หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย...ภาคผนวก 3: รายงานในเรื่องเบเน เกสเสอริต แรงกระตุ้นและเจตจำนง

             ภาคผนวก 3:  รายงานในเรื่อง เบเน เกสเสอริต

แรงกระตุ้น และ เจตจำนง

 

           ในที่นี้เป็นไปตามข้อความที่ตัดตอนมาจากสัมมา(the Summa)โดยเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของเธอเองตามที่ร้องขอโดยฺท่านหญิง เจสสิกา อย่างกะทันหันภายหลังเหตุการณ์ อาร์ราคิส. ความตรงไปตรงมาของรายงานนี้ได้ขยายซึ่งคุณค่าของตัวมันไกลโพ้นเลยจากธรรมดาสามัญ.

 

         เพราะเบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ทำงานให้กับประเทศทั้งหลายเบื้องหลังม่านบังแห่ง สำนักศึกษากึ่ง-ไสยเวทย์ขณะที่ดำเนินการต่อไปกับโครงการคัดเลือกสายพันธุ์/ตระกูลในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย, เราโน้มเอียงที่จะให้รางวัลแก่พวกเขาด้วยสถานะที่มากไปกว่าพวกเขาปรากฏควรที่จะได้รับ. การวิเคราะห์ของพวกเขาใน “ทดสอบแห่งสัจ”บนเหตุการณ์ อาร์ราคิส(the Arrakis Affair)ได้ทรยศต่ออวิชชาอันลึกซึ้งในบทบาทภารกิจของตัวมันเอง.

         มันอาจจะถูกโต้แย้งได้ว่า เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)นั้นน่าจะตรวจพิเคราะห์แต่เพียงแค่ความสัจจริงทั้งหลายเท่านั้นดังที่เป็นสิ่งจัดหาให้ได้ต่อพวกเขาและไม่มุ่งตรงเข้าไปหาต่อบุคคลเช่น ผู้พยากรณ์ มวดดิบ. แต่สำนักศึกษานี้ได้ปลุกเร้าอุปสรรคกีดขวางอันยิ่งใหญ่กว่าออกมาและรวมทั้งความผิดพลาดของตัวมันเองก็ลงไปลึกยิ่งขึ้น.

         โครงการของเบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit program)ได้เป็นเช่นเป้าหมายทั้งหลายของมันในการผสมสายพันธุ์คัดสรรของบุคคลที่พวกเขาประทับตราหมายไว้คือ “ควิสาตซ์ ฮาเดรัค(Kwisatz Haderach),” คำที่มีความหมายสำคัญว่า “ผู้เอกะซึ่งสามารถอยู่ในที่แห่งหนมากมายในทันทีนั้น.” ในความหมายอย่างง่าย, อะไรที่พวกเขาได้เสาะหานั้นคือมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีการยอนยอมในพลังทางจิตให้เขาได้เข้าใจและใช้มิติการทั้งหลายที่สูงขึ้นได้.

         พวกเขาได้ผสมสายพันธุ์เพื่ออภิ-เมนทาต, มนุษย์คอมพิวเตอร์ด้วยคุณสมบัติทั้งหลายของการมองเห็นล่วงหน้าดังที่พบในพวกผู้นำร่องอวกาศของกิลด์. ตอนนี้, ได้ตั้งใจพิจารณาความจริงทั้งหลายนี้อย่างระมัดระวังแล้ว.

         มวดดิบ(Muad’Dib), แรกกำเนิดคือ พอล อะไทรดิส(Paul Atreides), เป็นบุตรชายของ ดยุค ลีโต(the Duke Leto), ชายที่สายเลือด(bloodline)ของเขาได้ถูกเฝ้าดูอย่างระมัดระวังมานานกว่าหนึ่งพันปี. มารดาของผู้พยากรณ์(the Prophet’s mother), ท่านหญิง เจสสิกา(Lady Jessica), เป็นธิดาโดยธรรมชาติของ บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนน(the Baron Vladimir Harkonnen)และมีบรรจุไว้ซึ่งตัวสร้าง-พันธุกรรม(gene-makers)ทั้งหลายที่ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดสุดต่อโครงการคัดสรรสายพันธุ์ที่ถูกรู้กันมาเกือบสองพันปี. เธอเป็นเบเน เกสเสอริต(a Bene Gesserit)เติบโตและถูกฝึกฝน, และจักต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือเป้าหมายแห่งโครงการนั้น.

         ท่านหญิง เจสสิกา(the Lady Jessica)ถูกบัญชาให้ผลิตสร้างธิดาอะไทรดิส(an Atreides daughter). แผนการคือเพื่อผสมพันธุ์ผู้มีเชื้อสายใกล้เคียงกันโดยธิดานี้กับ เฟย์-เราธา ฮาร์คอนเนน(Feyd-Rautha Harkonnen), หลานชายของ บารอน วลาดิมีร์(the Baron Vladimir), ด้วยโอกาสความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะได้ ควิสาตซ์ ฮาเดรัค(a Kwisatz Haderach)จากการสมรสนี้. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, เพื่อหลายเหตุผลที่เธอได้สารภาพไม่เคยได้เป็นที่กระจ่างชัดอย่างสมบูรณ์สิ้นต่อเธอ, พระสนมท่านหญิง เจสสิกา(the concubine Lady Jessica)ม่เชื่อฟังขัดขืนคำบัญชาทั้งหลายนั้นของเธอและให้กำเนิดบุตรชาย.

         เรื่องนี้โดยลำพังแล้วควรที่จะได้ทำให้เกิดการตื่นตัวขึ้นกับเบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ต่อความเป็นไปได้ที่ความไม่แน่นอนตามธรรมชาติได้เข้ามาในแผนการหลักของพวกเขา. แต่มีสิ่งอื่นสำคัญยิ่งกว่าที่บ่งชี้ทั้งหลายว่าพวกเขาได้เมินเฉยอย่างแท้จริง.

         1. ขณะที่เยาว์วัย, พอล อะไทรดิส(Paul Atreides)แสดงถึงความสามารถที่จะมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าของอนาคตได้.

         2. แม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม(the Reverend Mother Gaius Helen Mohiam), เบเน เกสเสอริต ผู้ควบคุมไต่สวน(Bene Gesserit Proctor)ผู้ได้ทำการทดสอบความเป็นมนุษย์ของพอล(Paul’s humanity)เมื่อเขาอายุได้สิบห้าปี, ให้การเป็นพยานว่าเขาได้เอาชนะความเจ็บปวดยิ่งกว่าการทดสอบใดของมนุษย์ผู้อื่นจากบันทึก. กระนั้นเธอก็ล้มเหลวที่จะจดทำบันทึกพิเศษถึงเรื่องนี้ไว้ในรายงานของเธอ!

         3. เมื่อราชตระกูล อะไทรดิส(Family Atreides)ได้ย้ายไปยังดาวเคราะห์, ประชากรฟรีเมน(the Fremen population)ที่นั่นได้โห่ร้องต้อนรับหนุ่มพอล(the young Paul)ว่าคือ ผู้พยากรณ์(a prophet), “พระวจนะจากนอกพิภพ(the voice from the outer world).” เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ได้ตระหนักรแวดระวังเป็นอย่างดีในสภาพการณ์อากาศที่รุนแรงทั้งหลายของดาวเคราะห์ดังเช่นอาร์ราคิส(as Arrakis)ด้วยภูมิประเทศทะเลทรายอย่างเต็มที่โดยสิ้นเชิงของมัน, การขาดแหล่งน้ำที่เปิดโล่งอย่างสัมบูรณ์สิ้นของมัน, ความสำคัญยิ่งกับความจำเป็นดึกดำบรรพ์ทั้งหลายกับการอยู่รอดชีวิตของมัน, อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของการผลิตสร้างสัดส่วนที่สูงของอ่อนไหวต่ออิทธิพลภายนอก. กระนั้นปฏิกิริยาของฟรีเมนนี้และองค์ประกอบแน่ชัดของชนอาร์ราคีนบริโภคอย่างสูงในเครื่องเทศ(the spice)นั้นที่ถูกอำพรางบิดเบือนโดยผู้สังเกตการณ์เบเน เกสเสอริตทั้งหลาย(Bene Gesserit observers).

         4. เมื่อพวกฮาร์คอนเนนส์(the Harkonnens)และทหารบ้าคลั่งของจักรพรรดิ ปาดิชาห์(the Padishah Emperor)กลับมายึดครองอาร์ราคิส(Arrakis), ฆ่าบิดาของพอลและกองทหารส่วนใหญ่ของอะไทรดิส, พอลและมารดาของตได้หายไป. แต่เกือยจะในทันทีทันใดนั้นก็มีรายงานทั้งหลายถึงผู้นำลัทธิศาสน์คนใหม่(a new religious leader)ในหมู่ชนฟรีเมนเกิดขึ้น, ชายผู้มีนามว่า มวดดิบ(Muad’Dib), ผู้ได้รับการโห่ร้องสรรเสริญอีกครั้งว่าเป็น “พระวจนะจากนอกพิภพ.” รายงานทั้งหลายนั้นแถลงบอกไว้ชัดเจนว่าเขาได้ร่วมกับแม่อธิการคนใหม่(a new Reverend Mother)แห่งพิธีกรรม เซย์ยาดินา(of the Sayaydina Rite) “ผู้เป็นสตรีที่ให้กำเนิดเขา.” บันทึกทั้งหลายที่หาพบได้ต่อ เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)แถลงบอกไว้ในคำศัพท์ที่เรียบง่ายว่า ตำนานทั้งหลายของชนฟรีเมนถึง ผู้พยากรณ์(the Fremen legends of the Prophet)บรรจุไว้ด้วยคำเหล่านี้: เขาจะได้กำเนิดจากแม่มดเบเน เกสเสอริต(He shall be born of a Bene Gesserit witch).”

         (มันอาจจะถูกโต้แย้งตรงนี้ว่าเบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ได้ส่งมิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติว่าของพวกเขา(their Missionaria Protectiva)ไปยังบนอาร์ราคิส(Arrakis)หลายศตวรรษก่อนหน้านั้นในการที่จะปลูกฝังบางอย่างเหมือนองครักษ์พิทักษ์ตำนานควรหรือที่สำนักนี้จะถูกติดกับดักที่นั่นและต้องการสถานที่ลี้ภัย, และนั่นคือตำนานที่ว่านี้แห่ง “พระวจนะจากนอกพิภพ”เป็นที่เหมาะเจาะพอดีในการที่จะถูกเพิกเฉยเพราะว่ามันได้ปรากฏเป็นเล่ห์เหลี่ยมมาตรฐานเบเน เกสเสอริต. แต่เรื่องนี้น่าจะเป็นจริงเพียงแค่ว่าถ้าคุณเชื่อเอาได้ว่าเบเน เกสเสอริตได้ทำถูกต้องในการเพิกเฉยต่อเบาะแสอื่นทังหลายเกี่ยวกับ พอล มวดดิบ.)

         5. เมื่อเหตุการณ์ อาร์ราคิส(the Arrakis Affair)เดือดพล่านขึ้น, พวกกิลด์ อวกาศ(the Space Guild)ทำการโหมโรงให้กับพวกเบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit). กิลด์บอกใบ้นัยว่าการนำร่องทั้งหลายของมัน, ผู้ซึ่งใช้ยาเครื่องเทศ(the spice drug)ของอาร์ราคิสเพื่อผลิตสร้างภาพทัศน์ล่วงหน้าอันถูกจำกัดที่จำเป็นสำหรับการนำทางยานอวกาศผ่านไปในช่องว่าง, ที่”ก่อกวนกับอนาคต”หรือเห็น “ปัญหาบนเส้นขอบฟ้า.”เรื่องนี้สามารถเนแค่ความหมายวาพวกเขาได้เห็นการเชื่อมต่อ(nexus), สถานที่ประชุมพบกันของการตัดสินใจไร้จำกัดอันละเอียดอ่อนทั้งหลาย, โพ้นเลยที่ซึ่เส้นทางได้ถูกซ่อนเร้นไว้จากดวงตามองเห็นล่วงหน้านั้น.. นี้เป็นสัญญานบ่งบอกชัดแจ้งว่าบางหน่วยงานได้เข้าไปสอดเกี่ยวยุ่งกับมิติการชั้นสูง(higher order dimensions)!

         (จำนวนน้อยของพวกเบเน เกสเสอริตได้ระแวดระวังตระหนักถึงเรื่องนี้มานานพอว่าพวกกิลด์ไม่สามารถเข้าไปสอดยุ่งเกี่ยวโดยตรงด้วยแหล่งเครื่องเทศสำคัญนั้นได้เพราะผู้นำร่องกิลด์ได้ทำความตกลงไปแล้วในหนทางที่ตนเองไม่สามารถทำได้เองของพวกเขากับมิติการชั้นสูง(higher order dimensions), อย่างน้อยที่สุดยังจุดนั้นที่พวกเขาจดจำได้ว่าการก้าวพลาดเพียงนิดเดียวพวกเขาที่บนอาร์ราคิสก็สามารถตกสู่วิบัติหายนะวินาศได้. มันเป็นรู้กันในความจริงที่ว่าผูนำร่องกิลด์ทั้งหลายสามารถคาดการณ์พยากรณ์เส้นทางใดไม่ได้เลยในการที่จะเข้าควบคุมเครื่องเทศโดยปราศจากการผลิตสร้างเพียงแค่การเชื่อมต่อเพียงอย่างเดียว. มันเป็นข้อถกเถียงที่ชัดเจนที่ว่าใครบางคนแห่งอำนาจบัญชาการชั้นสูงกว่า(of higher order powers)ทั้งหลายได้เข้ายึดครองควบคุมแห่งแหล่งผลิตเครื่องเทศนี้, กระนั้นเบเน เกสเสอริตก็พลาดในจุดนีไปอย่างทั้งหมด!)

