หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พัชระบูรณ์ สมนึก - ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส กับสถาบันกษัตริย์

 

...โพสต์คราวที่แล้ว - เป็นเรื่องของ ท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะ ผู้ก่อตั้งสถาปนา/ผู้ประศาสน์การ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่แสดงออกถึงความยึดมั่น/เชิดชู สถาบันกษัตริย์ อย่างไร?

   โพสต์นี้ - เป็นเรื่อง ท่านปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฯที่ตนทูลเกล้าของพระราชทาน และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวสยาม - ให้เป็นประชาธิปไตย...อ่านสุนทรพจน์(speech)นี้แล้ว...ท่านจะทราบทันที - ว่ามารร้าย/ผีร้ายทุนนิยมสามานย์ - ต่างแอบอ้าง สถาบันกษัตริย์/แอบอ้าวงท่านปรีดีฯ ไปกระทำการสามานย์ต่อแผ่นดิน/ประเทศนี้ กันในตอนนี้อย่างไร?

...เรื่องโพสต์ที่แล้วและโพสต์นี้ - ข้าพเจ้าได้บังอาจเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากหนังสือต้นฉบับ...ในเรื่องการเว้นประโยค/บรรทัด - เพื่อให้สามัญชนอย่างพวกข้าพเจ้าได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น...

...ในเรื่อง มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง - นั้น...มีจุดสังเกตอีกอย่างหนึ่ง...ท่านปรีดีฯได้เลือกเอาวันที่ ๒๗ มิถุนายน ในปี พ.ศ.๒๔๗๗ ที่เป็นวันที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ครั้งแรกภายหลังการประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน...ทั้งที่ท่านปรีกดีฯสามารถเลือกวันใดก็ได้...มาทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์ ขแองมหาวอทยาลบัย-ธรรมศาสตร์ - ที่ลูกหลานกำลังบ่อนแซะยึดครอง/และบังอาจทำลายซึ่งเจตนารมณ์/อุดมการ/อุดมคติ-ของท่านปรีดีฯผู้เป็นผู้ประศาสนฯการ - เพื่อรับใช้ทุนนิยมสามานย์ตามสันดานของตน...

...ก็อ่านสุนทรพจน์ฉบับเต็ม - เป็นหลักฐานทางราชการ/เอกสารบันทึกที่เก็บไว้ที่รัฐสภา-นั่นแหละ...เป็นหลักฐานว่า - อุดมการ/อดุมคติ/เจตนารมณ์ของท่านปรีดีฯกับระบอบประชาธิปไตย และสถาบันกษัตริย์ นั้น...ยิ่งใหญ่เหนือกว่าบรรดาทาสรับใช้ทุนนิยมสามานย์ทั้งหลายที่พยายามแอบอ้าง-ทำลายล้างซึ่งกันและกัน - บน"หัว"ของประชาชนชาวสยาม ในตอนนี้.

ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส กับสถาบันกษัตริย์

         - จากหนังสือ”ชีวิตและงาน ดร.ปรีดี พนมยงค์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล, หน้า ๒๗๐ - ๒๗๓.

         - สุนทรพจน์ของนายปรีดี พนมยงค์(ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี), แสดงในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙

(จาก)  รายงานการประชุมสภาฯ)

 

         ท่านผู้เป็นประธาน

ในวาระที่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๕ จะได้สิ้นสุดลงในวันนี้ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเชิญชวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชประสงค์ซึ่งมีมาแต่ก่อนพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้น คณะราษฎรพึ่งทราบเมื่อ ๖ วัน ภายหลังที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว คือเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาปรีชาสรยุทธ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาศรีสารวาจา พร้อมทั้งข้าพเจ้า ไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และเจ้าพระยามหิธรเป็นพระราชเลขาธิการในขณะนั้น เป็นผู้จดบันทึก มีพระราชกระแสรับสั่งว่า มีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อได้ทรงปรึกษาข้าราชการมีตำแหน่งสูงในขณะนั้น ก็ไม่เคยเห็นพ้องกับพระองค์ ในสุดท้ายเมื่อเสด็จกลับจากประพาสอเมริกาได้ให้บุคคลตนหนึ่งซึ่งไปเฝ้าในวันนั้นพิจารณา (พระยาศรีสารวาจา, ผู้เขียน) บุคคลนั้นก็ถวายความเห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาและที่ปรึกษากลับเห็นพ้องกับบุคคลนั้น คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์มาก่อน การเปลี่ยนแปลงการปกครองได้กระทำโดยบริสุทธิ์ ไม่ได้ช่วงชิงดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จจริงให้เป็นอย่างอื่น ความจริงทั้งหลายปรากฏในบันทึกการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันนั้นแล้ว และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงมีพระราชประสงค์มาก่อนแล้ว หากมีผู้ที่ทัดทาน ฉะนั้นเมื่อคณะราษฎรได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ พระองค์จึงพระราชทานด้วยดี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวไทย ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ และบรรดาชาวไทยทั้งหลาย จวงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทอดพระเกียรติของพระองค์ไว้ชั่วกาลปาวสาน

บัดนี้ผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญและผู้ที่ได้ร่วมมือช่วยเหลือ อันประกอบเป็นสมาชิกประเภท ๒ ก็จะสิ้นสุดสมาชิกภาพลงแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องซ้อมความเข้าใจถึงหลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญซึ่งคณะราษฎรได้ขอพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ว่า ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบหรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิ์เสรีภาพอันมีแต่จะเกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียว่า “อนาธิปไตย” (Anarchy*- ข้าพเจ้า) หาใช่ประชาธิปไตยไม่

*https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2

 ขอให้ระวังอย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วย กฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต หรือในครั้งโบราณเรียกว่า การปกครองโดยสามัคคีธรรม การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรม หรือใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต ไม่ใช่หลักประชาธิปไตย ไม่ใช่หลักซึ่งคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น ไม่มีพระราชประสงค์ให้เป็นอนาธิปไตย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างประเทศอิตาลีเมื่อก่อนสมัยมุสโซลินี ซึ่งประชาธิปไตยของอิตาลีในขณะนั้น เข้าขีดที่ไม่มีระเบียบ มีความอลเวง จึงเป็นเหตุหรือให้พวกฟาสซิสต์อ้างเป็นเหตุในการสถาปนาระบอบเผด็จการในประเทศอิตาลี ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตยอันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า ถ้าเราช่วยกันประคองให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อยอย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมกับเพื่อนคณะราษฎรของพระราชทานรัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าได้ประคับประคองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ตลอดมา แม้ในการต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งในการต่อต้านนั้นอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งรัฐบาลชั่วคราว แต่ข้าพเจ้าก็เลือกเอาทางที่จะตั้งรัฐบาลตามระบอบรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศัตรูของประชาธิปไตย ข้าพเจ้าสังเกตว่ามีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยโดยผิด โดยเอาระบอบอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่ ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้าโดยไม่มีค้าน ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน แต่ค้านโดยสุจริตใจ ไม่ใช่ปั้นข้อเท็จจริงขึ้น ทางธรรมนั้นการกล่าวเท็จหรือมุสาวาทก็เป็นผิด ในทางการเมือง การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยาอันเป็นมูลฐานเนื่องมาจากความเห็นแก่ตน (เอโกอิสม์) ความสามัคคีธรรมหรือระบบประชาธิปไตยอันแท้จริงจึงจะเป็นไปได้ ผู้ใดมีอุดมคติของตนโดยสุจริต ข้าพเจ้าเคารพในผู้นั้น และเราร่วมมือกันได้ ผู้ใดมีอุดมคติของตนโดยสุจริต ข้าพเจ้าเคารพในผู้นั้น และเราร่วมมือกันได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าต่างฝ่ายต่างสุจริต มุ่งส่วนรวมของประเทศชาติ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมายจะเป็นคนละแนว แต่ในอวสานเราก็พบกันได้ ข้าพเจ้าขออ้างเจ้านายหลายพระองค์ ซึ่งเดิมท่านมีแนวทางอย่างหนึ่ง และข้าพเจ้ามีแนวทางอีกอย่างหนึ่ง แต่เจ้านายหลายพระองค์นั้นท่านมีจุดหมายเพื่อส่วนรวมของประเทศชาติ ไม่ใช่ส่วนพระองค์ ผลสุดท้ายเราก็ร่วมมือทำงานด้วยกันมาเป็นอย่างดีในการรับใช้ประเทศชาติ และรักใคร่กันสนิทสนมยิ่งเสียกว่าผู้ซึ่งเอาประเทศชาติเป็นสิ่งกำบัง แต่ความจริงมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตัวมาก ผู้ที่คอยอิจฉาริษยาเมื่อไม่ได้ผลสมหวังแล้ว ก็ทำลายกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แทนที่จะเสริมก่อให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม ผู้ที่ทำการปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎรโดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติกับข้าพเจ้า ท่านเหล่านี้ไม่ต้องวิตกกังวล แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตัวหรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตนเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไหนมากกว่า

