หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ. ปยุตฺโต) - "ความรู้สึก.สำคัญ"

 

"ความรู้สึก.สำคัญ" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ป.อ.ปยุตโต

วัดญาณเวศกวัน สามพราน นครปฐม ธรรมบรรยายเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ หมวด โอวาสในพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง ความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญ

         https://youtu.be/1jZWl9SDQoc

อ้าว พูดมากก็เพื่อ ทรุด กลับจากนี่ทรุดทุกที บอกตามตรง บางทีก็ทรุดไปหลายวันแหละ เพราะพูดแล้วก็ได้เรื่อง แต่มันก็จำเป็นต้องพูด ก็เลยไม่ได้คุยกับพระใหม่ซะ มีอะไรก็อยากจะคุยเหมือนกันแหละ ก็คุยกันนิดๆหน่อยๆ.

แต่ก่อนก็เน้นเรื่องความรู้ไว้ นี่ก็พูดเป็นความรู้ ความรู้สึกมาเยอะ แล้วก็น่าเบื่อ แต่ว่ามันก็มีแง่มุมบางอย่างที่น่าจะพูดไว้อีกหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็จะว่าพูดเรื่องความรู้ว่าความรู้สำคัญๆ ก็เลยความรู้สึกไม่สำคัญ ความรู้สึกก็สำคัญ.

มนุษย์เราหรือสัตว์ทั้งหลายเนี่ยะ ขั้นแรกก็อยู่ด้วยความรู้สึกหมด คอนที่ยังไม่มีความรู้ก็อาศัยความรู้สึก ได้ยินเสียงดังน่ากลัว เมื่อรู้สึกเป็นอันตราย หนีไว้ก่อนหรือหลบไว้ก่อน เรียกว่าเห็นแสงจ้า โอ้ ไม่น่า...ไม่น่าไว้วางใจ หนีก่อนละ หรือได้กลิ่นไม่ดีอะไรเนี๊ยะ ความรู้สึกมาช่วย พื้นฐานก็ยังงั้น ก็มนุษย์ก็อยู่ได้ด้วยความรู้สึกยังงั้น เป็นพื้นฐาน แต่นี้ถ้าเราอยู่แค่ความรู้สึก มันไม่พอ ความรู้สึกอย่างเดียว ไม่พอ เพราะบางทีมันไม่ได้เป็นอย่างที่รู้สึก.

อ้า รู้สึกอร่อย เอ้อ...ชอบใจอยากกิน แค่มันกลายเป็นพิษก็มี ใช่มั๊ย? รู้สึกไม่ดีไม่อร่อย รู้สึกขม แต่กลายเป็นยาก็ที เพราะฉะนั้นจะเอาความรู้สึกตัดสินไม่พอ ก็ต้องอาศัยความรู้มาช่วย ก็มีความรู้สึกอย่างที่ว่า ได้ยินเสียงดัง กลัวแล้วก็หนีไป แล้วก็จบ อย่างนี้ก็หนีอยู่นั่นแหละ ได้ยินเสียง นี้ ก้าวต่อไปสู่ความรู้ก็ไปค้นว่า อะไรมันเป็นแหล่งของเสียงนี้ เอ้อ ได้ความรู้แหละ พอได้ความรู้ว่า มันจริงไม่จริงเป็นต้น อะไรเป็นอะไรนี่ ได้ความรู้ขั้นแรก ต่อไปก็ก้าวไปสู่การแก้ปัญหา.

พอรู้แล้วว่ามันเป็นอะไร ก็เสียงนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดเสียงดังนั้น มันควรจะแก้ไข เรารู้แล้วเป็นอะไร แก้ได้มั๊ย? รู้เหตุปัจจัยก็ไปจัดการ แก้ไข เพราะฉะนั้นความรู้เป็นเรื่องของปัญญา ก็ทำให้แก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นความรู้สึก ไม่พอ ถ้าเราอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างเดียว มันก็เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายทั่วไป ก็อยู่ในขั้นสัญชาตญาณ แล้วถ้าเราเอาแต่ความรู้สึก เอาแค่สัญชาตญาณ เราก็แพ้สัตว์อื่นอีก เพราะว่าสัตว์ทั่วไป เค้ามีสัญชาตญาณดีกว่าพวกมนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้าเอาแค่ความรู้สึก มนุษย์จะแย่ที่สุด ก็เลยต้องก้าวไปสู่ความรู้.

รู้ว่าจริงไม่จริง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็ก้าวไปสู่การรู้จักแก้ปัญหา อันนี้ตอนนี้แหละที่สำคัญ มันก็ไม่ได้จบแค่นั้นหรอก ที่สำคัญก็คือ มันมาพัฒนาตัวเองนี่แหละ สำคัญมาก ความรู้หรือปัญญา แต่ว่ามันก็คู่กัน คือพอเราได้ความรู้มา มันก็แก้ความรู้สึกไปด้วย ที่เคยรู้สึกไม่ชอบใจ พอรู้สึกทุกข์ไม่สบาย ก็มีปฏิกิริยาไม่ชอบ แต่ทั้งๆที่รู้สึกว่า ไม่สบาย แต่รู้มันเป็นคุณขึ้นมา กลายเป็นชอบเสียนี่ เอ้อ เปลี่ยน เพราะฉะนั้นความรู้เนี่ยะ มันปรับความรู้สึก มันเปลี่ยนความรู้สึกไปได้เลย.

คนเรา ก็เนี่ยะต้องพัฒนา ตัวความรู้เนี่ยะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้พัฒนา มันจะเกิดมาใหม่ๆ ก้เด้กก็อยู่ด้วยความรู้สึกก่อน เอาทองมาเอาขนมมา เลือกอันไหน? ก็เอาขนมสินะ อร่อย เด็กอยู่ด้วยความรู้สึกนี่ อ้า ก็เอาขนมอร่อย พอโตขึ้นมา คนเก่าก็สอนให้ความรู้ ทองมันดียังงั้น สวยงาม นอกจากสวยงาม มีค่ามีราคาแพง แล้วแถมความโลภก็เกิดขึ้นจากเหตุอื่นๆอีก แล้วอันนี้ก็เลยมาล่อไปให้ยิ่งโลภใหญ่ อยากได้ คราวนี้ พอเห็นทองแล้วมีความรู้สึกโลภ อยากได้ เนี่ยะความโลภมาแล้ว อยากได้มากๆ มากขึ้นๆ มากเหลือเกิน ทีนี้ต่อมามีเหตุการณ์แทรก เช่นว่า มีคนหนึ่งเอาสิ่งหนึ่งมาให้ จะมาขายให้ถูกๆ ก็คือทองนั่นแหละ เห็นเข้าก็ชอบใจ โอ แล้วก็ขายถูกจังนี่ อยากได้ โอ้ย กระวนกระวายหาทางที่จะได้เงินมาซื้อ มีคนหนึ่งมาข้างหลังมาบอกมาอธิบายให้ฟัง ไอ้นี่มันทองเก๊ไม่ใช่ทองจริง ทองปลอม พอรู้ยังงั้นเป็นไง? รู้ยังงั้น หมดเลยความรู้สึกอยากต่อทองอันนั้น สิ่งที่เรียกว่าทอง แต่นี้ก็ยังอยากทองจริงอยู่ แต่ว่าความรู้มันมาช่วยปรับความรู้สึก ทีนี้ไอ้ทองจริงนั่นแหละที่ยังอยาก.

ต่อมาเกิดมีความรู้ทางธรรมะ มีพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญผู้ฉลาด หรือพระพุทธเจ้า ตรัสเทศนาสอนว่า เนี่ยะ ทองมันไม่ได้มีค่ามีสาระจริงจังต่อชีวิต และกินก็ไม่ได้ ไปติดเกาะกันอยู่นี่ มีข้าวกับมีทอง ก็ไม่มีทางไปไหน จะขายก้ไม่ได้ ทำไง? และข้าวจานเดียวดีกว่าทองตั้งมากมายหลายบาท หรือหลายชั่ง ใช่มั๊ย? ยังงี้เป็นต้น ก็ แต่ในที่สุดมันก็ไม่ใช่เนื้อแท้ของชีวิต ตายไปก็เอาไปไม่ได้เป็นต้น ท่านก็พรรณนาไปต่างๆ ในที่สุดด้วยความรู้นั้นก็เลย เลิกอยากทองเลย เนี่นะ ความรู้มันปรับความรู้สึกได้หมด.

นั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่จะต้องมีความรู้คือปัญญาเนี่ยะ ไม่งั้นคนก็ไปตามความรู้สึก แล้วไปตามความรู้สึกบางทีก็คิดไปตามความรู้สึก และทำให้เกิดความผิดพลาดเสียหาย คงเคยได้ยินเรื่องกระต่ายตื่นตูม ก็เป็นชาดก(เป็น นิทานอีสป1- ผู้ถอดความ) ผมก็จำอาจจะไม่แม่นและข้อมูล

1  https://baby.kapook.com/view45953.html

ถ้าผิดพลาด ตรวจสอบก็ช่วยแก้ให้ด้วย แต่ว่าเอาตัวประเด็น เพราะเป็นเชิงนิทาน ก็ถือว่า เจ้ากระต่ายหนึ่งนั้น ไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล นี้ที่ใต้ต้นตาลนั้นมันก็มีใบตาลแก่ๆร่วงลงมา แล้วก็มาซ้อนมาทับกันอยู่ มันแห้งมันก็จะกรอบแกรบ แล้วถ้ามีอะไรมาลงก็จะเสียงดังมาก นี้เจ้ากระต่ายนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล เกิดมีลูกตาลลูกหนึ่งหล่นลงมาใต้ต้นตาล ก็มาลงที่ใบตาลที่ซ้อนกันอยู่นั้น เสียงมันดังมาก แล้วเจ้ากระต่ายหลับเสียด้วย ก็ฝัน ฝันว่าโลกแตก ตกใจมาก ตื่นก็ไม่คิดชีวิตละว่าโลกแตกนะ วิ่ง แต่ไม่วิ่งเปล่าก็ตะโกนไปด้วย ว่าโลกแตก ไอ้เจ้าสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่มันก็ ไม่มีโอกาสได้ซักถามอะไร ก็วิ่ง อย่างน้อยบางตัวก็จะวิ่งเพราะตกใจด้วย บางตัวก็วิ่งไปอย่างอยากจะถาม อะไรเนี่ยะ วิ่งก็ไปเป็นขบวน ไปๆก็ไอ้เจ้าพวกที่หลังได้ยิน ก็ยิ่งตกใจใหญ่ ใช่มั๊ย? พอเห็นขบวนใหญ่ ว่าโลกแตกๆ ไอ้เจ้าพวกข้างหลังก็ช่วยตะโกนอีก ไปกันใหญ่ จนกระทั่งว่าไปถึงราชสีห์ ราชสีห์ได้ยินเข้า เอ๊ะ มันอะไรกัน ต้องหาความรู้นั่นน่ะ สาระก็คือต้องให้รู้มันเรื่องอะไร ไปถลัก เพราะราชสีห์นี้มีเดชมีอำนาจมาก ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็หยุด ก็...สมัยนี้ก็เรียกว่าเบรกพรืด ว่างั้นนะ หยุดกันหมดเลย เจ้าราชสีห์ก็ถามว่า อะไร? บอกว่าโลกแตก อ้าว แล้วใครเป็นคน...แล้วแกได้ยินจากใคร? ก็บอกเจ้าตัวนั้น เจ้าตัวนั้นก็บอกจากตัวโน้น ถามตัวโน้นก็บอกจากตัวโน้น ตกลง เอ๊ะ ใคร? ตกลงนี่ว่าตามกันใช่มั๊ย? ไม่รู้มาจากแหล่งไหน ไม่ได้สืบสวน ก็ เจ้าราชสีห์ก็ค่อยๆถามจนกระทั่งว่า หาต้นตอได้ก็คือว่าเจ้ากระต่าย เอ้า ยังงั้นเราไปตรวจสอบกันดู ยังไงกันแน่ แกไปอยู่ที่ไหน อะไรต่ออะไรก็บอกว่าอยู่ที่ต้นตาลนั้น ยังงั้นเราก็พากันไปดู พวกกระต่ายพวกสัตว์เหล่านั้นก็กลัวมาก แต่ก็เพราะเดชราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีอำนาจ แล้วก็ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมา อ้ะ พอไปช่วยกันดูได้ ก็ไปตรวจสอบดู ในที่สุดก็สืบค้นได้ความว่า ก็เป็นลูกตาลหล่นลงมาบนใบตาลแห้ง แล้วเจ้านั่นหลับ ก็คิดฝันไป.

คิดจากความรู้สึกนี่อันตรายมาก ก็ต้องตรวจสอบหาความรู้ให้แน่ชัด แล้วมาตรวจสอบหาความรู้ว่า เอ้อ เจ้าลูกตาลมันหล่นลงมา มันลงมาบนใบตาลที่แห้ง เสียงมันก็ดัง ไอ้เจ้านี่ก็ได้ยิน แล้วก็เพราะหลับอยู่ ฝันไปอะไรก็หมดเรื่องกันไปอ่ะนะ ก็แก้ปัญหาได้.

ฉะนั้นเรื่องความรู้สึกนี้ไม่พอ ก็ต้องใช้ความรู้เป็นสำคัญ เรื่องความรู้นี้ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ ที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญอย่างมาก ทีนี้ก็ความรู้เนี่ยะมาพัฒนาตัว ในขันธ์ ที่จริงปัญญาก็ เป็นเพียงสังขารตัวหนึ่ง อยู่ในสังขารในเจตสิก 50 อย่าง แต่ว่าท่านแยกเวลาจัดเป็นไตรสิกขาเนี่ยะ ไปจัดเป็นหมวดหนึ่งเลย เป็นอธิปัญญาสักขา แยกจากจิตไปเลย ไอ้ส่วนที่เหลือในจิตมันก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกอะไร? ความรู้สึกสบาย ไม่สบาย ความรู้สึกสุขทุกข์ ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ รู้สึกเกลียดรู้สึกจะเอาอยากได้ รู้สึกอยากจะทำลาย แล้วก็รู้สึกว่าสดชื่นเบิกบานผ่องใส รู้สึกหดหู่ท้อแท้ รู้สึกขลาดรู้สึกกลัว รู้สึกว่ากล้าหาญแกร้วกล้า มีกำลังใจกระตือรือร้น รู้สึกว่าท้อแท้หดหู่เซื่องซึม หงอยเหงาว้าเหว่ อะไรต่างๆเหล่าเนี๊ยะ จนกระทั่งว่าก็ ในที่สุดก็รวมแล้วก็เป็นจิตของเรานี่แหละ เป็นด้านจิต เป็นตัวประกอบสำคัญของจิต พวกเจตสิก ก็รวมเข้า เอาละ ก็เป็นฝ่ายจิต.

เพราะฉะนั้นเรื่องเจตสิกด้านความรู้สึกทั้งหลายเนี่ยะสำคัญมาก จะเป็นความรู้สึกด้านสุขทุกข์ก็ตาม ความรู้สึกด้านที่เป็นคุณธรรมอย่างอยากจะช่วยเค้า อยากจะให้ อะไรอย่างงี้ หรือเป็นความรู้สึกในเชิงสมรรถภาพของจิตใจ เรื่องความรู้สึกเข้ม กระตือรือร้น ความรู้สึกขยันขันแข็ง ความรู้สึกหดหู่ท้อแท้ ไม่อยากทำอะไรต่างๆ เนี่ยะเป็นเรื่องความรู้สึกของจิตใจ.

คนไทยเราก็มาใช้คำว่าอารมณ์ โดยเอาศัพท์ธรรมะไปใช้ผิด แล้วก็หาทางแก้ แก้กันได้ก็ดี อารมณ์มันแปลว่า สิ่งที่เรารับรู้ มันเป็นฝ่ายของความรู้มากกว่า มันกลายเป็นว่าเอาไอ้คำว่าอารมณ์ที่เป็นสิ่งที่จิตรับรู้เนี่ยะ ไปเป็นเรื่องความรู้สึกไปหมด นี้ก็สับสน ความจริงก็ความรู้สึกนี่แหละเป็นเรื่องของจิตใจ อันนี้พุทธศาสนาก็ให้ความสำคัญมาก ในเรื่องจิตใจอันเนี๊ยะ.

เรามีด้านปัญญา ก็อย่างที่บอก เรื่องรู้นั้นเป็นเรื่องที่ว่า รู้ตามที่มันเป็น เป็นยังไงก็รู้ตรงตามนั้น อยู่ที่มัน รู้มันตามที่มันเป็น แต่ความรู้สึกนี่เป็นของเรา เป็นเนื้อหาของชีวิตจิตใจของเรา ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ต้องจัดการให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น ถ้าความรู้สึกมันไม่ดี รู้สึกโกรธรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกเกลียด การรับรู้อาจจะถูกบิดเบือน คิดก็บิดเบือน ความรู้สึกชอบ เข้าข้าง อ้าว ไอ้ความรู้ก็ถูกบิดเบือนอีก ฉะนั้น ความรู้สึกเนี่ยะ จะต้องจัดการให้มันบริสุทธิ์สะอาดเป็นต้น ให้มันเป็นความรู้สึกที่เป็นกุศลนั่นเอง พูดง่ายๆ.

ฉะนั้นก็เป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ เราพัฒนาปัญญา มีความรู้ขึ้นมา ก็จะมาดูที่จิตของเรา ความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง มันทำงานเกื้อกูลต่อกันหรือเปล่า? หรือมันทำลายกัน ขัดแย้งกันทำให้เสียหาย อย่างน้อยก็ตรวจสอบในแง่นี้ แล้วก็ ในแง่ของการพัฒนา เอาความรู้มาพัฒนาความรู้สึก ให้ความรู้สึกดีขึ้น ไปเห็นสิ่งที่ไม่ชอบก็ มีความรู้สึกปฏิกิริยา อ้อ ขอใหม่ ไปเจอสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม เช่น ไปเห็นเด็กยากจน นุ่งผ้านุ่งผ่อนสกปรก เป็นภาพที่ไม่น่าดู ไม่น่าพอใจ เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ เป็นความรู้สึกไม่สบายก่อนแล้วก็ไม่ชอบใจ ก็เป็นอกุศล ทีนี้พัฒนาขึ้นไป ความรู้สึกนี้ก็เปลี่ยน เรียนรู้ว่าเอ้อเนี่ยะ คนเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นต้น เหตุที่เค้าเกิดมายากจน พ่อแม่ไม่มีเงินเลี้ยงดูน่าสงสาร เขาขาดแคลนควรจะช่วยเหลือ ความรู้ที่มาเข้าสู่ความคิดเนี่ยะ ความรู้นี่ก็เปลี่ยนความรู้สึก.

