หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย(17)

 

                  ควรจะมีศาสตร์ของความไม่พอใจ. ผู้คนจำเป็นต้องการเวลายากลำบากทั้งหลายและภาวะการณ์กดขี่ เพื่อที่จะพัฒนาเหล่ากล้ามเนื้อทางจิต.

---จาก “รวบรวมคำพูด ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

เจสสิกา ตื่นขึ้นในความมืด, รู้สึกเป็นลางสังหรณ์ในความนิ่งสงัดรอบตัวเธอ. เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมจิตใจของเธอและร่างกายรู้สึกเงื่องหงอยคร้านเกียจเสียเหลือเกิน. ผิวหนังแกรกกรากด้วยความกลัววิ่งผ่านไปตามเส้นประสาททั้งหลายของเธอ. เธอคิดที่จะลุกขึ้นนั่งและเปิดโคมไฟ, แต่อะไรบางอย่างหยุดอยู่ที่ความคิดการตัดสินใจ. ปากของเธอรู้สึก...แปลกประหลาด.

ตึบ-ตึบ-ตึบ-ตึบ!

มันเป็นเสียงทึบหนัก, ไร้ทิศทางอยู่ในความมืด. ที่ไหนสักแห่ง.

ชั่วขณะการรอคอยนั้นถูกห่อมัดอยู่ด้วยเวลา, โดยมีเข็มเคลื่อนกระดิกไปติ๊กๆ.

เธอเริ่มตนที่จะรู้สึกถึงร่างกายของตน, ขยายความรับรู้ของสิ่งมัดรัดที่ข้อมือและข้อเท้า, สิ่งหนึ่งอุดที่ในปากของเธอ. เธอทดสอบสิ่งผูกมัดนั้น, ตระหนักได้ว่าพวกมันคือใยถักคริมสเกล(krimskell* - ใยจากเถาต้นองุ่น), จะแค่รัดตะครุบแน่นยิ่งขึ้นเท่านั้นเมื่อเธอดึง.

https://dune.fandom.com/wiki/Krimskel_Fiber

และตอนนี้, เธอจำได้.

มีการเคลื่อนไหวในความมืดของห้องนอนของเธอ, บางอย่างเปียกและฉุนแสบได้ฟาดพาดมาที่ใบหน้าของเธอ, เติมเข้าไปในปากของเธอ, มือฉวยคว้าจับหาเธอ. เธอหอบสำลัก---สูดลมหายใจได้หนึ่งอึด---รู้สึกถึงกลิ่นยานอนหลับในความเปียกนั้น. สำนึกสติได้ถดถอย, จมเธอลงไปสู่ถังดำมืดของความตื่นตระหนก.

มันได้มาแล้ว, เธอคิด. มันช่างง่ายเสียกระไรที่ทำให้ เบเน เกสเสอริต พ่ายแพ้. ทั้งหมดที่มันใช้คือการทรยศ. ฮาวัต พูดถูก.

เธอบังคับตนเองที่จะไม่ดึงสิ่งผูกมัดเธอนั้น.

นี่ไม่ใช่ห้องนอนของฉัน, เธอคิด. พวกมันนำตัวฉันมายังที่อื่นแล้ว.

อย่างช้าๆ, เธอระดมกำลังกับความสงบลงภายใน.

เธอเจริญการรับรู้ขึ้นได้ถึงกลิ่นเหงื่อหืนของเธอเองที่มีการแพร่กระจายเคมีแห่งความกลัว.

พอล อยู่ที่ไหน? เธอถามตัวเอง. บุตรชายของข้า---พวกมันทำอะไรกับเขา?

สงบนิ่ง.

เธอบังคับตัวเธอเองสู่มัน, ใช้กิจวัตรโบราณทั้งหลาย.

แต่ความตื่นกลัวยังอยู่ใกล้ชิดเหลือเกิน.

ลีโต? ท่านอยู่ที่ไหนรึ? ลีโต?

เธอสัมผัสได้ถึงการลดลงของความมืด. มันเริ่มต้นด้วยเงาสลัวทั้งหลาย. มิติต่างๆถูกแยกออก, กลายเป็นหนามแหลมใหม่ทั้งหลายของความตระหนักรู้. สีขาว. เส้นหนึ่งที่ใต้ประตู.

ข้ากำลังนอนอยู่ที่พื้น.

ผู้คนกำลังเดิน. เธอสัมผัสได้ถึงทันผ่านทะลุประตู.

เจสสิกา บีบคั้นความทรงจำของตื่นกลัวกลับมา. ข้าต้องยังคงสงบนิ่งเอาไว้, ตื่นตัว, และเตรียมพร้อม. ข้าอาจได้โอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว. อีกครั้ง, เธอบังคับความสงบนิ่งข้างใน.

การเต้นอย่างงุ่มง่ามของหัวใจของเธอเข้าที่ทาง, จัดรูปร่างของเวลา. เธอนับย้อนหลัง. ข้าหมดสติไปราวหนึ่งชั่วโมง. เธอหลับตาลง, เพ่งสติรับรู้ของเธอไปบนเสียงฝีเท้าที่กำลังเข้ามาหา.

สี่คน.

เธอนับความแตกต่างกันในฝีเท้าของพวกนั้น.

ข้าต้องแสร้งว่าข้ายังคงหมดสติอยู่. เธอผ่อนคลายลงไปกับพื้นเย็นเยือกนั้น, ทดสอบความพร้อมของร่างกาย, ได้ยินเสียงประตูเปิดออก, สัมผัสได้ถึงแสงสว่างเพิ่มขึ้นผ่านเปลือกตาของเธอ.

เท้าก้าวเข้ามา: ใครบางคนยืนอยู่เหนือเธอ.

“ท่านตื่นแล้ว,” เสียงทุ้มต่ำระรัว. “อย่าได้เสแสร้ง.”

เธอเปิดตาของขึ้น.

บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนน ยืนอยู่เหนือเธอ. รายรอบพวกเขา, เธอจำได้ถึงห้องใต้ถุนที่ พอล ได้นอน, เห็นฟูกของเขาที่ด้านหนึ่ง---ว่างเปล่า. โคมลอยแขวนทั้งหลายถูกนำเข้ามาโดยเหล่ายามรักษาการณ์, กระจายอยู่ใกล้ประตูที่เปิด. มีแสงสว่างเลือบสะท้อนในโถงทางเดินพ้นเลยไปจากตาที่เจ็บปวดของเธอ.

เธอเงยขึ้นมอง บารอน. เขาสวมชุดคลุมสีเหลืองที่นูนโป่งทับเครื่องแขวนพยุงร่างแบบพกพา. แก้มอวบอ้วนไร้เดียงสาอยู่สองเนินใต้ดวงตาดำดุจแมงมุม.

“ยานั่นหมดเวลาแล้ว,” เขาครางรัวยาว. “เรารู้ถึงนาทีเมื่อเจ้าได้พ้นออกจากฤทธิ์ของมัน.”

เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? เธอกังขาใจ. พวกมันจะต้องได้น้ำหนักที่ถูกต้องของตัวข้า, ระบบเมตะโบลิซึ่มของข้า, ของข้า.......หยัว!

“ช่างน่าสงสารที่เจ้าต้องยังอุดปากไว้,” บารอน พูด. “เราน่าจะได้มีการสนทนาอันน่าสนใจกันเช่นนี้.”

หยัว คือคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นได้, เธอคิด. อย่างไร?

บารอน ชำเลืองไปยังประตูที่ด้านหลังของเขา. “เขามาสิ ไพเตอร์.”

เธอไม่เคยได้เห็นมาก่อนกับชายผู้ที่ได้เข้ามายืนที่ด้านข้างของ บารอน, แต่ใบหน้านั้นเป็นที่รู้จัก---และชายผู้นี้: ไพเตอร์ เดอ วรีส มือลอบสังหาร-เมนทาต. เธอได้ศึกษาเขามา---ร่างเหยี่ยว, ดวงตาสีหมึก-ฟ้าที่บ่งชี้ว่าเขาเป็นชนพื้นเมืองของ อาร์ระคิส, แต่ความบอบบางทั้งหลายของการเคลื่อนไหวและท่ายืนบอกเธอว่าเขาไม่ใช่. และเนื้อหนังนั้นแน่นดีเกินไปด้วยน้ำ. เขาร่างสูง, ออกจะสะโอดสะอง, และบางอย่างเกี่ยวกับเขาบ่งชี้ว่ามีลักษณะเพศหญิง.

