หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2566

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย - จิด กับ กาย

 หลวงพ่อพุธ ฐานิโย – จิต กับ กาย

พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านมีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา ท่านเกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ ในช่วงอายุได้ 4 ขวบ บิดามารดาได้ถึงแก่กรรม ท่านจึงย้ายมาอยู่กับญาติพี่น้องที่ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2479 เมื่อมีอายุได้ 15 ปี ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้าน โคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร หลังจากบรรพชาแล้ว ท่านก็อาศัยอยู่กับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตา จากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เอง สามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี และเริ่มรับการฝึกอบรมด้าน ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นครั้งแรก ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 ท่านพระอาจารย์เสาร์ ได้พาหลวงพ่อไปฝากตัวเป็นศิษย์พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ณ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลวงพ่อได้จำพรรษาเรื่อยมาจนอายุครบบวช 21 ปี จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2485 ณ วัดแห่งนี้ หลวงพ่อได้ปฏิบัติศาสนกิจช่วยงานพระศาสนาตลอดมา หลวงพ่อพุธ ท่านได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 รวมสิริอายุได้ 78 ปี

         https://youtu.be/4wCRWHGLmgg

         เอสาหัง ภันเต สุจิระปะรินิพพุฒัมปิ  ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ

         ธัมมัญจะ สังฆัญจะ  พุทธะ มามะโกติ มัง สังโฆ ธาเรตุ

         อัชชะตัคดค ปาณุเปตัง สรณัง คะตัง 

ข้าพเจ้า ขอปฏิญาณตน เป็นอุบาสก อุบาสิกา ผู้นับถือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก ขอพระคุณเจ้าจงทรงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นอบาสกอุบาสิกา ผู้นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ตราบเท่าสิ้นชีวิต ของข้าพเจ้านี้แล.

ต่อไปขอเชิญท่านทั้งหลายนั่งสมาธิ.

โอกาสต่อไปนี้ ขอเชิญทุกท่าน กำหนดจิต ทำสมาธิในท่านั่ง ในกายของเรานี้มีจิตเป็นใหญ่ มีจิตเป็นหัวหน้า มีจิตเป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้วแต่จิต ในขณะนี้กายกับจิตของท่าน ยังมีความสัมพันธ์คือรับรู้กันอยู่.

เมื่อท่านกำหนดรู้ที่จิตท่านก็ยังรู้ว่ากายยังมี เมื่อกายยังมีอยู่ จิตของท่านก็รู้เรื่องของกาย โดยไม่ได้ตั้งใจ เวลานี้ท่านนั่งอยู่กายสบายมั๊ย จิตสบายมั๊ย ท่านก็รู้  มีอะไรมาสัมผัสกายท่านมั๊ยท่านก็รู้ การเจ็บปวดเกิดขึ้นที่กาย ท่านก็รู้ เพราะกายกับจิตของท่านยังอยู่ด้วยกัน ยังไม่แยกจากกัน ถ้าหากว่าจิตของท่าน กำหนดรู้ความสุขหรือความทุกข์ หรือความเฉยๆที่เกิดที่กาย สุขก็ดีทุกข์ก็ดี เกิดขึ้นเมื่อกายยังปรากฏอยู่กับการรู้สึก เมื่อท่านกำหนดรู้กายอยู่ สติก็ตั้งอยู่ที่กาย ระลึกอยู่ที่กาย โดยเพียงแค่นึกรู้สึกว่ากายยังมีอยู่ แม้ว่าท่านไม่ได้นึกเช่นนั้น ท่านก็ยังรู้ว่ากายมีอยู่ เมื่อจิตของท่านรู้สึกว่ากายมีอยู่ เวทนาสุขทุกข์ย่อมเกิดขึ้นที่กาย.

เมื่อท่านมีสติ รู้อยู่ ท่านก็รู้ว่าเวทนามี สุขทุกข์เรียกว่าเวทนา สุขก็เรียกว่าสุขเวทนา ทุกข์เรียกว่าทุกขเวทนา เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์เรียกว่าอุเบกขาเวทนา เมื่อสติของท่านกำหนดรู้เวทนา สติไปตังอยู่ที่นั่น ก็เรียกว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน1 ตามรู้ตามคิด คิดว่านี่กาย นี่เวทนา นี่สุขเวท

         1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8F%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99_4

-นานี่ทุกขเวทนา นี่อุเบกขาเวทนา ความคิดหรือรู้ เป็นอาการของจิต เมื่อสติมากำหนดรู้พร้อมอยู่

กับความคิดเช่นนั้น ถ้าสติตั้งมั่น หรือสติตามรู้ รู้ความคิดอันนั้นเรียกว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน.

