หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เสฐียรพงษ์ วรรณปก - เนื้อติดกระดูก (๒๔)

๒๔. ยกเว้นได้ไหม

         ชาวนาคนหนึ่ง นิมนต์พระนิกายเทนไดไปสวดมนต์ทำบุญอุทิศให้ผู้ตาย พอพระสวดจบ ชาวนาก็เรียนถามว่า

         “ท่านคิดว่า เมียผมจะได้รับส่วนบุญจากการสวดมนต์ครั้งนี้ไหมขอรับ”

         “ไม่เฉพาะเมียโยมเท่านั้น สัตว์โลกทั้งหมดก็จะได้รับส่วนบุญจากการสวดครั้งนี้ด้วย” พระตอบ

         “ถ้าท่านว่า สัตว์โลกทั้งหมดจะได้ส่วนบุญ เมียผมก็แย่ซี คนอื่นจะมาแย่งบุญที่หล่อนควรจะได้ไปหมด ขอพระคุณท่านโปรดสวดให้เมียผมคนเดียวเถอะ ขอรับ”

         พระได้ชี้แจงให้เขาข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เวลาทำบุญทำทานต้องตั้งใจอุทิศผลบุญแก่สัตว์โลกทุกถ้วนหน้าไม่ยกเว้น

         “สอนเช่นนั้นก็ดีอยู่” เขาสรุป “แต่โปรดยกเว้นบ้างเถอะขอรับ ผมมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งมันเลวระยำมาก โปรดอย่ารวมมันกับสัตว์โลกทั้งหมดเลย ขอรับ”.


(จากหน้า ๔๘ ของหนังสือ "เนื้อติดกระดูก" โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก)


 

เสฐียรพงษ์ วรรณปก - เนื้อติดกระดูก (๓๓)

 

๓๓. มือของอาจารย์

         โมกุเซน ฮิกิ อยู่วัดในจังหวัดตัมบา ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งบ่นว่าภรรยาตนตะหนี่เหลือหลาย

         โมกุเซน จึงไปเยี่ยมเยียนเมียของศิษย์ ชูกำปั้นต่อหน้าเธอ

         “ท่านหมายความว่าอย่างไร?” ภรรยาของศิษย์ถาม

         “สมมติว่า มือฉันกำอยู่อย่างนี้ตลอด เธอจะเรียกว่าอย่างไร”

         “พิการซิ” นางตอบ

         ท่านแบมือออกต่อหน้าเธอ แล้วถามต่อไปว่า

         “สมมติ มันแบอยู่อย่างนี้ตลอดไปละ จะเรียกว่าอย่างไร”

         “นั้นก็พิการอีกลักษณะหนึ่ง”

         “ถ้าเข้าใจมากเช่นนี้ เธอเป็นภรรยาที่ดีคนหนึ่ง”

         อาจารย์โมกุเซนสรุปแล้วก็จากไป

         ตั้งแต่วันอาจารย์ไปเยี่ยม ภรรยาของเขากลายเป็นคนใจกว้างรู้จักบริจาคเงินที่ทำบุญทำทาน ผิดจากเดิมไปเป็นคนละคนทีเดียว.


(จากหน้า ๖๒ ของหนังสือ "เนื้อติดกระดูก" โดยเสฐียรพงษ์ วรรณปก)



วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพ ทราย (7)

 

    มากมายได้ถูกทำเครื่องหมายไว้ถึงความรวดเร็วกับที่ซึ่ง มวดดิบ ได้เรียนรู้ถึงความจำเป็นของ อาร์ราคิส. เบเน เกสเสอริท, แน่นอนล่ะ, รู้ถึงพื้นฐานของความรวดเร็วนี้. สำหรับผู้อื่น, เราสามารถพูดได้ว่า มวดดิบ เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพราะว่าการฝึกฝนแรกของเขาก็คือวิธีที่จะเรียนอย่างไร. และบทเรียนแรกของทั้งหมดก็คือความไว้วางใจพื้นฐานที่เขาควรจะเรียนรู้. มันน่าตกใจที่จะได้พบว่าผู้คนมากมายแค่ไหนที่ไม่ได้เชื่อว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้ได้, และมากยิ่งแค่ไหนที่เชื่อว่าการเรียนนั้นยากลำบาก. มวดดิบ รู้ว่าประสบการณ์นั้นนำพามาซึ่งบทเรียนทั้งหลาย.

 

---จาก “มนุษยธรรม ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

         พอล ทอดกายบนเตียงนั้นแสร้งทำเป็นนอนหลับ. มันง่ายดายที่จะใช้มือบังยานอนหลับของ ดร.หยัว, ที่จะแสร้งทำเป็นกลืนลงไป. พอล หักห้ามหัวเราะเอาไว้. แม้กระทั่งมารดาของเขาก็เชื่อว่าเขานอนหลับ. เขาอยากจะกระโดดขึ้นและถามขออนุญาตเธอเพื่อไปสำรวจค้นราชสำนักทำเนียบนี้, แต่ต้องตระหนักว่าเธอคงไม่ยอมรับการนี้แน่. หลายสิ่งยังไม่เข้าที่ทางเกินไป. ไม่. นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด.

         ถ้าฉันแอบหลบออกไปโดยไม่ขอ ฉันก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง. และฉันจะอยู่ภายในทำเนียบที่ซึ่งมันปลอดภัย.

         เขาได้ยินมารดาและ หยัว กำลังคุยกันอยู่ในอีกห้อง. คำพูดของพวกเขานั้นคลุมเครือ---บางอย่างเกี่ยวกับเครื่องเทศ.....พวกฮาร์คอนเนนส์. การสนทนาสูงดังขึ้นแล้วลดลง.

         ความสนใจของ พอล ไปยังกระดานหัวเตียงแกะสลักของเขา---หัวเตียงปลอมติดอยู่กับผนังและปกปิดเครื่องควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ทั้งหลายของห้องนี้. ปลาที่กระโจนได้ถูกติดวางบนแผ่นไม้เป็นคลื่นสีน้ำตาลอยู่ภายใต้มัน. เขารู้ว่าถ้าเขาดันดวงตาข้างหนึ่งของปลาที่เห็นนั้นก็จะเปิดแสงจากโคมไฟแขวนลอยนั่นขึ้น. หนึ่งในคลื่นนั้น, เมื่อบิดไป, จะเป็นการควบคุมเครื่องระบายอากาศ. อีกอันหนึ่งก็เปลี่ยนอุณหภูมิ.

         อย่างเงียบๆ, พอล ลุกขึ้นนั่งบนเตียง. ตู้หนังสือสูงตั้งติดอยู่ที่ผนังทางด้านซ้ายมือของเขา. มันสามารถเหวี่ยงไปทางด้านข้างที่จะเผยให้เห็นชั้นวางของส่วนตัวและลิ้นชักทั้งหลายทางด้านหนึ่ง. มือจับที่ประตูเข้าไปสู่โถงนั้นถูกวางแบบรูปของยานกระพือปีกแถบผลัก.

         มันราวกับว่าห้องนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อลวงล่อใจเขา.

         ห้องนี้และดาวเคราะห์นี้.

         เขาคิดถึงฟิล์มหนังสือที่ หยัว แสดงให้เขาดู---“อาร์ราคิส: สถานีทดลองพฤกษศาสตร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิ.” มันเป็นฟิล์มหนังสือเก่าๆจากตอนก่อนการค้นพบเครื่องเทศนั้น. ชื่อเหล่านี้โฉบผ่านเข้ามาในจิตใจของ พอล, แต่ละรูปภาพที่พิมพ์อยู่ในรหัสช่วยจำของหนังสือ: ซากัวโร, เบอโร บุช, เดท พาล์ม, แซนด์ เวอร์บีนา, อีฟวนิ่ง พริมโรส, บาร์เรล แค็คตัส, รืเซ็นส์ บุช, สโม้ค ทรี, ครีโอโสต บุช.....คิท ฟอกซ์, เดเสิร์ท ฮอว์ค, แกงารู เมาส์.....

