หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

พระโกวิท เขมานันทะ - ไทฉิ โยคะ สติปัฏฐาน

 ไทฉิ โยคะ สติปัฏฐาน

พระโกวิท เขมานันทะ

- จากหนังสือ “ไทเก็ก(ไท้ชีฉวน)”, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 254 หน้า 4-5.

 

         ผู้แสวงหาความหลุดพ้น(โมกษะ)ครั้งอดีตไม่ว่าเป็นสมณในพุทธศาสนา โยคีหรือนักพรตเต๋า หรือศาสนิกผู้โถมศรัทธาค้นหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ล้วนแต่ได้เรียนรู้บอกกล่าวถึงสภาพตื่นขึ้นของจิต จากถ้อยคำของท่านผู้ประสบพบเห็นมาแล้วทั้งสิ้น

         ในช่วงชีวิตของเรา จากการไม่เคยได้ยินได้ฟหัง เราได้เลื่อนขึ้นสู่การได้ยินได้ฟัง เราเห็นโยคีหรือผู้แสวงหาเล่นโยคะหรือรำมวยไทฉิ หรือเห็นพระภิกุเดินจงกรม ทำกรรมฐาน เราเริ่มเรียนรู้เพิ่มเติมว่า ความเชื่อเรื่องการหลุดพ้นนี้ยังมีชีวิตชีวาอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ เมื่อเราศึกษาใกล้ชิดในเรื่องเช่นนี้ เราจะหายเข้าใจผิดไปทีละน้อย และค่อยๆกลายเป็นผู้ซึ่งมุ่งแสวงหาสภาพหลุดพ้นกับเขาคนหนึ่งด้วยทั้งที่หนหนึ่งเราเคยดูถูกเหยียดหยามหรือเยาะเย้ยด้วยซ้ำไป โยคะไม่เป็นเพียงฤาษีดัดตนแก้เมื่อย ไทฉิ ไม่ใช่มวยจีน และการกำหนดสติในอิริยาบถต่างๆของพระภิกษุไม่ใช่ท่าทีของวัฒนธรรมอีก แต่มันเป็นการแสวงหาเพื่อความหลุดพ้น อย่างรู้สึกตัวทั่วพร้อม มันไม่ใช่การกระทำที่เพ้อฝัน งมงายแต่อย่างใด.

         ไม่ใช่ง่ายนักที่จะชี้ถึงสภาพหลุดพ้น อันเป็นเลื่องลึกซึ้งในภายในของแต่ละบุคคล อันรู้ได้จำเพาะตัว แต่ไม่ยากนักที่จะชี้ให้เห็นความสำคัญ และความจำเป็นในการเรียนรู้จักตนเองอันจะนำไปสู่การมึชีวิตที่อิสระ และการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติเมตตากรุณา แต่ตราบใดที่คนเรายังค้นไม่พบ ศักยภาพและความกลมกลืนในภายในด้วยตัวเองแล้ว ความเชื่อต่อสภาพหลุดพ้นก็ยังหาเกิดได้ไม่ และดังนั้นเองคนส่วนใหญ่จึงโน้มไปในทางไม่เชื่อ หรือถือเสียว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อและอาจจะมองเลยเถิดไปในแง่ลบว่าผู้ประสงค์หลุดพ้นนั้นงมงาย เพ้อฝัน ทั้งนี้เพราะมีเหตุที่จะเห็นเช่นนี้สนับสนุนโดยรอบด้าน กล่าวคือ การขาดความรู้สึกตัวของผู้แสวงหาอ ทำให้จิตคลั่งไคล้เคลิบเคลิ้ม ขาดความสัมพันธ์กับชีวิตจริงนั่นเอง

         การค้นหาศักยภาพ และความกลมกลืนเพื่อความลุถึงสมาธิอันแรงกล้า ได้เป็นอุดมการณ์ของศาสนิกทุกลัทธิอมตภาพ ชีวิตนิรันดร โมกษะ ไกลวัย แผ่นดินสวรรค์ ได้กลับกลายเป็นเป้าหมายแห่งการค้นหาของอนุชนทุกรุ่น ทุกๆลัทธิล้วนยืนยันว่าหลักของตนจริงแท้ และมีท่าทีปฏิเสธความเชื่อของผู้อื่นในที ลักษณะเช่นนี้แหละคือสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมอันกำหนดให้สมาชิกของชุมชนหนึ่งๆ มีบุคลิกภาพทัศนคติที่ไม่ตรงกัน โน้มนำไปสู่ความมีอคติและรุนแรง จิตใจที่คลั่งความเชื่อตามทางของวัฒนธรรมนั้น ก็หลงลืม ชีวิตล้วนๆก็อยู่นอกเหนือคำอธิบายของลัทธิใดๆไปหมดสิ้น มนุษย์ยืนยันยึดมั่น มีทิฏฐิ มานะ ตัณหา เป็นตัวบงการมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้ก็เพราะลัทธิ ความเชื่อและด้วยอำนาจของความกลัวนั่นเองที่มนุษย์มุ่งสู่ลัทธิความเชื่ออย่างฝังหัว ชนิดไม่เหลียวแลต่อลัทธิแท้และดั้งเดิมล้วนๆ

         ยังมีการใช้ชีวิต ที่อยู่เหนือความเชื่อได้หรือไม่? ชีวิตเช่นนี้จะตกต่ำเลวทราม ตามทางจรินธรรม วัฒนธรรม หรือว่า กลมกลืน ตามธรรมชาติกันแน่?

