หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564

พัชระบูรณ์ สมนึก - การตายและเกิดใหม่ คือ อะไร? (1)

 

- ตอนนี้ให้อ่านความคิดของ ชนอารยัน/คัมภีร์พระเวท/คัมภีร์อุปนิษัท..กันก่อน. ประเด็นที่ตามหาคือ..."ชีวิต"คืออะไร? มาจากไหน? และกำลังจะไปไหน-ในที่สุด?...

การเกิดใหม่: ใครกันที่เดินทางไป? อาตมะ? ชีวะ? กายละเอียด?

Reincarnation: WHO is it that Travels? Atma? Jiva? Subtle body?


Arsha Bodha Center - Swami Tadatmananda  23 ส.ค. 2017

สวามี ตถัตมานันฑะ (Swami Tadatmananda) เป็นผู้สอนการฝึกปฏิบัติเชิงจารีตใน อฑวิตะ เวฑานตะ(Advaita Vedanta), สมาธิ(meditation), และ สันสกฤต(Sanskrit).

อาตมะ(atma), จิตสำนึกอันเป็นนิรันดรนั้น(the eternal conscious)ซึ่งเป็นธรรมชาติสัจของคุณ(your true nature), และ อัตตา - สุขสมะ สรีระ (soul – sukshma sharira) – ถูกทำให้สับสนบ่อยครั้งกับกันและกัน(are often confused with each other). การนำเสนอนี้ใช้วิธีคำอุปมาเปรียบเทียบดุจหมวก/คลุมตามจารีต(employs the traditional sun/bucket metaphor)เพื่อทำความแตกต่างระหว่างทั้งสองนี้(to make the difference between these two)ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น.

 

“...สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น

เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลงมี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็นเหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ

ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย....”

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

จิตคือพุทธะ

 

สวามี ตถัตมานันฑะ: ขอต้อนรับ.

         ฉันต้องการที่จะแบ่งปันกับคุณในข้อสังเกตบางอย่าง(some observations)เกี่ยวกับ ภควัต คีตา(Bhagavat Gita).

         ฉันหวังว่าวิจารณญาณเหล่านี้(these insights)จะช่วยให้คุณประยุกต์คำสอนที่ลึกซึ้งทั้งหลายของ คีตา(apply the profound teachings of the Gita)อย่างมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นในชีวิตของคุณ(more effectively in your life).

         ไปสู่การเริ่มต้นในบทที่สองของภควัต คีตา(Bhagavad Gita’ second chapter), พอหลังจากที่ศรี กฤษณะ(Sri Krishna)เริ่มอุปเทศ*ของท่าน(his upadesha), คำแนะนำเชิงจิตวิญญาณทั้งหลายของท่าน(his spiritual instructions)ต่ออรชุน(Arjuna**), ท่านได้ถกเถียงเรื่องการเกิดใหม่

         * อุปเทศ [อุ-ปะ-เทด, อุบ-ปะ-เทด] (สก. อุปเทศ; มค. อุปเทส) น. การชี้แจง, การสั่งสอน; คำสั่งสอน, คำแนะนำ. ก. สอน, ชี้แจง, แนะนำ. (– อ.เปลื้อง ณ นคร.)

** https://th.melayukini.net/wiki/Arjuna

(reincarnation)ในบทกวีที่ 13(in verse 13),

dehino ’smin yathā dehe           just as a person’s body undergoes
kaumāraṁ yauvanaṁ jarā        childhood, youth, and old age,
tathā dehāntara-prāptir          
so too, another body is acquired.
dhīras tatra na muhyati
           about this, the wise are not confused.

https://vedabase.io/en/library/bg/2/13/

ทันทีที่ทำให้รูปร่างมีขึ้น(the embodied being), เดฮี(dehebody/ร่างกาย), ได้ประสบผ่าน(undergoes), เคามารัม(kaumāraṁ - childhood/ปฐมวัย), เยาวานัม(yauvanaṁ - youth/เยาว์วัย), ชรา(jarā old age/ปัจฉิมวัย), ในทำนองเดียวกัน(in the same way), เฑฮานตาระ(dehāntara), อีกรูปกายหนึ่ง(another body), ปราปต์(prāptirachieves/บรรลุ), จะถูกครอบครองโดยเขา(will be acquired by him). ตตฺร(tatrathereupon/ด้วยเหตุนั้น), ในเหตุนี้, ธีระ(dhīra - the wise/นักปราชญ์), บุคคลผู้ฉลาด, นะ มุหยาติ(na muhyatiis not confused)ไม่ถูกทำให้สับสนเข้าใจผิด.

(dehinaof the embodiedasminin thisyathāasdehein the bodykaumāramchildhoodyauvanamyouthjarāold agetathāsimilarlydeha-antaraanother bodyprāptiachievesdhīrathe wisetatrathereuponna muhyatiare not deluded)

Just as the embodied soul continuously passes from childhood to youth to old age, similarly, at the time of death, the soul passes into another body. The wise are not deluded by this.

เมื่ออาตมัน(the soul - อัตตา)ที่ได้ครอบครองอยู่ได้ผ่านต่อเนื่องไป, ในกายร่างนี้, จากปฐมวัยสู่เยาว์วัยสู่ปัจฉิมวัย, เช่นเดียวกัน, เมื่อถึงยามมรณะ(at the time of death), อาตมัน(the soul - อัตตา)ผ่านเข้าไปในอีกกายร่างอื่น(passes into another body). นักปราชญ์ไม่ได้ถูกหลอกลวงโดยสิ่งนี้.

https://www.holy-bhagavad-gita.org/chapter/2/verse/13

สวามี: (ต่อ) ผู้อาศัยอยู่นั้น(the indwelling being - อาตมัน/อัตตา)ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง(remain unchanged)ขณะที่ร่างกาย(the body)ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมัน(it inhabits)นี้ก็เติบโต(grows), มีอายุ(ages), และตายในท้ายสุด(eventually dies).

         ภายหลังกายร่างตาย(after the bodies), ผู้อาศัยอยู่นั้น(the indwelling being)ได้สมาคม(associated)กับกายร่างอื่น(with another body), กายร่างจำเพาะนั้น(the particular body)ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า(destined)โดย กฎทั้งหลายของกรรม(the laws of karma).

         แต่, อะไรที่ชัดเจน(exactly)คือผู้อาศัยนั้นเอง(that indwelling being)ที่ถูกกล่าวว่าได้ออกจากร่างหนึ่งและเข้ายึดครองอีกร่างหนึ่งหรือ(leave one body and acquire another)?

         อะไรคือเอกลักษณ์ของการย้ายถิ่นฐานมาเกิดอีกนั้น(that transmigrating entity)?

         ใครกันหรือที่ได้มาเกิดใหม่(who is it gets reborn)?

         ในร้อยกรองกาพย์นี้in this verse), ศรี กฤษณะ(Sri Krishna)ใช้คำว่า “เดฮี”(dehi), ผู้อาศัยอยู่(indwelling being), ที่ตามตัวอักษรแล้ว(literally)หมายถึง ผู้ที่อาศัยอยู่ใน “เดฮะ”(deha), กายร่าง(body).

ในบริบทนี้(in this context), คำอื่นอีกมากมาย(a lot of other words)ถูกใช้กันบ่อย(are frequently used), คำทั้งหลายเหมือนเช่น วิญญาณนิรันดร์(eternal soul - อาตมัน/อัตตา), จิตวิญญาณจักรวาล(cosmic spirit), และ พลัง-ชีวิต(life-force), และด้วยเช่นกันในภาษาสันสกฤตใช้คำว่า อาตมะ(atma อาตมัน/อัตตา), ชีวาตมัน(jivatma), ปุรุชา(purusha***), และอื่นอีก(and so on).

