หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

จิมมี ดอริ์: ประธานบริหาร ไฟเซอร์ ไม่เชื่อในเรื่องวัคซีน ‘มรณา’ทั้งหลาย

 จิมมี ดอริ์: ประธานบริหาร ไฟเซอร์ ไม่เชื่อในเรื่องวัคซีน มรณาทั้งหลาย

Jimmy Dore: Pfizer CEO Was SKEPTICAL Of mRNA Vaccines

(17 มีนาคม 2022)

รายการ จิมมี ดอริ์ โชว์ เป็น รายการสดทางสื่อ(LIVE STREAM & LIVE SHOW) เช่น อี-เมล์(Email)/ทวิตเตอร์(Twitter)/เฟซบุ๊ค(Facebook)/อินสตราแกรม(Instagram) ที่มีผู้ติดตามรายการถึง 1 ล้านคนในตอนนี้.

แพตตัน ออสวอลท์(Patton Oswalt): จิมมี เป็นผู้ระราน(outrageous)และผู้ถูกระราน(outrage), ผู้เป็นก่อกวน(bothersome)และผู้ถูกก่อกวน(bothered). น้ำเสียง(voice)ที่ชี้ขาด(crucial), ดูหมิ่น(profane), เร่าร้อน(passionate)เพื่อนักคิดทั้งหลายที่หัวก้าวหน้าและเป็นอิสระ(progressive and free-thinkers)ในศตวรรษที่ 21 ของอเมริกา. จิมมี จะโกรธคุณถ้าคุณเป็นพวกหัวอนุรักษ์(a conservative)และเดือดดาลใส่คุณ(enrage you)ถ้าคุณเป็นพวกเสรีนิยม(a liberal).

ประธานบริหารไฟเซอร์ อัลเบิร์ต บัวร์ลา(Pfizer CEO Albert Bourla) ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้ลงแข่งขัน(unlikely candidate)สำหรับการแพร่กระจายความลังเลใจในการรับวัคซีน(spreading vaccine hesitancy), แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้เข้ามาอย่างใกล้ชิดเมื่อเขาได้ยอมรับแก่ผู้สัมภาษณ์ว่า(acknowledged to an interviewer)เขาไม่เชื่อในตอนต้น(initially skeptical)เกี่ยวกับแผนงานในกานพัฒนาวัคซีน มรณา-mRNA’ ในการจะปะทะต่อสู้กับ โควิด-19(COVID-19). เขาได้ถูกชักจูง(was persuaded), เขาบอก, โดยนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายของบริษัท(by company scientists), แทนที่จะทำตามเช่นผลงานที่ผ่านมาซึ่งใช้เวลายาวนานของไฟเซอร์(Pfizer’s lengthy track record)กับวัคซีนตามธรรมเนียมปฏิบัติ(traditional vaccines), และเพียงแค่สองปีของการวิจัยค้นคว้าในการผลิตสร้างผลิตภัณฑ์ที่แน่นอน(producing zero product)กับวัคซีน มรณา-Mrna’myh’ทั้งหลาย. จิมมี และดาราตลกอเมริกันเคิร์ท เมตซ์เจอร์(American comedian Kurt Metzger) ถกเถียงกันถึงเรื่อง 34 พันล้านเหรียญคือเหตุผลทั้งหลายที่ทำให้จิตใจของบัวร์ลา(Bourla’s mind)อาจได้ถูกทำให้เปลี่ยนไป, และนั่นคือทำไมเขาในตอนนี้กำลังผลักดันผู้คนให้รับการฉีดวัคซีนที่เข็มสี่(to get a fourth shot)ของผลิตภัณฑ์ที่ตนเองขาดความศรัทธาในตอนแรกเริ่ม(lacked faith in at the start).

จิมมี ดอริ์:      ตอนนี้คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ลังเลใจในวัคซีนกระตุ้น(not allowed to foment vaccine hesitancy)นั่นยังเป็น เป็นไม่ ไม่ขนาดใหญ่มากด้วย.

อ้า...ดังนั้น, ใครก็ตามที่บอกว่าคุณก็ไม่ได้รับอนุญาตที่จะวิพากษ์วิจารณ์(not allowed to criticize)นั้นก็คือผู้ที่ปกครองคุณ(is who rule you).

แต่ แฟรงค์ ไกรมิ์ส(Frank Grimes) ได้ทวีตอันนี้ออกมา(tweeted this out). เค้าเจอวีดิโอนี้(this video). นี่คือCEOของไฟเซอร์(Pfizer), และเขาพูดว่า ไฟเซอร์(Pfizer)กำลังเริ่มต้นที่จะถอยห่างตนเองจากวัคซีน (Pfizer is starting to distance itself from the vaccine) นี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมมายิ่งนัก(remarkable).

เอาละ, เรามาดูกัน. เรามาดูกันว่าอะไรที่เขาหมายถึง เมื่อเขาพูดเช่นนั้น?

พิธีกร: เมื่อตอนที่คุณและเพื่อนร่วมงานทั้งหลายของคุณ(your colleagues)กำลังพยายามที่จะตัดสินใจว่าเส้นทางไหนที่จะลงไป(to decide which route to go down)ยังเส้นทาง “วัคซีนตามธรรมเนียม – the traditional vaccine route)” หรือ เส้นทาง “มรณา – mRNA(the mRNA route), คุณเขียนว่า...เอ้อ...มันถูกอ้างว่าเป็นโต้ตอบตามสัญชาตญาณอย่างมากที่สุด(quote most counterintuitive)ที่จะไปตามเส้นทาง “มรณา-mRNA”. และกระนั้น, คุณก็ยังได้ไปในเส้นทางนั้น. ช่วยอธิบายสิว่าทำไม?



อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEO: มันเป็นโต้ตอบตามสัญชาตญาณ(was counterintuitive)เพราะว่า ไฟเซอร์(Pfizer)กำลังเป็น “เจ้าใหญ่”(was mastering)หรือเอาเป็นพูดได้ว่า เราได้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่ดีอย่างมาก(had very good experience and expertise)กับเทคโนโลยีทั้งหลายที่มากมายหลายประการ(with multiple technologies)ซึ่งสามารถ”ให้วัคซีน”ได้(could give a vaccine).

จิมมี ดอริ์:      งั้นผมก็จะแค่...เพราะว่าเขาค่อนข้างจะมีการเน้นเสียงอย่างหนาเหลือเกิน(got such a thick accent). ให้ผมแปล(translate)ภาษาอังกฤษของเขาเป็นอังกฤษ(English to English)อีกทีก็แล้วกัน.

เอ้อ, ที่เข้ากำลังพูดอยู่ก็คือ, เรามีหนทางแตกต่างกันอยู่มากมายให้กำเนิดวัคซีนนี้(deliver this vaccine). อะไรที่ไม่ใช่แค่เจ้า “มรณา-mRNA”. นั่นคืออะไรที่เขากำลังบอก, เรามีหนทางแตกต่างกันมากมายในการที่จะทำเรื่องนี้. นั่นคืออะไรที่ผมได้ยินเขาพูด. แล้วตอนนี้เรามาฟังเค้าพูดมันผ่านการเน้นเสียงอย่าหนาอันอื่นกันอีก.

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEOไวรัสทั้งหลายที่บางวัคซีนทั้งหลายอื่น(some of the other vaccines)คือที่เราได้ดีเก่งมากในการทำนั่น(were very good in doing that)...

จิมมี ดอริ์:      และพวกเขาก็เก่งดีมากๆในการทำวัคซีนประเภทนั้น(very good in that kind of vaccine), โอเค.