“ช่างน่าสงสารที่เราไม่สามารถได้มีการสนทนา, คุณหญิงเจสสิกาที่รัก,” บารอน พูด. “อย่างไรก็ดี, ข้านั้นระแวดระวังถึงความสามารถทั้งหลายของเจ้า.” เขาเหลือบไปที่เมนทาตผู้นั้น. “ไม่จริงหรอกรึ, ไพเตอร์?”

“ตามที่ท่านบอก, บารอน,” ชายนั้นพูด.

เสียงนั้นแหลมสูงเป็นเทเนอร์. มันสัมผัสสันหลังของเธอด้วยการชะล้างของความเย็นเยือก. เธอไม่เคยได้ยินน้ำเสียงที่เย็นเยือกเช่นนี้มาก่อนเลย. กับผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาจากเบเน เกสเสอริต, เสียงนั้นได้กรีดร้องว่า: ฆาตกร!

“ข้ามีสิ่งแปลกใจสำหรับ ไพเตอร์,” บารอน พูด. “เขาคิดว่าเขาได้มาที่นี่เพื่อรับรางวัลของเขา---เจ้า, ท่านหญิงเจสสิกา. แต่ข้าปรารถนาที่จะสาธิตสิ่งหนึ่ง; ว่าเขานั้นไม่ได้ต้องการเจ้าจริงๆ.”

“ท่านหยอกเล่นกับข้ารึ, บารอน?” ไพเตอร์ ถาม, และเขายิ้ม.

เห็นรอยยิ้มนั้น, เจสสิกา สงสัยอยู่ในใจว่า บารอน ไม่ได้กระโจนเพื่อหลบหลีกตนเองจาก ไพเตอร์ นี้เลย. แล้วเธอก็แก้ไขตนเองให้ถูกต้อง. บารอน ไม่สามารถอ่านรอยยิ้มนั่นได้. เขาไม่ได้ถูกฝึกมา.

“ในหลายหนทาง, ไพเตอร์ ค่อนข้างจะใสซื่อ,” บารอน พูด. “เขาไม่ยอมรับต่อตนเองว่าเจ้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายยิ่งถึงมรณา, ท่านหญิงเจสสิกา. ข้าควรจะแสดงให้เขาดู, แต่มันเป็นการเสี่ยงที่โง่เขลา.” บารอน ยิ้มยัง ไพเตอร์, ที่ใบหน้าได้กลายเป็นหน้ากากของการรอคอย. “ข้ารู้ว่า ไพเตอร์ ต้องการอะไรทีแท้จริง. ไพเตอร์ ต้องการพลังอำนาจ.”

“ท่านสัญญาว่าข้าสามารถได้ เธอ,” ไพเตอร์ พูด. เสียงสูงแหลมเทเนอร์นั้นได้สูญบางอย่างของความเยือกเย็นที่ควรสงวนไว้.

เจสสิกา ได้ยินเจตคติที่ซ่อนอยู่ในน้ำสียงของชายนี้, ยอมให้ตัวเธอเองสั่นกลัวกลับข้างใน. บารอน สามารถสร้างสัตว์ร้ายเยี่ยงนี้ออกมาจาก เมนทาต ได้อย่างไรกัน?

ข้าให้เจ้าเลือกหนึ่งอย่าง, ไพเตอร์,” บารอน พูด.

“เลือกอะไรรรึ?”

บารอน ดีดนิ้วอ้วนทั้งหลาย. “หญิงผู้นี้และเนรเทศไปจาก จักรวรรดิ, หรือ เป็น ดูชี่ แห่ง อะไทรดิส บน อาร์ราคิส(the Duchy of Atreides on Arrakis) เพื่อปกครองดังที่เจ้าเห็นควรว่าเหมาะเจาะในนามของข้า.”

เจสสิกา เฝ้าดูดวงตาดุจแมงมุมของ บารอน ที่ศึกษาท่าทีของ ไพเตอร์.

“เจ้าสามารถเป็น ดยุค ที่นี่ในทั้งปวงยกเว้นแต่ในนาม,” บารอน พูด.

นี่ เลโต ของข้าตายแล้ว,งั้นหรือ? เจสสิกา ถามตนเอง. เธอรู้สึกได้ถึงเสียงครวญคร่ำเงียบๆเริ่มขึ้นที่ไหนสักแห่งในจิตใจของเธอ.

บารอน ยังคงให้ความสนใจของเขาอยู่กับ เมนทาต นั้น. “จงเข้าใจตนเอง, ไพเตอร์. เจ้าต้องการหล่อนเพราะว่าเป็นผูหญิงของ ดยุค, สัญลักษณ์อำนาจของเขา---งดงาม, มีประโยชน์, ถูกฝึกฝนมาดีเลิศเพื่อบทบาทของหล่อน. แต่ได้เป็น ดูชี่ ทั้งสิ้นนะ, ไพเตอร์? นั่นมากยิ่งกว่าสัญลักษณ์, นั่นคือความเป็นจริง. ด้วยมันเต้าสามารถมีผู้หญิงมากมาย....และมากยิ่งกว่า.”

“ท่านอย่าไม่ได้เล่นตลกกับ ไพเตอร์ นะ?”

บารอน หันกลับด้วยแสงสว่างเต้นระยิบระยับของโคนลอยแขวนทังหลายส่องต้องยังร่างเขา. “เล่นตลก? จำเอาไว้---ข้า กำลังละทิ้งเจ้าเด็กนั่น. เจ้าได้ยินอะไรที่คนทรยศได้พูดไปแล้วเกี่ยวกับการฝึกฝนของหนุ่มนั้น. พวกเขาเหมือนกัน, แม่กับลูก---ตัวมรณา.” บารอน ยิ้ม. “ข้าต้องไปแล้วตอนนี้. ข้าจะส่งยามรักษาการณ์ที่ข้าได้สำรองไว้สำหรับชั่วขณะเช่นนี้เข้ามา. เขาใบ้กินเป็นหิน. คำสั่งทั้งหลายของเขาจะเป็นการชักนำเจ้าในขาแรกของการเดินทางของเจ้าเข้าไปในการเนรเทศ. เขาจะบังคับจัดการหญิงผู้นี้ถ้าเขาเห็นว่าหล่อนควบคุมเจ้าได้. เขาจะไม่ยอมให้เจ้าได้แก้เครื่องรัดมัดตัวหล่อนจนกว่าเจ้าจะออกไปจากอาร์ราคิส. ถ้าเจ้าเลือกที่จะไม่ไป....เขาก็มีคำสั่งอื่น.”

“ท่านไม่จำเป็นต้องออกไป,” ไพเตอร์ พูด. “ข้าได้ลือกแล้ว.”

“อ้า, ฮ้าห์! บารอน หัวเราฮะฮะ. “การตัดสินใจเร็วนักเยี่ยงนี้สามารถหมายความได้อย่างเดียว.”

“ข้าจะรับตำแหน่ง ดูชี่,” ไพเตอร์ พูด.

และ เจสสิกา คิด: ไพเตอร์ ไม่รู้หรือว่า บารอน กำลังโกหกเขา? แต่---เขาสามารถรู้ได้อย่างไร? เขาเป็น เมนทาต ที่ถูกบิดเบี้ยวไปแล้ว.

บารอน เหลือบลงมองยัง เจสสิกา. “มันไม่น่าอัศจรรย์หรอกหรือที่ข้ารู้จัก ไพเตอร์ ดีมากยิ่ง? ข้ากระดิกแกว่งกับ ปรมาจารย์ ติด อาวุธ ของข้าว่านี่น่าจะเป็นการเลือกของ ไพเตอร์. ฮ๊า! เอาละ, ข้าไปในตอนนี้. นี่ดีกว่ามาก. อ้าห-ห์, ดีกว่ามาก. เจ้าเข้าใจไหม, ท่านหญิงเจสสิกา? ข้าไม่ได้ถืออาฆาตเคียดแค้นอะไรยังเจ้า. มันคือความจำเป็น. หนทางนี้ดีกว่ามาก. ใช่. และข้าไม่ได้เป็นผู้สั่ง อย่างแท้จริง ให้ทำลายเจ้า. เมื่อมันมีการถามกับข้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า, ข้าสามารถยักไหล่บอกไปตามความจริงไปทั้งหมดได้.”

“ท่านปล่อยให้เป็นข้างั้นสินะ?” ไพเตอร์ ถาม.

“ยามรักษาการณ์ที่ข้าส่งมาให้เจ้าจะรับคำสั่งทั้งหลายของเจ้า,” บารอน พูด. “อะไรที่ต้องทำข้าจะทิ้งไว้ให้กับเจ้า.” เขาจ้องมองที่ ไพเตอร์. “ใช่. จะไม่มีเลือดบนมือของข้าในที่นี่. มันเป็นการตัดสินใจของเจ้า. ใช่. ข้าไม่รู้เห็นอะไรด้วย. เจ้าจะต้องรอจนกว่าข้าได้ไปแล้วก่อนทำอะไรก็ตามที่เจ้าต้องทำ. ใช่. เอาละ...อ้า, ใช่. ใช่. ดีแล้ว.”