การที่จากการที่จะรู้สึกรังเกียจ ดูถูกเหยียดหยาม ไม่พอใจ ก็กลายเป็นรู้สึกสงสาร อยากจะช่วยเหลือ ความรู้ปัญญามาปรับความรู้สึก ฉะนั้นท่านจึงให้พัฒนาปัญญา จะเอามาแก้กันอีก ปัญญาคือตัวทำงาน แต่เวลาผลออกมา มันมาออกที่จิต ให้ดูเถอะ ปัญญาเป็นตัวทำงานไปจนกระทั่งเป็นโพธิญาณ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และตรัสรู้ เรียกว่าเป็นโพธิญาณ ก็เป็นปัญญานั่นแหละ ปัญญาในระดับสูงสุด ก็รู้ พอรู้แล้ว ก็ทำไงได้ความรู้สึก ก็มาออกผลที่จิต ความรู้นั้นออกผลโพธิญาณแก่จิต เป็นไง จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย ใช่มั๊ย? หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ก็เพราะปัญญาถึง รู้ถึงตัวความจริงสภาวะ รู้ถึงปรมัตถธรรม อันเนี๊ยะ ความรู้นี้เป็นตัวทำงาน และผลมาออกในด้านจิตใจหรือความรู้สึก แล้วเราจะไปดูถูกความรู้สึก? มันไปด้วยกัน แล้วก็ไอ้ตัวความรู้สึกนี่ล่ะเป็นเนื้อตัวของเรา ส่วนปัญญานั้นเราเอามาช่วยพัฒนาตัวเรา โดยเฉพาะพัฒนาจิตใจ พัฒนาความรู้สึกอะไรพวกนี้.

ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมก็ตรวจสอบ ทั้งด้านความรู้และปัญญา แล้วก็ดูว่ามันออกผลที่จิต จิตเราได้รับผลจริงหรือเปล่า ก็ปัญญาทำงานไป รู้ๆๆๆเสร็จแล้วจิตเป็นไง ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไหม? ดีขึ้นหรือเปล่า? มาออกผลที่จิตแล้วมันไม่ออกผล กลายเป็นว่าบางทีไปออกผลตรงข้าม ปฏิบัติธรรมไป จิตไม่สบายเป็นทุกข์ อะไรต่างๆ เอ๊ ต้องสงสัยแล้วถ้าจะผิด ฉะนั้นด้านความรู้สึกนี่สำคัญ ตรวจสอบ เป็นอันว่าตรวจสอบทั้งด้านความรู้หรือปัญญา ว่าเรารู้ตรงตามความเป็นจริงมั๊ย? รู้ตามที่มันเป็นมั้ย? ยถาภูตะ2 หรือรู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น รู้ตามที่คิดให้มันเป็นนี่ใช้ไม่ได้ ก็รู้

         2 https://www.dhammahome.com/webboard/topic8951.html

ตามที่มันเป็น ก็รู้ไปตลอด อย่างที่ว่า จนถึงโพธิญาณ แต่พร้อมกันนั้นตัวเองก็มาดูว่า ผลที่มาออกที่จิตใจ ความรู้สึกพวกเนี๊ยะ เป็นยังไง? เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสเน้น บางทีก็มองข้ามกันไป พระพุทธเจ้าตรัสถึงผู้ปฏิบัติธรรม ที่ก้าวไปในการปฏิบัติ จะมีด้านความรู้สึกเนี่ยะพัฒนา ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ท่านเรียกว่าธรรมะสมาธิ ที่แยกเป็น 5 ประการ ว่ามีปราโมทย์ปีติปัสสัทธิสุขสมาธิ.

         ตัวแรกก็คือ ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกบานใจ อันนี้เป็นพื้นฐานอันที่หนึ่งเลย แล้วก็ปีติ อิ่มใจปลาบปลื้มใจ แล้วก็ปัสสัทธิ ความสงบเย็นผ่อนคลาย ผ่อนคลายไม่เครียด แล้วก็สุข ความสุขคือความฉ่ำชื่นใจ แล้วก็สมาธิ พอสุขมา สมาธิก็ได้โอกาสเกิดขึ้นง่าย สุขนี่เป็นประทัดฐานของสมาธิ ถ้าหากว่าเป็นทุกข์มันก็บีบคั้น จิตก็ดิ้น ก็เป็นสมาธิได้ยาก แต่ถ้าเป็นสุข ก็ทำให้จิตสงบ ไม่ต้องดิ้นรน ก็เป็นสมาธิได้ง่าย แต่ถ้าหากว่า ไม่เป็นสมาธิก็หลับไปเลย หมายความว่าก็ไม่...ไม่เอามาใช้ประโยชน์ซะ นี้ก็เลยสมาธิท่านให้ระวัง สมาธิเนี่ยะเป็นพวกเดียวกับความเกียจคร้าน ใช่มั๊ย?

คัมภีร์ท่านก็บอกไว้ บอกว่าสมาธิเป็น โกสัชชะ ขัต ชิกะ แปลว่าเป็นพวกเดียวกับความเกียจคร้าน เพราะฉะนั้นพวกว่าเป็นสมาธินี่ ถ้าไม่รู้จักฝึกตนให้ดี ปฏิบัติไม่ถูก ก็จะโน้มไปทางขี้เกียจ ท่านจึงให้มีคู่ ในอินทรีย์ 5 น่ะ ให้มีคู่ที่ อินทรียะสมะตา ความสม่ำเสมอของอินทรีย์ ให้มีเป็นคู่กันน่ะ เรียกว่าศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา ศรัทธาคู่กับปัญญาต้องให้เสมอกัน ปรับอินทรีย์ แล้ววิริยะกับสมาธิ วิริยะความเพียรกับสมาธิความแน่วแน่สงบเนี่ยะ ก็ให้คู่กัน ถ้าไม่มีวิริยะมาช่วย มาดุนไว้ ไอ้เจ้าสมาธิจะไปทางขี้เกียจ วิริยะความเพียรมันจะมาช่วยให้ก้าวต่อไป อย่างแน่วแน่มั่นคง ถ้าหากมีแต่วิริยะก็จะพุ่งพล่าน แล้วก็ให้มีคู่ วิริยะมากับสมาธิ นี่แหละ.

ก็ตามรวมแล้วในชุดที่ว่านี้ เป็นพื้นฐานของจิตใจ ในด้านความรู้สึก ก็มีปราโมทย์ ร่าเริงเบิกบานใจ แล้วก็ปีติ อิ่มใจปลาบปลื้ม ปัสสัทธิ สงบเย็นผ่อนคลายไม่เครียด สุขก็ฉ่ำชื่นใจ แล้วก็สมาธิมา พอสมาธิมาก้เป็นฐานให้เรื่องปัญญา ก็ก้าวไปสู่ปัญญาได้ดี ปัญญาทำงาน ท่านเปรียบสมาธินี้เหมือนหินลับมีด ถ้าได้หินลับมีดดี คือสมาธินี่ ปัญญาก็จะคมชัด.

เพราะฉะนั้นก็เอา เราก็เนี่ยะ อย่าลืม ไว้ตรวจสอบตัวเองว่า ก้าวไปในการปฏิบัติ มีมั๊ย? 5 ข้อนี้ ข้อแรกก็คือปราโมทย์ ปราโมทย์ท่านให้เป็นพื้นใจเลยนะ ตลอดเวลาเลย ดูในกถาธรรมบท

ปราโมชชะพะหุโลภิกขุ ปะสันโน พุทธะสาสะเน

อะธิคะจะเฉ ปะทัง สันตัง  สังขารูปะสะมัง สุขัง.3

         3 https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=11

บอกว่าภิกษุผู้มากด้วยปราโมทย์ นี่ขึ้นละ เลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า บรรลุบทอัน...สันตบท4 สันตบทก็คือพระนิพพาน อันเป็นที่สงบระงับสังขาร ก็รวมความก็คือว่าภิกษุที่มากด้วย

         4 https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=9

ปราโมทย์เนี่ยะ มีทางมากที่จะได้บรรลุจุดหมายของพระพุทธศาสนา เป็นความรู้สึก เป็นสภาวะของจิต ถ้าเรียกสมัยใหม่เค้าว่าก็เป็นอารมณ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงย้ำมาก ต้องพยายามให้มีเป็นพื้นใจเลย.

อีกบทหนึ่งก็อยู่ในกถาธรรมบทเหมือนกัน บอกว่าภิกษุปฏิบัติยังงั้น แม้แค่เรื่องการทำกิจวัตรประจำวันอะไร ถ้าทำแล้วเนี่ยะ เราได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้แต่ปฏิสันถารญาติโยม พระต่างวัดมาเราได้ต้อนรับด้วยดี เอ้อ เราปฏิบัติถูกต้องเหมาะสม ก็เกิดเป็นคนปราโมทย์ จิตใจปราโมทย์ ร่าเริงเบิกบานใจเนี่ยะ การปฏิบัติต่างๆเนี่ยะ ถ้าปฏิบัติถูกแล้วจะช่วยให้เกิดปราโมทย์แล้วก็ปีติ พอเราปราโมทย์เนี่ยะ ก็บอกว่า ตะโตปราโมชชะ พะหุโล ทุกขัสสันตัง กะริสสะติ5 ว่างั้น

5 https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=7

นะ พอปฏิบัติอย่างที่ว่าแล้ว เช่น รู้จักปฏิสันถาร รู้จักทำกิจวัตรดี แล้วจะเป็นผู้มากด้วยปราโมทย์ แล้วจะทำความจบสิ้นทุกข์ได้ นี่นะ ลองไปดูกถาธรรมบท ท่านเจริญปราโมทย์ให้ดีเถอะ ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานผ่องใส แล้วจิตใจที่ร่าเริงเบิกบานนี้มันเปิดโอกาสแก่กุศล จิตใจมันไม่เบิกบานใช่มั๊ย? มันหดหู่ มันท้อแท้มันไม่สบาย ก้เปิดโอกาสแก่อกุศลเนี่ยะ นี้เจ้าพวกนี้มันตามกันมาใช่มั๊ย? มันพวกเดียวกัน นี้ถ้าเรามีปราโมทย์นี่ มันเปิดมันโล่งมันเบา มันก็เปิดโอกาสกับพวกกุศลธรรมให้เข้ามา ชวนกันมาใหญ่เราก็ยิ่งเจริญพระธรรมนาน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ยะก็ไปได้ไกล ถ้าเราจะเจริญเน้นเรื่องปัญญา แม้แต่วิปัสสนาก็ให้มีปราโมทย์ไปด้วย ก็จะช่วยให้...แล้วปราโมทย์ก็จะกลายเป็นด้านกำลังของจิตด้วย เพราะว่ามันเป็นอยู่ฝ่ายความรู้สึก พอจิตมีปราโมทย์ก็มีกำลังขึ้นมา มันก็ยิ่งทำให้เดินหน้าในการปฏิบัติ.

เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เลยเอาเรื่องความรู้สึกมาพูดว่า ความรู้สึกก็สำคัญเหมือนกัน อย่าไปดูถูก แต่ว่าให้คู่กันไป และคู่กันอยู่อย่างถูกต้อง ให้เกื้อกูลเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ด้านจิตกับด้านปัญญา หรือด้านความรู้สึกกับด้านความรู้เนี่ยะ ความรู้ไปก้าวหน้าไป ความรู้สึกก็เอาความรู้นั้นก็มาปรับให้ดีด้วย แล้วก็เอาความรู้สึกนี้ ที่ดีนั้นไปเป็นฐาน ไปเป็นตัวกำลังเกื้อหนุนการเจริญปัญญาต่อไป ช่วยกันเราก็ยิ่งก้าวหน้าไป บรรลุจุดหมาย นี่แหละ แต่ว่าถอยหลังไปท่านก็บอกเอาศีลมาเป็นพื้นของมัน ตอนนี้เราไม่พูดละ เรามาขั้นของนามธรรม ก็มาเรื่องจิตเรื่องปัญญา ไปด้วยกันนี่แหละ.

ก็เป็นอันว่า เรื่องความรู้เนี่ยะ สำคัญแน่ ก็เท่ากับย้ำอีกทีบอกว่า เอ้อ ความรู้นี่นะ เป็นเรื่องของสิ่งนั้นที่เราต้องรู้มัน ตามที่มันเป็น รู้ตามที่มันเป็น ไม่รู้ตามที่มันเป็นละก็ยุ่ง มันเสีย ผิด และก็ถ้าเป็นความรู้สึก ก็เป็นเรื่องของตัวเราที่จะต้องจัดการให้มันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น แล้วก็ไปเรื่องที่ว่า เมื่อเราต้องการปัญญาเพราะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้บรรลุจุดหมาย จนกระทั่งถึงโพธิญาณ จะทำให้หมดกิเลสหมดทุกข์เนี่ยะ ก็ปัญญานี้เป็นตัวทำงาน แล้วก๋ผลก็มาออกที่จิต หรือความรู้สึกนี้ มันด้วยกันอย่างที่ว่าจับจุดนั่นให้ได้ แล้วก็ การปฏิบัติก็จะเจริญไปด้วยดี.

ก็วันนี้ก็จะพูดคุยกันเท่านี้นะ เอาพอเป็นแนวทาง ก็โมทนาทุกท่าน ก็ขอให้ทุกท่านเจริญด้วย ปราโมทย์เป็นพื้นใจไว้ แล้วอื่นๆก็มีปีติในการปฏิบัติ ปฏิบัติก้าวไปนี่มันต้องเกิดปีติ พอเราก้าวไปแล้วนี่ปีติ ปราโมทย์นี่มันเป็นพื้น ร่าเริงเบิกบานใจ พอก้าวไปได้นี่ก็คือมันเดินหน้า เดินหน้าหรือสำเร็จเนี่ยะ เห็นจุดหมายใกล้มาเนี่ยะ ปีติเกิด นี่แหละลักษณะที่ต่างกัน ปีติก็คือสภาวะจิตที่มันเกิดเมื่อเราก้าวเข้าไปสู่จุดหมาย ก้าวหน้าไปกำลังจะสำเร็จ พอสำเร็จก็สุข สุขมา เคยเล่าให้ฟังแล้วมั๊ง? บอกว่าท่านก็เปรียบเทียบไว้ในคัมภีร์หลายบท.

ก็ให้แยกให้เป็นระหว่างปีติกับสุข เหมือนกับคนที่ เดินฝ่าแดดมา หรืออาจจะเอาให้ร้อนจัดก็กลางทะเลทราย ร้อนมาก หิวกระหายเหลือเกิน ร้อนก็อยากจะได้น้ำ น้ำก็ไม่มี ทีนี้ พอดีเห็นคนหนึ่ง เดินมาแต่ไกลสวนมาในทางตรงข้าม ชักดีใจแล้ว ใช่มั๊ย? ว่า เออ เออ อาจจะรู้ว่ามีน้ำที่ไหน ทีนี้พอคนนั้นใกล้เข้า ใกล้เข้ามา ก็ดีใจมากขึ้น อย่างน้อยก็อยากจะได้ถาม เรียกว่าจะได้ถามละ นี้พอคนนั้นมาถึง เอ้อ คุณมา ผ่านมามีน้ำมั่งมั๊ย? เนี่ยะ ผมเดินทางมาร้อนเหลือเกิน หิวกระหายเหลือเกิน ไม่สบายเลย จะแย่แล้ว คนนั้นก็ว่า โอ้เนี่ยะ ท่านเห็นมั๊ยที่ตัวผมเนี่ยะ นี่ผ้ายังเปียกเลยนี่นะ มีนั่นมีนี่อะไรก็ มีประจักษ์หลักฐานให้ดู บอกว่ามี ไม่ไกลหรอก ผมผ่านมาเนี่ยะ แหมพอได้ยินเท่านี้ล่ะ ดีใจ เนี่ยะดีใจแบบนี้แหละท่านเรียกว่าปีติ ดีใจปลื้มใจ เดี๋ยวจะได้ละนะ แล้วเค้าบอกว่านู่น ดูไปข้างหน้าสิคุณ เห็นมั๊ย? ตระคุ่มๆตรงพุ่มไม้นั่นน่ะ นั่นแหละตรงนั้นแหละที่จะมีน้ำ อ้าว ไม่ไกลหรอก จะเท่านั้นๆ ได้ยินพอเท่านี้ก็เอาละ เดินหน้าไป ยิ่งใกล้เข้าไปก็ยิ่งดีใจใหญ่ พอไปถึงที่นั่น ก็ดีใจเต็มที่ไปถึงที่หมู่ไม้แล้วก็เห็นสระน้ำ ท่านเรียกว่าสระโบกขรณี ก็ไปถึงก็ดีใจเต็มที่ ปีติเต็มที่ ก็ไปถึงริมฝั่งน้ำ ก็โจนลงน้ำ ลงน้ำได้ก็เป็นสุข เนี่ยะ ให้แยกระหว่างปีติกับสุข จนกระทั่งลงน้ำตลอดมานั่นแหละ ปีติมากขึ้นเรื่อยตามลำดับ อิ่มใจดีใจปีติสูงสุดตอนที่จะกระโจนลงน้ำ ได้สมใจแล้วนะคราวนี้นะ ปีติ และพอสมใจจริงก็ ปีติก็สงบกลายเป็นสุข ปีตินี่มันมีลักษณะพลุ่ง มันมีกำลังพลุ่งขึ้น แต่ว่าสุขมีลักษระสงบเย็น ท่านลองแยกดูสินะ พอปีติไปฝั่งน่ะ ปีติมาตลอดใช่มั๊ย? ดีใจแรงขึ้นๆน่ะปีติ ปีติมันพลุ่งขึ้น อย่างที่ท่านแยกเป็นปีติตั้ง 5 ชนิดน่ะ ขนลุกขนชัน อะไรต่างๆน่ะมีลักษระพลุ่งขึ้นมา พอลงน้ำได้สมใจหมาย บรรลุจุดหมายแล้ว เป็นสุข สงบ เพราะฉะนั้นสุขจึงมีลักษณะสงบ พอสงบสุขมันสมใจ มันสงบ มันก็ให้โอกาสกายกับสมาธิ สมาธิก็มาได้ ท่านจึงบอกว่าสุขเป็นบรรทัดฐานของสมาธิ.