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEO...วัคซีนโปรตีนทั้งหลาย(protein vaccines) ก็ได้ดีมากๆในการทำการนั้นๆ., และบวกกับเทคโนโลยีทั้งอื่นอีกมากมาย(plus many other technologies). เอ้อ...”มรณา-mRNA” เป็นเทคโนโลยีนั้น, แต่เรามีประสบการณ์น้อยกว่า(less experience), เพียงแค่สองปีในการทำงานกับเรื่องนี้. และที่จริงแล้ว(actually), “มรณา-mRNA”เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่เคยได้”คลอดออกมา(never delivered)แม้แต่ผลิตภัณฑ์เดียวเลย(a single product).

จิมมี ดอริ์:      แล้วเขาก็เพิ่งจะบอกว่า เทคโนโลยีวัคซีน“มรณา-mRNA”ได้เป็นอะไรบางอย่างใหม่, ที่เราได้ทำงานกับมันมาเพียงสองปีเท่านั้น. และมันก็ไม่เคยคลอด/ผลิตออกมาก่อนแม้แต่ชิ้นเดียวอย่างประสบสำเร็จ(never a single product successfully). เราไม่เคยสามารถที่จะทำมันได้สักอันมาก่อน(never been able to do before).

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEO...จนถึงวันนั้น(till that day), ไม่มีวัตซีนหรือยาอื่นอะไร(not vaccine or other medicine)...

จิมมี ดอริ์:      ไม่มีอะไรเลย(nothing).

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEOดังนั้น...ดังนั้นเราจึงกังขาใจตามสัญชาตญาณอย่างมาก(very counterintuitive), และผมก็ได้ประหลาดใจ(surprised)เมื่อพวกเขาแนะนำกับผม(when they suggested to me)ว่านี่คือหนทางที่จะไป(the way to go)....

จิมมี ดอริ์:      แล้วเขาก็บอกว่ามันเป็นความกังขาใจตามสัญชาตญาณ(counterintuitive), ผมหมายความว่า, มันฟังไม่เป็นเหตุผล(didn’t make sense). ที่เขาบอกว่ากังขาใจตามสัญชาตญาณ(counterintuitive). อะไรที่เขากำลังพูดมันฟังดูไร้เหตุผลใดๆเลยสำหรับผม(don’t make any sense to me), ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น(they would do that). เมื่อเขาพูดว่า”พวกเขา”, ผมเดาเอาว่าเขาหมายถึง นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย(the scientists)ที่ทำงานให้กับไฟเซอร์(work for Pfizer)ผู้ที่ได้พัฒนาวัคซีนนี้ขึ้นมา. ดังนั้นเขาจึงเอาแต่พูดว่าพวกเขา(they).

         เพราะเช่นนั้น, ผมกำลังเดาเอาว่า เขาเป็นแค่เจ้านาย(bureaucrat)คนหนึ่งและเขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์(a scientist). ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นหรือไม่. วานคุณค้นหาดู(look up)เกี่ยวกับอัลเบิร์ต บัวร์ลา(Albert Bourla), เขาเป็นหมอ(a doctor)นะผมคิดว่า...

เคิร์ท เมตซ์เจอร์(Kurt Metzger):   มันเป็นสิ่งน่าทึ่ง(an amazing thing)ที่ประธานบริหารระดับCEO ที่จะไม่พูดใช้คำว่า “เรา(we)”, พวกเขามักจะพูดว่า “เรา(we)”…

จิมมี ดอริ์:      เขาพูดว่า “พวกเขา(they)”...

เคิร์ท เมตซ์เจอร์(Kurt Metzger):   เย้, นั่นคำโตมาก(that’s huge)...

จิมมี ดอริ์:      เย้, เขากำลังถอยตัวเองห่างออกมา(he’s distancing himself)จากวัคซีนนั่น(from the vaccine).

 



สเตฟ ซาโมราโน(Stef Zamorano @MISERABLELIB):  ฉันได้มาว่า, อัลเบิร์ต บัวร์ลา(Albert Bourla)เป็นสัตวแพทย์อเมริกันเชื้อสายกรีก(a Greek American veterinarian)...



จิมมี ดอริ์:      เขาเป็นสัตวแพทย์(a veterinarian)...นั่นแหละที่ทำไมเขา...ผมสงสัยว่าเขากำลังเหยาะย่างอย่างม้าอยู่หรือเปล่า(takes horse pace). เรากลับไปยังวีดิโอนี้กันต่อดีกว่า.

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEO...และผมได้ถามถึงมัน(questioned it). และผมถามเขาให้อธิบายเหตุผล(to justify)ว่า คุณจะสามารถพูดถึงบางอย่างเหมือนเช่นนั้นได้อย่างไร(how can you say something like that).

จิมมี ดอริ์:      เขาว่าไปถึง คุณสามารถพูดบางอย่างเช่นนั้นได้อย่างไร, ที่ว่า เราควรจะใช้เทคโนโลยี “มรณา-mRNA(the mRNA technology)สำหรับวัคซีนนี้. คำถามนั่นคือว่า คุณสามารถพูดอะไรเช่นนั้นได้อย่างไร. นี่คือผู้ที่พูดเช่นนั้น(a guy saying that)ต่อหน้ากล้องสื่อ.

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEO...แต่พวกเขามาและพวกเขาได้โน้มน้าวทำให้แน่ใจอย่างมากๆ(were very convinced)ว่า นี้คือหนทางทางถูกต้องที่จะไป(the right way to go). พวกเขาได้รู้สึกว่าสองปีของสงครามนั้น(felt that two years that war), กับ “มรณา-mRNA”, ตั้งแต่ปี 2018 ด้วยกันกับ BionTech, เพื่อพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่(to develop a flu vaccine), ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว(the technology is mature)และเราอยู่ที่จุดปลายยอดแหลม(at the cusp) ของ เอ้อ ปัญหาการ”ส่งมอบ”(delivering problem)...

จิมมี ดอริ์:      พวกเขาได้ทำงานกับมันมาสองปีในการที่จะได้วัคซีนไข้หวัดใหญ่(to get a flu vaccine)ด้วยเทคโนโลยีวัคซีน “มรณา-mRNA(mRNA vaccine technology). และในเมื่อพวกเขาเมื่อคุณกำลังทำงานอยู่กับมัน(working on it)มานานสองปี, พวกเขาได้รู้สึกว่าเทคโนโลยีนี้ได้บรรลุวุฒิภาวะแล้ว(the technology was mature). ถึงแม้กระนั้นว่ามันไม่เคยถูกส่งมอบผลิตภัณฑ์นั้นออกมาเลย(never delivered a product). พวกเขาไม่ได้สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นออกมาได้กับ วัคซีน “มรณา-mRNA” ไข้หวัดใหญ่(the mRNA flu vaccine).

อ้างอิงจากที่เขาบอกมาเอง, พวกเขาไม่สามารถจะทำมันออกมาได้(they weren’t able to do it). พวกเขาไม่ได้มีผลผลิตกับอะไรออกมาเลยสักอย่าง(they weren’t able to come up with anything), ในการใช้เทคโนโลยีวัคซีน “มรณา-mRNA(using mRNA vaccine technology).

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEO...และเช่นนั้นที่พวกเขาได้ชักจูงผมให้มั่นใจ(they convinced me), ผม..ผมก็ได้ไปตามสัญชาตญาณของผม(followed my instinct)ว่า พวกเขารู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร. พวกเขาเก่งดีมากอยู่แล้ว(they are very good). และเราทำการตัดสินใจนี้กันอย่างยากมากๆในตอนนั้น(make very difficult decision at that time).

จิมมี ดอริ์:      แล้วอีกครั้ง, “วันนั้นผมใช้สัญชาตญาณของผม. เขาใช้สัญชาตญาณของเขา(used his instinct)ต่อผู้คนที่ไว้วางใจต่อเขา(trust people), ผู้ที่เขาแค่ถามว่า สัญชาตญาณของคุณว่าเป็นฝั่งตรงข้าม(was the opposite). คุณตอแหลแล้ว(you liar).

