยา รู้) คัมภีร์พระเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ 4 เล่ม ได้แก่ ฤคเวทใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า สามเวทใช้สำหรับสวดในพิธีกรรมถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์และขับกล่อมเทพเจ้า ยชุรเวทว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายัญและบวงสรวงต่างๆ และ อาถรรพเวท ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคมหรือเวทมนตร์
นักประวัติศาสตร์จำนวนมาก ถือว่า พระเวท เป็นส่วนที่เก่าที่สุดที่เหลืออยู่ สำหรับส่วนที่ใหม่สุดของพระเวท น่าจะมีอายุราวพุทธกาล และส่วนที่เก่าสุด ราว 1,000 ปีก่อนพุทธกาล แต่นักภารตวิทยาเชื่อว่า เนื้อหาของคัมภีร์เหล่านี้น่าจะได้มีการท่องจำกันมาก่อนการบันทึกเป็นเวลานานมากแล้ว ซึ่งมีหลักฐานจากลักษณะทางภาษา และปริบททางสังคมต่างๆhttps://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97

ข้าพเจ้าได้ถูกขอร้องให้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ แนวความคิดเรื่อง”เวลา”ของคัมภีร์พระเวท(the vedic conception of time). ดูเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ, ค่อนข้างมีอะไรตามความเป็นจริงจำนวนหนึ่งที่จะถูกพูดถึง.  อย่างแรกสุด, คำจำกัดความเบื้องต้นของ”เวลา” คือ - ศักยภาพที่ทำงานของพระผู้เป็นเจ้า(the Supreme)ที่เปลี่ยนแปลงปรับพลังงานวัตถุ(material energy), ดังนั้น “เวลา” คือ หน่วยพลังงานที่ปฏิบัติงานอยู่(active agency) ในความหมาย(sense)รับรู้นั้น.  ในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่(modern science), “เวลา”ตามความจริงแล้วกลับกลายออกมาเล่นในรูป บทบาทของตัวเลข(role of a number) หรือ พิกัดทางเรขาคณิต(geometric coordinate).  แต่ในแผนผังของสิ่งทั้งหลายตามคัมภีร์พระเวท(Vedic scheme of things), มันคือปฏิกิริยา(active) บางอย่าง.  มีหลายมิติแตกต่างกันของ”เวลา”(different dimensions of time).
จุดเริ่มต้นในระบบพระเวท(Vedic system) คืออะไรที่เรียกว่า เวลาปรมาณู(atomic time).  นี่เป็นแนวความคิดที่น่าสนใจ, มีใน ศรีมาด-ภควตัม(srimad-bhagavatam), ได้เอ่ยถึงไว้ว่า, เราสามารถประมาณ(estimate time) “เวลา” ได้โดยการวัดระยะการเคลื่อนที่ของกลุ่มปรมาณูของร่างกาย(atomic combination of bodies).  “เวลา” คือศักยภาพ(potency)ของลักษณะบุคคลที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า(the almighty personality of Godhead) – หริ(Hari) – ผู้ควบคุมการเคลื่อนที่ทางกายภาพทั้งหมด(all physical movement), ถึงแม้ว่า”เขา”จะไม่อาจถูกมองเห็นได้โลกกายภาพ.  เวลาปรมาณู(atomic time) ถูกวัดตามกำหนดของการที่มันครอบคลุมพื้นที่เฉพาะของปรมาณูหนึ่ง(particular atomic space), นั่นคือ “เวลา” ที่ครอบคลุมปรมาณูรวมทั้งหมดที่รู้กัน(aggregate of all atoms)นั้นเรียกว่า มหาเวลา (the great time).  และนั้นคือจุดเริ่มต้นของคำพรรณาของ “เวลา” ใน “ศรีมาด ภควตัม(srimad bhagavatam)”.  เวลาขึ้นอยู่กับปฏิริยาของเหล่าปรมาณู(action of atoms), และนั่นคือจุดเริ่มต้น(the strating point).

มีตัวเลขของหน่วยต่างๆของ”เวลา”(a number of units of time)ของหลากหลายขนาด(various of sizes).  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, มีหน่วยหนึ่งที่เรียกว่า ทรูติ(true T?), ที่คือขนาดหลากหลายนั้นถูกบ่งชี้สำหรับอย่างหนึ่ง, ที่ผมคิดออกมาได้ว่า, มันคือ 1 : 30 พันเจ็ดร้อยและห้าสิบ ของ หนึ่งวินาที. นั่นคือหนึ่งหน่วยเวลาที่เอ่ยถึงมันในวรรณกรรมพระเวท(Vedic literature).  ดังนั้น, พวกเขาได้แบ่ง”เวลา”กันค่อนข้างละเอียด(subdivides time finely). 
ดังนั้น, การไปโพ้นเลยถึงขนาดนั้น, ก็มีหลากหลายหน่วยของ”เวลา” ที่ได้ประยุกต์(apply)มาเป็นคาบ(period)ของชีวิตมนุษย์ปกติ(ordinary human life) ในระหว่างวัน(during the day). หน่วยหนึ่งที่น่าสนใจนั้นคือที่เรียกกันว่า ปราณ(prana).  ปราณ(prana) คือประมาณ 4 วินาที, และที่จริงแล้ว ปราณ(prana)หมายถึง ลมหายใจ.  ดังนั้นถ้าคุณสามารถคิดออกได้, มันคือ, ถ้าคุณหายใจแผ่วเบา(breathing gently), หนึ่งลมหายใจจะใช้เวลาประมาณ 4 วินาที.  เอาเป็นว่าเราพูดกันแบบประมาณหยาบๆ.  แต่ ปราณ(prana)ก็ยังมีความหมายอื่นอีกอย่างหนึ่ง, มันกลายเป็นออกมาว่า, จำนวนของ ปราณ(pranas) ในหนึ่งวัน 24-ชั่วโมง(one 24-hour day) คือ จำนวน(number)เดียวกันกับ จำนวน ลิปดาทั้งหลาย(minutes) ของส่วนโค้งในวงกลมหนึ่ง(Arc in a circle).  และอะไรนั่นที่เป็นผลออกมาคือว่า, ด้วยแต่ละ 4 วินาที หรือ ประมาณแต่ละหนึ่งลมหายใจ, ดวงดาวและดาวเคราะห์ทั้งหลายก็ได้หมุนผ่านไปหนึ่งลิปดาของส่วนโค้ง(one minute of Arc), และนั่นได้บังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา.
ดังนั้นถ้าคุณเอาความคิดของเวลาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้(inevitability of time), โดยที่จริงแล้วคือ การหมุนรอบของระบบทั้งหลายของดาวเคราะห์(the rotation of planetary systems) ในระบบของคัมภีร์พระเวท ที่เรียกว่า แถบ จักรา(collet chakra) ซึ่งหมายถึง กงล้อของ”เวลา”(the Wheel of Time), “กาล”(kala) ก็คือ คำ(word)สำหรับ”เวลา”นั้น.
ดังนั้น, อะไรที่บังเกิดขึ้นก็คือมี แกนแกนหนึ่ง, แกนขั้ว(polar axis) ที่พาดผ่านดาวเหนือ(North star) หรือใกล้กับมันนั้น.  และถ้าคุณสามารถมองขึ้นยังท้องฟ้าในตอนกลางคืน, เอาเป็นว่า บางครั้งผู้คนทำเช่นนี้ด้วยการตั้งเวลาเปิดหน้ากล้องถ่ายรูป, ที่คุณมีกล้องถ่ายรูปซึ่งสามารถเปิดค้างชัตเตอร์เอาไว้ได้สักหลายชั่วโมง, คุณก็จะได้เห็นภาพว่าดวงดาวและดาวเคระห์ทั้งหมดนั้นกำลังหมุนไปรอบๆแกนอันหนึ่ง(rotating around one axis). แล้วการหมุนรอบเช่นนั้นทำหนึ่งวัฏจักรเสร็จสมบูรณ์(makes one complete revolution)ใน หนึ่งวัน. 
