ไทฉิ โยคะ สติปัฏฐาน
พระโกวิท เขมานันทะ
- จากหนังสือ “ไทเก็ก(ไท้ชีฉวน)”, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ,
พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 254 หน้า 4-5.
ผู้แสวงหาความหลุดพ้น(โมกษะ)ครั้งอดีตไม่ว่าเป็นสมณในพุทธศาสนา
โยคีหรือนักพรตเต๋า หรือศาสนิกผู้โถมศรัทธาค้นหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
ก็ล้วนแต่ได้เรียนรู้บอกกล่าวถึงสภาพตื่นขึ้นของจิต
จากถ้อยคำของท่านผู้ประสบพบเห็นมาแล้วทั้งสิ้น
ในช่วงชีวิตของเรา จากการไม่เคยได้ยินได้ฟหัง
เราได้เลื่อนขึ้นสู่การได้ยินได้ฟัง เราเห็นโยคีหรือผู้แสวงหาเล่นโยคะหรือรำมวยไทฉิ
หรือเห็นพระภิกุเดินจงกรม ทำกรรมฐาน เราเริ่มเรียนรู้เพิ่มเติมว่า
ความเชื่อเรื่องการหลุดพ้นนี้ยังมีชีวิตชีวาอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ เมื่อเราศึกษาใกล้ชิดในเรื่องเช่นนี้
เราจะหายเข้าใจผิดไปทีละน้อย และค่อยๆกลายเป็นผู้ซึ่งมุ่งแสวงหาสภาพหลุดพ้นกับเขาคนหนึ่งด้วยทั้งที่หนหนึ่งเราเคยดูถูกเหยียดหยามหรือเยาะเย้ยด้วยซ้ำไป
โยคะไม่เป็นเพียงฤาษีดัดตนแก้เมื่อย ไทฉิ ไม่ใช่มวยจีน และการกำหนดสติในอิริยาบถต่างๆของพระภิกษุไม่ใช่ท่าทีของวัฒนธรรมอีก
แต่มันเป็นการแสวงหาเพื่อความหลุดพ้น อย่างรู้สึกตัวทั่วพร้อม มันไม่ใช่การกระทำที่เพ้อฝัน
งมงายแต่อย่างใด.
ไม่ใช่ง่ายนักที่จะชี้ถึงสภาพหลุดพ้น อันเป็นเลื่องลึกซึ้งในภายในของแต่ละบุคคล
อันรู้ได้จำเพาะตัว แต่ไม่ยากนักที่จะชี้ให้เห็นความสำคัญ และความจำเป็นในการเรียนรู้จักตนเองอันจะนำไปสู่การมึชีวิตที่อิสระ
และการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติเมตตากรุณา แต่ตราบใดที่คนเรายังค้นไม่พบ
ศักยภาพและความกลมกลืนในภายในด้วยตัวเองแล้ว
ความเชื่อต่อสภาพหลุดพ้นก็ยังหาเกิดได้ไม่ และดังนั้นเองคนส่วนใหญ่จึงโน้มไปในทางไม่เชื่อ
หรือถือเสียว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อและอาจจะมองเลยเถิดไปในแง่ลบว่าผู้ประสงค์หลุดพ้นนั้นงมงาย
เพ้อฝัน ทั้งนี้เพราะมีเหตุที่จะเห็นเช่นนี้สนับสนุนโดยรอบด้าน กล่าวคือ
การขาดความรู้สึกตัวของผู้แสวงหาอ ทำให้จิตคลั่งไคล้เคลิบเคลิ้ม
ขาดความสัมพันธ์กับชีวิตจริงนั่นเอง
การค้นหาศักยภาพ และความกลมกลืนเพื่อความลุถึงสมาธิอันแรงกล้า
ได้เป็นอุดมการณ์ของศาสนิกทุกลัทธิอมตภาพ ชีวิตนิรันดร โมกษะ ไกลวัย แผ่นดินสวรรค์
ได้กลับกลายเป็นเป้าหมายแห่งการค้นหาของอนุชนทุกรุ่น ทุกๆลัทธิล้วนยืนยันว่าหลักของตนจริงแท้
และมีท่าทีปฏิเสธความเชื่อของผู้อื่นในที
ลักษณะเช่นนี้แหละคือสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมอันกำหนดให้สมาชิกของชุมชนหนึ่งๆ
มีบุคลิกภาพทัศนคติที่ไม่ตรงกัน โน้มนำไปสู่ความมีอคติและรุนแรง จิตใจที่คลั่งความเชื่อตามทางของวัฒนธรรมนั้น
ก็หลงลืม ชีวิตล้วนๆก็อยู่นอกเหนือคำอธิบายของลัทธิใดๆไปหมดสิ้น
มนุษย์ยืนยันยึดมั่น มีทิฏฐิ มานะ ตัณหา เป็นตัวบงการมนุษย์สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้ก็เพราะลัทธิ
ความเชื่อและด้วยอำนาจของความกลัวนั่นเองที่มนุษย์มุ่งสู่ลัทธิความเชื่ออย่างฝังหัว
ชนิดไม่เหลียวแลต่อลัทธิแท้และดั้งเดิมล้วนๆ
ยังมีการใช้ชีวิต ที่อยู่เหนือความเชื่อได้หรือไม่?
ชีวิตเช่นนี้จะตกต่ำเลวทราม ตามทางจรินธรรม วัฒนธรรม หรือว่า กลมกลืน
ตามธรรมชาติกันแน่?