         สัญชาตญาณของเขา(his instinct)เป็นฝ่ายตรงข้าม(was the opposite). สัญชาตญาณของเขาบอกว่า ทำไมเราถึงกำลังทำเรื่องนี้(why we are doing this). คุณสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร(how could you possibly say this)? แล้วให้เหตุผลตัดสินกับมัน(justify it).

         สัญชาตญาณของเขา(his instinct)เป็นหนทางวิธีอื่น(was the other way).

เคิร์ท เมตซ์เจอร์(Kurt Metzger):   คุณเคยเห็นประธานระดับ CEO ทำเช่นนี้มาก่อนไหม?

จิมมี ดอริ์:      ไม่!

เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   ผมเองก็ไม่เคยทำอะไรเช่นนี้แต่อย่างใดมาเลย.

จิมมี ดอริ์:      และเขากำลังโกหก(he’s lying). แล้วนั่น...คำพูดทั้งหลายของเขาเองที่ขัดแย้งตรงกันข้ามกัน(his own words are contradictory).

เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   พวกนั้นบีบบังคับเขาในฐานะประธานCEOให้ทำในเรื่องนี้(forced him as CEO to go with this). หะหะหะ.

จิมมี ดอริ์:      และนั่นได้บังเกิดขึ้นตลอดเวลา, เมื่อคุณกำลังโกหก. คุณมักจะขัดแย้งกับตัวคุณเองเสมอ(you often contradict yourself)เมื่อคุณกำลังไม่ได้บอกความจริง(when you are not telling the truth). เขาแค่ขัดแย้งกับตัวเอง(he just contradicted himself).



         ดังนั้น, ประมาณการการขายของวัคซีนไฟเซอร์ทั้งหลาย(Pfizer boots)คาดว่า 33.5 พันล้านเหรียญ(ดอลลาร์)พุ่งพรวดเข้าใส่มนุษย์(surging to man)ดันการฉีด(วัคซีน)ขึ้นไปสู่สุดยอดยาระดับทะลายห้าง(the top of the drug blockbusters), นี่มาจากเดือนกรกฎาคม 2021. แผนของผู้ผลิตยาทั้งหลายเข็มกระตุ้นเดลต้าอยู่ในขั้นทดสอบ(plans delta booster delta trial).

         เฮ้! ผลิตภัณฑ์โควิดของไฟเซอร์(Pfizer’s COVID product)ขายทะลุขึ้นไปยอดบน 50 พันล้านในปีนี้. นักลงทุน(the investors)ต้องการอีก(want more), นั่นมาจากเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้.



เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   ช่างพาดหัวอะไรขนาดนั้น. เฮ้, พวกเขาต้องการอีกมากก็น้อยมั๊ง?(want more or less)...

จิมมี ดอริ์:      พวกเขาต้องการมากยิ่งขึ้นอีก. เย้, นั่นคือผู้ลงทุนทั้งหลายต้องการกำไรมากขึ้นไปอีก(they want more profits). เย้, นักลงทุนทั้งหลายนั่น(that investors)ต้องการกำไรมากขึ้นไปอีกหรือกำไรน้อยลง, ผมไม่เข้าใจด้วยล่ะ. ว่าอะไรที่พวกนักลงทุนทั้งหลายตั้งใจต้องการไม่มากก็น้อย.

“เพื่อที่จะช่วยผลักดันคลื่นระลอกอื่นอีกของโควิด-19(to help fend off another wave of COVID-19), ผู้คนจะจำเป็นต้องการเข็มที่ 4 ของวัคซีน(a fourth dose of the vaccine), ประธานCEOของไฟเซอร์พูด(says the Pfizer CEO).



         แล้วชายคนเดียวกันก็กำลังพูดอันนี้ในตอนนี้(that same guy is now saying this), พร้อมกันแล้วกับเรื่องนี้นะ.

พิธีกรรายการFACE:NATIONคุณคิดว่าเราจะทุกๆฤดูใบไม้ร่วง(every fall)ต้องเตรียมพร้อมตัวเราสำหรับฉีดเข็มกระตุ้น(to prepare ourselves for a booster shot)กับโควิด, เหมือนกับที่เราฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่(get a flu shot)?


อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEOผมคิดเช่นนั้นด้วย, ตัวเปลี่ยนรูปทั้งหลายใดๆ(any variants)กำลังมาและ “โอเมก้า-omega”เป็นอันดับแรกที่สามารถจะหลบหลีก(the first one that was able to evade)ในวิธีอย่างมีทักษะเยี่ยม(in a skillful way)ต่อการป้องกันของภูมิต้านทาน(the immune protection), ที่เรากำลังให้อยู่(that we’re giving). แต่ด้วยเช่นกัน, เรารู้ถึงช่วงเวลาของการปกป้องคุ้มกัน(the duration of the protection)ไม่ได้คงอยู่ไปนานมาก(doesn’t last very long). ดังนั้นอะไรที่เรากำลังพยายาม...

จิมมี ดอริ์:      นั่นคืออะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยบอกเรื่องนั้น(they never said that). พวกเขาบอก เมื่อผมกำลังจะฉีดวัคซีนของผม(going to get my vaccine)ว่ามันเป็นเช่นนั้นแหละ(that was it). มันเหมือนกับการฉีดวัคซีนโปลิโอ(like a polio shot), นั่นคือผู้คนได้บอกกับผม. แน่นอนละ, มันไม่ใช่เป็นเช่นนั้น.

         พวกเขาบอกให้คุณไปฉีดวัคซีน, แล้วพวกคุณทั้งหมดก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่เสร็จสิ้น(all taken care of). พวกเขาไม่เคยบอกว่า, คุณจะต้องคอยมาฉีดวัคซีนอยู่เรื่อยๆ(gonna have to keeping getting shot), หลังฉีดไปแล้ว, (after shot), ฉีดอีก, ฉีดอีก, ฉีดอีก, แล้วก็ฉีดอีก.

ไม่มีใครเคยพูดนั่นเลย.

ตอนนี้พวกเขากำลังทำมันให้ฟังเหมือนกับว่า, เขาได้พูดเช่นนั้นอยู่เสมอมา(they’ve always said that).

เอาละ, ปัญหาก็คือ, การป้องกันนั้นลดลง(the protection wanes).

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEOเมื่อเรากำลังทำงานกันอย่างพากเพียรมาก(are working very diligently), ในตอนนี้มันไม่ใช่เพื่อที่จะทำเพียงแค่วัคซีนตัวหนึ่งที่จะได้ป้องกันอีกครั้ง(not only a vaccine that will protect again)ในทุกไวรัสแปรรูปทุกตัว(all variants)รวมทั้ง”โอเมกา-omega”, แต่เป็นอะไรบางอย่างที่สามารถป้องกันอย่างน้อยถึง 1 ปี(something that can protect at least a year).

พิธีกรรายการFACE:NATIONดังนั้นคุณได้เห็นบางข้อมูลนั้น(some of that data)ของโดสที่สี่(on a fourth dose), เข็มกระตุ้นที่ 2 (a second booster)ที่คุณคิดว่ามันจะเป็นความจำเป็น(will be necessary).

อัลเบิร์ต บัวร์ลา, CEOมันเป็นความจำเป็นกับเข็มกระตุ้นที่ 4(it is necessary a fourth boost)ในตอนนี้การป้องกัน(the protection)ที่คุณกำลังได้รับจากเข็มที่ 3(that you are getting from the third), มันดีเพียงพอ, อันที่จริงแล้ว, ค่อนข้างดีสำหรับ “การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลทั้งหลาย-hospitalizations” และ “การเสียชีวิต-death”. แต่มันไม่ใช่ดีกับ “การติดเชื้อทั้งหลาย-infections”, แต่นั่นก็ไม่อยู่ได้นานมากนัก(doesn’t very long). แต่เราเพิ่งกำลังยื่นเสนอข้อมูลพวกนั้น(are just submitting those data)ยัง FDA(องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา-ผู้แปล). แล้วตอนนั้นเราจะได้เห็นอะไรที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย(the experts)ด้วยเช่นกันที่จะบอกพูดใน”การชกวงนอก(outside fight)”

จิมมี ดอริ์:      ผมเดาเอาว่าเราคงต้องรอคอยกัน 75 ปีสำหรับ “ข้อมูล-data”นั่น, เพราะว่านั่นคือระยะเวลานานซึ่งที่ปรึกษา(advisor)ต้องการให้เรารอสำหรับข้อมูลของพวกเขาในเรื่อง “การทดสอบวัคซีน”(their data on the vaccine trials).

เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   เรื่องตลกก็คือ(the irony)ที่ว่าเขาเป็นสัตวแพทย์(a veterinarian). หลังจากเหยาะๆย่างๆแบบม้าโรแกน(the rogan horse-paced), ที่ผมชอบนะ.

จิมมี ดอริ์:      คุณไม่สามารถคุณไม่ควร, ถ้าคุณถอนรากแล้วเขียนไส้กองนี้ออกมาเป็นบทพูดในหนัง,(wrote this stuff into the script), พวกนั้นก็จะเป็นแบบ ไม่เอาน่า.

นั่นลำบากยากนิดหน่อยที่จะเชื่อว่าพวกเขาจะทำให้ได้ชัยชนะรางวัลโนเบล(they would make a Nobel prize winning)ในเรื่องยารักษามนุษย์(human medicine)ออกมาเป็นยารักษาม้า(horse medicine)และชายผู้เป็นหัวของบริษัทยาอะไรนี้(at the head of the pharma)ก็เป็นสัตวแพทย์(a veterinarian), ไม่เอาน่า.

เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   เอาละ, นั่นแหละอะไรที่พวกเขาบอกผมให้พูด(tell me to say)? [หัวเราะ]

จิมมี ดอริ์:      “ผมแค่ส่งเช็คไปให้เขา, แล้วให้ลืมเรื่องฉีด(วัคซีน)นั่นไปซะ, ได้มั๊ย?”



         แล้ว, ผมรู้ว่าเพื่อนทั้งหลายของผมที่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ของการเชื่อในเรื่องเล่าบรรยายโควิด(buying into a COVID narrative)จากสถาบันจัดตั้งนั้น(of the establishment), และได้กระดิกทั้งหลายนิ้วของพวกเขา(were wagging their fingers)และโหมกระพือเชียร์กระหน่ำโปร-มาตรการ(pro-mandate).

         ผมรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันยอมรับ(never admit)ว่าพวกเขาทำผิด 100 เปอร์เซ็นต์เกี่ยวกับเรื่องนี้(were wrong 100 about this). และพวกเขาควรจะได้กังวลสงสัย(skeptical)ในเรื่องเล่าบรรยายโควิด-19(the COVID narrative)ที่ออกมาจากฟาวชี่(Antony Fouci1)และสัตวแพทย์-ยัดแม่ม- ทั้งหลาย(fu..ing veterinarians)เหมือนชายผู้นี้.

         1 https://en.wikipedia.org/wiki/Anthony_Fauci

         ผมรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันยอมรับมัน(will never admit it), เหมือนกับผู้คนที่ทำผิดเกี่ยวกับเรื่อง รัสเซียเกต(Russiagate)ที่ไม่เคยยอมรับผิดว่าพวกเขาได้ทำผิดยัดแม่มเกี่ยวกับเรื่องรัสเซียเกต(Russiagate). พวกเขาไม่มีวันยอมรับผิด.

เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   จิมมี, มีพวกเขาอยู่เท่าไหร่อยู่ในลมหายใจเดียวกัน(in the same breath)บอกกับคุณเรื่องเฝ้าดูอะไรเกี่ยวกับตระกูลแซ็คเลอร์(the Sackler’s family)...

จิมมี ดอริ์:      เย้, พวกเขาจะพูดว่า...พวกเขาคงจะพูดว่า คุณต้องดูเรื่องนั้นนะ(got to watch that). คุณต้องดูเอกสารนั่นที่เกี่ยวกับว่า ชาวนาทั้งหลายกลุ่มโตได้หลอกต้ม(screwed)ทุกคนและได้พวกเราให้ติดเป็นเฮโรอินและในขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้.

         และพวกเขาก็รู้ดีตอนที่พวกเขากำลังทำมัน.

         เย้...(เย้) เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนกำลังปกปิดอุบัติเหตุทั้งหลาย(covering up accidents).

         นี้คือผู้คนกำลังทำการวิศวกรรมองค์กรอาชญา(engineering a criminal enterprise)ที่ทำลายล้าง(devastates)และฆ่า(kills)ผู้คน.

นั่นคืออะไรที่บริษัทยาใหญ่ๆได้ทำ(that’s what pharma did). ด้วยภาวะเสพติดจากสารผิดปกติ(with opioid-addiction).

และพวกผู้คนเดียวกันนั้นที่ไม่ยอมให้คุณมีอยู่(you’re not allowed to have), ถ้าคุณวิพากษ์วิจารณ์(criticize)ผู้คนเหล่านั้น...อื้อ...คุณเป็นคนเลว(you’re a bad person). คุณคือพวกนักทฤษฎีโรคจิตระแวงการสมคบกันก่อการ(you’re a conspiracy theorist).

แทนที่จะว่าในอะไรที่พวกเขาเป็น, ซึ่งคือนักโฆษณาชวนเชื่อทำผิดซ้ำซากและนักสวาปาม(propaganda repeater and injester). นั่นคืออะไรที่คนพวกนั้นเป็น.

ผู้คนเหล่านั้นที่ได้ทำตลกกับอีริค แคลปตัน(made fun of Eric Clapton2- แคลปตัน ออกมาต่อต้านการฉีดวัคซีน/ผู้แปล). ผู้คนเหล่านั้นที่ได้ทำใส่ร้ายป้ายสีต่ออีริค แคลปตัน(who smeared Eric Clapton).

         2 https://www.rollingstone.com/music/music-news/eric-clapton-disastrous-vaccine-propaganda-1170264/

         พวกเขาจะไม่มีวันยอมรับว่าพวกเขาได้ทำผิด(they’ll admit they were wrong). พวกเขาไม่มีวันทำ a mea culpa”(ข้าพเจ้าเป็นคนบาป3). พวกเขาจะไม่มีวันออกมาขอโทษ(they’ll never

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%9B

apologize). พวกเขาจะไม่มีวันทำค้นหาจิตวิญญาณตน(a soul search)เลย.

         พวกเขากำลังจะโกหกต่อตัวพวกเขาเอง(going to lie to themselves)แล้วดำเนินต่อไปกับชีวิตของพวกเขา(move on with their life). และพวกเขาได้ทำให้เกิดขึ้นอย่างมากมาย...อะไรนะ...

เคิร์ท เมตซ์เจอร์:   คุณต้องกังวลเกี่ยวกับโรคร้ายอะไรก็ตามที่กำลังออกมาจากห้องปฏิบัติการชีวะแห่งสันติสุขนั่น(whatever disease is coming out of that peaceful bio lab)ใน ยูเครน(in Ukraine).

จิมมี ดอริ์:      เย้! ใช่เลย!...

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2565

มอรืแกน ฟรีแมน - เรื่องราวของพระเจ้า ชุดที่ 1 ตอนที่ 6

 เรื่องราวของพระเจ้า กับ มอร์แกน ฟรีแมน และ พระครู สุมาติ(กาบีร์ สะเสนา)

ชุดที่ 1 ตอนที่ 6 (พลัง แห่ง ปาฏิหาริย์ทั้งหลาย)

The Story Of God With Morgan Freeman and Ven. Sumati (Kabir Saxena) S01E06 (The Power Of Miracles).