         ในการเผชิญหน้ากับความสัจจริงทั้งหลาย, ผู้ที่นไปสู่ข้อถกเถียงอันหลีกหนีไปไม่ได้ว่าความประพฤติอันไร้สมรรถนะของเบเน เกสเสอริตในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นผลผลิตของแผนการที่กระทั่งสูงกว่าอะไรที่พวกเขาได้ไม่ได้ระแวดระวงถึงได้อย่างสมบูรณ์สิ้น!)

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดู พิภพ ทราย/ ภาคผนวกที่ 3: ลัทธิศาสน์ แห่ง ดูน

 ภาคผนวก 2:  ลัทธิศาสน์ แห่ง ดูน

 

         ก่อนการมาถึงของ มวดดิบ, พวกฟรีเมนแห่งอาร์ราคิสฝึกฝนปฏิบัติลัทธิศาสน์หนึ่งที่มีรากใน เมาเม็ธ สะอาริ(Maometh Saari)ซึ่งอยู่ที่นั้นสำหรับบรรดานักบัณฑิตวิชาการใดจะเห็นได้. หลายคนได้สืบตามร่องรอยว่าเป็นการหยิบยืมอย่างแพร่ขยายมาจากลัทธิศาสน์ทั้งหลายอื่นๆ. ตัวอย่างทั่วไปมากที่สุดคือ บทสวดภาวนาต่อน้ำ(the Hymn to Water),  คัดลอกสำเนาหนึ่งมาโดยตรงจาก คู่มือพิธีกรรม โอเรนจ์ คาธอลิค(the Orange Catholic Liturgical Manual), พิธีเรียกเมฆฝนทั้งหลายที่อาร์ราคิสไม่เคยได้เห็น. แต่มีจุดประณีตทั้งหลายมากยิ่งกว่าของความกลมกลืนสอดคลองพ้องกันระหว่าง คิตาป อัล-อิบาร์(Kitab al-ibar*)ของชนฟรีเมนและคำสอน

         * https://hmong.in.th/wiki/Ibn_Khaldoun

ทั้งหลายของคัมภีร์ไบเบิ้ล(Bible), อิลม์(Ilm), และ ฟิคฮ์(Fiqh).

         การเปรียบเทียบใดของความเชื่อในลัทธิศาสน์ที่โดดเด่นในจักรวรรดิจนมาถึงยุคของมวดดิบต้องเริ่มต้นด้วยกองกำลังหลักทั้งหลายที่ก่อรูปเหล่าความเชื่อทั้งหลายนี้.

1. สาวกทั้งหลายแห่ง สิบสี่ผู้รอบรู้ (the Fourteen sages), ที่คัมภีร์ของพวกเขาคือ โอเรนจ์ คาธอลิค ไบเบิ้ล(the Orange Catholic Bible), และทัศนคติของพวกเขาได้ถูกแสดงออกไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย(the Commentaries)และบทประพันธ์อื่นทีผลิตสร้างโดย คอมมิสชั่น ออฟ อีคูเมนิคัล ทรานสเลตอร์ส(the Commission of Ecumenical Translators* - คณะกรรมาธิการแห่งผู้แปลทั่วโลก ). (C.E.T.);

2. เบเน เกสเสอริต(Bene Gesserit), ผู้ได้ปฏิเสธอย่างสันโดษว่าพวกเขาเป็นสมาคมทางลัทธิศาสน์(a religious order), แต่ผู้ปฏิบัติการอยู่เบื้องหลังฉากอันยากที่จะเข้าใจไของลัทธิพิธีกรรมเวทย์มนตร์, และการฝึกฝนปฏิบัติของพวกตน, รหัสนัยสัญลักษณ์ของพวกตน, องค์กร, และวิธีการสอนทั้งหลายเชิงข้างในกายเป็นเกือบเยี่ยงศาสน์ทั้งสิ้น.

3. ชนชั้นปกครองที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า(รวมทั้งพวกกิลด์)ผู้ซึ่งถือว่าศาสนานั้นเป็นเช่นละครหุ่นกระบอกชนิดหนึ่งเพื่อที่จะสร้างความขบขันให้กับราษฎรพสกนิกรและคอยรักษามันให้ว่านอนสอนง่ายเอาไว้, และผู้ที่ได้เชื่ออย่างพื้นฐานว่าปรากฏการณ์ทั้งหมด---กระทั่งปรากฏการณ์ทางศาสนา---สามารถถูกลดทอนลงได้ด้วยคำอธิบายทั้งหลายอย่างไม่หยุดหย่อน.

4. คำสอนโบราณอย่างที่เรียกกัน---รวมทั้งเหล่านั้นที่ธำรงรักษาไว้โดย เซนสุนหนี่ วานเดอเรอร์(the Zensunni  Wanderers* - เซนสุนหนี่ เป็นระบบลัทธิศาสน์/ความเชื่อทางศาสนา

         * https://dune.fandom.com/wiki/Wandering_Zensunni/DE

ชนิดหนึ่งที่โด่งดังกับหลายวัฒนธรรมแพร่ขยายไปทั่ว เอกภพที่รู้จัก โดยเฉพาะในผู้คนที่สืบทอดมาจากชนชั้นต่ำต้อยด้อยโอกาส...เซนสุนหนี่ วานเดอเรอร์ ก็คือผู้นับถือลัทธินี้ที่เดินทางจรจากพิภพ/ดาวเคราะห์หนึ่งไปยังพิภพอื่นเพื่อแสวงหาอิสรภาพจากการถูกกดขี่ข่มเหงและเป็นทาสโดยผู้บุกรุกทั้งหลายของจักรวรรดิ)จากการเคลื่อนไหวอิสลาม(Islamic movements)ทั้งหลายในครั้งแรก, ครั้งที่สอง, และครั้งที่สาม; นาวคริสเตียนิตี แห่ง ชูชุค(the Navachrisianity of Chusuk* - ลัทธิ

         * https://dune.fandom.com/wiki/Navachristianity

ศาสน์ชนิดหนึ่ง ที่เป็นการผสมผสานด้วยกันของ นาวาโฮ กับ คริสเตียน), พุทธิสลาม แปลงรูปทั้งหลาย(the Buddhislamic Variants)ของรูปลักษณ์ทั้งหลายนั้นอันโดดเด่นที่ ลางกิวีล(Lakiveil)และ ซิกุน(Sikun), คัมภีร์ผสมผสานของมหายาน ลังกาวะตระ(the Blend Books of the Mahayana Lankavatara), เซน เฮคิกันชุแห่งที่3 เดลตา พาโวนิส(the Zen Hekiganshu of III Delta Pavonis* - ลัทธิศาสน์หนึ่งของดาวเคราะห์ดวงที่3 ของระบบดาวเดลตา พาโวนิส/

         * https://dune.fandom.com/wiki/III_Delta_Pavonis

รู้จักกันดีในชื่อดาว คาลาดาน), ทาวเราะฮ์และทัลมูดิค ซาบุร์(the Tawrah and Talmudic zabur*)อยู่รอดบน ซาลุสา เซคันดัส(Salusa Secundus* - ดาวราชทัณฑ์ของจักรพรรดิ), ที่แพร่หลายก็ โอบีอะฮ์ ริฌวล(the pervasive Obeah Ritual), มัวดฮ์ คูราน(the Muadh Quran*)ด้วยอิล์มและฟิคฮ์อันพิสุทธิ์ของมัน(with its pure Ilm and Fiqh)อยู่รอดในหมู่ชาวนาปลูกข้าวภุณฑิทั้งหลายของคาลาดาน(the pundi rice farmers of Caladan), ฮินดู(the Hindu)ที่โผล่ขึ้นมาพบได้ทั่วทั้งเอกภพในกระเป๋าเล็กๆทั้งหลายของพวกปีออนทั้งหลายผู้โดดเดี่ยว, ในท้ายสุด, บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad*).

         * https://dune.fandom.com/wiki/Butlerian_Jihad

         ได้มีกองกำลังที่ห้าซึ่งจัดรูปความเชื่อในลัทธิศาสน์, แต่ผลสะท้อนของมันนั้นเป็นสากลและลึกซึ้งมากเหลือเกินจนมันควรค่าแก่การที่จะยืนเพียงลำพังได้.

         นี้เป็น, แน่นอนละ, การเดินทางไปในอวกาศ---และในการถกเถียงใดของลัทธิศาสน์, มันควรค่าแก่การที่จะถูกเขียนเอาไว้เช่น:

การเดินทางในอวกาศ!

         การเคลื่อนไหวของมนุษยชาติผ่านอวกาศตอนลึกถูกวางตำแหน่งเป็นตราประทับอย่างเป็นเอกบนลัทธิศาสน์ในช่วงหนึ่งร้อยสิบศตวรรษทั้งหลายที่มีมาก่อน บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad). ในการที่จะเริ่มต้นด้วย, การเดินทางในอวกาศยุคแรกเริ่ม, ถึงแม้ว่าจะแผ่กว้างไปทั่ว, แต่ก็เป็นการอลหม่านไร้ระเบียบอย่างมโหฬาร, ช้า, และไม่มีความแน่นอน, และ, ก่อนที่พวกกิลด์จะเข้ามาผูกขาด, ได้รับผลสัมฤทธิ์ก็จากการมั่วจับฉ่ายปนเปกันไปของวิธีการทั้งหลาย. ประสบการณ์ในอวกาศครั้งแรก, มีการสื่อสารติดต่ออย่างแย่มากและเนื้อหาสาระก็ถูกบิดเบี้ยว, เป็นสิ่งจูงใจอันบ้าคลั่งต่อความเสี่ยงโชคอย่างลี้ลับโดยแท้จริง.

         โดยทันทีทันใดนั้น, อวกาศก็ให้ความแตกต่างในรสชาติและสัมผัสรู้ต่อความคิดทั้งหลายของการรังสรรค์(Creation). ความแตกต่างทั้งหลายนั้นถูกพบเห็นกระทั่งในผลสัมฤทธิ์อันสูงสุดทางลัทธิศาสน์ของช่วงคาบเวลานั้น. ทะลุผ่านศาสน์ทั้งหมด, ความรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ถูกสัมผัสแตะต้องโดยภาวะอนาธิปไตยจากความดำมืดข้างนอก.

         มันเป็นราวกับว่าเทพจูปิเตอร์(Jupiter)ที่อยู่ในรูปทรงทั้งหมดที่สืบทอดกันมาได้ล่าถอยกลับเข้าไปสู่มารดาความมืดนั้นเพื่อที่จะถูกแย่งแทนที่โดยอัพภันตรภาพอิตถี(a female immanence)เติมเต็มด้วยความเคลือบแคลงคลุมเคลือและด้วยโฉมหน้าของการก่อการร้ายทั้งหลายอันมากมาย.

         สูตรซับซ้อนโบราณไขว้สานเข้าด้วยกัน, ปนเปยุ่งเหยิงกันขณะที่พวกเขาลงตัวเหมาะเจาะกับความจำเป็นต้องการทั้งหลายของการพิชิตครอบครองอันใหม่ทั้งหลายและสัญลักษณ์พิธีกรรมประกาศอันใหม่ทั้งหลาย. มันเป็นยุคสมัยของการดิ้นรนต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรร้ายในด้านหนึ่งและผู้สวดภาวนาและอ้อนวอนเก่าแก่อยู่อีกด้านหนึ่ง.

         ไม่เคยมีคำตัดสินพิพากษาใดที่กระจ่างชัด.

         ระหว่างคาบช่วงเวลานี้, มันได้กล่าวกันว่าเยเนซิส(Genesis* - คัมภีร์ที่กล่าวถึง”ปฐมกาล”)ได้ถูกตีความขึ้นใหม่, ยินยอมให้พระเจ้า(God)ที่จะกล่าวว่า:

         “จงเพิ่มขึ้นและทวีขึ้น, และเติมเต็มเอกภพนี้, และพิชิตมัน, และปกครองเหนือวิธีกระทำทั้งหมดของสัตว์ร้ายและสิ่งมีชีวิตแปลกถิ่นทั้งหลายในอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหลาย, บนปฐพีอันไร้ที่สิ้นสุดทั้งหลายและภายใต้พวกมัน.”

         มันเป็นยุคสมัยของไสยเวทย์พ่อมดหมอผีทังหลายผู้ซึ่งพลังอำนาจทั้งหลายนั้นเป็นจริง. มาตรวัดของพวกเขาได้ถูกพบเห็นในความจริง ที่ว่าพวกเขาไม่เคยคุยโอ้อวดว่าพวกเขากุมจับไฟคุโชนนั้นได้เช่นไร.

         แล้วก็มาถึง บัตเลอเรียน จิฮาด(the Butlerian Jihad)---สองรุ่นอายุของความโกลาหลกลียุค. พระเจ้าแห่งตรรกะ-จักรกลได้เข้ายึดครองอำนาจเหนือมวลมหาชนทั้งหลายและแนวความคิดใหม่ก็ลุกขึ้น.

         “มนุษย์ต้องไม่อาจถูกแทนที่ได้.”

         สองรุ่นอายุแหล่งความรุนแรงเหล่านั้นเป็นสถานีพักหยุดกระแสประสาทถ่ายทอด(a thalamic)ของมนุษยชาติทั้งหมด. คนมองไปยังพระเจ้าของพวกเขาและพิธีกรรมของพวกเขาและเห็นว่าทั้งสองอย่างนั้นได้ถูกเติมเต็มไปด้วยความก่อการร้ายมากที่สุดของสมกาลทั้งหลายทั้งหมด: ความกลัวอยู่เหนือความทะเยอทะยาน.