เขากลัวคำถามของ ผู้สอบสัจจะ(Truthsayer*), เจสสิกา คิด. ใครรึ? อ้า-ห-ห์, แม่อธิการ ไกอัส เฮเลน, แน่นอนละ! ถ้าเขารู้ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับคำถามทั้งหลายนั้นของท่าน, แล้ว จักรพรรดิ ก็เป็นต้นคิดการนี้อย่างแน่นอน. อ้า-ห-ห-ห์, เลโต ที่น่าสงสารของข้า.

* https://dune.fandom.com/wiki/Truthsayer

ด้วยการเหลือบมอง เจสสิกา อีกเป็นครั้งสุดท้าย, บารอน นั้นกันร่าง, ออกประตูไป. เธอติดตามเขาไปด้วยสายตาของเธอ, กำลังคิด: มันเป็นไปตามที่ แม่อธิการ ได้เตือนไว้---ปรปักษ์ผู้สูงอำนาจ.

ทหารฮาร์คอนเนนสองคนเข้ามา. อีกหนึ่งนั้น, ใบหน้าดุจหน้ากากแผลเป็น, ตามเข้ามาและยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าด้วยปืนเลซที่ดึงออกมา.

คนหูหนวก, เจสสิกา คิด, ศึกษาใบหน้าแผลเป็นนั้น. บารอน รู้ว่าข้าสามารถใช้ วจนะ กับใครคนใดอื่นได้.

ใบหน้าแผลเป็นมองที่ ไพเตอร์. “เรามีเด็กชายคนหนึ่งบนแคร่ข้างนอก. ท่านจะบัญชาอะไร?”

ไพเตอร์ พูดกับ เจสสิกา. “ข้าได้คิดถึงการผูกมัดเจ้าด้วยการข่มขู่ด้วยตัวบุตรชายของเจ้า, แต่ข้าเริ่มที่จะเห็นว่านั่นคงไม่ได้ผล. ข้าปล่อยให้อารมณ์ปกคลุมบังเหตุผล. นโยบายที่เลวสำหรับ เมนทาต.” เขามองยังทหารทั้งคู่, หันไปหาเพื่อผูหูหนวกจะสามารถอ่านริมฝีปากของเขาได้. “พาพวกเขาข้าไปในทะเลทรายเหมือนที่เจ้าคนทรยศแนะนำไว้กับเจ้าเด็กชายนั่น. แผนการของเขาเป็นสิ่งดีอันหนึ่ง. หนอนทรายทั้งหลายจะทำลายหลักฐานทั้งหมด. ร่างของพวกเขาต้องไม่ถูกค้นพบ.”

“ท่านไม่ปรารถนาที่จะส่งพวกเขาด้วยตนเองหรือ?” ใบหน้าแผลเป็นถามง เขาอ่านริมฝีปาก, เจสสิกา คิด.

“ข้าจะตามตัวอย่างของท่านบารอน,” ไพเตอร์ พูด. “เอาพวกเขาไปยังที่เจ้าทรยศนั้นพูดไว้.”

เจสสิกา ได้ยินความควบคุมแข็งกร้าวเยี่ยงเมนทาตในน้ำเสียงของ ไพเตอร์, คิด: เขา, ด้วยเช่นกัน, กลัว ผู้สอบสัจจะ

ไพเตอร์ ยักไหล๋, หันกลับ, และออกผ่านประตูไป. เขาลังเลชั่วครู่ที่ตรงนั้น, และ จสสิกา คิดว่าเขาอาจหันกลับมาเพื่อมองเธอเป็นครั้งสุดท้าย, แต่เขาเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย.

“ข้าเอง, ข้าจะไม่ชอบความคิดของการเผชิญหน้ากับ ผู้สอบสัจจะ นั้นภายหลังการทำงานในคืนนี้,” หน้าแผลเป็น พูด.

“เจ้าก็คงไม่อยากจะวิ่งเข้าไปเจอกบนังแม่มดเฒ่านั้นอ่ะแหละ,” ทหารอีกรายพูด. เขาเดินรอบศีรษะของ เจสสิกา, ก้มลงเหนือเธอ. “มันไม่ทำให้งานของเราเสร็จลงไปได้ด้วยการยืนคุยกันอยู่แถวนี้หรอก. ยกเท้าของหล่อนแล้ว---“

“ทำไมเราไม่ฆ่าพวกเขาซะเลยในที่นี่ล่ะ?” หน้าแผลเป็น ถาม.

“ยุ่งเกินไป,” รายแรกบอก. “นอกเสียจากว่าเจ้าอยากจะบีบคอฆ่าพวกเขา. เขาน่ะ, ข้าชอบที่จำทำงานตรงตามสั่งดีๆดีกว่า. ทิ้งพวกเขาไปในทะเลทรายเหมือนที่เจ้าคนทรยศนั่นพูด, เฉือนพวกเขาสักหนึ่งหรือสองแผล, ทิ้งหลักฐานนี่ไว้ให้เจ้าหนอนทรายจัดการ. ไม่มีอะไรต้องเก็บทำความสะอาดหลังจากนั้น.”

“เย้...เอาละ, ข้าเดาว่าเจ้าพูดถูก.” หน้าแผลเป็น พูด.

เจสสิกา ฟังพวกเขา, เฝ้าดู, บันทึกไว้. แต่สิ่งอุดปากนี้กั้น วจนะ ของเธอไว้, และมีคนหูหนวกนี้ที่ต้องคำนึงถึง.

หน้าแผลเป็น เก็บปืนเลซของเขาเข้าซอง, จับเท้าของเธอ. พวกเขายกเธอขึ้นเหมือนกระสอบข้าว, ขนย้ายเธอผ่านประตูและโยนเธอลงบนแคร่ลอยตัวที่มีร่างถูกมัดอื่นนอนอยู่. ขณะที่พวกมันพลิกตัวเธอ, ยัดเธอลงให้พอดีเข้ากับแคร่นั้น, เธอมองเห็นใบหน้าของผู้ร่วมอยู่เคียงเธอ---พอล! เขาก็ถูกมัด, แต่ไม่ได้ถูกอุดปาก. ใบหน้าของเขาห่างไปไม่ถึงสิบเซนติเมตรจากของเธอ, ดวงตาปิดสนิท, หายใจสงบ.

เขาถูกวางยารึ? เธอสงสัย.

ทหารพวกนั้นยกแคร่นี้ขึ้น, และ ดวงตาของ พอล เปิดออกในอาการหรี่เล็กน้อยที่สุด—รอยเปิดเรียวดำนั้นจ้องมาที่เธอ.

เขาต้องไม่พยายามใช้ วจนะ! เธอภาวนา. ยามนั่นหูหนวก!

ดวงตาของ พอล ปิดลง.

เขาได้ถูกฝึกฝนการหายใจ-ตั้งสติ, การสงบจิตใจของเขาลง, กำลังฟังอยู่กับผู้จับกุมตัวพวกเขา. เจ้าหูหนวกวางท่าเป็นปัญหา, แต่ พอล ควบคุมความสิ้นหวังของเขา. กฏเกณฑ์การสงบจิตใจ เบเน เกสเสอริต ที่มารดาของเขาได้สอนเขาทำให้เขารักษาความสมดุล, พร้อมที่จะแผ่ขยายออกกับโอกาสใดก็ตาม.

พอล ยอมให้ตนเองหรี่ตาเปิดออกดูใบหน้าของมารดา. เธอปรากฏให้เห็นว่าปลอดภัย. ถูกอุดปาก, เอาไว้.

เขาสงสัยว่าใครได้สามารถจับตัวเธอได้. การจับกุมตัวของเขาเองนั้นเรียบง่ายพอเพียง—ที่เตียงด้วยยาแคปซูลที่ หยัว จ่ายมาให้, ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองถูกมัดติดกับแคร่นี้. บางทีสิ่งเหมือนกันนี้ได้เกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับเธอ. ตรรกะบอกได้ว่าผู้ทรยศนั้นคือ หยัว, แต่เขาได้กุมการตัดสินใจสุดท้ายในการระงับชั่วคราว. ไม่มีความเข้าใจมัน---แพทย์แห่งสึกวิทยา คนทรยศ.