*** https://th.wikinew.wiki/wiki/Purusha

จากหนังสือ “มิลินทปัญหา กษัตริย์กรีกถาม - พระเถระตอบ”โดย ท่านBhikkhu Pesala และท่านนวพร เรืองสกุล แปล. บทที่ ๒ การเกิดใหม่ – Rebirth

“...6.    “พระคุณเจ้านาคเสน อะไรไปเกิดใหม่(reborn)?”

          “นามกับรูป”(Mind and matter)

          “นามและรูปนี้หรือที่ไปเกิด”

          “ไม่ใช่นามรูปนี้ แต่โดยนามรูปนี้ที่บุคคลได้กระทำกรรมต่างๆทั้งดีและชั่วเอาไว้ นามรูปอื่นจึงเกิดเพราะกรรมเหล่านั้น โดยที่นามรูปนั้นยังไม่อาจพ้นไปจากผลของกรรมที่ได้ทำไปแล้วในอดีต.”

...

   8.     “พระคุณเจ้าได้กล่าวถึงนามรูป อะไรคือนาม และอะไรคือรูป”

          “ธรรมชาติที่หยาบคือรูป (whatever gross is materiality), ธรรมชาติที่ละเอียดคือจิตกับเจตสิก (อารมณ์ที่เกิดกับจิต)เป็นนาม” (whatever is subtle and mind or mental-states is mentality”)

          “เพราะเหตุใดสองอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน นามอย่างเดียวหรือรูปอย่างเดียวไปเกิดไม่ได้หรือ”

          “สภาพธรรมเหล่านี้อิงอาศัยกัน เปรียบเหมือนกับตัวอ่อนกับเปลือกไข่ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน และอิงอาศัยกัน และเกี่ยวโยงกันอย่างนี้มาตลอดกาลอันยาวนาน”(have been related through time immemorial.)

   9.     “พระคุณเจ้านาคเสน เมื่อท่านกล่าวว่า ตลอดกาลอันยาวนาน(Time immemorial) อะไรคือความหมายของคำว่ากาลอันยาวนาน และสิ่งที่มีกาลมีด้วยหรือ”

          “สิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าและสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เรียกว่าสิ่งที่มีกาล(Time means past, present and future) สำหรับบางคนสิ่งที่มีกาลเช่นนี้มีอยู่(there are some for whom time exists) สำหรับบางคนไม่มี(and some for whom it doesn’t). ที่ใดมีสัตว์โลกที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่มีกาลมีอยู่ แต่สำหรับสัตว์ทั้งหลายที่ตายแล้วจะไม่เกิดอีกในภพอื่นใด สิ่งที่มีกาลไม่มีอีกต่อไป”

 

สวามี: การแพร่หลายเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของคำทั้งหลายนี้(this proliferation of words)สามารถเพิ่มเติมความสับสนต่อหัวข้อที่ยากอยู่แล้วนี้ได้(can add confusion to a topic that’s already difficult).

         และที่จะทำให้สาระสำคัญทั้งหลายนี้เลวร้ายลงไป(make matter worse), แต่ละคำเหล่านั้น(each of those words)ได้มีความหมายและแปลความได้หลากหลายมาก(has various meaning and interpretations).

         ตัวอย่างเช่น, คำพูดที่ว่า(expression), จิตวิญญาณจักรวาล(cosmic spirit), น่าจะเป็นไปได้ว่าที่จะหมายถึงสิ่งที่แตกต่างทั้งหลายต่อผู้คนที่แตกต่างกัน(is likely to means different things to different people).

 

จากหนังสือ “มิลินทปัญหา กษัตริย์กรีกถาม - พระเถระตอบ”โดย ท่านBhikkhu Pesala และท่านนวพร เรืองสกุล แปล. บทที่ ๓ ตั้งต้นของกาล – The Beginning of Time

“...3.    “ที่สุดเบื้องต้นของทุกอย่างหรือที่ไม่รู้ได้”(Is the ultimate beginning of everything unknown?

          “บางอย่างรู้ได้ บางอย่างไม่รู้ได้”

          “ที่สุดแบบใดรู้ได้ ที่สุดแบบใดไม่รู้ได้”

          “สภาวะใดที่มาก่อนวงจรการเกิดนี้(whatever condition preceded this birth,) ที่ดูเหมือนว่าไม่เคยมีมาก่อน(that is to us as if it had not been,) นั่นเป็นสิ่งที่ที่สุดเบื้องต้นไม่รู้ได้(the ultimate beginning is not known.) ส่วนสิ่งใดที่ไม่มีมาก่อน(that which has not been comes into existence,) กลับเกิดมีขึ้น และเมื่อเกิดแล้วก็หายลับดับไป นั่นเป็นสิ่งที่ที่สุดเบื้องต้นรู้ได้....”

-     ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าว มีเชิงอรรถที่ ๓๕ ไว้ว่า “การค้นหากำเนิดของชีวิตในซุปเปอร์โนวาหรือในดีเอ็นเอ เป็นการค้นหาที่เปล่าประโยชน์ เพราะมูลเหตุอยู่ในจิต ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

“เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบจึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีชาติเป็นอเนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ แน่ะ นายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้ ซี่โครงทุกซี่ของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อทิ้งแล้ว

จิตเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว”

สวามี: และ, ถ้าคุณมองขึ้นไปที่คำว่า อาตมะ(atma)ในพจนานุกรมที่ถูกต้องของสันสกฤต(a proper Sanskrit dictionary), คุณจะพบความหมายทั้งหลายมากกว่าหนึ่งโหล(more than a dozen meanings).

         ดังนั้น, ถ้าเราต้องการจะรู้ว่าใครหรืออะไรคือ “ผู้อาศัยอยู่(indwelling being”นี้ - โดยปราศจากความสงสัยสับสนชนิดใด(without any kind of confusion), - เราจำเป็นต้องมีความระมัดระวังและพิถีพิถัน(be careful and precise)เกี่ยวกับคำพูดทั้งหลายที่เราใช้(the words we use).

         เรายังจำเป็นด้วยเช่นกันต้องมีคำชี้แนะที่ถูกต้องเหมาะสม(also need proper guidance)เพื่อสำรวจตรวจค้น(explore)หัวข้อนี้(this topic), และคำชี้แนะนั้น(that guidance)สามารถถูกพบได้ในคัมภีร์พระเวทของเรา(can be found in our Vedic scriptures), ที่ซึ่งปัญญาของฤษีโบราณ(the wisdom of the ancient rishis)ได้ถูกบันทึกไว้(was recorded).

         เรามาเริ่มต้นการสำรวจค้นหา(start our exploration)ด้วยคำว่า อาตมะ(atma – อาตมัน/อัตตา).

         ในการที่จะเข้าใจอย่างถูกต้อง(to understand exactly)อะไรที่ฤษีทั้งหลาย(the rishis)ได้หมายถึงกับคำนี้(meant by this word), เราสามารถหันไปยังบทร้อยกรองอันมีชื่อเสียง(a famous verse)จาก เศวตอัศวตระ อุปนิษัท(Svetasvatara Upanishad*)ที่บรรยายคำว่า(describes) อาตมะ(atma – อาตมัน/อัตตา)ว่าเป็นเช่น เอกะ เฑวา(ekaḥ devaḥ - เทพผู้โดดเดี่ยว) สรรวะภูเตชุ(sarvabhūteṣu in every creature/ในทุกสรรพสัตว์) คุหา(gūḍhaḥ - hidden/ซ่อนอยู่).

         **** https://en.wikipedia.org/wiki/Shvetashvatara_Upanishad#Etymology

         Svetasvatarมาจากคำสันสกฤต 2 คำ คือ (“เศวต-สีขาว” กับ “อัศวะ-ม้า”) มาบวกกับ ตระ(tara - ข้ามพ้น) วินิจฉัยกันว่าเป็นนามของฤษีผู้ประพันธ์คัมภีร์อุปนิษัท.