         อย่างลังเล, ผู้นำของลัทธิศาสน์ทั้งหลายผู้ซึ่งสาวกได้หลั่งเลือดกันไปเป็นหลายพันล้านก็เริ่มต้นการประชุมกันเพื่อแลกเปลี่ยนทัศนคติทั้งหลาย. มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เสริมความกล้าหาญโดย สเปซ กิลด์(the Space Guild – สมาพันธ์ผู้นำร่องอวกาศ), ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่จะสร้างการผูกขาดของพวกมันเหนือการเดินทางระหว่างดวงดาวทั้งหมด, และโดย เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)ผู้ซึ่งกำลังตั้งวงรวมกันของแม่มดทั้งหลาย.

         จากการประชุมผู้นำลัทธิศาสนจักรครั้งแรกทั้งหลายนั้นได้มีสองการพัฒนาหลักออกมา:

         1. การตระหนักว่า ลัทธิศาสน์ทั้งหมดมีบัญญัติอย่างน้อยที่สุดที่เหมือนกันทั่วไป: “สูเจ้าจักต้องไม่ทำความเสียหายต่อจิตวิญญาณ.”

         2. คณะกรรมาธิการ แห่ง สัมพันธภาพผู้แปลถ่ายทอดลัทธิศาสน์ทั้งหลาย(the Commission of Ecumenical Translators)

         ก.ส.ป. ชุมนุมกันบนเกาะเป็นกลางแห่งโลกเก่า(Old Earth), พื้นที่วางไข่แห่งศาสนมารดาทั้งหลาย(spawning ground of mother religions). พวกเขาพบกัน “ในความเชื่อทั่วไปที่ว่ามีการดำรงอยู่ของ เทวะธาตุ(a Divine Essence)ในเอกภพ(the universe).” ทุกศาสน์ศรัทธาที่มีสาวกมากกว่าหนึ่งล้านถูกตั้งให้มีผู้แทน, และพวกเขาได้เอื้อมไปถึงข้อตกลงในฉับพลันอันน่าแปลกใจกับแถลงการณ์แห่งเป้าหมายทั่วไปของพวกเขา.

         “เรามาอยู่ในที่นี้เพื่อปลดเอาอาวุธเบื้องต้นออกไปจากมือทั้งหลายของผู้ขัดแย้งทางลัทธิศาสน์ทั้งหลาย. อาวุธนั้น---คือคำอ้างต่อการเป็นเจ้าของครอบครองซึ่งเอกะวิวรณ์(the one and only revelation - การเผยออกของพระเจ้าต่อมนุษย์)ว่าคือของตน.”

         ความปลื้มปีติกับ “สัญญานแห่งข้อตกลงร่วมกันอันลึกซึ้ง”นี้ พิสูจน์ถึงความมีวุฒิภาวะ. ในมากกว่าหนึ่งปีมาตรฐาน(a standard year), แถลงการณ์นั้นเป็นแค่เพียงการประกาศเดียวเท่านั้นจาก ก.ส.ป.(C.E.T.). คนพูดกันอย่างขมขื่นถึงความเลื่อนล่าช้านั้น. เหล่าวณิพกประพันธ์เพลงทั้งหลายเหน็บกัดอย่างหลักแหลมเกี่ยวกับเจ้าหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด “แก่สุดประหลาด” ที่เป็นผู้แทน ก.ส.ป. กลายมาถูกเรียกเช่นนั้น. (ชื่อนี้เกิดขึ้นมาจากตลกลามกซึ่งเล่นกันกับมุขคำย่อของชื่อและเรียกผู้แทนเหล่านั้นว่า “ตัวประหลาด-โคตร-ติ่ง”) หนึ่งในเพลงทั้งหลาย, “นอนตัวเกรียม(Brown Repose)” ได้ผ่านเลยยุคช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูมาอย่างยากลำบากและมีชื่อเสียงโด่งดังจนมาถึงวันนี้:

         “คิดซะว่าพักซะผ่อน.

         นอนจนตัวเกรียมไหม้---และ

         เศร้าสังเวชใจ

         ในบรรดาทั้งหมดเหล่า

         เฒ่าประหลาด! ทั้งหมดเหล่า เฒ่าประหลาด!

         ช่างขลาดคร้าน---ช่างขลาดคร้าน

         ผ่านวานวันเราท่านไป.

         เวลาได้สั่นกระดิ่งเรียกหา

         ท,เจ้าข้า แซนวิชเอ๊ย!

         คำเล่าลือในบางโอกาสรั่วออกมาจากการประชุมของ ก.ส.ป.. มันได้ถูกพูดกันว่าพวกเขากลังเปรียบเทียบคัมภีร์ทั้งหลายและ, อย่างขาดความรับผิดชอบ, คัมภีร์เหล่านั้นได้มีชื่อเสียง. คำเล่าลือเยี่ยงนั้นยั่วยุปลุกเร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้เกิดการจลาจลต่อต้านความเชื่อลัทธิศาสน์ทั้งหลายและ, แน่นอนว่า, บันดาลใจให้เกิดคำคมเล่นลิ้นใหม่ๆขึ้น.

         สองปีผ่านไป.....สามปี.

         คณะกรรมาธิการนั้น, เก้าจากจำนวนแรกเริ่มของพวกเขาได้เสียชีวิตและได้ถูกแทนที่, ได้หยุดลงเพื่อเฝ้ารอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการของการแทนที่ตำแหน่งนั้นและได้ประกาศว่าพวกเขาได้ออกแรงในการที่จะผลิตสร้างคัมภีร์หนึ่ง, ชำระสะสางเอาสิ่งบางอย่างออกไปที่เป็น “ทั้งหมดของอาการป่วยไข้ทั้งหลาย” ของลัทธิศาสน์ทั้งหลายในอดีต.

         “เรากำลังผลิตสร้างเครื่องมือหนึ่งแห่งความรัก(an instrument of Love)ที่จะถูกมีบทบาทในทุกวิถีทั้งหลาย,” พวกเขาบอก.

         หลายคนพิจารณาว่ามันแปลกทีแถลงการณ์นี้ปลุกเร้ายั่วยุการะบาดอย่างเลวร้ายของความรุนแรงต่อต้านลัทธิสามัคคีความเชื่อในศาสนานี้. ยี่สิบผู้แทนได้ถูกเรียกกลับโดยกลุ่มลัทธิศาสน์ทั้งหลายของพวกตน. หนึ่งนั้นได้ฆ่าตัวตายโดยการขโมยยานรบฟรีเกตอวกาศและขับมันตรงเข้าไปในดวงอาทิตย์.

         นักประวัติศาสตร์ประมาณว่าการจลาจลทั้งหลายนั้นเอาชีวิตไปแปดสิบล้านคน. นี้เป็นผลออกมาได้ราวหกพันกับแต่ละพิภพในตอนนั้นที่อยู่ใน สมาพันธ์ แลนด์สราอาด(the Landsraad League). การพิจารณาถึงวันเวลาของความไม่สงบนั้น, นี้อาจะไม่เป็นการประมาณที่มากเกินไปกว่าที่จะรับได้, ถึงแม้ว่าการเสแสร้งอ้างต่อความละเอียดถูกต้องจริงในการคาดคะเนใดก็ต้องเป็นเช่นนั้น---การเสแสร้ง. การสื่อสารระหว่างพิภพทั้งหลายอยู่ที่หนึ่งในความเสื่อมถอยทั้งหลายซึ่งลงต่ำที่สุดของมัน.

         วณิพกทั้งหลายค่อนข้างอย่างเป็นธรรมชาติ, มีวันแห่งความหรรษากัน. ดนตรีตลกที่รู้จักกันแพร่หลายหนึ่งของยุคนั้นโดยทำเป็นมีหนึ่งในผู้แทนแห่ง ก.ส.ป. นั่งอยู่บนชายหาดทรายสีขาวภายใต้ต้นปาล์มกำลังร้องเพลงว่า:

         “เพื่อ พระเจ้า, ผู้หญิงและความงดงามแห่งรัก

         เราอืดอาดนักพักหยอกกันที่นี่ไม่มีกลัวหรือใส่ใย

         วณิพกเอ๋ย! วณิพกเอ๋ย! ร้องไปในทำนองอื่นเหอะ

         เพื่อ พระเจ้า, ผู้หญิงและความงดงามแห่งรัก!

         จลาจลทั้งหลายและตลกเป็นก็แต่อาการของโรคทั้งหลายแห่งยุคสมัย, เผยออกมาอย่างลึกซึ้ง. พวกเขาทรยศในอารมณ์สีสันแห่งจิตวิทยา, ความไม่แน่นอนทั้งหลายอย่างลึก.....และการดิ้นรนเพื่อบางอย่างที่ดีกว่า, บวกกับความหวาดกลัวว่าไม่มีอะไรจะออกมาจากมันทั้งหมดเลย.

         เขื่อนกั้นใหญ่หลักต่ออนาธิปไตยในเวลาทั้งหลายเหล่านี้คือตัวอ่อน(embryo)กิลด์, เบเน เกสเสอริต(the Bene Gesserit)และ แลนด์สราอาด(the Landsraad), ที่ดำเนินการ 2,000 บันทึกของการประชุมของมันทั้งที่มีอุปสรรคร้ายรุนแรงที่สุด. ส่วนของกิลด์นั้นปรากฏได้ชัดเจน: พวกเขาบริการขนส่งให้เปล่าแก่บรรดาธุรกิจงานของแลนด์สราอาดและ ก.ส.ป.ทั้งหมด. บทบาทของ เบเน เกสเสอริต นั้นคลุมเครืออำพรางมากกว่า. อย่างแน่นอน, นี่คือวันเวลาซึ่งพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวในสิ่งที่พวกเขายึดถืออยู่กับแม่มดเรืองเวทย์ทั้งหลาย, เปิดค้นเสาะหาสารเสพย์ติดอันละเอียดลึกล้ำทั้งหลาย, พัฒนาการฝึกฝนปฏิบัติปราณ-พินฑุและตั้งครรภ์ซึ่ง มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา(the Missionaria Protectiva), อาวุธดำนั้นแห่งไสยเวทย์. แต่มันก็เป็นช่วงคาบเวลาด้วยเช่นกันที่มองเห็นการประกอบกันเข้าของบทสวด(the Litany)ต้านความหวาดกลัว

(against Fear)และการสมาคมของอาซฮาร์ บุ๊ค(the Azhar Book*), ที่รวบรวมสิ่งมหัศจรรย์ตามบรรณานุกรมซึ่งสงวนไว้ซึ่งความลับทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ของศรัทธาความเชื่อโบราณ.

         * https://dune.fandom.com/wiki/Azhar_Book

         การวิจารณ์ของอิงค์สลีย์(Ingsley’s comment)บางทีคือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น.

         “นั้นคือวันเวลาแห่งปฏิทรรศน์เบื้องลึก(deep paradox).”

         เกือบเจ็ดปี, แล้ว, ก.ส.ป. ได้ออกแรง. และเมื่อการฉลองครบรอบที่เจ็ดเข้ามาถึง, พวกเขาได้เตรียมพร้อมเอกภพมนุษย์สำหรับการประกาศอันวิกฤตสำคัญ. ในงานเฉลิมฉลองครบรอบเจ็ดปี, พวกเขาได้เผยออกซึ่ง คัมภีร์ไบเบิ้ล โอเรนจ์ แคธอลิค(the Orange Catholic Bible).

         “นี่คืองานด้วยเกียรติสง่างามและความมุ่งหมายสำคัญ,” พวกเขาบอก. “นี่คือวิถีทางที่จะสร้างมนุษยชาติได้ตระหนักรู้ถึงตนเองดังเช่นสิ่งรังสรรค์สูงสุดยอดแห่งพระเจ้า(a total creation of God).

         คนของ ก.ส.ป. ก็เปรียบเสมือนกับนักโบราณคดีทางความคิดทั้งหลาย, ได้รับแรงดาลใจโดยพระเจ้า(God)ในการฟื้นคืนค้นพบอันสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่. มันถูกกล่าวกันว่าพวกเขาได้นำออกมาสู่แสงสว่างซึ่ง “พลังชีวิตแห่งอุดมคติยิ่งใหญ่ที่ถูกซ้อนทับโดยสิ่งทับถมทั้งหลายมาหลายศตวรรษ,” ว่าพวกเขาได้ “เหลาฝนคมให้กับสิ่งจำเป็นสำคัญทางศีลธรรมทั้งหลายที่ออกมาจากสัมปชัญญะในลัทธิศาสน์.

         ด้วย โอ. ซี. ไบเบิ้ล, ก.ส.ป.ได้นำเสนอคู่มือ พิธีกรรม(the Liturgical Manual)และอรรถกถาทั้งหลาย(the Commentaries)---ในมากมายความเคารพนับถือในงานที่น่าจดจำยิ่ง. ไม่เพียงแค่เพราะความสั้นกระชับของมัน(น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดของ โอ. ซี. ไบเบิ้ล), แต่ยังเพราะความตรงไปตรงมาของมันแล้น้อมกลมกล่อมด้วยความเวทนา-ในตนและคุณธรรม-ในตน.

         การเริ่มต้นนั้นเผยตัวตนปรากฏชัดเจนต่อผู้ปกครองที่ไร้ความเชื่อว่ามีพระเจ้าทั้งหลาย.