 

เป็นภาพยนตร์ชุดสารคดีที่บรรยายโดย มอร์แกน ฟรีแมน1(Morgan Freeman)นำเสนอการสำรวจสืบค้นของ

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%99_%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99

เขา(his quest)เพื่อที่จะค้นหาว่า ลัทธิศาสน์ส่วนใหญ่(most religion)กำหนดรู้ต่อชีวิตหลังความตาย(perceive life after death)อย่างไร, อะไรที่อารยธรรมซึ่งแตกต่างกันทั้งหลาย(different civilizations)ได้คิดเกี่ยวกับ บทแห่งการรังสรรค์(the act of creation) และคำถามใหญ่ทั้งหลายอื่นๆ(other big questions)ที่มนุษยชาติ(mankind)ได้ถามกันมาอย่างต่อเนื่อง(has continuously asked).

การบรรยายของตอนนี้ มอร์แกน เริ่มออกเดินทางไปเพื่อสำรวจค้น(sets out to discover) ว่าทำไมเราเชื่อในปาฏิหาริย์ทั้งหลาย(believe in miracles) และพวกเขาก่อรูปความเข้าใจของเราในเรื่องพระเจ้าอย่างไร(how they shape our understanding of God). หลายคนเชื่อว่าพระเจ้าได้สอดแทรกอยู่ในโลกของเรา(does intervene in our world).

          2 https://fpmt.org/fpmt-community-news/news-around-the-world/ven-kabir-saxena-now-director-of-maitreya-buddha-project-kushinagar/





 

ฟรีแมน:        ผมได้มายังอินเดียเพื่อที่จะสำรวจตรวจค้นลัทธิศาสน์หนึ่ง(a religion)ที่เชื่อว่า เราทั้งหมดต่างมีพลังอำนาจจิต(the mental power)ที่จะแสดงปาฏิหารย์ทั้งหลาย(to perform miracles).

         นี่คือวิหารมหาโพธิ(Mahabodhi temple)ใน พุทธคยา(Bodhgaya). สร้างขึ้นตามความเชื่อตามประเพณีของชาวพุทธ(Buddhist tradition). เมื่อ 2,500 ปีก่อน, ชายผู้ชื่อว่า สิทธัตถะ โคตมะ(Siddhartha Gautama)ได้มาถึงความตระหนักรู้(came to the realization)ว่า จิตมนุษย์(the human mind)มีพลังอำนาจมหาศาลที่ไม่ได้ใช้การ(immense untapped power).



         ในการทำเช่นนั้น(in doing so), ท่านได้ค้นพบลัทธิศาสน์ใหม่ทั้งหมด(an entirely new religion), พุทธศาสนา(Buddhism). และคำบอกเล่าตามประเพณีว่า ท่านได้กระทำตรัสรู้(do it)นั้นที่ตรงนี้ใต้ต้นไม้นี้เอง(right here under this tree).

 




         ผมต้องการที่จะเข้าใจ(want to understand)อะไรที่ชาวพุทธทั้งหลาย(Buddhists)เชื่อว่าได้บังเกิดต่อพระสิทธัตถะ(happened to Siddhartha)ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้นี้. พระครูทิเบต(Tibetan monk)ลามะ ดอซัง ผู้สอนธรรมได้สัญญาที่จะช่วยให้ผมค้นพบคำตอบนั้น(to find out).



ลามะ ดอซัง: ดีใจที่คุณมาได้นะ. นี่คือจุดศักดิ์สิทธิ์(a holy spot)ที่ซึ่งที่พระพุทธเจ้าบรรลุการตรัสรู้(attained awakening).

ฟรีแมน:        ท่านดอซังบอกกับผมว่า ท่านจะทำให้ผมได้เข้าใจถึงปาฏิหาริย์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า(the miracle of Buddha’s enlightenment). ท่านจะทำเช่นนั้นโดยการท้าทายจิตใจของผม(by challenging my mind)ที่จะทำให้ผมที่จะเห็นแสงด้วยตัวผมเอง(to see the light myself).

ลามะ ดอซัง: แล้วคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับพระองค์อะไรบ้าง? พวกเขาสอนอะไรกับคุณมาในอเมริกา?

ฟรีแมน:        ผมได้เรียนมาว่า ท่านกำเนิดมาในวรรณะสูงศักดิ์(was of noble birth)และท่านเติบโตมาในที่ซึ่งถูกปกป้องปิดล้อมกั้นมาก(very sheltered)แลละแล้ววันหนึ่งท่านออกมาตระเวนเที่ยวนอกราชวังนั้น.

ลามะ ดอซัง:   ถูกแล้ว.

ฟรีแมน:        และเริ่มต้นเห็นตรงตามที่อะไรเป้นอย่างแท้จริง(began to see right what it really was).

ลามะ ดอซัง:   ทำไมพระองค์ทำเช่นนั้นล่ะ?

ฟรีแมน:        นั่นเป็นคำถามที่ท่านกำลังจะตอบ.

ลามะ ดอซัง:   เอาละ, คุณจะชอบมันอย่างไรบ้างถ้าบิดาของคุณได้ตัดสินใจทันทีที่คุณเกิดมาว่า ลูกคนนี้ของฉันกำลังจะเป็นพระราชา, ดังนั้นฉันจะต้องปกป้องรักษาเก็บพวกเขาไว้ในพระราชวังนี้, รายล้อมไปด้วยสิ่งวัตถุที่มีแต่ความสวยงาน(surrounded by beautiful sense objects), ดอกไม้ทั้งหลายที่ไม่มีวันเหี่ยวแห้ง, หญิงสาวงดงามทั้งหลายที่ไม่มีวันดูแก่เฒ่า...

ฟรีแมน:        สมบูรณ์เยี่ยม.

ลามะ ดอซัง:   นั่นไม่ใช่สมบูรณ์เยี่ยมหรอกรึ?

         แต่ชายผู้นี้กลับไม่พึงพอใจกับสิ่งนั้น(wasn’t satisfied with that)คุณจะทิ้งพระราชวังออกไปใช่ไหม?

ใช่.

         และคุณรู้ไหมว่าพระองค์เห็นอะไรเมื่อออกไปจากพระราชวัง?

ฟรีแมน:        เอาว่า, ตามที่ผมเข้าใจมันมา, ท่านได้เห็นความทุกข์(saw suffering), ท่านเห็นชีวิตที่แท้จริง(real life)ที่เราได้จากไปกันทั้งหมดในอะไร, เอ้อ, มีผู้คนแก่ชรา(old people), คนพิการ(cripples), ขอทาน(beggars). ผู้คนที่ไม่มีอะไร(have nothing), ผู้คนที่หิว(hungry).

ลามะ ดอซัง:   ใช่.

ฟรีแมน:        เหมือนกับผู้เปิดตาขึ้น(eye opener)แล้วมันเหมือนกับว่า...ว้าว.

ลามะ ดอซัง:   พระองค์เห็นการตาย(saw death). (ใช่) ผู้เป็นบิดาไม่ต้องการให้พระองค์ได้เห็นเช่นนั้น. มันทำให้พระองค์คิด, ได้รู้สึกอย่างแรงกล้าอย่างยิ่งว่า(so strongly felt)ฉันต้องไปจากราชวังนี้, เมื่อคุณต้องการจะหาสาเหตุของสิ่งนี้, ทำไมผู้คนถึงเป็นทุกข์?

ฟรีแมน:        สิทธัตถะ(Siddhartha)ท่องเที่ยวไปนานหกปี(roamed for six years), แสวงหาที่จะเข้าใจ(seeking to understand)ถึงเหตุแห่งความทุกข์(the cause suffering). จนกระทั่งท่านในที่สุดได้มาถึงร่มเงาของต้นไทรหนึ่ง(the shade of a figus tree)และตัดสินใจว่าท่านจะอยู่ที่ตรงจุดนั้น(right on that spot), เพ่งจิตของท่าน(focusing his mind)จนกว่าท่านจะได้ค้นพบว่า(discovered)จะจบสิ้นความทุกข์ของมนุษย์ได้อย่างไร(how to end human suffering).