เมื่อหากว่าสุขเวทนาเกิดขึ้น ทุกขเวทนาเกิดขึ้น จิตปรุงแต่ง ธรรมชาติของคนเรามีความรู้สึกชอบความสบาย ถ้าหากจิตของท่านใฝ่หาความสบาย โดยไม่อยากทำอะไร ไม่ปฏิบัติ บางทีอาจจะคิดว่า เลิกปฏิบัติซะดีกว่า อยู่เฉยๆสบายดี แสดงว่าจิตของท่านใกล้ต่อความสบาย ติดความสบาย เมื่อจิตติดความสุขความสบาย จิตก็มีความใคร่ในกาม  กามก็คือความสบาย ใคร่ในความสุข คือไม่อยากทำอะไร เรียกว่ากามฉันทะ ความใคร่พอใจในความสบาย เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตปรุงแต่งว่า จะปฏิบัติต่อไปดีหรือหยุดเพียงแค่นี้ ความคิดเช่นนี้เป็นลักษณะของพยาบาท คือเป็นความคิดที่จะตัดรอนคุณความดี เมื่อความคิดกังวลสงสัยว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ บังเกิดขึ้น เรียกว่า อุทธัจจะ กุกกุจจะ2  เมื่อมีความฟุ้งซ่านรำคาญบังเกิดขึ้น

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C

วิจิกิจฉา ความง่วง...อ้ะ ไม่ใช่....ถีนมิทธะ3 ความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้นมาแทรก เหตุเพราะปรุงแต่งขึ้นมาว่าจะเอาหรือไม่เอาดี หรือจะหยุดกันเพียงแค่นี้ เป็นวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ลังเลใจไม่แน่ใจ.

เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดลงไป ไม่เอาล่ะ เลิกดีกว่า พยาปาทะวิ่งเข้ามาตัดรอน เมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่นี้ นิวรณ์ 5  คือกามฉันทะ ความใคร่ในความสุขสบาย พยาปาทะ ความลิดรอนหรือตัดรอน อุทัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน วิจิกิจฉา ความสงสัยเอาจริง ถ้าจิตมากำหนดรู้อยู่ที่ตรงนี้ อันนี้เป็นธรรมฝ่ายอกุศล เป็นนิวารณะธรรม เป็นธรรมที่คอยกางกั้นคุณงามความดี ไม่ให้บังเกิดขึ้น จึงเรียกว่านิวรณ์หรือนิวาระณะ สิ่งกีดกั้น กั้นสมาธิไม่ให้เกิด กั้นปัญญาไม่ให้เกิด กั้นกุศลไม่ให้เกิด เพราะอันนี้เป็นธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อจิตมากำหนดรู้ธรรมที่เป็นกุศล-อกุศล เรียกว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน.

ถ้าสติมากำหนดตั้งมั่นพิจารณาอยู่ที่ธรรม ก็เรียกว่าธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมะเป็นฐานที่ตั้งของสติ จิตรู้ว่ากายมีอยู่ และมีสติตั้งมั่นอยู่ที่กาย อย่างน้อยก็ตั้งมั่นอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกก็เป็นส่วนหนึ่งของกาย เพราะก็เป็นผู้ทำหน้าที่ ทำหน้าที่หายใจเข้าหายใจออก เมื่อสติก็ไปตั้งอยู่ที่ลมหายใจก็ได้ชื่อว่า สติไปตั้งอยู่ที่กาย เกิดเป็นอานาปานะสติด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐานด้วย.

ในมหาสติปัฏฐานบรรพ ท่านจำแนกแจกวิธีการพิจารณา กายเวทนาจิตธรรมไว้อย่างกว้างขวางพิสดาร แต่อันนั้นเป็นภาคปฏิบัติ ท่านเริ่มต้นจะให้พิจารณาผมและฟันหนังและเอ็นร้อยกระดูก รวมความเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด โดยความเป็นธาตุ 4 ลมน้ำดินไฟบ้าง เพื่อจะให้จิตหรือสติไปตั้งอยู่ที่กาย จะได้เกิดความรู้ว่ากายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ท่านให้เริ่มพิจารณาตั้งแต่กายภายนอก คือกายของคนอื่น หรือพิจารณาซากอสุภ หมายถึงซากอสุภะ แล้วก็น้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตนเอง เช่นอย่างไปเห็นซากศพ ที่นอนตายอยู่ ท่านให้พิจารณาซากศพว่า เมื่อก่อนนี้ซากศพก็มีชีวิตจิตใจเดินเหินไปมาได้เหมือนเรา บัดนี้เค้าปราศจากวิญญาณแล้วก็จะเน่าเปื่อยผุพัง แล้วก็น้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตนเองว่า แม้เราก็เช่นกัน เวลานี้เรามีกายและมีจิต มีวิญญาณ เราก็ย่อมยังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ทำอะไรได้จิปาถะ เมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ร่างกายก็มีแต่จะเน่าเปื่อยผุพัง ทับถมแผ่นดินเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก เมื่อสลายตัวไปก็จะเป็นธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟ หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ร่างกายภายนอกกับกายภายในเป็นเช่นไร กายภายนอกเป็นเช่นไร กายภายในก็ย่อมเป็นเช่นนั้น.

ทีนี้การพิจารณากายภายนอก สักแต่ว่ากาย แต่ว่ามันเป็นกายของคนอื่น ฉะนั้นเรียกว่าเห็นกายภายนอก แต่เมื่อมาพิจารณากายของตนเอง ให้เห็นว่ากายของเราก็จัดเป็นเช่นนั้น ผมขนเล็บเนื้อหนังเอ็นกระดูก แม้ปัจจุบันนี้จะยังสดสวยงดงามพอดูกันได้ แต่เมื่อแตกกายสลายลงไปแล้วก็จะเน่าเปื่อยผุพัง เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก แล้วเราจะได้รู้ได้เห็นว่ากายของเรานี้สักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ว่ากายเป็นแต่เพียงกาย กายเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ กายนี้ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แต่ที่สมมติว่าบุคคลตัวตนเราเขาและสัตว์นั้น เป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติตามภาษาโลก แต่เมื่อความเป็นจริงแล้วสมมติบัญญัติอันนี้เป็นกาย ก็สักแต่ว่ากายเท่านั้น.