ถ้าคนปฏิบัติได้ทุกข์ ก็อย่าไปเสียใจ ก็ว่า เอ้อ เราเนี่ยะ ใจของเราเนี่ยะไม่พร้อม เราต้องฝึกตัวเอง เอ้า ยอม เมื่อเราไม่พร้อม เจอไอ้การปฏิบัติที่มันยาก เราก็รู้สึกฝืนใจ พอฝืนใจก้เป็นทุกข์ พอเราก็เอาความรู้มากบอกว่า เราต้องฝึกเราจึงจะถึงจุดหมายได้ เอ้อ ฝืนนี่ต้องทำ ฝืนก็กลายเป็นฝึก พอบอกว่าฝีก อ้า คลายทุกข์แล้ว ชักหายทุกข์แล้ว ทุกข์เบาแล้ว ยินดีจะฝึก ก็มีความสุขในการฝึก การฝืนกลายเป็นการฝึก เพราะฉะนั้นต้องทำให้การฝืนกลายเป็นการฝึก พอฝืนกลายเป็นฝึก คราวนี้ได้อย่างเดียวเลย ตอนฝืนนี้เสีย ทุกข์ พอฝึกก็เริ่มได้ ก็สุข ทีนี้ก็ฝึกไปเถิด ยิ่งยากยิ่งได้มาก อย่างที่เคยบอก.

ยากเราก็ได้ฝึกมาก ใช่มั๊ย? เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้มีจิตสำนึกในการฝึกตน เจอสิ่งที่ยาก เตรียมจิตไว้แล้ว เจอสิ่งที่ยากแทนที่จะทุกข์ สุขเลยใช่มั๊ย? สมใจ ปีติว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว สิ่งที่ยากจะได้มาฝึกตน นี้ก็พอฝึกตนก็ได้มากยิ่ง จริงๆ เพราะว่าฝึกกับสิ่งที่ยาก มันต้องพัฒนาความสามารถทุกด้าน ทั้งพฤติกรรมจิตใจและปัญญา มาหมด ความสัมพันธ์ทางสังคมอะไรต่ออะไรมาหมด การฝึกก็ช่วยเรา นั้นก็การปฏิบัติธรรมเนี่ยะ มันก็มาอยู่ตลอดเวลาในชีวิตของเราเนี่ยะ ทำอะไรถูกต้องแล้วก็ การทำอะไรถูกต้องก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม ก็เท่านั้นเอง ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูก มันก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไม่เป็นธรรมนั่นเอง ปฏิบัติธรรมกับปฏิบัติไม่เป็นธรรมก็อยู่คู่กันยังเงี๊ยะ ทำอะไรมันถูกหลักถูกทาง ไปด้วยดีได้ผลดี เป็นประโยชน์เป็นคุณ มันก็เป็นปฏิบัติธรรม ปฏิบัติผิด มันก็ไม่เป็นธรรม มันก็เสียหายเกิดทาแก่ตนมั่ง แก่ผู้อื่นมั่ง ชีวิตตัวเองก็ไม่พัฒนา.

นั่นก็เอาแล้วนะครับ เรื่องความรู้กับความรู้สึก ก็คู่กันอย่างนี้แหละ เอ้า ถ้ายังงั้นก็ ไม่มีอะไร นึกได้เท่าเนี๊ยะ ก็เตรียมลาละ ยังดีตอนนี้เค้ายังเปิดโอกาสให้พูดได้ ตอนที่ผมออกจากวัดนี้ไปคือ เค้าไม่เปิดโอกาสให้พูด พูดไปเดี่ยวก็(ไอ)ต้องหยุดพูดละ (ไอ) รุ่นแรงมาก ตอนนี้เค้าเปิดโอกาสให้พูดได้บ้าง แต่ว่าสภาพที่จริงน่ะ ทรุด ไอเบาลงแต่ว่า เหมือนปอดอะไรเป็นต้น ทรุดลงไป อ้าว.       

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - จิต กับ ปัญญา

 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - จิต กับ ปัญญา

         https://youtu.be/VALlPk4BRio

         -: ธรรมบรรยาย 28 ส.ค. 2534

เจริญพรท่านผู้สนใจเจริญภาวนาทุกท่าน

คราวนี้จะได้พูดในเรื่องที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง จิตภาวนา กับ ปัญญาภาวนา ในราวที่แล้วนี้อาตมภาพก็พูดไปในเรื่องตำแหน่งหรือฐานะ ของการปฏิบัติทางจิต หรือการปฏิบัติที่เกี่ยวกับจิตใจ ในระบบของพระพุทธศาสนา นี้ การปฏิบัติหรือการฝึกที่เกี่ยวกับจิตใจนั้น ก็คือเรื่องของภาวนา ทีนี้ภาวนาในระดับนี้เราจะพูดกันมากถึงคำว่าจิตภาวนา กับ ปัญญาภาวนา นี้ก็ เพื่อความชัดเจนเราก็ควรจะได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง จิตภาวนากับปัญญาภาวนา.

จิตภาวนานั้นก็แปลง่ายๆว่า การฝึกอบรมเจริญจิตใจ หรือการพัฒนาจิตใจ.

ปัญญาภาวนาก็คือ การฝึกอบรมเจริญปัญญา หรือการพัฒนาปัญญา.

อันนี้จะมีข้อสงสัยเริ่มต้นตั้งแต่ คำว่า จิต กับคำว่า ปัญญา มีคนสมัยนี้ก็ไม่น้อยที่สงสัยว่า ทำไมจะต้องแยกจิตกับปัญญาออกไปต่างหากจากกัน เพราะว่าเรื่องของปัญญาก็น่าจะเป็นเรื่องของจิตใจนี้เอง เพราะฉะนั้น บอกว่าพัฒนาจิตใจอย่างเดียวก็น่าจะคลุมไปถึงปัญญาด้วย ก็เลยจะต้องทำความเข้าใจกันเรื่อง ความแตกต่างระหว่างจิตใจกับเรื่องปัญญา.

ความจริงนั้นในสมัยปัจจุบันนี้เอง ที่เราเรียนวิชาการจากตะวันตก ก็มีเค้าถึงการที่ มีการแยกระหว่างจิตใจกับปัญญาเหมือนกัน แต่บางทีเราก็ไม่สังเกต อย่างฝรั่งเนี่ยะ ใช้คำพูดว่า mind ที่แปลว่าจิตใจ จิตใจนี่บางทีก็หมายรวมทั้งเรื่องของ การใช้ปัญญาใช้เหตุผล และบางครั้งก็เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แต่ในหลายกรณี คำว่าmindนี้ ไปใช้ในความหมายเป็นยเรื่องของ ความคิดเหตุผล เป็นเรื่องของสติปัญญา อย่างเวลาเราพูดถึงคน ผู้ที่มีสติปัญญามาก เป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์ ค้นพบอะไรไว้ เราเรียกว่า great mind อันนี้ก็ ที่จริงก็ ไม่ได้มองไปในแง่ของความรู้สึกหรืออารมณ์เลย จิตใจในแง่นี้หมายถึงปัญญา สมอง.

หรือบางทีเค้าก็มีการแยกในคำพูดทั่วไปบอกว่า mindกับheart ในกรณีนี้mindก็เป็นเรื่องของด้านปัญญา ด้านความคิดเหตุผล ซึ่งคู่กันกับheart คือเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก หรือบางทีเลี่ยงจากคำว่า mind ก็ไปพูดคำว่า headกับheart headก็คือหัวสมอง เป็นเรื่องความคิดเหตุผล แล้วก้heartเป็นเรื่องของจิตใจในด้านของอารมณ์ความรู้สึก ที่ชัดยิ่งกว่านั้นก็คือ เราใช้คำว่าปัญญา ด้วยคำว่า intellect เป็นความคิดเหตุผล แล้วก็ให้คู่กับคำว่า emotion เป็นเรื่องของ อารมณ์ความรู้สึก.

นี่แสดงว่าประเพณีในสายตะวันตกก็มีการแบ่งแยกเหมือนกัน เป็นintellectด้านหนึ่ง เป็นemotionด้านหนึ่ง ซึ่งก็มองได้ว่าเป็นเรื่องของจิตใจ. แม้แต่ในเรื่องการพัฒนา ความเจริญงอกงามของคนในทางการศึกษา ก็มีการแบ่งเป็น ความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการทางด้านกาย และความเจริญพัฒนาทางด้านสังคม แล้วข้อที่สามก็ความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการทางด้านอารมณ์ หรือemotional แล้วก็สุดท้ายก็ ความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการทางด้านปัญญา เรียกว่า intellectual development ก็เป็นdevelopmentทางด้านemotionalกับทางด้านintellectual.

ทีนี้ emotionหรืออารมณ์ความรู้สึกนั่นแหละ ก็คือเรื่องจิตใจที่เป็นด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับความคิด สำหรับทางพุทธศาสนานั้น การแยกในเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจน คือในตะวันตกแม้แบ่งกันไว้อย่างนี้แล้ว แต่ว่าการใช้ก็ยังสับสนอยู่ ทีนี้ในทางพระพุทธศาสนานั้น เรื่องจิตใจที่มุ่งในที่นี้ก็ เน้นไปในด้านเรื่องของemotion แล้วก็เรื่องปัญญา ก็เรื่องของintellectซึ่งจะรวมไปถึงปัญญาระดับสูง เป็นwisdomอะไรต่างๆ เป็นinsightด้วย แต่ว่าให้แบ่งคร่าวๆอย่างนี้.

อันนี้ก็เทียบให้เห็นว่า ในวิชาการปัจจุบันก็มีการแบ่งเหมือน แม้จะไม่ชัดเจนนัก ทีนี้เพื่อที่จะให้เข้าใจชัดเจน เรามาพูดในแง่ของพระพุทธศาสนา พูดในแง่พระพุทธศาสนานี่เราแบ่งได้ 2 ตอน ตอนที่หนึ่งเราพูดถึงในแง่สภาวธรรม หรือสิ่งที่เป็นไปตาม...สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ในแง่นี้แล้วเราจะเห็นว่าพระพุทธศาสนาถือว่า ปัญญานั้นก็เป็นคุณสมบัติของจิตใจนี้เอง ถ้าเรียกว่าเป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง คือเราพูดถึงจิตเป็นเหมือนกับว่ามีตัวแกน แล้วเสร็จแล้วก็มีสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของจิตใจนั้น ภาษาพระเรียกว่า เจตสิก. เจตสิกหรือคุณสมบัติของจิตนี้ มีมากมายด้วยกัน อย่างในอภิธรรมนี่ก็ มีการแจกแจงออกไปถึง 52 อย่าง และในบรรดาเจตสิก 52 อย่าง หรือคุณสมบัติและอาการของจิตที่มากมายนั้น ก็มีปัญญาเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง เป็นองค์ประกอบข้อหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นในแง่ของสภาวธรรม หรือสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาตินี้ ก็ถือว่าปัญญานั้นเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของจิตใจ. นี้เป็นการแบ่งแยกชี้แจงให้เห็นตำแหน่งของปัญญา ซึ่งในแง่นี้แล้วก็เป็นเพียงคุณสมบัติของจิตใจ.

เอาละ ทีนี้มาสู่ในแง่ที่สอง แง่ที่สองก็เป็นการแบ่งแยกในกระบวนการพัฒนามนุษย์ เป็นเรื่องของปฏิบัติการ ในแง่ปฏิบัติการในการพัฒนามนุษย์นั้น ปัญญามีความสำคัญอย่างยิ่ง ปัญญาเป็นเรื่องใหญ่ เป็นตัวแกนกลางของการพัฒนามนุษย์ทั้งสิ้น ที่เรามีการศึกษาอะไรต่างๆนี้ ตัวแกนที่เราต้องการจะพัฒนาคือปัญญา ปัญญาเป็นตัวนำที่จะทำให้เกิดการพัฒนาด้านอื่นๆตามมา จนกระทั่งในที่สุดนั้น ปัญญาเมื่อเจริญถึงที่สุด ก็จะทำให้บรรลุจุดหมายของชีวิต ที่พระพุทธศาสนาว่าด้วยแก่ความหลุดพ้น หรืออิสรภาพ.

แต่มองได้ง่ายๆว่า ปัญญานี้เป็นตัวทำให้มนุษย์เกิดอิสรภาพหลุดพ้นจากปัญหาได้ ทำให้แก้ปัญหาได้ และข้อสำคัญในเรื่องของมนุษย์ก็คือการแก้ปัญหา มนุษย์เผชิญปัญหาแล้ว กลับพัฒนาให้มนุษย์มีความสามารถในการที่จะแก้ปัญหา หรือทำไม่ให้เกิดปัญหา การที่จะแก้ปัญหาได้หรือทำให้ไม่เกิดปัญหา ก็คือจะต้องมีปัญญา คือการรู้เข้าใจเกี่ยวกับโลกและชีวิต เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม เกี่ยวกับตัวเอง จนกระทั่งว่าสามารถปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง แล้วก็นำความรู้นั้นมาใช้ ในการที่จะจัดสรรสิ่งต่างๆ แก้ไขปัญหาทุกอย่าง.

เพราะฉะนั้นปัญญานี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ในเชิงปฏิบัติการในการพัฒนามนุษย์ จึงถือว่าปัญญาเป็นเรื่องใหญ่ ที่จะต้องยกขึ้นมาจัดไว้เป็นแดนหนึ่งเลยต่างหาก เพราะฉะนั้น ในเชิงปฏิบัติการพระพุทธศาสนานี่ จึงแยกเรื่องการพัฒนาจิตใจไว้ส่วนหนึ่ง กับการพัฒนาปัญญาไว้อีกส่วนหนึ่ง หมายความว่าการพัฒนาจิตใจพร้อมทั้งคุณสมบัติด้านอื่นๆนั้น ถือว่ารวมอยู่ในเรื่องเดียวกันได้ แต่เรื่องปัญญานี้จะต้องยกไว้เป็นพิเศษ.

ที่จริงนั้นไอ้เรื่องการจะแบ่งแยกอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา คือ การจัดแบ่งการปฏิบัติการของมนุษย์ในกระบวนการพัฒนาคนนี้ ไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างเดียวกับ สภาวธรรม หรือสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เหมือนอย่างชีวิตของเราเนี่ยะ เรามีร่างกายกับจิตใจ แต่ทีนี้ ในเชิงปฏิบัติการอย่างในการศึกษาเนี่ยะ เราก็จะมีการพัฒนาในเรื่องพฤติกรรมของคน ซึ่งพฤติกรรมอันนี้มันก็ไม่ได้อยู่ในการแบ่งแยกชีวิตนั้นชัดเจน ก็บอกว่า ร่างกายกับจิตใจยังเงี๊ยะ พฤติกรรมเป็นเรื่องไหน? มันก็เป็นเรื่องที่ออกมาอีกเรื่องหนึ่งในเชิงปฏิบัติการ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่ว่า เรื่องสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้น มันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องรู้เข้าใจ แต่ในเชิงปฏิบัติการนี้ เราก็ต้องทำให้มันสอดคล้องที่จะได้ผลดี.

เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า เมื่อพระพุทธศาสนาแสดงถึงความจริงเกี่ยวกับสภาวธรรมหรือธรรมชาติ เราก็จะได้ความรู้ไปแบบหนึ่ง เช่น ในแบบอภิธรรม นั้นแบบ่งสภาวธรรมหรือความจริง สิ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ เรียกว่าปรมัตถธรรม1 คือสิ่งที่มีอยู่ตามความหมายที่แท้จริง เท่าที่มนุษย์จะรู้เข้าใจ

         1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1

ได้น่ะ ก็จะแบ่งเป็น ปรมัตถธรรมหรือสภาวธรรม 4 อย่าง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในชีวิตมนุษย์ก็จะมี จิตเจตสิกรูปนิพพาน แทนที่ท่านจะบอกว่า ในกระบวนการพัฒนามนุษย์นั้น อให้มาพัฒนาจิตเจตสิกรูปนิพพาน ก็ไม่พูดอย่างงั้น เรื่องอะไรเราจะไปพัฒนารูป ก็หมายความว่า มันจะทำให้รูปนั้นขยายเติบโตขึ้น ก็อาจจะมีความหมายได้อย่างมากก็ ทำให้ร่างกายเติบโต ซึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญในกระบวนการพัฒนามนุษย์ ที่เป็นการศึกษา.

เพราะฉะนั้น แทนที่จะไปจัดอย่างนั้น เราก็ต้องจัดในเชิงปฏิบัติการที่ต้องทำ ว่ามนุษย์จะต้องทำอะไรเพื่อให้ชีวิตนี้เจริญงอกงาม เราก็ไม่ได้จัดแบบว่า พัฒนาจิต พัฒนาเจตสิก พัฒนารูป จิตเจตสิกก็จะไปแยกพัฒนาต่างหาก็ไม่ถูก เราแยกในแง่สภาวธรรม เป็นตัวความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติได้ แต่ในเชิงปฏิบัติการกระบวนการพัฒนา มันไม่ใช่อย่างงั้น.

หรืออย่าง ขันธ์ 5 ก็เช่นเดียวกัน เราแบ่งสภาวธรรมหรือสิ่งที่มีตามธรรมชาติอยู่ในชีวิตของมนุษย์ เป็นขันธ์ 5 เป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ทีนี้เราบอกว่าเราจะต้องพัฒนามนุษย์ แล้วเสร็จแล้วเราจะไปพัฒนาโดยเอาตามขันธ์ 5 หรือ บอกว่าพัฒนารูปพัฒนาเวทนาพัฒนาสัญญาพัฒนาสังขารพัฒนาวิญญาณ ก็ไม่ใช่อย่างงั้น ในเชิงปฏิบัติการการพัฒนามนุษย์ มันต้องจัดอีกแบบหนึ่ง เพื่อจะให้มันได้ผลแก่ความเจริญงอกงามของชีวิตจริงๆ ดังนั้นมันไม่ได้จัดในรูปมาพัฒนารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็กลายเป็นว่ามาพัฒนากาย พัฒนาศีล พัฒนาจิต พัฒนาปัญญา.