          ชื้อและรูปภาพทั้งหลาย, ชื่อและรูปภาพทั้งหลายจากภูมิประเทศของอดีตมนุษย์---และบางทีอาจไม่ถูกค้นพบในปัจจุบันได้ในที่อื่นใดอีกของจักรวาล, นอกจากที่นี่บน อาร์ราคิส.

         มากมายหลายสิ่งเหลือเกินที่จะต้องเรียนรู้ถึง---เครื่องเทศนั้น.

         และเหล่าหนอนทราย.

         ประตูปิดอยู่ในห้องอื่น. พอล ได้ยินเสียงฝีเท้าของมารดาตนถอยออกไปจากห้องโถง. ดร.หยัว, เขารู้ดีว่า, จะค้นหาบางอย่างเพื่ออ่านและยังอยู่ที่ในห้องนั้น.

         ตอนนี้เป็นชั่วขณะที่จะไปสำรวจค้นแล้ว.

         พอล เลื่อนตัวออกจากเตียง, มุ่งหน้าไปที่ประตูตู้หนังสือที่เปิดเข้าไปสู่ชั้นเก็บของ. เขาหยุดที่เสียงด้านหลังของเขา, หันกลับ. กระดานเหนือศีรษะของเตียงได้ร่วงลงมายังจุดที่เขาได้เคยนอนหลับอยู่. พอล เย็นเยียบ, และการเคลื่อนไหวออกมาก่อนนี้ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้.

         จากด้านหลังของกระดานหัวเตียงนั้นเลื่อนเปิดให้เห็นเครื่องล่า-สังหารขนาดเล็กยาวไม่เกินห้าเซนติเมตร. พอล จำมันได้ในทันทีนั้น---อาวุธของมือสังหารที่เด็กทุกคนของสายเลือดราชนิกูลได้เรียนเกี่ยวกับมันมาตั้งแต่ตอนเด็ก. มันเป็นแผ่นยาวบางสีดำกาของโลหะนำทางด้วยใครบางคนอยู่ใกล้ๆนั้นด้วยมือและตา. มันสามารถเจาะรูเข้าไปในหนังเนื้อเคลื่อนไหวและเคี้ยวเส้นทางของมันขึ้นไปยังช่องประสาททั้งหลายสู่อวัยวะที่อยู่ใกล้เคียงนั้น.

         เครื่องล่านั้นลอยยกขึ้น, เหวี่ยงไปทางด้านข้างข้ามห้อมแล้ววกกลับ.

         ผ่านไปในจิตใจของ พอล, แวบถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับมัน, ข้อจำกัดของเครื่องล่า-สังหาร: เครื่องยนต์บีบอัดสนามพลังแขวนลอยของมันได้บิดเบี้ยวภาพการมองเห็นของเครื่องส่งสัญญานดวงตาของมัน. ไม่มีอะไรนอกจากแสงสว่างสลัวของภายในห้องที่สะท้อนเป้าของเขา, ผู้ควบคุมม้นจะพึ่งพาในการเคลื่อนไหว—อะไรก็ตามที่เคลื่อนที่. โล่ห์ป้องกันสามารถทำให้ผู้ล่าช้าลงได้, ให้เวลาที่จะทำลายมัน.  แต่ พอล ได้ถอดโล่ออกวางไว้ที่บนเตียงนั่น. ปืนเลซซัดมันลงมาได้, แต่ปืนเลซมีราคาแพงและเชื่อถือนักไม่ได้เมื่อมีการซ่อมบำรุง---และมักจะมีอันตรายจากการระเบิดออกมาเหมือนดอกไม้ไฟของมันอีกถ้าแสงเลเซอร์เจอเข้ากับโล่ห์บังร้อนๆ. ชาวอะไทรดิสพึ่งพาอยู่ก็แต่โล่ห์หุ้มกายและสติปัญญาของตนเอง.

         ตอนนี้, พอล ยึดตัวเองอยู่ในอาการนิ่งแทบหยุดเคลื่อนไหวใดๆ, รู้ว่าเขามีเพียงสติปัญญาเท่านั้นที่จะรับมือกับการบุกรุกนี้.

         เครื่องล่า-สังหารยกตัวขึ้นอีกครึ่งเมตร. มันกระเพื่อมผ่านแสงจากม่านเกล็ดของหน้าต่างเข้ามา, เดินหน้าและถอยหลัง, ตรวจสอบแบ่งห้องออกเป็นส่วนๆ.

          ข้าต้องพยายามตะครุบมัน, เขาคิด. สนามแขวนลอยนั่นจะทำให้มันลื่นที่ตอนล่างของมัน, ข้าต้องจับมันให้แน่นไว้.

          เจ้าสิ่งนั้นทิ้งตัวลงมาครึ่งเมตร, จัดแบ่งไปทางด้านซ้าย, หมุนเป็นวงกลมกลับมารอบๆเตียง. เสียงฮัมเบาๆสามารถถูกได้ยินมาจากมัน.

         ใครกำลังเป็นผู้ควบคุมเจ้าสิ่งนั้นอยู่รึ? พอล สงสัย. ต้องเป็นใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ. ข้าสามารถตะโกนเรียก หยัว ได้, แต่มันอาจจะจัดการกับเขาในทันทีที่ประตูเปิดออก.

         ประตูห้องโถงด้านหลังของ พอล ดังเอี๊ยด. มีเสียงเคาะถี่ๆที่นั่น. ประตูนั้นก็เปิดออก.

         เครื่องล่า-สังหารยิงตัวดุจธนูผ่านศีรษะของเขาตรงไปหาการเคลื่อนไหวนั้น.

มือขวาของ พอล ยิงออกไปแล้วกดลง, ตะครุบจับสิ่งอันตรายถึงตายนั้น. มันส่งเสียงฮัมและบิดม้วนอยู่ในมือของเขา, แต่กล้ามเนื้อของเขาจับล็อคแน่นบนมันอย่างล่อแหลม. ด้วยการหมุนอย่างรุนแรงและเสือกพุ่ง, เขาฟาดจมูกของสิ่งนั้นเข้ากับแผ่นโลหะของประตู. เขารู้สึกถึงเสียงการบดแหลกของมันเมื่อดวงตายื่นจมูกแตกละเอียดและเจ้าเครื่องล่าก็ตายสนิทอยู่ในมือของเขา.

         กระนั้น, เขาก็ยังคงกำมันไว้---ให้แน่ใจ.

         ดวงตาของ พอล เงยขึ้นมา, สบเข้ากับที่เปิดกว้างจ้องมาสีฟ้าสนิทจากของ ชาเดาท์ มาเพส.

         “บิดาของท่านส่งข้ามาตามท่าน,” เธอบอก. “มีทหารอยู่ที่ในโถงเพื่อมาคุ้มครองท่าน.”

         พอล พยักหน้า, ดวงตาและสติรับรู้ของเขาจับจ้องเพ่งอยู่ที่ผู้หญิงแปลกในชุดถุงคลุมสีน้ำตาลของทาส. หล่อนกำลังมองในตอนนี้ที่เจ้าสิ่งที่แหลกอยู่ในมือของเขา.

         “ข้าเคยได้ยินถึงเจ้าสิ่งเช่นนี้,” เธอพูด. “มันอาจฆ่าข้าได้, ไม่เช่นนั้นหรือ?”