ในเมื่อเรามิจารณาเห็นกายภายใน คือกายของเราเป็นเช่นนั้น เรียกว่าพิจารณากายในกาย ถ้าสติไปตั้งมั่นอยู่ในการพิจารณากาย โดยยึดเอากายเป็นอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ที่ตรงนั้น จนกระทั่งว่า ในขณะที่พิจารณาในสมาธิก็เป็นเช่นนั้น ออกจากสมาธิไปแล้ว สติก็กำหนดการรู้ การยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูด ซึ่งเป็นเรื่องของกาย ก็เรียกว่าสติไปตั้งอยู่ที่กาย เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าสติเพียงว่าควบคุมบังคับให้ระลึกไปในกาย ที่ระลึกเห็นผมขนเล็บฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูกเป็นต้น อันนี้เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติ เป็นสติปัญญาธรรมดา แต่ถ้าหากว่าสติมีกำหนดรู้เรื่องของกายอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ และตั้งใจก็กำหนดรู้ไม่ตั้งใจก็กำหนดรู้ กำหนดรู้อยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ สติไม่พรากจากกาย ไม่ว่าเราจะยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดคิด สติก็รู้พร้อมอยู่ที่กายอยู่ตลอดเวลา อันนี้เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าสติตั้งมั่นไม่หวั่นไหวก็เป็นมหาสติปัฏฐาน.

ในเมื่อสติมาตั้งมั่นอยู่ที่กายและระลึกรู้อยู่ที่กายตลอดเวลา เรื่องเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราไม่ตั้ง...ไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้ ไม่ได้ตั้งใจจะพิจารณา จิตของเราก็รู้เอง เพราะจิตมีกาย กายเป็นที่เกิดแห่งเวทนา เมื่อจิตมาจดจ่อเอาใจใส่ต่อกาย อะไรเกิดขึ้นที่กาย จิตของเรารู้หมด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจิตมาตั้งมั่นอยู่ที่กายเอากายเป็นอารมณ์ สติตั้งมั่นอยู่ที่กาย แม้แต่ความคิดที่เกิดขึ้นก็เพราะอาศัยกายนั่นแหละ เป็นเครื่องมือ เมื่อมีกายอยู่จิตก็มีความคิด ความคิดที่เกิดขึ้นนั้นแม้เราไม่ได้ตั้งใจจะไปกำหนดรู้ จิตของเราก็จะรู้ เพราะการคิดเป็นเรื่องของจิต ในเมื่อสติของเราไปตั้งมั่นอยู่กับเรื่องการคิด ที่คิดอยู่ในปัจจุบัน คิดอะไรขึ้นมาก็รู้ คิดอะไรขึ้นมาก็รู้ แต่ความคิดนั้นคิดแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดมั่นอะไรไว้สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน สติกำหนดตั้งมั่นอยู่ที่ความคิดนั้น เรียกว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน.

 ทีนี้ความคิดที่ปรุงแต่งนั้น อาศัยเวทนาเป็นสิ่งหนุน สุขเวทนาเป็นเหตุให้จิต มีความเพลิดเพลินยินดี ทุกขเวทนาเป็นเหตุให้จิต เกิดความไม่พอใจ หรือบางทีอาจจะเกิดคับแคบใจ และเมื่อกิเลสที่เป็นตัวการคือความใฝ่ในความสุขในความสบายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในขณะนั้น ทีนี้พอนั่งๆไปก็ปฏิบัติไป บางทีก็เกิดทุกขเวทนาบางอย่างเกิดขึ้น มีความรู้สึกว่ามีอาการง่วงๆ แล้วก็เกิดปวดต้นคอ หรือบางทีหายใจอึดอัด เป็นนักปฏิบัติทั้งหลายจะต้องผ่านสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นแหละ เป็นชนวนให้เกิดความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ ในเมื่อจิตมากำหนดรู้อยู่ที่ความหงุดหงิดงุ่นง่านรำคาญ จิตก็เริ่มกำหนดรู้เรื่องของธรรม แล้วก็จะมองเห็นนิวรณ์ทั้ง 5 ได้ชัดเจน คือมองเห็นความใคร่ในความสุขสบาย ทำให้เกิดขี้เกียจขี้คร้าน มองเห็นได้ชัด แล้วก็มองเห็นความหงุดหงิดรำคาญ อุทธัจจะกุกกุจจะ ได้ชัดเจน แล้วยิ่งเกิดความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาแทรกด้วย เราก็มองเห็นได้ชัดเจน เราเกิดสงสัยว่าจะปฏิบัติต่อไปดีหรือจะหยุดเพียงแค่นี้ เราก็มองเห็นชัดเจน แต่เมื่อเราเกิดความสงสัยว่าจะปฏิบัติต่อไปหรือจะหยุดแค่นี้ พยาปาทะคือตัวคอยตัดรอน ได้โอกาสก็วิ่งเข้าไปตัด พอตัดลงไปแล้วเราก็จะนึกว่า เอาแค่นี้พอแล้ว เอาไว้วันหลังปฏิบัติต่อใหม่ ทีนี้ถ้าหากว่าจิตของเราเป็นอย่างนี้เรื่อยไป พอเกิดหงุดหงิดมาก็เอาละแค่นี้ ฝากไว้วันหลังจึงปฏิบัติต่อใหม่ เราก็จะไม่ได้ประสบกับความสำเร็จ เพราะอันนี้มันเป็นนิวรณ์ ที่คอยตัดรอนคุณงามความดี.