ดังนั้น, ทุกๆสี่วินาทีหรือทุกๆลมหายใจ, ระบบทั้งปวงของดวงดาวและดาวเคราะห์ทั้งหลายได้หมุนไป หนึ่งลิปดาของส่วนโค้ง(one minute of Arc).  ดังนั้น, มันออกมาเป็นว่า มิติทั้งหลายอันมากมายของ “เวลา”(many dimensions of time) หรือหน่วยทั้งหลายของ”เวลา”(units of time) ในระบบของคัมภีร์พระเวท(Vedic system) เกี่ยวโยงกับดาราศาสตร์อย่างน่าสนใจเพียงพอ. มีจำนวนหนึ่งของคำพรรณาอันละเมียดละไมถึงหน่วยทั้งหลายของเวลา.  ตัวอย่างเช่น, วันทางสุริยคติ(the solar day)นั่นคือเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นไปจนถึงดวงอาทิตย์ขึ้นมาอีกครั้ง, แต่นั่นแยกแยะมาจากบางอย่างที่เรียกว่า satiereal day(วันเต็มจริง-ผู้แปล) ซึ่งก็คือ”เวลา”จากดวงดาวที่ว่านั้นโผล่ขึ้นบนเส้นขอบฟ้า(star rises on the horizon) ไปจนถึงเวลาที่ดวงดาวนั้นโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง. และนั่นแตกต่างไปจากวันสุริยคติ(the solar day), สาเหตุจาก ดวงอาทิตย์(Sun)นี้ก็เคลื่อนที่ทุกวันด้วยความคำนึงถึงต่อดวงดาวทั้งหลาย(respect to the stars). 
แล้วก็มีหน่วย(unit)อื่นอีกอย่างหนึ่ง, เรียกว่า วันจันทรคติ(lunar day).  นี่คือหนึ่งในสามสิบของ หนึ่งเดือน(one thirtieth of a month).  ดังนั้น, หนึ่งเดือนก็คือ “เวลา” ที่บอกว่า จากเดือนใหม่ไปถึงเดือนใหม่(from new moon to new moon). และนั่นก็ยังมีราว 29 ในวันปลีกย่อยอีกของ 24 ชั่วโมง. ดังนั้น, จำนวนสามสิบของการนั้นก็คือ, เพราะฉะนั้น, มีวันที่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงต่อวันซึ่งเรียกกันว่า วันจันทรคติ(a lunar day) หรือ ดิถี(itthey?) และ คราส(cada C?), ตัวอย่างเช่น a (tiffey?), ดังนั้นเองทำไมถึงได้มีความยุ่งยากซับซ้อน(complexities)มากมายนักเกี่ยวข้องในการตัดสินใจว่า “เวลา”อะไรของการเดินทางอันยาวนานนี้(Odyssey) เป็น.
และนี้คือหน่วยของ “เวลา”(units of time). ดังนั้น, นี้คือการวัดระยะของเวลาอย่างโลก(Earthly measures of time), แต่พ้นเลยไปจากนี้, มีการวัดระยะของ “เวลา” ที่ประยุกต์เข้ากับ เหล่ากึ่งเทพ(degodsผู้ไม่ใช่เทวดาแต่สูงกว่ามนุษย์ได้รับการบูชาเยี่ยงนั้น). ดังนั้น, สิ่งเล็กน้อยที่สุดเหล่านี้คือ หนึ่งเดือนที่บรรยายว่า หนึ่งเดือนนั้นคือคาบเวลาของวันและคืนของ pit Rees(ภิตรี), pit Rees ทั้งหลายนี้คือ การจำแนกของการเป็น(classification of being) ไม่ใช่ในระดับของกึ่งเทพเหล่านั้น(demigods). แต่คือ, อันที่จริงแล้ว, คำสามัญของคำว่า ภิตรี(Pitre) ถุกแปลอย่างสามัญได้ว่า, คือ บรรพบุรุษ(ancestors), แต่เมื่อบุคคลหนึ่งตายและมีผลบุญจากศรัทธาแรงกล้าต่อศาสนา, พวกเขาก็สามารถจะเกิดใหม่ขึ้นมาเป็นหนึ่งใน ภิตรี(Pitrese)เหล่านี้.  พวกเขามีชีวิตอยู่ในสถานะอะไรที่สวยงาม(nice)ภายในเอกภพนี้(the universe).  ดังนั้นเอง, มันได้อธิบายถึงว่ามีคาบเวลาของวันและคืนเป็น หนึ่งเดือน(one month).  และยังมีในคัมภีร์พระเวทอีกที่เรียกว่า สุรยะ สิทธันตะ(Surya Siddhanta)ที่อธิบายว่าพวกเขาได้มีที่พำนักอยู่ที่บนดวงจันทร์, ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลถ้าวันและคืนของพวกเขาคือ คาบเวลาหนึ่งเดือน(a period of one month).  พวกเขายังมีที่พำนักอยู่ในอะไรที่รู้จักกันว่าเป็น ระบบดาวเคราะห์ต่ำกว่าของเอกภพ(lower planetary systems of the universe).ดังนั้นโดยที่ถึงตรงนั้น, วันและคืนของ เหล่ากึ่งเทพ(demigods) คือ หนึ่งปีบนโลก (one year on the Earth).
ดังนั้น, มีประเด็นทางดาราศาสตร์(astronomical points)ตรงนี้, ใน ศรีมัด ภควตัม(srimad bhagavatam) ได้อธิบายถึงว่ามี 360 วันในหนึ่งปี, ซึ่งเป็นรูปพรรณสัณฐาน(interesting feature)ที่น่าสนใจ. สิ่งนี้ปรากฏว่าเป็นระบบโบราณมาก(very ancient system), เพราะคุณจะพบได้ว่าชนอียิปต์โบราณ(ancient Egyptians)เอง, เริ่มแรกก็มี 360 วันในหนึ่งปี. ต่อมาพวกเขาถึงได้เลื่อนออกไปเป็น 365. ยังมีชาวจีนด้วยเช่นกันที่มี 360 ในจุดหนึ่ง.  ดังนั้น, มันจึงเป็นระบบโบราณมาก, แน่นอนว่า, ในระบบนั้น, ทุกสองสามปีอะไรที่คุณทำก็คือเติมเดือนพิเศษเพิ่มเข้าไป(add an extra month), เพื่อทำให้”เวลา”สมบูรณ์(complete time) สำหรับปีที่มี 365 กับอีกเสี้ยวของวัน(365 and a quarter days).  ดังนั้น, หนึ่งปีของเหล่ากึ่งเทพ(demigods)นั้นคือ หนึ่งปีสำหรับผู้คนบนโลก.มันได้อธิบายไว้ถึงว่า 360 วันของเหล่ากึ่งเทพ(demigods)คือ หนึ่งปีของเหล่ากึ่งเทพ(one year of the demigods).