อันนี้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องสภาวธรรม สิ่งที่มีตามธรรมชาติ ด้านหนึ่ง แล้วก็เข้าใจเรื่องปฏิบัติการในกระบวนการพัฒนามนุษย์อย่างหนึ่ง ถ้าแยกอย่างนี้อาตมาว่าจะเข้าใจชัดขึ้น ก็เป็นอันว่าพระพุทธศาสนานี้ถือว่า เรื่องปัญญานี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นแกนกลางของการพัฒนามนุษย์ แล้วก็เป็นตัวที่จะนำให้เข้าถึง จุดหมายสูงสุดของการพัฒนามนุษย์ ศักยภาพสูงสุดของมนุษย์นั้นอยู่ที่ปัญญา เพราะฉะนั้นก็ เน้นเรื่องปัญญานี้ แยกเอามาไว้ส่วนหนึ่งต่างหาก เป็นเรื่องใหญ่ซึ่งเราจะได้เห็นต่อไป คิดว่าในแง่นี้ก็ ควรจะผ่านไปได้.

ทีนี้ ในการพัฒนาจิตใจและพัฒนาปัญญานี้ ก็ต้องทำความเข้าใจกันอีกด้วยว่า มันเป็นส่วนของการพัฒนามนุษย์ทั้งหมด ทีนี้การพัฒนาจิตพัฒนาปัญญาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการพัฒนามนุษย์นี้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะไปแยกต่างหากได้ จากการพัฒนาด้านอื่นๆของชีวิตมนุษย์ เหมือนอย่างว่าในการเป็นอยู่ในชีวิตจริงเนี่ยะ กิจกรรมทุกอย่างของชีวิต ชีวิตของเราทุกด้านนี้สัมพันธ์กันหมด เราไม่สามารถจะแยกออกไปต่างหาก อย่างร่างกายกับจิตใจเนี่ยะ ในการเป็นอยู่ในชีวิตจริงเนี่ยะ มันก็ต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ทุกด้านของชีวิตนี้สัมพันธ์กันหมด ฉันใด การพัฒนามนุษย์ ที่เราแยกออกเป็นด้านๆนั้นก็เพื่อความสะดวกในการพิจารณา ในการที่จะจัดกระบวนการพัฒนา ให้ได้ผลดี แต่เราจะต้องตระหนักรู้ความจริงว่า มันไม่แยกต่างหากจากกันโดยเด็ดขาดสิ้นเชิง มันต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน.

การพัฒนาระหว่างจิตใจกับการพัฒนาปัญญา ก็สัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจกับปัญญาเท่านั้น มันยังสัมพันธ์กับการพัฒนาด้านอื่นๆด้วย อย่างที่พระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ อย่างที่อาตมาได้กล่าวในตอนก่อนแล้ว ก็สุดแต่ว่าเราจะใช้ระบบการจัดแบ่งเป็นกี่ด้าน เช่นถ้าใช้ไตรสิกขา ก็ต้องมีศีลสมาธิปัญญา หรืออธิจิต2อธิศีลอธิจิตอธิปัญญา นี่ถ้าใช้

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2

เป็นภาวนา 4 ก็เป็นกายภาวนา ศีลภาวนา จิตตภาวนา ปัญญาภาวนา. นี้ทั้งหมดนั้นน่ะ เป็นภาวนา 4 ทั้ง 4 ด้าน ก็สัมพันธ์กันอาศัยซึ่งกันและกัน.

         หรือจะเป็นไตรสิกขา ศีลสมาธิปัญญา หรืออธิจิต อธิศีล อธิปัญญา ทั้ง 3 ด้านนี่ก็สัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่ได้แยกต่างหากจากกันโดยสิ้นเชิง เดี๋ยวจะมาเข้าใจว่า อ๋อ พัฒนาจิตใจพัฒนาปัญญา ก็เป็นเรื่องทำต่างหากออกไป หรือเรามองว่า อ้าว ถ้าสัมพันธ์ก็สัมพันธ์ระหว่างจิตใจกับปัญญา เท่านั้น ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น ด้านอื่นๆในระดับศีล ก็ต้องมาสัมพันธ์กันด้วย.

ในตอนที่แล้วนี้อาตมาก็ได้พูดไปบ้างแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ศีลสมาธิปัญญา หรือว่าองค์ประกอบทั้งหมดของ ระบบการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนา ในตอนนี้ก็คิดว่า เพื่อความชัดเจนก็อาจจะพูดเสียอีกครั้งหนึ่ง ถึงองค์ประกอบต่างๆในกระบวนการการพัฒนามนุษย์ เช่นถ้าเราถือหลักไตรสิกขานี้เป็นแบบ เราก็พูดว่ามีความสัมพันธ์ระหว่าง ศีล สมาธิ และปัญญา หรือมีความสัมพันธ์ระหว่างอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา มองอย่างง่ายๆ ศีลก็มีความสัมพันธ์กับจิตใจ แล้วก็มีความสัมพันธ์โยงไปถึงปัญญาด้วย.

ศีล ก็คือความประพฤติดีงามสุจริตทางกายวาจา ที่แสดงออกในทางสังคมหรือต่อสภาพแวดล้อม ถ้าคนเราไปประพฤติสิ่งที่เป็นอันตราย เบียดเบียนผู้อื่นไว้ เช่นไปทำร้ายเค้าไว้ ไปลักของเค้าไว้ ก็จะมีจิตใจไม่สงบ ไม่สบาย คิดหวาดระแวง หรืออาจจะมีความรู้สึกผิดเป็นต้น อย่างแรงก็คือการที่หวาดกลัวว่าเค้าจะมาแก้แค้น หรือเขาจะมาจับกุมไปลงโทษ แค่นี้จิตใจก็ไม่สงบแล้ว อันนี้ก็มีผลกระทบไปถึงจิตใจ หมายความว่า ศีลมีผลกระทบไปถึงจิต นี่ในด้านลบ จิตใจไม่สบายไม่มีความสุข.

ทีนี้พอจิตใจไม่มีความสุข หวาดระแวงคิดหวั่นกลัวไปต่างๆ ใจก็ฟุ้งซ่าน จะคิดจะพิจารณาเรื่องอะไร มันก็ไม่ชัดเจน คิดไม่ตกเพราะจิตใจนี้กระวนกระวายกระสับกระส่าย จิตใจที่กระสับกระส่าย จะคิดอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราว ก็ทำได้ยาก เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ทำงานได้ไม่เต็มที่.

เพราะเช่นนั้น จากศีลก็มีผลกระทบมายังจิตใจ จิตใจก็มีผลกระทบมาถึงปัญญา หรืออย่างพูดเฉพาะด้านจิตใจกับปัญญา อย่างเราอยู่ในห้องประชุม อยู่ในห้องประชุมนั่งฟังปาฐกถา นั่งฟหังคำบรรยาย จิตใจไม่สบายอย่างใดอย่างหนึ่ง มีเรื่องกลุ้มกังวล หรือว่า แม้ไม่กลุ้มกังวลแต่ว่าปล่อยใจเลื่อนลอย คิดเพ้อฝันไป หรือว่านึกถึงเรื่องที่จะไปบันเทิงเริงรมย์ หลังจากออกจากที่ประชุมนี้ ใจก็ล่องลอยไป คิดเรื่อยเปื่อยไป พอคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยไป ใจลอย ใจก็เรียกว่าไม่มีสมาธิ พอจิตไม่มีสมาธิ ใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป ก็แม้แต่ฟังสิ่งที่เค้ากำลังพูดอยู่ ก็ไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่มีปัญญาที่จะมาพิจารณาหาเหตุผลให้เข้าใจเรื่องนั้นๆ และสภาพจิตใจก็มีผลกระทบต่อปัญญา.

หรือว่าถ้ามองให้ไปถึงศีลก็ได้ เช่นในที่ประชุมนั้น มีแต่ความวุ่นวาย มีคนทะเลาะกัน จะตีกันอะไรต่างๆเหล่านั้น ไม่มีความสงบ เราอยู่ในที่ประชุมนั้น ก็พลอยมีความไม่สบายไปด้วย มีความเป็นห่วงกลัวว่าจะถูกลูกหลง หรือว่าจะมีเหตุการณ์อะไรรุนแรงขึ้นมา อย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ทำให้จิตใจไม่สงบ หมายความว่าระดับศีล พฤติกรรมนี่ก็มีผลมาทางจิตใจ แล้วพอจิตใจไม่สงบฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิ การที่จะรู้เข้าใจที่เป็นปัญญา ก็ไม่เกิดขึ้น หรือเป็นไปได้ยาก.

เพราะฉะนั้นอันนี้มันส่งผลที่กระทบต่อกันทั้งหมด ตลอดกระบวนการ. ในทางบวกก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเรามีศีลดีเรียบร้อย เราประพฤติสุจริต เราก็มีความปลอดโปร่งโล่งใจ ใจคอเราก็สบาย ยิ่งเราประพฤติอะไรดีงาม เช่นไปช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไว้ นึกขึ้นมาบางทีเรามีความปลื้มใจ ปลาบปลื้มยินดีในการกระทำของเรานั้น พอมีความปลื้มใจเราก็มีความสุข มันก็มีผลมาถึงจิตใจ ทีนี้พอจิตใจดีงาม อย่างน้อยปลอดโปร่งสบายไม่มีเรื่องรบกวนใจ ใจไม่ฟุ้งซ่าน จะคิดอะไรก็คิดได้ดีขึ้น คิดได้ลึกซึ้งขึ้น มองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น ก็มีผลต่อปัญญา.

ในทางกลับกัน ปัญญาก็ส่งผลมาต่อศีลแล้วก็สมาธิด้วย หรือต่อความประพฤติหรือพฤติกรรม ทางกายวาจา แล้วก็ส่งผมมาทางด้านสภาพจิตใจด้วย และพอเราปัญญารู้เข้าใจอะไรต่างๆดี เราก็ประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง เช่นเรามองเห็นเหตุผลในการอยู่ร่วมกันว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ทำให้อยู่ร่วมกันโดยสันติ หรือโดยที่มีความสุข. เราก็ปฏิบัติไปตามนั้น ปัญญาเป็นตัวบอกนำทางให้ ดำเนินพฤติกรรมที่เรียกว่าศีลได้ถูกต้อง ไม่ว่าในทางจิตใจก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีปัญหาอะไรที่ติดขัดค้างใจอยู่คิดไม่ตก พอมีปัญหาคิดไม่ตกมันก็เกิดความอึดอัด อัดอั้นใจก็ไม่มีความสุข เมื่อใดเรามีปัญญาคิดแก้ปัญหาได้ มันก็โล่งไป มันก็มีความสุขสบาย เพราะฉะนั้นปัญญานี้เป็นตัวสำคัญมาก ในขั้นสุดท้ายสูงสุดนั้น ปัญญานี้ รู้เขาใจความจริงเกี่ยวกับโลกชีวิตทั้งหมด ทำให้เราเห็นทางออก ทำให้เราเห็นการที่จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง.

ปัญญาธรรมชี้นำให้เรารู้จักปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้อง ไม่เฉพาะปฏิบัติถูกต้อง แม้แต่วางใจได้ถูกต้อง พอเราเห็นทางออก รู้ว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างไร วางใจต่อสิ่งทั้งหลายอย่างไร วางใจต่อโลกดต่อชีวิตอย่างไร มันจะทำให้เกิดความปลอดโปร่งผ่องใส โล่งขึ้นมา อันนี้ก็มีผลต่อจิตใจที่สำคัญมาก จนกระทั่งถึงภาวะที่เรียกว่าอิสรภาพสูงสุด. และปัญญาเนี่ยะจึงเป็นตัวที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก.

นี่เรื่องของมนุษย์นี่สำคัญที่สุดก็คือว่า ไอ้ความที่ยังมีความคับข้องติดขัดอยู่ในระดับต่างๆ มนุษย์เรานี่ตั้งแต่ชีวิตประจำวัน เราก็จะประสบปัญหาพอแก้ปัญหาไม่ได้มันก็เกิดความคับเครียดขึ้นมา อัดอั้น ในจิตใจก็เกิดความทุกข์ แม้จะดำรงอยู่ในโลก ไม่มีปัญหาชีวิตประจำวัน เกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็น เช่นความตายอะไรต่างๆ เรื่องของชีวิตนี้ทั้งหมด ที่เราไม่เข้าใจ มันเป็นปัญหา ที่มันเป็นสิ่งที่มากดดันบีบคั้นจิตใจ ติดขัดคับข้องทั้งนั้น เมื่อเราไม่สามารถหาทางออกกับสิ่งเหล่านี้ได้ วางใจต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ มันก็ยังมีความทุกข์แฝงอยู่ ไม่ระดับตื้นก็ระดับลึก ไม่ระดับหยาบก็ละเอียด จนกระทั่งทำให้มนุษย์เนี่ยะ จะมีความสุขถึงที่สุดไม่ได้ ไม่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง แต่ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจโลกชีวิตตามเป็นจริงเนี่ยะ มันจะทำให้เกิดทัศนคติ เจตคติ3ต่อสิ่งทั้งหลายอย่าง

3http://www.digitalschool.club/digitalschool/social2_1_1/m4_1/content/lesson4/more4_4/item1.php

ถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น แล้วก็วางใจวางท่าทีได้ถูกต้อง แล้วก็พอวางท่าทีได้ถูกต้อง มันก็เกิดความปลอดโปร่งผ่องใส เกิดความสุขขึ้นมา.

         นี้ สภาพจิตใจที่เป็นอิสระนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นพื้นฐานที่จะทำให้มนุษย์มีความสุขอื่นๆ เหมือนอย่างว่าในทางร่างกายของเราเนี่ยะ เราอาจจะไปหาความสุขต่างๆ เอามาปรนเปรอบำรุงตาหูจมูกลิ้นกายของเรา แต่ในตัวกายของเรานี้ถ้าไม่มีสุขภาพดีมีโรคอยู่ แม้เราจะไปหาความสุขเหล่านั้นมา หาสิ่งมาบำเรอตาหูจมูกลิ้นกายของเรา มันก็หาได้มีความสุขแท้จริงไม่ มันก็ยังมีความกระวนกระวายอยู่ภายใน แม้เราจะมีที่นอนที่สบายเป็นฟูก เรียกว่ามีสัมผัสเป็นสุข แต่ว่าในร่างกายของเราเนี่ยะมีโรคภัยอยู่ และความเจ็บปวดภายในความไม่สบายนั้น มันก็ทำให้เราหาความสุขจากสิ่งภายนอกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในทางร่างกายเนี่ยะ มันต้องมีสุขภาพ คือความไม่มีโรคเป็นพื้นฐานก่อน เสร็จแล้วไอ้ตัวสุขภาพดีไม่มีโรค นี้ก็เป็นความสุขที่แท้จริง อยู่ระดับหนึ่งแล้ว เป็นตัวความสุขที่แท้จริงโดย โดยสมบูรณ์ทีเดียว ต่อจากนั้นมันจึงเป็นฐานให้เราสามารถมีความสุขที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกาย ได้เต็มที่.

อันนี้ก็เช่นเดียวกันในทางจิตใจ ถ้าจิตใจยังมีปัญหายังมีความคับข้อง ยังมีปมอะไรติดอยู่เนี่ยะ แม้เราจะมีความสุข ที่เราแสวงหาเข้ามาจากภายนอก เราก็จะมีความสุขได้ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นในทางพระศาสนาเนี่ยะ จึงไม่ได้ติดแค่ขั้นจิตใจ แต่ให้ไปถึงขั้นปัญญา เพื่อจะชำระล้างจิตใจเนี่ยะ ใหก้ปลอดโปร่ง ตัดปัญหากับโลกและชีวิตนี้ได้หมดเลยทีเดียว เหมือนกับว่าร่างกายที่ไร้โรคฉันใด จิตใจก็มีสุขภาพดีฉันนั้น เมื่อจิตใจนี้ เป็นจิตใจที่เป็นอิสระปลอดโปร่งผ่องใสโดยสมบูรณ์แล้ว อันนี้ก็เป็นความสุขในตัวด้วย แล้วก็เป็นรากฐาน เป็นฐานที่จะมีความสุขกับสิ่งมี่เข้ามา จากภายนอกอื่นๆทั้งหมดได้ด้วย.

นี้เราจึงเน้นความสำคัญที่ว่า จะต้องมีการพัฒนาในเรื่องปัญญาขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์อิสรภาพโดยสมบูรณ์ ที่เข้าใจโลกและชีวิต ตามจริง จนกระทั่งปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง วางใจต่อโลกและชีวิตนี้ได้ถูกต้อง.

อันนี้อาตมาพูดมาให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆในกระบวนการพัฒนามนุษย์ ทั้งศีล ทั้งจิตใจหรือสมาธิ แล้วก็ปัญญา ก็รวมความว่าถ้าจิตใจดีก็ทำให้ปัญญานี้ทำงานได้ผลเต็มที่ ในเวลาเดียวกันถ้าปัญญาดีก็ทำให้จิตนี้ได้มีทางออก เช่นคิดแก้ปัญหาตก ทำให้ทำลายความติดขัดข้ตับองไปได้ มีความปลอดโปร่งโล่ง.

อาตมาจะขอยกตัวอย่างอีกง่ายๆ อีกอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างศีล จิตใจและปัญญานี้ เช่นอย่างว่า เราจะไปเป็นประธานในที่ประชุมซักแห่งหนึ่ง ซึ่งมีลำดับพิธีกรรม พอเข้าไปในที่ประชุมนั้น เราไม่รู้เรื่องว่าจะต้องทำพิธีอะไรบ้าง สมมติว่าอย่างนี้ พิธีกรรมนั้นก็คือพฤติกรรมในเรื่องศีล พอเราไม่รู้ ขาดในระดับปัญญา จะเกิดอาการอะไรขึ้นมา คือว่าจิตใจจะกระวนกระวาย คนที่เข้าไปนำ เป็นผู้นำในพิธี เป็นประธาน ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ก็จะเกิดความกระสับกระส่ายกระวนกระวายใจ ใจจะไม่เป็นสมาธิ แล้วออกมาเป็นพฤติกรรม มีอาการกระสับกระส่ายทางร่างกาย กระวนกระวายไปด้วย อันนี้ เนี่ยะแสดงว่าปัญญานี่ มีผลออกมาทางด้าน พฤติกรรมที่เรียกว่าศีล แล้วก็ทางด้านของจิตใจด้วย.