         “คนค้นพบว่าไม่มีคำตอบใดต่อสุนหน่าน(sunnan*)[หนึ่งหมื่นคำถามทางลัทธิศาสน์จากชาริ-อะฮ์(the Shari-ah*)] ตอนนี้ได้ประยุกต์เหตุผลของพวกเขาเอง. คนทัเงหมดเสาะหาที่จะเป็นผู้บรรลุปัญญา. ล้ทธิศาสน์นั้นเป็นแค่มากที่สุดแห่งวิถีอันโบราณและทรงเกียรติที่คนเราได้มานะพากเพียรที่จะสร้างสัมผัสรู้ต่อเอกภพแห่งพระเจ้า(God’s universe). นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเสาะหาความสมบูรณ์ของกฎของเหตุการณ์ทั้งหลาย. มันเป็นภารกิจของลัทธิศาสน์(Religion)ในการที่จะเอามนุษย์เข้าไปให้เหมาะกับกฎอันสมบูรณ์นี้(this lawfulness)นั้น.

         ในบทสรุปของพวกเขา, กระนั้น, อรรถกถาทั้งหลายจัดวางคำขู่กรรโชก(a harsh tone) ที่เป็นเช่นอย่างยิ่งเหมือนทำนายชะตากรรมของพวกเขา.

         “เป็นอันมากที่เรียกกันว่า ลัทธิศาสน์ นั้นได้นำพามาซึ่งทัศคติที่ไร้จิตสำนึกของความมุ่งร้ายต่อชีวิต. ลัทธิศาสน์ที่แท้สัจจริงต้องสอนว่าชีวิตนั้นถูกเติมเต็มด้วยความปีติยินดีมีสุขต่อพระเนตรของพระเจ้า(God), ว่าความรู้ที่ปราศจากการกระทำนั้นคือความว่างเปล่า. มนุษย์ทกคนต้องมองเห็นว่าการสอนถึงลัทธิศาสน์โดยกฏวินัย และ ท่องจำ นั้นคือสิ่งหลอกลวงอันมหึมา. การสอนที่เหมาะสมคือต้องให้ตระหนักรู้ได้ง่าย. เจ้าไม่สามารถรู้มันโดยปราศจากการล้มเหลวก็เพราะมันเป็นการตื่นขึ้นมาภายในของตัวเจ้าว่าผัสสาการ(sensation)นั้นคือสิ่งที่บอกต่อเจ้าว่านี้เป็นอะไรบางอย่างที่เจ้าได้รู้จักดีมาตลอดเสมอ.”

         มีสัมผัสรู้ที่แปลกของความสงบขณะที่สิ่งพิมพ์ทั้งหลายและเครื่องถ่ายอัดสำเนาชิกาไวริ์(shigawire* imprinters)ทั้งหลายหมุนกลิ้งไปและ โอ.ซี.ไบเบิ้ล(O.C. Bible)แพร่กระจาย

         * https://dune.fandom.com/wiki/Shigawire

ออกไปผ่านทั่วพิภพทั้งหลาย. บางอันก็ถูกแปลถ่ายทอดสิ่งนี้เป็นเช่นเครื่องหมายของพระเจ้า(God), คือนิมิตแห่งความเป็นหนึ่งเดียว(an omen of unity).

         แต่แม้กระทั่งผู้แทน ก.ส.ป.(คณะกรรมาธิการ แห่ง สัมพันธภาพผู้แปลถ่ายทอดลัทธิศาสน์ทั้งหลาย(the Commission of Ecumenical Translators – C.E.T.)ก็ทรยศต่อนวนิยายของความสงบนั้นเมื่อพวกเขาได้กลับคืนไปสู่กลุ่มคนเชื่อถือลัทธิศาสน์ของพวกเขาเองอีกครั้ง. สิบแปดคนในพวกเขาได้ถูกจับแขวนคอภายในเวลาสองเดือน. ห้าสิบสามคนกลับคำพูดและถอนตัวภายในเวลาหนึ่งปี.

         คัมภีร์ โอ.ซี. บเบิ้ล ได้ถูกประกาศยกเลิกว่าเป็นงานที่ผลิตสร้างโดย “การหลงผิดของเหตุผล”. มันถูกบอกว่าแผ่นหน้าทั้งหลายของมันถูกเติมเต็มด้วยความหลอกลวงล่อความสนใจแห่งตรรกะ. การปรับปรุงแก้ไขใหม่ทั้งหลายที่จัดหาให้ต่อทิฐิมานะดื้อรั้นอันโด่งดังเริ่มต้นปรากฏให้เห็น. การแก้ไขเหล่านี้เอนพิงเข้ากับสัญลักษณ์นิยมที่ถูกยอมรับกันทั้งหลาย(กางเขน(Cross), เดือนเสี้ยว(Crest), เครื่องเขย่าขนนก(Feather Rattle), สิบสองนักบุญ(Twelve Saints), พุทธบาง(the thin Buddha), และอะไรเหมือนเช่นนั้น)และมันในไม่ช้าได้กลายเป็นการปรากฏออกมาว่าความงมงายและความเชื่อถือโชคลางโบราณทั้งหลายได้ไม่ถูกดูดซับออกไปโดยลัทธิสามัคคีศาสน์ใหม่.

         ตราประทับของฮอลโลว์เวย์ สำหรับ ก.ส.ป. เจ็ดปีในความพยายาม---“กอล-นิยัตินิยมวิภาษวิธี(Gal-actophasic Determinism)” ---ถูกฉกขึ้นมาโดยผู้กระหายหลายพันล้านที่ตีความแรกเริ่มของอักษรย่อ พ.จ.(G.D.) ว่าคือ “พ่อ-เจ้าอ่ะแหละ (God-Damned).”

         ประธาน ก.ส.ป. ตูวริ์ โบโมโก(C.E.T. Chairman Toure Bokomo), อุลิมะ แห่ง เซ็นสุนหนี่(a Ulema of Zensunni)และหนึ่งในสิบสี่ผู้แทนผู้ที่ไม่มีวันกลับคำ(“สิบสี่ ปราชญ์ – The Fourteen Sages” แห่งประวัติศาสตร์อันโด่งดัง), ได้ปรากฏที่จะยอมรับในท้ายสุดว่า ก.ส.ป.(the C.E.T.)มีข้อผิดพลาด.

         “เราไม่ควรพยายามที่จะสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาใหม่ทั้งหลาย,” เขาพูด. “เราน่าจะได้จระหนักรู้ว่าเราไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะเสริมเพิ่มความไม่มั่นคลุมเครือทั้งหลายเข้าไปสู่ความเชื่อที่ได้ยอมรับกันแล้ว, ว่าเราไม่ได้ถูกคาดหวังที่จะผสมความอยากรู้อยากเนทั้งหลายคละคนเข้ากันเกี่ยวกับพระเจ้า(God). เราได้ถูกประจันหน้ารายวันโดยความไม่มีเสถียรภาพอันน่าสะพรึงกลัวของทั้งหมดทุกสิ่งมนุษย์, กระนั้นเราก็ยินยอมอนุญาตให้ความเชื่อในลัทธิศาสน์ของเราที่จะเติบโตแข็งตัวยิ่งขึ้นและได้ควบคุม, มากยิ่งขึ้นกับการให้ปฏิบัติตามและการกดขี่ข่มเหง. อะไรคือที่เงานี้พาดข้ามผ่านทางสายใหญ่ของ คำบัญชาจากสวรรค์(Divine Command)หรือ? มันคือคำเตือนว่าสถาบันทั้งหลายนั้นยืนหยัดคงทน, สัญลักษณ์ทั้งหลายนั้นยืนหยัดคงทนเมื่อความหมายของพวกเขาได้สูญหายไป, ว่าไม่มีข้อสรุปใดได้จากทั้งหมดของความรู้ ที่สามารถเข้าถึงได้.”

         ขอบริมขื่นขมสองเท่าใน “การประกาศยอมรับ”นี้ไม่ได้หลบหนีจากคำวิพากษ์ของโบโมโกและเขาถูกบีบบังคับในไม่ช้าภายหลังจากนั้นให้เผ่นหนีเข้าไปในการเนรเทศ, ชีวิตของเขาได้รับอุปถัมภ์จากสัญญาประกันของกิลด์แห่งการเก็บความลับ. เขาถูกรายงานว่าเสียชีวิตที่บนทูไพลิ์(Tupile), ได้รับเกียรติยกย่องและเป็นที่รัก, คำพูดสุดท้ายของเขาคือ “ลัทธิศาสน์ต้องธำรงไว้เป็นซึ่งช่องระบายสำหรับผู้คนผู้พูดกับตัวพวกเขาว่า ข้าไม่ได้เป็นคนประเภทที่ข้าต้องการจะเป็น. มันต้องไม่มีวันจมลงไปสู่การชุมนุมรวบรวมกันของความพึงพอใจของตนเอง.”

         มันเป็นความสบายใจที่จะคิดว่าโบโมโกได้เข้าใจถึงคำพยากรณ์ในคำพูดนั้นของเขาว่า: “สถาบันทั้งหลายยืนหยัดคงทน.”อเก้าสิบชั่วรุ่นอายุทั้งหลายถัดมาในภายหลัง, คัมภีร์โอ.ซี. ไบเบิ้ล และ อรรถกถาทั้งหลายได้แผ่ซ่านทั่วเอกภพลัทธิศาสน์.

         เมื่อ พอล มวดดิบ(Paul Muad’dib)ยืนพร้อมด้วยมือขวาของเขาวางอยู่บนสถูปหินที่ก่อหุ้มกะโหลกศีรษะของบิดาเขา(มือขวาแห่งการประทานพร, ไม่ใช่มือซ้ายแห่งการสาปแช่ง)เขาได้อ้างคำต่อคำจาก “มรดกของโบโมโก” ---

         “เจ้าผู้ได้ชัยชนะเราจงบอกกับตัวเจ้าเองเถิดว่า บาบีโลน(Babylon) นั้นได้ล่มสลายและผลงานทั้งหลายของมันได้ถูกพลิกคว่ำทะลายลง. ข้าบอกต่อเจ้ากระนั้นคนผู้นั้นก็ยังคงดำรงอยู่กับความทรมานเจ็บปวด, แต่ละคนในอู่คอกจำเลยของตนเอง. แต่ละคนนั้นคือเศษเล็กของสงคราม.”

         ฟรีเมนพูดถึงมวดดิบว่าเขาเป็นเหมือนอาบู ซิเด(Abu Zide)ผู้ซึ่งยานรบฟรีเกตของเขาได้ท้าทายฝ่าฝืนต่อกิลด์และขับออกไปในวันหนึ่งยังที่นั้นและกลับมา. ที่นั้นใช้ในวิธีนี้เพื่อแปลโดยตรงจากเทวตำนานของฟรีเมนในฐานที่เป็นแผ่นดินแห่งจิตวิญญาณ-รูฮ์(the land of ruh-spirit), อลาม-อัล-มิธัล(the alam al-mithal)ที่ซึ่งข้อจำกัดทั้งหลายได้ถูกยกย้ายออกไปสิ้น.

         คู่ขนานระหว่างผู้นี้และ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค(the Kwisatz Haderach)นั้นได้เห็นกันพร้อมแล้ว. ควิทสาตซ์ ฮาเดรัคนั้นคณะชีภคินีได้เสาะหาผ่านโครงงานผสมสายพันธุ์ของมันได้ถูกแปลความหมายว่าเป็น “หนทางลัดสั้นของวิถี(The Shortening of the way)” หรือ “เอกบุรุษผู้สามารถอยู่ในสองแห่งหนในขณะเดียวกัน.”

         แต่ทั้งสองของการแปลความหมายนี้สามารถถูกแสดงถึงรากเหง้าต้นกำเนิดได้จากบทอรรถกถาทั้งหลายนั้น(the Commentaries): “เมื่อภาระหน้าที่ของกฎหมายและลัทธิศาสน์เป็นหนึ่งเดียวกัน, ของเจ้าก็แทบจะโอบรอบเอกภพนั้น.”

         กับตัวเขาเอง, มวดดิบพูดว่า: “ขาคือแหอวนในทะเลแห่งกาลเวลา(a net in the sea of time), อิสระที่จะลากกวาดเอาอนาคตและอดีต. ข้าเป็นเนื้อเยื่อเคลื่อนที่ไปจากผู้ซึ่งความเป็นไปได้สามารถหนีหลุดออกมาได้.”

         ความคิดเหล่านี้ทั้งหมดต่างเป็นเอกะและเดียวกันและพวกเขาตั้งใจสดับต่อ 22 คาลิมะ(22 Kalima)ในคัมภีร์ โอ.ซี. ไบเบิ้ล(the O.C. Bible)ที่ซึ่งได้บอกไว้ว่า: “ไม่ว่าความหนึ่งจะได้ถูกเอ่ยออกมาหรือไม่ มันก็คือสิ่งสัจจริงและมีพลังอำนาจแห่งความสัจจริง.”

         มันเป็นเมื่อเราได้เข้าไปสู่อรรถกถาทั้งหลายของมวดดิบเองใน “เสาหลักค้ำจักรวาล(The Pillars of the Universe)” ดังที่ถูกตีความหมายโดยพระผู้ศักดิ์ของเขา, ค๊ซาระ ทาวิด(the Qizara Tafwid), ที่เราเห็นหนี้สินแท้จริงต่อ ก.ส.ป.(C.E.T.)และฟรีเมน-เซนสุนหนี่(Fremen-Zensunni).

         มวดดิบ: “กฎหมายและหน้าที่คือหนึ่งเดียว; จงให้มันเป็นเช่นนั้น. แต่จำเอาไว้ถึงข้อจำกัดทั้งหลายเหล่านี้---กระนั้นพวกเจ้าจะยังไม่มีวันมีสัมปชัญญะในตนอย่างเต็มเปี่ยม. กระนั้นเจ้าจะยังคงหมกจุ่มอยู่ในระเบียบการสาธารณะ(the communal tau). กระนั้นเจ้าก็ยังจะเป็นน้อยลงยิ่งกว่าความเป็นปัจเจกชน.”