ดังนั้น, พวกเขาบอกว่านั่นคือ ระยะ “เวลา” (timescale) สำหรับเหล่ากึ่งเทพ(demigods) หรือ ของเดวิด(David’s).  ดังนั้นนี่ก็เลยแตกไปเป็นคาบของเวลาที่เรียกว่า “ยุค”(yaga). และนั่นนำคุณไปสู่ ระยะ “เวลา”(timescale)อีกอย่างหนึ่งในเอกภพ(the universe)นี้.
ดังนั้น, มันได้อธิบายถึงว่ามี สี่ยุค(four yuga’s)ที่เรียกว่า สัตยะ(satya), ไตรตะ(treta), ฑวาปาร(dwapar), และกลี(kali).  และในคำศัพท์(terms)ของปีทั้งหลายของเหล่ากึ่งเทพ(demigods), โดยเฉพาะ ยุค ต่างๆที่ผ่านเข้าไปจนเสร็จสิ้นแล้วในระยะสั้นๆหนึ่ง, อันแรกก็เป็น สี่พันปีของเหล่ากึ่งเทพ(four thousand years of demigods), แล้วก็มา สามพัน, สองพัน, หนึ่งพันปีของเหล่ากึ่งเทพ(demigods).
และพวกเขาก็มีอะไรที่เรียกว่า คาบเวลาสันธยะ(sandhya periods), เป็นการเริ่มต้นและแต่ละอันคือจำนวนที่สิบของยุคนั้น(a tenth of that yuga).  ดังนั้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอันสุดท้ายหนึ่งพันปีนั้น, บวกกับอีกจำนวนที่สิบในแต่ละการสิ้นสุด, ทำให้คุณได้สิบสองร้อย(หนึ่งพันสองร้อย-ผู้แปล)ปีของเหล่ากึ่งเทพ(demigods).  และนั่นรู้จักกันว่าเป็น กลียุค.  และการเริ่มต้นก็มีคาบเวลาหนึ่งร้อยปี(a hundred years period)ของเหล่ากึ่งเทพ(demigods)ที่คือ สันธยะ(sandhya).
ในเมื่อหนึ่งปีของเหล่ากึ่งเทพ(demigods)คือ 360 ปีของโลกนี้, คุณก็คูณจำนวนตัวเลขทั้งหมดนี้เข้าไปด้วย 360 เพื่อเปลี่ยนเป็นปีบนโลก(Earth years). ดังนั้น, นั่นหมายถึงว่า กลียุค ใช้เวลา, เมื่อคูณออกมาแล้ว, เป็นสูงสุดยอดที่สี่ร้อยกับอีกสามสิบสองพันปี(สี่แสนสามหมื่นสองพันปี-ผู้แปล). แต่หนึ่งร้อยปีสันธยะก็ออกมาเป็น 36 พันปี(สามหมื่นหกพันปี-ผู้แปล).  และนั่นเป็นที่สำคัญเพราะว่า มันได้อธิบายถึงว่า กิจกรรมทางศาสนาหลากหลายเหล่านั้น(various religious activities)เกิดขึ้น,โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, ในระหว่าง คาบสันธยะ(sandhya periods)เหล่านี้, ในตอนเริ่มต้นและสิ้นสุดของยุค(yuga). ดังนั้น, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, เราในตอนนี้อยู่ใน สันธยะยุค(yuga sandhya)ของ กลียุค(kali yuga) – ตีพิมพ์เรื่องนี้เมื่อปี 2015(ผู้แปล) - .  และนี่เป็นคาบเวลาการเคลื่อนที่ของพระไสยตานิยะ(lord caitanya’s movementปางหนึ่งของกฤษณะเทพ-ผู้แปล) มาบังเกิด.  ดังนั้น, จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นั้น.
ดังนั้น, คาบเวลาที่สุดของสี่ยุค(the total period of four yuga’s) คือ สี่ล้านสามแสนสองหมื่นล้านปี.  ดังนั้น, มันจึงอธิบายได้ว่า ยุคเหล่านี้มีการวนซ้ำเป็นวงจร(repeat in a cycle)หนึ่ง.  ดังนั้น, ใครก็สามารถกล่าวได้ว่าสี่ล้านสามแสนสองหมื่นล้านปีเป็นคาบเวลาของวงจรยุค(Yuga cycle).
แล้ว, แผนกถัดมาของการแบ่ง “เวลา” (the next division of time) โพ้นเลยไปจากนั้นอีก, คืออะไรที่เรียกว่า คาบเวลาพระมณู(Manu period).  และนั่นคือ 71 รอบวงจรยุค. และนั้นคือไปถึงสุดท้ายเป็น สามร้อยหกล้านล้านปี(three hundred and six million years).  และนี่คือคาบเวลาช่วงชีวิต(lifespan period) ของเหล่ากึ่งเทพหลักส่วนมาก, ที่ได้ถูกอธิบายไว้ใน ภควัต(bhagavata), เป็นสุดท้ายของ “เวลา”.

ดังนั้น, โพ้นเลยไปจากนั้น, ก็ยังมีอีกสิบสี่, เช่นคาบเวลาพระมณู(Manu period)ในที่เรียกว่า หนึ่งวันของ “พระพรหม”(brahma). และยังมีคาบเวลาตรงกลาง(intermediate period)แบ่งแยกคาบพระมณูเหล่านี้. ดังนั้นนั่นจึงไปถึงจำนวนสุดยอดของ หนึ่งพันวงจรยุค(one Yuga cycles).  ดังนั้น, หนึ่งวันของหัวหน้ากึ่งเทพ(chief demigod)ภายในเอกภพ(universe)นี้, ผู้ที่รู้จักกันในนาม “พระพรหม”(brahma) ก็ออกมาเป็น สี่พันสามร้อยยี่สิบล้านล้านปี.  และนั่นคือคาบกลางวันเวลาพระพรหม(the day time period of Brahma) ดังที่ได้ถูกอธิบายไว้.
และแล้วก็มีคาบเวลาสมมูล(equivalent period)สอดคล้องกับช่วงเวลากลางคืนของพระพรหม(the night time of Brahma), และอธิบายเอาไว้ว่า พระพรหม มีชีวิตอยู่ 100 ปี, ด้วยกลางวันและกลางคืนของความยาวนั้น.  ดังนั้นถ้าคุณ, มันได้อธิบายเอาไว้ว่าในตอนนี้, พระพรหมมีอายุได้ 50 ปีแล้วในช่วงเวลาของพระองค์(in terms of his timespan).  ดังนั้นจึงกลายมาเป็นคาบเวลาประมาณ หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านล้านล้านปี(a hundred and fifty-five trillion years) ได้ผ่านไปใน คาบเวลาของพระพรหม(the time period of Brahma).