         ตรงนี้แหละที่เราจำต้องหันมาพิจารณา โยคะ ไทฉิและสติปัฏฐาน 4 รวมถึงการเพ่งเพื่อกลมกลืนกับพระผู้เป็นเจ้า การกระทำจำเพาะนี้คือ การตามรู้ตามเห็นอย่างใกล้ชิดต่อการดำรงชีวิตอยู่เหนือคำอธิบายของหลักลัทธิ เป็นการเห็นสภาวะตามที่เป็นจริง, เป็นเอง(สวยมฺปรภู) ปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ เป็นการเห็นชีวิต การดำรงอยู่ทุกสิ่ง โดยไม่แบ่งแยกแจกแจงตามระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม, ระบบตรรกวิธี, หรืออื่นใด กล่าวคือ เป็นการเห็นความเป็นเองของชีวิต อย่างลึกซึ้งถึงแก่น พ้นสัญลักษณ์ และกรอบทฤษฏีต่างๆ

         จิตตามวิสัยสามัญนั้น ต้องถูกประกอบด้วยสัญญลักษณ์, ความเชื่อและอคติ และคิดนึกไปโดยไม่รู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่เคยได้ตั้งสติย้อนมาเฝ้าดูอาการล้วนๆของจิต เพราะมัวเพลิดเพลินคิดนึก จึงไม่เห็นความคิดนึก จึงไม่รู้สึกต่อการมีชีวิตล้วนๆอันผ่องแผ้วได้

         โยคะ ไทฉิ สติปัฏฐาน ก็คือการทำความรู้สึกตัว กำหนดความรู้สึกตัวอยู่บนบานของการเคลื่อนไหวที่เป็นจริงและต่อเนื่อง เพื่อรุ้แจ้งและกลมกลืนเป้นการทำลายความไม่รู้ด้วยความรู้ต่างๆ เป็นช่วงเพ่งจำเพาะอยู่เหนือความรู้สึกนึกคิด อันเรียกเอาศักยภาพแห่งการดำรงชีวิตคืนมา และกำลังภายในจากแหล่งกำเนิด คือกระแสสมาธิอันลึกซึ้งและแรงกล้าสจะเข้ามาเปลี่ยนกระแสธารของชีวิตให้ไหลย้อนกลับหลังสู่ต้นกำเนิด อันพร้อมพรั่งด้วยปรีชาญาณ ที่แหล่งกำเนิดของชีวิตนั้นไม่ใช่การดำรงอยู่ เป็นใหญ่เหนือความหมายรู้เรื่องอยู่หรือตาย และด้วยอิสระเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเรียกว่า เป็นความสุขสงบกล่าวคือสงบจากการดิ้นรนเพื่ออยู่ พลังทั้งหมดของการมีชีวิตอยู่ไม่ถูกทำลายเพราะความคิดวิตก กังวล หื่นกระหายที่จะได้มีชีวิตในมายา ดังนั้นชีวิตจึงเปิดเผยถึงธาตุแท้อันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในกรอบทัศนคติใดๆ ศักยภาพและการสร้างสรรค์ศิลปศาสตร์ เห็นความคิดนึก เป็นการรู้รอบถ้วนทั่วกลมกลืน และเป็นไปเอง ไม่ใช่การเพ่งเพื่อหยุดพิจารณาใดๆ การรู้ความรู้สึกก็คือ เวทนานุปัสสนา รู้การเคลื่อนไหวคือ กายานุปัสสนา การรู้เห็นความคิดนึก คือจิตตานุปัสสนา และเป็นนการรู้เห็นในอันเป็นจริง มิใช่คาดคิดหรือหาเหตุผลอันไม่ได้เห็นสภาพจริง

         การมีสติรู้เห็นถ้วนทั่ว และปล่อยวางไม่ยึดถือ เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่ทีละขั้นตอนตามทางของการอธิบาย สติปัฏฐาน 4 นั้น เป็นประสบการณ์โดยตรง อยู่เหนือการคาดคิดวิพากษ์วิจารณ์ หรือใคร่ครองเป็นสภาพกลมกลืน และเห็นแจ้งต่อความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆซึ่งเป็นอยู่เอง นี่คือใจความภาคปฏิบัติไม่ใช่ระบบอธิบายคุณค่าใดๆ

         เราจะเห็นว่า โยคะ ไทฉิ และสติปัฏฐาน เป็นกลวิธีพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วถึงโดยอาศัยการเคลื่อนไหวอันเนิบช้าและต่อเนื่องเพื่อเกิดอำนาจสมาธิตามธรรมชาติให้พอเพียงที่จะปลุก โพธิ ให้ตื่นขึ้น ทั้งโยคะ ไทฉิ สติปัฏฐานหาใช่สัจจะไม่ แต่เป็นเทคนิคในการเร้าให้ธาตุแท้ของจิตได้แสดงศักยภาพของมันออกมา ชื่อต่างๆที่เรียกว่า เวทนา จิต อาสวะ ฯลฯ อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติ หากยึดถือเข้าแล้ว การปลุกโพธิให้ตื่นก็หาสำเร็จไม่ กลับเป็นความยึดมั่นต่อกรอบทางวัฒนธรรมยิ่งๆขึ้น จนไม่อาจล่วงรู้ถึงสิ่งที่จริงเหนือสมมติได้

         ชีวิตกับความสว่างและอิสระนั้นคือสิ่งเดียกวัน ชีวิตคือสภาพตื่น รู้แจ้งอยู่เองแล้วเราสูญเสียหลงลืมมันไป ก็เพราะมายาภาพทางวัฒนธรรมอันก่อเกิดเป็นความรู้สึกนึกคิด แล้วยึดถือว่าเป็นจริงเป็นจัง จนเป็นความเชื่อ ทิฏฐิเกิดอหังการรุนแรง ทนทุกข์ทรมาน และไร้ความสามารถ ขาดกรุณายิ่งขึ้น.