         เขาต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะสามารถพูดออกมาได้. “ข้า.....คือเป้าของมัน.”

         “แต่มันพุ่งมาหาข้า.”

         “เพราะว่าเจ้าเคลื่อนไหว.” และเขาก็สงสัย: ใครคือสิ่งมีชีวิตนี้กันรึ?

         “งั้นท่านก็ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้,” เธอพูด.

         “ข้าช่วยชีวิตของเราทั้งสองเอาไว้ได้.”

         “ดูเหมือนว่าท่านสามารถปล่อยให้มันจัดการข้าแล้วเอาตัวท่านเองหนีพ้นไปก็ได้,” เธอพูด.

         “เจ้าเป็นใครหรือ?”

         “พวกชาเดาท์ มาเพส, แม่บ้าน.”

         “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะหาข้าพบได้ที่ไหน?”

         “มารดาของท่านบอกกับข้า. ข้าพบนาง ที่บันไดที่ขึ้นไปยังห้องพิลึกใต้ห้องโถง.” หล่อนชี้ไปทางด้านขวามือ. “ทหารของบิดาท่านกำลังยังคงรอคอยอยู่.”

         พวกนี้คงจะเป็นคนของ ฮาวัต. เขาคิด. เราต้องหาตัวผู้ควบคุมเจ้าสิ่งนี้ให้ได้.

         “ไปหาคนของบิดาข้า,” เขาบอก. “บอกพวกเขาว่าข้าจับเครื่องล่า-สังหารได้ในทำเนียบนี้แล้วพวกเขาต้องกระจายกันออกและค้นหาตัวผู้ควบคุมมัน. บอกพวกเขาให้ปิดผนึกทุกทางออกของทำเนียบและพื้นที่ทั้งหมดของมันในทันที. พวกเขาจะรู้ว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้. ผู้ควบคุมมันจะต้องเป็นคนแปลกหน้าในหมู่พวกเรา.”

         แล้วเขาก็สงสัยใจ: จะเป็นเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ได้ไหม? แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่. เครื่องล่า-สังหารนี้ยังถูกควบคุมอยู่ตอนที่เธอเข้ามา.

         “ก่อนที่ข้าจะทำตามท่านสั่ง, ท่านชาย,” มาเพส พูด. “ข้าต้องทำความสะอาดหนทางระหว่างเราก่อน. ท่านเอาภาระน้ำมาบนข้าซึ่งข้าไม่แน่ใจนักว่าข้าใส่ใจที่จะรองรับ. แต่เราฟรีเมนชำระหนี้ของเรา---ไม่ว่าจะเป็นหนี้ดำหรือหนี้ขาว. และมันเป็นที่รู้กันของพวกเราว่าท่านมีผู้ทรยศอยู่ในแกนกลางของท่าน. เป็นใครนั้น, เราไม่สามารถบอกได้, แต่เราแน่ใจในเรื่องนี้. อาจบางทีเป็นมือชี้นำที่เป็นผู้ตัด.”

         พอล ซึมซับเรื่องนี้อย่างเงียบงัน: ผู้ทรยศ. ก่อนที่เขาจะสามารถพูดออกมาได้, หญิงประหลาดนี้ก็หมุนรางไปและวิ่งกลับไปยังทาเข้า.

         เขาคิดที่จะเรียกหล่อนกลับมา, แต่มีกลิ่นอายบางอย่างของเธอที่บอกเขาว่าหล่อนคงขุ่นเคืองมัน. หล่อนบอกเขาในอะไรที่หล่อนรู้และตอนนี้หล่อนกำลังไปทำตามคำสั่งของเขา. ทำเนียบนี้คงจะเต็มไปด้วยฝูงคนของ ฮาวัต ในหนึ่งนาที.

         จิตใจของเขาไปยังอีกส่วนหนึ่งของคำสนทนาแปลกนั้น: ห้องพิลึก. เขามองไปทางด้านซ้ายมือที่หล่อนชี้. เรา ฟรีเมน. งั้นนั่นก็คือ ฟรีเมน เขาหยุดเพื่อกะพริบบันทึกจุดช่วยจำในการจะเก็บแบบรูปลักษณะของใบหน้าเธอในความทรงจำของเขา---รูปรอยย่นยับเหมือนลูกพรุนแงน้ำตาเข้ม, สีฟ้าสุดฟ้าของดวงตาโดยไร้สีขาวในพวกมัน. เขาติดป้ายบอกไว้ว่าคือ: พวกชาเดาท์ มาเพส.

         ยังคงกุมเครื่องล่า-สังหารที่แหลกละเอียดนั้นอยู่, พอล หันกับเข้าไปในห้องของเขา, รวบเอาเข็มขัดโล่ห์พลังของเขาขึ้นมาจากเตียงด้วยมือซ้ายของเขา. เหวี่ยงมันไปรอบเอวของเขาและกดหัวเข็มขัดให้เข้าที่ในขณะที่เขาวิ่งกลับออกมาและลงไปตามห้องโถงยังด้านซ้ายมือ.

         หล่อนบอกว่ามารดาของเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างล่าง---บันไดนั้น......ห้องพิลึก.

 

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (6)

 

           “หยัว!  หยัว!” สร้อยคำท่อนนั้นร้องไป. “ความตายล้านครั้งก็ยังไม่เพียงพอสำหรับ หยัว!

           ---จาก “ประวัติวัยเด็กของ มวดดิบ”  โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

       ประตูเปิดออกอยู่, และ เจสสิกา ก้าวผ่านมันเข้าไปในห้องที่มีผนังสีเหลือง. ด้านซ้ายมือของเธอเหยียดออกไปเป็นเก้าอี้ต่ำของสองตู้หนังสือดำซ่อนและว่างเปล่า, คนโฑน้ำแขวนที่มีฝุ่นจับเต็มปูดโป่งอยู่ข้างมัน. ทางด้านขวามือของเธอ, ฉากยึดยันอีกประตูหนึ่ง, ยืนตั้งไว้ด้วยตู้หนังสือว่างเปล่า, โต๊ะตัวหนึ่งจาก คาลาดาน และเก้าอี้สามตัว. ที่หน้าต่างทั้งหลายตรงด้านหน้าของเธอยืนอยู่คือ ดร.หยัว, หันด้านหลังมาให้เธอ, ความสนใจของเขาจับตรึงอยู่กับโลกภายนอกนั้น.

       เจสสิกา ก้าวเงียบเข้าไปข้างในห้องอีก.

       เธอได้เห็นว่าเสื้อคลุมของ หยัว นั้นยับย่น, รอยด่างขาวใกล้ข้อศอกซ้ายราวกับว่าเขาได้ไปพิงเข้ากับชอล์ค. เขาดู, จากด้านหลัง, เหมือนร่างแท่งไม้ไร้เนื้อในผ้าคลุมดำใหญ่เกินตัว, ภาพล้อเลียนตั้งท่าเพื่อเคลื่อนไหวด้วยเส้นสายจูงดึงไปในทิศทางกำกับของผู้เชิดหุ่น. มีเพียงแท่งเหลี่ยมของศีรษะกับผมยาวดำขลับคล้องรวบอยู่ในห่วง สึก สคูล(Suk School)ที่บ่าเท่านั้นที่ดูเหมือนมีชีวิต---หันขยับไปเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวที่ภายนอก.

       อีกครั้ง, เธอเหลือบมองไปรอบๆห้อง, เห็นได้ว่าไม่มีร่องรอยใดของบุตรชายของเธอ, แต่ประตูทีปิดอยู่ด้านขวามือของเธอนั้น, เธอรู้, นำเข้าไปสู่ห้องนอนที่ พอล แสดงออกถึงความชื่นชอบ.