ดังนั้น, นี้คือประเภทของ “ระยะเวลา”(time scale) ที่คุณมีในระบบของคัมภีร์พระเวท(Vedic system). มันอธิบายไว้ว่า, ในหนึ่ง “เวลา”ที่รู้สึกได้นั้น(one sense time) เกี่ยวโยงกับระบบที่แตกต่างเหล่านี้ หรือ หน่วยทั้งหลายของ “เวลา”(units of time) สามารถถูกอธิบายในรูปของปีโลก(term of Earth years) แต่ด้วยอัตวิสัย, พวกเขาได้ประสบการณ์ในหนทางแตกต่างกัน(experienced in different ways) โดยการมีชีวิตอยู่อย่างแตกต่างกัน.  มีข้อมูลจำเพราะ(a specific information) บนเรื่องนี้, ตัวอย่างเช่น, ด้วยการอ้างถึงพระพรหม(Brahma), มันบอกไว้ว่า พระพรหมนั้น มีชีวิตอยู่ 100 ปีของเวลาของพระองค์เอง, และที่จริงแล้ว, สำหรับพระพรหม(Brahma)แล้ว, ทางเดิน(passage)ของเวลาไปด้วยอัตราแตกต่าง(different rate)ไปจากของเรา, ถึงแม้ว่าพระองค์จะสามารถเร่งความเร็วสิ่งต่างๆขึ้นไปได้เพื่อประสบการณ์เวลาที่ระดับของเราได้ด้วยเช่นกัน.  แต่ในกรณีใดก็ตาม, มีนิทานที่น่าสนใขเรื่องหนึ่งที่มีพระราชาชื่อว่า”ผู้สามารถจะเป็น(who could meet?)” ผู้ที่มีธิดาชื่อ “เรย วตี”(ray Vati?). พระราชาองค์นี้ต้องการที่จะจัดหาสามีให้กับธิดาของตน, แล้วพระองค์ก็ไม่ใช่พระราชาธรรมดาทั่วไป, ดังนั้นพระองค์จึงขึ้นไปยังดาวเคราะห์ของพระพรหม(planet of Brahma), พรหมโลก(brahmaloka), ขอให้พระพรหมได้เลือกสรรสามีให้ธิดาของพระองค์.  ดังนั้น, เมื่อพระองค์และธิดาได้มาถึงที่นั่น, พระพรหม(Brahma)ได้ยุ่งอยู่เพราะพระพรหมกำลังฟังการแสดงดนตรีที่จัดขึ้นถวายโดย คันธารวาส(Gandharvas), พวกเขาบอกว่าเป็นชนเผ่านักดนตรีของสวรรค์ประเภทหนึ่ง(a race of celestial musicians), ดังนั้นนี่จึงใช้คาบเวลาระยะหนึ่ง และเมื่อการแสดงดนตรีนี้จบลง, พระพรหม(Brahma)ได้ถามพระราชาว่าพระองค์ต้องการอะไร, พระราชาก็แสดงความปรารถนาของตนและพระพรหม(Brahma)ก็หัวเราะแล้วบอกว่า, เอาละ, บรรดาสามีที่มีอยู่แตกต่างกันที่เจ้ามีอยู่ในใจสำหรับธิดาของเจ้านั้นน่ะ, ได้ตายไปนานแล้ว.  ที่จริงแล้ว, อารยธรรมทั้งปวงที่เจ้าได้มีชีวิตอาศัยอยู่ก็ได้สูญหายกลายเป็นฝุ่นธุลีเช่นกัน, และไม่มีใครกระทั่งจะจดจำชื่อทั้งหลายของผู้คนใดที่ได้มีชีวิตอาศัยอยู่ในอารยธรรมนั้น.  เพราะว่า, ดูเหมือนว่าในขณะที่พระราชากำลังฟังการแสดงดนตรีนั้น, ใช้เวลาไปราว หนึ่งร้อยยี่สิบล้านปีผ่านไปที่บนโลก(Earth).  
ดังนั้น, เรื่องนี้ได้ให้ความคิดถึงความแตกต่างของระยะ “เวลา”(timescales)ทั้งหลาย. ตามความเป็นจริงแล้ว, เป็นที่น่าสนใจในรูปแบบ(forms)อันนี้, แบบที่เป็นคู่ขนานใกล้ผิวนอก(superficial parallel)กับบางหลายความคิดที่คุณจะได้พบในทฤษฎีสัมพันธภาพ(the theory of relativity).  มีการคำนวณที่คุณสามารถทำได้อ้างอิงกับสิ่งที่ซึ่งมีอยู่ในทฤษฎีนั้น.  ถ้าใครบางคนได้เดินทางไปในยานอวกาศ, เอาเป็นว่า...ประมาณเป็นเปอร์เซนต์ในความเร็วของแสง(a percentage of the speed of light) ประมาณว่าเกือบ100เปอร์เซนต์, เดินทางไปเป็นวงกลมขนาดใหญ่, แล้วกลับมา.  และจากการคำนวณอ้างอิงที่ว่านั้น, บุคคลผู้อยู่ในยานอวกาศจะมีอายุขึ้นอีก, ประมาณว่า, หนึ่งปี, แต่บนโลก(Earth)นี้, หนึ่งพันปีได้ผ่านเลยไปแล้ว. คุณสามารถทำการคำนวณเหมือนเช่นนั้นได้.  ดังนั้น, ในกรณีนี้, ถึงแม้ว่ามันไม่ใช่สาระในเรื่องการเดินทางใกล้ความเร็วของแสงได้ชัดเจนนัก, แต่เมื่อใครเข้าไปอยู่ในสภาวะแวดล้อมของพรหมภพ(environment of Brahma’s realm)ภายในเอกภพ(the universe)นี้, อัตราความเร็ว(rate)ของเวลาก็จะแตกต่างไป.  ดังนั้น, ชั่วขณะหนึ่งมีความสัมพันธ์สอดคล้องกันต่อทางผ่านของคาบเวลาอันยาวนานบนโลก(passage of a long period of time on the Earth).  และนั่นคือรูปลักษณ์หนึ่งของทางผ่านเวลา(passage of time). 
ดังนั้น, มาดูกันว่า, มีรูปลักษณ์อื่นอีกในเรื่องนี้, รูปลักษณ์ที่หายากหนึ่ง(one curious aspect)ในการเกี่ยวข้องในธรรมชาติ”เวลา”ของระบบพระเวท(the nature of time in the Vedic system) คือ ผลลัพธ์ทั้งหลาย(events)ที่รู้จักกันในปัจจุบัน, และและนี่เป็นสิ่งสำคัญเพียงพอที่จะได้มีความเกี่ยวโยงกับ ทฤษฎีสัมพันธภาพ(theory of relativity), มันดูเหมือนว่า, ในทฤษฎีนั้น, เวลาเป็นเหมือนพิกัดทางเรขาคณิต(geometrical coordinate), ดังที่ข้าพเจ้าได้เอ่ยถึงในตอนเริ่มต้น, และผลกระทบของการนั้น, คือว่า, ผลลัพธ์ทั้งหมด(all events)ที่กำลังจะเกิดขึ้น(occure)ได้อยู่ที่นั้นแล้ว.  นี่คือภาพที่โผล่ออกมาในทฤษฎีสัมพันธภาพนั้น.  เพราะว่า “เวลา” คืออะไรแบบว่าเหมือน “อวกาศ”(space-ที่ว่าง-ผู้แปล).  และผลลัพธ์ทั้งหลาย(events)ในอนาคตได้อยู่ที่นั่น.  ดังนั้น, ที่จะพูดในขอบเขตที่แตกต่างของอวกาศ(a different region of space) ที่เราอยู่นี้, ที่จริงแล้ว, ในทฤษฎีนั้น, เป็นไปได้ที่จะเคลื่อนย้าย(shift)ในระหว่างมิติของอวกาศ(the dimension of space).  และในมิติของ “เวลา”(the dimension of time).  ดังนั้น, พวกเขาแบบว่า, สามารถสลับแลกเปลี่ยนกันได้(interchangeable).  ดังนั้น, อ้างอิงถึงตามความคิดนี้, ทุกสิ่งที่กำลังจะบังเกิดขึ้น, ได้ดำรงอยู่(exist)แล้ว, ในแบบว่าขอบเขตความรู้คิดไร้เวลา(sort of timeless domain).  และทุกอย่างที่ได้บังเกิดขึ้นไปแล้วก็ยังดำรงอยู่(exist)ด้วยเช่นกัน. 