ข้าพเจ้าหวังว่า ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายคงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจและอาศัยกฎหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย ข้าพเจ้าของฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบอนาธิปไตยอันพรั่วงพร้อมไปด้วยความสามัคคีธรรม ระบอบประชาธิปไตยโดยพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรมนี้ เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎรที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าดเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐธรรมนูญ

ข้าพเจ้าขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือรัฐบาลนี้ด้วยดี ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายประสพความสุขสำราญ และในอวสานขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย อวยพรให้ระบอบประชาธิปไตยพรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ จงสถิตสถาพรอยู่ในประเทศไทยชั่วกาลปาวสาน.”




วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พัชระบูรณ์ สมนึก - ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับสถาบันกษัตริย์ (2)

 

“...ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะทำให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อย ความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่า อนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวัง อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่า การปกครองโดยสามัคคีธรรม...”

                                                  สุนทรพจน์ของนายปรีดี พนมยงค์

แสดงในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๙

(จาก)  รายงานการประชุมสภาฯ)

 

- จากหนังสือ “ชีวิตและผลงาน ดร.ปรีดี พนมยงค์” โดย สุพจน์ ด่านตระกูล บทที่ ๑๒ ผู้ประศาสน์การ ม.ธ.ก. หน้า ๑๖๑ - ๑๖๔

         “...ท่านปรีดี พนมยงค์ จึงหันมาสร้างคนพัฒนาคนเพื่อให้พร้อมที่จะออกไปรับใช้สังคม หรือรับใช้งานอภิวัฒน์แห่งชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมาย คือความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความผาสุกของมวลราษฎรไทยทั้งหมด ตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยและเป็นการปลูกฝังและเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตยไปในขณะเดียวกัน

         นั่นคือความคิดในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองเพื่อเพาะคนไทยให้มีความรู้ความชำนาญ ในการปกครองบ้านเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตย

         ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ร่างโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดหาสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย ตลอดจนเป็นผู้วางหลักสูตรมหาวิทยาลัย ส่วนทุนในกาสรจัดตั้งและก่อสร้างตัวอาคารสถานที่เล่าเรียนของมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เอามาจากงบประมาณแผ่นดิน แต่หากเอามาจากเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาทั่วราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการพอเพียงแก่การก่อสร้างอาคารสถานที่ในขณะนั้น และแถมยังเหลือได้เก็บไว้เป็นเงินหาดอกผลให้แก่มหาวิทยาลัย โดยลงทุนตั้งธนาคารพาณิชย์ขึ้นชื่อ ธนาคารเอเชีย นอกจากจะได้ดอกผลแล้ว ยังมีผลพลอยได้ คือเป็นสถานที่ฝึกอบรมปฏิบัติงานของนักศึกษาแผนกเศรษฐศาสตร์และการบัญชีด้วย

         แต่เป็นที่น่าเสียใจและน่าเสียดาย เพราะภายหลังการรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ธนาคารของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของส่วนบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่มีอำนาจอาวุธอยู่ในมือ โดยไม่ได้ค่าตอบแทนและโดยวิธีการอันสกปรก

         มหาวิทยาลัยแห่งนั้น คือมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงได้เกิดขึ้นและท่านปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้ให้กำเนิดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ประศาสน์การเป็นคนแรก และคนเดียว เพราะต่อมามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ได้ถูกอิทธิพลทางการเมืองปฏิกิริยาเข้าครอบงำ จึงได้เปลี่ยนตำแหน่งผู้ประศาสน์การเป็นอธิการบดี และใช่เท่านั้นยังได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเสียอีก โดยตัดคำว่า “วิชา” และคำว่า “และการเมือง” ออก คงเหลือปัจจุบันเป็น “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” อักษรย่อของมหาวิทยาลัยที่เคยใช้ “ม.ธ.ก.” เปลี่ยนเป็น “ม.ธ.”

         ความเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ภายหลังรัฐประหาร ๘ พ.ย. ๙๐ ดังกล่าวนี้ มีความมุ่งหมายที่จะลบชื่อท่านปรีดีฯออกเสียจากฐานะผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่ถึงกระนั้นก็หาสำเร็จไม่ เพราะนักศึกษาทุกคนที่ผ่านจากมหาวิทยาลัยโดมแห่งนี้ โดยที่ไม่ต้องมีใครไปเสี้ยมสอนแนะนำ เพราะสัจจะย่อมเป็นสัจจะอยู่วันยังค่ำ

         จากบันทึกของคณะผู้จัดทำหนังสือที่ระลึก “ธรรมศาสตร์บัณฑิต” ซึ่งได้จัดทำขึ้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒ กล่าวถึงมหาลัยแห่งนี้ไว้ว่า

รัฐบาลโดยท่านปรีดี พนมยงค์ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ต่อสภาผู้แทนราษฎรซึ่งได้เห็นชอบด้วย และได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ได้ให้กำเนิดเพื่ออำนวยการศึกษาวิชากฎหมาย วิชาการเมือง วิชาเศรษฐกิจและบรรดาวิชาอื่นๆ อันเกี่ยวกับวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแต่บัดนั้นมา โดยให้โอนคณะนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยใหม่ด้วย

         มหาวิทยาลัยใหม่นี้ได้กระทำพิธีเปิดเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ซึ่งเป็นวันตรงกับวันพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ณ ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ต่อมาด้วยการจัดการของท่านปรีดี จึงในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และ ๒๔๘๐ ได้มีพระราชบัญญัติให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินบริเวณโรงเรียนทหาร ร.พัน ๔ ร.พัน ๕ และบริเวณคลังแสง ตำบลท่าพระจันทร์ ให้แก่มหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินกิจการสืบมาจนบัดนี้

         เพื่อให้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้มีความสำนึกและจงรักษ์ภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่เสื่อมคลาย ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงให้มีการปฏิญาณตนก่อนรับปริญญา ซึ่งมีข้อความว่า

         ข้าพเจ้า จะรักษาไว้และปฏิบัติตาม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยบาม”

           ข้าพเจ้าจะดำรงตนอยู่ในทางที่ชอบ จะไม่ปฏิบัติผิดศีลธรรม อันจะนำมาซึ่งเกียรติคุณแห่งมาหวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ

        

เนื่องจากท่านปรีดี พนมยงค์ มีความสำนึกในการรับใช้ประชาชนและประเทศชาติ ท่านปรีดี จึงได้ชี้ทัศนะในการศึกษาให้นักศึกษาทั้งหลายได้เข้าใจว่า จง “ศึกษาเพื่อมวลชน” และท่านปรีดีฯ ไม่เว้นในการที่จะเชิดชู ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างชีวิตจิตใจ ในที่ทุกหนทุกแห่งที่มีโอกาส ดังหปรากฏในโอวาทของผู้ประศาสน์การ ท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งกล่าวแก่นักศึกษาผู้ได้เรียนปริญญาโทและตรี ประจำปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ดังมีความตอนหนึ่งว่า

ในโอกาสที่เป็นฤกษ์ชัยแห่งการศึกษาของท่านคราวนี้ ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวเตือนให้ท่านมีสติ ขออย่าได้ลุ่มหลงทะนงในความดี ซึ่งท่านได้บำเพ็ญมาแล้ว อันความดีความชอบในอนาคตนั้น ยังจะมีให้ท่านยึดเหนี่ยวอีกไม่สิ้นสุด ท่านไม่ไกด้ทนลำบากยากเพื่อมาชงักหยุดประกอบความดี ท่านได้อุตส่าห์ศึกษามามากหลายก็เพื่อใช้วิชาเป็นเครื่องประกอบความดีความงามต่อไป

เรื่องความดีความงามนี้ ข้าพเจ้ามิได้หมายความถึงความดีความงามเฉพาะตัวท่านแต่ละคนเท่านั้น แต่หมายถึงความดีความงามของหมู่คณะด้วย นับตั้งแต่ความดีงามของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นสำนักศึกษาของท่าน ตลอดจนความดีความงามของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ขอท่านจงแสดงตนให้เป็นที่ไว้วางใจได้ว่า ท่านจะไม่ทำลายความดีงามอย่างสูงดังกล่าวนี้ ด้วยกายวาจาใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่พึงตั้งตนอยู่ในวิถีทางที่จะทำนุบำรุงชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ของประชาชนชาวไทย ให้สถิตสถาพรอยู่ชั่วกาลนาน.”