         โอ.ซี. ไบเบิ้ล: มีคำพูดอย่างเดียวกัน. (วิวรณ์ 61)

         มวดดิบ: “ลัทธิศาสน์บ่อยครั้งที่มีส่วนในไสยเวทย์ของกระบวนการที่ปิดบังพวกเราจากความน่าสะพรึงกลัวของอนาคตอันไม่แน่ชัด.”

         อรรถกถาทั้งหลายของ ก.ส.ป.(C.E.T. Commentaries): มีคำพูดอย่างเดียวกัน. (คัมภีร์ อาชาร์(the Azhar Book* สืบตามร่องรอยคำกล่าวนี้ไปยังศตวรรษแรกขอผู้เขียนลัทธิศาสน์, เนชู(Neshou), ผ่านการถอดความหนึ่ง.)

         มวดดิบ: “ถ้าเด็กหนึ่ง, บุคคลผู้มิได้รับการอบรมหนึ่ง, บุคคลผู้มีอวิชชาหนึ่ง, หรือบุคคลผู้ขาดสติหนึ่งได้กระตุ้นก่อกวนความเดือดร้อนวุ่นวาย, มันเป็นข้อผิดพลาดบกพร่องของผู้มีอำนาจที่ไม่คาดการณ์ล่วงหน้าและป้องกันต่อความเดือดร้อนยุ่งยากวุ่นวายนั้น.”

         โอ.ซี. ไบเบิ้ล: “บาปใดก็ตามนั้นสามารถถูกอ้างสันนิษฐานได้, อย่างน้อยที่สุดในการมีส่วน, ว่าเป็นนิสัยชั่วร้ายตามธรรมชาติที่มีโอกาสที่จะบรรเทาลดน้อยลงอันสามารถยอมรับได้ต่อพระเจ้า(God).” (คัมภีร์ อาซาร์ สืบตามรอยนี้ยังเซมิติค ตาวราโบราณ[the Semitic Tawra]).”

         มวดดิบ: “จงเอื้อมมือของสูเจ้าไปเบื้องหน้าและกินอะไรที่พระเจ้า(God)ได้ประทานมาในที่นั้น; และเมื่อสูเจ้าถูกเติมเต็มใหม่แล้ว, จงสรรเสริญต่อพระองค์(Lord).”

         โอ.ซี. ไบเบิ้ล: แปลความอันหนึ่งในความหมายเดียวกัน. (คัมภีร์ อาซาร์[the Azhar Book], สืบตามรอยนี้ต่างไปในรูปเรียงเล็กน้อยยังอิสลาม ลำดับแรก(First Islam.)

         มวดดิบ: “ความเมตตา คือการเริ่มต้นของความโหดร้าย.”

         ฟรีเมน คิตาบ อัล-อิบาร์: “ภาระหนักของพระเจ้า(God)ผู้ทรงเมตตานั้น คือสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยม. พระเจ้า(Godไม่ได้ประทานดวงอาทิตย์ที่กำลังลุกไหม้แก่เราหรือ(อัล-ลัต[Al-Lat]? พระเจ้า(God)ไม่ได้ประทานพระมารดาแห่งความชุ่มชื้น[the Mother of Moisture](แม่อธิการ – Reverend Mother)แก่เราหรือ? พระเจ้า(God)ไม่ได้ประทานไชตาน[Shaitan*](อิบลิส[Iblis], ซาตาน[Satan]แก่เราหรือ? จากไชตาน[Shaitan]เราไม่ได้รับความเจ็บปวดอย่างเต็มเปี่ยมแห่งความรวดเร็ว(the hurtfulness of speed)หรือ?

         (นี้เป็นแหล่งกำเนิดที่ชนฟรีเมนพูดว่า: “ความรวดเร็ว(speed - ความเจริญ) มาจากไชตาน(Shaitan - ซาตาน).” พิจารณาว่า: สำหรับทุกหนึ่งร้อยแคลอรี่(calories - หน่วยวัดพลังงานจากอาหาร)ของความร้อน(heat)ที่ผลิตขึ้นโดยการออกกำลังกาย[speed] ร่างกายนั้นก็ระเหยความชื้นออกมาราวหกออนซ์(six ounces)ของเหงื่อ. คำศัพท์ของฟรีเมนสำหรับเหงื่อคือ บัคคา(bakka)หรือ น้ำตา(tears)และ, ในการออกเสียงหนึ่งนั้น, แปลความได้ว่า: “คือ แก่นของชีวิตที่ไชตาน(Shaitan - ซาตาน)บีบคั้นออกมาจากจิตวิญญาณของเจ้า.”

         การมาถึงของมวดดิบถูกเรียกว่า “ถูกลัทธิศาสน์ ถูกกาละ(timely - ถูกเวลา)” โดย โคนีย์เวลล์(Koneywell), แต่จังหวะเวลานั้นมีผลเพียงน้อยนิดกับมัน. ดังเช่นที่มวดดิบพูดด้วยตนเองว่า: “ข้าอยู่ที่นี่, ดังนั้น.....”

         มันเป็น, อย่างไรก็ตาม, สิ่งสำคัญมากกับการเข้าใจถึงผลกระทบเชิงลัทธิศาสน์ของมวดดิบที่คุณไม่มีวันสูญเสียภาพทัศน์ของหนึ่งความสัจจริงที่ว่า: ฟรีเมนนั้นเป็นชนทะเลทรายผู้บรรพบุรุษทั้งปวงได้คุ้นเคยต่อภูมิประเทศอันแห้งแล้งไม่เป็นมิตร. ลัทธิเวทย์มนตร์ไม่ได้ยุ่งยากลำบากเมื่อคุณรอดชีวิตในแต่ละวินาทีโดยไม่เอาชนะความไม่เป็นมิตรในที่เปิดโล่งนั้น. “เจ้าอยู่ที่นั้น---ดังนั้น.....”

         ด้วยจารีตธรรมเนียมเช่นนั้น, ความทุกข์ยากได้ถูกยอมรับ---บางทีเช่นการลงทัณฑ์อย่างไม่รู้สึกตัว, แต่ยอมรับ. และมันก็ได้ถูกสังเกตบันทึกไว้อย่างดีว่าพิธีกรรมฟรีเมนให้อิสรภาพเกือบจะโดยสมบูรณ์จากความรู้สึกผิด. ไม่มีความจำเป็นใดเพราะว่ากฏของพวกเขาและลัทธิศาสน์เหมือนตรงกัน, ทำการไม่เชื่อคือบาป. มันเหมือนว่าใกล้ยิ่งขึ้นต่อเครื่องหมายนั้นที่จะบอกว่าพวกเขาชำระล้างตนเองจากความรู้สึกผิดอย่างง่ายดายเพราะทุกวันของพวกเขาที่ดำรงชีวิตอยู่เรียกร้องซึ่งการพิพากษาอย่างโหดร้าย(บ่อยครั้งถึงตาย)ทีซึ่งในแผ่นดินที่อ่อนโยนกว่าจะทำให้ยุ่งยากยิ่งกว่ากับคนด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทนทานได้.

         นี้เป็นเหมือนกับว่าหนึ่งในรากทั้งหลายของฟรีเมนมุ่งเน้นกับความเชื่อเหนือจริง(เมินเฉยต่อการดูแลช่วยเหลือของมิชชั่นนาเรีย โพเท็คติวา(the Missionaria Protectiva). จะสำคัญอะไรที่เสียงกระซิบของทรายทั้งหลายคือลางบอกเหตุอย่างหนึ่ง? จะสำคัญอะไรที่เจ้าต้องทำเครื่องหมายของกำปั้นเมื่อครั้งแรกที่คุณได้เห็นพระจันทร์ แรก? เนื้อหนังของคนคือของเขาเองและน้ำของเขาเป็นของเผ่า---และความลี้ลับของชีวิตก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่จะคลี่คลายนอกไปจากความสัจจริง(a reality)ที่จะประสบรับรู้. ลางบอกเหตุทั้งหลายช่วยเจ้าในเรื่องนี้. และเพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่(here), เพราะว่าเจ้ามีซึ่งลัทธิศาสน์, ชัยชนะไม่สามารถหลบเลี่ยงหนีเจ้าไปได้ในท้ายสุด.

         ขณะที่เบเน เกสเสอริต ได้สอนมาหลายศตวรรษ, นานก่อนที่พวกเขาวิ่งไปปะทะพัวพันกับชนฟรีเมน.

         “เมื่อลัทธิศาสน์และการเมืองขี่อยู่บนเกวียนเดียวกัน, เมื่อเกวียนนั้นถูกขับขี่โดยผู้ศักดิ์สิทธิ์(baraka* - ผู้เรืองเวทย์), ไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนขวางเส้นทางของพวกเขาได้.”

         * https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย/ภาคผนวก 1: นิเวศวิทยา แห่ง ดูน

 

ภาคผนวก

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาคผนวก 1:  นิเวศวิทยา แห่ง ดูน

 

  โพ้นเลยไปจากจุดวิกฤตภายในอวกาศจำกัดขอบเขต, อิสรภาพถูกทำให้ลดน้อยลงในขณะที่ตัวเลขเพิ่มขึ้น. นี้เป็นสัจจริงของมนุษย์ทั้งหลายในอวกาศที่จำกัดขอบเขตของระบบนิเวศดาวเคราะห์เช่นที่มันเป็นโมเลกุลเยี่ยงก๊าซทั้งหลายในขวดแก้วปิดผนึก. คำถามของมนุษย์ไม่ใช่ว่ามีอยู่มากมายเท่าใดซึ่งสามารถเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตภายในระบบนั้น, แต่คือประเภทไหนของสิ่งมีชีวิตที่เป็นไปได้สำหรับเหล่าผู้ที่รอดชีวิต.

         ---ปาร์โดต์ คายนิ์ส, นักพิภพนิเวศวิทยา คนแรก แห่ง อาราคิส

         ผลกระทบของอาร์ราคิสกับจิตใจของผู้มาใหม่โดยทั่วไปแล้วก็คือดินแดนที่ทรงพลังความแห้งแล้งอย่างท่วมท้น. ผู้แปลกถิ่นอาจจะไม่คิดอะไรนักสามารถมีชีวิตอยู่และเจริญเติบโตได้ในที่เปิดโล่งกลางแจ้งนี้, ว่านี้เป็นแผ่นดินรกร้างแท้จริงซึ่งไม่เคยได้มีความอุดมสมบูรณ์และไม่มีวันจะเป็น.

         สำหรับปาร์โดต์ คายนิ์ส, พิภพนี้แทบจะเป็นการแสดงออกถึงพลังงาน, เครื่องจักรกลหนึ่งที่ถูกขับเคลื่อนโดยดวงอาทิตย์ของมัน. อะไรที่มันจำเป็นต้องการคือการเปลี่ยนแปลงรูปใหม่ให้เหมาะกับความจำเป็นต้องการทั้งหลายของมนุษย์. จิตใจของเขาตรงไปยังประชากรมนุษย์ที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ, ฟรีเมน. ช่างเป็นการท้าทายยิ่ง! ช่างคือเครื่องมืออย่างยิ่งที่พวกเขาเป็น! ฟรีเมน: กองกำลังทางนิเวศวิทยาและธรณีวิทยาแห่งศักยภาพอันเกือบไร้ขีดจำกัด.

         คนตรงและเรียบง่ายในมากมายหลายหนทาง, ปาร์โดต์ คายนิ์ส. ผู้ต้องหลีกหนีการควบคุมบังคับฮาร์คอนเนน? ดีเลิศ. แล้วผู้แต่งงานกับหญิงฟรีเมนหนึ่ง. เมื่อเธอให้บุตรชายฟรีเมนหนึ่งคนแก่เขา, คุณก็เริ่มต้นกับเขา, กับ เลียต-คายนิ์ส, และเด็กๆอื่น, การสอนพวกเขาถึงความรู้ในทางนิเวศวิทยา, การสร้างสรรค์ภาษาใหม่ด้วยสัญลักษณ์ทั้งหลายที่ติดอาวุธจิตใจที่จะจัดการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศทั้งปวงให้เหมาะสม, ภูมิอากาศของมัน, ข้อจำกัดทางฤดูกาลของมัน, และในท้ายสุดที่จะพังทะลุผ่านความคิดทั้งหมดของแรงกำลังเข้าไปสู่สัมปชัญญะอันพิศวงงงงวยแห่งคำบัญชา(order).

         “มีความงดงามที่ได้สำนึกรู้อยู่ภายในของการเคลื่อนไหวและสมดุลบนดาวเคราะห์ใดๆที่มีมนุษย์-แข็งแรง,” คายนิ์สพูด. “เจ้าเห็นในแก่นแท้ของอิทธิพลอันมีพลวัตรเสถียรงดงามต่อชีวิตทั้งหมด. เป้าหมายของมันนั้นเรียบง่าย: คือจะธำรงและผลิตสร้างรูปแบบทั้งหลายที่ถูกทำงานไปพร้อมกันของความหลากหลายทางชีวภาพอันยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นและยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น. ชีวิตปรับปรุงความสามารถทางกายและจิตใจของระบบที่ถูกปิดเพื่อจรรโลงชีวิต. ชีวิต---ชีวิตทั้งหมด---อยู่ในการรับใช้ของชีวิต. ธาตุอาหารที่จำเป็นถูกทำให้สามารถหาได้ต่อชีวิตโดยชีวิตในความอุดมสมบูรณ์อันยิ่งใหญ่และยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นดังที่การเพิ่มขึ้นทั้งของความหลากหลายของชีวิต. ภูมิประเทศทั้งปวงได้มีชีวิตขึ้น, เติมเต็มด้วยสัมพันธภาพและสัมพันธภาพทั้งหลายภายในสัมพันธภาพทั้งหลาย.

