หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

การใช้วิจารณญาณ - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

31. การใช้วิจารณญาณ


          คำว่า”วิจารณญาณ” มีการใช้กันค่อนข้างมาก เมื่อใดก็ตามที่ประสงค์จะให้ผู้คนคิดเอาเองว่าสิ่งใดผิดหรือถูก, ดีหรือเลว, หรือการกระทำที่ควรหรือมิบังควร.
          เช่นมักจะกล่าวว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ ประชาชนสามารถที่จะใช้”วิจารณญาณ”ได้เอง ว่าเหมาะสม ไม่เหมาะสม, เชื่อได้ หรือเชื่อไม่ได้, หรือเป็นความจริงหรือเรื่องเหลวไหล. ซึ่งมักจะพบบ่อยในจอโทรทัศน์ในรายการที่เสนอเหตุการณ์แปลกๆ, โดยจะบอกว่า ให้ผู้รับชมรายการนั้นๆพึงที่จะใช้ “วิจารณญาณ”เอาเอง.
          ในทางการเมือง ก็ได้ยินได้ฟังกันเสมอว่า “ให้ประชาชนเป็นผู้ใช้วิจารณญาณ”.
          ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้เสมือนจะสันนิษฐานว่า คนทุกคนมี”วิจารณญาณ”ซึ่งพร้อมที่จะใช้ได้ในทุกโอกาสและในทุกๆเรื่อง ทำนองว่า”วิจารณญาณ”เป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เช่นเดียวกับอวัยวะของร่างกาย หรือเป็นคุณสมบัติประจำตัว ซึ่งทุกคนจะต้องมี ซึ่งเมื่อถูกขอร้องให้ใช้ ก็สามารถใช้ได้เลย. บางทีอาจจะเข้าใจว่า “วิจารณญาณ” หมายถึง”ความคิด”ซึ่งใครๆก็”คิด”ได้ทั้งนั้น เช่นเดียวกับ “ความรู้สึก”ซึ่งคนเราก็ย่อมจะมี”ความรู้สึก”ได้ทุกเรื่องโดยธรรมชาติ.
          ผมเองมีความคิดตะขิดตะขวงใจในเรื่องของ”วิจารณญาณ”นี้มานานแล้ว เพราะเมื่อใดที่มีผู้บอกให้ผม “ใช้วิจารณญาณ” ผมก็มีความรู้สึกคล้ายกับว่าถูกบังคับให้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ผมทำไม่ได้ หรือไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ซึ่งถ้าหากจะฝืนทำไป ผลที่ออกมาก็ไม่ควรที่จะถูกต้องเพราะผมไม่มีความรู้, ไม่มีประสบการณ์ และไม่เคยพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องนั้นๆแต่ประการใด. แม้กระทั่งในเรื่องที่ผมพอมีความรู้และประสบการณ์อีกทั้งเคยใช้ความคิดมาบ้าง ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมอยู่ในฐานะที่จะ “ใช้วิจารณญาณ” ในเรื่องนั้นๆหรือไม่.
          ยกตัวอย่าง มีคนมาบอกให้ผม “ใช้วิจารณญาณ” ว่าในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวหรือไม่. ผมก็คงจะกล่าวอะไรไม่ได้ทันที เพราะจะต้องขอศึกษาข้อมูลต่างๆให้ชัดเจนเสียก่อน.
          เมื่อเกิดความสงสัยว่าเพราะเหตุใดผมจึงพบความลำบากในการ”ใช้วิจารณญาณ”กระทำกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสื่อสารทางการบ้านการเมือง มักจะได้ยินว่า “เรื่องนี้ประชาชนจะเป็นผู้ใช้วิจารณญาณเอง”, ในประเด็นทางการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งแม้แต่สาระสำคัญของประเด็นนั้นๆ เราก็ยังจับไม่ได้. เช่นประเด็นว่า ควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือ ควรยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่หรือไม่. คำถามเหล่านี้ต่างกับคำถามที่ว่า จะสั่งข้าวขาหมู หรือ ข้าวกระเพราไก่ สำหรับอาหารมื้อกลางวันนี้ ซึ่งทุกคนพอที่จะใช้ “วิจารณญาณ” ได้.
          เมื่อเกิดความสงสัย ผมก็เลยต้องแสวงหาคำอธิบายความหมายของคำว่า “วิจารณญาณ”จากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. แล้วผมก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใด ผมจึงพบความยากลำบากในการ “ใช้วิจารณญาณ”.
          พจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า “วิจารณญาณ” ว่า “ปัญญาที่สามารถรู้ หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง”.
          จากความหมายข้างต้นนี้ อย่างน้อย “การที่จะมีวิจารณญาณ” โดยยังไม่ต้องกล่าวถึง “การใช้วิจารณญาณ” ก็ต้องประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ประการ คือ (1) “ปัญญา” (2) ความสามารถรู้หรือให้เหตุผล, และ (3) ที่ถูกต้อง.  เพียง”ปัญญา”ก็ยากเสียแล้ว ยิ่งเป็น”ปัญญา”ที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็ต้องถือว่าเป็นที่สุดของความยากลำบาก. ดังนั้นการที่จะไปกะเกณฑ์หรือคาดหมายให้บุคคลทั่วไปมี “วิจารณญาณ” ในเรื่องใดๆอีกทั้งสามารถ “ใช้วิจารณญาณ”ได้ด้วย จึงเป็นสิ่งไร้เหตุผล.  สิ่งที่จะต้องตระหนักเป็นเบื้องแรกก็คือ การที่จะบอกกล่าวให้บุคคลใด”ใช้”อะไรนั้น จะต้องมั่นใจว่าบุคคลนั้นๆ “มี” สิ่งที่จะ “ใช้”. เช่นการบอกให้เขา”ใช้”อาวุธ” แต่ถ้าหากเขาไม่มีอาวุธ ก็ย่อมจะ”ใช้”อาวุธไม่ได้. ดังนั้นหากจะให้ใคร “ใช้วิจารณญาณ”ก็ต้องแน่ใจว่า เขา”มีวิจารณญาณ”.
          “วิจารณญาณ” มิใช่บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นมาเอง, แต่เป็นคุณสมบัติที่จะต้องพัฒนาขึ้นมาในโครงสร้างของความรู้ความสามารถและสติปัญญา, ซึ่งตามความหมายก็คือ”ปัญญา”นั่นเอง.
          ถ้าแม้นว่าโครงสร้างดังกล่าวนี้จะมีลักษณะเป็นพระเจดีย์ หรือ”ปิรามิด” คือมีฐานกว้างและมียอดแหลม, ฐานของโครงสร้างดังกล่าวนี้ก็คือ”ความรู้”นั่นเอง. กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ก่อนที่คนเราจะมีความคิดความอ่าน, มีความสามารถในการพิเคราะห์พิจารณ์, และอยู่ในฐานะที่จะใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตลอดจนการใช้วิจารณญาณ, ก็จะต้อง”มีความรู้” อย่างถูกต้องและถ่องแท้ในเรื่องนั้นๆเป็นเบื้องแรก. สำหรับจุดที่เป็นยอดของโครงสร้างก็คือ”การสร้างสรรค์” ซึ่งเป็นการพัฒนาความรู้ ความคิด ขีดความสามารถในการวิเคราะห์ จนกระทั่งสามารถที่จะใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยปัญหา ซึ่งก่อให้เกิดปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า”วิจารณญาณ”ไปจนถึงความสามารถในการ “สร้างสรรค์” อันเป็นจุดสุดยอด.
          แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็จะต้องไม่ลืมว่า”ความรู้”มีมากมาย โดยไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้ได้หมดสิ้น, และสำหรับเรื่องที่จะสามารถเรียนรู้ได้ลึกซึ้งจริงๆนั้น ก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก. ด้วยเหตุนี้ คนเราจึงมี”วิจารณญาณ”ในขอบเขตที่จำกัดมาก จนกระทั่งไม่สามารถที่จะ “ใช้วิจารณญาณ”ในเรื่องใดๆได้. ผู้ที่มีความรู้และมึความรับผิดชอบในเรื่องนั้นๆเท่านั้นที่อยู่ในฐานะที่อาจใช้”วิจารณญาณ”ได้.  แต่ก็จะต้องแน่ใจว่าตนมี “ปัญญาที่สามารถรู้ หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้” เพราะความรู้เป็นเพียงฐานรากเท่านั้น. กว่าที่จะมี”ปัญญา”ที่เรียกว่า “วิจารณญาณ” ก็จะต้องมีการใช้ความคิด พินิจพิเคราะห์ข้อมูลอันเป็นความรู้ และพัฒนา”วิจารณญาณ”ในเรื่องนั้นๆ จนกระทั่งสามารถใช้ประโยชน์ได้.
*********

...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.