พัชระบูรณ์ สมนึก - ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับสถาบันกษัตริย์ (1)

 1) ...วันนี้_จะเป็นบทความจากเล่มนี้...ในประเด็นที่ว่า ปรีรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับสถาบันกษัตริย์"...เพราะตอนนี้ปอบเปรตผีห่-มารนรก...กำลังใช้ "ท่านผู้ประศาสน์การ-ปรีดีฯ และมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง"...ไปบิดเบือนรับใช้ทุนนิยมสามานย์/ล้มล้างสถาบัน...

...ผมยืนยันว่า - เจตนารมณ์และอุดมการณ์-(จากการอ่านและติดตามมาตั้งแต่เด็ก)...เป็นอุดมการณ์สังคมนิยม-ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...หรือระบอบmonarcy...ปรารถนาแต่เพียงเป็นเหมือน-พรรคกรรมกร ของประเทศอังกฤษ-ต้นตำรับของระบอบการปกครองนี้...
...และนี้เป็นเพียง-หลักฐานบางตอน-ในการที่ท่านก่อตั้ง/สถาปนามหาวิทยาลัยฯด้วยเจตนารมณ์สร้างผู้มีการศึกษา - ให้เข้าใจ-ระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง...และสำเร็จการศึกษาเพื่อออกไปทำงานรับใช้ตนเองและมวลชน-ในอุดมคติ-สังคมนิยมประชาธิปไตย...อย่างที่ท่านคิด/สำนึก/ทำงาน-และต่อสู้มาจนตลอดชีวิต...

...อ่านไปก่อนนะครับ...แล้วผมจะค่อยมาบังอาจ-สรุปในปรนะเด็นหัวข้อเรื่อง...มะวานชื่อ "สถาบันกษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์" ...มันนี้ชื่อ "ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับสถาบันกษัตริย์"...บริบทต่างกันนิดหน่อย...มะวานเป็น-ความคิดระดับปรมาจารย์-ท่านนายแพทย์ ประเวศ วะสี...วันนี้เป็นความคิดของผม-ที่บังอาจ-นำสิ่งที่ท่านได้กล่าว-ไปหาหลักฐานอ้างอิง-ให้อ่านกันได้ชัดๆ...
...อันที่จริงแล้ว...0ท่านปรีดี พนมยงค์ - ได้มีการกระทำที่ปรากฏเป็นหลักฐาน...ในเอกสารทางราชการมากมาย/และบันทึกจาการกล่าวสุนทรพจน์/บรรยาย/ปาฐกถา-ในสถานที่ต่างๆอีกมากมาย...ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ-ที่บ่ง
ชี้ว่าท่านปกปักษ์/พิทักษ์และเชิดชู สถาบันกษัตริย์...ในแนวทางอุดมการณ์-สังคมนิยมประชาธิปไตย...
..0.แต่วันนี้/ตอนนี้ - อย่างเคยเล่าไว้...มันผู้-นำเอา-ท่านปรีดีฯ และหมาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปก่อการร้าย/ล้มล้างทั้งท่านและมหาวิทยาลัย(โดยอ้อม) ต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์...เลยเอาประเด็นนี้มาวิสัชนากันก่อน...
...เศรษฐกิจและการเทมือง(ทั้งสองด้านผูกพันกันค่อนข้างแน่นหนา - ต้องพิจารณาไปพร้อม)...มีรายละเอียดมากมาย...และถ้าจะพิจารณาความสัมพันธ์กับสถาบันกษัตริย์...ให้เห็นชัดเจน - ก็คง-เขียนตำราได้ 2 เล่ม...มิบังอาจ...ผมเป็นนักวิชาชีพ/คือนำวิชาการ มาหากิน...สาขาอื่นเค้าเรียกแค่ว่า-วิทยาศาสตร์ ประยุกต์(applied science) แต่ของพวกผมเค้าเรียกว่า "ศิลปะและวิทยาศาสตร์"(arts and science)...อิอิอิ...

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

พัชระบูรณ์ สมนึก - ที่มาของการนำเสนอบทความ "สถาบันพระมหากษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (ต่อ)

 7) จะบอกว่า - ทั้งเรื่องเกี่ยวกับท่านปรีดี พนมยงค์ และจีนสังคมนิยมคอมมูนิสต์อะไรตามที่ตีความโดยทุนนิยมสามานย์...ผมจะอ่านจากงานเขียนรวบรวแปล-ของท่าน "สุพจน์ ด่านตระกูล"...เป็นหลัก...เชื่อถือได้ - อ้างเอกสารราชการประกอบทุกขั้นทุกตอน...อ้อ...แล้วผมก็มีหนังสือ-พระนิพนธ์ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุาพฯและของท่านผู้หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล-บันทึกช่วงเลาเปลี่ยนแปลงกาปกครองนี้ด้วย...อ่านเกือบจะหมดทุกเล่ม...คทือบางเล่มจะอ่านเพียงบางตอนที่สงสัย - เทียบกันไปเรื่อยๆ...เพราะมีหนังสือให้ต้องอ่านอีกหลายเล่ม...

...เอาละ- ยืนยันว่า - ทั้งหลายทั้งปวง-ไม่ได้คิดเอง/มโนเอาเอง/createขึ้นเอง...เป็นควาาายยยยยครับ...แค่หยอิบเอาสิ่งดีๆที่ผู้คนดีๆเก่งๆ-ดเค้าเขียน/บันทึก/แปล-เอาไว้มาเล่า...เพื่อให้มี"โยนิโสมนสิการ" - ต่อเหตุการณ์ควาาาายยยยยยที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าในขณะนี้...

เพิ่งพิมพ์บางท่อน - จากหนังสือ "เค้าโครงการ เศรษฐกิจ หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)" เอามาแปะให้อ่านในบล็อคของผม...ตามลิงก์นี้...
...เป็นสุนทรพจน์กล่าวเปิดงาน ที่ธรรมศาสตร์ ของ ท่าน ศ.นพ. ประเวศ วะสี...ปราชญ์เชิงพุทธศาสนา-ที่แท้จริง...ไม่ใช่ปาด-เขียด แก่เฒ่าเพราะกินข้าว-ตั้งหน้าตั้งตาล้มล้างราชวงศ์ที่ไม่ยกยอปอปั้นตน...มาจนจวนจะไปหาผมที่นรกอยู่แล้ว-ก็ไม่ยอมลดละ...
...สังเกตมั้ย? อะไรๆหลายอย่าง - เค้าโยงผมไว้ให้มาเกี่ยวข้องตั้งแต่เด็กแล้ว...ผมไม่ไกด้/ไม่ต้องไปวางแผนอะไรได้ปานนี้หรอก...จักรวาลนี้ไม่มีความบังเอิญ(no coincidence in this universe)...หัดเรียนวิธีการหา-ความอาจะเป็นจริง(probability)กันเยอะๆดิ่...แล้วจะได้ใช้ดเครื่องระดับ9Gได้ ....อย่างถูกต้อง...ไม่ใช่แค่เซลฟี่-ตอนกินบะหม่ี่มาอวดควาาายยยยยด้วยกัน...
...หนังสือเล่มนี้-ไม่ได้มีแต่-รายละเอียด "เค้าโครงการเศรษฐกิจ"หรือที่เรียกว่า"สมุดปกเหลือง"นี้เท่านั้นนะ...แต่ยังมีพระบรมราชวินิจฉัยของ ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ในเรื่องนี้/รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร/รายงานการสอบสวนว่า นายปรีดีฯเป็นคอมมูนอิสต์หรือไม่(เน้นเฉพาะประวัติศาสนตร์ที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดกะับแนวทางเศรษฐกิจที่ท่านเสนอนี้...
...บทความที่ผมตัดเอามาจาก-หน้า 254-259 ที่เป็นสุนทรพจน์ของทคุณหมอประเวศ วะสี นี้ - ชื่อ "สถาบันกษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์"
...ช่วงต่อไปจากนี้-ก็จะพิมพ์คำบรรยายพิเศษสอนนิสิตธรรมศาสตร์-ในเรื่องที่จะต้องให้สัตย์สาบานว่า จะปกปักษ์พิทักษ์เชิดชู สถาบันชาติ/ศาสนา/พระมาหกษัตริย์...กล่าวไว้มะไหร่-อย่างไร...