         หลังจากที่นั่งไม่เคลื่อนไหวใด(sitting motionless)เช่นนั้นมาตลอดทั้งคืน, สิทธัตถะ(Siddhartha)ก็ได้สำเร็จบรรลุการเปลี่ยนรูปทางจิต(achieved a mental transformation). ชาวพุทธ(Buddhists)กล่าวว่า ท่านได้กลายมาเป็น พระพุทธเจ้า(became Buddha), ผู้รู้แจ้ง(the enlightened one).

ลามะ ดอซัง:   การสอน, พระองค์ตรัส, รู้ไหม, หมอที่ดี(a good doctor)จะบอกกับคนไข้ว่า “เพื่อน, คุณป่วย คุณป่วย(you’re sick), คุณเป็นทุกข์(you’re suffering), รู้ไหม, คุณมีปัญหา(you have a problem)”. อย่างที่สอง, ฉันรู้ถึงสาเหตุนั้น(I know the cause). โดยพื้นฐานแล้ว(basically), มันเป็นอุปาทานกิเลส(craving attachment).

ฟรีแมน:        พระพุทธเจ้า(the Buddha)ได้ตระหนักรู้ว่า(realized)ด้วยการละทิ้งความอยากทั้งหลายของตน(by letting go of his desires)และอุปาทานของตน(his attachment-ความยึดติด)ที่มีต่อโลกวัตถุ(to the material world)ท่านก็สามารถขจัดตนเอง(rid himself)พ้นไปจากทุกข์ได้(of suffering).

สำหรับพระพุทธเจ้า(for the Buddha)และพุทธศาสนิกชนหลายชั่วรุ่น(for generations of Buddhists)ภายหลังจากพระองค์, อิสรภาพจากอุปาทานนี้(this freedom of attachment)ดูจะยอมให้กับการเพ่งพิจารณาต่อจิตและกายรูปอันโดดเด่นกระทั่งบางทีอันน่าอัศจรรย์(a remarkable perhaps even miraculous mental and physical focus).

ลามะ ดอซัง:   คุณรู้ไหม, พระองค์ทรงสำนึกคุณต่อต้นไม้อย่างยิ่ง(so grateful to this tree), ใต้ร่มที่พระองค์ทรงประทับนั่งและบรรลุมรรคผลตรัสรู้อันน่าอัศจรรย์นี้(achieved this amazing realization). พระองค์ประทับอยู่ที่บริเวณนี้นานอีกเจ็ดสัปดาห์(for seven weeks). และหนึ่งในหลายสัปดาห์นั้น, แค่มองจับไม่กระพริบตาใดๆเลย(just gazing unwinkingly), เขาเล่ากันว่า.

ฟรีแมน:        ไม่เคลื่อนไหวไปไหนและไม่กระพริบตาเลย(unmoving and blinking), เป็นเวลาเจ็ดวัน?

ลามะ ดอซัง:   เป็นไปได้สิ, ทำไมรึ? เพียงแต่ต้องบริหารจิตของเรา(we happen to exercised our minds). เรายุ่งมากเกินไปกับสิ่งภายนอก(so busy with external things)ซื้อและขายและทำอะไรทั้งหลายนั้นๆ...

ฟรีแมน:        เรากระทั่งไม่เคยได้เห็นโยคี(a yogi)กันแท้จริงในการปฏิบัติตนเช่นนั้น.

ลามะ ดอซัง:   เอาละ, ในคนสามัญทั่วไป, มันเป็นสิ่งน่าทึ่ง(an amazing thing)แต่คุณกับฉันก็สามารถทำมันได้(can do it).

พระพุทธเจ้า(the Buddha)ใช้หลายปีของการฝึกทางจิต(years of mental training)และการแสดงความรักและเมตตาต่อผู้อื่น(and showing love and passion to others)สามารถทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากทุกข์ได้(can free them from suffering).

การเดินไปรอบๆวิหารนี้(this temple), คุณรู้สึกได้ว่าปาฏิหาริย์(a miracle)สามารถบังเกิดขึ้นได้จริง(really could happen).

ปาฏิหารย์ของการที่ผู้คนซึ่งทำตนสันโดษ(being content)กับชีวิตของพวกเขา, ผู้คนกำลังมุ่งไปด้วยกัน(getting along together).

ลามะ ดอซัง:   คุณต้องการที่จะเพียงมาและดูว่าลามะทิเบต(a Tibet lama)สอนศิษย์ชาวตะวันตกอย่างไรหรือ?

...โอ้ เฮลโล คุณสบายดีไหม? (ผมสบายดีแล้วท่านล่ะ, ขอรับ?)



ฉันเคยดูคุณแสดงในหนัง...(ท่านรู้จักผมหรือ?)...ฉันไม่รู้หรอก...หะหะหะ (จะมีใครอื่นเหมือนในหนังของผมได้อีกล่ะ?)...ช็อตคัท! เราทั้งหมดจำเป็นต้องจะเอาใจใส่ในกฎหมายและความเคารพซึ่งกันและกัน(we all need to care in the law and respect each other) . นั่นคือแหล่งกำเนิดของความสุข(the source of happiness). ใครก็ตามที่ได้มีสิ่งนั้น, การเดินทางของพวกเขาก็จะดี(their journeys is good). ใครก็ตามที่ไปรักษาสิ่งนี้ไว้ในหัวใจ(not keep this in a heart), การเดินทางก็ติดหล่ม(journey stuck). ขอบคุณ. จากวันนี้คุณคือเพื่อนของฉัน. ทุกแห่ง. ...โอเค๋?





(ผมชอบท่าน.)

ฟรีแมน:        แล้วลัทธิศาสน์มากมาย(a lot of religions)ค่อนข้างจะถูกตั้งบนพื้นฐานของปาฎิ-หารย์อยู่อย่างมากมาย(pretty much miracle based). ผมหมายถึง ชาวคริสต์(Christianity), ศาสนาจูดาย(Judaism)....(ใช่, ใช่เลย) เอ้อ...ท่านไม่ทำปาฏิหารย์ทั้งหลาย ใช่ไหม?(you don’t do miracles).

ลามะ ดอซัง:   แต่อะไรคือปาฏิหาริย์ล่ะ?(what’s the miracles)ฉันหมายถึงว่า...การบินในท้องฟ้านั่นเป็นปาฏิหารย์รึ?

ฟรีแมน:        เราโดยปกติคิดถึงเรื่องของปาฏิหารย์(think of miracles)ว่าเป็นอะไรบางอย่างของเทพพระเจ้า(some sort of divine thing), บางอย่างที่, โอเค, ให้ข้อพิสูจน์เราถึงพระเจ้า(give us proof of God)หรืออะไรบางอย่าง.

ลามะ ดอซัง:   รู้ไหม, โอเค, แล้วนั่นที่เราสามารถถามได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน(could ask where is God?) ความลี้ลับสุดๆทั้งหลายของคุณ(your hasta mystics)หรือของโยคี คือ, พระเจ้าอยู่ที่ไหน?(where’s God?), จะชี้ที่ตรงนี้(หน้าอก-ผู้แปล) ไม่ใช่ที่พวกเขาชี้ไปข้างบนนั้น. พวกเขาจะบอกว่าอยู่ในที่นี้. ดังนั้นแล้วเมื่อคุณได้ถูกบันดาลใจ(are being inspired)โดย...พระเจ้า(God), พระพุทธเจ้า(Buddha), พระไครสต์(Christ), รู้ไหม,...พระกฤษณะ(Krishna), อะไรก็ตาม(whatever)ที่คุณต้องการจะเรียก, บางทีเช่นนั้นแล้วคุณก็สามารถแสดงอะไรที่ถูกเรียกว่าปาฏิหารย์ได้(can perform what’s called a miracle).