บทบาทของสื่อมวลชน เมื่อบ้านเมืองอยู่ในความวิกฤต - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

30. บทบาทของสื่อมวลชน
เมื่อบ้านเมืองอยู่ในความวิกฤต


          ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ได้เคยสั่งสอนผมไว้ว่า การพิจารณาสิ่งใดนั้นอย่าได้กระทำภายใต้ข้อสมมติฐานว่าสิ่งนั้นๆ อยู่ในสภาพที่เป็นปกติ แต่ให้พิจารณาในกรณีที่มีความไม่ปกติเกิดขึ้น เพราะตรงนั้นที่จะชี้ขาดผลของการพิจารณา.
          ยกตัวอย่างการพิจารณาตัดสินใจว่าจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรสักอย่าง. คนขายจะแจ้งสรระพคุณของสิ่งนั้นจนกระทั่งผู้ซื้อพอใจในคุณภาพและการใช้ประโยชน์ทุกแง่ทุกมุม. แล้วจะทำอย่างไร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีโอกาสที่จะเสียได้ทั้งนั้น. คำตอบก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ถ้าเสียก็ต้องทิ้งไปเพราะแก้ไขไม่ได้ หรือไม่มีอะไหล่จะเปลี่ยน, หรือมี แต่ราคาแพงลิบลิ่ว ไม่คุ้ม. การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ ควรที่จะอยู่ตรงนี้.
          สรุปประเด็นก็คือ ถ้าหากทุกอย่างเป็นปกติดี ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเกิดความไม่ปกติ ปัญหาที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะมากมาย หรืออาจจะไม่มาก. แต่ไม่ว่าในกรณีอะไรก็ตาม เราพึงจะต้องรู้ว่า หากมีปัญหาเราจะต้องแก้ไขปัญหานั้นๆอย่างไร.
          เมื่อ 53 ปีมาแล้ว ผมนั่งเครื่องบินไปยุโรปครั้งแรก, ซึ่งแม้ก่อนหน้านั้น ผมจะเดินทางโดยเครื่องบินทั้งระยะใกล้และระยะไกลมาแล้วหลายสิบครั้งในเวลาประมาณ 7-8 ปี แต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ. บังเอิญได้อ่านแผ่นพับของสายการบินที่วางอยู่ข้างหน้า ซึ่งเขามีข้อแนะนำอะไรต่างๆสำหรับผู้โดยสาร, มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ถ้าแม้นมีอะไรก็แล้วแต่บังเกิดขึ้น กัปตันและลูกเรือจะทราบแน่นอนว่าจะต้องทำอย่างไร”.
          ข้อความดังกล่าวนั้นทำให้ผมคลายความกังวล เพราะที่กังวลก็เพราะเกรงว่า หากมีอะไรเกิดขึ้น จะไม่มีผู้ใดทราบแน่นอนว่าจะต้องทำอย่างไร.
          ผมนำเรื่องข้างต้นนี้มาพูด เพราะเห็นว่าในปัจจุบัน บ้านเมืองของเราอยู่ในความวิกฤต แต่สื่อมวลชนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยกันพาบ้านเมืองให้ผ่านพ้นวิกฤต ทำท่าเหมือนกับไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไร, และอาจซ้ำเติมให้เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤตเสียด้วย. นี่คือปัญหาที่ “คาใจ” ผู้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย.
          ผมคงไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายความไม่ปกติของบ้านเมืองในขณะนี้ และก็คงไม่ต้องบอกว่าสาเหตุมาจากใครและเพราะอะไร ด้วยสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว. ซึ่งหากมีผู้ใดมองไม่เห็น หรือไม่เข้าใจ, ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะมีอยู่เป็นจำนวนมากเหมือนกัน, ผมก็ไม่ทราบว่าจะช่วยทำให้หูตาสว่างได้อย่างไรในเวลาอันสั้นๆ.
          ความไม่ปกติของบ้านเมืองที่สำคัญก็คือ การแตกความสามัคคีของคนไทยที่นับวันจะร้าวลึก ซึ่งได้ก้าวไกลไปจนถึงขั้นที่ไม่อาจจะอยู่ในสังคมเดียวกันได้ เพราะมองโลกเห็นคนละสี. การแตกสามัคคีของคนไทย มิได้เกิดจากความขัดแย้งในเหตุผลและหลักการ, แต่เกิดจากความผิดเพี้ยนในมโนธรรมและพฤติกรรมของบุคคลบางคน ที่จงใจให้สังคมเกิดความสับสนเพื่อการสำเร็จประโยชน์ของตนเองโดยเฉพาะ ที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากบ้านเมืองมีความสงบและผู้คนสามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆตามหลักการและความเป็นจริง.
          ความไม่ปกติดังกล่าวนี้ได้นำไปสู่พฤติกรรมของมวลชนที่ฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมประเพณี, วัฒนธรรม, ตัวบทกฎหมาย และหลักนิติธรรม โดยอ้างอิงสิ่งที่ไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง, ทั้งที่เจตนา และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์. ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้จะต้องถูกยับยั้งโดยเด็ดขาด โดยอำนาจรัฐที่มีไว้เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติบ้านเมือง และเพื่อสันติสุขของประชาราษฎร์ ตามที่ตราไว้ในกฎหมาย ส่วนหนึ่ง และโดยสื่อมวลชน ในฐานะที่มีหกน้าที่ในการบอกให้รู้, แจ้งให้ทราบ และสื่อให้เข้าใจ ในระหกว่างสาธารณชน อีกส่วนหนึ่ง.
          ในปัจจุบัน เครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความไม่ปกติของสังคมไทยทั้งสองส่วนที่กล่าวข้างต้นนี้ ยังมิได้ถูกทำให้สำเร็จประโยชน์. กานรใช้อำนาจรัฐก็ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะสาธารณชนยังมิได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องไปในทางเดียวกัน, ขณะที่สื่อมวลชนก็เพียงทำหน้าที่เป็น “กระจกเงา” สะท้อนให้เห็นถึงความสับสน โดยมิได้พยายามช่วยคลี่คลายความสับสนหรือในบลางกรณี ก็อาจจะเติมความสับสนลงไปในสังคม ส่งผลให้ความไม่ปกติเพิ่มพูนขึ้น. จนกระทั่งกลายเป็นความวิกฤติที่ซ้อนความวิกฤต.
          ตามที่กล่าวมานี้ จะเห็นว่าสื่อมวลชนมีบทบาทที่สำคัญยิ่งในยามที่บ้านเมืองตกอยู่ในความวิกฤต ดังเช่นเป็นอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้. ความสำคัญของบทบาทของสื่อมวลชนอยู่ที่การทำหน้าที่บอกให้สาธารณชนรู้, แจ้งให้สาธารณชนทราบ และสื่อให้สาธารณชนมีความเข้าใจ ว่าความจริงเป็นประการใด, ความถูกต้องอยู่ที่ไหน และสิ่งใดที่ควรประพฤติ และไม่ประพฤติ. ถ้าหากว่าสื่อมวลชนได้ทำหน้าที่ตามความรับผิดชอบต่อสังคมดังกล่าวนี้, แม้จะทำไม่ได้ครบถ้วน หากไปในทิศทางที่ถูกต้อง, ความไม่ปกติของบ้านเมืองจะลดลง และสันติสุขจะกลับคืนมา.
          แต่การที่สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ได้อย่างถูกต้อง ก็มีเงื่อนไขบางประการ ซึ่งเงื่อนไขที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ ก็มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการดังนี้
          ประการแรก สื่อมวลชนในยามที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในความวิกฤตหรือความไม่เป็นปกติ จะต้องพักบทบาทในการทำหน้าที่ “กระจกเงา” ที่สะท้อนความสับสนต่างๆให้สาธารณชนซึ่งมีความสับสนอยู่แล้ว รู้, ทราบ และเข้าใจ ความสับสน, นอกจากจะต้องการให้มีความสับสนมากขึ้น. หน้าที่ของสื่อมวลชนก็คือ การทำให้สาธารณชนคลายความสับสน ด้วยการบอกสิ่งที่เป็นความถูกต้องให้รู้. แจ้งให้ทราบว่าอะไรคือความไม่ถูกต้องและเป็นอันตราย และสื่อให้เข้าใจเหตุผลและที่มาที่ไปของเรื่องนั้นๆ. ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็คือ สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่เป็น “ไฟฉาย” ที่ส่องแสงให้สาธารณชนได้รู้, ได้เห็นและได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกต้อง ให้ชัดเจนในความเป็นจริง, ในหลักวิชาการ และสอดคล้องกับหลักนิติธรรม, ในขณะเดียวกัน สื่อมวลชนพึงจะต้องละเว้นที่จะเผยแพร่สิ่งวที่ไม่ถูกต้อง, ขัดหลักวิชาและไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรม. ในกรณีที่จตะบอกกล่าวแก่สาธารณชน ก็ต้องชี้ชัดลงไปด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และควรระมัดระวังไม่หลงผิดไปด้วย.
          กล่าวโดยสรุปในเงื่อนไขข้อแรกนี้ก็คือ สื่อมวลชนจะต้องยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องเสมอไป อย่างชัดเจนและโปร่งใส.
          ประการที่สอง การที่จะยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องในเรื่องต่างๆ สื่อมวลชนจะต้องมีความรู้และความเข้าใจว่าอะไรคือความถูกต้อง และอะไรที่ไม่ถูกต้อง. การแยกแยะระหว่างความถูกต้องกับความไม่ถูกต้องนีเ คงจะใช้”สามัญสำนึก”ไม่ได้, กล่าวคือ จะคิดเอาเองคงจะเกิดความพลาดพลั้งได้. สำหรับเรื่องทั่วๆไป ก็คงไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นเรื่องทางเทคนิคแล้ว จะต้องพึ่งพาหลักวิชาการและการวิเคราะห์ที่เป็นระบบ, และเช่นั้น ก็จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก. ดังนั้นการทำหน้าที่สื่อมวลชนจึงต้องการ”ความรู้” และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ ก่อนที่จะได้มาซึ่ง “วิจารณญาณ” สำหรับใช้ในการตัดสินใจที่จะบอกให้สาธารณชนรู้. แจ้งให้สาธารณชนทราบ และสื่อให้สาธารณชนเข้าใจ อย่างถูกต้อง, ชัดเจนและมีประสิทธิผล. สื่อมวลชนจะต้องไม่”ก้าวกระโดด”จากข้อมูลที่ได้รับ ซึ่งยังไม่ได้ “กรอง” ว่าถูกต้องเพียงใดและสมบูรณ์หรือไม่ ไปสู่การรายงานให้สาธารณชนได้รับทราบ.
          การแสวงหาความรู้ในหลักวิชาการและความจริง ตลอดจนการสร้างขีดความสามารถในการวิเคราะห์ กว่าที่จะได้มาซึ่ง “วิจารณญาณ” ในการตัดสินใจในแต่ละเรื่องนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากและซับซ่อน, แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณสมบัติของความเป็นสื่อมวลชน.
          ในประการสุดท้าย สื่อมวลชนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเคร่งครัดในเรื่องของความ “การวางตัวเป็นกลาง” ในสถานภาพที่มีความขัดแย้ง แต่ประการใด. ถ้าหากสื่อมวลชนมีวิจารณญาณที่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก, อะไควร อะไรไม่ควร อะไรดี และอะไรชั่ว, ก็ไม่ควรจะ “วางตนเป็นกลาง” เพราะจะต้องยืนหยัดอยู่ข้างความถูกต้อง, ความสมควรและความดี เสมอไป โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกกล่าวหาว่า “ไม่เป็นกลาง”.
          “ความเป็นกลาง” หมายถึงการยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใดที่กำลังมีความขัดแย้งกัน โดยไม่ใยดีว่าฝ่ายใดจะชนะหรือแพ้, ฝ่ายใดมีธรรมะ และฝ่ายใดคือ อธรรม, หรือฝ่ายใดอยู่ข้างกฎหมายและหลักนิติธรรม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งท้าทายกฎหมายและหลักนิติธรรม.  ข้อแก้ตัวของผู้ที่วางตัวเป็นกลางท่ามกลางความวิกฤต ก็เพียงประการเดียวคือ ไม่ทราบว่า ใครผิด ใครถูก, และไม่สามรถแยกแยะได้ว่า อะไรถูกต้อง แลชะอะไรไม่ถูกต้อง จึงต้องวางตัว “เป็นกลาง” เอาไว้ก่อน. การวางตัว “เป็นกลาง” ดังกล่าวนี้สมควรที่จะต้องถูกตำหนิติเตียนเป็นอย่างยิ่ง.
          เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 13-14 ยอดกจินตกวีอิตาเลียน ดังเต้ ได้ประพันธ์เอาไว้ในบทกวีบันลือโลกที่ชื่อว่า “ดีวายน์ คอมมะดี้” มีข้อความที่เป็นอมตะตอนหนึ่งว่า “แดนที่ร้อนที่สุดด้วยไฟนรก คือสถานที่ซึ่งจัดสำรองไว้สำหรับเหล่าเดนมนุษย์ที่วางตัวเป็นกลางในยามที่สังคมและบ้านเมืองกำลังอยู่ในความวิกฤตทางจริยธรรม”.
          เล่ากันว่า อดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ แห่งสหรัฐอเมริกา ชอบอ้างถึงบทกวีดังกล่าวนี้อยู่เสมอๆ.
*********