พัชระบูรณ์ สมนึก - ที่มาของการนำเสนอบทความ "สถาบันพระมหากษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์"

 1)...ก็เนื่องด้วย- ในขณะนี้ได้มีผู้สบคมกันเป็นฝูง...ดำเนินการมานานแล้ว - ในการพยายามที่จะเปแลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศควาาายยยยๆๆๆๆนี้ - เป็นเป็นระบอบสาธษรณรัฐ...เพื่อรับใช้ลัทธิทุนนิยมสามานย์-ที่โคตรเหง้าบรรพบุรุษของตนอพยพหนีภัย-มาอาศัยใต้ร่มโพธิสมภาร สยามราชอาณาจักรนี้...หาได้กตัญญูกตเวที-สำนึกในพรพะมหากรุณาธิคุณ/รู้คุณ - แต่อย่างได้.

แต่กลับพยายามทำล้ายล้าง/ด้อยค่า สถาบันชาติ/ศาสนา/พระมหากษัตริย์...ตามการล้าง-ล้างสมอง-ของทุนนิยมสามานย์...อเมริกา...ที่ได้เห็นผลประจักษ์ชัดในตอนนี้ที่บรรดาสมุนข้ารับใช้กำลังล่มสลายเสื่อมทรามตามลงไปกันกับ"นายทาส"ผู้อำมหิต...
...สถาบันชาตินั้น/ล่มสลายเสื่อมทราม-ตกเป็นข้ารับใช้ทุนสามานย์มานานแล้ว...แต่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ - ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ/จิตวิญญาณ ของปวงชนชาวสยามก็คือ - สวถาบันพุทธศาสนา/และสถาบันพระมหากษัตรอิย์...ที่ต้องถูกโยก/สั่นคลอน...ด้วยแรงฤทธิ์ของมหาซาตานโลก-ทุนนิยมสามานย์...ดังกล่าวนั้น...

2) ขณะนี้/ปัจจุบันนี้-ยุคสมัยนี้...มีการแอบอ้าง-สถาบันพระมหากษัตริย์...มาดำเนินการรับใช้ทุนนิยมสามานย์มากขึ้น/ร้ายแรงขึ้น - นับตั้งแต่ พณฯนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรมฯได้ประกาศถอนตัวทางการเมือง-เพื่อทำงานให้สถาบันกษัตริย์...ที่ต้องอยู่เหนือการเมือง - อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ-การปกครองในระบอบ "ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"...ที่ปรากฏบัญญัติไว้ใน-รัฐธรรมนูญฉบับแรกแห่งสยามราชอาณาจักร มาจยถึงบัดนี้...
...ท่านปรีดี พนมยงค์ - แกนนำ/หรือ-หัวโจก ผู้ก่อการอภิวัฒน์-เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง...เมื่อปี ๒๔๗๕...ได้ประกาศเจตนารมณ์ และจุดมุ่งหมายของคณะราษฏร ๖ ประการ...ไว้และยืนยันที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง-ไปสู่-ระบอบประชาธปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...มาโดยตลอด...ทั้งๆที่มีผู้เสนอ/กดดัน-ใช้อำนาจทหารข่มขู่...ให้ท่านฯเปลี่ยนแปลงการปกครอง-ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ...ไปเลย...ในขณะที่มีรัฏฐาธิปัตย์ทุกประการ...แต่ท่านฯปรีดี พนมยงค์ - ยืนยันในระบอบ monarchyนี้...และประกาศต่อสาธารณชน-ผู้สอบสวนท่านในการถูกกล่าวว่าท่าน-เป็นตอมมูนิสต์...ซึ่งเป็นที่ปรึกษาจากต่างชาติ...ท่านก็ประกาศต่อคณะกรรมการฯ - ซึ่งมีเอกสารรายงานต่อผู้แทนราษฏร-ในขณะนั้นอย่างชัดเจน...ท่านฯไม่มีเจตนารมณ์-จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง-เป็นคอมมูนิสต์/หีรือสังคมนิยม-สาธารณรรัฐ...แต่มีเพียงต้องการให้ประเทศและสถาบันกษัตริย์รอดพ้นจาก-มหาอำนาจทุนนิยมล่าอาณานิคม...หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆไปสู่ประชาธอิปไตย...ท่านปรีดีฯยอมรับว่า - ตนมีเพียงเป้าประสงค์จะเป็นเหมือน/มีอุดมการณ์ เช่นเดียวกับ - พรรคกรรมกรของประเทศอังกฤษ...ที่ต่อสู้กันทางการเมืองกับพรรคอนุรักนิยม - ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง/การปกครอง-ใช้พระราชอำนาจอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ...the king can do no wrong...เช่นเดียวกับประเทศอังกฤษ...
...ครั้งหนึ่งท่านถูกใส่ร้าย/กดดัน/ข่มเหง - จนต้องออกไปอยู่ต่างประเทศ-ตามคำเสนอของเผด็จการนั้นๆ...ท่านปรีดีฯและภริยา - ไปอาศัยอยู่ที่จีน(ไม่ได้ขอลี้ภัยทาวงการเมือง)/จนจีนออกวีซ่ารับรองสัญชาติให้ท่านและภริยาเดินทางไปพำนักที่ฝรั่งเศสถิ่นการศึกษาเดิมของท่านก่อนก่อการ...เพราะไม่มีพาสสปอร์ต-รัฐบาลไทย-ไม่อนุมัติให้...จนเมื่อไปพำนักที่ฝรั่งเศส(ไม่ได้ลี้ภัย)...ลอร์ด เมาท์แบ็ตเท่น-อดีตอุปราชอาณานิคมอินเดีย(ที่อังกฤษเข้าไปยึดครอง)และพม่า...ซึ่วงเป็นเชื้อพระวงศ์กับราชวงศ์กษัตริย์อังกฤษ...ทราบข่างท่านปแรีดีฯ๖ จึงเชิญท่านปรีดีฯไปพบปะและพำนักที่อังกฤษ...จะเห็นได้ว่า - แม้กระทั่งอังกฤษต้นตำรับระบอบmonarchy...ยังยอมรับนับถือท่านสปรีดีฯว่าได้ปฏิบัติต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยดีอย่าวงไร/พิทักษ์สถาบันนี้อย่างไร-ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ท่านปรีดีฯดำรงตำแหน่ง-ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ - ที่เทียบเท่า-สมเด็จเจ้าพระยาฯยมราช สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ ซึ่งยังทรงพระเยาว์...
3) ในช่วงเวลานี้ - มีการแอบอ้างสถาบันกษัตริย์/และท่านปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส - ผู้สถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์...ในไปรับรองการกระทำสามานย์ของตน/และใส่ร้ายป้ายสีด้อยค่าอีกฝ่าย...เพื่อดำรงสถานะของตนในการครองอำนาจการปกครองประเทศ...ทั้งทหารเผด็จรับใช้ทุนนิยมสามานย์-โดยแอบอ้างปกป้องสถาบัน/และฝ่ายสมุนข้ารับใช้ทุนนิยมสามานย์อภิสิทธิ์เอกชน...ที่พยายามล้มล้างการปกครอง/ด้อยค่าสถาบัน...ที่เป็นอุปสรรคกีดขวางตน...เช่นเดียวกับที่ล่มสลายสถาบันกษัตริย์ในหลายประเทศมาแล้ว...
...ฝ่ายหนึ่งยกย่อง/บิดเบือน อ้างสถาบันกษัตริย์-เพื่อรับใช้ทุนสามานย์/ฝ่ายหนึ่งบิดเบือน-อ้างท่านปรีดีฯเพื่อรับใช้...ทุนสามานย์...
....เกิดมาผมไม่เคยพบกับ-ความอุบาทวอัป--สามานย์...ก็เมื่อตอนเกษียณราชการเช่นนี้เลย...
...ท่านปรีดี พนมยงค์ ปกป้องและพิทักษ์สถาบันกษัตริย์นี้มาโดยตลอด - จนเป็นที่ประจักษ์ของต่าวประเทศที่-ไม่สามานย์...อีกทั้งสถาบันกษัตริย์เอง-ก็ยอมรับเจตนาม/การกระทำของท่านปรีดีฯ ยกย่องเชิดชูเกียรติให้มาโดยตลอด...แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯในหลวงรัชกาลที่ ๗ ที่ทรงเสด็จไปรักษพระองค์ต่างประเทศ...เมื่อคณะราษฎร-เปลี่ยนแปลงการปกครอง-มีธรรมนูญการปกครองเรียบร้อยแล้ว-พะรองค์ท่านก็พระราชทานรัฐธรรมนูญฯ...และเมื่อท่านปรีดีฯนำความกราบบังคมทูลขอให้ท่านเสด็จกลับประเเทศ-ท่านก็ได้ตอบรับสนทนาด้วยเป็นอย่างดี...แต่ด้วยขัตติยะกษัตริย์ตรัสแลบ้วไม่สามารถกลับคำได้...คือพระองค์ได้ประกาศสละราชสมบัติไปก่อนหน้านี้แล้ว-ในช่วงที่มีการเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน...จึงต้องทรงสงะราชสมบัติต่อไป...
...เรื่องนี้มีเอกสารบันทึกทั้งทางราชการ/ๅที่กราบทูลและพระดำรัสตอบ...อีกทั้งสื่อต่างประเทศได้นำเสนอทั้ง 2 แง่มุนเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน...
...เพียงแต่มีผู้บัดซบถ่อยสถุล - ประสงค์ร้ายต่อสถาบันกษัตริย์...แอบอ้าง/บิดเบือน - นำความเท็จ- ไม่นำความจริงทั้งหมด...มาชี้แจงประกาศต่อควาาายยยยยๆๆๆๆๆทั้งหลาย - ได้...ตาสว่าง/เข้าใจถึง"ความจริง"ที่ครบถ้วน...
...อีกทั้งสถาบันการศึกษาที่ท่านปรีดีฯ ได้สถาปนาขึ้นมา...ในอุดมคติสังคมนิยม...กลับบิดเบือน-ล้างสมองศิษย์และประชาชนควาาาายยย - เพื่อรับใช้ทุนนิยมสามานย์...มานาแล้ว...น่าสมเพชยิ่งนัก...