         อะไรที่โลกนี้จำเป็นต้องการมากที่สุดล่ะ? การเยียวยา(healing), ถูกไหม? ความรัก(love).

         มันจำเป็นต้องการความประนีประนอม(a reconciliation)}, ฉันคิดว่า นั่นคือ ปาฏิหารย์ (the miracle)และนั่นคือปาฏิหาริย์ที่เราจำเป็นต้องการ(we need), เราไม่ได้จำเป็นต้องการผู้คนทำตัวลอยขึ้นได้(levitating)สามนิ้วขึ้นจากที่ก้นของพวกเขานั่งอยู่, รู้ไหม, ในขณะการทำสมาธิ(while meditation), นั่นเป็นเรื่องโง่เง่า(stupid).

         ดังนั้นแล้ว, เรามายึดอยู่กับปาฏิหารย์ที่แท้จริง(stick to the real miracle)ที่ซึ่งจะเปลี่ยนรูปจิตใจมนุษย์อย่างแท้จริง(which is to transform the human mind really).

ฟรีแมน:        เอาละ, ท่านรู้ไหมว่าท่านเพิ่งทำอะไรไป?

ลามะ ดอซัง:   อะไรรึ?

ฟรีแมน:        ท่านคลี่คลายปัญหาเรื่องปาฏิหารย์ทั้งหลาย(solve the problem of miracles).

ลามะ ดอซัง:   ขอบคุณ, ดีละ. เดินขึ้นไปกันเถอะ. ระวังหน่อยนะ.

ฟรีแมน:        มันประหลาดซึ่งน่าขัน(ironic)ที่ชายผู้ได้ต้องการให้เราที่จะตบเท้าเข้าไปใน(tap into)พลัง(the power)ที่พวกเราทั้งหมดมีอยู่ภายในตัวเราเอง(the power within ourselves), ได้คิดว่ามีอะไรบางอย่างของการเป็นเทพพระเจ้าอยู่(some sort of divine being).

         แง่คิดของพุทธศาสนา(the point of Buddhism)นั้นไปไกล, ขณะที่สิ่งที่ผมสามารถเห็นได้คือครูผู้สอนทั้งหลาย(the teachers)ที่ว่า เราทั้งหมดมีความสามารถ(capable)ที่มากอีกยิ่งไปกว่าที่เราอาจจะเชื่อว่าเราเป็น. เพียงแค่สำรวมความคิด(concentrate – สมาธิ)อยู่กับมัน(on it), แต่เอาจิตของเราไปสู่มัน(put our minds to it).

         ผมเคยดิ้นรนที่จะหาเหตุผลกับเรื่องราวทั้งหลายของปาฏิหารย์(struggle to make sense of miracle stories). มหาสมุทรสามารถถูกแยกออกได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไรที่จะเดินไปบนน้ำ(walk on water)?

         แต่ผมคิดว่าผมได้พลาดจากประเด็นจุดสำคัญไป(was missing the point).

         การที่จะเชื่อในปาฏิหารย์(to believe in miracles)คือการที่จะเชื่อว่ามีอะไรอื่นอีกมาต่อชีวิตกว่าพบเห็นกับตานั้น(meets the eye). การที่จะยอมรับว่า(to accept)ว่าสามารถมีอะไรบางอย่างที่จะเชื่อมเชื่อมติดต่อเรา, รวมเราเป็นหนึ่งเดียว(to connects us, unites us).

         มีจิตวิญญาณมากมายเหลือเกิน(so many souls)ผ่านโลกนี้ไป(pass through this world)และเส้นทางทั้งหลายของเราก็ตัดผ่านสิ่งปาฏิหารย์ทั้งหลาย(our paths cross miraculous things)สามารถได้และบังเกิดขึ้นได้จริงๆ(do happen). ผู้คนได้พานพบช่วงหยุดพักทั้งหลายนั้น(get the breaks), พวกเขามักจะต้องการให้ผู้คนสร้างแรงดาลใจคนอื่นต่อๆกันไปอีก(always wanted people to inspire one another), ผู้คนตกหลุมรัก(fall in love).

         และไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหลายนี้จะประพันธ์บรรเลง(orchestrated)โดยหัตถ์ของพระเจ้า(by the hand of God), พลังของจิต(the power of the mind), หรือแค่เพียงโอกาสบังเอิญหนึ่งในล้าน(one-in-a-million-chance). ผมเชื่อว่าเราควรจะเชื่อในปาฏิหารย์ทั้งหลาย(I believe we should believe in miracles).

         เพราะว่าปาฏิหาริย์นั้น(miracles), ไม่ว่าคุณจะตีความ(define)พวกเขาอย่างไรก็ตาม, ช่วยเราที่จะ, เอาละ, พวกเขาให้ความหวังกับเรา(they give us hope). พวกเขาขับดันเราให้สร้างสรรค์ความเป็นจริง(drive us to create reality), ออกมาจากความเป็นไปได้(out of possibility).

         https://youtu.be/JbSzSND4b0w

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2565

เบอธัญญะ สวามี ทิเอร์รา - อะไรคือความแตกต่างระหว่าง สัมปชัญญะและจิตสำนึก?

 

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง สัมปชัญญะ และ วิญญาณขันธ์/จิตสำนึก?

What is the difference between Awareness and Consciousness?

:เบอธัญญะ สวามี ทิเอร์รา เป็นครูสอนเชิง”จิตวิญญาณ”(a Spiritual Teacher)และนักประพันธ์1


         1 https://www.youtube.com/channel/UCGtnj3yGaSQnTL3SCMIHN2g



ฉันอยากจะทำความกระจ่างชัดของคำศัพท์ที่ฉันใช้บ่อยๆในการสอนทั้งหลาย(often use in teachings)และหนึ่งนั้นคือจิตสำนึก/วิญญาณขันธ์2(consciousness-หมายถึง วิญญาณขันธ์)และอีกอันนั้นคือสัมปชัญญะ(awareness).

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C

         และเราโน้มเอียงที่จะทำให้เท่ากัน(tend to equalize)ของสองคำศัพท์นี้(these two terms)และความเป็นจริงนั้น, ฉันได้หมายถึงเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน(meant different things).

         จิตสำนึก/วิญญาณขันธ์(consciousness)คือ ความสามารถสมรรถนะของคุณในการที่มีสัมปชัญญะ(your capability of being aware of)การตื่นรู้ต่อ อะไรคือสิ่งนั้น? (what is it)และ คุณกำลังอยู่ที่ไหน? (where you are).

ดังนั้นฉันมีสำนึกของจิต(conscious)ว่า ฉันกำลังอยู่ในสวนของฉัน(I am in my garden).ฉันมีสำนึกของจิต(conscious)ว่า ฉันกำลังพูดคุยกับคุณ(I am talking to you).

ฉันมีสำนึกของจิต(conscious)ว่า ฉันกำลังรู้สึกหนาวเย็น หรือร้อน หรือสบาย(I am feeling chilly or hot or pleasant).

ฉันมีสำนึกของจิต(conscious)ว่า อะไรที่ฉันกำลังคิดอยู่(what I’m thinking)

ฉันมีสำนึกของจิต(conscious)ถึง อะไรที่ความรู้สึกของการชี้แนะนำทางของฉันกำลังบอกกับฉันว่าให้จงมีสำนึกของจิต(what is that my sense of guidance is telling me that is to be conscious).

มีบางอย่างในนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึก/วิญญาณขันธ์(some things that part of conscious)ที่หลบหนีจากสัมปชัญญะของเรา(escape our awareness)หรือ หลบหนีความสนใจคำนึงถึงของเรา(escape our attention), และนั่นอาจไม่เป็นไร, ฉันไม่ได้กำลังใส่ใจสนใจจริงๆ(not really paying attention)ต่อเสียงของนกทั้งหลาย(sound of the birds)ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในฉากหลัง(are going in the background). หรือว่าประสาทรับรู้ทั้งหลายของฉัน(my senses)กำลังแค่เพ่งจับ(just focusing)อยู่ในที่นี้(ด้านหน้า – ผู้แปล)และไม่ใช่ในที่รอบๆนอก(not in periphery).