...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.

เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

29. เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน


          เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันการต่างประเทศ เทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ผมไปบรรยายเรื่อง “รู้จักประเทศไทยฯ”แก่นักการทูต 40 ท่าน ซึ่งกำลังอยู่ในหลักสูตรอบรมเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง ประจำปี พ.ศ. 2552 ความมุ่งหมายก็คือท่านข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวนี้จะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งในหน้าที่นั้น ก็จะต้องแนะนำให้ต่างประเทศรู้จักประเทศและเข้าใจความเป็นไทยอย่างชัดเจนและถูกต้อง แต่ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จำเป็นที่จะต้อง”รู้จักประเทศไทยฯ”เสียก่อน.
          “ประเทศไทย” ซึ่งจะทำความรู้จักและเข้าใจนั้น มิใช่ประเทศไทยในเชิงกายภาพ อันได้แก่ภูมิศาสตร์, ทรัพำยากรธรรมชาติ, แหล่งท่องเที่ยว, ปูชนียสถาน, สถาปัตยกรรมไทย และศิลปวัฒนธรรม อะไรพวกนั้น, แต่เป็น “ประเทศไทย” ในด้านการเมืองการปกครอง, เศรษฐกิจ, สังคม และวัฒนธรรม ที่บ่งบอก”ความเป็นไทย”.
          ผมไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเจาะจงให้ผมมาบรรยายในเรื่องดังกล่าวนี้ แต่ผมก็มีความยินดีที่จะรับใช้ ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก. ซึ่งทำให้ผมต้องใช้ความคิดว่าจะต้องกล่าวถึงอะไรบ้างในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงที่เขาจัดให้ผมบรรยาย
          เนื่องจาก”ประเทศไทย”ที่ผมรู้จักและเข้าใจอาจจะไม่เหมือนกับ”ประเทศไทย” ในสายตาของคนทั่วไป, อีกทั้งผมได้เฝ้าดูและพยายามวิเคราะห์”วิวัฒนการสังคมไทย” อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน, ดังนั้นผมจึงมองเห็นหลายประเด็นที่คนอื่นๆอาจจะมองไม่เห็น ซึ่งก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ถ่ายทอดทัศนคติและมุมมองของผมไปสู่คนรุ่นหลังที่กำลังทำหน้าที่สำคัญให้แก่บ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้.
          ผมได้สรุปสาระสำคัญของคำบรรยายประมาณ 10 กว่าหน้าพิมพ์ดีด ให้เจ้าหน้าที่ทำสำเนาแจกจ่ายให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม และโดยอาศัยเอกสารดังกล่าว ผมกำลังเรียบเรียงขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งภายใต้ชื่อว่า “ความรู้เรื่องเมืองไทย เพื่อรู้จักประเทศไทย, เข้าใจสังคมไทยและตระหนักในความเป็นไทย” เพื่อให้ได้เผยแพร่ในวงกว้าง. หนังสือเล่มนี้น่าจะพิมพ์ออกสู่ตลาดได้ประมาณเดือนกันยายน 2552 พร้อมๆกับหนังสือของผมอีกเล่มหนึ่งที่ให้ชื่อว่า “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจฐานรากของถนนสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์”.
          ในการทำความรู้จักกับ”ประเทศไทย”วันนี้ ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่แนะนำและผู้ที่รับคำแนะนำ จะต้องตระหนักว่า ในปัจจุบันเมืองไทยกำลังตกอยู่ในความสับสน และจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าวนี้ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงจะทำความรู้จัก”ประเทศไทย” ซึ่งในปัจจุบันถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยความสับสนในหลายๆเรื่อง.
          สำหรับเรื่องใหญ่ๆที่กำลังมีความสับสนกันอยู่ในเมืองไทย และในความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชนคนไทย ในลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง, เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ, เรื่องที่ว่าด้วยทัศนะทางฃสังคม, และเรื่องของวัฒนธรรม.  “ความสับสน”ที่ว่านี้มีลักษณะที่ต่างๆกัน และมีที่มาที่ต่างๆกัน. กล่าวรวมๆก็คือเมืองไทยและคนไทยกำลังมีความสับสนซึ่งทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข. การทำความเข้าใจกับ “ความสับสน” จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันไม่มากก็น้อย.
          เรื่องแรกของ”ความสับสน” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง ซึ่งศูนย์รวมของความสับสนก็อยู่ที่คำว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งฃผมคิดว่าหากลืมคำๆนี้ไปเสียได้ หรือห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงคำๆนี้ “ความสับสน”ในสังคมไทยจะคลี่คลายลงไปมาก. แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย”ได้เข้ามาสิงอยู่ในเลือดเนื้อและวิญญาณของสาธารณชนคนไทยเสียแล้ว, กล่าวคือเข้ามาแต่ “คำ”, มิใช่ “ตัว”ประชาธิปไตยเอง.
          ความจริงนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.247, สาธารณชนคนไทยก็ไม่มีความสับสนในเรื่องประชาธิปไตย อีกทั้งได้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของ”ประชาธิปไตย” อันมีต่อบ้านเมืองและสังคมตลอดจนต่อราษฏร, คนไทยเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงเมืองไทยเป็น “ประชาธิปไตย”จะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชน ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยายามทำนุบำรุงอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด.
          “ความสับสน”ในคำว่า “ประชาธิปไตย” ก่อตัวขึ้นพร้อมกับกาสรรุกคืบเข้ามาของ “คอมมิวนิสต์” ซึ่งชูธงว่าทำการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่ง”ประชาธิปไตย” ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลก้ประกาศว่าจะต้องกวาดล้าง เพื่อรักษา”ประชาธิปไตย”เอาไว้.  การอ้าง”ประชาธิปไตย”โดยทั้งสองขั้วที่ต่อสู้กัน, แม้ว่าจะมีการเรียกชื่อเฉพาะว่าฝ่ายหนึ่งเป็น “เสรีประชาธิปไตย” ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์” ก็มิได้คลี่คลายความสับสน. ต่อมาฝ่าย”คอมมิวนิสต์” หมดกำลังไป พร้อมกับการเข้ามามีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองไทยของ”ระบบทุนนิยม”ซึ่งอ้างว่าเป็น “เสรีประชาธิปไตย”ของจริง. แต่มิช้ามินานสาธารณชนก็เริ่มรู้สึกว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจดังกล่าว สังคมไทยได้แตกแยกออกมาเป็น”นายทุน”ฝ่ายหนึ่ง และ”ผู้ใช้แรงงาน”อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแม้จะร่วมกันผลิต แต่การแบ่งสรร”มูลค่าเพิ่ม”ที่เกิดจากการผลิตนั้น ก็ยึดถือเอาผลประโยชน์ของ “นายทุน”เป็นหลัก จึงเกิดความไม่แน่ใจในความหมายของคำว่า “เสรีประชาธิปไตย”. มาถึงปัจจุบัน สังคมไทยได้แบ่งแยกออกเป็นพวก, ที่ชื่นชมศรัทธา”ทักษิน”ฝ่ายหนึ่ง และที่ต่อต้าน”ทักษิน”อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่า”เพื่อประชาธิปไตย”.  ดงันั้นหากสังคมไทยไม่ตกอยู่ใน “ความสับสน”แล้ว จะเรียกว่าอะไร.
          คำว่า”ประชาชน” ก็คล้ายกัน. ทั้งๆที่”ประชาชน”หมายถึงกลุ่มบุคคลต่างๆที่เป็น”สามัญชน” คือมิใช่ข้าราชการ, พ่อค้า หรือพระสงฆ์องค์เจ้า (ตามที่กล่าวกันว่า ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน), มิได้หมายถึง”ปวงชน” ซึ่งเป็นชนำทั้งประเทศผู้เป็นเจ้าของ”อธิปไตย”,  แต่เมื่อการชุมนุมครั้งใดมี”ประชาชน” มาร่วมกันจำนวนมากๆ ก็อ้างว่าเป็น “ปวงชน”.  ดังนั้นจึงเกิดความสับสนว่า “ประชาชน” พวกไหน, ของใคร และสวมเสื้อสีอะไร, แต่ที่แน่ๆก็คือแต่ละกลุ่มของ”ประชาชน”หาใช่”ปวงชนชาวไทย”แต่อย่างใด, ซึ่งจะอ้างสิทธิเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองและสังคมไม่ได้.
          เรื่องของ “เศรษฐกิจ”ยิ่งสับสนกันใหญ่ เพราะลักษณะของปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน ดังนั้น”สามัญสำนึก” จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างปราศจากขอบเขตในการเสนอปัญหา, วิเคราะห์ปัญหา และเรียกร้องนโยบายและมาตรการแก้ปัญหา. ในปัจจุบัน สาธารณชนคนไทยตกอยู่ใน”ความสับสน” ไม่ทราบว่าสิ่งใดถูกต้อง เพราะความขัดแย้งทางการเมืองไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งสติทำความเข้าใจในเรื่องของ”เศรษฐกิจ” ตามหลักวิชาและข้อเท็จจริง.
          สำหรับ”ทัศนะทางสังคม” ก็มีความสับสนเช่นเดียวกับในเรื่องการเมืองการปกครองและเรื่องเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมีอิทธิพลเหนือทัศนะทางสังคม และทัศนะทางสังคมมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครองของประเทศ.  ในปัจจุบัน ทัศนะทางสังคมมีความโน้มเอียงไปสู่การยอมรับ”ธนานุภาพ”คือถือว่า “เงิน” เป็นใหญ่ และยอมรับผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลเหนือประโยชน์ของประเทศชาติ, ของบ้านเมืองและของส่วนรวม.
          ความสับสนในเรื่องของวัฒนธรรมที่ปรากฏชัดเจนก็คือ ทัศนะทางสังคมที่กล่าวหาว่า “วัฒนธรรมตะวันตก” เข้ามาทำให้วัฒนธรรมไทยเสื่อมโทรม ทั้งๆที่โดยภาพรวมแล้ว “วัฒนธรรมตะวันตก” ที่สังคมไทยเปิดรับอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 150 ปี ได้ยกระดับปรับแต่งให้ไทยเราก้าวมาสู่สังคมโลกได้อย่างสง่างาม. สำหรับบรรดาสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลายนั้นมีลักษณะเป็น”ขยะ”อันไม่พึงประสงค์ของทุกๆวัฒนธรรม.
          ลักษณะของ”ความสับสน”ในสังคมไทยก็มใหลายประการ อาทิ ความสับสนในความคิดเห็น, ความสับสนในความเชื่อความศรัทธา, ความสับสนในคำอธิบายและการชี้แจง และความสับสนในความหมายของภาษาที่ใช้. “ความสับสน” ดังกล่าวนี้เนื่องมาจากสังคมไทยขาด “จิตสำนึก” ทางประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และจริยธรรม. จิตใจของผู้คนโดยทั่วไปถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจทุนนิยม, การขาดอุปนิสัยในการศึกษาทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆที่มีความซับซ้อน, การขาดความมั่นคงในจิตใจของบุคคล, ตลอดจนการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “สื่อมวลชน” ทั้ง “แท้” และ “เทียม” ที่ตกอยู่ในความสับสนเช่นเดียวกับสาธารณชน.
          ที่น่าวิตกก็คือในปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคล ที่มุ่งประโยชน์ทางการเมือง จงใจที่จะสร้าง”ความสับสน”ให้แก่สาธารณชนคนไทย.

...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....     


ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

28. ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ

          ในระยะเวลาที่ผ่านมา สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยแม้จะเข้าสู่ระบบ และกระบวนการตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย ทำให้กลไกการบริหารบ้านเมืองสามารถดำเนินต่อไปได้ตามปกติ, แต่ความขัดแย้งก็ยังมีความรุนแรง และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงต่อไปโดยปราศจากจุดจบ, นำความวิตกกังวลมาสู่คนไทย ที่รักจะได้เห็นสันติสุขเกิดขึ้น.
          ทั้งนี้เพราะเหตุยังไม่ดับ.
          สัจธรรมข้อนี้คนไทยทุกคน ทุกกลุ่มและทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกัน. ที่แตกต่างกันก็คือปัญหาว่า อะไรคือเหตุ. การที่จะดับเหตุ จำเป็นจะต้องมีความชัดเจนว่า อะไรคือเหตุ. คนส่วนใหญ่ที่มีโอกาสไตร่ตรองเหตุการณ์บ้านเมือง ก็พอที่จะทราบว่า เหตุอยู่ตรงไหน, ขณะที่ยังมิได้พยายามหาคำตอบให้ได้ว่า จะดับเหตุนั้นได้อย่างไร.
          เมื่อยังไม่อาจที่จะดับเหตุได้ สังคมไทยก็แสวงหาวิถีทางที่อาจจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของความขัดแย้ง โดยสนับสนุนให้มหาชนช่วยกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของกลไกทางการเมืองในปัจจุบัน ให้มีความสอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชนคนไทยทุกหมู่ทุกเหล่า, รวมทั้งการเรียกร้องหา “การเมืองใหม่” ซึ่งเป็นการเมืองที่มีธรรมะนำหน้า อันแตกต่างไปจากการเมืองแบบเก่าๆ ที่นักการเมืองมุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ของตนเป็นภารกิจหลัก โดยภารกิจทางการเมืองเปรียบได้กับการประกอบธุรกิจอย่างหนึ่ง ที่ต้องมีการลงทุน และการมุ่งหวังกำไรตอบแทน.
          หลายคนเรียกภารกิจดังกล่าวนี้ว่า “การปฏิรูปการเมือง” คือการทำให้การเมืองมีคุณภาพมากขึ้นและดำเนินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอันสมบูรณ์, ทั้งนี้โดยเป็นที่เข้าใจว่า “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” คือความปรารถนาอันสูงสุดของประชาชาติ.
          ประชาชนคนไทยเมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องนี้ก็จะเกิด “ปัญหาที่คาใจ” ขึ้นมาทันที 3 ประเด็น ดังนี้คือ
          ประเด็นแรก “ปฎิรูปการเมือง” กันอีกแล้ว เพราะคนไทยเราได้ยินคำนี้อย่างต่อเนื่องมานานปี ดูเหมือนตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2516 เมื่อมีการเดินขบวนตามถนนราชดำเนิน ประท้วงรัฐบาลทหารซึ่งบริหารบ้านเมืองอยู่ในขณะนั้น ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง, เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองไทยเราในทุกวันนี้ โดยได้มีการ”ปฏิรูปการเมือง”กันมาเป็นระยะๆ และไม่รู้จักจบสิ้น.
          ประเด็นที่สอง เมื่อใดที่มีการกล่าวถึงการ “ปฏิรูปการเมือง” ก็มักจะมีความพยายามที่จะยกเลิกรัฐธณรมนูญฉบับที่กำลังใช้อยู่ และยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยทำให้เข้าใจว่าการนั้นจะทำให้การเมืองมีคุณภาพมากขึ้น และจะนำไปสู่ “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” มากขึ้น. หลายคนจำได้ว่านับตั้งแต่ปี 2516 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญมาอีก 4-5 ฉบับ. ดังนั้น เมื่อจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของกลไกการเมืองกันอีก โดยเห็นว่าที่ผ่านมา การเมืองไทยล้มเหลว, ก็คงจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่อีกฉบับหนึ่ง.
          ประเด็นสุดท้าย ซึ่งเป็นปัญหาที่คาใจกันมานาน ก็คือปัญหาว่าด้วย “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ซึ่งแยกออกได้เป็น ปัญหาว่า “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” คืออย่างไร และปัญหาว่าเมืองไทยของเราจะมีสิทิที่จได้เห็นและได้มี “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” กับเขาบ้างไหม, อีกทั้งจะได้มาด้วยวิธีการใด.
          ผมเองก็ให้ความสนใจต่อประเด็นสุดท้ายของปัญหาคาใจนี้อยู่มาก และจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีท่านผู้รู้ช่วยให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องข้างต้นนี้เลย โดยส่วนใหญ่มักจะเป็นการออกความคิดเห็นในเรื่องกลไกการเมืองที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ซึ่งอาจจะมีความผิดแผกแตกต่างกันบ้าง ตรงจุดนั้นจุดนี้.  นอกจากนั้น ความขัดแย้งกันก็มักจะอยู่ที่กลไกการเมืองดังกล่าวนี้ ซึ่งทำให้มีการเรียกร้องให้มีการแก้ไข, ยกเลิก หรือยกร่างใหม่ รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ.
          ผมเห็นว่าการกล่าวถึง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” นั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการ “ปฏิรูปการเมือง” มาก โดยมีเรื่องราวหลายประเด็นที่ต้องการความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนการตกลงใจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ซึ่งย่อมจะนำไปสู่ความขัดแย้งในความคิดที่ไม่มีโอกาสจะเห็นพ้องต้องกัน. ดังนั้น “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” จึงต้องการเวลาสหรับการศึกษาวิเคราะห์, การปรึกษาหารือ ตลอดจนการทำความเข้าใจที่ตรงกันและสอดคล้องต้องกันของคนทั้งประเทศ. ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่จะต้องมีความรู้ ความคิดและความสนใจในปัญหาของบ้านเมืองเป็นส่วนรวม อีกทั้งจะต้องแยกแยะได้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว และผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งจะต้องยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนรวมในทุกกรณี.
          เริ่มต้นก็จะต้องมีความชัดเจนในความหมายของ “ประชาธิปไตย” เพราะ “ประชาธิปไตย” มีความหมายที่แตกต่างกันไปในความเข้าใจของแต่ละบุคคล และแต่ละกลุ่มบุคคล โดยมักจะคิดกันแต่ว่า จะได้อะไรจาก “ประชาธิปไตย” โดยมิได้คิดถึงว่า จะต้องเสียสละสิ่งใดอันเป็นประโยชน์ส่วนตัว เพื่อได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย” ในบริบทของส่วนรวม.
          นอกจากนั้นก็จะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า “ประชาธิปไตย” นั้น เป็น “วิถีทาง” หรือ “วิธีการ” ที่จะนำไปสู่ “จุดหมาย”ของสังคม เช่น สันติสุขอย่างถาวร เป็นต้น, หรือจะเป็น “จุดหมาย”เสียเอง. กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เราต้องการ “ประชาธิปไตย” เพื่อเป็น “วิถีทาง” อันจะนำไปสู่สันติสุขอันถาวรของสังคม หรือเราต้องการ “ประชาธิปไตย” เพื่อ “ประชาธิปไตย”. คำตอบในเรื่องนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย.
          ต่อไปก็จะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า “ประชาธิปไตย” หมายถึง “ประชาชน”เป็นใหญ่ หรือ “ประโยชน์ของประชาชน”เป็นใหญ่.  ซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกันมาก. นอกจากนั้นก็ยังต้องทำให้มีความเข้าใจที่ตรงกันว่า “ประชาชน” หมายถึงใคร. ในปัจจุบันมีความสับสนในเรื่องนี้กันมาก เพราะใครๆก็อ้าง “ประชาชน”.
          ที่สำคัญก็คือ จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่า สิ่งใดบ้างที่เป็นความปรารถนาของประชาชนชาวไทย. สิ่งใดที่เป็น”ความจริง” และสิ่งใดที่เป็นเพียง”ภาพลวงตา”.  คำถามข้อแรกก็คือ คนไทยเราต้องการ”ประชาธิปไตย”จริงๆหรือ เพราะพฤติกรรมต่างๆที่ปรากฏให้เห็นก็มิได้ยืนยันว่าคนไทยปรารถนา “ประชาธิปไตย” สักเท่าใดนัก.
          “เสาหลัก” ของ “ประชาธิปไตย” ประกอบด้วย ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ, ประชาธิปไตยในทัศนะทาฃงสังคม, และประชาธิปไตยของระบอบการปกครองและกลไกทางการเมือง.  “เสาหลัก”ดังกล่าวนี้เป็นบานรากของ “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ซึ่งทุกเสาจะต้องมีความแข็งวแกร่ง. ลำพัง”กลไกทางการเมือง” ประการเดียวไม่สามราถที่จะพัฒนา “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”ได้.
          สาเหตุที่เมืองไทยยังห่างไกลจาก “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” แม้ว่าจะได้เปลี่ยนระบอบการปกครองและกลไกทางการเมืองมาเป็นแบบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 และมีการปฏิรูปกลไกทางการเมืองฃครั้งใหญ่ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็เพราะมิได้ให้ความเอาใจใส่อย่างจริงจังต่อ “เสาหลัก” อีก 2 เสา คือ ประชาธิปไตยทางเศราฐกิจ และประชาธิปไตยในทัศนะทางสังคม.
          ประชาธิปไตยในทัศนะทางสังคม ก็มีอาทิ จิตสำนึกในศีลธณรม, คุณธรรมและจริยธรรม, จิตสำนึกในการยึดถือเอาประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง, ความเสมอภาคในฐานะทางเศรษฐกิจสังคม และจิตสำนึกในภารดรภาพขอลมวลมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน.
          ที่สำคัญที่สุดก็คือ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีความหมายคนละเรื่องกับ “เศรษฐกิจทุนนิยม” และเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจสับสน.

          ประชาธิปไตยทางเศราฐกิจมีลักษณะสำคัญ 5 ประการ ดังต่อไปนี้คือ
1.                 การมีระบบเศรษฐกิจที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งสำหรับเมืองไทยจำเป็นจะต้องมี “ระบบเศรษฐกิจคู่” คือโดยทั่วไปเป็นระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ขณะที่ในพื้นที่ชนบทซึ่งราษฎรส่วนใหญ่เสียสมดุลทางเศรษฐกิจ กล่าวคือไม่สามารถผลิตและสร้างรายได้ให้เพียงพอสำหรับสนองความต้องการพื้นฐาน ใช้ระบบเศรษฐกิจ “สหกรณ์ชุมชน”.  ระบบเศรษฐกิจคู่ดังกล่าวนี้เป็นโครงสร้างที่สำคัญของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ.
2.                 การมี “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ”ในการผลิต, การแลกเปลี่ยน, การบริโภค, การลงทุน ฯลฯ ซึ่งมีขอบเขตและข้อจำกัด มิให้เกิดความได้เปรียบและความเสียเปรียบเกินสมควร.
3.                 การจัดสรร”มูลค่าเพิ่ม” ระหว่างผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ซึ่งมีส่วนร่วมกันผลิตสินค้าและบริการ อย่างเป็นธรรมและสอดคล้องกับคุณค่าในการนั้น.
4.                 การมีระบบภาษีอากรที่ทำให้การถือครองโภคทรัพย์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลมีความเหมาะสมและเท่าเทียมกัน โดยไม่เป็นอุปสรรคต่อการผลิต และการสร้าง”มูลค่าเพิ่ม”.
ระบบภาษีอากรดังกล่าวนี้ประกอบด้วย การใช้การบริโภคเป็นมาตรวัด “ความสามารถในการเสียภาษี” แทนการผลิตและรายได้, การจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในอัตราก้าวหน้า, และการจัดเก็บภาษีมรดก เป็นต้น.
5.                 การจัดให้มีสวัสดิการสังคมที่ทั่วถึงและเพียงพอในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการรักษาพยาบาล, การว่างงาน, ชราภาพ, ทุพลลภาพ และรวมถึงการศึกษาและการอบรมวิชาชีพ.