         एकः देवः - ekaḥ devaḥ One God who alone | सर्वभूतेषु - sarvabhūteṣu - in every creature | गूढः - gūḍhaḥ - lurketh hidden | सर्वव्यापी - sarvavyāpī - He pervadeth all beings | सर्वभूतान्तरात्मा - sarvabhūtāntarātmā - the inmost Self of all beings | कर्माध्यक्षः - karmādhyakṣaḥ - He presideth over all work | सर्वभूताधिवासः - sarvabhūtādhivāsaḥ - He is the home of all things living | साक्षी - sākṣīi - the Mighty Witness | चेता - cetā - who relateth thought with thought ? | केवलः - kevalaḥ - the Absolute | निर्गुणः च - nirguṇaḥ ca - in whom mood is not nor any attribute |

         https://upanishads.org.in/upanishads/9/6/11

สวามี: เฑวา(devaเทวา/เทพ)ตามตัวอักษรหมายถึงว่า(literally means), ผู้ซึ่งส่องแสง(one who shines), หรือ ผู้ซึ่งรุ่งโรจน์(one who is glorious). นั่นคือทำไมคำนี้(this word)มักจะใช้สำหรับ พระผู้เป็นเจ้า(often used for god).

แต่ในที่นี้, คำว่า เฑวา(deva)หมายถึง ผู้ที่ส่องสว่าง(the one who shines) ว่าเป็น จิตสำนึก(shines as consciousness), จิตสำนึกที่อยู่ในคุณ(the consciousness within you), จิตสำนึก(the consciousness)ที่ส่องประกายสว่างให้กับจิตของคุณ(illumines your mind)และเปิดความคิด(thoughts), อารมณ์ความรู้สึก(emotions), และความทรงจำทั้งหลาย(memories)ของคุณ.

ดังนั้น, โศลกบทนี้จึงบอกว่า, เอกะ เฑวา(ekah devah), มีแต่เพียงหนึ่งที่ส่องสว่างคือจิตสำนึก(there is but one shining consciousness), ที่ซึ่ง คุหา(gudhah), ซ่อนตัวอยู่(hidden), สรรวะภูเตชุ(sarvabhuteshu)ในทุกสรรพสัตว์(in all beings).

โศลกบทนี้ยังบรรยายต่อไปว่า อาตมะ(atma)นั้นเป็น สรรวะวยาปี(sarvavyāpī *****He/สรรพไวย/กว้างใหญ่ไพศาล), แผ่ซ่านไปทั้งหมด(all pervasive), และ สรรวะภูตอันตรอาตมะ

      *****https://www.urdupoint.com/dictionary/roman-hindi-to-english/sarvavyp-roman-hindi-meaning-in-english/110495.html

(sarvabhūtāntarātmā - the inmost Self of all beings/ตัวตนก้นบึ้งของทุกสรรพสัตว์), อันตรอาตมะ(antaratma)อัตตา/ตัวตนข้างใน(the inner self), ของ สรรวะภูต(sarva bhuta), อยู่ทั้งหมด(all beings).

         เมื่อเอาทั้งหมดนี้มาร่วมเข้าด้วยกัน(putting this all together), อุปนิษัทนี้(the Upanishad)ให้คำจำกัดความ(defines)อาตมะ(atma)ว่า “หนึ่งเดียว, ที่แผ่ซ่านไปหมด คือ จิตสำนึกซึ่งคือ อัตตา/ตัวตนข้างในที่อาศัยอยู่ในทุกสรรพสัตว์”(the one, all pervasive-consciousness, the inner-self which dwelling in all beings).

         ตอนนี้เราดูเหมือนจะมีปัญหา.

         ถ้า อาตมะ(atma)คือ หนึ่ง(one)เดียว, และอาตมะเดียวกันนี้(the same atma)ก็อาศัยอยู่ในสรรพสัตว์ทั้งหมด(dwells in all beings), มันสามารถเป็นได้อย่างไรที่ หนึ่งเดียวนั้น(the one)คือผู้ไปเกิดใหม่(reincarnates)?

         ในการที่ หนึ่งเดียวนี้(the one)เป็นผู้เดินทางไป(who travels), มันควรจะถูกเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง(be associated)เพียงแค่กับกายร่างพิเศษ(only with the particular body)ซึ่งมันจากทิ้งไปที่เวลาของการตาย(at the time of death).

         มันไม่สามารถเป็นตัวตน-ข้างในของทุกสรรพสัตว์(the inner-self of all beings).

         และมีปัญหาอีกอันหนึ่ง(another problem).

         ถ้า อาตมะ(atma)ถ้าแผ่ซ่านกระจายไปทั่ว(is all-pervasive), มันคือทุกแห่ง(it’s everywhere).

         และถ้า อาตมะ(atma)คือ ทุกแห่ง(is everywhere), มันสามารถเดินทางไป(can travel)อย่างไรหรือ?

มันอยู่ที่นั้นแล้ว(it’s already there).

ทั้งหมดนี้กำลังจะแสดงให้เห็นว่าฤษีทั้งหลาย(the rishis)ไม่ได้ใช้คำ อาตมะ(did not use the word atma)ที่จะหมายถึง(to refer to)สิ่งที่มีตัวตนนั้น(the entity)ที่ละทิ้งไปจากกายร่างของการตาย(that leaves the body at death)และเดินทางไปยังร่างใหม่(travels on to the new one).

พวกเขาใช้คำสันสกฤต(the Sanskrit word) อาตมะ(atma)ที่จะหมายถึง หนึ่งเดียวนั้น(the one – เอกะ), จิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั่ว(all-pervasive consciousness)ที่อาศัยอยู่ในทุกสรรพสัตว์(that dwells in all beings).

โชคไม่ดี(unfortunately), คำนี้(this word)คือ ประเด็น(subject)ต่อความสับสนอย่างมากมาย(a lot of confusion), เพราะว่าในภาษาฮินดี(Hindi)และภาษาอื่นของชาวอินเดีย(other Indian languages), คำว่า อาตมะ(atma)มักจะถูกใช้(is often used)ที่จะหมายถึง(to refer to)สิ่งที่มีตัวตนซึ่งย้ายถิ่นฐาน(transmigrating entity)แทนที่จะเป็น หนึ่งเดียวนั้น(the one), จิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all-pervasive consciousness).

ในการนำเสนอนี้(in this presentation), เราจะยึดอยู่กับความหมาย(stick to the meaning)ที่ใช้โดยฤษีทั้งหลาย(used by the rishis).

ทีนี้, ถ้า อาตมะ(atma)ไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตนซึ่งย้ายถิ่นฐาน(not the transmigrating entity), แล้วใครหรืออะไร(who or what)ที่เดินทางไปนั่นหรือ(is it that travels)?

คำในภาษาอังกฤษ(the English word), วิญญาณ(soul - อัตตา(พุทธ), มักจะใช้กันในบริบทนี้(often used in this context).

เราสามารถพูดกันอย่างง่ายๆ(can loosely say)ว่ามันคือ วิญญาณนี้เอง(the soul)ที่เดินทางไป(travels).

แต่คำว่า วิญญาณ(soul)ก็ยังสามารถก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายได้เช่นกัน(can also cause confusion), เพราะว่าแต่ละศาสนาของโลก(the world’s religions)มีแนวความคิดที่แตกต่างกัน(a different concept)ของอะไรคือ วิญญาณ(soul)ที่แท้จริง(actually is).

ดังนั้น, เพื่อเห็นแก่ความชัดเจน(for sake of clarity), เราจะหลีกเลี่ยงคำภาษษอังกฤษนั้น(that English word)เข้ามาด้วยกัน(altogether), และใช้คำศัพท์ในภาษาสันสกฤตที่ตรงชัดมากกว่า(a more precise Sanskrit term)แทน(instead).