         นี่คือการบรรยายของปาร์โดต์ คายนิ์สต่อชั้นเรียนของโพรงสิฐคามหนึ่ง.

         ก่อนการบรรยายทั้งหลาย, กระนั้นด้วย, เขาต้องโน้มน้าวชักจูงชนฟรีเมน. ที่จะเข้าใจถึงสิ่งนี้ว่ามาเกี่ยวข้องอย่างไร, คุณต้องเข้าใจในคราแรกถึงเอกจิตอันมหาศาล, ความไร้เดียงสาที่เขาได้เข้าไปสู่กับปัญหาใดๆ. เขาไม่ใด้ไม่มีประสบการณ์, เขาแค่จะไม่ยินยอมให้ตนเองในสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว.

         เขาได้ออกสำรวจภูมิประเทศของอาร์ราคิสในรถภาคพื้นที่นั่งคนเดียวในตอนบ่ายร้อนวันหนึ่งเมื่อเขาพบโดยบังเอิญเข้ากับฉากทัศน์อันน่าสังเวชอันหนึ่ง. หกมือสังหารฮาร์คอนเนนส์, มีอาวุธเต็มมือและโล่ห์พลัง, ได้ดักจับวัยรุ่นฟรีเมนสามคนไว้ในที่โล่งหลังกำแพง โล่ห์พลังใกล้กับหมู่บ้านของวินด์แส็ค. กับคายนิ์สแล้ว, มันเป็นสงครามติ๊ง-ต๊อง, เป็นเรื่องตลกโปกฮามากกว่าแล้วกลายเป็นจริง, จนกระทั่งเขาเพ่งความสนใจไปบนความจริงที่ว่าพวกฮาร์คอนเนนส์นั้นตั้งใจที่จะฆ่าพวกฟรีเมน. ถึงตอนนี้, หนึ่งในวัยรุ่นได้ล้มลงไปด้วยหลอดเลือดแดงเสียหายหนัก, มือสังหารสองคนก็ล้มลงไปด้วยเช่นกัน, แต่มันยังคงเหลืออยู่อีกสี่คนอาวุธครบกับอีกฝ่ายสองวัยรุ่น.

         คายนิส์ไม่ใช่คนกล้า; เขาแค่มีเอกจิต – จิตใจยึดอยู่เรื่องเดียวและกลัวเกรงต่ออันตรายใด. พวกฮาร์คอนเนนส์กำลังฆ่าฟรีเมน. พวกเขากำลังทำลายเครื่องมือที่เขาได้ตั้งใจที่จะใช้ในการสร้างดาวเคราะห์นี้ขึ้นใหม่! เขากดปุ่มเปิดโล่พลังของตนเอง, เดินลุยเข้าไปและล้มสองฮาร์คอนเนนส์ด้วยการลอบกัดก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวว่ามีใครคนใดอยู่ข้างหลังพวกตน. เขาหลบมีดดาบที่แทงเข้ามาจากหนึ่งในคนอื่นๆ, เขากรีดคอชายผู้นั้นด้วยกระบวนท่า อ็องเตรสซูริ์, และทิ้งมือสังหารที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวให้กับสองวัยรุ่นฟรีเมนนั้น, หันความสนใจเต็มที่ไปเพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ที่พื้นดิน. และการช่วยชีวิตหนุ่มนั้นของเขา.....ขณะที่ฮาร์คอนเนนส์คนที่หกถูกฆ่าทิ้งไป.

         บัดนี้ที่นี่ก็เป็นเช่นหลุมตัวอ่อนหนอนทราย(sandtrout*)แล้ว! พวกฟรีเมนไม่รู้ว่าทำอะไร

         * https://dune.fandom.com/wiki/Sandtrout

กับคายนิ์สดี. พวกนั้นรู้จักว่าเขาเป็นใคร, แน่นอนละ. ไม่มีใครมาถึงยังอาร์ราคิสโดยปราศจากแฟ้มข้อมูลเต็มที่เพื่อค้นหาหนทางของมันเข้าไปในที่มั่นป้อมปราการทั้งหลายของฟรีเมน. พวกนั้นรู้จักเขาดี: เขาคือข้าราชการแห่งจักรวรรดิ.

         แต่เขาได้ฆ่าฮาร์คอนเนนส์!

         ผู้ใหญ่ทั้งหลายอาจจะยักไหล่และ, ด้วยบางความรู้สึกเสียใจ, ส่งร่มเงาของเขานี้ไปร่วมกับหกคนที่ตายไปบนพื้นนั้น. แต่ฟรีเมนนี้เพิ่งมีประสบการณ์รับรับรู้ของวัยเยาว์และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้คือที่พวกเขาเป็นหนี้ข้าราชการแห่งจักรวรรดิผู้นี้เป็นบุญคุณถึงชีวิต.

         คายนิ์สติดอยู่สองวันต่อมาในสิฐคาม(sietch*)หนึ่งที่มองลงมาเห็นวินด์ พาส(Wind Pass).

         * https://dune.fandom.com/wiki/Sietch

สำหรับเขาแล้ว, มันทั้งหมดเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง. เขาพูดคุยกับพวกฟรีเมนเกี่ยวกับเรื่องน้ำ, เกี่ยวกับนูนทราย(dunes)ที่ถูกฝังสมอยึดไว้โดยหญ้า, เกี่ยวกับสวนปาล์มทั้งหลายที่เต็มไปด้วยอินทผาลัม(date palms), เกี่ยวกับคานัต(qanat*s – อุโมงค์ส่งน้ำโบราณ)ทั้งหลายที่ไหลข้ามผ่าน

         * https://hmong.in.th/wiki/Qanat

ทะเลทราย. เขาคุยแล้วก็คุยแล้วก็คุย.

         รายรอบเขาเกิดความดุเดือดขึ้นอย่างที่คายนิ์สไม่เคยพบเห็นมาก่อน. จะทำอะไรดีกับชายบ้าบอผู้นี้หรือ? เขารู้ถึงตำแหน่งแห่งหนของสิฐคามใหญ่หลักแห่งหนึ่งแล้ว. ทำอะไรดี? คำพูดอะไรทั้งหลายของเขา, ชายบ้าผู้นี้คุยถึงสวรรค์ที่บนอาร์ราคิสหรือ? แค่คุย. เขาได้รู้มากเกินไปแล้ว. แต่เขาก็ฆ่าฮาร์คอนเนนส์! อะไรคือภาระหนักกับน้ำ? เมื่อไหร่ที่เราเป็นหนี้สิ่งใดๆต่อจักรวรรดิหรือ? เขาฆ่าฮาร์คอนเนนส์. ใครก็สามารถฆ่าฮาร์คอนเนนส์ได้. ข้าเองก็ได้ทำมันมาแล้ว.

         แต่นี่เป็นการพูดคุยอะไรกันถึงดอกไม้ทั้งหลายเบ่งบานบนอาร์ราคิส?

         ง่ายดายมาก. ที่ไหนล่ะที่มีน้ำสำหรับการนี้?

         เขาบอกว่ามันอยู่ที่นี่! และเขาได้ช่วยชีวิตสามคนของพวกเรา.

         เขาได้ช่วยชีวิตสามคนโง่ผู้เอาตัวเองไปอยู่ในหนทางของฮาร์คอนเนนส์เป็นอย่างแรก. และเขาได้เห็นมีดกริชคริสไคไน้ฟ(crysknife)!

         การตัดสินใจอันจำเป็นยิ่งนั้นได้รู้กันมานานลายชั่วโมงแล้วก่อนที่มันจะถูกเอ่ยออกมาเป็นเสียง. ตัฟ(tau* - ความเชื่อทางศาสนา/เวทย์อาคม)ของสิฐคาม(seitch)บอกสมาชิกของมันว่าอะไร

         * https://dune.fandom.com/wiki/Tau

ที่พวกเขาต้องทำ; แม้กระทั่งความจำเป็นอย่างโหดเหี้ยมซึ่งถูกรู้จักกันดี. นักรบที่มีประสบการณ์ถูกส่งออกไปพร้อมมีดศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะทำงานหนึ่ง. สองคนน้ำ(watermen)ติดตามเขาไปเพื่อเอาน้ำจากร่าง. ความจำเป็นอันโหดเหี้ยม.

         มันเป็นที่เคลือบแคลงใจนักว่าคายนิ์สกระทั่งเพ่งความสนใจอยู่กับผู้-อาจเป็น-เพชฌฆาตของเขาหรือไม่. เขากำลังพูคุยอยู่กับกลุ่มคนที่แพร่กระจายอยู่รอบตัวของเขาที่ในระยะห่าง-ระวัง. เขาเดินไปขณะที่พูด: เป็นวงกลมระยะสั้น, ชี้แนะออกท่าทาง. น้ำในที่โล่ง, คายนิ์สพูด. เดินไปในที่โล่งโดยปราศจากสติลล์สูท. น้ำสำหรับหยดมันออกมาจากสระ! พอร์ตีกุลส์(portyguls* – ผลส้ม).

         * https://www.glossaria.net/en/dune/portyguls

         คนมีด(knifeman)ออกมาเผชิญหน้ากับเขา.

         “ปลดเปลื้องตัวของเจ้า,” คายนิ์สพูด, และพูดคุยต่อไปเกี่ยวเครื่องดักลมอย่างลับทั้งหลาย, เขาปัดผ่านชายนั้นเดินไป. หลังของคายนิ์สยืนเปิดโล่งให้กับการันตามพิธีกรรมนั้น.

         อะไรที่ดำเนินไปในจิตใจของผู้-อาจเป็น-เพชฌฆาตไม่สามารถถูกรู้ได้ในตอนนี้. เขาในที่สุดได้ฟังต่อคายนิ์สและเชื่อมันหรือ? ใครรู้ได้? แต่อะไรที่เขาได้ทำคือแก่นแท้ของบันทึก. อูเลียตเป็นชื่อของเขา, เลียต ผู้แก่กว่า. อูเลียตเดินไปสามก้าวและร่วงลงอย่างไตร่ตรองบนมีดของตนเอง, กระนั้นเช่น “ปลดเปลื้อง”ตัวเขาเอง. ฆ่าตัวตายหรือ? บางคนพูดว่า ไช-ฮูลุดเคลื่อนย้ายเขาไป.

         พูดเกี่ยวกับนิมิตทั้งหลาย!

         จากชั่วขณะนั้น, คายนิ์สได้แต่ชี้ให้เห็น, พูด “ไปที่นั้น.” เผ่าฟรีเมนทั้งหลายทั้งปวงได้ไป. ผู้ชายตาย, ผู้หญิงตาย, เด็กๆตาย. แต่พวกเขาได้ไป.

         คายนิ์สกลับไปยังงานที่น่าเบื่อทั้งหลายของจักรวรรดิ, อำนวยการกำกับสถานีทดสอบทางชีววิทยา. และตอนนี้, ฟรีเมนเริ่มต้นที่ปรากฏอยู่ในหมู่บุคลากรของสถานี. พวกฟรีเมนมองซึ่งกันและกัน. พวกเขาแทรกซึม”ระบบ,” ความเป็นไปได้ที่พวกเขาไม่เคยได้พิจารณาถึง. เครื่องมือทั้งหลายของสถานีได้เริ่มต้นการค้นพบหนทางของพวกเขาเข้าไปในโพรงสิฐคามทั้งหลาย---คัตเตอเรย์ส(cutterays - เครื่องตัดด้วยเลเซอร์ขนาดเล็ก)ที่ถูกใช้ที่จะขุดลงไปใต้ดินแอ่งจับเก็บน้ำและเครื่องดักลมทั้งหลาย.

         น้ำ เริ่มถูกกักเก็บในแอ่งทั้งหลายนั้น.

         มันกลายไปปรากฏสู่ฟรีเมนว่าคายนิ์สนั้นไม่ใช่คนบ้าใดอย่างที่สุด, แค่บ้าเพียงพอที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์. เขาเป็นหนึ่งแห่งอุมมา(umma – ผู้พยากรณ์/ศาสดา), พี่น้องแห่งศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย. เงาแห่งของอูเลียตถูกก้าวหน้าไปสู่ซาดัส(sadus* - ตุลาการศักดิ์สิทธิ์), ฝูงชนแห่ตุลาการสรวงสวรรค์.

         * https://scifi.fandom.com/wiki/Sadus

         คายนิ์ส – กำกับ, คายนิ์สผู้มุ่งมั่นอย่างดุร้าย---รู้ดีว่าการค้นคว้าวิจัยที่ถูกจัดระบบอย่างสูงเป็นการรับประกันว่าจะไม่ได้ผลิตสร้างอะไรขึ้นมาใหม่. เขาจัดตั้งหน่วยทดลองขนาดเล็กด้วยการแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอในข้อมูลสำหรับผลตอบรับแบบทานสลีย์(Tansley effect)อันรวดเร็ว,

         * http://www.kodaengineering.com/news/2016/4/10/the-tansley-effect

ปล่อยให้แต่ละกลุ่มค้นหาเส้นทางของตัวมันเอง. พวกเขาต้องเก็บรวบรวมสะสมหลายล้านของข้อเท็จจริงขนาดจิ๋ว. เขาได้จัดระบบการทดสอบทั้งหลายแต่เพียงแบบแยกจากกันและไหลผ่านอย่างหยาบเพื่อที่จะเอาความยากลำบากทั้งหลายของพวกเขาเข้าไปในทัศนมิติ.