4) ที่จิ้มโม้บรรยายมายืดยาว...ก็เพราะสันดานแมวหัวใจควาาายยยยยของผมนั้น...เกลียดชังการบิดเบือน/นำความเท็จมาอวดโอ่อ้างอิง-เพื่อกระทำการสามานย์...เพราะเท่ากับกำลังดูถูกว่าผม-โง่ยิ่งกว่าควาาายยย(คือ-ควาาายยยยไม่ได้โง่...ดังที่พวกโง่-มักจะบิดเบือนใส่ร้ายควาาาายยย)...
...ดังที่ผมเคยเล่าประวัติตนเองมาหลายครั้ง....ไม่ใช่เพื่ออวดโอ่ตนเองแต่อย่างได้...แต่เพื่อชี้แจงอัตลักษณ์ความเป็นมาทางความคิดเชิงวิทยาศาสตร์...แบบทำ profile identityให้ผู้อ่านซะเลย...ตอกย้ำว่า - พ่อ/แม่/พี่ และผมนั้น - ได้ประสบ-และทำอะไรกันมา...ก่อนที่จะมาพูดในเรื่องนี้/สิ่งนี้...คนเดียวที่ทำให้ผมโกหกได้คือ-แม่ของผมครับ...ยิ่งพวกสามานย์ถ่อยสถุลทั้งหลายนั่นน่ะ-ไม่ค่าพอให้ผม-โกหก-ได้หรอก...เพียงแต่ในบางครั้ง-เพื่อถนอมจิตใจผู้ที่ผมยังเห็นคุณค่าอยู่บ้าง - ผมก็จะพูดเชิงอุปมาอุปมัย(metaphor)-คือพูดความจริงไม่หมด...
...เรื่องส่วนตัวยังพออ้างได้มั่ง...แต่ถ้าเรื่องของบ้านเมือง/เรื่องของแผ่นดิน/เรื่องของผู้คนผู้ยากไร้-อ่อนแอกว่า-ทั้งกำลังกายและกำลังความคิด...ขืนทำ-ก็ตกนรกหนักหนากว่าที่ตกไปแน่ๆแล้วอ่ะดิ่...ควาาาายยยยครับ-ผมเป็นควาาาายยยยยย...กำลังดิ้นรน-ทำงานอะไรต่อไปตามที่รับปากกะท่าฯเค้าไว้...แค่นั้น.