หรืออย่างเช่นว่า เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นมา น่าหวาดกลัว พอเกิดเหตุการณ์น่าตื่นเต้นนี้ เรามีความไม่รู้ ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอะไร จะแก้ไขยังไง ความไม่รู้นี้จะทำให้จิตใจเนี่ยะ เกิดความประหวั่นพรั่นพรึง เกิดความอึดอัดกลัดกลุ้ม เป็นอย่างมาก จะไม่มีความสุขเลย แล้วก็จะทำอะไรไม่ถูก พฤติกรรมที่ออกมาก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่เรียบร้อย ทีนี้ถ้าหากว่าเรารู้ ว่าเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวนั้นเกิดขึ้นแล้ว แล้วเกิดมีปัญญาคิดในเรื่องนั้นได้ออก คิดหาทางออกได้ คิดแก้ปัญหาได้ รู้ว่าจะต้องทำอะไร พอเกิดความรู้ขึ้นมาอย่างนี้ เราแก้ปัญหาได้แน่ แล้วก้เราก็จะหลุดรอดพ้นอันตรายไป หรือทำให้เหตุการณ์กลับดี พอรู้ชัดเจนอย่างนี้ ก็เกิดก็เกิดอะไรขึ้น? ก็เกิดผลแน่นอน จิตใจเราก็จะหายกระวนกระวาย หายกระสับกระส่ายทันที จิตใจเราจะสบาย จิตใจจะสงบ แล้วพฤติกรรมก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ตามลำดับตามขั้นตอนนั้น จะให้เกิดผลในการแก้ปัญหาได้.

แล้วปัญญานี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในชีวิตประจำวันก็จะได้เห็นกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาเนี่ยะ ท่านก็จะให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆในระบบหรือกระบวนการพัฒนามนุษย์นี้ เช่นในหลักของศีลสมาธิปัญญา ให้เราเห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่าง ศีลกับสมาธิกับปัญญา ที่ให้ผลกลับกันไปกลับกันมา ในทางบวกและทางลบ และในกระบวนการปฏิบัติทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าท่านวางเอาความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น หรือความคิดเห็นความเชื่อที่ถูกต้อง นี่เป็นข้อแรก คือสัมมาทิฏฐิ เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสิ่งที่กระทำเป็นอย่างน้อยแล้ว เราจึงจะเริ่มเดินหน้าไปในสิ่งนั้นได้.

เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติเบื้องต้นสุดจึงต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเชื่อความเข้าใจความเห็นถูกต้องก่อนแล้วความเชื่อความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้องที่เป็นจุดเริ่มต้นของสัมมาทิฏฐินี้ จะเป็นตัวที่บอกเราให้ปฏิบัติในองค์มรรคข้ออื่นได้ อยู่ในขอบเขตที่พอดี เพราะเช่นนั้นสัมมาทิฏฐินี้เป็นตัวบอกขอบเขตของข้อปฏิบัติอื่นทั้งหมด ทำให้มรรคนั้น ดำเนินไปอย่างพอดี เกิดดุลยภาพขึ้นมา. อันนี้ปัญญาในแง่นี้เนี่ยะ จะเห็นว่า เป็นเบื้องต้นของกระบวนการพัฒนามนุษย์.

ทีนี้ในระดับที่สูงขึ้นไป เมื่อเราพัฒนาศีล พัฒนาจิตใจ ก็มุ่งพัฒนาปัญญานี่เอง เมื่อพัฒนาปัญญาไปจนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย ในที่สุดแล้วปัญญาเจริญเต็มที่ ก็ปัญญานี่แหละจะเป็นตัวตัดสิน ที่จะนำเราเข้าสู่จุดหมาย ของชีวิตหรือการพัฒนามนุษย์นั้น.

ทีนี้เมื่อพูดมาถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศีลสมาธิปัญญา หรือพฤติกรรม แล้วก็จิตใจและปัญญาแล้ว ในชีวิตประจำวันมองเห็นกันอย่างนั้นได้ไม่ยาก.

ทีนี้ก็จะมาพูดในระดับสูงสุด ในการพัฒนาในระดับสุดยอดนี้ ตอนนี้มันจะเป็นการสัมพันธ์กัน ที่เน้นในระดับจิตกับปัญญา เพราะว่าระดับพฤติกรรมหรือศีลนั้นเป็นระดับภายนอก ปัญญาที่สูงสุดนั้นมันจะอยู่ข้างในบุคคล การที่รู้เข้าใจถึงที่สุดในสิ่งต่างๆ ตอนนี้เราถือว่าหมดปัญหากันในเรื่องศีลแล้ว เรื่องพฤติกรรมนี้มันต้องมีพื้นฐานมามีแต่ต้นแล้ว อย่างน้อยเราก้ไม่มีความห่วงกังวลกับเรื่องความประพฤติอะไรต่างๆ หรือต้องแก้ปัญหาในเรื่องนั้นให้ลงตัวสักอย่างหนึ่ง.

ทีนี้เราก็มาสู่ระดับจิตกับปัญญา ในระดับจิตใจกับปัญญาเนี่ยะ ความสัมพันธ์ในระดับสูงสุดนี้ การพัฒนาทางด้านจิตใจเนี่ยะ จะมีศัพท์เรียกเฉพาะ อย่างที่ตั้งเป็นหัวข้อไว้ว่า จิตภาวนา จิตภาวนานี้เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า สมถภาวนา หรือเรียกกันง่ายๆว่าสมถะ สมถะก็คือการฝึกอบรมจิตให้สงบนั่นเอง อันนี้เป็นหลักปฏิบัติในการพัฒนาจิตใจ ทีนี้ส่วนด้านปัญญานั้นที่เรียกว่า ปัญญาภาวนา ในการพัฒนาปัญญาระดับสูงที่จะให้เป็นการพัฒนาสุดยอด เข้าถึงจุดหมายทีเดียวนั้น ก็จะมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า วิปัสสนาภาวนา คือการเจริญวิปัสสนา หรือเรียกกันสั้นๆทีเดียวว่า วิปัสสนา.

นี้ 2 อย่างนี้จะมีความสัมพันธ์กัน การพัฒนาจิตใจให้สงบ เป็นสมถะนั้น ก็จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่าสมาธิ สมถะหรือจิตภาวนา ก้นำจิตไปสู่ความมีสมาธิ พอจิตมีสมาธิแล้วก็จะเป็นบาทฐาน นำไปสู่การเจริญวิปัสสนา ฉะนั้นก็มีคำกล่าวในทางพระพุทธศาสนาอยู่เสมอว่า เอาสมถะเป็นบาทฐาน หรือเอาสภาพจิตใจที่เกิดจากการฝึกสมถะเนี่ยะ เป็นบาทฐาน แล้วก็เจริญวิปัสสนาต่อไป. ในแง่นี้ตามหลักพระศาสนาก็คือว่า การพัฒนาจิตใจที่เรียกว่าสมถะนั้น เป็นบาทฐานที่จะก้าวไปสู่การพัฒนาปัญญาที่เรียกว่าวิปัสสนาต่อไป แต่ตัวที่จะนำไปสู่จุดหมายแท้จริงคือวิปัสสนา ได้แก่การพัฒนาปัญญา.

ตอนนี้เราก็เห็นความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งแล้วว่า สมถะการพัฒนาจิตใจนั้น เป็นฐานนำขึ้นไปสู่ปัญญา และปัญญาเป็นตัวนำสู่จุดหมายอีกทีหนึ่ง สมถะนั้นไม่สามารถนำไปสู่จุดหมาย คือการที่จะแก้ไขปัญหา ได้โดยสิ้นเชิง ทีนี้อย่างไรก็ตาม ก็ต้องเห็นความสำคัญของการพัฒนาจิตใจอย่างที่ว่า จิตจะต้องมีสมาธิ ยิ่งเราจะพัฒนาปัญญาอย่างสูง พัฒนาปัญญาในระดับที่เข้าถึงสัจธรรมเนี่ยะ เราก็ยิ่งต้องการจิตที่มีสมาธิ อย่างแนบสนิทมากขึ้น และจิตที่มีสมาธิแนบสนิทถึงขั้นนี่แหละ จึงจะสามารถมำให้เกิดปัญญาหยั่งรู้ความจริงถึงที่สุดได้.

แล้วแม้แต่ผลในทางจิตเองก็ต้องเกิดจากสภาพจิตที่มีสมาธิ ถึงความแนบสนิทเช่นเดียวกัน จึงจะทำให้เกิดผลเป็นความเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ เปลี่ยนแปลงเจตคติ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ ฉะนั้นเราจะต้องมองถึง ความเจริญงอกงามของจิตใจในระดับต่างๆ การพัฒนาจิตที่จะให้ผลปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขอิงมนุษย์ ปรับเปลี่ยนเจตคติของมนุษย์ได้ จะต้องเป็นการพัฒนาจิตที่ลงลึกไป ถึงระดับสมาธิ.

ทีนี้เมื่อพูดถึงสมาธิแล้วก็เลยขออธิบาย ให้ความเข้าใจเกี่ยวกับสมาธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สมาธินั้นก็บอกแล้วเมื่อกี้ว่า เป็นสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้น เป็นสภาพจิตที่ปรารถนา หรือที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนาจิตใจ เราพัฒนาจิตใจนี่ มันก็เกิดสภาพจิตที่ดีขึ้น ในด้านต่างๆ แต่แกนรวมของมันอยู่ที่สมาธิ สมาธิ สภาวะจิตที่แน่วแน่อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวดายอย่างมั่นคง แล้วก็มีความสงบอยู่ในตัว และมันจะประกอบด้วยคุณสมบัติอื่นๆที่ดีงามอยู่มากมาย เช่นสติ เป็นต้น.

ทีนี้ สมาธินั้นมีคุณค่าอย่างไร? สภาพจิตที่ว่าแน่วแน่ และมีอารมณ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวหมายความว่ากำหนดจับอยู่กับสิ่งเดียวได้ มันจะมีคุณภาพที่สำคัญคือ หนึ่งมันมีพลัง จิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่ จะมีพลัง มีข้ออุปมาเหมือนกับว่า เราขึ้นไปบนยอดเขา อย่างขึ้นมาบนยอดเขาที่นี่ ที่นี่ก็เป็นเหมือนกะยอดเนินอันหนึ่ง พอขึ้นมาบนนี้สมมติว่าเรามีน้ำอยู่ถังหนึ่ง หรือมากกว่านั้น สมมติว่าเราเทน้ำถังนั้นลงไป เราเทโดยวิธีที่สาดกระจายออกไป น้ำทั้งถังนั้นหรือแม้แต่ว่ามากกว่านั้น ก็จะไม่ค่อยมีความหมายอะไรเลย มันจะกระจายพร่าไปหมด แต่ทีนี้สมมติว่าเราทำเป็นร่องน้ำ เป็นราง แล้วก็เทน้ำถังใหญ่ลงไป น้ำนั้นจะไหลไปทางเดียว พอน้ำไหลไปทางเดียวแล้วจะพุ่งแรงมีกำลัง สามารถพัดพาเอาสิ่งที่ขวางหน้ามันไปได้. อันนี้จิตใจก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะคิดสิ่งนู้นสิ่งนี้ วุ่นวายฟุ้งซ่านไป มันก็ไม่มีกำลัง แต่ถ้าว่าจิตนั้นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่เรากำหนดได้ แน่วแน่ลงไปแล้ว มันก็มีกำลังมาก อันนี้เป็น สภาพจิตที่เป็นสมาธิ มีคุณภาพประการที่หนึ่งอย่างนี้.

ทีนี้ต่อไปประการที่สอง สภาพจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่แล้ว ก็เกิดความสงบ ความสงบนี้ ในตัวของมันเองก็มีภาวะที่เป็นคุณสมบัติที่ดี ก็คือจะมีความสุข เมื่อจิตใจสงบสบายก็จะมีความสุข อันนี้เป็นคุณภาพหรือคุณสมบัติที่ดีอยู่ในตัวของมันเอง เพราะว่าความสงบสุขของจิตใจนี่เป็นสิ่งที่คนปรารถนาอยู่แล้ว แม้แต่เพียงได้ความสงบสุขของจิตใจนี้ก็นับว่าเป็นการได้สิ่งที่เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งของการเจริญสมาธิ แต่ว่าคุณค่าของสมาธิไม่ได้อยู่เพียงเท่านั้น.

ประการต่อไปที่สำคัญ ซึ่งท่านถือว่าสำคัญที่สุด ก็คือคุณค่าที่จะนำไปสู่การพัฒนาปัญญา อย่างที่กล่าวเมื่อกี้ว่า เป็นบาทฐานหรือเป็นพื้นฐานในการที่จะพัฒนาปัญญาต่อไป สภาพจิตที่เป็นสมาธินี้ท่านเรียกว่า เป็นสภาพจิตที่เหมาะแก่งาน หรือเหมาะแก่การใช้งาน ภาษาพระเรียกว่า นุ่มนวลควรแก่งาน หมายความว่า มันยืดหยุ่นปรับเปลี่ยน มันนุ่มนวลเหมาะแก่การที่จะนำไปใช้ประโยชน์ ความจริงการนำจิตไปใช้ประโยชน์นั้น ก็ใช้ทั้งในทางพลังจิตเองก็ได้ ใช้ในทางปัญญาก็ได้ หมายความว่าจิตนี้มันเหมาะแก่การใช้งานแล้ว ก็เอาไปใช้ในทางพลังจิต ก็มันก็จะไปออกในด้านหนึ่ง หรือเราจะใช้ในทางปัญญา ก็เอาไปคิดพิจารณาในสิ่งต่างๆ อย่างที่ว่ามาแล้ว แม้แต่ว่าในชีวิตประจำวัน อย่างที่ยกตัวอย่างเบื้องต้น. เรานั่งฟังปาฐกถานี้ ถ้าไม่มีสมาธิ มันก็ฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจชัดเจน หรือความเข้าใจนั้นไม่สืบต่อรู้เรื่องไม่หมดไม่ทั่ว.

ทีนี้ในเรื่องของการเจริญวิปัสสนาปัญญาในระดับสูงที่พัฒนาอย่างสุดยอดก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องการจิตที่เหกมาะแก่งานซึ่งเป็นสมาธินี้ เมื่อจิตเป็นสมาธิท่านเรียกว่า เป็นจิตที่เหมาะแก่การใช้งาน ก็เป็นการใช้งานในทางปัญญา พินิจพิจารณาเรื่องอะไรต่างๆ ก็จะรู้เข้าใจตามความเป็นจริง ก็รวมความว่าเราต้องการที่จะใช้ปัญญา ที่พัฒนาอย่างถึงที่สุด ทีนี้ปัญญาที่พิจารณาอย่างลึกซึ้งถึงที่สุด ก็ต้องการสภาพจิตที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน อย่างแนบสนิท นี่ก็ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจกับปัญญา.

แม้ในระดับที่สูงสุด ถ้าหากว่าเราจะพัฒนาจิตใจแต่อย่างเดียว จิตใจมันก็มีคุณสมบัติมากมาย เช่นว่า เราอาจจะมีคุณธรรมต่างๆ มีความเมตตากรุณา มีศรัทธาเป็นต้น มันก็เป็นคุณสมบัติที่อยู่ในใจ เราอาจจะมีสมรรถภาพจิต มีความเข้มแข็ง จิตใจมีความกล้าหาญ มีความเพียรพยายาม มีความอดทน สู้กับกิจการงานต่างๆไม่ท้อถอย แล้วมีสติเป็นต้น เราก็มีคุณสมบัติของจิตที่ดีงาม.

หรือแม้แต่ว่า เราสามารถทำจิตให้สงบ มีความเข้มแข็งมั่นคง แล้วจิตสงบแน่วแน่ด้วยสมาธิ เราก็มีความสุขสบาย ก็ดูเหมือนว่าจะพอแก่ความต้องการ เข้าถึงจุดหมายของการพัฒนาจิต แต่ที่จริงนั้นถ้าดูให้ดีแล้ว มันยังไม่ถึงจุดหมาย สภาพจิตที่เป็นอย่างนั้น มันจะมีเชื้อของความไม่รู้อยู่ข้างใน เป็นตัวที่แฝงอยู่ตลอดเวลา ความไม่รู้เข้าใจต่อชีวิตของตน ความไม่รู้เข้าใจต่อโลก สภาพแวดล้อม ซึ่งจะออกผลมาเป็นการที่จะวางใจวางท่าทีไม่ถูกต้อง การปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายไม่ถูกต้อง การแก้ปัญหาไม่ได้ อะไรต่างๆเหกล่าเนี๊ยะ มันจะมีอยู่แฝงอยู่ แล้วเวลาที่เราต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ จิตใจของเราก็จะมีปัญหาอีก.

ถ้าพูดกันอย่างวิธีปฏิบัติก็คือว่า เวลาเราอยู่ในสมาธิ ทำจิตให้เป็นสมาธิได้ เราก็สบาย ดูก็เหมือนกับว่า เราหมดปัญหาแล้ว แต่ออกจากสมาธิเมื่อไร สภาพจิตใจของเราก็กลับเป็นอย่างเดิม เราจะมีอาการที่ว่า เหมือนกับว่า เข้าไปสู่ภาวะที่เป็นจุดหมายนั้นได้ชั่วคราวเท่านั้นเอง ก็มาเผชิญกับสภาพความเป็นจริงของโลกและชีวิต ไอ้ความไม่รู้ต่อสิ่งทั้งหลายมันก็ยังมีบทบาท เข้ามาครอบงำชีวิตจิตใจของเรา. เพราะฉะนั้น การพัฒนาจิตใจของเราได้ดีที่สุด เราก็อยู่กับตัวเองได้ดี แต่เสร็จแล้วเราก็ยังไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง แม้แต่วางใจวางท่าทีไม่ถูกต้อง ความไม่รู้แฝงอยู่ตลอดเวลา.

นี้ปัญญานี่แหละที่จะเป็นตัวโยงเข้าหาสภาพแวดล้อมที่อยู่ข้างนอก ออกนอกตัวเรา ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง จิตใจของเราพัฒนาแล้วก็ยังอยู่กับตัวเอง เรายังไม่สามารถจะเข้าถึงสัจธรรม ที่อยู่เบื้องหลังโลกและชีวิต ที่อยู่เบื้องหลังธรรมชาติ แต่ด้วยปัญญาจะทำให้เราเข้าใจความจริงที่อยู่เบื้องหลังธรรมชาติทั้งหมด เบื้องหลังโลกและชีวิต พอปัญญาเกิดขึ้นก็คือเป็นตัวโยงเราเข้าหาความจริงของธรรมชาติ โยงเราให้เข้าถึงเบื้องหลังของธรรมชาติ ให้เข้าถึงตัวธรรมชาติได้ ตัวธรรมะ กฎของธรรมชาติความเป็นจริง พอถึงจุดนี้ ก็คือการที่เราเข้าถึงสัจธรรม เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นตัวโยงเข้าหาสัจธรรม และด้วยการเข้าถึงสัจธรรมนี้ เราจะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย ต่อธรรมชาติได้ถูกต้อง มันจึงเป็นตัวกำกับในขั้นสุดท้าย ตัดสินที่จะให้เราได้แก้ปัญหาได้ถึงที่สุด จึงบอกว่าเป็นการพัฒนาสูงสุด จึงต้องจัดปัญญาไว้เป็นตัวตัดสินขั้นสุดท้าย.