ถ้าจิตของเรามาตั้งสติพิจารณาคุณโทษแห่งนิวรณ์ 5 ดังที่กล่าว แล้วก็พยายามหาอุบายปลดเปลื้อง อุบายปลดเปลื้องนิวรณ์ 5 ก็คือเอาตัวนิวรณ์ 5 นั้นแหละเป็นเครื่องแก้ คือพิจารณาหาโทษของ...ให้เห็นโทษของนิวรณ์ โดยพิจารณาว่ากามฉันทะ ถ้าเราทำจิตให้ไปติดในความสุขความสบาย จนเกินไปอย่างไม่มีเหตุผล ก็จะทำให้เราเสียการเสียเวลา เสียการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินี่ก็ต้องลงทุนลงแรงบ้างพอสมควร ต้องอาศัยความอดทน ถ้าเราใช้ขันติความอดทน ปฏิบัติไปสักพักหนึ่ง นิวรณ์ 5 ทั้งหลายนั้น ย่อมสงบระงับไปได้เพราะพลังของสมาธิ ถ้าหากกามฉันทะ ความใคร่หรือความสุขเกิดขึ้น ให้กำหนดสติรู้ ถ้าพยาปาทะมันเกิดขึ้น ก็กำหนดสติรู้ ถ้าอุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญเกิดขึ้น ก็กำหนดสติรู้ ถ้าถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้น กำหนดสติรู้ ความลังเลสงสัยเกิดขึ้น กำหนดสติรู้.

โดยเอาสิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ของจิต เป็นที่ระลึกของสติ กำหนดจดจ้องพิจารณาอยู่อย่างนั้น ในเมื่อสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้าขึ้น แล้วก็จะเกิดสมาธิความมั่นใจ ซึ่งอาศัยขันติความอดทน พิจารณาให้จิตของเรารู้แจ้งเห็นชัด ในคุณและโทษของธรรม คือนิวรณ์ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงรู้ชัดแล้ว จิตของเราก็จะปล่อยวาง เข้าไปสู่ความสงบ แล้วเราก็จะได้สมาธิ เพราะอาศัยธรรมคือนิวรณ์ เป็นที่ตั้งของสติ เป็นที่ระลึกของ...อ้า เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เป็นเครื่องรู้ของจิต ธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึกถ้าเราตั้งใจจดจ่อพิจารณาเพ่งดูอยู่ จิตจะสงบเป็นสมาธิ.

เพราะฉะนั้นแผนการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน 4 กำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิตและธรรม เรากำหนดหมายเอาง่ายๆ คือว่านั่งสมาธิปั๊บลงไปกำหนดรู้จิต กิริยาที่ตั้งใจกำหนดรู้จิตนั้น เราอาศัยประสาททางกายเป็นเครื่องช่วย ถ้าจิตไม่มีกายแล้วไม่มีความตั้งใจ จะทำอะไรจะคิดอะไร เพราะจิตเป็นธาตุรู้อยู่เฉยๆ ถ้าลำพังแต่จิตดวงเดียวที่ถอดออกไปจากร่างอันนี้ เค้าจะไปลอยเด่นใสสว่าง ไม่มีตัวไม่มีตน คิดไม่เป็น อยู่เฉยๆ แต่ถ้ายังมีความสัมพันธ์กับกายนี้อยู่ คิดเป็นเพราะมีเครื่องมือ จิตเป็นแต่เพียงพลังงาน ร่างกายเป็นเครื่องมือ จิตเหมือนกระแสไฟฟ้า และเมื่อกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้าไปสู่แม่เหล็กและทองแดง เกิดความหมุน พอหมุนแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดความเคลื่อนไหว ทำให้เกิดพลังต่างๆขึ้นมาได้ ดังนั้นในเมื่อกายมีอยู่ จิตก็มีความคิด เพราะกระแสของจิตไปกระทบกับร่างกาย เครื่องของกาย เราคิดได้เพราะอาศัยประสาททางสมอง.

เพราะฉะนั้นเมื่อเรากำหนดรู้ที่จิตของเรา เราย่อมรู้ว่าในกายของเรานี่มีอะไรบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่ากายของเรามีศีรษะ 1 มีแขน 2 ขา 2 มีลำตัว มีตาหูจมูกลิ้นกายและใจ เมื่อเราตั้งใจกำหนดรู้อย่างนี้ เรียกว่ากำหนดรู้กาย ทีนี้เมื่อเรากำหนดรู้กายอยู่ ก็กลายเป็นที่เกิดของสิ่งต่างๆ สุขเกิดที่กาย ทุกข์เกิดที่กาย แต่ผู้ใดเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในกายนี้ กายเป็นที่เกิดของความเจ็บ แต่การเจ็บอันนี้จิตเป็นผู้รับรู้.

ทีนี้ถ้าจิตไม่มีกายก็ไม่รู้จักเจ็บ เพราะฉะนั้นเวทนาเกิดที่กาย สุขเวทนาก็เกิดที่กาย ทุกขเวทนาก็เกิดที่กาย หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็เกิดที่กาย เมื่อเรากำหนดรู้ว่ากายมีอยู่ เราจะรู้พร้อม ทั้งเวทนา จิตและธรรม จิตก็คือตัวผู้รู้ ธรรมก็คือสิ่งที่กำหนดรู้อยู่ เรากำหนดรู้จิตกำหนดรู้อารมณ์ คือจิตกำหนดรู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน เมื่อจิตเสวยสุขซึ่งเกิดจากปีติ นิวรณ์ 5 กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ก็หายไป.