และบางอย่างที่ประสาทรับรู้ทั้งหลายของฉัน(my senses), ดวงตาของฉัน(my eyes), จมูกของฉัน(my nose), ผิวของฉัน(my skin), ได้รู้สึกตื่นรู้(is aware)และไม่ได้มีเป็นการย่อยหยั่งแยกอย่างสมบูรณ์(not being completely digested), รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์(completely incorporated), ในประสบการณ์รับรู้ของฉัน(in my experience)และนั่นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึก(part of subconscious). สิ่งที่คุณไม่สามารถที่จะติดต่อจัดการ(not able to deal)หรือคุณไม่ได้ตื่นรู้(not aware)ถึงอะไรได้กำลังบังเกิดอยู่ที่นั้น.

แล้วนั่นคือทั้งหมดที่เป็นส่วนหนึ่งของการมีสำนึกของจิต(that is part of being conscious) หรือการอยู่ในจิตใต้สำนึก(being in the subconscious), หรือการอยู่ในจิตไร้สำนึก/ภวังคจิต(being unconscious)3.

3 https://www.novabizz.com/NovaAce/Mind.htm

ดังเช่นนั้น, ฉันกำลังทำนั่นและฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันกำลังทำมัน.

สัมปชัญญะ(awareness) นั้นมากยิ่งไปกว่าสภาวะการมีอยู่(the state of being)ในที่ซึ่งทุกสิ่งได้ถูกรวมไว้ทั้งหมด(is encompasses), ในที่ซึ่งทุกสิ่งได้ถูกฝังตรึงในสัมปชัญญะอันพิสุทธิ์(is embedded in the pure awareness).

ที่คุณสามารถเรียกมันได้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์(divinity). คุณสามารถเรียกมันได้ว่า จักรวาลปัญญา(the cosmic intelligence). คุณสามารถเรียกมันได้ว่า สรวงสวรรค์(the divine). คุณสามารถเรียกมันได้ว่า เต๋า(the tao). คุณสามารถเรียกมันได้ว่า พระเจ้า(God).

แต่นี้คือส่วนของที่ได้ตื่นรู้ของตัวมัน(is aware of itself)เมื่อคุณกำลังได้ตระหนักรู้(when you are realizing)ว่านั่นคือทุกแห่งหน(that is everywhere).

ดังนั้น, นั่นคือส่วนที่งดงามของการได้รับสัมปชัญญะ(the beautiful part of gaining awareness), ทีละนิดทีละนิด, คุณเริ่มต้นการตระหนักรู้(realizing)ว่า โอ้ พืชนี้หรือบุคคลนี้(this plant or this person)มีคุณลักษณะความดีเลิศทั้งหลายอย่างเดียวกันชัดเจน(have the same exact qualities)ดังเช่นที่ฉันเองมี.

สติสัมปชัญญะนั้น(that awareness), ความสามารถในการติดต่อเชื่อมโยงนั้น(that connect ability)และ ความเหมือนกัน(similarity)ระหว่างทุกสรรพสิ่ง(between everything), มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต(alive or not alive), ในมิตินี้หรือในมิติที่หก(in this dimension or in the sixth dimension)หรือใน สิ่งมีชีวิตนอกโลกทั้งหลาย(in extraterrestrials)หรือสิ่งใดก็ตาม(or anything) ก็อยู่ในนั้น(is in there).

และด้วยเช่นนั้น, สัมปชัญญะ(awareness), คุณก็อยู่ใน(you are in)และด้วยเช่นกันก็อยุ๋ที่รายรอบด้วย(and also around).

ดังนั้นในขณะที่คุณแผ่ขยายจิตสำนึกของคุณออกไป(expand your consciousness), ในขณะที่คุณกลายมามีมากยิ่งขึ้นในสำนึกของจิตของสัมปชัญญะ(become more conscious of the awareness), ของการตื่นรู้อันบริสุทธิ์(of the pure aware), คือ สัมปชัญญะ(awareness), ดังนั้นแล้วคุณก็กำลังเริ่มต้นการแผ่ขยาย(start expanding). คุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น(become part of that).

และคือบางอย่างที่, ในประเพณีของผู้เลื่อมใสเวทย์อาคมทั้งหลาย(in the tradition of mystics)และความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ(spirituality)ได้เข้าใจผิดในเรื่องนี้ว่า โอ ฉันจำเป็นต้องตาย ฉันจำเป็นต้องปล่อยทิ้งตัวเองไป(let go of myself) เพื่อที่จะกลายเป็นบางอย่างอื่น(to become something else).

แต่มันจริงๆแล้วเกี่ยวกับการได้รวมเข้าไป(being included)หรือการได้รู้สึกถึงว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ต่อสัมปชัญญะที่ยิ่งใหญ่กว่า(are part of belonging to the greater awareness).

ดังนั้น, ในชั่วขณะที่คุณสำนึกในจิตเพียงเล็กๆของตัวคุณเอง(you little conscious of yourself), ฉัน, ฉันเอง, ตัวฉันเอง, มันก็เริ่มต้นที่จะเห็นเลยโพ้นนั้น(start to see beyond that). คุณเริ่มต้นการเชื่อมโยงกับสัมปชัญญะ(start relating to awareness). คุณเริ่มต้นมองเห็นว่าคุณอยู่ในมหาสมุทรกว้างใหญ่แห่งเชาวน์ปัญญา(in the great ocean of intelligence), แห่งรัก(of love), แห่งระเบียบการผันแปร(order alchemy), ความปีติทั้งปวง(all joy), ทั้งหมดที่เป็นสัมปชัญญะ(all that is awareness). มันเป็นความบริสุทธิ์ที่ไม่สามารถบ่งแยกได้ของเชาวน์ปัญญาแห่งรักและการแปรเปลี่ยนของสิ่งรังสรรค์(the pure undivided intelligence of love and alchemy of creation)และทุกสรรพสิ่ง(and everything).

ดังนั้นแล้ว, คำศัพท์ทั้งสองนี้(these two terms)...พวกเขาถูกเชื่อมโยงกันอย่างมาก(they are very much related). แน่นอนละ. แต่ถ้าคุณสร้างมันแค่เพื่อประโยชน์ของความกระจ่างชัดข้างใน(for the sake of inner clarification), คุณก็สามารถเรียกมันว่า จิตสำนึกหรือคำอะไรอื่นก็ได้(consciousness or another word) หรือ สัมปชัญญะในคำอื่น(or awareness another word).

ฉันใช้สองคำนี้เพื่อสร้างความแตกต่างกันนี้(to make this distinction)ง เพราะว่ามันสามารถกระจ่างชัดได้(can clarify)ว่าที่ไหนที่คุณกำลังไป. ที่คุณกำลังไปคือที่ที่คุณเป็นอยู่(where you’re going is where you are). และที่ซึ่งคุณเป็นอยู่ คือที่ที่คุณกำลังไป(where you are is where you’re going). ดังนั้นมันคือพาหนะ(the vehicle).

และยิ่งน้อยลงเท่าไหร่ที่คุณไร้จิตสำนึก(the less you are unconscious)ในการกระทำทั้งหลายของคุณ(of your acts), ในคำพูดทั้งหลายของคุณ(of your words), คุณก็จะยิ่งได้สัมปชัญญะมากยิ่งขึ้น(the more awareness you gain).

ดังนั้น, ยิ่งมากสำนึกของจิต(the more conscious)ยิ่งมากสัมปชัญญะ(the more awareness).

ยิ่งมากการเข้าไปรวมด้วยกัน(the more inclusion)ในมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ไพศาล.

         https://youtu.be/d58bxw9CiSg