เอาละ อาตมาก็คิดว่าในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง องค์ประกอบต่างๆในกระบวนการพัฒนามนุษย์นี้ น่าจะเพียงพอ.

ทีนี้ก็จะมาพูดถึงตัวระบบอีกครั้งหนึ่ง มันก็คือการสรุปเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างแงค์ประกอบทั้ง 3 ในกระบวนหรือองค์รวม หรือระบบรวมของไตรสิกขานั่นเอง ในเชิงปฏิบัติการในทางพระพุทธศาสนานั้น จะเห็นว่า องค์ประกอบทั้ง 3 คือ ศีลสมาธิปัญญา หรือเรื่องศีล เรื่องจิต เรื่องปัญญานี้ จะมีความสัมพันธ์กันเป็น 2 แบบ แบบที่หนึ่งคือความสัมพันธ์แบบส่งทอดต่อเนื่องกันเป็นขั้นเป็นตอน โดยที่ว่า องค์ประกอบแต่ละอย่างจะมีความเด่นหรือถูกย้ำถูกเน้นขึ้นมา ชัดในแต่ละระดับในแต่ละขั้นตอน ต่างกันไป จากหยาบสู่ละเอียด องค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ในกระบวนการพัฒนาในระดับที่หยาบ ก็จะปรากฏเด่นชัดขึ้นมาเป็นตัวเน้นย้ำในขั้นต้น อันนี้ก็คือศีล เรื่องพฤติกรรมที่แสดงออกภายนอก เรื่องกายวาจา การควบคุมพฤติกรรมทั้งหลาย เพราะฉะนั้นในระดับการฝึกปฏิบัติเบื้องต้นนี้ ก็จะเน้นเรื่องศีลก่อน.

ทีนี้ ต่อไปเมื่อพัฒนาสูงขึ้นไปแล้ว ส่งทอดต่อไป ศีลก็จะส่งทอดไปสู่จิตใจ ที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นในกระบวนการมนุษย์ ที่เรียกว่าไตรสิกขา หรือการศึกษา 3 ส่วนนี้ ในระดับที่สองก็จะเน้นเรื่องจิตใจ เรื่องสมาธิจะเด่นขึ้นมา แล้วต่อไปเมื่อผ่านขั้นสมาธิไปแล้ว ก็จะไปถึงขั้นปัญญา ในขั้นสุดท้ายแล้ว เราจะต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องปัญญา เหมือนกับว่าเตรียมพฤติกรรมและก้เตรียมจิตใจไว้พร้อมแล้ว ก็พร้อมที่จะพัฒนาปัญญาในขั้นสูงสุด ปัญญาก็จะเด่นขึ้นมา.

เพราะฉะนั้นในแง่ความสัมพันธ์แบบส่งทอดเป็นขั้นตอนนี้ เราก็จะเห็นว่า เป็นกระบวนการฝึกอบรมแบบที่ว่า มีขั้นตอน 3 ขั้น เป็นขั้นศีล ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญา ส่งทอดต่อกันไป อันนี้เป็นความสัมพันธ์ในแบบหนึ่ง.

ทีนี้ในความสัมพันธ์ในแบบที่สอง คือความสัมพันธ์เชิงบูรณาการ ความสัมพันธ์เชิงบูรณาการก็คือการถือว่า องค์ประกอบทั้ง 3 ในการพัฒนานี้ คือศีลสมาธิปัญญา หรือเรื่องพฤติกรรม เรื่องจิตใจและเรื่องปัญญานี้ มันจะต้องมาสัมพันธ์อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่ต่อกัน เพื่อให้เกิดผลรวมขึ้นมา เป็นอันหนึ่งอันเดียว ในแง่นี้แล้ว องค์ประกอบทั้ง 3 จะสัมพันธ์กันตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าแบ่งออกไปเป็นขั้นตอนชัดเจน ในทุกขั้นทุกตอนนั่นแหละ จะมีทั้งศีลมีทั้งสมาธิมีทั้งปัญญา ในแง่นี้เรียกว่า เป็นความสัมพันธ์เชิงบูรณาการ ซึ่งแม้แต่ในกิจกรรมทุกอย่าง แต่ละอย่างละอย่างที่เรากระทำเนี่ยะ ก็จะต้องมีทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญา ครบเสร็จ เป็นเรื่องที่เสริมกันให้บริบูรณ์.

ถ้าเรามองความสัมพันธ์ 2 แบบนี้ เอามาประสานกันเราก็จะเห็นว่า อ๋อ ที่จริงนั้น ศีลสมาธิปัญญา นั้น มีอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ในทุกขั้นทุกตอนนั่นแหละ ตั้งแต่ต้นทีเดียว ในการปฏิบัติในการพัฒนาก็มีทั้งศีล มีทั้งสมาธิ มีทั้งปัญญา เกี่ยวข้องโยงกันอยู่ เสริมกันไปเรื่อย จนกระทั่งถึงที่สุด แต่ว่ามันจะปรากฏออกมาภายนอก เด่นชัดเป็นขั้นเป็นตอนในแง่ที่ว่า มีการเน้นย้ำต่างกัน ในช่วงแรกศีลก็เน้นเด่นออกมา ขั้นที่สอง สมาธิหรือเรื่องจิตก็เด่นออกมา ขั้นที่สาม ปัญญาก็เด่นออกมา.

อันนี้อาตมาคิดว่า โดยวิธีทำความเข้าใจอย่างนี้ก็คงจะมีความชัดเจนพอสมควร แต่นี้อาตมาก็จะขอยกตัวอย่าง ว่าในกระบวนการพัฒนามนุษย์นั้น แม้แต่ในชีวิตประจำวัน เราก็จะต้องฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา และเราก็จะต้องนำเอาระบบการพัฒนาแบบนี้มาใช้ เมื่อนำเอาระบบการพัฒนาโดยถือหลักไตรสิกขาเป็นเกณฑ์ เราก็นำเอาหลักองค์ประกอบทั้ง 3 นี้มาใช้ในกระบวนการดำเนินชีวิตของเรา ดำเนินชีวิตของเรานี้ ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง สำหรับมนุษย์ที่ยังไม่บรรลุดจุดหมาย จะเป็นการดำเนินชีวิตที่เป็นการพัฒนาตนเองอยู่ตลอด เราจึงบอกได้ว่า มรรค คือวิถีชีวิตการดำเนินชีวิตนั้น เมื่อทำด้วยความมุ่งหมายฝึกฝนพัฒนาตน มันก็เป็นสิกขา คือการศึกษา.

นี้เราเอาองค์ประกอบ 3 ส่วนมาพัฒนาตนเอง เราก็จะเห็นว่า มีองค์ประกอบ 3 อย่างนี้อยู่ในกิจกรรมทุกอย่างของเรา ถ้ามันมีไม่ครบ แสดงว่าเราก็ปฏิบัติยังไม่ได้ครบถ้วน กระบวนการพัฒนานี้ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง กิจกรรมทุกอย่างของเรานี้จะตรวจดูได้ว่ามีทั้งศีลสมาธิปัญญา เช่นเราไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง พอทำอะไรขึ้นมาเราก็มองดู เอ้า ลองสำรวจตัวเองว่า หนึ่งในแง่ศีล พฤติกรรมของเรานั้น เป็นพฤติกรรมทีไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นโทษภัยแก่สังคม แต่อาจจะเป็นพฤติกรรมที่เกื้อกูล เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือเกื้อกูลทำให้สังคมอยู่เป็นสงบสุข เราก็มองดูคุณค่าของการกระทำของเราในแง่พฤติกรรมทางสังคม ว่าเป็นยังไง นี่ก็เป็นการสำรวจในแง่ศีล.

ต่อไปในการกระทำนั้น จิตใจของเราเป็นอย่างไร จิตใจของเรามีความสุขสบาย มีความร่าเริงเบิกบานใจมั๊ย? มีความเอิบอิ่มใจมั๊ย? มีความสุขไหม? เราก็สำรวจดูจิตใจของเรา หรือว่า ไม่สำรวจในแง่เชิงของความสุข ก็สำรวจในเชิงของการที่ว่า เอ้อ แรงจูงใจของเราในการกระทำนี้คืออะไร เราทำด้วยแรงจูงใจที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัว หรือมีอะไรเคลือบแฝงอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า หรือเราทำด้วยความบริสุทธิใจ หรือความมุ่งหมายปรารถนาดี ทำเพื่อเกื้อกูลด้วยเมตตาด้วยศรัทธาเป็นต้น นี้เราก็สำรวจได้ การกระทำนั้นในแง่จิตใจ ก็ออกมาในรูปสมาธิ.

ต่อไปในแง่ปัญญาเราก็สำรวจตัวเองได้ว่า ในการกระทำนั้น เราเข้าใจเหตุผลในการกระทำของเราชัดเจนหรือไม่ ว่าทำเราจึงกระทำกิจกรรมอันนี้ หรือมีการแสดงออกอันนี้ แล้วก็เข้าใจในแง่กระบวนการของเหตุปัจจัย สืบทอดไปสืบทอดมาว่า การกระทำนี้จะทำให้เกิดผลอะไรบ้าง? ในกระบวนการของเหตุปัจจัยสืบต่อไป เป็นผลดีผลร้ายอย่างไร? แล้วก็มองในแง่ของคุณโทษ ว่าการกระทำนี้มีคุณค่า มีประโยชน์ หรือมีโทษมีข้อเสียหายอย่างไร? อันนี้ก็เป็นการสำรวจในแง่ของปัญญา.

เพราะฉะนั้นในการกระทำอย่างเดียวนั้นจะมีทั้ง 3 อย่าง เราก็จะต้องเอาหลัก องค์ประกอบทั้ง 3 นี่แหละ ไปตรวจสอบตัวเอง ในกิจกรรมทุกอย่างของเรา ในการกระทำทุกอย่าง เพราะฉะนั้นในการกระทำทุกอย่างเนี่ยะ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นกระบวนการพัฒนาตัวเองของเราตลอดเวลา แล้วเราก็ทำครบทั้งศีลสมาธิปัญญา ถ้าเราไม่เอาหลักเกณฑ์นี้ไปใช้ เราจะทำด้วยความพร่า แล้วก็อาจจะมีความบกพร่องในการกระทำนั้น ตกลงว่านี่แหละคือ ศีลสมาธิปัญญาที่เป็นกระบวนการ ที่เป็นระบบพฤติกรรมของเรา ที่เป็นการพัฒนามนุษย์ ที่มีอยู่ตลอดทุกเวลา ทุกครั้ง.

รวมความก็คือว่า เราตรวจสอบตัวเองได้ ว่าการกระทำแต่ละครั้งของเรานั้น ในแง่พฤติกรรม มีผลเกี่ยวข้องกระทบต่อสังคม การอยู่ร่วมกันในโลก ต่อสภาพแวดล้อมอย่างไร? ในแง่จิตใจมีแรงจูงใจเบื้องหลังคืออะไร? ดีงามหรือไม่? แล้วก็จิตใจนั้นมีภาวะ มีความสุขหรือตวามทุกข์อย่างไรในการกระทำนั้น? มีความเบิกบานโปร่งใสหรือไม่? แล้วก็สำรวจในแง่ปัญญา รู้เข้าใจเหตุผลในการกระทำ รู้คุณรู้โทษของมันหรือไม่? รู้เหตุปัจจัยว่ามันจะส่งทอดไปให้เกิดผลอย่างไรในเบื้องหน้า เป็นต้น.

เอาละ อาตมาก็ยกตัวอย่างเป็นเรื่องของ การที่เอาระบบกระบวนการพัฒนามนุษย์มาใช้ ในกรณีย่อยๆ ในชีวิตประจำวันในการกระทำทุกอย่าง. ทีนี้ ในเรื่องใหญ่ๆ จก็จะขอยกตัวอย่างบ้าง ในกรณีใหญ่ๆ การแก้ปัญหาอะไรต่างๆของมนุษย์ แม้แต่ของสังคมนี้ เมื่อว่าตามหลักของไตรสิกขานี้ ก็จะต้องนำเอาหลักทั้ง 3 ประการ หรือองค์ประกอบของศีลสมาธิปัญญา ไปใช้ให้ครบ การแก้ปัญหาของมนุษย์จึงจะสำเร็จได้ ขอยกตัวอย่างเรื่องการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการทำลายสภาพแวดล้อม หรือการอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่เรากำลังสนใจกันมากในปัจจุบัน.

ในสังคมปัจจุบันนี้มีการคิดแก้ปัญหาเรื่องนี้กันมาก และเสร็จแล้วก็จะไปเถียงกันพวกหนึ่งก็จะใช้วิธีการทางปัญญาให้รู้เข้าใจ ว่าการทำลายป่ามีโทษอย่างไร ทำแล้วเสียหายอย่างไร มันจะกลับมาทำลายมนุษย์อย่างไร ยางพวกก็ไปพูดในแง่ว่า โอ้ไม่ได้ การที่จะให้คนรักษาธรรมชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติ ก็ต้องให้มีความรักธรรมชาติ ทำยังไงจะให้เค้ารักธรรมชาติได้อะไรยังงี้ หรือว่าบางคนก็มองไปในแง่พฤติกรรม ก็ต้องออกกฎหมายมาควบคุมพฤติกรรมคน ลงโทษกันให้หนัก อะไรต่างๆเหล่านี้ ให้การศึกษาที่ทำให้มีการควบคุมพฤติกรรมให้ดี รู้จักละเว้นสิ่งที่เป็นโทษ บางทีก็อาจจะเอาองค์ประกอบด้านปัญญา มาสัมพันธ์กับเรื่องพฤติกรรมด้วย ว่าให้รู้คุณโทษของการรักษา หรือทำลายป่า แล้วก็จะทำให้มาควบคุมพฤติกรรมอะไรต่างๆ ซึ่งก็ บางทีก็เป็นการที่ว่าแยกออกไปต่างหากกันบ้าง โดยใช้วิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด หรือบางทีก็ประสานกันเข้ามาแต่ไม่ชัดเจน คือมันไม่มีหลักที่ออกมาเป็นระบบ.

ถ้าพูดในทางพุทธศาสนาแล้วเนี่ยะ เราพูดได้เลยว่า จะต้องเอาองค์ประกอบ 3 อย่างนี้ เข้ามาประสานกันให้ครบ ไม่ได้ใช้แต่อย่างหนึ่งอย่างเดียว การแก้ปัญหาโดยใช้วิธีอย่างหนึ่งอย่างเดียวนั้นไม่สามารถจะทำให้ได้สำเร็จผลแท้จริง อย่างพวกที่มุ่งทางความรู้ เอาองค์ความรู้บอกว่าให้เค้ารู้ว่า ทำลายธรรมชาตินี้มันมีผลเสียหายก่อให้เกิดความพินาศอย่างไร จนกระทั่งว่ามนุษยชาติอาจจะสูญสิ้นอะไรต่างๆ อ้าว ถ้าเค้ารู้แล้วเค้าคงจะแก้ไข ไม่ทำ นี่ก็อาจจะรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นต้น. แต่เสร็จแล้ว ทั้งๆที่รู้นั่นแหละ ก็แก้ปัญหาพฤติกรรมไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคน คนปัจจุบันนี้ส่วนมากรู้แล้วว่า การทำลายธรรมชาติมีโทษอย่างไร แต่เขาก็ไม่แก้ไข ไม่แก้พฤติกรรมของตนเองที่เป็นการทำลายธรรมชาติ.

แก้ด้วยกฎหมายคือออกกฎหมายมาบังคับควบคุมพฤติกรรมของคน ทางกายวาจาในสังคม ทำผิดก็ลงโทษ ก็แก้ไขไม่สำเร็จ คนเราก็มีการทุจริตกันในแบบต่างๆ เพราะฉะนั้นมันเป็นการแก้ไขที่ไม่ครบกระบวนการ ไม่เป็นระบบ.

นี้ในทางพระพุทธศาสนาก็บอกว่าจะต้องแก้โดย ใช้องค์ประกอบให้ครบทั้ง 3 ด้าน ทั้งศีลสมาธิและปัญญา หรือทั้งด้านพฤติกรรม ด้านจิตใจ และก็ด้านปัญญาหรือตัวความรู้ความเข้าใจ ก็เรียกว่าเป็น 3 ประสาน องค์ประกอบ 3 อย่าง โยงประสานเข้ามาหากัน.

เรื่องศีลก็คือ ขั้นควบคุมพฤติกรรม ขั้นควบคุมพฤติกรรมนี้ อ้าว เราก็มองตั้งแต่ควบคุมพฤติกรรมชั้นหยาบที่สุด ก็คือเป็นบัญญัติหรือกฏเกณฑ์ในทางสังคม ก็จำเป็นต้องมีเหมือนกัน มีกฎหมายออกมา หรือระเบียบของหมู่คณะว่า ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เป็นการบอกในขั้นต้น ให้รู้ว่าการกระทำนี้ สังคมไม่ยอมรับ แล้วถ้าทำไปแล้ว ฝ่าฝืนละเมิดกฎของสังคม จะมีการลงโทษอะไรต่างๆ นี้เป็นขั้นต้น หยาบที่สุด แต่แค่นี้ไม่เพียงพอ เป็นการควบคุมพฤติกรรมขั้นหยาบ ก็มีไว้ขั้นหนึ่ง เรียกว่าขั้นวินัย ในทางพระศาสนาเรียกว่าขั้นวินัย ก็คือพวกกฎหมายหรือบัญญัติของสังคมมนุษย์.