         การเก็บตัวอย่างดินแบบคอริ์ แซมพลิง(core sampling*)ถูกทำไปทั่วทุกหนทุกแห่งตลอด

*https://ebook.lib.ku.ac.th/ebook27/ebook/20150106/files/basic-html/page97.html

แถบชนบทห่างไกลเมืองทั้งหลาย(the bleds). แผนภูมิตารางทั้งหลายถูกพัฒนาขึ้นบนกระแสเส้นทางยาวทั้งหลายของสภาพอากาศที่ถูกเรียกว่าภูมิอากาศ. เขาค้นพบว่าในเข็มขัดแถบกว้างนั้นบรรจุอยู่โดยเส้น 70-องศาทั้งหลาย, เหนือและใต้, อุณหภูมิทั้งหลายมานานหลายพันปีไม่ออกไปพ้นนอกพิสัย(สัมบูรณ์) 254-332 องศาเลย, และนั่นคือเข็มขัดนี้ที่ได้เป็นฤดูกาลทั้งหลายที่พืชพันธุ์เจริญงอกงามอันยาวนานที่ซึ่งพิสัยอุณหภูมิจาก 284 ไปถึง 302 องศาสัมบูรณ์: พิสัย “โบนันซ่า(bonanza - ขุมทรัพย์)สำหรับชีวิตที่ปรับสภาพนิเวศน์(terraform life).....เมื่อใดที่พวกเขาสามารถคลี่คลายปัญหาเรื่องน้ำได้.

         เมื่อไหร่เราจะคลี่คลายมัน? ฟรีเมนถาม. เมื่อไหร่ที่เราจะได้เห็นอาร์ราคิสเป็นสรวงสวรรค์?

         ตามมรรยาทการตอบของครูผู้สอนต่อเด็กผู้ได้ถามผลรวมของ 2 บวก 2, คายนิ์สบอกพวกเขา: จากสามร้อยไปถึงห้าร้อยปี.

         ชนกลุ่มน้อยหนึ่งอาจจะร้องโหยหวนอย่างท้อแท้ใจ. แต่ฟรีเมนได้เรียนรู้มาอย่างอดทนจากผู้คนด้วยแซ่ฟาดทั้งหลาย. มันเป็นที่นานกว่าเล็กน้อยจากที่พวกเขาได้คาดหวัง, แต่พวกเขาทั้งหมดสามารถที่จะมองเห็นวันอันปีติสุขนั้นว่ากำลังมา. พวกเขาขึงขันแน่นสายรัดทั้งหลายของพวกเขาและกลับไปทำงาน. ด้วยวิธีใดก็ตาม, ความผิดหวังนั้นทำให้ภาพทัศน์ของสวรรค์เป็นจริงยิ่งขึ้น.

         ความยุ่งยากบนอาร์ราคีนไม่ใช่กับน้ำ, แต่กับความชื้น. สัตว์เลี้ยงทั้งหลายเกือบไม่เป็นที่รู้จัก, ปศุสัตว์หาได้ยาก. ผู้ลักลอบสินค้าเถื่อนบางรายจ้างลาทะเลทรายท้องถิ่น, คูลอน(kulon*), แต่

         * https://dune.fandom.com/wiki/Kulon

ราคาค่าน้ำนั้นสูงกระทั่งเมื่อสัตว์ทั้งหลายนั้นต้องเหมาะพอดเข้ากันได้กับชุดสติลล์สูทที่ดัดแปลงแล้ว.

         ความคิดของคายนิ์สในเรื่องการติดตั้งโรงงานที่ย่อยสลายเพื่อกู้คืนน้ำจากไฮโดรเจนและออกซิเจนที่ถูกกักปิดอยู่ในหินพื้นเมือง, แต่ปัจจัยค่าใช้จ่ายของพลังงานนั้นสูงไกลเกินไป. ขั้วโลกของดาวเคราะห์(ถูกเมินเฉยให้ความรู้สึกที่ลวงผิดในเรื่องความมั่นคงของน้ำที่พวกเขาให้กับพวกปีออน(pyons* - ชนชั้นล่างของศักดินา)มีปริมาณน้อยเกินไปสำหรับโครงการของเขา.....และเขาได้คาดถึงที่ที่น้ำจะต้องมีเอาไว้แล้ว. มีการเพิ่มขึ้นที่สอดคล้องกันของความชื้นที่พิกัดเมอริเดียน(meridian attitudes*), และในกระแสลมที่ชัดเจน. เบาะแสเบื้องต้นในความสมดุลอากาศนี้เอง---23 เปอร์เซ็นต์ออกซิเจน, 75.4 เปอร์เซ็นต์ไนโตรเจนและ .023 เปอร์เซ็นต์คาร์บอนไดออกไซด์---กับร่องรอยของก๊าซทั้งหลายอยู่ในส่วนที่เหลือ.

         มีพืชรากท้องถิ่นที่หาได้ยากซึ่งเติบโตอยู่เหนือระดับ 2,500 เมตรในเขตอุณหภูมิตอนเหนือ. หัวพืชที่ยาวในดินสองเมตรให้น้ำได้ถึงครึ่งลิตร. และนั่นคือพืชทั้งหลายที่แปลงสภาพกับทะเลทราย: ต้นที่แข็งอึดทนกว่าแสดงสัญญาณของความเจริญเติบโตถ้าได้ถูกเพาะปลูกในแนวแถวความกดอากาศต่ำด้วยเครื่องกรองน้ำค้างทั้งหลาย(dew precipitators).

         แล้วคายนิ์สก็เห็นแอ่งเกลือ.

         ยานธ็อปเตอร์ของเขา, กำลังบินอยู่ระหว่างสถานีไกลออกไปบนชนบทนอกเขตเมืองthe bled), ได้ถูกพัดออกไปนอกเส้นทางบินโดยพายุ. เมื่อพายุนั้นได้ผ่านไปแล้ว, มีแอ่งกระทะหนึ่ง---ที่ลุ่มกว้างใหญ่รูปไข่ราวสามร้อยกิโลเมตรตามแกนยาว---สีเขาเหลือบสะท้อนแสงน่าประหลาดใจในทะเลทรายที่เปิดโล่งนั้น. คายนิ์สลงสู่พื้นจอดยาน, ชิมรสผิวหน้าของแอ่งกระทะที่พายุได้ทำความสะอาดไว้นั้น.

         เกลือ.

         ตอนนี้, เขาแน่ใจ.

         เคยมีน้ำอยู่ในที่เปิดโล่งบนอาร์ราคิส---ครั้งหนึ่ง. เขาเริ่มต้นตาวจสอบซ้ำอีกครั้งในหลักฐานของบ่อน้ำที่แห้งผากนั้นที่การไหลรินออกมาของน้ำได้เคยปรากฏออกมาและหายไป, ไม่เคยกลับมา.

         คายนิ์สจัดกลุ่มใหม่ของนักชลศาสตร์ฟรีเมนที่ถูกฝึกฝนฝนแล้วในการที่จะทำงาน; เบาะแสสำคัญ, แผ่นเหนียวชิ้นเล็กชิ้นน้อยของสาระสำคัญของภารกิจพวกเขาบางครั้งถูกพบอยู่กับมวล-เครื่องเทศภายลังจากพายุพัดเป่า. นี้ได้ถูกพิจารณาว่าน่าจะมาจากเยี่ยงนิยายของ “ตัวอ่อนหนอนทราย(sandtrout)” ในนิทานทั้งหลายของชนฟรีเมน. ขณะที่ข้อเท็จจริงทั้งหลายได้เติบโตไปเป็นหลักฐาน, สิ่งมีชีวิตหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาเพื่ออธิบายแผ่นเหนียวชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งหลายเหล่านี้---แมงมวนทรายที่ดักกั้นน้ำเข้าไปในกระเปาะเจริญพันธุ์ทั้งหลายภายในชั้นหินรูพรุนที่อยู่ชั้นต่ำกว่าใต้เส้น 280 องศา(สัมบูรณ์).

         “ตัวขโมย-น้ำ”ได้ตายไปเป็นหลายล้านในแต่ละการระเบิดของเครื่องเทศ. การเปลี่ยนแปลงห้าองศาในอุณหภูมิที่สามารถฆ่ามันได้. ผู้รอดชีวิตจำนวนเล็กน้อยได้เข้าไปในถุงน้ำคร่ำสำหรับสภาวะกึ่งจำศีลเพื่อที่จะโผล่เข้าไปในหกปีเป็นดั่งตัวเล็ก(ราวสามเมตรยาว)ของหนอนทรายทั้งหลาย. จากการเหล่านี้, มีเพียงจำนวนเล็กน้อยที่หลบเลี่ยงพี่ๆขนาดโตทั้งหลายและกระเป๋าน้ำปฐมเครื่องเทศ(pre-spice water)ทั้งหลายที่จะโผล่ไปเป็นการโตเต็มวัยเป็นดุจ ไช-ฮูลุด ยักษ์(giant shai-hulud), (น้ำนั้นเป็นพิษต่อ ไช-ฮูลุดดั่งที่ฟรีเมนต่างรู้กันดีมานานจากการจมแช่ “หนอนแคระ”ที่หายากของ ไมเนอร์ เอิร์ก ที่จะผลิตสร้างสารปลุกสัมปชัญญะเชื้อปฏิชีวนะเสพย์ติดที่พวกเขาเรียกว่า “ชีวะวารี - น้ำแห่งชีวิต”. “หนอนแคระ”นั้นคือรูปร่างดึกดำบรรพ์ของ ไช-ฮูลุด ที่ไปถึงความยาวหนึ่งของแค่เพียงราวเก้าเมตร.)

         ตอนนี้พวกเขาได้วัฏจักรสัมพันธภาพนี้: ผู้สร้างตัวน้อย(little maker)ไปสู่ ปฐม-มวลเครื่องเทศ(pre-spice mass); ผู้สร้างตัวน้อย ไปสู่ ไช-ฮูลุด; ไช-ฮูลุด ไปสู่การโปรยหว่านเครื่องเทศนั้นลงไปที่เป็นเช่นการป้อนอาหารสิ่งมีชีวิตจุลลินทรีย์ทั้งหลาย(microscopic creatures)ที่ถูกเรียกว่า แพลงตอนทะเลทราย(sand plankton); แพลงตอนทะเลทรายนั้น, เป็นอาหารให้กับ ไช-ฮูลุด, เติบใหญ่, ซุกแอบ, กลายเป็นผู้สร้างน้อยทั้งหลาย.

         คายนิ์สและผู้คนของเขาหันความสนใจขอพวกเขาจากสัมพันธภาพอันยิ่งใหญ่นี้และเพ่งมุ่งอยู่กับจุล-นิเวศวิทยา(micro-ecology). อย่างแรก, สภาพอากาศของพื้นผิวทรายมักจะขึ้นไปถึงอุณหภูมิของ 344° ถึง 350° (สัมบูรณ์). ต่ำลงไปหนึ่งฟุตในดินมันอาจเป็น 55° เย็นกว่า; หนึ่งฟุตเหนือพื้นดิน, 25° เย็นกว่า. ใบไม้ทั้งหลายหรือเงามืดดำสามารถสร้างหาให้อีก 18° ของความเย็น. ถัดไป, ธาตุอาหารทั้งหลาย: ในทะเลทรายของอาร์ราคิสส่วนใหญ่คือสิ่งที่หนอนทรายขับถ่ายออกมา; ฝุ่น(คือปัญหาแท้จริงที่มีทั่วทุกแห่งของที่นั่น)ถูกผลิตสร้างโดยพื้นผิวที่คืบคลานอย่างต่อเนื่องนั้น, “การโลดเต้น”เคลื่อนที่ของทราย. เม็ดหยาบทั้งหลายถูกพบบนด้านตามทิศทางลมทั้งหลายของนูนทราย(dunes). ด้านที่ต้านลมจะละเอียดเนียนอัดแน่นและแข็ง. นูนทรายเก่าแก่จะเป็นสีเหลือง(จากการถูกออกซิไดซ์), นูนทรายวัยรุ่นจะเป็นสีสันของหินต้นกำเนิด---มักจะเป็นสีเทา.

         ด้านตามทิศทางลมของนูนทรายเก่าแก่ทั้งหลายจัดหาให้ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกแรก. พวกฟรีเมนเล็งเป้าหมายแรกสำหรับวัฏจักรของหญ้าทนแล้ง(poverty grass*)ด้วยเยื่อขนอ่อน(peatlike hair cilia)ที่จะสานเข้าด้วยกัน, ปูรองและจับยึดนูนทรายทั้งหลายนั้นโดยการกีดกันลมของอาวุธใหญ่ของมัน, เม็ดทรายซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้.

         เขตปรับตัวทั้งหลายนี้ถูกทอดวางออกไปในทะเลทรายลึกทางตอนใต้ไกลจากผู้เฝ้าดูของฮาร์คอนเนน. หญ้าทนแล้งที่กลายพันธุ์ทั้งหลายถูกปลูกเป็นอันดับแรกไปตามด้านตามทิศทางลม(ด้านลาดโค้งเว้า- slipface)ของนูนทรายทั้งหลายที่ถูกเลือกซึ่งยืนพาดข้ามเส้นทางของมุ่งตะวันตกอันยืนยงทั้งหลาย. ด้วยผิวหน้าทิศทางตามลมถูกทิ้งสมอยึดลง, ผิวหน้าด้านต้านลมเติบโตสูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นและหญ้านั้นก็เคลื่อนไล่ตามไปทุกฝีก้าว. สันทรายยักษ์ทั้งหลาย(giant sifs - นูนทรายที่เป็นสันโค้งเว้า)ของมากไปกว่า 1,500 เมตรความสูงได้ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีนี้.

         เมื่อกำแพงกั้นนูนทรายทั้งหลายนี้ได้ขึ้นไปถึงความสูงที่พอเพียงแล้ว, ผิวน้าด้านต้านลมก็ถูกปลูกด้วยหญ้าคา(sword grass)ทั้งหลายที่อึดทนกว่า. แต่ละโครงสร้างบนฐานหนึ่งราวเกือบจะหนาเป็นหกเท่าของความสูงของมันได้ถูกทิ้งสมอลง – ถูกตรึงแน่น.