ทีนี้เมื่อสมาธิจิตสงบละเอียดลงไป จนกระทั่งตัวหายไปหมดแล้ว วิตกวิจารณ์ปีติสุขก็หายไปหมด เพราะสิ่งเหล่านี้อาศัยกายเกิด ถ้าไม่มีกาย วิตกวิจารณ์ปีติสุขก็ไม่มีได้ เพราะฉะนั้นเมื่อกายหายไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตดวงเดียว จึงมีชื่อว่ามีแต่จิตดวงเดียวซึ่งเรียกว่า เอกัคคตา3 กับ

         3https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%E0%CD%A1%D1%A4%A4%B5%D2

อุเบกขา ความเป็นกลางของจิต ร่างกายหดตัวหายไปหมด.

         เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญสมาธิ ซึ่งเดินตามหลักของมหาสติปัฏฐาน 4 จึงเป็นอุบายทำจิตให้ตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ เพื่อขจัดนิวรณ์ธรรม 5 ประการ ให้หมดไปจากจิต ในขณะที่มีสมาธิ จิตของเราจะได้ดำเนินไปสู่โพรงจิตโพรงธรรมตามลำดับขั้นตอน เช่นสุดแท้แต่พลังจิตพลังสมาธิของท่านผู้ใด จะปฏิวัติจิตของตนเองให้เป็นไปได้.

เพราะนั้นการฝึกฝนอบรมสมาธินี้ เราอาศัยหลักภาวิตา4  อบรมให้มากๆ พหุลีกตา ทำให้

         4 https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=167

มากๆ ทำให้คล่องตัว ทำจนชำนิชำนาญ ทำจนกระทั่งถึงขั้นเป็นเอก ในเมื่อจิตได้ดำเนินตามหลักของมหาสติปัฏฐาน ทั้ง 4 ประการ จึงเป็นฐานทำให้เกิดธรรมะ อันเป็นองค์พระคุณแห่งการตรัสรู้ คือสติสัมโพชฌงค์ ในเมื่อเรามาทำสมาธิ จิตรวมเป็นหนึ่งเป็นเอกมรรค เป็นเอกธรรม สติเป็นเองโดยอัตโนมัติ สามารถที่จะกำหนดรู้กาย จิต สถานการณืและสิ่งแวดล้อมได้เองโดยตลอดเวลา ก็เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ รู้พร้อม อยู่ที่การยืนเดินนั่งนอนและกินดื่มทำพูดคิด ได้ชื่อว่าสติได้สัมโพชฌงค์ เป็นองค์แห่งการตรัสรู้.

เวลาแห่งการบรรยายธรรมะ ตามหลักแห่งมหาสติปัฏฐาน 4 ก็จบลงด้วยเวลาเพียงเท่านี้.

สาธุ.

 

การนั่งสมาธิ เรียกว่าวิธีนั่งสมาธิ ท่านั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย ขัดสมาธิ เอามือซ้ายวางลงที่ตักใช้มือขวาวางทับ ให้หัวแม่มือจรดกันเบาๆ บ่าไม่ตก ตั้งกายให้ตรง คือนั่งให้รู้สึกว่ากายตรง ให้เป็นที่สบาย อย่าเกร็จกล้ามเนื้อหรือส่วนต่างๆของร่างกาย นั่งพอพยุงกายให้ตรงอยู่ อย่าให้มีส่วนใดตึง อย่าให้เอียงซ้ายเอียงขวา อย่าก้มนักอย่าเงยนัก วางหน้าให้ตรง สง่าผ่าเผย เหมือนพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ อันนี้เป็นวิธีนั่ง.

ต่อไปเป็นวิธีกำหนดจิต คือทำความรู้สึกที่จิตของตนเอง ความรู้สึกอยู่ที่ตรงไหน จิตของเราก็อยู่ตรงนั้น เพื่อจะให้จิตมีฐานที่ตั้ง ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก จะนึก”พุท”พร้อมลมเข้า “โธ”พร้อมลมออกก็ได้ หรือใครจะไม่นึกอะไร เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจซึ่งออกเข้าอยู่ โดยธรรมชาติของการหายใจก็ได้ .

อันนี้เป็นจุดเริ่มต้น มราเราจะเรียนให้รู้ธรรมชาติของร่างกาย ทำไมลมหายใจจึงชื่อว่าเป็นธรรมชาติของร่างกาย       เพราะเหตุว่า เราจะตั้งใจก็ตามไม่ตั้งใจก็ตาม กายของเราก็หายใจอยู่โดยธรรมชาติ เพียงแต่เรากำหนดรู้ลมหายใจเฉยๆอยู่ อย่าบังคับจิตให้สงบ แต่ประคองจิตให้อยู่ที่ลมหายใจตลอดเวลา จิตของเราจะเป็นอย่างไร เราไม่คำนึงถึง คำนึงแต่ว่าจะรู้ที่ลมหายใจอย่างเดียว หายใจเข้ารู้หายใจออกรู้ หานใจสั้นรู้ หายใจยาวรู้ เพียงแต่เอารู้ตัวเดียวกำหนดรู้ อยู่ที่ตรงนี้.