นี้ต่อไปก็คือขั้นที่ว่า ควบคุมพฤติกรรมด้วยเจตนาที่ออกมาจากภายในของเขาเอง ตอนแรกเราเอากฏเกณฑ์บัญญัติของสังคมมาบังคับควบคุมพฤติกรรม บังคับให้เขาเกิดเจตนาต้องละเว้นขึ้นมา เป็นเจตนาที่เกิดจากการบังคับจากภายนอก ทีนี้ให้เกิดเจตนาจากภายใน เจตนาจากภายในก็คือเขาเองพยายามควบคุมพฤติกรรมทางกายวาจาของตนเอง ไม่ให้เกิดผลเสีย เช่นว่า ไม่มาทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งการที่จะ เกิดการควบคุมจากเจตนาภายในนี่แหละ ตอนนี้มันจะโยงไปหาการพัฒนาด้วยองค์ประกอบข้ออื่น เช่นว่า จิตใจเค้ามีศรัทธาต่อพระศาสนา ก้อาจจะเป็นกฎของศาสนา ศาสนาบอกมาว่า ให้รักษาธรรมชาติ หรือทำไปแล้วบาปอะไรต่างๆ ทำลายสัตว์มีชีวิตเป็นบาปอะไรต่างๆ นี้เค้าเชื่อเค้าก็จะควบคุมพฤติกรรมของเขาด้วยเจตนาจากภายในของตนเอง แต่รวมแล้วเป็นขั้นที่ควบคุมพฤติกรรมเหมือนกัน เป็นขั้นที่เรียกว่าถึงตัวศีลที่แท้จริง แต่ทั้งหมดทั้งขั้นวินัยที่เป็นบัญญัติของสังคม แล้วก็ขั้นศีลที่เป็นเจตนาจากภายในนี้ ก็รวมอยู่ในขั้นศีลด้วยกันนั่นแหละ ที่เป็นขั้นที่ 1 ซึ่งมนุษย์ก็จำเป็น.

ทีนี้ต่อไปขั้นที่ 2 ขั้นระดับจิตใจ การแก้ปัญหาจิตใจจะทำยังไง? มันก็ต้องแก้ไปให้ถึงที่สุดของจิตใจ เป้าหมายของเราก็คือการอนุรักษ์ธรรมชาติ จะทำอย่างไรในด้านจิตใจให้คนอนุรักษ์ธรรมชาติ? ก็ให้เขามีความต้องการที่จะอนุรักษ์ นี่เป็นเรื่องทางจิตใจแล้ว ถ้าเขามีความต้องการที่จะอนุรักษ์ เขาก็จะอนุรักษ์ การกระทำก็เกิดขึ้น แต่ว่าความต้องการนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร? ก็สืบสาวหาเหตุปัจจัยต่อ ก็มาถึงสิ่งที่คนส่วนมากพูดกันก็คือว่า ก็ต้องรักธรรมชาติ ถ้าเขารักธรรมชาติ เขาก็จะอนุรักษ์ เขาก็จะต้องการจะอนุรักษ์ แล้วเขาก็จะอนุรักษ์ ทีนี้ก็มีคำถามต่อไปอีกว่า ทำไงจะรักธรรมชาติ? ตอนนี้แหละที่มักจะไม่มีคำตอบกัน เราจะพูดกันว่าให้รักธรรมชาติ ให้รักธรรมชาติ ตัวความรักธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไร? ที่มันเป็นเรื่องจิตใจที่แท้จริง เป็นกระบวนการของเหตุปัจจัยทางด้านจิตใจ เพียงแต่รู้คุณค่าประโยชน์ บางทีไม่เพียงพอที่จะให้เขามารักธรรมชาติ เขารักผิวเผิน แต่ถ้ามีองค์ประกอบทางจิตที่มันเป็นจุดหมายของจิตใจแท้จริงมา แล้วมันจะเกิดความรักธรรมชาติได้ ความรักธรรมชาติเกิดได้ด้วยเหตุปัจจัยทางจิตคืออะไร? ก็บอกว่า เกิดจากการที่เขามีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติ นี่เป็นคำตอบ ถ้าเมื่อไรเค้ามีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติ เมื่อนั้นเขาจะรักธรรมชาติ แล้วความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของธรรมชาติ มันก็จะมาเป็นตัวเสริมเอง ก็ยิ่งทำให้เขามีความสุขมากขึ้น เมื่อเขามีความสุขกับการอยู่ในธรรมชาติ เขาก็จะรักธรรมชาติโดยอัตโนมัติ อันนี้มันเป็นกระบวนการของเหตุปัจจัยในทางจิต.

เพราะฉะนั้นในทางจิตใจ เราก็ต้องทำให้คนรู้จักมีความสุขในการอยู่กับธรรมชาติ แล้วเขาจะรักธรรมชาติ แล้วเขาจะมีความต้องการที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติ และเขาก็จะอนุรักษ์ธรรมชาติ แล้วจิตใจที่เป็นอย่างงี้ก็ออกผลไปสู่ขั้นศีล ก็คือ เขาจะควบคุมพฤติกรรมของเขา ในการที่จะปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วย นี้เป็นระดับที่ 2.

ต่อไปแค่นี้ท่านถือว่ายังไม่พอ ก็ต้องมีขั้นที่ 3 คือขั้นปัญญาด้วย ขั้นปัญญาก็คือความรู้เข้าใจ ความรู้เข้าใจ เหตุผลในการที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติ ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาตินั้นว่า การทำลายมีโทษอย่างไร? การอนุรักษ์ธรรมชาติมีประโยชน์อย่างไร? มีคุณค่าอย่างไร? ซึ่งจะมีผลส่วไปถึงทางด้านจิตใจด้วยว่า เขารู้เข้าใจแล้วว่า ถ้าทำลายธรรมชาตินี้ ธรรมชาติเสียไป เขาจะหาความสุขไม่ได้ แล้วถ้าหากว่ารักษาธรรมชาติอยู่ เอ้อ แล้วเขาก็จะมีความสุขในธรรมชาติได้ต่อไป และแต่เขาต้องรู้เข้าใจตามความเป็นจริง รู้วิธีที่จะรักษา รู้เหตุปัจจัยในกระบวนการที่จะ ทำให้เกิดผลในการที่จะอนุรักษ์ธรรมชาติขึ้นมา นี้ก็คือเป็นเรื่องของปัญญา ตลอดถึงการที่ว่า ความรู้เข้าใจในเชิงพื้นฐานที่เป็นทัศนคติ เช่น ทัศนคติในการที่ว่า มนุษย์นี้จะต้องพิชิตธรรมชาติ หรือว่าเอาชนะธรรมชาติ.

ถ้าหากว่ามนุษย์มีความเห็นยังงั้น ปัญญาความเข้าใจของเขาบอกอย่างนั้น คือเค้าไปเห็นว่า ความสุขของมนุษย์เนี่ยะ อยู่ที่การพิชิตธรรมชาติได้ เอาชนะธรรมชาติอย่างที่การพัฒนาของสังคมที่ผ่านมาเป็นยังงั้น การในยุคอุตสาหกรรมนี่ทำให้คนมองว่า ความสุขของมนุษย์นี่จะสำเร็จได้ด้วยการเอาชนะธรรมชาติ ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ นี่เป็นความเห็นในเชิงปัญญา มีความรู้ความเข้าใจอย่างนี้ว่า ความสุขของมนุษย์อยู่ที่การพิชิตธรรมชาติได้ จัดการกับธรรมชาติตามประสงค์เพื่อเอาธรรมชาติมารับใช้บำรุงบำเรอมนุษย์ ถ้าเขาเห็นอย่างนี้แล้ว เขาก็จะมีทัศนคติไม่ดีต่อธรรมชาติ มองเห็นธรรมชาติเป็นศัตรู เป็นตัวขัดขวางความสุข อันนี้จะเป็นตัวขัดขวางที่จะให้การอนุรักษ์ธรรมชาติไม่สำเร็จ มันเป็นตัวที่มีความหมายเชิงทัศนคติ เมื่อเกิดความเห็นอย่างนี้แล้วก็เป็นทัศนคติ เป็นค่านิยม แล้วเขาก็จะมองเห็นว่าการทำลายธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดี แล้วอันนี้จะทำให้แก้ปัญหาได้ยาก.

อย่างคนในยุคปัจจุบันนี้ เราได้ปลูกฝังกันมานานว่า ให้เห็นว่าความสุขของมนุษย์เนี่ยะ จะเกิดขึ้นได้จากการพิชิตธรรมชาติ และจัดการธรรมชาติ เอาธรรมชาติมารับใช้บำรุงบำเรอมนุษย์ตามต้องการ ไอ้ความรู้สึกทัศนคติความเข้าใจนี้ แฝงอยู่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาการอนุรักษ์ธรรมชาติปัจจุบันจึงทำได้ยาก เพราะได้ฝังความเข้าใจนี้มานาน เพราะฉะนั้นในขั้นพื้นฐานนี้จะต้อง สร้างปัญญาที่จะมาแก้ทัศนคติอันนี้ด้วย ให้รู้เข้าใจว่า ชีวิตมนุษย์ที่ดีงามที่สูงสุดนั้น ไม่ได้อยู่ที่การเอาชนะธรรมชาติ หรือจัดสรรธรรมชาติ เบียดเบียนธรรมชาติ แต่ว่ามันอยู่ในขอบเขตที่ว่า รู้จักพัฒนาตัวมนุษย์เองให้อยู่กับสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง การเอาชนะหรือพิชิตธรรมชาตินั้น มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจที่ว่า จะต้องปรับให้พอดี คือมนุษย์จะต้องมีการจัดการกับธรรมชาติบ้างนั้นเป็นธรรมดา แต่มันจะมีขอบเขตอยู่ที่ว่า มนุษย์เองนั่นแหละจะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลดีแก่ชีวิตและสภาพแวดล้อมนั่นเอง ให้ดำรงอยู่ได้ด้วยดี.ฉะนั้นขอบเขตที่ว่า การปฏิบัติถูกต้องเนี่ยะ เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เอาขอบเขตไปอยู่ที่การพิชิต การพิชิต การเอาชนะ มีขอบเขตอยู่ที่การปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อให้เกิดผลดีต่อชีวิต และต่อธรรมชาตินั้นเอง.

อันนี้ก็คือการที่ว่า เราจะมาพัฒนามนุษย์ในวิถีทางที่ถูกต้อง ก็เป็นอันว่า แม้แต่ปัญหาการอนุรักษ์ธรรมชาตินี้ จะทำให้สำเร็จได้นี่ จะต้องใช้หลัก 3 ประสาน คือการเอาองค์ประกอบของศีลสมาธิปัญญา มาใช้ให้ครบ.

นี้ก็เป็นตัวอย่างทมี่อาตมายกมาให้ดู นี่ก็จะขอผ่านไป สาระสำคัญในตอนนี้ก็ต้องการมุ่งให้เห็นว่า ระบบไตรสิกขา หรือศีลสมาธิปัญญานั้น เป็นระบบที่องค์ประกอบทั้งหลายมีความสัมพันธ์กัน ทั้งในเชิงสืบทอดต่อเป็นขั้นตอน แล้วก็ในเชิงบูรณาการ ที่อิงอาศัยสัมพันธ์เสริมกันให้บริบูรณ์ เราก็จะได้นำหลักเหล่านี้มาใช้ ในการพัฒนามนุษย์ ในการเจริญภาวนาต่อไป ทีนี้ตอนนี้เรามาเน้นองค์ประกอบในระดับที่ 2 กับ 3 คือ ขั้นสมาธิและปัญญา คือขั้นจิตภาวนาและปัญญาภาวนา โดยที่เรามีความเข้าใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้วว่า เราไม่ได้ละเลยมองข้ามความสำคัญของการพัฒนาระดับศีล แต่ตอนนี้เราลงลึกไป หมายความว่าในระดับพฤติกรรมนี้ เราถือว่าพร้อมอยู่แล้ว ตอนนี้เราลงลึกไปในระดับจิตและปัญญา.

ทีนี้เมื่อพูดถึงระดับจิตและปัญญาโดยเฉพาะ การพัฒนาจิตใจก็บอกแล้วว่าได้แก่คำว่า จิตภาวนา แล้วพัฒนาปัญญาก็คือศัพท์ว่า ปัญญาภาวนา. คราวนี้ก็จะอธิบายเสริมให้เกิดความชัดเจนขึ้นอีกเล็กๆน้อย บอกเมื่อกี้นี้ว่าจิตภาวนานั้น เรียกชื่อให้มันจำกัด ชัดลงไป กก็เรยเรียก็เรียกว่าสมถะภาวนา แปลว่า การเจริญสมถะ หรือเรียกสั้นว่าสมถะ การทำจิตใจให้สงบ ให้เกิดสมาธิ แล้วปัญญาภาวนาก็เรียกชื่อให้จำกัดลงไปว่าเป็นปัญญาในขั้นที่เห็นแจ้งความจริงของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเรียกว่าวิปัสสนาเรียกเต็มว่าวิปัสสนาภาวนา ตอนนี้เราก็เลยพูดสั้นๆว่า จิตภาวนาก็เรียกง่ายๆว่าสมถะ ปัญญาภาวนาก็เรียกง่ายๆว่าวิปัสสนา ก็เรียกเจริญสมถะ เจริญวิปัสสนา จะเรียกสมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนา หรือจะเรียกสมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานก็ได้.

ถ้าเรียกภาวนาก็เรียกในความหมายว่า พัฒนาหรือเจริญ คือสมถะภาวนา พัฒนาหรือเจริญสมถะ ก็เจริญความสงบจิต วิปัสสนาภาวนาก็พัฒนาความเห็นแจ้ง ปัญญาที่รู้แจ้งความจริง พอใช้ว่าสมถะกรรมฐาน ก็หมายความว่า สิ่งที่เอามาให้จิตทำงาน กรรมฐานนี้แปลว่า สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการงาน หมายความว่าเราทำงานในด้านที่จะพัฒนาจิตนั่นเอง แล้วก็วิปัสสนากรรมฐานก็หมายความว่า หางานมาให้ทำในแง่ที่ว่า ทำงานเพื่อพัฒนาวิปัสสนา พัฒนาปัญญาที่เห็นแจ้ง ก็ ไอ้ตัวกรรมฐานก็คือสิ่งที่เอามาใช้ ในการปฏิบัติ สิ่งที่มาใช้ในตัวทำงานนั่นเอง ก็คือสิ่งที่มาใช้เพื่อพัฒนาสมถะ และสิ่งที่นำมาใช้ในการพัฒนาปัญญา 2 ประการ.

นี้จุดแตกต่างที่สำคัญก็คือเรามามองที่หลักการ หลักการของสมถะ ก็คือการมุ่งให้จิตใจเนี่ยะ มีจุดที่กำหนดแน่วแน่เป็นอันหนึ่งอันเดียว ทางภาษาพระ สิ่งที่จิตกำหนดเราเรียกว่าอารมณ์ อันนี้ขอให้ทำความเข้าใจให้ชัด อย่าไปปะปนกับภาษาไทย คำว่าอารมณ์ในที่นี้ ไม่ใช่อารมณ์ในภาษาไทย อารมณ์ในภาษาไทยนั้นตรงกับในภาษาอังกฤษว่า emotion ในที่นี้อารมณ์ในภาษาพระ อย่าได้ไปเข้าใจสับสนกับอารมณ์ในภาษาไทยเลย อารมณ์ในภาษาพระในที่นี้ แปลว่าสิ่งที่จิตยึดเหนี่ยว สิ่งที่ถูกจิตรับรู้ หรือสิ่งที่เป็นตัวให้จิตรับรู้ นั่นเอง อะไรก็ตามที่จิตรับรู้ เช่นว่ารับรู้ทางตา สิ่งที่เราเห็นก็เรียกว่าอารมณ์ทางตา สิ่งที่เรารับรู้ทางหู เสียงที่ได้ยิน ก็เป็นอารมณ์ทางหู สิ่งเราลิ้มรส รสที่เราลิ้มนี้ก็เป็นอารมณ์ของลิ้น แล้วก็สิ่งที่เราคิดนึกในใจ ก็เป็นอารมณ์ของจิตใจ ก็คือ object หรือ sense object เพราะฉะนั้นอารมณ์ในความหมายธรรมะนี้ต่างจากภาษาไทย คราวนี้อารมณ์ที่จิตกำหนด หรือสิ่งที่จิตเข้าไปเกาะไปยึดไปจับเนี่ยะ เราก็จะคิดนึกถึงมัน แล้วเราก็อาจจะอารมณ์นี้ไปอารมณ์โน้น อยู่ไม่สุข จิตของเราอยู่ไม่เป็นสุข.

เป้าหมายของการเจริญสมถะก็คือ ให้จิตเนี่ยะ มาอยู่กับอารมณ์อันเดียว อยู่ได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นานเท่านาน ถ้าเมื่อไรจิตของเราอยู่กับอารมณ์หรือสิ่งที่กำหนดอันหนึ่งอันเดียวได้ นั่นก็คือสำเร็จเป็นสมาธิ เป้าหมายของการเจริญสมาธิ ก็คือการทำให้จิตมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว อยู่ที่อารมณ์หนึ่งเดียวนี้ ก็เป็นอันว่า นี้คือหลักการของสมถะทั้งหมด เพราะฉะนั้นพูดในแง่หลักการแล้วเป็นเรื่องที่ง่าย สมถะนั้นมีหลักการอยู่แค่ว่า ทำให้จิตเนี่ยะ มีอารมณ์หนึ่งเดียว อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรก็ตาม บางทีเราไปพูดกันว่า โอ๋ ไปทำสมถะ เจริญสมาธิ ไปพูดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้มากมาย วิธีการต่างๆแตกต่างกันไปนานัปการ แต่ว่าที่แท้แล้วเนี่ยะหลักการมีอันเดียว หลักการอันเดียวนี้ก็คือ การทำจิตให้อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่จิตกำหนดไว้ได้. เอาละนี่คือหลักการของสมถะ การที่จิตแน่วแน่อยู่กับสิ่งหนุ่งสิ่งเดียวที่กำหนด หรืออารมณ์เดียวนี้ เรียกว่าเป็นสมาธิ สมาธิก็เป็นเป้าหมายของสมถะหรือจิตภาวนา.