แคร่นี้เอียงเบาๆเล็กน้อยเมื่อพวกทหารของฮาร์คอนเนนขนย้ายมันผ่านประตูออกไปสู่ราตรีพร่างพรายด้วยดาว. แคร่ลอยแขวนนั้นถูกเข้ากับประตูทางเข้าออก. แล้วพวกเขาก็ออกสู่ทะเลทราย, เท้าแกรกกรากในมัน. ปีกของยานธ็อปเปอร์เลือนรางอยู่เหนือศีรษะ, บดบังดวงดาวทั้งหลาย. แคร่ถูกวางลงกับพื้นทราย.

ดวงตาของ พอล ปรับให้เข้ากับแสงเลือนรางนั้น. เขาจำเจ้าทหารหูหนวกนั่นได้เมื่อชายผู้นั้นเปิดประตูของยานธ็อปเปอร์, ชะเง้อมองเข้าไปข้างในที่แสงเรืองมัวเขียวจากแผงอุปกรณ์.

“นี่เป็นธ็อปเปอร์ที่เราถูกคาดว่าจะให้ใช้รึ?” เขาถาม, และหันกลับมาดูริมฝีปากของสหายของเขา.

“มันเป็นลำที่เจ้าทรยศนั่นบอกว่าถูกซ่อมมาสำหรับใช้งานในทะเลทราย,” อีกคนหนึ่งพูด.

หน้าแผลเป็น พยักหน้ารับ. “แต่มันเป็นลำที่ใช้กับพวกงานติดต่อประสานงาน. ไม่มีที่ในนั้นพอสำหรับพวกเขากับเราสองคน.”

“สองก็เพียงพอแล้ว,” คนแบกแคร่พูด, เคลื่อนเข้าใกล้และเสนอริมฝีปากของเขาให้อ่านได้. “เราสามารถจัดการมันตั้งแต่นี่ไปเลย, ไคเน็ต.”

“ท่านบารอนเขาได้บอกข้าว่าทำให้แน่ใจถึงในอะไรที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสอง,” หน้าแผลเป็น พูด.

“แล้วเจ้ากังวลอะไรอีกล่ะ?” ทหารอีกคนถามมาจากด้านหลังของคนที่แบกแคร่.

“หล่อนเป็นแม่มด เบเน เกสเสอริต,” คนหูหนวกพูด. “พวกเขามีพลัง.”

“อ้า-ห-ห์.....” เจ้าคนแบกแคร่ทำเครื่องหมายของกำปั้นที่หูของตน. “หนึ่งในพวกเขา, เอ๋? รู้มั๊ยว่าเจ้าหมายถึงอะไร?”

ทหารที่อยู่ข้างหลังเขากร่นคำราม. “หล่อนจะเป็นอาหารของตัวหนอนทรายเร็วพอแหละ. อย่าคาดหวงว่ากระทั่งแม่มด เบเน เกสเสอริต มีพลังอยู่เหนือหนึ่งในพวกหนอนใหญ่ทั้งหลายนั่นได้หรอกน่ะ. เอ๋, คซิโก?” เขาถองเจ้าคนแบกแคร่ด้วยศอก.

“ช่ายย-เลย,” คนแบกแคร่พูด. ขันมาที่แคร่, มองที่ไหล่ของ เจสสิกา. “มาเหอะ, ไคเน็ต. เจ้าลุยตามนั้นได้เลยถ้าเจ้าต้องการที่จะทำให้แน่ใจว่าอะไรเกิดขึ้น.”

“มันน่ารักมากที่เจ้าเชิญข้า,คซิโก,” หน้าแผลเป็นพูด.

เจสสิกา รู้สึกถึงเธอตัวถูกยกขึ้น, เงาปีกกำลังหมุน---ดวงดาว. เธอถูกผลักเข้าไปในตอนหลังของยานธ็อปเปอร์, ใยรัดคริมสเคลล์ของเธอถูกตรวจตรา, และเธอถูกรัดด้วยสายหนังลงไป. พอล ถูกเบียดเสียดเข้ามาที่ข้างเธอ, ถูกรัดไว้อย่างแน่น, และเธอสังเกตได้ว่าเครื่องมัดรัดของเขานั้นเป็นแค่เชือกธรรมดา.

หน้าแผลเป็น, คนหูหนวกที่พวกนั้นเรียกเขาว่าไคเน็ต, เขายึดที่นั่งในตอนหน้า. คนแบกแคร่, ที่พวกนั้นเรียกเขาว่า คซิโก, อ้อมมาและขึ้นนั่งในที่ตอนหน้าอีกอัน.

ไคเน็ต ปิดประตูของเขา, ก้มไปที่แผงควบคุม. ยานธ็อปเปอร์บินขึ้นด้วยปีกพักกระพือ, มุ่งหน้าไปทางทิศใต้เหนือกำแพงโล่ห์พลัง. คซิโก แตะที่ไล่เพื่อนร่วมงานของเขา, บอก: “ทำไมเจ้าไม่หันไปคอยเฝ้าดูพวกเขาทั้งสองนั่นล่ะ?”

“แน่ใจนะว่าเจ้ารู้ทางที่จะไป?” ไคเน็ต เฝ้ามองริมฝีปากของ คซิโก.

“ข้าได้ฟังจากเจ้าทรยศนั่นมาเหมือนกันกับเจ้านั่นแหละ.”

ไคเน็ต หมุนเก้าอี้ของตน, เจสสิกา เห็นแสงดาวแวววาวอยู่ที่ปืนเลซในมือของมัน. แสงตามผนังในยานธ็อปเปอร์ดูเหมือนจะมีความเข้มสว่างพอดีขณะที่ดวงตาของเธอปรับตัว, แต่เจ้ายามหน้าแผลเป็นนั้นยังคงอยู่ในความสลัว. เจสสิกา ทดสอบเข็มขัดรัดที่นั่งของเธอ, พบว่ามันหลวม. เธอรู้สึกถึงความหยาบในสายรัดนั้นสัมผัสต่อแขนข้างซ้ายของเธอ, ตระหนักได้ว่าสายรัดนั้นเกือบจะแยกขาดได้, ถ้ากระตุกแรงๆในทันที.

มีใครบางคนได้มาที่ยานธ็อปเปอร์นี้, เตรียมมันให้สำหรับเรา? เธอสงสัยในใจ. ใครรึ? อย่างช้าๆ, เธอบิดเท้าที่ถูกรัดพ้นออกจากของ พอล.

“แน่เลยว่าดูจะน่าอายนักที่ทำเสียของกับหญิงรูปงามเหมือนเช่นนี้,” หน้าแผลเป็น พูด. “เจ้าเคยได้คนเกิดมาสูงศักดิ์ใดมามั่งไหม?” เขาหันไปมองยังนักบิน.

“เบเน เกสเสอริต ไม่ได้ทั้งหมดเกิดมาสูงศักดิ์,” นักบินพูด.

“แต่พวกเขาทั้งหมดดูสูงส่งล่ะ.”

เขาสามารถเห็นฉันได้ชัดแจ้งพอ, เจสสิกา คิด. เธอนำขาที่ถูกมัดด้วยกันไว้ขึ้นมาบนที่นั่ง, ม้วนเข้าเป็นลูกบอลกลม, จ้องไปยังคนหน้าแผลเป็นนั้น.

“สวยจริง, เจ้าหล่อนนี้,” ไคเน็ต พูด. เขาเปียกริมฝีปากตนเองด้วยลิ้นของตน. “แน่เลยว่าน่าอายล่ะ.” เขามองไปที่ คซิโก้.

“เจ้ากำลังคิดอะไรว่าข้าคิดว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอู่รึ?” นักบินนั้นถาม.

“ใครจะเป็นคนรู้ล่ะ?” ยาม ถาม. “หลังจากนั่นแล้ว.....” เขายักไหล่. “ข้าแค่ไม่เคยให้ตัวเองได้สาวสูงศักดิ์. น่าจะไม่เคยมีโอกาสเหมือนเช่นนี้อีกครั้ง.”

“แกเอามือมาแตะต้องมารดาของข้า...” พอล พูดเสียงแหบห้าว. เขาจ้องมองเจ้าหน้าแผลเป็นนั้น.

“เฮ้!” นักบิน หัวเราะ. “ลูกหมาเห่าได้. ไม่ได้กัด, แหละ.”

และ แจสสา คิด: พอล ขึ้นเสียงของเขาระดับสูงเกินไป. มันอาจใช้การได้, เช่นกัน.

พวกเขาบินไปอย่างเงียบๆ.

เจ้าโง่พวกนี้, เจสสิกา คิด, ศึกษาพวกยามเฝ้านี้ของเธอและทบทวนถึงคำของ บารอน. พวกเขาจะถูกฆ่าในทันทีที่พวกเขารายงานความสำเร็จของปฏิบัติการนี้. บารอน ไม่ต้องการให้มีพยาน.