       “สวัสดียามบ่าย, ดร.หยัว,” เธอพูด. “พอล อยู่ที่ไหนหรือ?”

       เขาพยักหน้าราวให้กับอะไรบางอย่างที่นอกหน้าต่าง,พูดขึ้นในกิริยาไม่ให้ความสนใจโดยปราศจากการหันมา. “บุตรชายของท่านเหน็ดเหนื่อย, เจสสิกา. ข้าส่งเขาเข้าไปในห้องถัดไปนี้เพื่อพักผ่อน.”

       อย่างทันทีทันใด, เขาตัวแข็งทื่อขึ้น, หมุนรอบกลับมาด้วยหนวดปลิวอยู่เหนือริมฝีปากสีม่วงของเขา. “ให้อภัยข้าด้วย, ท่านหญิง! ความคิดของข้าออกไปไกล...ข้า...ไม่ได้หมายจะตีสนิทเช่นนั้น.”

       เธอยิ้ม, ยื่นมือขวาของเธอออกไป. ชั่วขณะหนึ่งเธอกลัวว่าเขาจะคุกเข่าลงไป. “เวลลิงตัน, ได้โปรด.”

       “การเรียกชื่อของท่านเช่นนั้น...ข้า...”

       “เราได้รู้จักซึ่งกันและกันมาหกปีแล้ว,” เธอพูด. “มันเป็นเวลายาวนานกับพิธีการทั้งหลายที่น่าจะละทิ้งไปได้แล้วระหว่างเรา---ในเวลาส่วนตัว.”

       หยัว เสี่ยงภัยยิ้มบางๆ, กำลังคิด: ข้าเชื่อมันได้ผล. ตอนนี้, เธอจะคิดอะไรบางอย่างที่ผิดปกติในกิริยามรรยาทของข้านั้นเกี่ยวโยงไปกับความขัดเขิน. เธอจะไม่มองหาเหตุผลทั้งหลายลึกลงไปกว่าเมื่อเธอเชื่อว่าเธอได้รู้คำตอบแล้ว.

       “ข้าเกรงว่าข้ากำลังใจลอย, “เขาพูด. “เมื่อใดที่ข้า...รู้สึกเสียใจเป็นการเฉพาะยิ่งต่อท่าน, ข้าเกรงว่าข้าคิดว่าท่านเป็นดัง...เออ...เจสสิกา.”

       “เสียใจกับข้าหรือ? กับอะไรล่ะหรือ?”

       หยัว ยักไหล่. นานมาแล้ว, เขาได้ตระหนักว่า เจสสิกา ไม่ใช่ได้รับพรสวรรค์เต็มที่ด้วย สัจวจนะ ดังที่ วรรณา(Wanna)ได้เป็น. กระนั้น, เขามักจะใช้สัจจะนี้กับ เจสสิกา เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้. มันปล่อยภัยที่สุด.

       “ท่านได้เห็นสถานที่นี้แล้ว, ท่านผู้....เจสสิกา,” เขาตะกุกตะกักเหนือชื่อนั้น, เขาพุ่งไปข้างหน้า: “ช่างแห้งแล้งล้าหลัง คาลาดาน. และผู้คนพวกนั้น! พวกผู้หญิงในเมืองนั่นที่เราผ่านมาตลอดทางที่นี้เอาแต่คร่ำครวญอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าพวกนั้น. วิธีที่พวกนั้นมองดูเรา.”

       เธอรวบแขนขึ้นใต้หน้าอกของเธอ, กอดกุมตัวเอง, รู้สึกได้ถึงมีดคริสไนฟ์ที่นั่น, มีดที่ทำมาจากเขี้ยวของหนอนทราย, ถ้ารายงานนั้นถูกต้อง. “มันก็แค่เราเป็นผู้แปลกหน้าต่อพวกเขา---ผู้คนที่แตกต่าง, ประเพณีที่แตกต่างไป. พวกเขาเคยรู้จักแต่พวกฮาร์คอนเนนส์.” เธอมองผ่านเขาออกไปนอกหน้าต่าง. “ท่านจ้องมองอะไรท้างนอกนั่นอยู่หรือ?”

       เขาหันกลับไปที่หน้าต่าง, “ผู้คนเหล่านั้น.”

       เจสสิกา เดินข้ามไปเคียงร่างของเขา, มองไปด้านซ้ายของยังด้านหน้าของทำเนียบที่ซึ่งความสนใจของ หยัว ได้เพ่งจับอยู่. แถวของต้นปาล์มเติบโตอยู่ที่นั้น, ดินใต้ร่มเงาของพวกมันถูกกวาดเตียน, เรียบโล่ง. รั้วฉากกั้นหนึ่งแบ่งแยกพวกนั้นออกจากถนนทอดเคียงยาวที่ซึ่งผู้คนในชุดคลุมกำลังผ่านไปมา. เจสสิกา ตรวจจับได้ถึงแสงระยิบระยับเลือนรางหนึ่งอยู่ในอากาศระหว่างเธอกับคนเหล่านั้น---โลห์ทำเนียบ---และดำเนินการต่อไปในการศึกษากลุ่มคนที่กำลังผ่านไปมานั้น, สงสัยในใจว่าทำไม หยัว พบว่าพวกเขานั้นกำลังน่าสนใจนัก.

       รูปแบบได้โผล่ปรากฏออกมาและเธอยกมือมาที่แก้มของเธอ. วิธีผู้คนที่กำลังผ่านไปมามองดูที่ต้นปาล์มเหล่านั้น! เธอมองเห็นความอิจฉา, ความเกลียดบางอย่าง.....กระทั่งความรู้สึกของความหวัง. แต่ละคนสืบเสาะไปในต้นไม้เหล่านั้นด้วยความตรึงยึดแน่นของอารมณ์แสดงออก.

       “ท่านรู้ไหมว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่?” หยัว ถาม.

       “ท่านเชี่ยวชาญในการอ่านจิตใจหรือ?” เธอถาม.

       “จิตใจเหล่านั้น,” เขาพูด. “พวกเขามองดูที่ต้นไม้พวกนั้นและพวกเขาคิดว่า: มีหนึ่งร้อยคนของพวกเรา. นั่นคืออะไรที่พวกเขาคิด.”

       เธอหันมาใบหน้าที่งุนงงขมวดคิ้วมายังเขา. “ทำไมหรือ?”

       “ต้นปาล์มอินทผลัมเหล่านั้น,” เขาพูด. “หนึ่งต้นปาล์มอินทผลัมต้องการน้ำสี่สิบลิตรต่อวัน. คนๆหนึ่งต้องการแค่แปดลิตร. หนึ่งต้นปาล์ม, กระนั้น, ก็เท่ากับห้าคน. มีอยู่ยี่สิบต้นปาล์มที่ข้างนอกนั่น---หนึ่งร้อยคน.”

       “แต่บางคนของพวกเขามองดูต้นไม้นั้นอย่างวาดหวัง.”

       “พวกเขาแค่หวังบางอย่างให้บางต้นปาล์มอินทผลัม, นอกเสียจากมันผิดฤดู.”

       “เรามองสถานที่นี้ด้วยดวงตาที่จับผิดเกินไป,” เธอพูด. “มีความหวังอยู่เช่นเดียวกันกับอันตรายในที่นี่. เครื่องเทศนั่นสามารถทำให้เราร่ำรวย. ด้วยทรัพย์สินมั่งคั่งนี้, เราสามารถทำโลกนี้เข้าไปสู่อะไรก็ตามที่เราปรารถนาได้.”