ทีนี้เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วนี้ สภาพจิตก็จะประณีตยิ่งขึ้น สมาธินี้ก็จะเป็นแกนกลางของสภาพจิต สภาพจิตที่ประณีตขึ้นไปตามลำดับ ในระดับต่างๆนั้นท่านเรียกว่าฌาน หมายความว่าจิตถ้ามีสภาพที่สงบ มีคุณสมบัติต่างๆโดยมีสมาธิเป็นแกนกลางเนี่ยะ ก็จะมีการพัฒนาประณีตขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งสภาพจิตเหล่านั้นทั้งหมด ไม่ว่าอยู่ในระดับใด เรียกว่า ฌาน ก็ตกลงว่า จากการเจริญสมถะที่เราทำให้เกิดสมาธินี้ เราก็จะได้ฌาน ฌานก็เลยเรียกกันว่า เป็นจุดหมายของการเจริญสมถะ ฌานก็คือสภาพจิตที่มีสมาธิ นั่นเอง มีสมาธิเป็นแกนกลาง แล้วก็ประณีตยิ่งขึ้นไปตามลำดับ เป็นชั้นๆ.

ต่อไปในด้านวิปัสสนา หรือการพัฒนาปัญญา หลักการของวิปัสสนานั้นก็คือ การมีปัญญารู้เข้าใจ สิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง หรือรู้แจ้งสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น เท่านั้นเอง ถ้าทำให้เกิดภาวะนี้ได้ก็เรียกว่าเป็นเรื่องของวิปัสสนา.

ทีนี้การรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นนี้ ก็จะมีการพัฒนาประณีตขึ้นไป ลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ เป็นขั้นเป็นขั้น ความรู้ที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงในระดับต่างๆนี้ มีชื่อเรียกว่า ญาณ ญาณก็คือปัญญา ที่รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงในระดับต่างประณีตยิ่งขึ้นไป เป็นญาณนั้นญาณนี้ ตอนนี้แหละจะให้เห็น ความแตกต่างระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ในแง่ของศัพท์ ที่เป็นเป้าหมาย ก็คือ สมถะนั้นนำไปสู่ฌาน ส่วนวิปัสสนานำไปสู่ญาณ หลายคนยังสับสนกับศัพท์ทั้ง 2 นี้ เอาฌานเป็นญาณ เอาญาณเป็นฌาน เพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็ขอให้แยกให้ถูก.

ฌานเป็นเรื่องของการที่จิตสงบแน่วแน่ เป็นเรื่องสมาธิ เป็นเรื่องของสมถะ ส่วนญาณเป็นเรื่องของความรู้ เป็นเรื่องของวิปัสสนา นี้อาตมาก็คิดว่า เพียงเท่านี้ก็ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องแล้ว.

เอาละ ทีนี้ต่อไปเมื่อเราเข้าใจหลักการของสมถะว่า มุ่งให้ใจแน่ว ทำให้ใจแน่วเป็นอารมณ์เดียว เป็นสมาธิให้เกิดฌาน แล้วก็หลักการของวิปัสสนาก็ ทำให้เกิดความรู้เข้าใจตามที่มันเป็น ทำให้เกิดญาณแล้ว.

ทีนี้ก็ไปสู่หลักปฏิบัติ จากหลักการทั่วไปก็ไปสู่หลักปฏิบัติ ในด้านหลักปฏิบัติ การเจริญสมถะหรือจิตภาวนานั้น ก็หาเอาอารมณ์มาให้จิตกำหนดหรือจับยึดเหนี่ยว ทีนี้อารมณ์ที่จะให้จิตจับกำหนด เพื่อจะได้อยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้แน่วแน่เนี่ยะ ก็ต้องมีการเลือกสรรเหมือนกัน ไม่ใช่เอาอารมณ์ที่เรื่อยเปื่อยมา โดยที่อาจจะเลือกเอาที่สิ่งที่ไม่ดีมา แล้วทำให้ล่อจิตให้คิดฟุ้งซ่าน เราจะเห็นว่าสิ่งที่จิตมากำหนดจับเป็นอารมณ์เนี่ยะ ถ้าเค้าเลือกไม่ถูกต้องเนี่ยะ แทนที่จะได้ผลดีเนี่ยะ จิตกลับคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายไป อย่างเช่นว่า อยากจะได้ แล้วก็คิดปรุงแต่งไป คิดเพ้อฝันเพ้อเจ้อไป หรือว่าบางอย่างมันรบกวนจิตใจทำให้ระคายเคือง ก็ทำให้เกิดความหงุดหงิด ไม่สบาย เพราะฉะนั้นอารมณ์นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเลือกสรรเหมือนกัน ก็หมายความว่าต้องหาสิ่งที่ว่า จิตมันจะอยู่ได้ โดยไม่มากระทบกระเทือนระคายเคืองจิต แล้วก็ไม่ล่อจิตให้วุ่นวายสับสนเพ้อเจ้อ เพ้อฝันไป ก็เอาอารมณ์ที่โดยมากเป็นกลางๆ หรือเป็นสิ่งที่ดีงามมีคุณค่าทางด้านจิตใจนั่นเอง ทำให้จิตใจเนี่ยะได้เกิดความสงบขึ้นมา และก็จะทำให้เกิดสมาธิแน่วแน่.

หลักการในการเลือกหาอารมณ์ก็เป็นยังเงี๊ยะ คือหาสิ่งที่จะทำให้จิตใจเนี่ยะ เป็นกลางๆเป็นอย่างน้อย หรือว่าเป็นคุณค่าที่ทำให้ใจสบาย อยู่กับสิ่งนั้นได้ดี ไม่เกิดผลเสีย ทีนี้เพื่อจะให้เกิดความสะดวก ท่านก็เลยจัดสรร อารมณ์มาให้ สิ่งที่จัดสรรมาให้เป็นอารมณ์สำหรับผู้ปฏิบัติเนี่ยะ ก็เรียกกันง่ายๆว่ากรรมฐาน ก็คือสิ่งที่เอามาให้จิตทำงาน หรือที่ตั้งการทำงานของจิต ก็คืออารมณ์นั่นเอง อารมณ์ที่ท่านเลือกสรรมาให้เราเนี่ยะ มี 40 อย่าง เรียกว่ากรรมฐาน 40 หรือจะเรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน 40 อย่างก็ได้ แล้วเราก็เลือกเอาจาก 40 อย่างนี้มาใช้ ยกตัวอย่างเช่นว่า ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า หรือการแผ่เมตตา หรือที่ใช้กันบ่อยก็คือการกำหนดลมหายใจ เอาลมหายใจมาเป็นอารมณ์ให้จิตกำหนด นี่แหละ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน หรือเป็นตัวกรรมฐาน.

ก็เป็นอันว่าเอาอารมณ์ที่ท่านเลือกสรรมาให้เราแล้วนี้ ด้วยความสะดวกเราขี้เกียจที่จะไปหาอารมณ์อื่น ก็เอาจากที่ท่านจัดเอาไว้ให้ 40 อย่าง เลือกเอา ก็มีวิธีเลือกอีก ก็ต้องให้เหมาะกับพื้นนิสัยจิตใจ อันนี้ก็จะเป็นรายละเอียดที่จะไม่พูดในที่นี้ ก็ตกลงว่าให้เลือกมาอันหนึ่งล่ะ อย่างที่นิยมในปัจจุบันนี้มักจะให้กันในการกำหนดลมหายใจ ก็เอามาอย่างหนึ่งแล้วก็ เอาจิตกำหนดให้อยู่กับสิ่งนั้น เช่นอยู่กับลมหายใจนั้น ไปเรื่อยๆ ไม่ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่น ไม่ให้จิตลอยไปหาอารมณ์อื่น จนกระทั่งว่าจิตแน่วแน่ อยู่กับลมหายใจเป็นต้นนั้นแล้วนั้น ก็คือเกิดสมาธิขึ้นมา จิตใจก็จะพ้นไปจากกิเลส หรือความรู้สึกอะไรต่างๆที่ไม่ดีไม่งาม ที่จะรบกวนหรือทำให้ใจฟุ้งซ่านไปได้.

เอาละ นี่คือเรื่องของสมถะ หรือจิตภาวนา ทีนี้ในแง่ปัญญาภาวนาหรือวิปัสสนา ก็มีหลักปฏิบัติในแบบที่ว่า แทนที่จะเอาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งมากำหนดอยู่ ให้จิตอยู่กับอารมณ์นั้นเรื่อยไป แทนที่จะทำยังงั้น อ้าว ไม่เป็นยังงั้นเสียแล้ว กลับบอกว่าให้ตามดูรู้ทัน อารมณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หมายความว่าประสบการณ์ของชีวิตที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราเนี่ยะ มันเกิดขึ้นเราตามดูรู้ทันมัน ตามที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะนั้นๆ ทีนี้ประสบการณ์ในชีวิตของมนุษย์นี่ ก็มีมากมายหลายอย่าง ก็จัดได้เป็นหมวดเป็นประเภท อย่างที่ท่านนิยมจัดไว้ ก็จัดเป็น เรื่องที่เราไปกำหนดรู้ ด้วยสติ เค้าเรียกกันว่าสติปัฏฐาน4 คือสิ่งที่เป็นจุดกำหนดหรือเป็นที่ตั้งของสติ ก็จัดไว้เป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือเรื่องของกาย เรื่องความเคลื่อนไหวความเป็นไปของด้านร่างกายนี้อย่างหนึ่ง แล้วก็เรื่องเวทนา เรื่องความรู้สึกสุขทุกข์นี้อย่างหนึ่ง แล้วก็เรื่องจิต สภาพจิตใจ จิตใจขุ่นมัวผ่องใส อะไรต่างๆเหล่านี้อย่างหนึ่ง แล้วก็เรื่อง สิ่งที่คิดนึกในใจ เรียกว่าธรรมารมณ์อย่างหนึ่ง ก็เป็น 4 อย่าง 4 ประเภทเนี๊ยะ.

4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99_4

ก็เป็นสิ่งที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตของเรา ที่ท่านจัดเป็นหมวดเป็นหมู่ไว้แล้ว ซึ่งมันจะเข้ามาปรากฏ แก่จิตใจของเรา เราก็ตามดูรู้ทันมัน ตามเป็นจริง ตามที่เป็นปัจจุบัน เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ นี้คือหลักการของวิปัสสนา เมื่อเราตามดูรู้ทันสิ่งเหล่านี้แล้ว รู้เห็นตามเป็นจริงก็จะเกิดญาณ ในระดับต่างๆ อย่างที่กล่าวมาแล้ว.

ทีนี้ ข้อสังเกตอย่างหนึ่งก็คือ ทั้งสมถะและวิปัสสนา หรือว่าจิตภาวนาก็ดี ปัญญาภาวนาก็ดีเนี่ยะ จะต้องอาศัยสติเป็นตัวนำ หรือเป็นตัวเริ่มต้นด้วยกันทั้ง 2 อย่าง อย่างข้อปฏิบัติในการเจริญสมถะหรือทำสมาธิเนี่ยะ จะมีหลายอย่างที่ลงท้ายด้วยสติ เช่น พุทธานุสติ ธรรมานุสติ มรณสติ อานา-ปานสติ.  พุทธานุสติ ก็คือเราระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ธรรมานุสติ ระลึกถึงคุณพระธรรม มรณสติ ระลึกถึงความตาย อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เอาจิตเอาสติมากำหนด ไว้กับสิ่งนี้ สติก็จะเป็นตัวนำ แต่ว่าในสมถะนั้น สติจะเป็นตัวนำเพื่อจะให้สมาธิมารับช่วงไป เพราะว่าสมาธิจะเกิดขึ้นได้นั้น ตอนแรกสติจะต้องไปเริ่มก่อน เพราะสติเป็นตัวที่จะไปกำกับจิต ไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง พอเรามีสติก็คือเราเอาจิตเนี่ยะไปกำกับ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.

ทีนี้ ถ้าหากว่ากำกับแล้วไม่อยู่ ก็คือไม่มีสมาธิ เราก็ต้องเอาสติมากกับอีก ดึงกันอยู่นั่นเอง ทีนี้พอกำกับดึงอยู่ พอมันอยู่แนบสนิท สมาธิก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสติก็เป็นตัวนำ นำไปสู่สมาธิ การฝึกสมาธิจึงต้องนำด้วยสติ เอาสติมาเป็นตัวกำหนดกำกับจิตในเบื้องต้น แล้วก็ เมื่อจิตแน่วแน่แล้ว ก็เป็นสมาธิ.

ทีนี้ด้านวิปัสสนาบ้าง วิปัสสนาก็ต้องอาศัยสติเช่นเดียวกัน อย่างในหลักสติปัฏฐานนี่ ก็บออกว่า สิ่งที่เป็นที่ตั้ง หรือธรรมเป็นที่ตั้งของสติ ก็คือเอาสติเป็นตัวนำ แต่สติในที่นี้ไม่ได้มุ่งที่จะนำให้เกิดสมาธิ คือสมาธิไม่ได้เป็นตัวเป้าหมาย แต่มันจะพลอยเกิดขึ้นมาเอง แต่ว่าไม่ใช่เป็นสมาธิที่ต้องเข้มข้นอะไร เพราะว่ามันไม่ใช่เป้าหมายของการเจริญสติในกรณีนี้ การเจริญสติในกรณีนี้มุ่งปัญญา เพราะฉะนั้นสติ จะเป็นตัวนำเพื่อทำงานควบคู่ไปกับปัญญา ในวิปัสสนา สติก็จะเป็นตัวจับอารมณ์หรือกำกับคุมจิตไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ปัญญาพิจารณา.

นี่ก็จะเห็นความแตกต่างระหว่างสมถะกับวิปัสสนาว่า สมถะนั้น สตินำส่งต่อให้สมาธิเกิดขึ้น แต่ว่าวิปัสสนานั้น สติเป็นตัวส่งต่อให้แก่ปัญญา ที่มาพิจารณารู้เท่าทัน และเข้าใจความจริงต่อไป.

อันนี้ในแง่ผล ผลสูงสุด การเจริญสมถะ หรือจิตภาวนา สมถะหรือจิตภาวนานั้น เมื่อทำให้เกิดสมาธิขึ้นได้จนกระทั่งเกิดฌานขึ้นมา จิตก็จะสงบ ผ่องใส พ้นจากกิเลส พ้นจากความทุกข์ มีความสุข แต่เป็นสภาพมีอยู่ได้ชั่วคราว ภาษาพระเรียกว่า ดับทุกข์ได้ชั่วคราว มันไม่ถาวรไม่ยั่งยืน เป็นเหมือนกับกดหรือข่มเอาไว้ เป็นการดับทุกข์ดับกิเลสด้วยการกดหรือข่มไว้ ท่านเปรียบเทียบเหมือนกับว่า เอาหินไปทับหญ้า พอเอาหินออกหญ้าก็เจริญงอกงามขึ้นมาได้ใหม่.

ทีนี้การใช้วิธีของสมถะ ก็เช่นเดียวกัน กิเลสและความทุกข์นั้นยังอยู่ เวลาเราอยู่ในสมาธิอยู่ในฌาน ก็มีความสุขมีความสงบ จิตใจสะอาดผ่องใส แต่ว่าเมื่อไหร่ออกจากสมาธินั้น มาอยู่ในชีวิตประจำวัน ไปกระทบเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาระคายเคืองจิตใจ จิตใจก็อาจจะไม่สบายอีก มีความไม่รู้ในอวิชชาแฝงอยู่ มีปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอไป เพราะฉะนั้นท่านบอก ผลของสมถะนั้นทำให้เกิดนิโรธ ดับชั่วคราว ที่เกิดจากการกดหรือข่มไว้ ระงับไว้ เรียกเป็นภาษาศัพท์ technical term ว่า วิกขัมภน-นิโรธ5 หรือถ้าเรียกเป็นความหลุดพ้น เป็นวิมุตติก็เรียกว่า สมยวิมุตติ เป็นความหลุดพ้นชั่วคราว

5 https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=224

ชั่วสมัย.

ทีนี้ในด้านวิปัสสนา วิปัสสนาหรือปัญญาภาวนานั้น ส่งผลคือ การที่จะชำระล้างอวิชชาเลย ก็กำจัดรากเหง้าต้นตอของกิเลสและความทุกข์ได้หมด เพราะฉะนั้นได้เกิดภาวะที่เรียกว่าดับทุกข์ ดับปัญหาได้แบบสิ้นเชิงเด็ด เรียกเป็นภาษาพระว่า สมุจเฉทนิโรธ6 หรือถ้าเรียกเป็นวิมุตติความหลุดพ้น

         6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4

กเป็นสมยวิมุตติ ความหลุดพ้นที่ไม่จำกัดสมัย อสมย ก็คือไม่มีสมัย ไม่จำกัดสมัย ไม่จำกัดเวลา ก็คือตลอดไป โดยสิ้นเชิง.

นี้ก็เป็นความแตกต่างกันระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ในแง่ของผล แล้วความสัมพันธ์ระหว่าง 2 อัน ก็อย่างที่อาตมาได้กล่าวแล้ว ถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องก็คือ เอาสมถะมาเป็นฐานของวิปัสสนา ก้าวต่อสู่วิปัสสนา ก็คือว่า เจริญสมถะจนกระทั่งจิตเกิดสมาธิได้ฌานก็ตาม หรือไม่ถึงฌานก็ตาม ได้สมาธิแล้ว พอเพียง ก็ก้าวไปสู่การเจริญวิปัสสนาต่อไป ไอ้การหลุดพ้นจากกิเลสนั้นชั่วคราว ดับทุกข์ชั่วคราว ก็จะมีผลเป็นการดับกิเลสดับทุกข์ ความหลุดพ้นเป็นอิสรภาพ ที่สมบูรณ์สิ้นเชิงตลอดกาล ก็จะมีผลสมบูรณ์.

อันนี้อาตมาก็ได้กล่าวหมดแล้ว ทั้งหลักการ หลักปฏิบัติ ทั้งผลที่หมาย ผลที่จะเกิดจาก 2 อย่างนี้ พร้อมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง จิตภาวนาและปัญญาภาวนา ก็คิดว่าได้พูดมาพอสมควรแก่เวลา และก็เนื้อหาสาระ ก็นึกว่าคงจะครอบคลุมพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้นก็ขอยุติเพียงเท่านี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่ได้สดับตรับฟังในเรื่องนี้ ด้วยความเอาใจใส่ และขอให้ปัญญาจงเกิดขึ้นแก่ท่าน จากการสดับนี้ แล้วก็มีผลต่อการพัฒนาชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะก็คือพัฒนาจิตใจแล้วก็ปัญญา ให้เกิดประโยชน์สุขแก่ชีวิตและสังคมสืบต่อไป ขออนุโมทนา เจริญพรเพียงเท่านี้.