การกำหนดรู้ลมหายใจ เป็นหลักสาธารณะทั่วไป และการปฏิบัติสมาธิก็เป็นหลักสาธารณะทั่วไป ไม่สังกัดในลัทธิและศาสนาใดๆทั้งสิ้น เพราะการฝึกสมาธินี้ เราจะมาฝึกจิตของเราให้สามารถกำหนดรู้ธรรมชาติ การปฏิบัติธรรมหรือการเรียนธรรม ก็คือเรียนให้รู้ธรรมชาติ วิชาการที่เราเรียนกันมา ในศาสตร์ใดๆก็ตาม เป็นการเรียนรู้ธรรมชาติและกฎธรรมชาติทั้งนั้น การฝึกสมาธิไม่เฉพาะแต่เราจะมานั่งขัดสมาธิ หลับตากำหนดรู้ลมหายใจ เพียงอย่างเดียว แม้ว่าเรามีสติอยู่อยู่กับเรื่องชีวิตประจำวันทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจ ก็ชื่อว่าเป็นการฝึกสมาธิ ทั้งนั้น แต่เพื่อจะให้มีวิธีการเข้มข้นเข้าไปหน่อย เราจึงมาฝึกกันแบบมีพิธีรีตอง อย่างที่เรามาฝึกกันอยู่เวลานี้.

นอกจากเราจะมากำหนดรู้ลมหายใจ แล้วเราอาจจะนึกคิดซ้อนพุทลมเข้าโธซ้อนลมออกก็ได้ หรือเราจะท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่ง จะพุทโธสัมมาอรหังยุบหนอพองหนอก็ได้ หรือเราจะกำหนดรู้จิตไปตั้งจิตของเรา เมื่อความคิดอะไรเกิดขึ้นให้มีสติกำหนดการรู้ไปก็ได้ เป็นวิธีการฝึกสมาธิทั้งนั้น การฝึกสมาธิดังที่กล่าวมานี้ เราสามารถจะทำได้ทั้งในท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน ใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน เพราะสมาธิเป็นกิริยาของจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นกิริยาของจิต ไม่ใช่การยืนเดินนั่งนอน แต่การยืนเดินนั่งนอน เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นการบริหารร่างกาย ว่าอย่างง่ายๆคือการออกกำลังกายนั้นเอง เพราะถ้าเรานั่งมากมันจะเมื่อย ทรมานร่างกายต้องเปลี่ยนไปเดิน เดินมากทรมานก็เปลี่ยนเป็นยืน เดินมากทรมานเปลี่ยนเป็นนอน เปลี่ยนอิริยาบถสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความคล่องกาย ในเมื่อกายของเราคล่องแคล่วว่องไว จิตของเราก็คล่องแคล่วว่องไวขึ้นด้วย.

เพราะฉะนั้นยืนเดินนั่งนอนจึงเป็นท่าประกอบเท่านั้น แต่สมาธิที่แน่ๆก็คือกิริยาของจิต ดังนั้นเราจะปฏิบัติสมาธิในท่าไหนได้ทั้งนั้น ยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดคิด เพียงแค่มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ ในขณะที่เราทำอะไรอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เราทำสติความรู้การยืนเดินนั่งนอนรับประทานดื่มทำพูดคิด เป็นการเรียนให้รู้ธรรมชาติ ธรรมชาติของร่างกายย่อมมีการยืนเดินนั่งนอนรับประทานดื่มทำพูดคิด นับจากไม่ว่าในศาสนาใดๆ สั่งสอนมนุษย์ให้รู้จักความเป็นของตัวเองในเบื้องต้น ในเมื่อรู้จักความเป็นรู้จักธรรมชาติของตนเองได้ถ่องแท้แน่นอน การที่จะไปเรียนรู้ธรรมชาตินอกตัวเองนั้น เป็นประกอบไม่ยากนัก.

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เราเรียนให้รู้ธรรมชาติของตนเอง ธรรมชาติของร่างกายต้องมีการยืนเดินนั่งนอนกินดื่มทำพูดและคิด ธรรมชาติของจิตก็คือผู้มีหน้าที่คอยบังคับบัญชา สั่งให้ร่างกายทำอะไร และเป็นผู้รับผิดชอบในกิจการทั้งปวง เพราะตนเองเป็นนาย ตนเองเป็นผู้สั่งการ สั่งการลงไปแล้วย่อมมีความรับผิดชอบ จึงจะสมศักดิ์ศรีของผู้เป็นนาย ฉะนั้นในตัวของเรานี้ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว การปฏิบัติธรรมจึงอาศัยกายกับจิต ทั้งสองอย่างเป็นของคู่กัน เป็นหลักของการปฏิบัติ.

เพราะฉะนั้น วิธีการทั้งหลายนั้น เป็นแต่เพียงวิธีการสำหรับประกอบการปฏิบัติ แต่แท้ที่จริงสมาธิ สมาธิเป็นกิริยาของจิต ในขณะนี้เรามานั่งกำหนดรู้ลมหายใจ เรามาเรียนรู้ธรรมชาติของลมหายใจ เมื่อเรารู้อยู่ เราก็จะรู้ว่า ธรรมชาติของกายย่อมมีการหายใจอยู่เป็นปกติ ขาดไม่ได้ เมื่อเรามีสติกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจยาวเราก็จะรู้ ลมหายใจสั้นเราก็จะรู้ ลมหายใจหยาบเรารู้ ลมหายใจละเอียดเรารู้ เรารู้ตัวเดียวเท่านั้น รู้นี่เป็นกิริยาของจิต ทุกคนมีจิตรู้กันทั้งนั้น ไม่เฉพาะแต่มนุษย์ สัตว์ก็มีจิตรู้ ทีนี้รู้ตัวนี้ไม่ได้สังกัดในลัทธิศาสนาใดๆทั้งสิ้น.