       และเธอก็หัวเราะเงียบๆกับตนเอง: ใครกันหรือที่ฉันกำลังพยายามชักจูงใจ? หัวเราะนั้นพังทะลุการควบคุมของเธอ, พุ่งพรวดออกมา; ปราศจากอารมณ์ขัน. “แต่ท่านไม่สามารถซื้อความปลอดภัยได้,” เธอพูด.

       หยัว หันไปเพื่อซ่อนปิดใบหน้าของเขาจากเธอ. ถ้าเพียงแต่มันเป็นไปได้ที่จะเกลียดชังคนพวกนี้แทนที่รักพวกเขา! ในกิริยาของเธอ, ในหลายวิธี, เจสสิกานี้เหมือน วานนา ของเขา. กระนั้นความคิดนั่นได้แบกพาเอาความเคร่งครัดทั้งหลายของตัวมันเองอยู่ด้วย, ดึงรั้งเขาไปยังเป้าประสงค์ของเขา. วิธีโหดเหี้ยมทั้งหลายของพวกฮาร์คอนเนนส์นั้นคือการหลอกลวง. วานนา อาจจะยังไม่ตาย. เขาต้องทำแน่ใจ.

       “อย่าได้กังวลเพื่อเราเลย, เวลลิงตัน,” เจสสิกา พูด. “ปัญหาเป็นของเรา, ไม่ใช่ของท่าน.”

       เธอคิดว่า ข้ากังวลเพื่อเธอ! เขากะพริบเก็บน้ำตากลับคืนไป. และข้าก็ทำเช่นนั้น, แน่ล่ะ. แต่ข้าต้องยืนต่อหน้าเจ้าบารอนดำนั่นด้วยบัญชาของมันที่สัมฤทธิผล, และได้รับโอกาสของตัวข้าเองที่จะจู่โจมมันในที่เป็นจุดอ่อนของมัน---ในขณะที่มันลำพองใจ!

       เขาถอนหายใจ.

       “จะรบกวน พอล ไหม, ถ้าฉันจะไปดูเขาสักหน่อย?” เธอถาม.

       “ไม่เลย. ข้าให้ยาระงับประสาทเขาไป.”

       “เขารับการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยดีไหม?”

       “นอกจากเหนื่อยล้าไปบ้างเล็กน้อย. เขาตื่นเต้น, แต่อะไรล่ะที่เด็กอายุสิบห้าจะไม่เป็นเช่นนั้นภายใต้สถานการณ์เหล่านี้?” เขาเดินข้ามไปที่ประตู, เปิดมัน. “เขาอยู่ในนี้.”

       เจสสิกา ตามไป, แอบมองเข้าไปในห้องเงาสลัวนั้น.

       พอล นอนยู่บนฟูกแคบ, แขนข้างหนึ่งอยู่ใต้ผ้าคลุมบาง, อีกข้างโยนกลับไปเหนือศีรษะของเขา. ม่านเกล็ดที่หน้าต่างด้านข้างเตียงพรางแสงเป็นเงาลางๆข้ามผ่านใบหน้าและผ้าห่ม.

       เจสสิกา จ้องมองบุตรชายของเธอ, เห็นใบหน้ารูปไข่เหมือนเช่นเธอเอง. แต่ผมนั้นเป็นเช่นของ ดยุค---สีถ่านและหยุงเหยิง. ขนตายาวปิดบังดวงตาสีเหลืองแกมเขียว, เจสสิกา ยิ้ม, รู้สึกถึงความกลัวได้หดหายไป. เธอทันทีนั้นจับกุมความคิดขึ้นมาถึงร่องรอยพันธุกรรมทั้งหลายที่ปรากฏในรูปโฉมของบุตรชายเธอ---เส้นสายของเธอในดวงตาและเค้าหน้า, แต่สัมผัสแหลมคมของบิดาก็ปรากฏผ่านเค้าหน้านั้นดุจความเป็นผู้ใหญ่โผล่ผุดจากวัยเด็ก.

       เธอคิดถึงรูปโฉมของเด็กชายดุจการกลั่นกรองดีเยี่ยมออกมาจากแบบรูปสุ่มเลือกทั้งหลาย---ลำดับแถวไร้ที่สิ้นสุดของโอกาสบังเอิญมาประชุมพบกันที่การสืบเนื่องนี้. ความคิดนี้ทำให้เธออยากที่จะคุกเข่าลงข้างเตียงและโอบอุ้มบุตรชายของเธอเข้ามาในอ้อมแขน, แต่เธอหักห้ามใจไว้ด้วยการมี หยัว อยู่ด้วยนี้. เธอก้าวถอยกลับมา, ปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา.

       หยัว กลับมายังหน้าต่าง, ไม่อาจทนทานต่อการเฝ้าดูในวิธีที่ เจสสิกา จ้องมองบุตรชายของเธอ.  ทำไม วรรณา ไม่เคยให้ลูกๆแก่ข้า? เขาถามตนเอง. ข้ารู้ในฐานที่เป็นหมอว่าไม่มีเหตุผลทางกายภาพใดต่อเรื่องนี้. หรือมีเหตุผลบางอย่างของ เบเน เกสเสอริท? หรือเธอ, บางที, ได้ถูกสั่งสอนให้รับใช้ในจุดประสงค์แตกต่างจากสิ่งนี้?  อะไรหรือที่มันอาจจะเป็นได้? เธอรักข้า, แน่นอนสิ.

       เป็นครั้งแรก, เขาถูกกุมด้วยความคิดที่ผุดขึ้นมาว่าเขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแบบรูปที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนยิ่งไปกว่าจิตใจของเขาจะตะครุบได้.

       เจสสิกา หยุดที่ข้างเขา, พูด. “อะไรจะปล่อยวางอย่างเพลิดเพลินได้เท่ากับการนอนของเด็กนะ.”

       เขาพูดดุจเครื่องจักร: “ถ้าเพียงแต่ผู้ใหญ่จะผ่อนคลายลงได้เหมือนเช่นนั้นบ้าง.”

       “ใช่.”

       “เราเสียมันไปที่ไหนนะ?” เขาพึมพำ.

       เธอเหลือบมองเขา, จับได้ถึงน้ำเสียงแปลก, แต่จิตใจของเธอยังคงอยู่ที่ พอล, คิดถึงการฝึกฝนอย่างเข้มงวดใหม่ทั้งหลายของเขาที่นี่, คิดถึงความแตกต่างทั้งหลายในชีวิตของเขาตอนนี้---ชางแตกต่างไปมากจากชีวิตที่ครั้งหนึ่งพวกเขาได้วางแผนเอาไว้สำหรับ พอล.

       “เราได้, จริงๆแล้ว, สูญเสียบางอย่างไปเช่นนั้น,”

       เธอเหลือบมองออกไปด้านขวามือยังลาดเนินที่กลุ่มพุ่มไม้เทา-เขียวส่ายเดือดร้อนอยู่กับสายลม---ใบเกรอะฝุ่นและกิ่งก้านแห้งงอหงิก. ท้องฟ้ามืดเกินไปแขวนลอยอยู่เหนือลาดเนินนั้นดุจรอยเปื้อน, และแสงสว่างเหมือนน้ำนมจากดวงอาทิตย์อาร์ราคีนให้ฉากทิวทัศน์นั้นดุจอาบไล้เงินยวง---แสงวาวนั้นเหมือนคริสไนฟ์ที่ถูกซ่อนคลุมในร่างของเธอ.

       “ท้องฟ้านั่นช่างมืดนัก,” เธอพูด.

       “นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการขาดความชื้น,” เขาบอก.