ดังนั้น, น่าสนใจว่า, ไอน์สไตน์(Einstein)นั้นที่จริงแล้ว, ได้ยอมรับทั้งสิ้นในภาพทั้งหมดของสิ่งเหล่านี้.  และเขากระทั่งใช้มันคุมหน้าต่างจอภาพ(console a window) ที่จุดหนึ่ง.  ไอน์สไตน์มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ เบสโซ(Beso?), ตามความเป็นจริงแล้ว, ผมเดาเอาว่า, ตั้งแต่ในตอนวัยเด็ก, และเมื่อพวกเขาค่อนข้างชราแล้ว, เพื่อนของเขานั้นตาย.  แล้วไอน์สไตน์ก้ได้พูดกับภรรยาหม้ายของเพื่อนนั้นว่า, คุณไม่จำเป็นต้องโศกเศร้ามากไปกับการผ่านจากไป(passing)ของสามีคุณหรอก, เพราะว่าที่จริงแล้ว, ไม่มีอะไรเช่นนี้ดังเช่นทางผ่านของเวลา(the passage of time)ที่ว่า, ทางผ่านของเวลา(the passage of time)เป็นแค่มายาภาพ(illusion).  นี่คือจุด(point)ที่ไอน์สไตน์ได้พยายามจะทำ.  เอาละ, ตามความเป็นจริงแล้ว, ในทฤษฎีของเขามันต้องเป็นความจริง, เพราะว่าทุกอย่างที่นั่นทั้งหมดทอดวางอยู่.  ดังนั้น, ถ้าพูดอ้างถึงตามความคิดนี้แล้ว, มนุษย์(a human being) ก็คืออะไรที่เขาน่าจะเรียกว่า หนอนกาลอากาศ(spacetime worm).  คุณสามารถจินตนาการได้ว่า, หนอนตัวนี้ที่ปลายสุดหนึ่งเป็นทารก(a baby). อีกปลายสุดข้างหนึ่ง, พูดได้ว่า, คือคนชรา. และในระหว่างขั้นทั้งหมดที่แตกต่างกันนั้น(different stages), และมันทั้งหมดก็แค่อยู่ตรงนั้น. นี่คือภาพที่ว่า.
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการประดิษฐ์(a little bit of artificial)ขึ้นมาเล็กน้อย, ในหลายหนทาง, มันกลายออกมาเป็นว่า, อ้างถึงระบบของคัมภีร์พระเวท(the Vedic system), มันยังเป็นจริงด้วยเช่นกันว่า, ผลลัพธ์(events)ทั้งหมดที่แตกต่างกันนี้, กำลังจะเข้ามาแทนที่, และได้เข้าแทนที่ตรงนั้น. ในรูปร่างหนึ่ง, พวกเขาทอดวางออกมาในภาวะต่อเนื่อง(continuum).  และการเป็นเช่นนั้น, มันก็เป็นไปได้ที่โยคีผู้ยิ่งใหญ่(great sages)บางท่าน, สามารถที่จะเห็นอนาคต(see the future).  พูดให้ชัดก็, นี่คือ ความสามารถที่มีอยู่(capacity) อย่างที่รู้จักกันว่าคือ สามวิชชาญาณ.  หรือที่รู้จักกันว่าคือ สามวัฏของเวลา(three phases of time), อดีต – ปัจจุบัน – อนาคต.  และตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้คือ, โยคีนามนารทมุนี(narada muni), ในโอกาสหนึ่ง, เขาได้ไปเยือนพระกฤษณะ(lord Krishna), และเขาก็เริ่มอธิบายว่าพระกฤษณะจะทำอะไรแตกต่างไปในอนาคตอย่างไร.  พระองค์จะฆ่า คามษะ(Kamsa), และพระองค์จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามแห่งคุรุเกษตร(kuruksetra), และอะไรแตกต่างไปอีกหลายอย่าง. ดังนั้น, เขาได้อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด(all events)เหล่านี้ในปัจจุบัน.  ดังนั้น, ในความรู้สึกหนึ่งแล้ว, เหตุการณ์แตกต่างไปทั้งหมดเหล่านี้ ได้ทอดวางอยู่ในระบบของคัมภีร์พระเวท(the Vedic system).  ดังนั้น, ใครก็อาจจะถามว่า, สิ่งนี้เกี่ยวโยงกับคำถามทั้งปวงของ เจตจำนงเสรี(free will) อย่างไร? และว่ามันเกี่ยวโยงvpjk’wiกับความคิดที่เราได้มีว่า, เราสามารถที่จะกระทำได้(able to act), และว่าเรากำลังทำในสิ่งที่แตกต่าง.  นี้เป็นอารมณ์(feeling - เวทนา?-ผู้แปล)ที่เรามีว่า ที่เรากำลังกระทำด้วยกับทางผ่านของเวลา(the passage of time)นี้คือเป็นแค่ มายาภาพ(illusion).  นี่คือความคิดของ ไอน์สไตน์. 
ดังนั้น, มันกลายออกมาเป็นว่า, ส่วนประกอบ(ingredient – เครื่องปรุง) ที่กำลังหายไป(is missing) จากภาพที่คุณมีในฟิสิกส์สมัยใหม่(modern physics), แต่ซึ่งแสดงเสนออยู่ในแผนผังของคัมภีร์พระเวท(the Vedic scheme), คือว่า, ในแผนผังของระบบพระเวท(the Vedic system), คุณมีคำอธิบายถึงว่าจิตวิญญาณ(spirit soul) นั้นเกี่ยวข้องกับวัตถุ(material continuum)ต่อเนื่องกันได้อย่างไร. 
ดังนั้น, “เวลา”(time) ดั่งที่ได้อธิบายไว้ในระบบพระเวท, ประยุกต์เข้ากับโลกวัตถุ(material world), ตามความจริงแล้วก็คือว่า, จิตวิญญาณ(spirit soul) นี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของ “เวลา”(jurisdiction of time), แต่ร่างวัตถุ(material body) เป็น.

ดังนั้น, การเรียบเรียงจัดแจง(the arrangement) ได้จัดตั้งขึ้นภายในโลกวัตถุ(material world).  และดังนั้นด้วยความสอดคล้อง(accordance)กับ ตัณหาทั้งหลายของจิตวิญญาณที่แตกต่างไป(the desires of the different spirit soul).  ปฏิกิริยาภายใน(interactions)ที่แตกต่างไปของวัตถุธาตุ(material elements) ได้ถูกควบคุมและกำกับ(controlled and conducted)โดยลักษณะเฉพาะตนสูงสุด(the supreme personality)ของผู้นำเทพ(Godhead).  ในเมื่อลักษณะเฉพาะสูงสุดของผู้นำเทพนี้เป็น สัพพัญญู(รู้ทุกอย่าง-ผู้แปล), การกระทำแตกต่างไปทั้งหมดนี้และปฏิกิริยาทั้งหมดก็ทำผลงานออกมาเป็นที่สุด(once and for all).  อย่างไรก็ตาม, สิ่งนี้สอดคล้องไปกับตัณหา(desires)ของจิตวิญญาณทั้งหลาย.