5) พ่อผมรับราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์....ไม่ต้องบอกนะครับว่า-ระบอบสหกรณ์นั้นคือ - อุดมการณ์สังคมนิยม...แล้วรู้มั้ยจ้ะ-ควาาายยยยยทั้งหลาย?...ระบบสหกรณ์-สถาปนาขึ้นในประเทศไทย-ครั้งแรกโดย ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ที่จังหวัดพิษณุโลก...ใช่-ก่อตั้งขึ้นมาโดย-ในหลวงรัชกาลที่ ๗...
...ผมอ่านหนังสือออกตั้งแต่ ป๓ -หยิบหนังสือทั้งหลายที่พ่อวางเอาไว้มาอ่านดะไปหมด...ทั้งหนังสือเรียนของพี่ๆ...หนังสือพิมพ์วารสาร...ในยุคสมัยนายกฯจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์...โดยเฉพาะวารสารสหกรณ์-ที่หน่วยงานอแอกทุกเดือน...ผมกวาดเรียบ...ไม่ต้องสงาสัยนะว่าทำไม-ผมเดินเซไปทางซ้าย/แต่ไม่สุดขอบ-เพราะพ่อผมรับราชการ...
...เรียนจบมา-ผมก็สอบบรรจุแล้วเลือกมารับราชการที่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)ทั้งๆที่ไปทำงานที่อื่นก็ได้-เพราะเป็นตำแหน่งวิชาชีพขาดแคลน...ส.ป.ก.ตั้งหน่วยงานอยู่ที่อดีตบ้านท่านจอมพลสฤษดิ์ฯ-หลังสุดท้ายที่ท่านอสัญกรรม...หุหุหุ...จอใมพลฯนายกฯที่กำลังจะประกาศกฎหมายควบคุมการใช้ที่ดิน-เพื่อไม่ให้ที่ดินตกไปอยู่ในมือทุนนิยมสามานย์อภิสิทธิ์ชน...ผมเคยได้คุยกับพระภิกษุรูปนึง-ที่ท่านเล่าว่าเคยเป็นทหารเรือ-ทำงานเป็นเลขาฯบริษัทค้าข้าวสง่งออกของท่านจอมพ,ฯ-เพราะรู้ว่าผมกำลังทำงานอยู่ที่บ้านท่าน-ประดิพัทธ์ ตะพานควาาาาายยยยยย...
6) เอาไม่เกิน 10 ข้อนะ - ที่เล่ามาคือ...ผมคุ้นเคยกับเอกสารเกี่ยวกับความคิดของท่านปรีดีฯและเหตุการณ์ภายหลังก่อการล้มล้างการปกครอง 2475 มาตั้งแต่เด็ก...ได้อ่านทั้งแนวความคิดของท่านแรีดี-ที่ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ-เพื่อกอบกู้/สร้างความมั่นคงและ-ปฏิรูปที่ดินเกษตรกรรม-นำระบอบสหกรณ์มาใช้เป็นวิธีหลักของประเทศ...มาตั้งแต่เรียนชั้นประถม...
...หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19...ชมรมค่ายอาสาสมัคร-ใต้ถุนตึก-ที่คณะถาปัด จุฬา...ต้องเอาหนังสือเกี่ยวกับ-สังคมนอิยม/จีน ทั้งหลายออกมาเผาทิ้ง...เพื่อนผมที่ทำงานชมรม-บอกให้ผมว่า--มรึงอยากได้หนังสืออะไรที่ชอบ-รีบเอาไปเลย...ผมหยิบมาแค่-ประวัติเหมา เจ๋อตุง กับแนวความคิดจีนยุคใหม่-ที่แปลจากแหม่มสวีเดนเขียน...อันอื่นๆผมเหก็นว่า-น้ำท่วมทุ่ง-สู้ที่บ้านผมไม่ได้หรอก...ตอนนั้นพ่อเช่าบ้านให้ผมอยู่เรียน/กับพี่ชายที่กำลังเรียนนิติศาสตร์ จุฬา...
...พอทำงาน-และรัฐบาลเริ่มเปิดประเทศคบจีน-โดยท่าน มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช...อดีต ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ-สมัยหลัง 14 ตุลา 16-ร่วมกับนายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์...ได้จัดทำ พรบ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ขึ้น-ประกาศใฝช้ใน ปี 2518....จะบอกว่า-ผมก็มีกำลังซื้อหนังสือมากขึ้น...เกี่ยวกับประเทศจีน...แลบะท่านปรีดี พนมยงค์มาได้เอาก็สิบกว่าปี-ก่อนเกษียณนี่แหละ...
...เล่ามาทั้งหมดนี้...ก็เพื่อบอกว่า...หนังสือเกี่ยวการบรรยาย/แนวทาง-สังคมนิยม...ตั้งแต่ท่านพุทธทาสภิกขุ/เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ-ของท่านประเวศ วพะสีและคณะ/จีน/ปรีดี พนมยงค์...ผมก็ได้สะสมไว้มากมาอยู่...ดังที่ชอบสแกนปกมายืนยัน...
...ไม่ต้องพูดถึงนะครับว่า-หนังสือเรื่อวงราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาและสถาบันกษัตริย์อีกท่วมหัว...แถมยังมีแนวคิดตะวันตกอีกสารพัด...ใครรู้จักหนังสือLife มั่ง...น่าเสียดายที่ได้อ่านสมัยโน้นๆ-สงครามเวียตนาม...เผอิญพ่อย้ายไปเป็นสหกรณ์จังหวัดที่นราธิวาส-ผมไม่ได้ตามไป...หายจ้อยเหมิ่ดเลย...ผมมาซื้อตแอนทำงานี้ได้ฉบับนึง...รวมเล่นพิเศษ -ฉบับ JFK...หุหุหุ...ว่าจะแปลมาแบ่งให้อ่านก็-งั้นๆอ่ะนะ...อเมริกา-มีแต่วาทกรรมหลอกควาาายยยยย....
...เอาละ...ยืดยาวมาขนาดนี้-เพื่อบอกว่า...ผมศึกษาแนวทางท่านปรีดี พนมยงค์ และสถาบันพุทธศาสนา/สถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ - ไอ้พวกถ่อยสถุลทุนนิยมสามานย์แกนนำ-หลายตัว...ยังไม่เกิด...(มีต่อ )

ปรีดี พนมยงค์ - สถาบันพระมหากษัตริย์ กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์

 

สถาบันพระมหากษัตริย์

กับรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์

 

-    จากคำกล่าวเปิดงานปรีดี พนมยงค์ หน้าตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๐ โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี

 

ท่านนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านอธิการบดี ท่านที่เคารพทุกๆท่าน ในการกล่าวเรื่อง คุณูปการของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ที่มีต่อสังคมไทย ความเริ่มต้นด้วยสัจธรรม สัจธรรมประการหนึ่งคือ ความเป็นจริงที่ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจังนั้นคือ ทุกสิ่วงทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ถ้ามีระบบใดระบบหนึ่งที่ปรับตัวไม่ได้ ระบบนั้นย่อมเกิดวิกฤตและเสื่อมสลายไป นี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับระบบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นระบบชีวิตตั้งแต่จุลินทรีย์ไปจนถึงไดโนเสาร์ องค์กร สถาบัน บริษัท ตลอดไปจนถึงอารยธรรมต่างๆ เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย กรีก และโรมัน เป็นต้น อารยธรรมเหล่านี้ล้วนเสื่อมสลายไปเพราะปรับตัวไม่ได้ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลง ต้นเค้าของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกในปัจจุบันเกิดขึ้นเมื่อ ๓๐๐ ปีก่อน เริ่มต้นด้วยการปฏิวัติท่างวิทยาศาสตร์ อันนำไปสู่การปฏิวัติทางอุตสาหกรรม ซึ่งนำไปสู่อำนาจ และการแผ่ขยายอำนาจของมหาอำนาจตะวันตกไปทั่วโลก อันก่อให้เกิดกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากไปทั่วโลก กระทบประเทศน้อยใหญ่ทุกประเทศทั่วไป การที่ประเทศต่างๆจะปรับตัวต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโลก เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการที่จะปรับวิธีคิดและปรับโครงสร้าง ไม่ว่าสังคมใดสังคมหนึ่ง เป็นเรื่องที่ยากมาก ประเทศต่างๆจึงประสบกับภัยพิบัตินานัปการเช่น ความขัดแย้ง สงคราม ความผันผวนรุนแรงในสังคม วิกฤตการณ์วัฒนธรรม หรือวิกฤตการณ์ในรากเหง้าของตนเอง

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ และโดยเฉพาะรัชกาลที่ ๕ ทรงพยายามปรับประเทศไทยให้มีความเป็นสมัยใหม่ กระแสความเปลี่ยนแปลงของความเป็นสมัยใหม่ของประเทศและของโลกก่อให้เกิดความเครียดเชิงโครงสร้างในสังคมไทย เพราะโครงสร้างทางสังคมปรับตัวไม่ได้ง่ายๆ ความเครียดเชิงโครงสร้างนำไปสู่ความรุนแรงได้ ดังที่มีความพยายามที่จะก่อการปฏิวัติรัฐประหารที่เรียกว่า กบฏในรัชกาลที่ ๖

ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เรียกว่า The Great depression of ๑๙๓๐ เป็นกระแสใหญ่อีกกระแสหนึ่งที่เพิ่มความเครียดให้สังคมไทย ความเครียดเพราะกระแสความเปลี่ยนแปลงจะผลิตปัญหารุนแรงต่างๆ เข้าใส่รัฐบาลที่รวมศูนย์อำนาจ ถ้าโครงสร้างอำนาจยังรวมศูนย์ ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือทหาร หรือพลเรือน ดังที่เราเห็นอุบัติเหตุเภทภัยที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลต่างๆ เรื่อยมา การเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยสันติวิธีเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ย้ายบทบาทจากจุดศูนย์รวมทางการเมืองอันเป็นจุดที่ล่อแหลม กลายเป็นจุดศูนย์รวมทางจิตวิญญาณ ซึ่งพ้นอันตรายจากความเครียดและเป็นเป้าทางการเมือง ทำให้เกิดความมั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์สืบมา

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์มีความปลอดภัยและมั่นคงยิ่งขึ้น ถ้าศึกษาความคิด บทบาท และพฤติกรรมของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมันสมองของคณะราษฎร ทั้งในระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหลังจากนั้น จะเห็นว่าอาจารย์ปรีดี คือผู้ที่พยายามพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ นี่จะเป็นการตรงกันข้ามกับความพยายามสร้างภาพให้สังคมไทยเข้าใจไปว่าอาจารย์ปรีดีเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่านผู้มีเกียรติครับ ประสบการณ์ตรงอาจจะหลอกเราได้ เช่น ประสบการณ์โดยตรงกับพื้นผิวโลกจะทำให้เราคิดว่าโลกแบน เพราะเราเห็นอบู่ทุกวี่ทุกวัน เราจะสรุปว่ามันแบน แต่การประมวลความรู้โดยอาศัยหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าโลกกลม จากประสบการณ์ตรงจะคิดว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก เพราะเราเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกทุกเช้า และตกทางทิศตะวันตกอยู่ทุกเย็น มนุษย์จะเชื่อเช่นนั้นว่าดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก แต่การประมวลความรู้โดยหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ฉะนั้นประสบการณ์ตจรงอาจทำให้เราเข้าใจผิดได้ แต่การประมวลความรู้โดยหลักฐานต่างๆ ทำให้เรารู้ความจริง