       “น้ำ!” เธอเหน็บ. “ท่านหันไปทางไหนที่นี่, ท่านจะเจอเข้าแต่กับการขาดแคลนน้ำ!

       “มันเป็นความลึกลับมีค่ายิ่งของ อาร์ราคิส,” เขาพูด

       “ทำไมมันถึงช่างมีน้อยนักหรือ? มีหินภูเขาไฟที่นี่. มีแหล่งพลังนับโหลที่ฉันสามารถเอ่ยชื่อได้. มีขั้วน้ำแข็งโลก. พวกเขาบอกว่าคุณไม่สามารถเจาะทะลวงได้ในทะเลทราย---พายุทั้งหลายและคลื่นทรายขึ้นลงทั้งหลายได้ทำลายอุปกรณ์ต่างๆได้รวดเร็วกว่าการที่มันถูกติดตั้งได้, ถ้าหนอนทรายไม่จัดการคุณไปเสียก่อน. พวกเขาไม่เคยค้นพบร่องรอยของน้ำที่นั่น, เลย.  แต่ความลึกลับ, เวลลิงตัน, ความลึกลับที่แท้จริงคือบ่อน้ำทั้งหลายที่ได้ถูกขุดเจาะขึ้นมาที่นี่ในอ่างและแอ่งทั้งหลายนี้. ไม่มีใครใส่ใจใคร่รู้กันมาบ้างเลยหรือ?”

       “ตอนแรกไหลเป็นหยด, แล้วก็ไม่มีอะไรอีก.” เขาพูด.

       “แต่, เวลลิงตัน, นั่นคือความลึกลับ. น้ำมีอยู่ที่นั่น. มันแห้งไป. และไม่มีน้ำที่นั่นอีก. กระนั้นรูโพรงอื่นใกล้เคียงก็ผลิดสร้างได้ผลเช่นเดียวกัน: หยดน้ำที่หยุดลง. ไม่มีใครเคยใคร่รู้ในเรื่องนั้นกันเลยรึ?”

       “มันน่าใคร่รู้,” เขาพูด. “ท่านสงสัยในบางองค์สิ่งมีชีวิตที่ยังมีอยู่หรือ? นั่นไม่ควรจะได้แสดงให้เห็นในตัวอย่างหลักรึ?”

       “อะไรหรือที่ควรได้แสดงให้เห็น? เรื่องพืชต่างดาว...หรือสัตว์? ใครสามารถไปจำมันได้?” เธอหันกลับไปที่ลาดเนินนั้น. “น้ำนั้นหยุด. บางอย่างไปอุดปิดมันไว้. นั่นแหละที่ฉันสงสัย.”

       “บางทีเหตุผลก็ได้รู้กันอยู่แล้ว,” เขาพูด. “พวกฮาร์คอนเนนส์ปิดผนึกไว้อยู่หลายมากมายแหล่งของข้อมูลเกี่ยวกับ อาร์ราคิส. บางทีมีเหตุผลที่ให้ยับยั้งเรื่องนี้.”

       “เหตุผลอะไรล่ะ?” เธอถาม. “แล้วก็มีเรื่องความชื้นของชั้นบรรยากาศ. เล็กน้อยพอสำหรับมัน, แน่ละ, แต่มันมีอีก. มันเป็นแหล่งหลักของน้ำที่นี่, ถูกจับได้ในเครื่องดักลมและเครื่องกรองฝุ่น. มันมาจากมี่ไหนกันล่ะ?”

       “จากขั้วโลก?”

       “อากาศเย็นทำให้เกิดความชื้นได้เล็กน้อย, เวลลิงตัน. มีหลายสิ่งที่นี่อยู่เบื้องหลังม่านบังของพวกฮาร์คอนเนนส์ที่ต้านปิดกั้นการตรวจสอบหาความจริง, และไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งเหล่านั้นที่เกี่ยวพันโดยตรงกับเครื่องเทศนี้.

       “เราอยู่หลังม่านบังของฮาร์คอนเนนส์อย่างแท้จริง,” เขาพูด “บางทีเราจะ.....” เขาหยุดลง, สังเกตเห็นวิถีเข้มข้นของที่เธอกำลังมองมายังเขา. “มีบางอย่างผิดไปรึ?”

       วิธีที่ท่านพูดว่า ฮาร์คอนเน,” เธอพูด. “กระทั่งน้ำเสียง ดยุคของฉันไม่ได้มีน้ำหนักในอสรพิษเมื่อเขาใช้เอ่ยชื่อที่เกลียดชังนี้. ฉันไม่รู้ว่าท่านมีเหตุผลส่วนตนที่จะเกลียดชังพวกเขา, เวลลิงตัน.”

       พระแม่ศักดิ์สิทธิ์! เขาคิด. ข้าได้ปลุกเร้าความสงสัยของเธอขึ้นมา! ทีนี้ข้าต้องใช้ทุกเล่ห์กลที่ วรรณา ของข้าสอนข้ามาแล้ว. มีทางคลี่คลายอันเดียว: บอกความจริงไปให้ไกลที่สุดที่ข้าสามารถ.

       เขาพูด: “ท่านคงไม่รู้ว่าภรรยาของข้า, วรรณา.....” เขายกไหล่, ไม่อาจพูดอะไรผ่านลำคอของเขาที่หดรัดตัวในทันใดนั้นออกมาได้.  แล้ว: “พวกเขา.....”คำพูดทั้งหลายไม่อาจหลุดพ้นออกมา. เขารู้สึกตื่นกลัว, หลับตาของเขาลงปิดแน่น, รับรู้ความปวดร้าวในหน้าอกของเขาและเล็กน้อยที่อื่นจนกระทั่งมีมือมาแตะที่แขนของเขาอย่างแผ่วเบา.

       “ให้อภัยข้าเถิด, “เจสสิกา พูด. “ข้าไม่ได้หมายความจะเปิดแผลเก่านั้น.” และเธอคิด: เจ้าสัตว์พวกนั้น! ภรรยาของเขาเป็น เบเน เกสเสอริท---สัญลักษณ์ทั้งหลายปรากฏอยู่ทั่วร่างของเขา. และมันชัดเจนว่าพวกฮาร์คอนเนนส์ได้ฆ่าเธอ. นี่ก็เป็นอีกเหยื่อที่น่าสงสารผูกโยงกับ อะไทรดิส ด้วยคำสาปแช่งของความเกลียดชัง.

       “ข้าเสียใจ,” เขาพูด. “ข้าไม่อาจพูดถึงมันได้.” เขาเปิดดวงตาของเขาขึ้น, ให้ตัวของเขาขึ้นไปสู่การตื่นรู้ภายในของความโศกเศร้า. นั่น, อย่างน้อย, ก็คือความสัจจริง.

       เจสสิกา ศึกษาเขา, มองโหนกแก้มที่เป็นมุมขึ้น, ดวงตาดุจผลอัลมอนด์ดำวาวดุจเครื่องประดับ, ผิวเหลืองเนย, หนวดเรียวเล็กเหมือนเส้นด้ายห้อยแขวนอยู่เหมือนกรอบโค้งรอบริมฝีปากสีม่วงและคางแคบ. รอยย่นที่แก้มและหน้าผากของเขา, เธอเห็น, เป็นเส้นสายมากมายของความเศร้าโศกกว่าอายุขัย. ความสงสารลึกล้ำสำหรับเขามาท่วมท้นเธอ.

       “เวลลิงตัน, ฉันเสียที่เราได้นำท่านเข้ามาในสถานที่อันตรายนี้,” เธอพูด.

       “ข้าประสงค์ที่จะมา,” เขาพูด. และนั่น, ด้วยเช่นกัน, คือความสัจจริง.