ดังนั้น, ในแง่หนึ่งนั้น, คุณสามารถพูดได้ว่า, ไม่มีสิ่งเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงในทุกสิ่ง, เพราะว่าพระกฤษณะรู้ทุกอย่างว่านั่นจะบังเกิดขึ้นที่จุดหนึ่งของ “เวลา”.  และที่จริงแล้ว, ความโดยนัยนั้นมีความจำเป็นตรงนั้น, ถ้าคุณคิดว่าพระเจ้า(God)รอบรู้ทุกอย่าง(สัพพัญญู).  ถ้าพระเจ้ารู้ทุกอย่าง(God knows everything)แล้ว, พระองค์ก็ไม่อาจจะแปลกใจเกี่ยวกับว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร.  ดังนั้น, ในเวลาเดียวนี้, เพราะว่าปฏิกิริยาทั้งหมดที่แตกต่างกันนั้นของวัตถุธาตุ(material elements)เป็นอาทิ(and so forth)ได้ถูกดำเนินไปในความสอดคล้องกันกับ ตัณหาของชีวิตบุคคลทั้งหลาย(desires of the living entities).  และอีกทั้ง, กรรม(karma)ซึ่งเป็นธาตุอีกอันหนึ่ง(another element)ก็เป็นเจตจำนงอิสระ(freewill)ในเวลาเดียวกัน.  เพราะว่า, มันไม่สามารถถูกพูดได้ว่า, การกระทำและปฏิกิริยาที่แตกต่างกันไปเหล่านั้นที่บังเกิดขึ้น, ไม่ได้เป็นถูกปรารถนา(desired – ตัณหา) โดยชีวิตบุคคล(living entities).
ดังนั้น, เหตุผลที่ภาพนี้แตกต่างไปจากภาพที่คุณมีในฟิสิกส์, บอกได้ว่า, ในทฤษฎีสัมพันธภาพ(the theory of relativity) คือ, ในภาพของฟิสิกส์แล้ว, สิ่งเดียวเท่านั้นที่ดำรงอยู่(exist)คือระบบทางวัตถุ(material system), และการกระทำและปฏิกิริยาที่แตกต่างกันทั้งหลาย(the different actions and reactions)เกิดขึ้นไปตามกฏของฟิสิกส์(physical laws), และตามนั้นเองกับภาพที่คุณมีในทฤษฎีสัมพันธภาพ, สิ่งทั้งหมดได้ถูกทำงานออกมาเป็นเช่นหนึ่งภาพสมบูรณ์ที่แค่อยู่ตรงนั้น(just there).  และส่วนทั้งหมดที่แตกต่างกันของภาพนี้, สัมพันธ์กันกับกฏทั้งหลายนั้น(the laws), และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมด.  ดังนั้นจึงไม่มีคำถามของเรื่องเจตจำนงอิสระ(freewill), เพราะว่า ไม่มีอะไร(nothing to be free) ในภาพนั้น.  มีเพียงระบบฟิสิกส์(physical system), และนั่นคือทั้งหมดที่ดำรงอยู่(exists).
ดังนั้น, ในโครงแผนผังของคัมภีร์พระเวท(Vedic scheme), ประวัติศาสตร์ที่สุดของปฏิกิริยาภายในของวัตถุธาตุ(total history of interaction of the material elements), ได้ทำงานออกมาทั้งหมด(all worked out), และโดยความจริงแล้วก้อยู่ที่ตรงนั้น.  ดังนั้น, โยคีเช่นนารทมุนีก็สามารถเห็นมันในปัจจุบัน(in advance)ถ้าท่านได้รับศักยภาพที่จะเห็นนั้น.  และศักยภาพ(potency)นั้น, ถุกประทานให้(is granted)โดยพระกฤษณะ.
แต่สิ่งทั้งปวงนี้, ได้ทำงานลุล่วงออกมา(worked out)อย่างมีสัมพันธภาพกับแรงปรารถนา(desires –  ตัณหา) ของจิตวิญญาณ(spirit soul)ของสิ่งชีวิตบุคคลทั้งหลายจริงๆ.  ดังนั้น, ในเมื่อในระบบพระเวท(Vedic system)มีบางอย่างที่นั้นที่เป็นอิสระซึ่งคุณสามารถมารถมีเจตจำนงอิสระ(freewill)ได้, คุณแค่ไม่ต้องมีความต่อเนื่องของวัตถุ(material continuum).  ที่เวลาเดียวกัน, อย่างไรก็ตาม, พระกฤษณะรู้ว่าทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น, นั่นเป็นธรรมชาติของผู้มีตำแหน่งของการเป็นเทพ(nature of the position of God being), สามารถที่จะรู้ทุกอย่างได้, แต่ไม่มีความขัดแย้งกันในที่นั้น(no contradiction there).  มันเหมือนกับว่า, ในแง่หนึ่งเราสามารถมองเห็นนั่นได้ในชีวิตปกติทั่วไป(ordinary life), ตัวอย่างเช่น, เอาเป็นว่ามีเด็กชายวัยเยาว์คนหนึ่ง, มันจะเป็นตัวอย่างค่อนข้างหยาบสักหน่อย, แต่คุณรู้ว่าเด็กชายวัยเยาว์นั้นกำลังจะทำอะไร, แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเด็กชายวัยเยาว์นั้นจะไม่ได้กระทำตามความเจตจำนงอิสระ(freewill)ของมัน, ถึงแม้คุณรู้ชัดว่ามันคืออะไรในปัจจุบันทันทีนี้.  ดังเช่นที่พระกฤษณะรู้ทุกอย่างที่กำลังบังเกิดขึ้น.
ดังนั้น, นี่คือรูปลักษณ์(aspect)หนึ่งของ “เวลา”.  จิตวิญญาณที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของ “เวลา” (the jurisdiction of time), นานเท่าที่จิตวิญญาณถูกจับไว้(is caught)ภายในเอกภพวัตถุ(material universe).  วิญญาณ(soul)ยังดำรงอยู่(exist)ในสถานะเป็นอิสระ(liberated state)อย่างสมบูรณ์(completely). อิสระ(free)จากอิทธิพล(influence of matter)ของเหตุใด.
เอ้อ, อะไรที่บังเกิดขึ้นคือ, อ้า, อย่างที่ข้าพเจ้าได้กำลังบรรยายจากจุดมองของประสบการณ์ของ “เวลา”( (point of view of the experience of time)นั้น, เรื่องความแตกต่างของระยะขนาดของเวลา(scales of time)ที่ข้าพเจ้าได้เอ่ยถึงนิทานเรื่องพระราชา, พระองค์ได้เริ่มต้นประสบการณ์ “เวลา”(experience time) บนระยะขนาดที่แตกต่าง(different scale) เพราะว่าพระองค์ได้เข้าไปในที่มีสภาพแวดล้อมซึ่งแตกต่าง(different environment)ภายในโลกวัตถุ(material world).  ดังนั้น, ถึงแม้ว่าจะภายในร่างเดียวกัน(within the same body), มันก็เป็นไปได้ที่จะมีประสบการณ์เวลาส่วนตน(subjectively)บนระยะขนาดที่แตกต่างไป.  ทีนี้, ถ้าใครมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณอย่างพิสุทธิ์(purely spiritual experience), นั่นก็จะเป็นโพ้นเลยเป็นที่สุดยัง” เวลา”(totally beyond time). 