ยานธ็อปเปอร์เอียงเลี้ยวข้ามขอบริมกำแพงโ,ห์พลังด้านทิศใต้, และ เจสสิกา เห็นเงาดวงจันทร์แผ่อยู่บนผืนขยายใต้ล่างของพวกเขา.

“นี่น่าจะมาไกลพอแล้ว,” นักบินพูด. “เจ้าทรยศนั่นบอกว่าให้เอาพวกเขาไว้บนทรายที่ไหนสักแห่งใกล้กำแพงโล่ห์.” เขาลดยานบินนั้นตรงไปยังเหล่านูนทรายในอาการเอียงยาว, ดึงมันขึ้นหยุดอยู่เหนือผิวทะเลทราย.

เจสสิกา เห็น พอล เริ่มทำหายใจเป็นจังหวะของออกกำลังการสงบจิตใจ. เขาหลับตาของเขาลง, แล้วเปิดมันพวกออก. เจสสา จ้อง, หมดหนทางที่จะช่วยเขาได้. เขายังไม่ได้ชำนาญในวจนะ, เธอคิด, ถ้าเขาล้มเหลว.....

ยานธ็อปเปอร์สัมผัสพื้นทรายด้วยอาการเอียงเซเบาๆ, และ เจสสิกา มองกลับไปทางทิศเหนือข้ามกำแพงโล่ห์พลัง, มองเห็นเงาของเหล่ายานบินโผล่ออกมาที่พ้นจากสายตาอยู่เหนือที่นั่น.

ใครบางคนกำลังติดตามเรามา! เธอคิด. ใคร? งั้น. พวกที่ บารอน ตั้งมาให้คอยดูเจ้าคู่นี้. และจะมีผู้เฝ้าดูสำหรับผู้เฝ้าดู, อีกด้วย.

คซิโก ปิดปีกหมุนทั้งหลาย. ความเงียบท่วมท้นอยู่เหนือพวกเขา.

เจสสิกา หันศีรษะของเธอง เธอสามารถมองออกนอกหน้าต่างเลยจากเจ้าหน้าแผลเป็นไปเป็นแสงเรืองสลัวจากดวงจันทร์ที่ขึ้นสู่ท้องฟ้า, ริมของของก้อนหินที่ถูกน้ำค้างแข็งเกาะติดโผล่ขึ้นมาจากทะเลทราย. แนวสันทรายพ่นผิวทอดลาดยาวลงไปตามดานข้างของมัน.

พอล กระแอมในลำคอ.

นักบินพูด: “ตอนนี้รึ, ไคเน็ต?”

“ข้าไม่รู้, คซโก.”

คซิโก หันมา, พูด: “อ้า-ห-ห-ห์, ดูสิ.” เขาเอื้อมมือออกมาหากระโปรงของ เจสสิกา.

“เอาที่อุดปากเธอออก,” พอล สั่ง.

เจสสิกา รู้สึกว่าคำพูดนั้นม้วนหมุนอยู่ในอากาศ. น้ำเสียงนั้น, ตราประทับอันยอดเยี่ยม---เป็นทางการ, แหลมคมมาก. ระดับเสียงต่ำเล็กน้อยน่าจะทำให้ดีขึ้นอีก, แต่มันยังคงสามารถตกอยู่ในแถบภาพของายนั้น.

คซิโก ยกมือขึ้นไปยังที่แถบรอบปากของ เจสสิกา, เลื่อนปมบนที่อุดนั้น.

“หยุดนั่น!” ไคเน็ต สั่ง.

“อ้า, หุบปากของเจ้าเถอะ,” คซิโก พูด. “มือของหล่อนถูกมัดอยู่.” เขาปลดปมนั่นและที่รัดนั้นหล่นลง. ดวงตาของเขาแวววาวเมื่อเขาศึกษา เจสสิกา.

ไคเน็ต เอามือวางบนแขนของนักบิน. “นี่นะ, คซิโก, ไม่จำเป็นต้อง...”

เจสสิกา บิดลำคอของเธอ, ถ่มที่อุดปากออกมา. เธอตั้งระดับเสียงของเธอให้ต่ำ, น้ำเสียงสนิทสนม. “สุภาพบุรุษ! ไม่จำเป็นต้องมา สู้ กันแย่งฉัน.” ในขณะเดียวกัน, เธอบิดร่างเป็นงูม้วนวางท่าให้กับ ไคเน็ต ได้ประโยชน์.

เธอเห็นพวกมันเริ่มตึงเครียดขึ้น, รู้ว่าในขณะฉับพลันนี้พวกมันได้ถูกชักจูงใจให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องต่อสู้กันเพื่อได้เธอแล้ว. การไม่เห็นพ้องกันของพวกมันไม่ต้องการเหตุผลอื่นใดอีก. ในจิตใจของพวกมัน, พวกมันกำลังต่อสู้เพื่อแย่งเธอ.

เธอยกใบหน้าของเธอเชิดสูงขึ้นอยู่ในแสงเรืองของอุปกรณ์เพื่อให้แน่ใจว่า ไคเน็ต จะอ่านริมฝีปากของเธอได้, พูด: “เจ้าต้องไม่เห็นด้วย.” พวกมันดึงร่างแยกจากกันไกลไปอีก, ชำเลืองอย่างระแวงระวังซึ่งกันและกัน. “มีหญิงใดอื่นอีกหรือที่คุ้มค่ากับการต่อสู้แย่งชิง?” เธอถาม.

ด้วยการเอ่ยคำเหล่านั้น, โดยการอยู่ที่นั้น, เธอทำตัวเองให้คุ้มค่าอย่างแน่ชัดต่อการต่อสู้ของพวกมัน.

พอล เม้มริมฝีปากของตนปิดแน่น, บังคับตนเองที่จะอยู่นิ่งเงียบ. มีโอกาสอยู่เพียงหนึ่งเดียวสำหรับเขาที่จะสำเร็จลงได้ด้วย วจนะ. ตอนนี้---ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมารดาของเขาผู้ที่มีประสบการณ์เกินเลยไกลไปจากของเขาเอง.

“เย้,” หน้าแผลเป็นพูด. “ไม่จำเป็นต้องสู้แย่งกัน...”

มือของมันพุ่งวาบเข้าหาลำคอของเจ้านักบิน. แรงฟาดนั้นพบเข้ากับโลหะสาดวาบหนึ่งซึ่งกระแทกเข้ากับลำแขนของมันและด้วยการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันกระทบโครมเข้ากับหน้าอกของ ไคเน็ต.

หน้าแผลเป็นร้องคราง, หดห้อยกลับไปกระแทกประตูด้านหลังของมัน.

“คิดว่าข้าเป็นไอ้งั่งบางคนที่ไม่รู้ลูกเล่นนั่นหรือ,” คซิโก พูด. เขาถอนมือของตนกลับขึ้นมา, เผยให้เห็นมีด. มันแวววาวอยู่ในแสงสะท้อนของดวงจันทร์.

“ทีนี้ก็สำหรับเจ้าตัวน้อย,” เขาพูดและเอนร่างเข้ามาหา พอล.

“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น,” เจสสิกา พึมพำ.

คซิโก ลังเล.

“เจ้าไม่อยากได้ข้าร่วมมือด้วยหรอกหรือ?” เจสสิกา ถาม. “ให้โอกาสสักหนึ่งกับเด็กน้อยนั่น,” ริมฝีปากของเธอหยักม้วนในอาการยิ้มเยาะ. “โอกาสนิดๆก็พอสำหรับให้เขาออกไปยืนข้างนอกที่ทรายโน่น. ให้นั่นกับเขาและ...” เธอยิ้ม. “เจ้าก็จะพบว่าตนเองได้รางวัลมาอย่างสมศักดิ์ศรี.”

คซิโก เหลียวมองซ้าย, ขวา, กลับมาให้ความสนใจของตนยัง เจสสิกา. “ข้าได้ยินมาเองด้วยว่าอะไรสามารถบังเกิดขึ้นได้กับคนในทะเลทรายนี้,” เขา พูด. “เด็กนั่นอาจจะพบว่ามีดนี้คือความกรุณา.”

“นี่เป็นการขอมากไปของข้าหรือ?” เจสสิกา อ้อนวอน.

“เจ้ากำลังพพยายามจะวางเล่ห์ลวงต่อข้า,” คซิโก พึมพำ.

“ข้าไม่อยากเห็นลูกของข้าตาย,” เจสสิกา พูด. “นั่นเป็นเล่ห์ลวงหรือ?”