       “แต่นี่คือกับดักของฮาร์คอนเนนส์ทั่วทั้งดาวเคราะห์. ท่ายย่อมรู้.”

       “มันต้องใช้มากกว่ากับดักที่จะจับกุม ดยุค เลโต,” เขาพูด. และนั่น, ด้วยเช่นกัน, เป็นความสัจจริง.

       “บางทีข้าควรจะเชื่อมั่นในตัวเขามากกว่านี้,” เธอพูด, “เขาเป็นนักกลยุทธที่ปราดเปรื่อง.”

       “เราถูกขุดรากถอนโคน,” เขาพูด. “นั่นคือทำไมเราอยู่ไม่ง่ายนัก.”

       “แล้วช่างง่ายเหลือเกินที่จะฆ่าต้นไม้ที่ถูกขุดรากถอนโคน, “ เธอพูด. “โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ท่านเอามันลงไปปลูกในดินของปรปักษ์.”

       “เราแน่ชัดแล้วหรือว่าเป็นดินของปรปักษ์?”

       “มีจลาจลทั้งหลายแย่งน้ำเกิดขึ้นแน่ๆเมื่อมันได้เรียนรู้ว่ามีผู้คนมากมายอย่างไรที่ ดยุค ได้เติมเพิ่มเข้าไปในจำนวนประชากร,” เธอพูด. “พวกเขาได้หยุดลงแค่เมื่อผู้คนได้เรียนรู้ว่าเราได้ติดตั้งเครื่องดักลมและเครื่องกรองฝุ่นทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อดูแลภาระที่เพิ่มขึ้นนี้.”

       “เพียงแค่มีน้ำมากมายที่จะรองรับชีวิตมนุษย์ที่นี่,” เขาพูด. “ผู้คนรู้ว่าถ้ามีมากขึ้นมาดื่มกินในจำนวนจำกัดของน้ำ, ราคาก็จะขึ้นสูงและผู้ยากจนก็จะตาย. แต่ท่านดยุคได้คลี่คลายเรื่องนี้. มันไม่ได้ตามมาด้วยว่าการจลาจลนั้นหมายถึงความเป็นปรปักษ์อย่างถาวรต่อเขา.”

       “และพวกยามรักษาการณ์,” เธอพูด. “ยามรักษาการณ์ในทุกที่. และโล่ป้องกัน. ท่านเห็นพวกมันเบลอๆระยิบระยับในทุกที่ที่ท่านมองไป. เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่แบบนี้กันบน คาลาดาน.”

       “ให้โอกาสดาวดวงนี้สักครั้งเถิด,” เขาพูด.

       แต่ เจสสิกา ยังคงจ้องมองดวงตากร้าวนั้นออกไปนอกหน้าต่าง. “ฉันสามารถได้กลิ่นความตายในสถานที่นี้,” เธอพูด. “ฮาวัท ส่งเจ้าหน้าที่ทั้งหลายล่วงหน้ามาในที่นี่เป็นโขลง. ยามรักษาการณ์ข้างนั่นเป็นคนของเขา. ผู้ขนถ่ายสินค้าก็เป็นคนของเขา. ไม่มีคำอธิบายใดของการโยกถอนจำนวนมากออกจากท้องพระคลัง. จำนวนมากนั้นหมายถึงเพียงอย่างเดียว: การติดสินบนอย่างสูงทั้งหลาย.” เธอสั่นศีรษะของเธอ. “ที่ใดที่ ธูเฟอร์ ฮาวัต ไป, ความตายและการหลอกลวงก็ตามมา.”

       “ท่านกล่าวหาเขาแล้ว.”

       “กล่าวหา? ฉันสรรเสริญเขาต่างหาก. ความตายและการหลอกลวงคือความหวังทั้งหลายของเราในตอนนี้. ฉันแค่ไม่ได้หลอกตนเองในเรื่องวิธีการของ ธูเฟอร์.”

       “ท่านควรจะ...งานยุ่งเข้าไว้นะ,” เขาพูด. “ให้ตนเองไม่มีเวลากับเรื่องที่น่ารังเกียจเช่นนั้น---“

       “งานยุ่ง! อะไรล่ะหรือที่ใช้เวลาของฉันไปมากที่สุด, เวลลิงตัน? ฉันคือเลขานุการิณีของท่านดยุค---ก็ด้วยงานยุ่งเช่นนั้นในแต่ละวันนั่นแหละที่ฉันได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่จะกลัว.....สิ่งทั้งหลายกระทั่งเขาก็ไม่สงสัยว่าฉันจะได้รู้.” เธอเม้มริมฝีปาก, พูดอย่างเก็บอารมณ์: “บางครั้งฉันสงสัยว่าการธุรกิจที่ฝึกฝนจาก เบเน เกสเสอริท ของฉันมีมากเท่าไรที่เขาได้เลือกเฟ้นฉันมา.”

       “ท่านหมายความถึงอะไรหรือ?” เขาพบว่าตนเองสะดุดใจในน้ำเสียงถากถางนั้น, ความขมขื่นที่เขาไม่ได้เคยเห็นเธอเผยออกมา.

       “ท่านไม่คิดหรอกหรือ, เวลลิงตัน,” เธอถาม, “เลขานุการินีนั่นผูกติดไว้ด้วยความรักจะทำให้ปลอดภัยได้มากยิ่งกว่า.”

       “นั่นไม่ใช่ความคิดที่มีคุณค่าเลย, เจสสิกา.”

       คำประณามนั้นมาโดยธรรมชาติยังริมฝีปากของเธอ. ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ดยุค รู้สึกอย่างไรต่อสนมของเขา. ใครก็เพียงแค่ได้เห็นสายตาที่เขาจับจ้องตามเธอไปนั้น.

       เธอถอนหายใจ. “ท่านพูดถูก. มันไม่มีคุณค่าเลย.”

       อีกครั้ง, เธอกอดกุมตนเอง, กดฝักมีดคริสไน้ฟเข้ากับเนื้อของเธอและคิดถึงงานที่ยังไม่เสร็จสิ้นที่ได้เสนอตัวมาของมัน.”

       “จะมีเลือดมากมายในไม่ช้านี้,” เธอพูด. “พวกฮาร์คอนเนนส์จะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะตายหรือดยุคของฉันถูกทำลาย. เจ้าบารอนนั่นไม่อาจลืมไปได้ว่าลีโตเป็นญาติร่วมสายเลือดราชนิกูล---ไม่ว่าจะห่างไกลขนาดไหน---ขณะที่บรรดาศักดิ์ของพวกฮาร์คอนเนนส์ออกมาจาก หนังสือฉบับกระเป๋าของ โชอัม. แต่ยาพิษในตัวเขา, ลึกอยู่ในจิตใจของเขา, คือการที่รู้ว่าตระกูลอะไทรดิส ได้ทำให้ ตระกูลฮาร์คอนเนนส์ ถูกเนรเทศเพราะความขลาดกลัวหลังจากการศึกที่ คอร์ริน.

       “ความอาฆาตเก่าแก่,” หยัว พึมพำ. และชั่วขณะนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงรสกรดของความเกลียดชัง. ความอาฆาตเก่าแก่นั้นได้วางกับดักเขาเข้ามาติดอยู่ในข่ายใยของมัน, ฆ่า วรรณา ของเขา---เลวร้ายยิ่งกว่า---ทิ้งเธอให้ถูกพวกฮาร์คอนเนนส์ทรมานจนกระทั่งสามีของเธอต้องทำตามคำสั่งของพวกมัน. ความอาฆาตเก่าแก่นี้ได้ดักเขาและผู้คนเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของสิ่งพิษร้ายนั้น.  คำเย้ยหยันนั้นก็คือความมรณะเช่นนั้นควรจะมาออกดอกผลิบานที่นี่ในอาร์ราคิส, แหล่งกำเนิดเดียวในจักรวาลของเครื่องเทศเมลานจิ์, ยาอายุวัฒนะของชีวิต, ผู้มอบให้ต่อสุขภาพ.