มีคำอธิบายที่น่าสนใจอยู่ใน พราหมณ์-สัมหิตา(brahma-samhita)} มีคำอธิบายในที่นี้ถึงว่า โลกของจิตวิญญาณ(spiritual world) น่าจะเป็นเหมือนอะไร(is like), และมีแบบว่าน่าสนใจที่ข้าพเจ้าจะได้อ่านคำเอ่ยถึงอันนี้ให้ฟัง, มันเอ่ยถึงอะไรจำนวนมากมายและ, “เวลา” ได้ถูกเอ่ยไปจนถึงจนสุดท้าย. ดังนั้น, คำอธิบายนี้คือ, “ข้าสักการะบูชาโลกุตตระอาสน์(transcendental seat) รู้จักกันในนาม swated dweep(?), ที่ซึ่งนางอันเป็นที่รักทั้งหลายแห่งพระลักษมี(Lakshmi), ในสารัตถะจิตวิญญาณอันแรงกล้าพิสุทธิ์, ฝึกฝนการรับใช้ด้วยเสน่หาแห่งองค์กฤษณะผู้สูงสุด (supreme Lord Krishna), ในบานคนรักเดียวเท่านั้นของพวกนาง.  ที่ซึ่งทุกพฤกษาเหล่านั้น, คือต้นไม้ปรารถนาโลกุตตระ(transcendental purpose tree), ที่ซึ่งดินคืออัญญมณีปรารถนา(purpose gem). วารีทั้งหมดคือ น้ำทิพย์(nectar). ทุกคำพูดคือเพลงขับขาน. ทุกย่างเดิน(gait)คือเริงระบำ(dance).  ขลุ่ยผิวนั้นคือสิ่งโปรดปรานของผู้ฟัง.  ที่เปล่งปลั่งสว่างไสว(effulgent)นั้นเต็มไปด้วยพรจากสรวงสวรรค์.  และเหล่าจิตวิญญาณสัจภัณฑ์(supreme spiritual entities)ต่างเริงร่า(enjoy)และอิ่มเอม(tasty).. ที่ซึ่งน้ำนมวัวไร้คณานับ(numberless)ได้ไหลออกมาเติมเต็มมหาสมุทรน้ำนมโลกุตตระ(transcendental of ocean milk)นั้นเสมอ.  ที่ซึ่งมีการดำรงนิรันดร์ของเวลาโลกุตตระ(eternal existence of transcendental time), ผู้ที่ใครปรากฏปัจจุบันโดยไม่มีอดีตหรืออนาคต, และกระนั้นยัง, มิได้ตกอยู่ใต้บังคับของคุณลักษณะแห่งการจากผ่าน(quality of pass away), แม้เพียงเพื่อเทศะ(space)ของครึ่งชั่วขณะ(half moment)ที่ซึ่งอาณาจักรนั้นรู้จักกันในชื่อว่า โลกุตระ(goloka).  มีเพียงวิญญาณเพียงน้อยนิดที่ได้ตระหนักตนเอง(self-realized souls)เท่านั้นในโลกนี้.........
...ใช่, นี่เป็นโลกจิตวิญญาณ(spiritual world).  และนี้เองที่ได้ถูกอธิบายเอาไว้, และคุณก็สามารถรู้ได้จริงว่า, ในโลกนี้ ถึงแม้มันจะบอกไว้ว่ามีจิตวิญญาณที่ตระหนักรู้ในตนเพียงน้อยนิดนั้น, จะตระหนักได้ถึงสิ่งนี้, แต่องค์ประกอบของเวลาที่นี้(feature of time here), เป็นวิธีที่น่าสนใจในการอธิบายมาก.  ในเวลาโลกุตตระ(transcendental time)จะไม่มีอะไรที่ได้ผ่านจากไป(passes away-ตาย).  ดังนั้น, เราได้กำลังอธิบายถึงการขึ้นไปได้อย่างไรผ่านทะลุระบบภายในเอกภพวัตถุ(material universe), มีอัตราเร็วแตกต่างกันของทางผ่านของเวลา (different rates of passage of time).  มันไม่ใช่ว่าพระพรหม, อย่างไรก็ตาม, เป็นอะไรแบบว่ากำลังกระทำในลักษณะเคลื่อนไหวช้า (acting in slow motion).  ความตระหนักรู้ของพระองค์(his consciousness)สามารถทำอะไรได้มากกว่า, อย่างที่พูดได้ว่า, ภายในชั่วขณะใดที่มีให้ของเวลา.  ดังนั้น, ในสถานะสุดท้ายของเวลา(final state of time) คือเวลาของจิตวิญญาณ(spiritual time).  และในสถานการณ์ของเวลาจิตวิญญาณ(situation of spiritual time), ในแง่หนึ่ง(one sense)เวลาได้หยุดเพราะว่าไม่มีอะไรผ่านจากไป(passes away).  แต่ในอีกแง่หนึ่ง(another sense), มีกิริยากระทำทั้งหมด(all activities)ที่ได้ถูกอธิบายถึง, ที่จริงแล้ว(in fact), มีเวลาอดีต(pastime)ในโลกจิตวิญญาณ(spiritual world).  เพราะเป็นคำว่า “ลีลา” ในภาษาสันสกฤต, แต่ในภาษาอังกฤษ “อดีต” ดูเหมือนว่าจะหมายถึง “เวลา”ที่ได้ผ่านกำลังผ่านเลยไป.  แต่ในเวลาเดียวกัน, ไม่มี”เวลา”ใดที่กำลังผ่านไป.  ดังนั้น, คุณจึงมีสถานการณ์ของอะไรแบบว่าขัดแย้งกันอยู่(paradoxical situation) ในโลกจิตวิญญาณ(spiritual world) ที่ซึ่งทุกอย่างคือ ปัจจุบัน(present)ทั้งหมดในทีนั้น, และในเวลาเดียวกัน, เวลากำลังผ่านจากไปในอีกแง่มุมของเหตุการณ์แตกต่างกันทั้งหลายบังเกิดขึ้น, ไม่มีอะไรที่ได้เคยสูญเสียไป.  ดังนั้น, อันหนึ่งพาดพิงถึงอดีตนิรันดร์(eternal pastimes)ทั้งหลายของพระกฤษณะ, พวกเขามีรูปลักษณ์ที่หลากหลายแตกต่างกัน, แต่กระนั้น, พวกเขาก็ดำรงอยู่อย่างนิรันดร์(eternally exist).  และพวกเขาก็รื่นรมย์เป็นนิรันดร์(eternally enjoyed) ภายในโลกจิตวิญญาณ. 
ดังนั้น, จากมุมมองของประสบการณ์วัตถุ, มันก็ยากที่จะเข้าใจว่านั่นเป็นเช่นไร, ถึงแม้ว่าถ้าคุณได้นำมาพาดพิง(extrapolate)จากแม้กระทั่งประสบการณ์ของความไร้เวลาชั่วขณะ (experience of a timeless moment) ในโลกนี้กับขีดจำกัดสัมบูรณ์สุด(ultimate limit)ของมันนั้น, ใครก็อาจได้ความคิดของอะไรว่าประสบการณ์จิตวิญญาณน่าจะเป็นอย่างไร.  แต่หนทางเดียวที่จะรู้จริงๆได้เท่านั้นคือ, ไปยังโลกจิตวิญญาณ(spiritual world).  อันที่จริงแล้วมีรูปลักษณ์(aspect)หนึ่งที่น่าสนใจซึ่งอธิบายถึงโลกจิตวิญญาณ(spiritual world), คือนี้เป็นอะไรที่คล้ายคลึงมากกับหลักของชินตะ เบตะ เบตะ ทวะ(principle of cinta beta beta tava), ซึ่งอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระกฤษณะ กับ พลังงานของพระองค์(relation of Krishna and his energies) . เพราะว่าพระกฤษณะคือ เอกะ(one) แต่กระนั้นพระองค์ก็มีพลังงานมากมาย(many energies)ซึ่งหาได้แตกต่างไปจากตัวตนพระองค์เอง(non-different from himself).  แล้ว, นั่นสามารถเป็นได้อย่างไรกัน.  พระไสตันยะ( lord Caitanya)อธิบายว่า, ที่จริงแล้ว, มีหลักการเชิงสัจพจน์พื้นญาน(fundamental axiomatic principle)ของความรู้ด้านจิตวิญญาณ(of spiritual knowledge), ที่เขาอธิบายว่าคือ ชิง เบตา เบตา ทัตวา(Ching bata bata tattva) หรือ ความเป็นหนึ่งเดียวอันเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นพร้อมกัน(inconceivable simultaneous oneness)และแตกต่างกัน(difference). 