คซิโก เคลื่อนถอย, ศอกวางอยู่ที่บานประตู. เขาตะครุบ พอล, ลากเขาข้ามที่นั่งนั้น, ผลักเขาออกประตูไปครึ่งและกุมมีดตั้งท่าไว้. “แกจะทำยังละ, เจ้าตัวน้อย, ถ้าข้าตัดที่มัดรักของเจ้าให้?”

“เขาจะไปจากที่นี้ในทันทีและมุ่งหน้าไปที่ก้อนหินพวกนั้น,” เจสสิกา พูด.

“นั่นคือที่เจ้าจะทำใช่ไหม, เจ้าตัวน้อย?” คซิโก ถาม.

เสียงของ พอล ย้ำให้อย่างเหมาะเจาะ. “ใช่.”

มีดเคลื่อนลง, ตวัดตัดที่มัดรัดขาของเขาไว้. พอล รู้สึกถึงมือที่ด้านหลังของเขาซึ่งจะยันเหวี่งเขาลงไปบนพื้นทราย, เซทำการเอียงเซเข้ากับกรอบประตูเพื่อฉวยโอกาส, หันร่างทำเป็นจะทรงตัวของเขา, เหวี่ยงเท้าขวาของเขาออกไป.

ปลายรองเท้านั้นถูกเล็งด้วยความแม่นยำที่ได้เครดิตต่อการฝึกฝนมานานปีของเขา, ราวกับว่าทั้งหมดของการฝึกนั้นรวมจุดมาที่ฉับพลันนี้. เกือบกล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างของเขาร่วมมือกันในการวางตำแหน่งของมันนี้. ปลายนั้นทิ่มเข้าส่วนนุ่มของท้องของ คซิโก แค่ต่ำลงมาจากกระดูกสันอกใต้ลิ้นปี่, กระแทกเสยขึ้นด้วยแรงอันน่าสยดสยองเข้ากับตับและผ่านทะลุกระบังลมที่อัดพอดีเข้าตรงส่วนล่างของหัวใจคน.

ด้วยเสียงกรีดร้องสำลักหนึ่ง, เจ้ายามนั่นกระตุกกลับไปทางด้านหลังข้ามที่นั่ง. พอล, ไม่สามารถใช้มือได้, คะมำต่อไปคว่ำสู่บนทราย, ลงสู่พื้นด้วยที่ใช้แรงส่งและนำร่างของเขากลับขึ้นมายืนบนเท้าได้ในหนึ่งการเคลื่อนไหว. เขาพุ่งกลับเข้ามาในเคบิน, พบมีดนั่นและกัดมันไว้ด้วยฟันขณะที่มารดาของเขาใช้มันเลื่อยตัดสิ่งมัดรัดของเธอ. เธอรับเอามีดนั้นมาและตัดสิ่งมัดมือของเขาให้เป็นอิสระ.

“แมสามารถจัดการเจ้านั่นได้,” เธอพูด. “มันกำลังจะต้องมาตัดที่รัดมัดของแม่ให้เอง. นั่นเป็นการเสี่ยงที่โง่นะ.”

“ลูกเห็นช่องเปิดและใช้มัน,” เขาบอก.

เธอได้ยินการควบคุมอย่างแข็งกร้าวในน้ำเสียงของเขา, พูด: “สัญลักษณ์วังของ หยัว เขียนลวกๆอยู่ที่บนเพดานของเคบินนี้.”

เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง, เห็นสัญลักษณ์ทีม้วนอยู่นั้น.

“ออกไปข้างนอกแล้วเราตรวจดูยานบินนี้กันเถอะ,” เธอพูด. “มีห่อหนึ่งอยู่ใต้ที่นั่งนักบินนั่น. แม่รู้สึกถึงมันได้ตอนที่เราขึ้นมา.”

“ระเบิด?”

“สงสัยว่าเป็น. มีบางอย่างพิเศษที่นี่.”

พอล กระโดดออกไปยังพื้นทรายและ เจสสิกา ตามออกมา. เธอหัน, เอื้อมเข้าไปที่ใต้ที่นั่งเพื่อเอาห่อประหลาดนั้น, เห็นเท้าของ คซิโก อยู่ใกล้ใบหน้าของเธอ, รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของห่อนั้นขณะที่เธอดึงมันออกมา, ตระหนักได้ว่าความเปียกชื้นนั้นมาจากเลือดของเจ้านักบิน.

ความชื้นอันสูญเปล่า, เธอคิด, รู้นั่นว่านี้คือการคิดของชน อาร์ราคีน.

พอล จ้องมองไปรอบตัวพวกเขา, เห็นเนินชันของก้อนหินยกตัวขึ้นมาจากทะเลทรายเหมือนชายหาดยกตัวขึ้นมาจากทะเล, แนวผาสูงชันถูกสลักเสลาด้วยลมโพ้นเลยออกไป. เขาหันกลับมาขณะที่มารดาของเขายกห่อนั้นออมาจากยานธ็อปเปอร์, เห็นเธอจ้องข้ามเนินทรายไปยังกำแพงโล่ห์พลัง. เขามองตามไปเพื่อดูว่าอะไรที่ดึงความสนใจของมารดา, เห็นยานธ็อปเปอร์อีกลำบินตีวงเข้ามาหาพวกเขา, รู้ได้ว่าพวกเขาไม่มีเวลาที่จะจัดการร่างของยามพวกนั้นออกมาจากยานธ็อปเปอร์นี้และหนีไป.

“วิ่ง, พอล!” เจสสิกา ตะโกน. “มันเป็น ฮาร์คอนเนนส์!

 

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (16)

 

                 เจ้าปล้ำฟัดกับความฝันทั้งหลายหรือ?

                  เจ้าโต้เถียงกับเงาทั้งหลายหรือ?

                  เจ้าเคลื่อนไหวไปในชนิดของหลับใหลหรือ?

                  กาลเวลาได้เลื่อนไหลไปจาก.

                  ชีวิตของเจ้าถูกพรากขโมย.

                  เจ้าได้พักค้างแรมอยู่กับความไร้สาระ,

                  เหยื่อของความเขลาของเจ้าเอง.

                  ---เพลงอาลัยแด่ ยามิส บน ทุ่งฝังศพ,

         จาก “เหล่าเพลง ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

         ลีโต ยืนอยู่ในมุขหน้าของวังของเขา, กำลังศึกษาบันทึกหนึ่งด้วยแสงของโคมแขวนลอยเดี่ยว. รุ่งอรุณยังอีกสองสามชั่วโมงห่างออกไป, และเขารู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของเขา. ผู้นำสารฟรีเมนได้นำบันทึกนี้มาให้ยามรักษาการณ์ด้านนอกในทันทีนี้เลยเมื่อ ดยุค ได้มาถึงจากป้อมบัญชาการของเขา.

         บันทึกนั้นอ่านได้ว่า: “ก้อนลำของควันยามกลางวัน, คือเสาของเพลิงไฟในราตรี.”

         ไม่มีลายเซ็นลงนาม.

         มันหมายความถึงอะไร? เขากังขา.

         ผุ้นำสารได้จากไปโดยไม่รอคอยสำหรับคำตอบและก่อนที่เขาจะสามารถถูกสอบถาม. เขาได้เลื่อนไหลเข้าไปในราตรีเหมือนบางเงาของกลุ่มควัน.

         ลีโต เอากระดาษนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเครื่องแบบทูนิค, คิดว่าจะแสดงมันกับ ฮาวัต ในภายหลัง. เขาปัดปอยผมที่หน้าผากของเขา, ถอนหายใจออกมา. ยาเม็ดต้านการอ่อนเพลียเริ่มอ่อนฤทธิ์ลง. มันได้ยาวนานมาสองวันแล้วตั้งแต่งานเยงดินเนอร์และยาวนานกว่านั้นที่เขายังไม่ได้นอน.

         บนยอดสุดของปัญหาทั้งหลายของการทหาร, ได้มีการประชุมความไม่สงบกับ ฮาวัต, รายงานถึงการพบปะกับ เจสสิกา.

         ข้าควรปลุก เจสสิกา ไหม? เขากังขา. ไม่มีเหตุผลที่จะเล่นเกมความลับนี้กับเธออีกต่อไปแล้ว. หรือว่ายังต้องทำ?

         ฉิบหายและตายห่าไปก็เจ้า ดันแคน ไอดาโฮ นั่นแหละ!

         เขาสั่นศีรษะของตน. ไม่, ไม่ใช่ ดันแคน. ข้าผิดเองที่ไม่นำ เจสสิกา เขามาในความเชื่อมั่นเสียจากในตอนแรก. ข้าต้องทำมันเลยในตอนนี้, ก่อนที่จะได้เสียหายไปมากกว่านี้.

         การตัดสินใจนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น, และเขารีบจากมุขหน้าผ่านโถงใหญ่และลงไปตามทางเดินทั้งหลายสู่ปีกครอบครัว.

         ที่มุมเลี้ยวซึ่งช่องทางเดินแยกออกไปยังบริเวณส่วนรับใช้, เขาหยุดลง. เสียงครางเบาแปลกหนึ่งมาจากที่ไหนสักแห่งลงไปตามทางเดินสู่ส่วนรับใช้นั้น. ลีโต เอามือซ้ายของเขาไปที่สวิทช์บนเข็มขัดโล่ห์พลังของเขา, เลื่อนมีดกริชเข้ามาในอุ้งมือขวาของตน. มีดนั้นนำความมั่นใจกลับขึ้นมา. เสียงแปลกนั้นได้ส่งความเย็นเยือกผ่านร่างเขา.

         อย่างแผ่วเบา, ดยุค เคลื่อนลงไปตามช่องทางเดินส่วนรับใช้, สบถต่อแสงส่องสว่างที่ไม่เพียงพอ. โคมแขวนลอยขนาดเล็กที่สุดนั้นกินพื้นที่ไปได้ราวแปดเมตรแยกจากกันไปตามที่นี้และปรับเป็นระดับหรี่ลงมากที่สุด. ความมืดของผนังหินก็ได้กลืนกินแสงไฟนั้น.

         กองทึบมัวก้อนหนึ่งยืดขวางอยู่ที่พื้นปรากฏออกมาจากความมืดที่ข้างหน้า.

         ลีโต ลังเล, เกือบจะเปิดโล่ห์พลังป้องกันของเขา, แต่ระงับไว้เพราะว่านั่นจะจำกัดการเคลื่อนไหวของเขา, การได้ยินของเขา...และเพราะได้จับกุมการขนส่งของปืนเลซได้ทิ้งให้เขาเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ.

         อย่างเงียบๆ, เขาเคลื่อนตรงไปยังกองก้อนสีเทานั้น, เห็นว่านั่นคือร่างของมนุษย์, ชายคนหนึ่งคว่ำหน้าอยู่กับพื้นหิน. ลีโต พลิกร่างนั้นงายขึ้นด้วยเท้าข้างหนึ่ง, มีดตั้งท่า, ก้มลงไปใกล้ในแสสลัวเพื่อดูหน้า. มันเป็นนักลักลอบขนของเถื่อน, ตูอิค, รอยเลือดเปียกเปื้อนลงมาตามหน้าอกของเขา. ดวงตาตายจ้องมองด้วยความมืดว่างเปล่า. ลีโต แตะรอยเลือดนั้น---ยังอุ่นอยู่.

         ชายผู้นี้มาตายที่นีได้อย่างไรกัน? ลีโต ถามตนเอง. ใครฆ่าเขา?

         เสียงร้องครางเล็กๆดังมากกว่าในที่นี้. มันมาจากข้างหน้าและลงไปที่ช่องทางเดินด้านข้างสู่ห้องศูนย์กลางที่พวกเขาได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดโล่ห์พลังป้องกันหลักสำหรับวังนี้เอาไว้.

         มือวางที่สวิทช์เข็มขัด, มีดกริชจรดท่า, ดยุค เดินเบี่ยงร่าง, เลื่อนลงไปตามช่องทางเดินและชำเลืองมองไปรอบมุมเลี้ยวยังห้องกำเนิดโล่ห์พลัง.

         กองก้อนสีเทานอนเหยียดอยู่บนพื้นห่างออกไปสองสามก้าว, และเขาเห็นทันทีว่าคือต้นกำเนิดของเสียงครางนั้น. ร่างนั้นคลานมาหาเขาด้วยความเชื่องช้าอันเจ็บปวด, หอบหายใจ, พูดพึมพัม.

         ลีโต หยุดนิ่งความกลัวที่อัดแน่นหน้าอกทันทีขึ้นมาของเขา, พุ่งลงไปตามช่องทางเดิน, ย่อร่างคู้ลงไปหาใกล้ร่างที่คืบคลานอยู่นั้น. เป็น มาเปส, แม่บ้านฟรีเมน, ผมของหล่อนปรกลุ่ยทั่วใบหน้าของหล่อน, เสื้อผ้ายุ่งเหยิง. รอยเลือดเปื้อนเปรอะทึบมืดแผ่จากหลังของลงมาตามสีข้างของห่อน. เขาแตะบ่าของหล่อนและหล่อนชันศอกยกตัวขึ้นมา, ศีรษะเอียงขึ้นมาเพื่อมองเขาดวงตาเป็นเงาดำของความว่างเปล่า.

         “เป็นท่---,” เธอหอบหายใจ. “ฆ่า...ยาม...ส่ง...เอา...ตูอิค...หนี...ท่านหญิง...ท่าน...ท่าน...ที่นี่...ไม่...” หล่อนล้มลงไปข้างหน้า, ศีรษะของหล่อนฟาดลงไปกับพื้นหิน.

         ลีโต จับชีพจรที่ขมับนั้น. ไม่มีเลย. เขาดูที่รอยเลือด: หล่อนถูกแทงที่ด้านหลัง. ใครรึ? จิตใจของเขาวิ่งแข่ง. หล่อนหมายถึงใครบางคนได้ฆ่ายามรักษาการณ์? แล้ว ตูอิค---เจสสิกา ได้ส่งมาตามเขารึ? ทำไม?

         เขาเริ่มที่จะยืนขึ้น. สัมผัสที่หกเตือนเขา. เขาวาบมือไปยังสวิทช์โล่พลัง---สายเกินไป. แรงช็อคซัดเขาที่แขนจนห้อยลงด้านข้าง. เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงนั้น, เห็นลูกดอกหนึ่งปักอยู่กับแขนเสื้อ, รู้สึกถึงความชาที่แผ่ขึ้นมาจากมันตามลำแขนของเขา. มันยิ่งรวดร้าวขึ้นอีกในการยกศีรษะของเขาขึ้นและมองลงไปตามช่องทางเดิน.

         หยัว ยืนในประตูที่เปิดอยู่ของห้องกำเนิดโล่พลัง. ใบหน้าของเขาสะท้อนเหลืองจากแสงของโคมลอยเดี่ยวสว่างจ้ากว่า. มีความนิ่งสงัดจากห้องที่อยู่เบื้องหลังของเขา---ไม่มีเสียงของเครื่องกำเนิดโล่ห์พลัง.

         หยัว! ลีโต คิด. เขาลอบทำลายเครื่องกำเนิดพลังโล่ห์ป้องกันวังนี้ไปแล้ว. เราถูกเปิดโล่งแล้ว.

         หยัว เริ่มเดินมายังเขา, เก็บปืนยิงลูกดอกลงในกระเป๋า.

         ลีโต พบว่าเขายังคงสามารถพูดได้, หายใจหอบ: “หยัว! อย่างไรรึ?” แล้วอัมพาตนั้นก็ลงมาถึงขาของเขาและเขาไถลลงไปที่พื้นโดยหลังของเขายันอยู่กับผนังหิน.

         ใบหน้าของ หยัว แบกไว้ซึ่งท่าทีของความเศร้าขณะที่เขาโน้มกายลงมาเหนือ, แตะที่หน้าผากของ ลีโต. ดยุคพบว่าเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสนั้น, แต่มันห่างไกล...ชาทื่อ.

         “ยาที่ลูกดอกนี้เลือกเฟ้นมา,” หยัว พูด. “ท่านสามารถพูดได้, แต่ข้าแนะนำว่าไม่ควรทำมัน.” เขาชำเลืองลงไปยังโถง, และอีกครั้งโน้มตัวลงมาเหนือ ลีโต, ดึงลูกดอกออก, โยนมันทิ้งไปทางด้านข้าง. เสียงของลูกดอกกระทบกับพื้นหินนั้นแผ่วเบาและเหมือนห่างไกลต่อหูของ ดยุค.

         มันไม่อาจเป็น หยัว ได้, ลีโต คิด. เขาถูกปรับสภาวะ.

         “อย่างไรรึ?” ลีโต กระซิบ.

         “ข้าเสียใจ, ดยุค ที่รัก, แต่ มี หลายสิ่งที่จะสร้างข้อเรียกร้องที่ยิ่งใหญ่กว่าการนี้.” เขาแตะรอยสักรูปเพชรบนหน้าผ้าของเขา. “ข้าพบว่ามันประหลาดมาก, ตัวข้าเอง---การเขียนทับลงบนจิตสำนึกที่ป่วยไข้---แต่ข้าปรารถนาที่จะฆ่าชายคนหนึ่ง. ใช่, ข้าปรารถนามันจริงแท้. ข้าจะไม่ยอมหยุดให้กับอะไรในการที่จะทำมัน.”