คำศัพท์(the term)ที่ใช้ใน เวฑานตะ คือ สุกสมา สรีระ(sukshma sharira), ซึ่งถูกทำให้

ในแง่ของศาสนาฮินดู สรีระ(sarira, sharira) เป็นคำที่หมายถึง กายร่าง(the body). ในทางเวฑานตะแล้ว มนุษย์(the human being) ประกอบด้วย ๓ สรีระ(comprise three sariras) หรือสาม “กายร่าง(bodies)” คือ 1) สธุละ สรีระ(sathula sarisa -  the gross body, สถุล สรีระ/กายหยาบ) 2) สุกสมา สรีระ(suksma sarira – the subtle body/กายละเอียด) 3) การณะ สรีระ(karana sarira/ karan sarira – the Casual body/กายอารมณ์/กายทิพย์).

https://haribhakt.com/great-hindu-science-on-sthula-sarir-suksma-sarir-and-karana-sarir-know-yourself-completely/

1)      สธุละ สรีระ ถือว่าเป็น อนามัย โกศะ(Anamaya kosha*****), 2) สุกสมะ สรีระ คือ ปราณมัย โกศะ(Pranamaya kosha – Vital breath or Energies/ลมหายใจสำคัญ หรือ พลังงาน)และเป็น มโนมัย สรีระ(Manomaya sarira – Mind/จิตใจ)และเป็น วิญญาณมัยโกศะ(Vijnanamaya kosha – Intellect/ปัญญา) 3) การณะ สรีระ คือ อนันตมัย โกศะ(Anandamaya kosha – Bliss/ทิพย์)

***** https://th2.wiki/wiki/Kosha

แตกต่าง(is differentiated)ไปจาก สธุละ สรีระ(sathula sharira), ร่างกายภาพ(the physical body).

         สุกสมะ(sukshma) แปลว่า ละเอียด(subtle), ที่อธิบายว่าคือ ไม่ใช่กายภาพ(not physical), ไม่จับต้องได้(not tangible), ว่าคือ ไม่สามารถถูกเห็นได้(can’t be seen), ถูกได้ยิน(heard), ถูกลิ้มรส(tasted), ถูกได้กลิ่น(smelled), หรือถูกสัมผัสได้(touched).

         ตัวอย่างเช่น, ดอกไม้หนึ่งเป็น สธุละ(sathula), กายภาพ(physical), แต่ความสุข(happiness)ที่คุณรู้สึก(feel)เมื่อคุณเห็น(see)ดอกไม้สวยงามหนึ่ง(a beautiful flower)คือ สุกสมะ(sukshma).

         สมองของคุณ(your brain)คือ สธุละ(sathula), แต่จิตใจของคุณ(your mind) – ความคิดของคุณ(your thoughts), ความทรงจำ(memories), และอารมณ์สะเทือนใจ(emotions) - คือ สุกสมะ(sukshma).

จิตใจของคุณ(your mind)ไม่ใช่วัตถุทางกายภาพ(a physical object).

สมองของคุณ(your brain)หนักประมาณ 2 ½ เปานด์.

แต่ความคิดทั้งหลาย(thoughts), อารมณ์ทั้งหลาย(emotions) และความทรงจำทั้งหลาย(memories)ของคุณมีหนักมากอยู่เท่าไหร่หรือ?

พวกเขามีอยู่(they exist), แต่ไม่ใช่เป็นวัตถุทั้งหลายทางกายภาพ(but not as physical objects).

พวกเขาเป็นสิ่งละเอียด(are subtle), ไม่ใช่วัตถุทั้งหลายทางกายภาพ(non-physical objects), และพวกเขาเป็นส่วนของกายร่างละเอียดของคุณ(part of your subtle body), สุกสมะ สรีระ ของคุณ(your sukshma sharira).

สุกสมะ สรีระ ของคุณ(your sukshma sharira)อาศัยอยู่ในร่างกายภาพของคุณ(your physical body)และมอบบริจาคให้มัน(endows it)ด้วยชีวิตและความรู้สึกสำนึก(with life and sentiency).

ปราศจาก สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira), สธุละ สรีระ(sathula sharira)ก็จะเป็นทรากศพไร้ชีวิต(a lifeless corpse).

และดังเช่นที่ สธุละ สรีระ(sathula sharira)มีส่วนต่างๆ(has parts)เช่นแขนและขา, สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)ก็มีส่วนต่างๆด้วยเช่นกัน(also has parts).

กายร่างที่ตาย(a dead body)ไม่มี ปราณ(no prana), ไม่มี พลังชีวิต(no life force).

เพราะเช่นนั้น(therefore), ปราณ(prana) นั้นถูกพินิจว่า(is considered)เป็นส่วนของ สุกสมะ สรีริ(part of the sukshma sharira).

กายร่างที่ตาย(a dead body)ไม่สามารถเดินหรือพูดคุยได้(can’t walk and talk).

เพราะเช่นนั้น, พลังทั้งหลาย(the powers)ของการเดินและการพูดคุย(of walking and talking)ถูกพินิจว่าเป็นส่วนของสุกสมะ สรีระ(sukshma sharira).

กายร่างที่ตาย(a dead body)ไม่สามารถเห็น(see), ได้ยิน(hear), รู้รส(taste), สัมผัส(touch)และได้กลิ่น(smell), ดังนั้น สัมผัสทั้งห้า(the five senses – อายตนะภายนอก รูป/รส/กลิ่น/เสียง/สัมผัส-ของพุทธเราจะมี 6 คือ ใจ/ธรรมารมณ์)ก็ได้ถูกพินิจด้วยเช่นกันว่าเป็นส่วนของ สุกสมะ สรีระ(part of the sukshma sharira).

สุดท้าย(finally), กายร่างที่ตาย(a dead body)ไม่สามารถคิด(can’t think), จำ(remember), หรือรู้สึกทางอารมณ์(feel emotions), ดังนั้นสมรรถภาพทางจิตใจทั้งหมดเหล่านี้(these mental faculties)คือยังได้เป็นส่วนของ สุกสมะ สรีระ(part of the sukshma sharira).

และ, มันเป็น สุกสมะ สรีระนี้เอง(this sukshma sharira)ที่ละทิ้งไปจากร่างกายภาพนี้(leaves the physical body)ที่เวลาของการตาย(at the time of death)และเดินทาง(travels)ไปสู่การยึดครองร่างใหม่(onto acquire a new one).

อาตมะ(atma)ไม่ได้เดินทางไป(travels), เป็น สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)ที่ไป.

ในบทที่ 15 ของภควัต คีตา(Bhagavad gita******), ศรี กฤษณะ(Sri Krishna)บรรยายไว้ว่า

******https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%B2

การเดินทางของ สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)ไว้ในโศลกที่ 8:

         śharīramthe bodyyatasavāpnoticarriesyatascha api alsoutkrāmatileavesīśhvarathe Lord of the material body, the embodied soulgihītvā takingetānithesesanyātigoes awayvāyuthe airgandhānfragranceivalikeāśhayātfrom seats

         As the air carries fragrance from place to place, so does the embodied soul carry the mind and senses with it, when it leaves an old body and enters a new one.

         https://www.holy-bhagavad-gita.org/chapter/15/verse/8

śharīra yad avāpnoti yach chāpy utkrāmatīśhvara
g
ihītvaitāni sanyāti vāyur gandhān ivāśhayāt

ในที่นี้, สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)นั้นถูกอ้างอิงว่าเป็นเช่น พระอิศวร(Ishvara Lord), เพราะว่าคือ พระผู้เป็นเจ้าแห่งกายร่าง(lord of the body).

เหมือนพระราชา(kingปก)ครองเหนือพระราชวังของพระองค์(rules over his palace), สุกสมะ สรีระนั้น(the sukshma sharira)ปกครองเหนือร่างกายภาพ(rules over the physical body).