         เรื่องท่านอาจารย์ปรีดี เช่นกัน ได้มีผู้จงใจสร้างภาพว่าท่านเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่การประมวลความรู้โดยหลักฐานต่างๆ จะพบความจริง ซึ่งตรงกันข้ามคือ ท่านเป็นผู้ที่พยายามจะพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงที่ท่านมีอำนาจทางการเมือง (เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น “ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” – ผู้พิมพ์) และในช่วงที่ท่านไม่มีอำนาจแล้ว จนถึงวาระสุดท้ายในชีวิตของท่าน ถ้าวิญญูชนใช้การประมวลความรู้โดยหลักฐานจะพบความจริงตามนี้ ความจริงที่ตรงกันข้ามกับการเล่าลือประดุจเรื่องดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก หรือโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์

         ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ความจริงเป็นเรื่องสำคัญ ความจริง ความรัก ความสมานฉันท์ เป็นเรื่แองที่ไปด้วยกันได้ ความไม่จริงก่อให้เกิดความเกลียดชังความเป็นปฏิปักษ์ และความแตกร้าว ประเทศไทยมีความแตกแยกกันมาก เป็นสังคมทอนกำลัง จนไม่มีกำลังที่จะเผชิญวิกฤตการณ์ต่างๆ มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความรู้ ความรักและความสามัคคี ตามพระบรมราโชวาทขแองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

         ถ้าคิดว่าท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว เราจะมองไม่เห็นความดีของท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีเป็นอเนกประการ ถ้ารู้ความจริงว่าท่านอาจารย์ปรีดีเป็นผู้ที่พยายามพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ จะเห็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อสังคมไทยของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์

         อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองแห่งนี้ โดยมุ่งที่จะสร้างคนที่มีการศึกษาจำนวนมากขึ้นมามีส่วนร่วมทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย อาจารย์ปรีดีวางระบบการคลังของประเทศเมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาจารย์ปรีดีพยายามวางความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศ เมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ดำเนินการแก้ไขสนธิสัญญาสิทธินอกอาณาเขตที่ไทยเสียเปรียบต่างประเทศและเสียศักดิ์ศรี หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ถึง ๑๐ ปี เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นบุกไทย ยกทัพเข้ามาประเทศไทย และบังคับให้ประเทศไทยประกาศสงครามกับสัมพันธมิตร อาจารย์ปรีดีในขณะดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อต่อต้านญึ่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม พันธมิตรถือว่าประเทศไทยแพ้สงครามด้วย อาจารย์ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และหัวหน้ากระบวนการเสรีไทย ได้ชิงประกาศสันติภาพเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ โดยถือว่าการประกาศสงครามเป็นโมฆะประเทศไทยไม่มีในกรณีสงครามกับสัมพันธมิตร และดำเนินการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรให้รับรองอิสรภาพของประเทศไทย

         การประกาศสันติภาพของอาจารย์ปรีดี เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เท่ากับเป็นการกอบกู้อิสรภาพของประเทศไทย จากการตกเป็นเมืองขึ้นของสัมพันธมิตร จากคุณูปการในการรักษาบ้านเมืองไว้เมื่อพระมหากษัตริย์ยังทรงพระเยาว์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้ทรงตอบแทนคุณงามความดีของท่านอาจารย์ปรีดี ด้วยการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ดำรงตำแหน่งรัฐบุรุษอาวุโส เป็นคนแรกและคนเดียวของประเทศไทย

         ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเป็นตัวอย่างของสามัญชนคนไทยที่มีความรักชาติบ้านเมืองอย่างแรงกล้า พยายามเรียนรู้จนเกิดปัญญา ใช้ปัญญาทำงานเพื่อประเทศชาติ ดำรงตนอยู่ในความสุจริต ถูกต้อง มีความกล้าหาญ เป็นกำลังสำคัญในการก่อให้เกิดประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ เชิดชู และความพยามพัฒนาระบอบประชาธิปไตยย ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หัวหน้ากระบวนการเสรีไทย นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาบ้านเมืองไว้ในยามคับขัน ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น นับว่าอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นคนดีศรีสยามโดยแท้

         การที่มีคนไทยคนหนึ่งเป็นคนดีถึงขนาดนี้ เป็นเรื่องหาได้ยาก ควรที่สังคมไทยโดยเฉพาะอนุชนรุ่นหลังจะได้รู้ความจริง มีความภูมิใจในความดีของเพื่อนร่วมชาติที่ทรงคุณงามความดีอันสูงยิ่งนี้ และเกิดความบันดาลใจที่จะทำความดีเพื่อชาติบ้านเมือง

         ท่านรัฐบุรุษอาวุโสเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ หรือตรงกับ ค.ศ. ๑๙๐๐ ปี ค.ศ. ๒๐๐๐ หรือปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ปีข้างหน้านี้ ท่านจะมีชาตกาลครบ ๑ รอบศตวรรษ ในโอกาสเช่นนี้ ประเทศไทยควรจะกระทำอะไรที่เป็นสัญลักษณ์เพื่อให้สังคมไทยระลึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์รัฐบุรุษอาวุโสมีต่อสังคมไทย เพื่อก่อให้เกิดกำลังในชาติบ้านเมืองในการที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า รัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพจัดงานโดยจะเรียกว่า “งานฉลอง ๑ ศตวรรษ ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของไทย” หรือ “๑  ศตวรรษ ปรีดี คนดีศรีสยาม” หรือชื่ออื่นในทำนองนี้ก็ตาม ประกอบกับการสร้างสื่อในรูปต่างๆ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รู้จักคนไทยได้รู้จักคนไทยที่ประกอบคุณงามความดีแก่แผ่นดินเกิด นอกจากนั้นรัฐบาลควรจะดำเนินการเสนอให้ UNESCO ประกาศให้อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสของไทยเป็นบุคคลสำคัญของโลก เพื่อโลกจะได้รับรู้การมีบุคคลสำคัญระดับโลกของประเทศไทย

         ท่านผู้มีเกียรติครับ ถ้ารัฐบาลได้ทำตามนี้จะเกิดความเป็นมงคล มงคลกับรัฐบาลเอง และมงคลกับสังคมไทย คนไทยนั้นถือเรื่องมงคล มงคลเกิดจากความจริง ความงาม ความถูกต้อง การมีความกตัญญูกตเวทีต่อคนที่มีบุญคุณ สังคมที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อคนที่ควรกตัญญูกตเวที ย่อมเป็นสังคมที่มีความมงคลอยู่ในตัว ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ นี้ หรือ ค.ศ. ๒๐๐๐ จะเป็นปีแห่งชาตกาลครบรอบศตวรรษของคนไทยผู้ทรงคุณวิเศษอีกท่านหนึ่ง คือ สมเด็จพระศรีนครอินทราบรมราชชนนี การประกาศเกียรติคุณของคนไทยผู้ทรงคุณงามความดีสูงสุดมากกว่า ๑ คน ไม่ใช่ข้อเสียหายอะไร ตรงข้าม กลับจะเป็นไปในทางที่เป็นคุณยิ่งขึ้น เรายิ่งมีคนไทยที่ทรงคุณงามความดีสูงจำนวนมากคนเท่าใดที่จะให้โลกได้รับรู้ ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น

         ท่านผู้มีเกียรติครับ สังคมไทยควรจะล่วงพ้นการคิดอย่างขาดวุฒิภาวะหรือคิดอย่างเด็กๆว่า ถ้ารักคนนี้ต้องไม่รักคนโน การคิดแบบแยกข้าง แยกพวก ได้ทำลายสังคมไทยมามากเกินไปแล้ว ควรจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดมาเป็นการคิดแบบเชื่อมโยงเป็นบูรณาการ

         ท่านที่เคารพ สังคมไทยทอนกำลังกันเองมามาก จนสังคมอ่อนแอ ถึงเวลาที่เราจะสร้างความรักความสมานฉันท์ คว่ามเป็นมงคลให้เกิดขึ้นในชาติบ้านเมือง เพื่อสังคมไทยจะได้มีกำลังของแผ่นดินหรือภูมิพละในการดำเนินไปข้างหน้า สามารถเอาชนะอุปสรรคอันยากลำบากดนานานัปการ สามารถสร้างสันติภาพและสันติสุขให้เกิดขึ้นในแผ่นดินของเราให้จงได้ อันเป็นสิ่งปรารถนาสูงสุดของท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ขอขอบพระคุณครับ.