ดังนั้นที่เรามาเรียนรู้ธรรมชาตินี้ เพื่อจะให้รู้ความจริงของกฎธรรมชาติ เมื่อรู้ความจริงของธรรมชาติแล้วก็ควรจะรู้ความจริงของกฎธรรมชาติด้วย กฎของธรรมชาติทั้งหลายนั้น ธรรมชาติอันนี้คือกายกับใจ แต่สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม ดินฟ้าอากาศ ที่เรียกว่าจักรวาลทั้งสิ้นนี่แหละเรียกว่าธรรมชาติ ทีนี้กฎของธรรมชาติ ก็คือความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ตั้งแต่อณู ปรมาณู จนกระทั่งมวลสารที่ก่อกันเป็นก้อนใหญ่โต ก็ย่อมตกอยู่อยู่ในกฎของธรรมชาติ คือมีความเปลี่ยนแปลง มีปรากฏการณ์ขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดย่อมสลายตัว อันนี้เป็นหลักภาษาวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสาธารณะทั่วไป และหลักบัญญัติของภาษาอินเดีย ความเปลี่ยนแปลงเค้าเรียก อนิจจัง ความทนไม่ได้อยู่ตลอดกาลเค้าเรียกว่า ทุกขัง ความสลายตัวเค้าเรียกว่า อนัตตา ภาษาไทยว่า ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาล ไม่เป็นตัวของตัว อันนี่เป็นคำสมมติบัญญัติเท่านั้น แต่แล้วโลกทั้งโลกยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นทรงอยู่สลายตัวเกิดขึ้นทรงอยู่สลายตัว อันนี่ภาษาโลกที่เค้านิยมใช้กันโดยทั่วๆไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาในหลักวิทยาศาสตร์ เค้าใช้กัน แต่พวกอินเดียเค้าใช้คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ไทยเรียกว่า เปลี่ยนแปลงยักย้าย ทนอยู่กับที่ไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวคือสลายตัวอยู่ตลอดเวลา ที่เรามาฝึกหัดสมาธิ เพียงแค่กหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เมื่อเรามีสติปัญญาเกิดขึ้น เราก็รู้ว่าลมหายใจนี้มันก็เปลี่ยนแปลงมีออกมีเข้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียด เราก็รู้แต่ว่าลมหายใจมันเปลี่ยนจากหยาบเป็นละเอียด ละเอียดเป็นหยาบ และในบางครั้งถ้าจิตสงบ เป็นสมาธิอย่างลึกซึ้งถึงขั้นขนาดกายหายไป ลมหายใจมันก็หายไปด้วย เพราะลมหายใจมันเป็นส่วนกาย เหลือแต่จิตสงบนิ่งสว่างอยู่.

ใครภาวนาแบบไหนอย่างไร เมื่อจิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วก็นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ใครทำก็ได้ถ้าทำจริง ไม่เฉพาะแต่ชาวพุทธผู้นับถือพุทธศาสนา คนในศาสนาอื่นทำก็ได้ คนไม่มีศาสนาทำก็ได้ และเมื่อทำลงไปแล้วจิตสงบนิ่ง สว่างรู้ตื่นเบิกบาน ใครจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่สมมติบัญญัติ รู้เป็นธรรมชาติของจิต จิตเป็นธาตุรู้ จิตมีสภาวะรู้สึกรู้นึกรู้คิด แต่ถ้าขาดสติสัมปชัญญะจะไม่รู้จักดีจักชั่ว ไม่รู้จักผิดรู้จักถูก เพราะสติสัมปชัญญะของเรายังอ่อน เราจึงมาฝึกสมาธิเพื่อให้สติเพิ่มพลังเข้มแข็งขึ้น จะได้กำหนดรู้สิ่งต่างๆ ให้รู้จริงตามกฎของธรรมชาติ.

ทีนี้กฎของธรรมชาติเหล่านี้ที่มันเกี่ยวข้องกับเรา เมื่อเราไปยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นตัวเป็นเราเป็นเขาเป็นของเราของเขา สิ่งที่เราถือว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นของเราของเขานั้น เมื่อหากว่าสิ่งนั้นเป็นไปในทางที่เราไม่พอใจ เราก็เกิดทุกข์ เพราะเราเอาความรู้สึกของเราไปขัดอยู่กับความเป็นไปของกฏธรรมชาติ ดังนั้นนักปราชญ์ไม่ว่าในลัทธิศาสนาใดๆ จึงสอนให้ทุกคนให้เรียนรู้กฎของธรรมชาติ เผื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงธรรมชาติบางอย่างซึ่งพอที่จะเป็นไปได้ ให้อยู่ในสภาพที่เป็นไปตามความต้องการของเรา เครื่องยนต์เครื่องกลทั้งหลายต่างๆ วัตถุดั้งเดิมเขาเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในดินในน้ำ แต่ผู้ฉลาดไปค้นคว้าคิดเอามาสร้างโน่นสร้างนี่ สร้างรถยนต์สร้างเครื่องบินสร้างจรวด สร้างปรมาณูนิวเคลียร์ เอามาเป็นพลังงานสำหรับเป็นเครื่องปฏิกรณ์ต่อชีวิตหรือทำลายซึ่งกันและกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ดั้งเดิมวัตถุทั้งหลายมาจากธรรมชาติ แต่ผู้ที่มีความฉลาดเฉลียวก็สามารถเอามาดัดแปลงแต่งเป็นโน่นเป็นนี่ ให้ใช้ในประโยชน์แก่ชีวิตของเราได้ ทีนี้ธรรมะซึ่งเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งซึ่งเป็นนามธรรม ซึ่งเป็นรูปธรรมนามธรรม ก็สามารถฝึกฝนสร้างสมรรถภาพให้เข้มแข็ง มีพลังทางสติปัญญา เพื่อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน เป็นการดัดแปลงธรรมชาติเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้.