สุกสมะ สรีระ(the sukshma sharira), ตามคำของ ศรี กฤษณะ(Sri Krishna), อวาปโนติ(avapnoti – carries/นำไป), แผ่ซ่านไปทั่ว(pervades), สรีรัม(sharirum – the body/กายร่าง), ร่างกายภาพ(the physical body).

แล้วที่การตาย(then at death), อุตกระมติ(utkramati – leaves/ละไป), มันละทิ้งร่างกายภาพไป(it leaves the physical body).

กริหิตวา เอตานิ(grihitva – taking/นำ, etani these/เหล่านี้), นำเอาไปด้วยกับส่วนทั้งหมดของมัน(all of its parts)เช่น ปราณ(prana), จิตใจ(mind) และสัมผัสรู้สึก(senses).

ท้ายสุด(finally), สัมยาติ(samyati – sanyāti/goes away/ไปจาก), มันเดินทางต่อไป(travels on)เพื่อยึดครองกายร่างอื่น(to acquire another body).

ภาพอันน่ารักก็ยังได้ถูกให้ไว้ด้วยในที่นี้(a lovely image is also given here).

การเดินทางของ สุกสมะ สรีระ(the sukshma sharira’s travel)เป็นเหมือน คันธะ(gandhan - gandhān), เครื่องหอม(fragrance), ที่ถูกพัดไป(is blown)โดย วายุ(vayuh), ลม(the wind), อาศน์ยาตร(ashayat -  āśhayāt/from seats/จากที่นั่งอยู่), จากแหล่งของมัน(from its source), จากดอกไม้ เป็นต้น(from a flower for instance).

ในโศลกนี้(in this verse), ศรี กฤษณะ(Sri Krishna)บรรยายอย่างงดงาม(beautifully describes)ถึง สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)ว่าเป็นเช่นตัวตนที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐาน(as the transmigrating entity).

ทีนี้, เราก็พร้อมที่จะถกเถียง(ready to discuss)ถึงสัมพันธภาพ(the relationship)ระหว่างสุกสมะ สรีระ(the sukshma sharira)ที่เดินทาง(travels)และ อาตมะ(atma)ซึ่งไม่ได้เดินทางไป(which doesn’t).

เราสามารถใช้ประโยชน์(take advantage)จากคำอุปมาของ เวฑานตะ อันล้ำเลิศ(a brilliant Vedanta metaphor), หรือ ทิฏฐ(dristanta – illustration/อันปรากฏ)ซึ่งถูกใช้อย่างจารีตในการอธิบายสัมพันธภาพนี้(is traditionally used to explain this relationship).

ในคำอุปมานี้(in this metaphor), ดวงอาทิตย์ส่องแสงลงมายังบนภูมิประเทศกว้างใหญ่(the sun shining down on the vast landscape)แสดงถึง อาตมะ(represents atma), หนึ่งเดียวนั้น(the one), จิตสำนึกอันส่องสว่าง(shining consciousness)ที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(that pervades all).

ถังไม้ใส่น้ำ(the wooden bucket)แสดงถึงร่ายกายภาพ(the physical body), สธุละ สรีระ(sthula sharira), และน้ำในถังนั้น(the water in the bucket)แสดงถึง สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira).

ถังไม้นั้นสามารถที่จะสะท้อนดวงอาทิตย์ได้, เพราะว่ามันมีน้ำอยู่เต็มถัง(it’s filled with water).

นั่นอธิบาย(describes)ว่าร่ายกายภาพ(a physical body)มีชีวิตและความสามารถในการรู้สึก(has life and sentiency)อย่างไร, เพราะว่า สุกสมะ สรีระ กำลังอาศัยอยู่ภายในมัน(the sukshma sharira dwelling within it).

สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)ภายในกายร่าง(within the body)สะท้อน หนึ่งเดียว(the one), จิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all-pervasive consciousness), ดุจเหมือนน้ำในถังที่สะท้อนดวงอาทิตย์(just like water in the bucket reflects the sun).

ในถังน้ำหลายใบนั้น(in several buckets), คุณจะเห็นเงาสะท้อนทั้งหลายมากมายของดวงอาทิตย์(see several reflections of the sun), ถึงแม้ว่ามีเพียงดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวเท่านั้นในท้องฟ้า(there is only one sun in the sky).

ในหนทางเดียวกัน(in the same way), เราสังเกตว่ามี สำนึกตัวตนอยู่มากมาย(many conscious beings)ในโลกนี้(in the world), ถึงแม้ว่ามีแค่แหล่งกำเนิดเดียวของ จิตสำนึก(one source of consciousness), ซึ่งก็คือ อาตมะ(atma).

ดวงอาทิตย์หนึ่งเดียวที่ถูกสะท้อน(the one sun is reflected)ในถังน้ำมากมาย(in many buckets), และหนึ่งเดียวนั้น, จิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all-pervasive consciousness)ได้แสดงให้เห็น(manifest)ในมากมายสำนึกตัวตน(in many conscious beings).

เราสามารถกล่าวซ้ำเรื่องนี้ได้ด้วยคำศัพท์สันสกฤตทั้งหลายที่คุ้นเคย(with familiar Sanskrit terms)และพูดว่า, มีเพียงหนึ่งเดียว ปรมาตมะ(paramatma – ปรมาตมัน), และหนึ่งเดียว สูงสุด(supreme) หรือ จิตสำนึกสากล(universal consciousness), แต่ทว่า(whereas)มี ชีวาตมะ(jivatmas - ชีวาตมัน)อยู่มากมาย, ปัจเจกสำนึกตัวตนอยู่มากมาย(many individual conscious beings).

โปรดสังเกตว่า, มันเป็นการมีอยู่ของน้ำ(the presence of water)ในแต่ละถังไม้(in each bucket)ที่ยินยอมให้มันที่จะสะท้อนดวงอาทิตย์(allow it to reflect the sun).

ในหนทางเดียวกัน, มันคือการมีอยู่ของ สุกสมะ สรีระของคุณ(the presence of your sukshma sharira)ที่ยินยอมให้คุณที่จะรื่นรมย์ความรู้สึกนั้น(allows you to enjoy sentiency)และประสบการณ์รับรู้ต่อโลกรายรอบตัวคุณ(and experience the world around you).

ตราบนานเท่าที่ สุกสมะ สรีระของคุณ(your sukshma sharira)ดำเนินต่อไปที่จะอาศัยอยู่ในร่างกายภาพนี้ของคุณ(continues to dwell in your physical body), คุณก็จะดำเนินต่อไปในประสบการณ์รับรู้ต่อโลกนี้(continue to experience the world).

และเมื่อ สุกสมะ สรีระ ของคุณ(your sukshma sharira)ละทิ้งไปจากร่างกายภาพของคุณ(leaves your physical body), ประสบการณ์รับรู้ในชีวิตนี้ของคุณมาถึงจุดจบ(your experience of this life will come to an end).

ทีนี้, ที่จะเข้าใจการเกิดใหม่(to understand reincarnation)ดีขึ้นอีกเล็กน้อย, เราสามารถขยาย(extend)คำอุปมานี้(this metaphor).

สมมติว่าหนึ่งในถังไม้เหล่านี้(one of the buckets)มีอายุ 85 ปี. ไม้นั้นกำลังเปื่อยผุ(is rotting)และรั่วหลายแห่ง(several leaks)ได้ถูกอุดซ่อมไว้แล้ว(already been plugged up)ดังนั้นถังไม้นี้สามารถที่จะเก็บน้ำได้อยู่ต่อไป(can continue to hold water).

นั่นเป็นเหมือนหมอทั้งหลาย(doctors)ได้อุดจุดรั่ว(plugging up the leaks)ในร่างกายของเราทั้งหลาย(in our bodies), จึงพูดได้ว่า, การใช้การดำเนินการทั้งหลายที่หลากหลายทางการแพทย์(using various medical procedures)เพื่อรักษาเราให้มีชีวิตอยู่(to keep us alive).