       “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” เธอถาม.

       “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเครื่องเทศนั่นนำมาซึ่งหกร้อยและยี่สิบพันโซลาริสต่อเดคากรัม(10 กรัม)ในตลาดเปิดตอนนี้. นั่นมั่งคั่งพอที่จะซื้ออะไรๆอีกได้มากมาย.”

       “ความโลภแตะต้องได้กระทั่งท่านด้วยหรือ, เวลลิงตัน?”

       “ไม่ใช่โลภหรอก.”

       “แล้วอะไร, หรือ?”

       เขายักไหล่. “ความเปล่าประโยชน์.” เขาชำเลืองดูเธอ. “ท่านจำการลิ้มรสครั้งแรกกับเครื่องเทศนี้ได้ไหม?”

       “มันรสชาติคล้ายชะเอม.”

       “แต่มันไม่เคยมีรสซ้ำเหมือนเดิมเป็นครั้งที่สอง,” เขาพูด. “มันเหมือนชีวิต---มันเสนอใบหน้าที่แตกต่างไปในแต่ละครั้งที่คุณเสพมัน. บางคนถือว่าเครื่องเทศนี้สร้างปฏิกิริยาเรียนรู้-กลิ่นรส. ร่างกายนี้, เรียนรู้สิ่งที่ดีสำหรับมัน, ตีความในกลิ่นรสว่าเป็นเช่นที่น่าอภิรมย์---ปีติสุขเล็กน้อย. และ, เหมือนชีวิต, ไม่เคยที่จะถูกสังเคราะห์ได้จริง.”

       “ฉันคิดว่าจะเป็นการฉลาดกว่าสำหรับเราที่จะปลีกแยกไป, เพื่อเอาตัวเราเองพ้นเลยจากการเอื้อมถึงของ จักรวรรดิ,” เธอพูด.

       เขาเหฌนได้ว่าเธอไม่ได้ฟังที่เขาบอก, เพ่งจดจ่ออยู่กับคำพูดของเธอ, สงสัยอยู่ในใจว่า:  ใช่---ทำไมเธอไม่ทำให้เขาทำเรื่องนี้? เธอสามารถทำให้เขาทำแทบจะในทุกเรื่องได้อย่างแท้จริง.

       เขาพูดอย่างเร็วเพราะว่านี่คือความสัจจริงและเปลี่ยนเรื่อง: “ท่านจะคิดว่าเป็นการกล้าหาญของข้าไหม...เจสสิกา, ถ้าข้าถามอะไรในเรื่องส่วนตัว?”

       เธอกดไปที่ขอบยื่นของหน้าต่างในอาการแวบขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ของความกังวล.  “แน่นอนว่าไม่เลย.  ท่านเป็น....เพื่อนของข้า.”

       “ทำไมท่านไม่ทำให้ท่านดยุคสมรสกับท่านล่ะ?”

       เธอหมุนมา, เชิดศีรษะ, จ้องมอง. “ทำให้เขาสมรสกับข้ารึ? แต่---”

       “ข้าไม่ควรจะถามเช่นนั้น,” เขาพูด.

       “ไม่หรอก,” เธอยักไหล่. “มีเหตุผลที่ดีทางการเมือง---ตราบนานเท่าที่ท่านดยุคยังคงไม่สมรส, บางคนของ มหาราชสำนัก ก็สามารถยังคงมีความหวังสำหรับพันธมิตร. และ.....” เธอถอนหายใจ. “...ได้กระตุ้นผู้คน, บังคับพวกเขาไปตามเจตจำนงของท่านได้, ให้ทัศนคติเย้ยหยันต่อมนุษยธรรม. มันลดคุณค่าทุกอย่างที่มันสัมผัส. ถ้าฉันทำให้เขาทำ.....เรื่องนี้, แล้วมันก็จะไม่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำ.”

       “มันเป็นสิ่งที่ วรรณา ของข้าเองอาจจะได้พูดเช่นนี้,ไ เขาพึมพำ. และเรื่องนี้, เช่นกัน, คือความสัจจริง. เขายกมือขึ้นมายังปากของเขา, กลืนกล้ำสำลักนั้นคืนกลับไป. เขาได้เคยได้เข้าใกล้จนเกือบหลุดปากพูดออกมาเช่นนี้, สารภาพภารกิจลับของเขา.

       เจสสิกา พูด, พังทลายชั่วขณะนั้นเป็นเศษชิ้นไป. “นอกจากนั้นแล้ว, เวลลิงตัน, ท่านดยุคเป็นชายสองคนจริงๆ. หนึ่งนั้นฉันรักมากยิ่งนัก. เขามีเสน่ห์, เฉียบแหลม, เห็นอกเห็นใจผู้อื่น.....อ่อนโยน---ทุกอย่างที่ผู้หญิงจะวาดหวังเอาไว้. แต่กับชายอีกคนนั้น...เยือกเย็น, ใจดำ, บงการ, เห็นแก่ตัว---เกรี้ยวกราดและโหดเหี้ยมดุจสายลมฤดูหนาว. นั่นคือชายที่ถอดแบบมาจากบิดานั้น.” ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยว. “ถ้าเพียงแค่ชายเฒ่าได้ตายไปเสียตั้งแต่ตอนดยุคเกิดมาแล้วล่ะก็!

       ในความเงียบที่เข้ามาระหว่างพวกเขา, ลมเอื่อยจากเครื่องระบายอากาศสามารถถูกได้ยินได้ถึงที่กระทบระริกกับม่านบังตา.

       ในไม่ช้านัก, เธอสูดหายใจลึก, พูด, “ลีโตพูดถูก—ห้องเหล่านี้ดูดีกว่าพวกอีกฟากหนึ่งโน้นของบ้าน.” เธอหัน, กวาดไปรอบห้องด้วยสายตาของเธอ. “ถ้าท่านจะให้อภัยข้า, เวลลิงตัน, ข้าอยากจะมองดูตลอดทั้งปีกนี้ก่อนฉันจะกำหนดส่วนต่างๆ.”

       เขาพยักหน้า. “แน่นอน,” และเขาก็คิด: ถ้าเพียงแต่มีหนทางบางอย่างที่ข้าไม่ต้องทำสิ่งที่ข้าต้องทำนี้.

       เจสสิกา ทิ้งแขนของเธอลง, เดินข้ามไปยังประตูโถงและยืนตรงนั้นชั่วครู่, ลังเล, แล้วก็ให้ตนเองออกไป. ตลอดเวลาที่เราพูดคุยกันเขาได้ซ่อนบางอย่างเอาไว้, ดึงรั้งบางอย่างกลับไป, เธอคิด. เพื่อรักษาความรู้สึกของฉัน, ไม่ต้องสงสัยเลย. เขาเป็นคนดี. อีกครั้ง, เธอลังเลใจ., เกือบจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับ หยัว และลากเอาสิ่งที่ซ่อนเร้นนั้นออกมาจากเขา. แต่นั่นมีแต่ทำให้เขาอับอาย, ทำให้เขาหวาดกลัวที่จะเรียนรู้ว่าเขานั้นอ่านออกได้ง่ายๆ. ฉันควรจะให้ความไว้ใจกับเพื่อนให้มากไว้.