ความคิดนั้นก็คือ, พระกฤษณะเป็น เอกะ(one), แต่ในเวลาเดียวกันพระองค์ก็มีอีกหลากหลาย(variety), และในระดับของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งความเป็นหัวหน้าเทพ(the level of supreme personality of Godhead).  หนึ่งเดียวและหลากหลาย(oneness and variety) มีที่นั้นอย่างพร้อมกัน.  ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าเวลาในระดับจิตวิญญาณ(spiritual level)เป็นสถานการณ์คล้ายกัน(similar situation). มีเหตุการณ์(events)และในเวลาเดียวกัน, ไม่มีอะไรที่ผ่านจากไป(nothing passing away).  ดังนั้นคุณจึงมี หนึ่งเดียว และ หลากหลาย(oneness and variety) ภายในเวลาบนแท่นของจิตวิญญาณ(spiritual platform)....
...ใช่, มันคืออะไรนั่นแหละครับ.  ใช่, เรื่องนี้เป็นเพียงทฤษฎีได้อย่างไร หรือว่า มันเป็นไปได้อย่างไร, ในการที่จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ตามจริง.  แต่มันเป็นไปได้และสถานการณ์นั้นก็คือว่า, จิตวิญญาณ(spirit soul)ในสถานะสภาพเชิงวัตถุ(materially conditioned state)ได้ถุกบีบ(forced)ให้ประสบกับทางผ่านของเวลาเชิงวัตถุ(passage of material time).  ดังนั้น, ในเมื่อธรรมชาติของเวลาเชิงวัตถุนี้,คือว่าเราเป็นแบบเคลื่อนที่ผ่านทะลุลำดับของเหตุการณ์เชิงวัตถุ(sequence of material events)ที่ซึ่งอะไรบางอย่างอยู่ในอนาคตและเรายังไม่ได้ประสบกับพวกนั้น. บางอย่างที่กำลังบังเกิดอยู่ในตอนนี้, และบางอย่างที่กำลังไปสู่ในอดีต. มันเป็นเช่นนั้นในทุกลมหายใจที่เอกภพ(universe)หมุนไปในหนึ่งลิปดาของส่วนโค้ง(one minute of Arc).  มันไม่อาจหยุดยั้งและหลีกเลี่ยงไม่ได้.  ดังนั้น, แต่สถานภาพของกิจการนี้(state of affairs), ในเมื่อจิตวิญญาณ(spirit soul)ไม่ใช่เป็นแค่สถานการณ์เดียว.  ใครคนใดก็สามารถเข้าไปสู่ในอาณาจักรของจิตวิญญาณการดำรงอยู่นี้(spiritual realm of existence).  และนั่นคืออะไรที่เป็นเจตจำนงทั้งปวงของความตระหนักรู้ของพระกฤษณะ(the whole purpose of Krishna consciousness)จริงๆ, คือการที่จะไปถึงระดับของการดำรงอยู่ทางจิตวิญญาณ(level of spirit existence)....
...เอาละ, คุณเป็นผู้ทำการเลือกนั้น, พระกฤษณะรู้ว่ามันคืออะไร.  เอ้อ, คุณได้ทำการเลือกนั้นในรูป(terms)ของความปรารถนาของคุณ(your desire) เหมือนแค่ที่มันทั้งหมดเป็นผลออกมา(all worked out), แต่เพราะว่าคุณกำลังปรารถนาอยู่ในหนทางชัดเจนหนึ่ง, นั่นคือทำไมพระกฤษณะถึงได้ทำให้ปรากฏนั่นออกมาให้บังเกิดขึ้นในหนทางนั้น.  เพราะว่าพระองค์รู้ว่าอะไรคือที่คุณจะปรารถนา. พระองค์ยังรู้ด้วยอีกถึงจุดที่(the point)ความปรารถนาของคุณจะเป็นอิสระจากทั้งหมดนี้.  ในความเป็นจริงแล้ว, ใน brie hot bhagavata marie tom(?)...ในเมื่อเรื่องราวที่น่าสนใจของผู้ที่มีนามว่า...dopa kumara, มันเป็นการพรรณาถึงการเดินทางทางจิตวิญญาณ(spiritual journey), พูดได้เช่นนั้น.  แล้ว, ในจุดแน่นอนหนึ่งของชีวิตของเขา, เขาได้พบกับ กูรู(guru)ผู้หนึ่ง, โดยที่เขาอาศัยอยู่ที่ วรินดาวัน(Vrindavan), เขาได้พบกับจิญญาณที่ตระหนักรู้ตน(self-realized soul), และเขาได้ถูกสอนโดยจิตวิญญาณที่ตระหนักในตนนั้นให้สวดภาวนานามศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า(the holy name of the Lord), และเขาก็เริ่มทำสิ่งนี้.  แต่เมื่อหลายปีผ่านไปและหลายสิ่งแตกต่างได้บังเกิดขึ้น, และเช่นนั้นเองที่ได้พรรณาถึงประสบการณ์ของเขา.  และมันได้บรรยายไว้ว่า, เขาได้ผ่านทะลุระดับแตกต่างทั้งหลายของจักรวาล(universe). เขาได้ใช้เวลาไปใน สวรรคโลก(svargaloja)ในฐานะ กึ่งเทพ(demigod), เขาขึ้นไปยัง ญาณโลก(janalokaสวรรค์ชั้นที่สามของเจ็ดชั้นเหนือโลก-ผู้แปล.. http://veda.wikidot.com/janaloka), และ ทปโลก(tapaloka) ที่ซึ่งยังคงเป็นระดับสูงกว่าของ ระบบดาวเคราะห์(planetary system).  กระทั่งใช้เวลาไปนับล้านล้านปีในฐานะ พรหม(Brahma)ที่จุดหนึ่ง.  ในที่สุด, หลังจากที่ได้ผ่านไปในประสบการณ์ที่แตกต่างกันเหล่านี้, เขาก็ได้มาถึง vai Quinta(?), และเขาก็ได้พบกับพระวิษณุ(Lord Vishnu) ที่ vaikuntha(?)  แล้วพระวิษณุก็ทรงตรัสว่า, ข้ารู้ว่าในการเกิดนี้(this birth)เนื่องไปถึง(referring to)ผู้หนึ่งย้อนไปที่ใน Brindavan(?), เมื่อเขาได้พบกับ กูรู. ข้ารู้ว่าจุดนี้เจ้าจะหันมาถึงข้า. และมันนานมากเหลือเกินที่เจ้าไม่ได้หันมาหาข้า.  ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะทำเช่นนั้น, แต่ในเมื่อข้ารู้ว่าเจ้าจะทำนั่น, กลับมายังข้า, ระหว่างการกำเนิดนี้, ข้าก็จึงนำเจ้าไปติดต่อกับ กูรูผู้นี้.  และบัดนี้...
... https://www.youtube.com/watch?v=wAR2jsN85GY