         เขามองลงมาที่ ดยุค. “โอ, ไม่ใช่ท่านหรอก, ดยุคที่รักของข้า. เป็นเจ้าบารอน ฮาร์คอนเนน. ข้าปรารถนาที่จะฆ่าเจ้าบารอน.

         “บา...รอน ฮา...”

         “เงียบเถิด, ได้โปรด, ท่านดยุคผู้น่าสงสารของข้า. ท่านมีเวลาไม่มาก. หมุดฟันนั่นที่ข้าเอามันใส่ในปากของท่านเมื่อครั้งหลังจากล้มฟาดที่ นาร์คัล---ฟันซี่นั้นต้องถูกถอนเปลี่ยน. อีกสักครู่, -ข้าจะช่วยให้ท่านหมดสติและเปลี่ยนฟันนั้น.” เขาเปิดมือของเขาออก, มองดูบางอย่างในมือนั้น. “การจำลองแบบที่แม่นยำ, แกนของมันขึ้นรูปอย่างเลิศมากที่สุดเหมือนประสาทเส้นหนึ่ง. มันจะหลบเครื่องตรวจสอบทั้งหลายตามปกตินั้น, กระทั่งการสแกนอย่างเร็ว. แต่ถ้าท่านกัดอย่างแรงลงไปบนมัน, ส่วนเปลือกหุ้มก็แตก. แล้ว, เมื่อท่านขับลมหายใจออกมาอย่างแรง, ท่านก็จะเติมอากาศรอบตัวท่านด้วยก๊าซพิษ---ถึงมรณาเป็นส่วนมาก.”

         ลีโต จ้องขึ้นมอง หยัว, เห็นความบ้าคลั่งที่ในดวงตาของชายนี้, เหงื่อที่ขับออกมาตามคิ้วและคาง.

         “ท่านได้ตายอยู่ดี, ท่านดยุคที่น่าสงสารของข้า,” หยัว พูด. “แตท่านก็จะได้เข้าใกล้เจ้าบารอนนั่นก่อนที่ท่านจะตาย. เขาจะเชื่อว่าท่านถูกทำให้กึ่งสลบด้วยฤทธิ์ยาเลยพ้นไปจากความพยายามแทบตายอย่างไรที่จะโจมตีเขาได้. และท่านก็จะถูกวางยา---และถูกมัด. แต่การโจมตีสามารถมาถึงได้ด้วยรูปแบบแปลกประหลาด. ฟันซี่นั้น. ท่านดยุค ลีโต อะไทรดิส. ท่านต้องจดจำไว้ให้ดีถึงฟันซี่นั้น.”

         หมอเฒ่าเอนใกล้เขาไปอีกและใกล้อีกจนกระทั่งใบหน้าของเขาและเคราห้อยครอบบังอยู่เหนือมุมมองที่แคบลงของ ลีโต.

         “ฟันนั้น,” หยัว พึมพำ.

         “ทำไม?” ลีโต กระซิบ.

         หยัว ลดตนเองลงคุกเข่าหนึ่งลงข้าง ลีโต. “ข้าได้ทำการต่อรองชั่วร้าย(shaitan’s bargain)กับเจ้าบารอน. และข้าต้องแน่ชัดว่าเขาได้เติมเต็มในครึ่งส่วนนั้นของเขา. เมื่อข้าเห็นเขา, ข้าจะรู้. เมื่อข้ามองไปที่เจ้าบารอน, แล้วข้าจะรู้. แต่ข้าจะไม่มีวันเข้าหาการปรากฏตัวของเขาได้โดยปราศจากสินบน. ท่านคือสินบน, ดยุคที่น่าสงสารของข้า. และข้าจะรู้เมื่อข้าเห็นเขา. วรรณา ที่น่าสงสารของข้าได้สอนข้าไว้หลายอย่าง, และนึ่งนั้นคือการเห็นอย่างชัดเจนของความเป็นจริงเมื่อความเครียดเน้นนั้นมหาศาล. ข้าไม่สามารถทำมันได้บ่อยเสมอ, แต่เมื่อข้าได้เห็นเจ้าบารอน---แล้ว, ข้าจะรู้.”

         ลีโต พยายามที่จะมองลงไปดูฟันที่ในมือของ หยัว. เขารู้สึกเหมือนเรื่องที่กำลังบังเกิดนี้คือฝันร้าย---มันไม่น่าเป็นได้.

         ริมฝีปากสีม่วงของ หยัว พลิกขึ้นเป็นบูดเบี้ยว. “ข้าจะไม่ได้เข้าไปใกล้เจ้าบารอนนั้นอย่างเพียงพอ, ไม่เช่นนั้นข้าก็คงทำนี่ด้วยตนเอง. ไม่. ข้าจะถูกกันห่างอยู่ที่ระยะปลอดภัย. แต่ท่าน.....อ้า, ทีนี้ล่ะ! ท่าน, คืออาวุธที่น่ารักของข้า! เขาจะอยากให้ท่านเข้าไปใกล้ชิดเขา---เพื่อความสะใจอิ่มเอิบเหนือท่าน, เพื่อคุยโม้สักเล็กน้อย.”

         ลีโต พบว่าตนเองเกือบจะถูกสะกดหมดสติด้วยกล้ามเนื้อที่ด้านซ้านของกรามของ หยัว. กล้ามเนื้อนั้นบิดเบี้ยวทุกครั้งที่ชายนี้พูด.

         หยัว เอนลงไปใกล้ขึ้นอีก. “และท่าน, ดยุคผู้แสนดีของข้า, ท่านดยุคที่ล้ำค่าของข้า, ท่านต้องจำให้ได้ถึงฟันซี่นี้.” เขาถือมันขึ้นมาระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้. “มันจะคือทังหมดที่มีเหลืออยู่ของท่าน.”

         ปากของลีโตเคลื่อนไหวโดยไม่มีเสียง, แล้วก็: “ปฏิเสธ.”

         “อา-ห-ห, ไม่! ท่านต้องไม่ปฏิเสธ. เพราะว่า, เพื่อตอบแทนสำหรับเรื่องบริการเล็กๆนี้. ข้ากำลังทำสิ่งหนึ่งให้กับท่าน. ข้าจะช่วยชีวิตบุตรชายของท่านและผู้หญิงของท่าน. ไม่มีใครอื่นสามารถทำมันได้. พวกเขาสามารถถูกเคลื่อนย้ายไปยังที่แห่งหนึ่งที่ไม่มีฮาร์คอนเนนใดสามารถเอื้อมไปถึงพวกเขาได้”W

         “อย่างไร...ช่วย...พวกเขา?” ลีโต กระซิบ.

         “ด้วยการทำมันให้ปรากฏว่าพวกเขาได้เสียชีวิตแล้ว, โดยการลีบซ่อนพวเขาไปในท่ามกลางผู้คนที่ดึงมีดออกมาเมื่อได้ยินชื่อของฮาร์คอนเนน, ผู้เกลียดฮาร์คอนเนนมากเหลือเกินจนพวกเขาจะเผาเก้าอี้ที่ฮาร์คอนเนนได้นั่ง, โรยเกลือลบนพื้นเหนือสิ่งที่ฮาร์คอนเนนได้เดินผ่าน.” เขาสัมผัสกรามของ ลีโต. “ท่านรู้สึกอะไรในกรามของท่านไหม?”

         ดยุค พบว่านั่นเขาไม่สามารถตอบได้. เขารู้สึกถูกดึงอะไรในที่ห่างไป, เห็นมือของ หยัว ยกขึ้นมาพร้อมแหวนตราของดยุค.

         “สำหรับ พอล,” หยัว พูด. “ท่านจะหมดสติในไม่ช้า. ลา-ก่อน, ดยุคที่น่าสงสารของข้า. เมื่อเราพบกันอีกถัดจากนีไป เราจะไม่มีเวลาสำหรับสนทนากันแล้ว.”

         ความเย็นเยียบระยะห่างไกลแผ่ซ่านขึ้นมาจากกรามของ ลีโต, ข้ามแก้มของเขา. เงาสลัวของห้องโถงแคบลงเป็นปลายเข็มด้วยริมฝีปากสีม่วงของ หยัว อยู่ศูนย์กลางของมัน.

         “จำฟันซี่นี้เอาไว้!” หยัว ทำเสียงฟ่อๆ. “ฟัน!