นอกจากนั้นก็ยังจะต้องพยายามดูแลให้รายได้ของบุคคลมีความสอดคล้องกับความหนักเบา และความยากง่ายของงานที่ทำ รวมถึงการเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายในด้านต่างๆด้วย, อีกทั้งต้องดูแลมิให้รายได้และค่าตอบแทนของบุคคลและกลุ่ทบุคคลในอาชีพต่างๆ มีความแตกต่างกันจนเกินไป.
เมื่อสังคมมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ อีกทั้งมีประชาธิปไตยในทัศนะทางสังคม ระบอบการปกครองและกลไกทางการการเมืองก็จะได้รับการพัฒนาโดยธรรมชาติ เข้าสู่ความเป็น”ประชาธิปไตยสมบูรณ์”.  ในทางกลับกัน ถ้าหากเศรษฐกิจไม่มีความเป็นประชาธิปไตย, อีกทั้งทัศนะทางสังคมก็ไม่เป็นประชาธิปไตย, การเมืองก็ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะใช้ระบอบการปกครองแบบไหน และบัญญัติกลไกการเมืองอย่างไรเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ.
อย่างไรก็ตาม การสร้าง”ประชาธิปไตยสมบูรณ์” เป็นภารกิจที่ยากยิ่ง เพราะเป็นการเรียกร้องความเสียสละจากประชาชนทุกหมู่เหล่า ในฐานะผู้เป็นเจ้าของประเทศโดยเหกือบจะมิได้ให้ผลตอบแทนเป็นส่วนตัวแต่ประการใดเลย.
เนื่องจากในปัจจุบัน(หรือแม้แต่ใมนอดีต) คนไทยเรามีพฤติกรรมที่ส่อไปใน “การเอาแต่ได้” และมักจะไม่มีจิตสำนึกในการเสียสละเพื่อส้วนรวม, ดังนั้นการสร้าง”ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ” จึงอาจเป็นไปไม่ได้ในเมืองไทย, ไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบัน หรือในอนาคต. ดังนั้นคนไทยก็จะต้องไม่คาดหวังใดๆในเรื่อง “ประชาธิปไตยสมบูรณ์”, หรือแม้กระทั่งจะต้องยอมรับประชาธิปไตยเพียงบางส่วน หรือบางระดับเท่านั้น.

...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....     


วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563

ถอดรหัสเศรษฐศาสตร์ เพื่อเข้าใจเศรษฐกิจ - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

18. ถอดรหัสเศรษฐศาสตร์
เพื่อเข้าใจเศรษฐกิจ


          เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้ามาบริหารประเทศในปี พ.ศ. 2502 ท่านได้ให้ความสำคัญต่องานในด้านวิชาการเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการในด้านเศรษฐศาสตร์, ในช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ฯได้กล่าวในโอกาสหนึ่งว่า
          “เศรษฐกิจเป็นเรื่องเกี่ยวกับสามัญสำนึกอยู่มาก คนที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มาเลย ก็อาจพูดเรื่องเศรษฐกิจได้มาก และความเข้าใจที่ว่ารู้มากอยู่แล้ว ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยวิชาการ อาจคิดเอาเองได้ ความคิดเช่นนี้ไม่มีในตัวข้าพเจ้า”.
          ผมรับราชการในด้านเศรษฐกิจในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงมีโอกาสได้ติดตามนโยบายและแนวความคิดของผู้นำรัฐบาลอย่างค่อนข้างใกล้ชิด และยืนยันได้ว่าท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ น่าจะกล่าวข้อความข้างต้นด้วยความจริงใจ.
          ในเรื่องนี้ เราจะต้องยอมรับความจริง 2 ข้อ คือประการแรก แนวคิดและข้อวิเคราะห์ในเชิงทฤษฎีของ “เศรษฐศาสตร์” นั้นไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด, ซึ่งสำหรับผม เห็นว่ายากพอสมควรทีเดียว, และประการที่สอง เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจที่จะต้องวิเคราะห์ขึ้นมา ดูเหมือนว่าไม่ค่อยจะได้ให้ความเอาใจใส่กับ “เศรษฐศาสตร์” เท่าใดนัก.
          ข้อสังเกตของผมดังกล่าวนี้ก็ตรงกับคำกล่าวของท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ เมื่อเกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว.
          ผมเชื่อว่า ด้วยพฤติกรรมที่ปรากฏให้เห็นดังที่ว่านี้ ก็น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความสับสนในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งก็บังเอิญเป็นเรื่องที่พัวพันอยู่กับชีวิตประจำวันของมนุษย์เราโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้, และความสับสนดังกล่าวก็ย่อมจะมีลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ”ประเภทหนึ่ง.
          สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีความสับสนในเรื่องของเศรษฐกิจก็คือข่าวสารที่รายงานทุกวัน วันละหลายเพลา โดยสื่อมวลชนแขนงต่างๆ, ซึ่งผมคิดว่า แม้สื่อมวลชนที่รายงานก็คงจะมีความรู้สึกสับสนกับข่าวด้วยเช่นกัน.
          มาพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน.
          โดยที่ข่าวสารทางเศรษฐกิจมักจะรายงานใน “เชิงปริมาณ” คือนำเสนอเป็น “ตัวเลข” โดยไม่มีคำอธิบายตัวเลขเหล่านั้นอย่างครบถ้วนและถูกต้อง, ความสับสนก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น.
          มีรายงานข่าวสารเป็นตัวเลขในทำนองว่าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีปัญหาในด้าน “ความเชื่อมั่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเชื่อมั่นจาก “นักลงทุนต่างชาติ”, ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์กลับเฟื่องฟู ดังจะเห็นได้จากดัชนีราคาหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นนับร้อยจุด พร้อมด้วยมูลค่าการซื้อขายในแต่ละวันหลายหมื่นล้านบาท ซึ่ง “การลงทุน” จากภายนอกประเทศมีบทบาทอย่างมาก.
          อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่มขึ้น(แข็งขึ้น) มาโดยตลอด จนกระทั่งถึง 33 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ 40 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์เมื่อไม่นานมานี้, ซึ่งแสดงว่าเงินบาทของเรามีค่าสูงขึ้น และได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยสะท้อนสถานภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น แม้จะมีปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง และความไม่สงบที่ภาคใต้ก็ตาม.
          ทั้งๆที่เงินบาทมีอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกได้รับเงินบาทจำนวนน้อยลงเมื่อนำเงินตราต่างประเทศท่ได้รับจากการส่งออกมาแลกเป็นเงินบาท, ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกของประเทศในภาพรวม (คือรวมการส่งออกทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการส่งออกสินค้าต่างประเทศที่ผลิตหรือประกอบขึ้นในประเทศไทย) ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ.
          นอกจากนั้นก็ยังมีรายงานข่าวว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ลดน้อยถอยลง เพราะผู้บริโภคเกิด “ถอดใจ” ไม่ยอมใช้จ่ายเงินเสียดื้อๆ ทำให้ของขายไม่ได้ จนถึงกับว่าเศรษฐกิจจะพังทลายลงมา หากรัฐบาลไม่หาทางกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่ายเงิน.
          ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานจากหน่วยราชการบางแห่งว่ามีผู้ผลิตหลายรายขออนุญาตปรับราคาจำหน่ายสินค้าให้สูงขึ้น เพราะ”ต้นทุน”ในการผลิตสูงขึ้น ทั้งๆที่สินค้านำเข้าซึ่งรวมถึงวัตถุดิบและชิ้นส่วนต่างๆ น่าจะมีราคาที่ถูกลง เพราะเงินตราต่างประเทศสำหรับใช้ซื้อสินค้านำเข้าเหล่านั้นถูกลง ยกตัวอย่างเช่นเดิมสินค้านำเข้าราคา 1 ดอลลาร์เท่ากับ 40 บาท แต่ขณะนี้เหลือเพียง 33 บาทเท่านั้น.
          และสินค้าส่งออกมิใช่น้อยก็น่าจะมีต้นทุนการผลิตต่ำลง เพราะใช้วัตถุดิบนำเข้าที่ราคาถูกลง(ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ส่งออกยังคง “ฉลุย”)
          ที่ผมเอาประเด็นทางเศรษฐกิจที่มีการรายงานข่าวและพูดจากัน จนกระทั่งเกิดความสับสน บางประเด็นมายกเป็นตัวอย่าง ก็เพื่อที่จะยืนยันว่า เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังเป็นปัญหาในเรื่องของการสื่อความหมายภายในเมืองไทยอีกด้วยในปัจจุบัน.
          ซึ่งสาเหตุก็อย่างที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นคือ “เศรษฐศาสตร์” ไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด และไม่ค่อยจะให้ความเอาใจใส่ต่อ “เศรษฐศาสตร์” เมื่อวิเคราะห์เศรษฐกิจ.
          ยกตัวอย่างเรื่องข่าวการลดลงอย่างต่อเนื่องของความเชื่อมั่นในส่วนของผู้บริโภค ซึ่งมีข้อมูลสถิติชี้ว่า ในระยะหลังๆนี้ ประชาชนคนไทยใช้จ่ายน้อยลง.
          ข่าวเศรษฐกิจชิ้นนี้ได้ทำให้พ่อค้าวาณิชหลายคนตื่นตระหนก เพราะเข้าใจว่าเศรษฐกิจไทยซบเซา จากภาวะทางการเมืองที่อึมครึม และเหตุการณ์ปั่นป่วนรายวันใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายใช้สอย อันนำไปสู่การของไม่ได้.
          บรรดาผู้นำในวงการธุรกิจต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลรีบหามาตรการกระตุ้นให้คนไทยกลับมาใช้จ่ายเงินซื้อของทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไปตามที่เคยทำมา ก่อนที่ภาคธุรกิจจะประสบความหายนะ.
          ปฏิกิริยาของนักธุรกิจบางคนและผู้คนในวงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีกหลายๆคนที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์, บนจอภาพโทรทัศน์ และในเสียงวิทยุ ยืนยันว่าเมืองไทยของเรากำลังมีปัญหาในเรื่องการสื่อความหมายในเรื่องเศรษฐกิจ ด้วยสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ที่ท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปรารภไว้เมื่อเกือบครึ่งศตซรรษมาแล้ว และที่ผมได้สรุปให้มีความชัดเจน.
          คำอธิบายภาวะการณ์ลดน้อยถอยลงของการบริโภคภายในประเทศ ที่นำไปเกี่ยวไว้กับสภาวะทางการเมืองและเหตุการณ์ความกำเริบเสิบสานของอาชญากรในบางจังหวัดภาคใต้ เป็นคำอธิบายที่มิได้พึ่งพา “เศรษฐศาสตร์” เอาเสียเลย.
          ความจริงการที่ประชาชนคนไทยใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคน้อยลงนั้น ก็เนื่องด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ
(1)              คนไทยเราเริ่มซึมซับในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นพระราชทานเป็นคาถากำกับจิตสำนึกของพสกนิกรให้รู้จักอดออม, อดกลั้นในการใช้จ่ายเงินให้มีความพอดี,พอประมาณ และรู้จักเพียงพอ, ซึ่งก็คือ “ไม่ใช้ ไม่ซื้อ”. นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ทางราชการนได้อัญเชิญ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” สู่ความรับรู้และความเข้าใจประชาชนคนไทยอย่างจริงจัง ทำให้ซึมซับเข้าไปในจิตสำนึก. ผลที่ออกมาก็คือคนไทยจำนวนมากได้เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยลดความสุรุ่ยสุร่ายลงไปส่วนหนึ่ง.
(2) นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนของทางราชการได้มีผลทำให้ประชาชนผู้บริโภคที่อาศัยรายได้จากเงินฝากสถาบันการเงิน, รวมทั้งบรรดามูลนิธิทั้งหลาย, มีรายได้ลดลงมาก ซึ่งเมื่อรายได้ลดลง การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคก็ต้องลดลงตามไปด้วย.
(3) ผู้บริโภคระดับรากแก้วจำนวนนับเป็นแสนๆคนทั่วประเทศ บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในวัตถุมงคลซึ่งัม่นใจว่าสามารถบันดาลทุกๆสิ่งอันเป็นความปรารถนาของชีวิต ได้แก่ ความปลอดภัยจากภยันตราย, ความร่ำรวยมั่งคั่ง, ความเจริญก้าวหน้า ฯลฯ และได้เจียดรายได้ ตลอดจนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน ไปแสวงหาวัตถุมงคลดังกล่าว รวมเป็นจำนวนเงินในการนี้เป็นภาพรวม หลายหมื่นล้านบาท. ซึ่งมีผลทำให้ต้องเสียสละงดเว้นการบริโภคสิ่งอื่นๆไปพอสมควร.
คำอธิบายข้างต้นนี้เป็นคำอธิบายเศรษฐกิจที่ใช้ “เศรษฐศาสตร์” คือการวิเคราะห์ “อุปสงค์” ที่ความปรารถนาจะซื้อ และที่ความสามารถในการซื้อ.
เมใอวิคราะห์ในเชิง “เศรษฐศาสตร์” ออกมาเช่นนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า การที่ประชาชนใช้จ่ายเพื่อการบริโภคน้อยลง มิใช่เรื่องความเสียหาย. ตรงข้าม, การที่คนไทยรู้จัก “พอเพียง” และรู้จักมัธยัสถ์กลับทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจะมีอนาคตที่สดใส, มีเสถียรภาพและมีความมั่นคง ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน.
ส่วนในระยะสั้นนั้น เพื่อที่จะรักษาระดับของ “อุปสงค์” ในภาพรวมเอาไว้ ให้สามารถสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มต่อปี โดยใช้ประโยชน์ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างเต็มที่. ภาครัฐก็อาจพิจารณาเพิ่มรายจ่าย ทั้งเพื่อการบริโภคและเพื่อการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อชดเชยการลดลงของการบริโภคของครัวเรือน, อีกทั้งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมในการจูงใจภาคธุรกิจให้ดำเนินตาม, ซึ่งเท่าที่ทราบ  ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลก็ได้พยายามทำอยู่แล้ว.
          ถ้าจะให้ดีแล้ว ภาครัฐก็น่าจะพิจารณา “ทุ่ม” การใช้จ่ายเงินลงไปในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่มีปัญหาในเรื่องความมั่นคง โดยมุ่งทำให้พื้นที่ดังกล่าวเป็น “แดนสุขาวดีทางเศรษฐกิจ” โดยมาตรการต่างๆรวมทั้งการเพิ่มค่าตอบแทนความเสี่ยงอันตรายของบุคลากรในพื้นที่ อาทิ ครู, แพทย์, พยาบาล ฯลฯ, เช่น ให้เงิน 5,000 บาทต่อเดือนในกรณีของครู เป็นต้น. นโยบายและมาตรการทำนองนี้มีลักษณะเป็นการ “ใช้กระสุนนัดเดียว ยิงนกได้ 2 ตัว”, ซึ่งคุ้มค่าตามหลักเศรษฐศาสตร์.
**********
(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.)


วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2563

การปฏิวัติและรัฐประหาร ในสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

14. การปฏิวัติและรัฐประหาร
ในสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย


          การยึดอำนาจการปกครองของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549  ซึ่งมีประกาศให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 สิ้นสุดลง พร้อมกับคณะรัฐมนตรีรักษาการ, วุฒิสภา, ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นๆอีกบางองค์กร และต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้มีรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราวและการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีขึ้นบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยขึ้น บางปัญหกาที่คาใจสาธารณชนคนไทยทั่วไป.
          เริ่มต้นด้วยปัญหาที่ว่า การยึดอำนาจการปกครองที่ใช้กำลังทหาร ซึ่งเกิดขึ้นนี้เป็น “การปฏิวัติ” หรือ “การรัฐประหาร” หรือจะมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น, เพราะในประวัติศาสตร์ 75 ปีของการปกครองระบบประชาธิปไตย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยึดอำนาจการปกครองที่ใช้กำลังทหารมาหลายต่อหลายครั้ง, ซึ่งในกรณีที่กระทำไม่สำเร็จ ก็เรียกว่าเป็น “กบฏ”.
          ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับคำว่า “ปฏิวัติ”.  คำๆนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ขณะที่ดำรงฐานันดรศักดิ์ “หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร” ได้แสดงปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วประมาณ 1-2 เดือน ซึ่งทรงวินิจฉัยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง”หลักมูล”ของการปกครองแผ่นดิน ตรงกับที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “เรฟโวลูชั่น” (revolution) จึงทรงบัญญัติศัพท์ไทยว่า “ปฏิวัติ” เพื่อถ่ายทอดคำอังกฤษนั้น. ต่อมาในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก็ได้บัญญัติคำว่า “ปฏิวัติ” ว่าหมายถึง การหมุนกลับ, การผันแปรหลักมูล, การเปลี่ยนแปลงระบบ.
          ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชวิจารณ์การเปลี่ยนระบบบริหารราชการแผ่นดินครั้งสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2435 ว่ามีลักษณะเป็นการ “พลิกแผ่นดิน” โดยพระองค์ได้ทรงวงเล็บเป็นภาษาอังกฤษว่า “revolution”.
          ท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงศ์ ผู้เป็น “มันสมอง” ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งได้รับมอบหมาบจาก “คณะราษฎร” ให้เขียนแถลงการณ์ เห็นว่าการเปลี่ยนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (absolute monarchy) เป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (constitutional monarchy) หรือประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องใหม่ จึงได้ใช้คำไทยธรรมดาสามัญว่า “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง”.
          ต่อมาท่านปรีดีฯ พิจารณาเห็นคำว่า “ปฏิวัติ” ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า “การหมุนกลับ” น่าจะไม่ค่อยจะตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “revolution” ซึ่งหมายถึง “การเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า” หรือ “การเปลี่ยนแปลงเพื่อความดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม”.  ดังนั้นท่านจึงเสนอให้ใช้คำว่า “อภิวัฒน์” แทน. ส่วนคำว่า”ปฏิวัติ”นั้นคงใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะ “ถอยหลัง”.
          ขณะเดียวกัน กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ก็ทรงได้บัญญัติศัพท์ไทย “รัฐประหาร” เพื่อถ่ายทอดคำอังกฤษที่ชาวอังกฤษใช้ทับศัพท์ฝรั่งเศส “กูป์ เดตาต์” (coup detat) ซึ่งหมายถึงการยึดอำนาจการปกครอง หรืออำนาจรัฐ โดยฉับพลัน ซึ่งต่างกับวิธีได้อำนาจการปกครองโดยสงครามกลางเมือง (civil war).
          ดังกล่าวข้างต้นนี้จะเห็นว่า ในขณะที่ “รัฐประหาร” หมายถึง “วิธีการยึดอำนาจการปกครอง” โดยใช้กำลังและอย่างฉับพลัน, “อภิวัฒน์”(ใช้ศัพท์ตามที่ท่านปรีดี พนมยงศ์ แนะนำ) มุ่งไปที่ “วัตถุประสงค์” ของการยึดอำนาจ เพื่อเปลี่ยนแปลง”หลักมูล” หรือ “ระบบ” ให้ก้าวหน้าหรือดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เดิม.
          ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 จึงเป็นทั้งการ “รัฐประหาร” และ “การอภิวัฒน์” ระบอบการปกครองของชาติไทย เพราะ”คณะราษฎร”ได้ยึดอำนาจรัฐโดยฉับพลัน และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแผ่นดินให้มีลักษณะที่ก้าวหน้าไปจากที่เป็นอยู่เดิม.
          สำหรับการยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น เป็น”การรัฐประหาร” เพราะมิได้เปลี่ยนแปลง”หลักมูล” หรือ “ระบอบการปกครอง”ของประเทศ, แม้ว่าเป็นการกระทำรัฐประหารเพื่อ”ฟื้นฟู”การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้รับการบิดเบือนและความบอบช้ำในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นก็ตาม.
          ปัญหาที่ “คาใจ” อีกปัญหาหนึ่งก็คือความเข้าใจที่ไม่สู้จะตรงกันนักของบุคคลต่างๆใน “สาระสำคัญ” ของ “ประชาธิปไตย”.
          หลายคนเข้าใจว่า “การเลือกตั้ง” ตามที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญคือ “สาระสำคัญของประชาธิปไตย” เพราะเป็รนการแสดงออกและการใช้”อำนาจอธิปไตย”ของปวงชน, อีกทั้งเป็นโอกาสสำคัญที่สุดที่ประชาชนทั้งประเทศจะมี”ส่วนร่วม”ในการปกครองบ้านเมือง.
          ความเข้าใจดังกล่าวข้างต้นนั้นถูกต้อง แต่เป็นความถูกต้องเพียงส่วนเดียว เช่นเดียวกับที่กล่าวว่า “นาย ก. ต้องเป็นคนดี เพราะนาย ก. เป็นครู, เพราะหากเป็นคนไม่ดี ก็คงจะไม่ได้เป็นครู”, ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว นาย ก. อาจจะมิใช่คนดีก็ได้ และการที่ได้เป็นครูก็อาจจะเนื่องมาจากความบกพร่องบางประการของระบบการคัดเลือกแต่งตั้ง.
          การเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตยจะต้องเป็นการเลือกตั้งที่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมปราศจากกดารครอบงำโดยอำนาจเงิน, อำนาจรัฐ หรือ กระบวนการที่บิดเบือนไปจากจริยธรรมและความสุจริต, ในขณะที่การใช้สิทธิเลือกตั้งพึงจะต้องเป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจในการเลือกตั้งนั้นอย่างถ่องแท้ และตัดสินใจเลือกตั้งด้วยตนเอง โดยไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งใด.