ในบั้นปลาย(eventually), ถังไม้เก่านั้นก็จะรั่วอย่างเลวร้ายเกินไป(will leak so badly)จนมันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกันไม่ให้น้ำรั่วระบายออกไปได้.

นี้, อย่างชัดเจนว่า, แสดงถึงการตาย(represents death).

เมื่อถังไม้นั้นว่างเปล่า(a bucket is empty), มันก็ไม่สะท้อนดวงอาทิตย์อีกต่อไป(no longer reflects the sun).

เป็นแต่เพียงถังไม้ว่างเปล่า.

ในหนทางเดียวกัน(in the same way), เมื่อสุกสมะ สรีระ(sukshma sharira)ละทิ้งไปจากร่างกายภาพ(leaves the physical body), เงาสะท้อน(the reflection)หรือการปรากฏของจิตสำนึก(the manifestation of consciousness)ก็มาถึงจุดจบ(come to an end), และกายร่าง(the body)นั้นก็ไม่รื่นรมย์กับความรู้สึกอีกต่อไป(no longer enjoys sentiency).

มีแค่เพียงกายร่างที่ตาย(there just a dead body).

ทีนี้, ก็มาถึงเวลาสำหรับปริศนาธรรม(a riddle), เหมือนโกอันของเซน(like a zen goan).

ดวงอาทิตย์ส่องแสงลงบนถังไม้ว่างเปล่าหรือไม่?(does the sun shine on an empty bucket)?

คำตอบคือ, แน่นอนละ, ว่า ใช่(yes).

ดวงอาทอตย์ส่องแสงลงบนถังว่างเปล่า, แต่ดวงอาทิตย์ไม่ได้ถูกสะท้อนโดยมันอีกต่อไป(no longer reflect by it).

ดังนั้น, ถ้าเราถามว่า, หนึ่งเดียวนี้(the one), จิตสำนึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all-pervasive consciousness)ที่รู้จักกันในนาม อาตมะ(atma - อาตมัน)ได้ปรากฏอยู่ในร่างกายที่ตายแล้วหรือไม่(is present in a dead body)?, คำตอบนั้น, อย่างแน่นอนมากที่สุด(most certainly), ก็คือ ใช่(is yes).

จิตสำนึก(consciousness)นั้นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(is all pervasive).

คุณจะสามารถกีดกันเอามันออกไปจากกายร่างที่ตายแล้วได้ล่ะ?(how can you keep it out of a dead body)?

แต่ถึงแม้ว่ามันปรากฏอยู่ในกายร่างที่ตายแล้ว(present in the dead body), จิตสำนึกก็ไม่ได้แสดงให้เห็นหรือถูกสะท้อนในที่นั้นอีกต่อไป(no longer manifest or reflected there), เนื่องด้วย(due to)กับการหายไปของ สุกสมะ สรีระ(the absence of sukshma sharira).

ทีนี้, เราสามารถขยาย(extend)ความอุปมานี้(this metaphor)กระทั่งไกลไปขึ้นได้อีก.

สมมติว่า, น้ำที่ได้รั่วออกไปจากถังไม้ชราอายุ 85 ปีนั้น, ได้ถูกรวบรวม(is collected)และถูกเทลงไปในถังไม้ใหม่(poured into a new bucket), ถังไม้เล็กๆเด็กๆใบหนึ่ง(a tiny little baby bucket).

นั้นแล้ว(then), เราก็จะเห็นเงาสะท้อนใหม่(a new reflection)ของดวงอาทิตย์(the sun)ในถังไม้เด็กๆนั้น(in the baby bucket).

ฉันคาดว่า(suppose)เรื่องนี้ได้อธิบายแทนถึงการเกิดทั้งหลายของดวงอาทิตย์(represents the births of the sun), ถ้าคุณจะให้อภัยในคำพูดสองนัยแบบนี้(forgive the pun).

เมื่อคุณมองเห็นเงาสะท้อนหนึ่งของดวงอาทิตย์นั้น(see that one reflected sun)ได้หายไปจากถังไม้ใบเก่า(has disappeared from the old bucket), และเงาสะท้อนดวงอาทิตย์อันใหม่(a new reflected sun)ได้ปรากฏขึ้นในถังไม้เด็ก(has appeared in the baby bucket), คุณอาจจะทึกทักผิดๆเอาว่า(might wrongly assume that)ดวงอาทิตย์ได้เดินทางไปจาก(travels from)ถังไม้ใบเก่านั้นสู่ถังใบใหม่(the old bucket to the new bucket), เมื่อมันที่จริงแล้ว(actually)เป็นน้ำนั้น(the water)ซึ่งได้เดินทางไป(has traveled).

ในหนทางเดียวกัน, ผู้คนมากมายทึกทักเอาผิดๆ(wrongly assume)ว่า อาตมิ(atma - อาตมัน)เดินทางไปจากกายร่างหนึ่งสู่ร่างถัดไป(travels from one body to the next), เมื่อมันที่จริงแล้วเป็น สุกสมะ สรีริ(actually the sukshma sharira)ที่เดินทางไป(that travels).

นอกจากคำอุปมาเยี่ยงจารีตนี้(the traditional metaphor)ที่เราเพิ่งได้ใช้(we just used), ก็มีคำอุปมาแบบสมัยใหม่ที่ฉลาด(a clever modern metaphor)ที่เราอาจพบว่าช่วยเหลือได้มาก(might find helpful).

คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของคุณ(your desktop computer)มีทั้ง ฮาร์ดแวริ์(hardware)และซอฟท์แวริ์(software).

และเช่นเดียวกับคุณ(and so do you).

ฮาร์ดแวริ์ของคอมพิวเตอร์แสดงแทนถึง สธุละ สรีระ ของคุณ(sathula sharira), ร่างกายภาพของคุณ(your physical body), และซอฟท์แวริ์ของคอมพิวเตอร์(the computer’s software)แสดงแทนถึง สุกสมะ สรีระ ของคุณ(represents your sukshma shrira).

ถ้าคุณมองเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของคุณนั้น, คุณจะเห็นหน่วยป้อนพลังงาน(the power supply unit)ในมุมหนึ่ง.

ในคำอุปมานี้(in this metaphor), หน่วยป้อนพลังงานนั้น(that power supply)แสดงแทนถึงหัวใจของคุณ(represents your heart).

คุณก็ยังเห็นสายไฟหลากหลายพันกันไปมา(a tangle of assorted wires)ที่แสดงถึงเส้นโลหิตดำทั้งหลาย(your veins), เส้นโลหิตแดงทั้งหลาย(arteries)และเส้นประสาททั้งหลาย(nerves)ของคุณ.

และคุณก็จะพบชิปCPUหลัก(the main CPU chip)ซ่อนอยู่ใต้ครีบทำความเย็นของมัน(beneath its cooling fins). อย่างชัดเจนว่า, ชิปCPUนี้แสดงแทนถึงสมองของคุณ(represents your brain).

ข้างในตัวถังของคอมพิวเตอร์(the computer chassis), คุณก็ยังพบฮาร์ดดิสก์(the hard disk)ด้วยเช่นกัน, หน่วยความจำ(the memory unit)ที่บรรจุซอฟท์แวริ์ทั้งหมดของคอมพิวเตอร์ของคุณเอาไว้.

ฮาร์ด ดิสก์(hard disk)นั้นมีน้ำหนักประมาณ 1 เปานด์และอาจจะสามารถที่จะเก็บได้ถึง 20 กิกะไบท์ของซอฟท์แวริ์(20 gigabyte of software)ไว้ในความทรงจำของมัน(in its memory).

ทีนี้, ถ้าคุณได้ลบอย่างสมบูรณ์สิ้นของบรรดาซอฟท์แวริ์ทั้งหมดออกจากฮาร์ด ดิสก์นั้น, มันจะมีน้ำหนักน้อยลงไปไหม?