         ทีนี้, พวกเขาก็เข้ามาสู่การปลูกพืชที่ลึกยิ่งขึ้น---พืชล้มลุก(ephemerals) - เช่น ขนห่าน(chenopods), แห้วหมู(pigweeds), และผักโขม(amaranth)ในการเริ่มต้น - แล้วจึงเป็น ดอกไม้กวาด(scotch broom), ถั่วลูปินคลุมดิน(low lupin), เถายูคาลิปตัส(vine eucalyptus – ชนิดนี้ปรับปรุงมาจากของคาลาดานทางภาคเหนือไกล), ทามาริสก์แคระ(dwarf tamarisk*), สนชายฝั่ง

         * https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B9%8C

(shore pine*)---แล้วไปสู่การปลูกพืชเติบโตในทะเลทรายของจริงทั้งหลาย: แคนดีลิลลา

         * https://isecosmetic.com/wiki/Pinus_contorta

(candelilla1), กระบองเพชรซากัวโร(saguaro2), และ บิส-นาจา(bis-naga3), กระบองเพชรถัง(the barrel

         1 https://www.candelilla.org/?page_id=528

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%A3

cactus). ที่ซึ่งมันจะสามารถเติบโตได้, พวกเขาแนะนำ คาเมล เสจ(camel sage4), หญ้าต้นหอม

         3 https://en.wikipedia.org/wiki/Barrel_cactus

         4 https://en.wikipedia.org/wiki/Larrea_tridentata

(onion grass5), หญ้าขนนกโกบี(gobi feather grass6), อัลฟัลฟ่าป่า(wild alfalfa7), เบอโร บุช

         5 https://en.wiktionary.org/wiki/onion_grass

         6 https://www.dreamstime.com/dry-grass-steppe-landscape-gobi-desert-mongolia-image146664125

         7 https://en.wikipedia.org/wiki/Alfalfa

(burrow bush8), แซนด์ เวอร์บีนา(sand verbena9), อีฟนิ่ง พริมโรส(evening primrose10), อินเซนส์ บุช(incense bush11), สโม๊ค ทรี(smoke tree12), และพุ่มครีโอโซต(creosote bush13).

         8 https://en.wikipedia.org/wiki/Ambrosia_dumosa

         9 https://en.wikipedia.org/wiki/Abronia_(plant)

         10 https://www.wildflower.org/plants/result.php?id_plant=OEBI

         11 https://davisla.wordpress.com/category/incense-bush/

         12 https://en.wikipedia.org/wiki/Cotinus

         13 https://en.wikipedia.org/wiki/Larrea_tridentata

         พวกเขาหลังจากนั้นก็พลิกหันไปหาชีวิตของสัตว์ที่จำเป็น---สิ่งมีชีวิตในรูโพรงทั้งหลายเพื่อที่จะเปิดดินนั้นและเติมอากาศมัน: หมาจิ้งจอกจิ๋ว(kit fox14), จิงโจ้หนู(kangaroo mouse15),

         14 https://en.wikipedia.org/wiki/Kit_fox

         15 https://en.wikipedia.org/wiki/Kangaroo_mouse

กระต่ายทะเลทราย(desert hare16), เต่าทราย(sand terrapin).....และผู้ล่า(predators)เพื่อที่จะคอยรักษาพวกมันเอาไว้ให้อยู่รอด: เหยี่ยวทะเลทราย(desert hawk), นกฮูกแคระ(dwarf owl), นกอินทรีและนกฮูกทะเลทราย(eagle and desert owl); และแมลงทั้งหลายเพื่อเติมเต็มช่องโพรงทั้งหลาย ที่พวกเหล่านี้ไม่สามารถเอื้อมเข้าไปถึงได้: แมงป่อง(scorpion), ตะขาบ(centipede), แมลงมุมแทร็ปดอร์(trapdoor spider16), ต่อหลุมและไส้เดือน(biting wasp and wormfly).....และค้างคาวทะเลทราย(desert bat)ที่จะคอยเฝ้าดูพวกนี้.

         ตอนนี้ก็มาถึงเวลาของการทดสอบอันวิกฤติ: อินทผาลัม(date palms), ฝ้าย(cotton), แตง(melons), กาแฟ(coffee), พืชสมุนไพร(medicinals)---มากกว่า 200 ชนิดของพืชอาหารที่ถูกคัดเลือกเพื่อที่จะทดสอบและปรับปรุง.

         สิ่งที่ผู้ไม่รู้ในเรื่องนิเวศวิทยาไม่ได้ตระหนักถึงเกี่ยวกับระบบนิเวศน์,” คายนิ์สพูด, “คือที่มันเป็นระบบ. ระบบ! ระบบที่ธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพอันเคลื่อนไหวไหลลื่นอย่างแน่นอนที่สามารถถูกทำลายโดยการก้าวเดินที่ผิดพลาดในแค่หนึ่งช่องว่าง. ระบบมีระเบียบการ, การไหลลื่นจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง. ถ้าบางอย่างกั้นเขื่อนการไหลนั้น, ระเบียบการนั้นก็พังลง. ผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอาจพลาดไม่เห็นการพังลงนั้นจนกระทั่งมันสายเกินไป. นั่นคือทำไมสารัตถะหน้าที่ของนิเวศวิทยาคือการเข้าใจถึงผลสืบเนื่องที่จะตามมา.”

         “พวกเขาได้บรรลุถึงระบบนั้นหรือ?

         คายนิ์สและผู้คนของเขาเฝ้าดูและเฝ้าคอย. ฟรีเมนในตินนี้รู้ถึงอะไรที่เขาได้หมายถึงโดยการคาดการณ์ปลายเปิดไว้ที่ห้าร้อยปี.

         รายงานขึ้นมาจากสวนปาล์มทั้งหลาย:

         ที่ชายขอบทะเลทรายของการเพาะปลูก, แพลงตอนทะเลทรายกำลังเป็นพิษผ่านการมีปฏิสัมพัทธ์กับรูปร่างใหม่ของชีวิต. เหตุผล: โปรตีนเข้ากันไม่ได้. น้ำที่เป็นพิษก่อรูปขึ้นที่นั้นซึ่งชีวิตอาร์ราคิสไม่ควรไปแตะต้อง. เขตกั้นแห้งแล้งถูกรายล้อมไว้ด้วยการเพาะปลูกนั้นและกระทั่งไช-ฮูลุดก็จะไม่เข้าไปบุกรุกมัน.

         คายนิส์ลงไปยังสวนปาล์มนั้นด้วยตนเอง---การเดินทางยี่สิบเครื่องตบพื้น(ในเสลี่ยงเหมือนคนเจ็บหรือแม่อธิการเพราะว่าเขาไม่เคยได้กลายเป็นผู้ขี่ทะเลทราย). เขาได้ทดสอบเขตกั้นแห้งแล้งนั้น(มันกลิ่นเหม็นโชยไปถึงสวรรค์)และได้กลับขึ้นมาด้วยรางวัลพิเศษ, ของขวัญจากอาร์ราคิส.

         การเพิ่มเข้าไปของกำมะถันและไนโตรเจนคงรูปได้พลิกเปลี่ยนเขตกั้นแห้งแล้งนั้นไปเป็นแปลงเพาะปลูกอันอุดมสมบูรณ์สำหรับชีวิตที่แปลงสภาพ. การเพาะปลูกสามารถก้าวหน้าไปตามเจตจำนง!

         “สิ่งนี้เปลี่ยนเวลานั้นไหม?” ฟรีเมนถาม.

         คายนิ์สกลับไปหาสูตรเกี่ยวกับดาวเคราะห์ของเขา. เครื่องดักลมทั้งหลายอยู่ในความมั่นคงปลอดภัยดีแล้วในตอนนั้น. เขาใจเปิดกว้างกับความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้ของเขา, รู้ดีว่าเขาไม่สามารถขีดเส้นบรรจงล้อมรอบปัญหาทางนิเวศวิทยาทั้งหลายได้. การคลุมดินของพืชจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องถูกจัดวางไว้ด้านข้างเพื่อยึดนูนทรายทั้งหลายไว้ให้เข้าที่: อาหารบริโภคจำนวนแน่นอนหนึ่ง(ทั้งมนุษย์และสัตว์), จำนวนแน่นอนหนึ่งที่จะปิดกั้นความชื้นในระบบรากทั้งหลาย(root system)และที่จะป้อนน้ำออกมาเข้าไปในพื้นที่แห้งแล้งที่อยู่รายรอบทั้งหลายนั้น. พวกเขาได้ทำแผนที่จุดความเย็นพเนจรทั้งหลายบนทุ่งโล่งชนบทห่างไกลนั้นแล้วในคราวนี้. จะต้องก่อรูปเข้าไปในสูตรคำนวณนั้นได้. กระทั่งไช-ฮูลุดก็ได้มีที่ทางตำแหน่งอยู่ในแผนที่ตารางทั้งหลาย. เขาต้องไม่มีวันถูกทำลาย, มิเช่นนั้นเครื่องเทศอันมั่งคั่งก็จะจบสิ้นลง. แต่”โรงงาน”ย่อยสลายภายในของเขากับความเข้มขนมหาศาลทั้งหลายของอัลดีไฮด์(aldehydes* - สารประกอบอินทรีย์)และ

*http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/4401/aldehyde-%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B8%94%E0%B9%8C

กรดทั้งหลายของมัน, เป็นแหล่งกำเนิดยักษ์ของออกซิเจน. หนอนขนาดปานกลาง(ราว 200 เมตรยาว)ขับปล่อยออกซิเจนออกมาเข้าไปในชั้นบรรยากาศมากเท่าๆกับสิบตารางกิโลเมตรของผิวพื้นการสังเคราะห์แสงของพืชสีเขียวทั้งหลาย.

         เขาให้กิลด์ได้พิจารณา. ติดสินบนเครื่องเทศให้พวกกิลด์เพื่อการป้องกันดาวเทียมตรวจอากาศและผู้เฝ้าดูอื่นๆทั้งหลายในท้องฟ้าแห่งอาร์ราคิสที่ได้ส่วนแบ่งตามสัดส่วนหลักทั้งหลายไปแล้วนั้น.

         หรือการที่พวกฟรีเมนจะถูกเมินเฉยได้. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, ฟรีเมน, พร้อมด้วยเครื่องดกลมและผู้ถือครองที่ดินนอกเกณฑ์ทั้งหลายของพวกเขาที่มาสมาคมกันรอบแหล่งน้ำ, ฟรีเมนด้วยความรู้เชิงนิเวศใหม่ของพวกเขาและความฝันถึงการวัฏจักรพื้นที่กว้างใหญ่ของอาร์ราคิสผ่านระยะขั้นทุ่งหญ้าไปสู่ป่าใหญ่.

         จากตารางทั้งหลายโผล่ขึ้นเป็นรูปร่าง. คายนิ์สรายงานมัน. สามเปอร์เซ็นต์. ถ้าพวกเขาสามารถได้สามเปอร์เซนต์ของธรรมชาติพืชสีเขียวบนอาร์ราคิสเกี่ยวพันเข้าไปในรูปขององค์ประกอบคาร์บอนทั้งหลาย, พวกเขาจะมีวัฏจักรของตนเอง-ที่ยั่งยืน.

         “แต่อีกยาวนานเท่าไรหรือ?” ฟรีเมนถามเรียกร้อง.

         “โอ้, นั่น: ราวสามร้อยกับอีกห้าสิบปี.”

         ดังนั้นมันเป็นความสัจจริงดังที่อัมมา(umma - ผู้บ้าคลั่ง)ผู้นี้ได้พูดไว้ในตอนเริ่มต้น: สิ่งนี้จะไม่มาถึงในชั่วชีวิตของคนใดที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้, หรือในชั่วชีวิตของหลานแปดรุ่นของพวกเขาได้ล่วงลับไป, แต่มนัจะมาถึง.

         งานนั้นยังดำเนินต่อไป: ก่อสร้าง, ปลูกพืช, ขุดดิน, ฝึกสอนเด็กๆ.

         แล้วคายนิ์ส-เจ้าคนบ้าก็ถูกฆ่าในคูหาถ้ำแห่งแอ่ง พาสเตอร์.

         ถึงในตอนนี้บุตรชายของเขา, เลียต-คายนิ์ส, อายุสิบเก้าปี, ฟรีเมนเต็มตัวและเป็นผู้ขี่ทะเลทรายผู้ซึ่งได้ฆ่าไปมากยิ่งกว่าหนึ่งร้อยคนของฮาร์คอนเนนส์. ผู้ได้รับแต่งตั้งโดยจักรวรรดิสำหรับการที่คายนิ์สผู้อาวุโสได้ประยุกต์ไว้ในนามของบุตรชายตนได้ถูกส่งมอบในฐานะแก่นสารของเส้นทาง. โครงสร้างชนชั้นอันแข็งกระด้างของระบบศักดินาสวามิภักดิ์ได้เป็นเจตจำนงอยู่ในระเบียบการอย่างดีในที่นี่. บุตรชายได้ถูกฝึกฝนปฏิบัติที่จะสืบทอดต่อบิดานี้.

         เส้นทางได้ถูกจัดตั้งเมื่อถึงตอนนี้, นักนิเวศวิทยา-ฟรีเมนทั้งหลายได้ถูกเล็งเป้าหมายไปตามวิถีของพวกเขา. เลียท-คายนิ์สแค่เพียงต้องคอยเฝ้าดูและถองดันและแอบสืบความลับกับพวกฮาร์คอนเนนส์.....จนกระทั่งวันหนึ่งที่ดาวเคราะห์ของเขาได้ถูกทำให้เจ็บปวดทรมานโดย วีรบุรุษ ผู้หนึ่ง.