          ถ้าหากขาดคุณสมบัติดังกล่าวนี้แล้ว “การเลือกตั้ง”ก็เป็นเพียงกลไกอย่างหนึ่งในการปกครอง ซึ่งแม้ในประเทศที่ปกครองในระบอบเผด็จการก็อาจมี “การเบือกตั้ง”ได้ ดังที่มีตัวอย่างให้เห็นในบางประเทศ.
          ดังนั้น ก่อนที่เราจะไว้วางใจให้การเลือกตั้งเป็นการแสดงออกของประชาธิปไตย เช่นกรณีของประเทศต่างๆที่มีความก้าวหน้าและความเป็นปึกแผ่นของการปกครองระบอบประชาธิปไตย, จะต้องมีกลไกในการให้ความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของประชาธิปไตยแก่ประชาชนอย่างแท้จริง, เช่นเดียว กับการให้ข้อมูลอันเป็นความจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย มิใช่ใช้วิธีการหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยวิธีการตลาดต่างๆ. เมื่อผู้บริโภคมีข้อมูลที่ถูกต้องและสมบูรณ์พอสมควรแล้ว ก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะบริโภคผลิตภัณฑ์นั้นๆหรือไม่.
          ในปัจจุบัน ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่ขาดข้อมูลอันถูกต้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตัดสินใจซื้อหา ทำให้เกิดความเสียหายในลักษณะต่างๆอยู่เสมอๆ, เช่นเดียวกับกรณีของประชาชนผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง.
          ระบบ”พรรคการเมือง” เป็นองค์กรสำคัญที่จะทำให้ข้อมูลที่จำเป็นและถูกต้องแก่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง, แต่ทั้งนี้ก็จะต้องเป็น”พรรคการเมือง”ที่ก่อตั้งขึ้นโดยมี “อุดมการณ์” เป็นรากฐาน, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ”(economic ideology).
          “อุดมการณ์” คือกรอบความคิดที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีงามและสมบูรณ์อันควรที่จะบรรลุถึง, ซึ่งพรรคการเมืองพึงประกอบด้วยสมาชิกของพรรคที่มี”อุดมการณ์”อย่างเดียวกัน, ขณะที่นโยบายของพรรคอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม.
          ยกตัวอย่างเช่น พรรคการเมืองอาจจะมีอุดมการณ์ที่ยึดมั่นอยู่กับความมี “อิศราธิปไตยทางเศรษฐกิจ” ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติอื่นใด, หากเพื่อความเหมาะสม หรือด้วยเหตุผลในเชิงผลประโยชน์บางประการ, ก็อาจสนับสนุนนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ อาทิ การเจรจาเปิดเสรีทางการค้าได้.
          พรรคการเสืองที่ขาดคุณสมบัติว่าด้วย”อุดมการณ์”ดังกล่าวข้างต้น จะเป็นเพียงการจัดกลุ่มของนักการเมืองซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมกันในบางลักษณะ และความผูกพันจะคงอยู่ก็ต่อเมื่อการจัดสรรผลประโยชน์ยัง”ลงตัว”, แต่เมื่อใดที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็จะล่มสลายไปโดยอัตโนมัติ, เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ปราศจากรากแก้ว ประเภทพืชล้มลุก.
          พรรคการเมืองในลักษณะเช่นนี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลที่จำเป็นและถูกต้องแก่ประชาชนได้ อีกทั้งไม่ใช่พรรคการเมืองที่เป็น “สาระสำคัญ”ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะมีทุนรอนมากเพียงใดและมีจำนวนสมาชิกมากมายเพียงใดก็ตาม.
          สุดท้ายก็คือปัญหาที่ว่าการกระทำ”รัฐประหาร”นั้นขัดต่อระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ เพียงไร, ซึ่วงคำตอบค่อนข้างจะชัดเจน หากพิจารณาในบริบทของ”สาระสำคัญ”ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ได้กล่าวมาข้างต้น.
          ในกรณีที่ประเทศมีการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยในสาระสำคัญ, “รัฐประหาร”ซึ่งเป็นการยึดอำนาจการปกครองที่มิได้เป็นไปตามวิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ย่อมขัดต่อระบอบประชาธิปไตย.
          แต่ในกรณีที่การปกครองประเทศไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยหรือระบอบประชาธิปไตยถูกครอบงำและบิดเบือนด้วยอำนาจต่างๆ จนกระทั่งกระทบกระเทือนต่อ “สาระสำคัญ” ของประชาธิปไตย โดยไม่มีทางที่จะแก้ไขสถานการณ์ภายใต้ระบอบดังกล่าว, การทำ”รัฐประหาร”อาจถือได้ว่าเป็นมาตรการที่จำเป็นสำหรับการ”ฟื้นฟู”ประชาธิปไตยให้กลับคืนมาสู่ความถูกต้องง สำหรับในกรณีที่ระบอบการปกครองประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย, การทำ”รัฐประหการ”ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะ “อภิวัฒน์” ระบอบการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย ก็ย่อมจะมีความชอบธรรม.
          “รัฐประหาร”ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาแล้วนับเป็นสิบครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็น”รัฐประหาร”ที่ขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการยบึดอำนาจรัฐด้วยกำลังจากเหตุผลความขัดแย้งทางการเมือง หรือจากความไม่พอใจในการบริหารประเทศที่ไม่มีประสิทธิผล, ทั้งนี้โดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของประชาธิปไตยแต่อย่างใด. นอกจากนั้น ภายหลังที่ยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จแล้ว คณะผู้ยึดอำนาจโดย”รัฐประหาร” ก็มิได้มุ่งมั่นที่จะ”ฟื้นฟู”ประชาธิปไตยแต่ประการใด. ในทางตรงข้าม ในบางกรณีเป็นการล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป.
          การทำ”รัฐประหาร”เพื่อการ”อภิวัฒน์”ระบอบการปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณา -ญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็น”รัฐประหาร”เพื่อสถาปนาประชาธิปไตย.
          จากนั้นก็มาถึงการยึดอำนาจรัฐด้วย”รัฐประหาร” เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นี้เอง ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับ “รัฐประหาร” เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2476, เพื่อ”ฟื้นฟู”ระบอบประชาธิปไตยที่ได้ถูกครอบงำและบิดเบือน.
          อย่างไรก็ตาม, การสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็ดี และการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยก็ดี เป็นภารกิจที่ยากลำบากกว่าการกระทำ”รัฐประหาร”มากมายนัก, อีกทั้งยังต้องการระยะเวลาพอสมควรอันกอรปด้วยอุดมการณ์ที่มีอุดมคติอันสูงส่งรองรับ.
          ซึ่งนำไปสู่ “ปัญหาคาใจ”ที่สำคัญอีกเรื่องหนี่งว่า จะทำกันไหวหรือ.


...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....