และถ้าคุณเก็บซอฟท์แวริ์มากขึ้นไปอีกบนฮาร์ด ดิสก์นั้น, เติมลงไปจนถึงความจุ 20 กิกะไบท์ของมัน, มันจะมีน้ำหนักมาขึ้นไหม?

คำอุปมานี้(this metaphor)บรรยายอย่างถูกต้อง(accurately describes)ถึงการแยกแยะระหว่าง(distinction between) สถุละ(sathula)และ สุกสมะ(sukshma), กายภาพ(physical)และ ไม่ใช่-กายภาพ(non-physical).

ฮาร์ด ดิสก์นั้นคือ ฮาร์ดแวริ์กายภาพ(physical hardware)เหมือนชิ้นส่วนใดๆของร่างกายภาพของคุณ(like any part of your physical body).

แต่ซอฟท์แวริ์นั้นไม่ใช่กายภาพ(not physical), มันเป็นสิ่งละเอียด(subtle), เหมือนเช่น สุกสมะ สรีระ ของคุณ(like your sukshma sharira).

ปราศจากซอฟท์แวริ์ใดๆ(without any software), คอมพิวเตอร์ของคุณก็จะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์(would be useless).

มันเป็นเพราะการมีอยู่(the presence)และบทบาทหน้าที่(function)ของซอฟท์แวริ์(of software)ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณเป็นอุปกรณ์ที่มีพลังเต็มที่, และมีปัญญา(a powerful, intelligent device).

ในหนทางเดียวกัน, มันเป็นเพราะการมีอยู่และบทบาทหน้าที่(the presence and function)ของ สุกสมะ สรีระ ของคุณ(your sukshma sharira)ที่ทำให้คุณมีพลังเต็มเปี่ยม(powerful), และมีปัญญา(intelligent).

สมมติว่าคอมพิวเตอร์ของคุณได้ทำงานมาด้วยดีตลอด, แต่เมื่อคุณพยายามที่จะเปิดมันขึ้นมาในวันนี้(try to turn it on today), ไม่มีอะไรบังเกิดขึ้น(nothing happens); จอภาพยังคงดำมืดอยู่. คุณเคาะปุ่ม control+alt+delete, หรืออะไรก็ตาม, และพยายามที่จะrebootมัน, แต่ไม่มีอะไรบังเกิดขึ้น.

อะไรคือปัญหาหรือ?

ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ได้ถูกเสียบปลั๊กเข้าไปในเต้ารับไฟฟ้า(isn’t plugged into an electrical outlet), มันจะสามารถทำงานได้อย่างไร(how can it work)?

ในคำอุปมานี้(in this metaphor), ไฟฟ้า(electricity)ก็แสดงแทนถึง อาตมะ(atma - อาตมัน), หนึ่งเดียว, คือจิตสำนึกที่แผ่ซ่านทั่วไปหมด(the one, all-pervasive consciousness), เหมือนแสงอาทิตย์ที่ในตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้.

มันเป็นไฟฟ้า(electricity)ที่ทำให้แต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน, และมันคือ หนึ่งเดียวนี้, จิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all3pervasive consciousness), อาตมะ(atma - อาตมัน), ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งหมด(makes all living beings)มีความรู้สึก(sentient).

ถ้าคอมพิวเตอร์มากมายถูกเสียบปลั๊กเข้าไปในแหล่งพลังเดียวกัน(the same power source), มันเป็นที่แน่นอนว่าไฟฟ้าเดียวกัน(actually the same electricity)ที่กำลังไหลเข้าไปในแต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหลายนั้น(flowing into each of the computers).

ในหนทางเดียวกัน, มันเป็น อาตมะอันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมดเดียวกัน(the same all-pervasive atma)ที่กำลังส่องแสงสว่างอยู่ภายในพวกเราแต่ละคน(shining within each of us), ให้ความกระจ่างกับจิตใจของเรา(illumining our mind), เผยเปิดความคิดทั้งหลายของเรา(revealing our thoughts), อารมณ์สะเทือนใจ(emotions), และความทรงจำทั้งหลาย(memories)ของเรา, และทำให้เราสามารถได้ประสบการณ์รับรู้กับโลกนี้(enable us to experience the world).

ทีนี้, เราสามารถที่จะขยายคำอุปมานี้(extend this metaphor)ไปสู่คำอธิบายการเกิดใหม่ขึ้นมาอีก(to explain reincarnation), เหมือนที่เราได้ขยายคำอุปมาเรื่องถังไม้ใส่น้ำ(the bucket metaphor).

เมื่อคุณซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่เอี่ยมมา(buy a brand new computer), อะไรคือสิ่งแรกที่คุณทำกับเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าของคุณรึ?

คุณดาวน์โหลด(download)แฟ้มซอฟท์แวริ์ทั้งหมด(all the software files)จากคอมพิวเตอร์เก่าของคุณ(from your old computer), และคุณก็อัพโหลดพวกเขา(up load them)สู่คอมพิวเตอร์ใหม่ของคุณ.

คนเก่งคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย(computer geeks)เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการอพยพซอฟท์แวริ์(software migration); เราสามารถเรียกมันได้ว่าเป็น การย้ายถิ่นฐาน(transmigration – การกลับชาติมาเกิดใหม่).

ก็เหมือนกับซอฟท์แวริ์ที่สามารถถูกเปลี่ยนถ่าย(be transferred)หรือถูกอพยพ(migrated)จากคอมพิวเตอร์เก่าไปยังเครื่องใหม่, สุกสมะ สรีระนั้น(the sukshma sharira)ก็เดินทาง(travels)จากกายร่างที่ตายไปสู่ร่างใหม่(from a dead body to a new one).

ในการที่จะให้เสร็จสมบูรณ์ความอุปมานี้(to complete this metaphor), สมมติว่าคุณได้ลบซอฟท์แวริ์ทั้งหมด(erased all the software)จากคอมพิวเตอร์เก่าของคุณ(from your old computer).

แล้ว(then), แม้เมื่อเสียบปลั๊กมันเข้าไปในเต้ารับไฟฟ้า(plugged into an electrical outlet)และเปิดสวิทช์ขึ้น(switched on), ไม่มีอะไรจะบังเกิดขึ้น(nothing will happen).

คอมพิวเตอร์จะคือ ตาย(will be dead), พูดได้เช่นนั้น.

ในหนทางเดียวกัน, แม้กระทั่ง หนึ่งเดียวนั้น(the one), จิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all-pervasive consciousness)ดำเนินต่อไปที่จะแผ่ซ่านกายร่างที่ตายแล้ว(continue to pervade a dead body), ที่กายร่างนั้นจะเป็นที่ปราศจากชีวิต(that body will be lifeless)ในการขาดหายไปของ สุกสมะ สรีระ(sukshma sharira).

ไม้ในที่สุดก็เน่าผุ(wood eventually rots)และน้ำรั่วไหลออกไปจากถังไม้เก่าทั้งหลาย(water seeps out of old buckets).

นั่นคือหนทางการทำงานของธรรมชาติ(that’s the way nature works).

คอมพิวเตอร์ทั้งหลายในท้ายสุดก็จะแก่ชรา(eventually grow old).

พวกเขาได้พ้นสมัย(outdated)และกลายเป็นไม่สามารถเข้ากันได้กับ(incompatible)กับรุ่นใหม่กว่าทั้งหลายของซอฟท์แวริ์(with newer generations of software).

ดังนั้น, คอมพิวเตอร์ชรา(an old computer)ต้องถูกปลดเกษียณ(be retired)ที่เหมือนกันกับถังไม้เก่านั้น(just like an old bucket).