อันนี้เป็นวิสัยของมนุษย์จะต้องเป็นไปอย่างนั้น มนุษย์จะปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามบุญตามกรรมเหมือนอย่างสัตว์เดรัจฉานนั้น มันไปได้ไม่สมศักดิ์ของความเป็นมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงมีการสร้าง แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของตนเอง ซึ่งแล้วแต่ความสามารถสติปัญญาของผู้ใดจะสามารถทำใด แม้เราจะไม่ได้คำนึงถึงที่จะสร้างวัตถุ แต่เรามาสร้างพลังจิตพลังใจของเรา ให้มีสติสัมปชัญญะให้มีปัญญา แก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน ปรับปรุงชีวิตของเราให้เป็นอยู่ให้สบายภายในสังคม ก็เป็นการเพียงพอสำหรับการปฏิบัติธรรม.

ดังนั้นในการทำสมาธินี้ จึงเป็นอุบายวิธีอันหนึ่ง เพื่อสร้างพลังดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เพื่อสร้างจิตสร้างใจสร้างชีวิตของเราให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เราก็จะได้สามารถทำภารกิจการงานต่างๆด้วยความมั่นใจ ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ เพื่อเป็นการสร้างสรรค์ชีวิตของตนเองและสังคม ให้มีความเจริญสืบไป.

ดังนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฝึกฝนอบรม เอาให้ได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็อาศัยสมาธิทั้งนั้นแหละ ผู้ทำสมาธิส่วนใหญ่ก็มุ่งสู่พระนิพพาน แต่เมื่อเรายังไม่ถึงพระนิพพานเราก็ต้องหาเอาประโยชน์ในระหว่างทางก็ได้ ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงไปกำหนดจิต รู้ลมหายใจออกหายใจเข้า กำหนดรู้อยู่เฉยๆ ในช่วงที่ท่านกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ ถ้าหากมีอาการเคลิ้มๆเหมือนจะง่วงนอน ก็ให้มีสติกำหนดรู้อยู่เฉยๆ หากมีการรู้สึกอีดอัดหรือหนักหน่วงตรงต้นคอ หรือเวียนศีรษะ ก็กำหนดรู้อยู่เฉยๆ กำหนดรู้ลมหายใจไว้เป็นหลัก ถ้าหากว่าจิตปล่อยวางลมหายใจ จิตมีอาการเคลิ้มวูบวาบลงไป ถ้าไปคิดสิ่งอื่นขึ้นมาก็ควรปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติตามรู้ไปทุกขณะที่จิตมีการคิด ให้ปฏิบัติสลับกันไปอย่างนี้ พยายามทำให้มากๆ อบรมให้มากๆ ในขณะที่ปฏิบัติอยู่อย่าไปบังคับจิตให้สงบ หน้าที่ของเรากำหนดรู้ลมหายใจ และอารมณ์ภาวนาอยู่เท่านั้น เมื่อไรจิตจะสงบก็อย่าไปคิด เมื่อไรจะรู้จะเห็นก็อย่าคิด ให้รู้อยู่กับสิ่งรู้ในปัจจุบันเท่านั้น ความสงบของจิตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของจิตไป ความรู้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของจิตไป ส่วนความรู้สึกในการตั้งใจจิตจะรู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ตรงที่กำหนดรู้อารมณ์จิตในขณะนี้ แล้วเมื่อเรากำหนดรู้อารมณ์จิตในขณะนี้ จิตของเราก็จะมีความสัมพันธ์กับอารมณ์จิตเอง เมื่อมีอารมณ์สัมพันธ์กับจิต จิตมีอารมณ์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้อยู่ อารมณ์กับจิตไม่พรากจากกัน เราจะกำหนดก็ตามไม่กำหนดก็ตาม เราจะรู้อารมณ์จิตอย่างนั้น นั่นแสดงว่าจิตได้วิตก มีสติรู้อยู่ได้วิจาร ถ้าเกิดมีปีติสุขเอกะคัคตา ก็ได้ปีติสุขเอกะคัคตา ถ้าจิตเสวยวิตกวิจารปีติสุขเอกะคัคตาอยู่เป็นเวลาไปนานๆ ก็ได้ปฐมฌาน5 คือฌานที่ 1.

5https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%BB%B0%C1%AC%D2%B9&detail=on

อันนี่เป็นวิธีการนั่งสมาธิ ปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง ทีนี้ปฏิบัติสมาธิในท่าเดินเรียกว่า เดินจงกรม ก็กำหนดอารมณ์อย่างเดียวกับการนั่ง ปฏิบัติสมาธิในท่าเดินเรียกว่าเดินจงกรม ....ฯ