ตรงนี้แหละที่เราจำต้องหันมาพิจารณา โยคะ ไทฉิและสติปัฏฐาน 4
รวมถึงการเพ่งเพื่อกลมกลืนกับพระผู้เป็นเจ้า การกระทำจำเพาะนี้คือ
การตามรู้ตามเห็นอย่างใกล้ชิดต่อการดำรงชีวิตอยู่เหนือคำอธิบายของหลักลัทธิ
เป็นการเห็นสภาวะตามที่เป็นจริง, เป็นเอง(สวยมฺปรภู) ปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์
เป็นการเห็นชีวิต การดำรงอยู่ทุกสิ่ง
โดยไม่แบ่งแยกแจกแจงตามระบบคุณค่าทางวัฒนธรรม, ระบบตรรกวิธี, หรืออื่นใด กล่าวคือ
เป็นการเห็นความเป็นเองของชีวิต อย่างลึกซึ้งถึงแก่น พ้นสัญลักษณ์ และกรอบทฤษฏีต่างๆ
จิตตามวิสัยสามัญนั้น ต้องถูกประกอบด้วยสัญญลักษณ์,
ความเชื่อและอคติ และคิดนึกไปโดยไม่รู้สึกตัวอยู่เสมอ
ไม่เคยได้ตั้งสติย้อนมาเฝ้าดูอาการล้วนๆของจิต เพราะมัวเพลิดเพลินคิดนึก
จึงไม่เห็นความคิดนึก จึงไม่รู้สึกต่อการมีชีวิตล้วนๆอันผ่องแผ้วได้
โยคะ ไทฉิ สติปัฏฐาน ก็คือการทำความรู้สึกตัว
กำหนดความรู้สึกตัวอยู่บนบานของการเคลื่อนไหวที่เป็นจริงและต่อเนื่อง เพื่อรุ้แจ้งและกลมกลืนเป้นการทำลายความไม่รู้ด้วยความรู้ต่างๆ
เป็นช่วงเพ่งจำเพาะอยู่เหนือความรู้สึกนึกคิด อันเรียกเอาศักยภาพแห่งการดำรงชีวิตคืนมา
และกำลังภายในจากแหล่งกำเนิด
คือกระแสสมาธิอันลึกซึ้งและแรงกล้าสจะเข้ามาเปลี่ยนกระแสธารของชีวิตให้ไหลย้อนกลับหลังสู่ต้นกำเนิด
อันพร้อมพรั่งด้วยปรีชาญาณ ที่แหล่งกำเนิดของชีวิตนั้นไม่ใช่การดำรงอยู่
เป็นใหญ่เหนือความหมายรู้เรื่องอยู่หรือตาย และด้วยอิสระเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเรียกว่า
เป็นความสุขสงบกล่าวคือสงบจากการดิ้นรนเพื่ออยู่ พลังทั้งหมดของการมีชีวิตอยู่ไม่ถูกทำลายเพราะความคิดวิตก
กังวล หื่นกระหายที่จะได้มีชีวิตในมายา ดังนั้นชีวิตจึงเปิดเผยถึงธาตุแท้อันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในกรอบทัศนคติใดๆ
ศักยภาพและการสร้างสรรค์ศิลปศาสตร์ เห็นความคิดนึก เป็นการรู้รอบถ้วนทั่วกลมกลืน
และเป็นไปเอง ไม่ใช่การเพ่งเพื่อหยุดพิจารณาใดๆ การรู้ความรู้สึกก็คือ เวทนานุปัสสนา
รู้การเคลื่อนไหวคือ กายานุปัสสนา การรู้เห็นความคิดนึก คือจิตตานุปัสสนา
และเป็นนการรู้เห็นในอันเป็นจริง มิใช่คาดคิดหรือหาเหตุผลอันไม่ได้เห็นสภาพจริง
การมีสติรู้เห็นถ้วนทั่ว และปล่อยวางไม่ยึดถือ
เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่ทีละขั้นตอนตามทางของการอธิบาย สติปัฏฐาน 4 นั้น
เป็นประสบการณ์โดยตรง อยู่เหนือการคาดคิดวิพากษ์วิจารณ์
หรือใคร่ครองเป็นสภาพกลมกลืน และเห็นแจ้งต่อความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆซึ่งเป็นอยู่เอง
นี่คือใจความภาคปฏิบัติไม่ใช่ระบบอธิบายคุณค่าใดๆ
เราจะเห็นว่า โยคะ ไทฉิ และสติปัฏฐาน เป็นกลวิธีพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วถึงโดยอาศัยการเคลื่อนไหวอันเนิบช้าและต่อเนื่องเพื่อเกิดอำนาจสมาธิตามธรรมชาติให้พอเพียงที่จะปลุก
โพธิ ให้ตื่นขึ้น ทั้งโยคะ ไทฉิ สติปัฏฐานหาใช่สัจจะไม่ แต่เป็นเทคนิคในการเร้าให้ธาตุแท้ของจิตได้แสดงศักยภาพของมันออกมา
ชื่อต่างๆที่เรียกว่า เวทนา จิต อาสวะ ฯลฯ อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติ
หากยึดถือเข้าแล้ว การปลุกโพธิให้ตื่นก็หาสำเร็จไม่ กลับเป็นความยึดมั่นต่อกรอบทางวัฒนธรรมยิ่งๆขึ้น
จนไม่อาจล่วงรู้ถึงสิ่งที่จริงเหนือสมมติได้
ชีวิตกับความสว่างและอิสระนั้นคือสิ่งเดียกวัน
ชีวิตคือสภาพตื่น รู้แจ้งอยู่เองแล้วเราสูญเสียหลงลืมมันไป
ก็เพราะมายาภาพทางวัฒนธรรมอันก่อเกิดเป็นความรู้สึกนึกคิด
แล้วยึดถือว่าเป็นจริงเป็นจัง จนเป็นความเชื่อ ทิฏฐิเกิดอหังการรุนแรง
ทนทุกข์ทรมาน และไร้ความสามารถ ขาดกรุณายิ่งขึ้น.