ทั้งหมดนี้บ่งถึง(refer to)ต่อความจริง(the fact)ว่ากายร่างทั้งหลายของเรา(our bodies)กำลังมีอายุมากขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอด(are constantly aging)และจะในท้ายสุด(eventually)เป็นไม่สามารถที่จะยึดกุมอยู่กับ สุกสมะ สรีระ(to hold on to a sukshma sharira).

เรารู้ว่า สุกสมะ สรีระ ทั้งหลายของเรา(our sukshma shariras)จะเดินทางต่อไปที่จะอาศัยในกายร่างใหม่ทั้งหลาย(to inhabit new bodies), แต่เราก็ยังรู้ด้วยเช่นกันว่าที่เวลาของการตายนั้น(at the time of death), เราสูญเสียทุกอย่าง(we lose everything).

เราสูญเสียคนที่เรารักทั้งหลาย(we lose our loved ones), สิ่งที่ครอบครองทั้งหลายของเรา(our possessions), กิจกรรมทั้งหลาย(the activities)ที่เรารื่นรมย์(we enjoy), ทุกอย่าง(everything).

มันดูเหมือนการสูญเสียอันน่ากลัว(a terrible loss)รอคอยเราทั้งหมดอยู่ที่ตอนจบของชีวิตของเรา(at the end of our lives).

แต่, ด้วยความช่วยเหลือของ เวฑานตะ(Vedanta), เราสามารถค้นพบว่า(discover)เราไม่ได้สูญเสียอะไรเลยจริงๆ(truly lose nothing)ที่เวลาของการตาย(at the time of death).

นั่นเป็นไปได้อย่างไร(how is that possible)?

เรามาย้อนกลับไปที่คำอุปมาเรื่องถังไม้ใส่น้ำ(the bucket metaphor).

เมื่อน้ำทั้งหมดรั่วออกไปหมดจากถังไม้ชรานั้นแล้ว(all the water leaks out of an old bucket), มันหยุดการสะท้อนดวงอาทิตย์(it stops reflecting the sun), และนี้แสดงให้เห็นถึงการตาย(this represents death).

แต่, ดวงอาทิตย์ได้รับผลกระทบ(affected)อย่างไรจากการนั้น(by that)?

ไม่เลยทั้งสิ้น(not at all).

ดวงอาทิตย์เพียงแต่ส่องแสงต่อไป(goes on shining)ในขณะที่ถังไม้ผุเปื่อยไป(as the bucket decays), ขณะที่มันรั่ว(as it leaks), เมื่อมันว่างเปล่า(when it’s empty), และเมื่อน้ำของมัน(its water)ได้ถูกรินเทเข้าไปในถังใหม่เด็กๆ(poured into a new baby bucket).

ดวงอาทิตย์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอด(remains unchanged throughout).

อย่างที่เราได้เห็นมาก่อน(as we saw before), ดวงอาทิตย์แสดงแทนถึง หนึ่งเดียว, จิตสำนึกอันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(all-pervasive consciousness), อาตมะ(atma – อาตมัน).

และ, อาตมะ(atma - อาตมัน)นั้นก็คือ คุณ(atma is you).

ด้วยความช่วยเหลือจากคำสอนทั้งหลายของ เวฑานตะ(Vedanta), คุณสามารถค้นพบ(discover)ได้ว่าคุณคือ จิตสำนึกอันแท้จริงเฉพาะนั้น(you are the very consciousness).

คุณเป็นถือครองร่างกายภาพหนึ่ง(possess a physical body), แต่คุณไม่ใช่ กายร่างนั้น(you’re not that body).

คุณถือครอง(possess) สุกสมะ สรีระ(the sukshma sharira)ที่อาศัยอยู่ในกายร่างของคุณ(that inhabits your body), แต่คุณก็ไม่ใช่คือ สุกสมะ สรีระนั่นด้วยเช่นกัน(you’re not that sukshma sharira either).

คุณคือ จิตสำนึกนั้น(you are the consciousness)ที่ส่องสว่างจิตใจของคุณ(that illumines your mind).

คุณคือ จิตสำนึก(the consciousness)ที่ประสบรับรู้(that experiences)ทั้งหมดของความคิด(all your thoughts), ความทรงจำ(memories), และอารมณ์(emotions)ทั้งหลายของคุณ.

คุณคือ สัจจะ จิต อนันต์(sat cit ananta).

         ๑๐ Satchitananda (ภาษาสันสกฤต: सच्चिदानन्द/  "Truth Consciousness Bliss"/"Existence Consciousness Bliss"/จิตสำนึกทิพยสัจ.

          https://th.hmong.wiki/wiki/Satchitananda

          และ จิตสำนึก(consciousness)นั้นคือ สัจจะ(sat), จริง(real).

         อะไรที่จริงแท้(is truly real)คือ ไม่เกิด(is unborn), ไม่เปลี่ยนแปลง(unchanging), และนิรันดร(eternal).

         นั้นหมายความว่า, คุณคือ นิรันดร(you are eternal), จิตสำนึกที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง(unchanging consciousness).

         และ จิตสำนึกนิรันดร นั้น(that eternal consciousness)คือ อนันต์(ananta), มันเป็นเต็ม(full), เสร็จสิ้น(complete), สมบูรณ์(perfect), ไร้จำกัด(limitless).

         คำสอนทั้งหลายเหล่านี้(these teachings)อยู่ในท่ามกลางการค้นพบทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ที่สุด(amongst the greatest discoveries)ของฤษีทั้งหลายในสมัยโบราณ(of the ancient rishis).

         โชคไม่ดี(unfortunately), เนื่องด้วย อวิชชา(ignorance - ความไม่รู้), เราจึงมักจะระบุยึดตัวตนของเรา(identify ourselves)อยู่กับ กายร่าง และ จิตใจทั้งหลายของเรา(our bodies and minds), โดยจำเพาะอย่างยิ่ง(most specifically), กับสธุละ และ สุกสมะ สรีระ ทั้งหลายของเรา(with our sthula and sukshma shariras).

         และความหลงผิดพลาดในการยึดถือตัวตนนี้เอง(this erroneous identification)ได้กลายมาเป็นรากของความทุกข์ทั้งปวง(turns out to be the root of all suffering).

คำสอนทั้งหลายของ เวฑานตะ(the teachings of Vedanta), แสดงให้เห็นเรื่องนี้อย่างกระจ่างชัด(demonstrate this clearly).

โชคดี(fortunately), ที่เราสามารถนำเอาจุดจบมาให้แก่ความทุกข์นี้ได้(we can put an end to suffering)โดยการทำลายการหลงผิดในตัวตนนั้น(by destroying that false identification).

เราสามารถใช้คำสอนทั้งหลายของ เวฑานตะ นี้(this teachings of Vedanta)เป็นเช่นคู่มือนำทาง(as a guide)ที่จะมองดูภายในตัวของเรา(to look within ourselves), ในกระบวนการสอบสวนตนเอง(in a process of self-inquiry).

และ, กระบวนการสอบสวนตนเองนั้น(that process of self-inquiry)สามารถนำไปสู่การค้นพบส่วนตัวโดยตรง(a personal direct discovery)ของอะไรที่ฤษีโบราณทั้งหลาย(the ancient rishis)ได้ค้นพบมาแล้ว(discoveried).

การค้นพบนั้นคือ โมกษะ(moksha), อิสรภาพ(freedom), การหลุดพ้น(liberation).

โมกษะ(moksha)ไม่ใช่แค่อิสรภาพจากการเกิดใหม่(not merely freedom from rebirth).

โมกษะ(moksha)ยังเป็น อิสรภาพจากอวิชชา ด้วยเช่นกัน(is also freedom from ignorance), อิสรภาพจากการหลงผิดในตัวตน(freedom from false identification), และอิสรภาพจากความทุกข์(freedom from suffering)ที่เกิดจากความไม่รู้และความหลงผิดในตัวตนของเรา(caused by our ignorance and false identification).

https://youtu.be/Zb1mLzRL3wc