    - จากหนังสือ "เค้าโครงการเศซรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หน้า ๒๕๔ - ๒๕๙...



วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

คุรุเทพ - พระเจ้าและจิตวิญญาณ อธิบายใน 5 นาที

 คุรุเทพ - พระเจ้าและจิตวิญญาณ อธิบายใน 5 นาที

God & Soul explained in 5 minutes! | Gurudev

         https://youtu.be/OLh98z9MBjY?si=NHKI0FViAU_DiGVU


(รุดราม) บอกว่า “      โอม นะโม ภะคะวาติ รุฑรายะ(Om Namo Bhagavate Rudraya” คำว่า “ภควัน(Bhagavan1) ชี้ถึง 6 คุณสมบัติ. ทำไมคุณถึงเรียกบางคนว่า “ภควัน(indicates 6 attributes why you call someone “Bhagavan”)? หรือว่าจิตสำนึกนี้หลักใหญ่เป็นภควัน(or this consciousness the principle as Bhagavan)?

         1http://legacy.orst.go.th/?knowledges=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B9%92%E0%B9%98-%E0%B8%81%E0%B8%B8

         1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2

         เพราะว่ามันมีความเป็นเจ้าเหนือทุกสิ่ง(because it has lordship over everything).

         ไอยสวาริสยะ สัมฆราสยะ(ऐश्वर्य समग्रस्य Aishwarysya Samgrasya). ปัจเจกชนหนึ่งมีความเป็นเจ้าในบางที่เท่านั้น(an individual has lordship in some places only), แต่จิตสำนึกจักรวาลนั้นมีความเป็นเจ้าเหนือทุกสิ่งในจักรวาลนี้(but the universe consciousness has lordship over everything in the universe).

         ใครคนหนึ่งสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้นได้(one can be the prime minister of that country), แต่เมื่อคุณไปอีกประเทศหนึ่งเขาไม่ได้มีความเป็นเจ้าเหนือที่นั่น(but you go to another country he has no lordship over there). ประธานาธิบดีคนหนึ่งของประเทศนั้นมีอำนาจทุกอย่างในประเทศนั้นเพียงผู้เดียว(a president of a country has all the power in that country alone).

         ศิลปินรายหนึ่งผู้ที่เก่งสามารถในสาขาของเขาหรือเธอได้เป็นนายของศิลปะนั้นเช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์(an artist who has excelled in his or her field has mastered art same with science). บุคลที่แตกต่างกันทั้งหลายสามารถเป็นนายได้ แต่มีผู้หนึ่งใดหรือไม่ที่ได้เป็นนายของทุกสิ่งหนึ่งเดียวที่เขาทำ(different subjects can be mastered but is there who has mastered in he did one in everything)?


         ใช่, นั่นคือ รุฑร(yes, that is Rudra2). นั่นคือภควัต(Bhagavat). นั่นคือภควันผู้ได้มีความเป็นเจ้า/มีอำนาจอย่างแท้จริงเหนือทุกสิ่งที่ได้ดำรงอยู่(Bhagavan who has mastery over virtually everything that exists).

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3

         ไอยสวาริสยะ สัมฆราสยะ(ऐश्वर्य समग्रस्य Aishwarysya Samgrasya).

                  ผู้ซึ่งมีความเป็นเจ้า/อำนาจเหนือทุกสิ่ง(one who has lordship over everything).

 


         วีรยสยะ(वीर्यस्यVeeryasya).          ผู้ซึ่งมีอำนาจอันศักยภาพมหาศาล(one who has power enormous potential).





         และเขามีทุกรูปทรงของความมั่งคั่ง(he has all forms of wealth). กับความมั่งคั่งนั้น(against wealth we give a very narrow meaning to wealth, but wealth indicates everything). มันไม่ใช่แค่ความมั่งคั่งทางปัญญา(it’s not just intellectual wealth). ไม่ใช่ทางอารมณ์รู้สึก, มันเป็นวัตถุ, จิตวิญญาณ(it is not emotional, it is material. spiritual). รู้มั้ย, ทุกรูปแบบทั้งหมดของความมั่งคั่งที่ถูกฝังตรึงอยู่ในจิตสำนึกนั้น(all different types of wealth is embedded in that consciousness).

         ศรียาสยะ(श्रेयस्य Shreyasya)ได้รู้จักกันว่าในทุกที่เขารู้ในทุกสรรพสิ่ง(is known everywhere he knows everything).


         ญาณ ไวราจยะ(ज्ञान वैराग्य Gyan Vairagya3- การกระจายความรู้).

         3 https://en.wikipedia.org/wiki/Vairagya



         ความรู้และความไม่มีอคติ(knowledge and dispassion).



เจ้าแห่งจักรวาลนี้มีความรักอันไม่สิ้นสุดในเวลาเดียวกันกับความไม่มีอคติลำเอียงด้วยเช่นกัน(the lord of this universe has infinite love at the same time infinite dispassion too).

ความรักและความไม่มีอคติอยู่ที่นั้นด้วยกันกับปัญญาความรู้(love and dispassion being together).

ความรู้และความไม่มีอคติอยู่ด้วยกันในที่นั้นเป็นอะไรบางอย่างที่คุณสามารถพบได้จริง (knowledge wisdom and dispassion being there together is something you can really find)

และญาณ ไวราจยะ(ज्ञान वैराग्य Gyan Vairagya).

เมื่อผู้นั้นได้มีมีคุณลักษณะ 6 อย่างเหล่านี้ คุณเรียกพวกเขาได้ว่า ภควัน(when one has these 6 attributes you call them Bhagavan).

เมื่อไม่มีอคติ(dispassion), มีปัญญา(wisdom), มีเกียรติคุณ(fame) หมายความว่า พวกเขาได้ถูกรู้และได้ถูกชอบและได้ถูกรัก โดยทุกคน, ทุกๆคน(they are known and liked and loved by everybody, everyone).

ศรียะ(श्रेया Shreya). ทุกรูปแบบของความมั่งคั่งและแล้วความเป็นเจ้า(all type of wealth and then lordship).



อะไรที่ทำให้แตกต่างกันในจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล จากพระเจ้าที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด?

         จิตสำนึกนั้นที่ได้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหมด(the consciousness which is all pervading), ที่ซึ่งเหมือนการทำงานคลื่น, เหมือนคลื่นวิทยุทั้งหลายที่อยู่ในทุกๆที่ แต่มันมีคุณลักษณะทั้งหลายที่แน่ชัดต่อมัน(which is like the wave function like the radio waves which is everywhere but it has certain attributes to it).  แล้วมันก็กลายเป็นจิตวิญญาณหนึ่ง(then it becomes a soul).

พวกมันคืออะไรหรือ?(what are they?)

         อิชชา(इच्छा Ichchha -ความต้องการ). มีความอยาก(there is a desire).

         เวฑทะ(द्वेष Dwesh – ความเสียใจ). ความไม่ชอบทั้งหลาย, ความเกลียดชังรังเกียจทั้งหลาย(dislike aversions).

         สุขะ(सुख Sukh – ความความสบายกายสบายใจ). ความสุข(happiness). ทุกจิตวิญญาณประสบรับรู้ความสุข(every soul experiences happiness).

         ทุกขะ(दुक्खा Dukha - ความไม่สบายกายไม่สบายใจ). ความไม่เป็นสุข(unhappiness).

         สังขต(संघाता Sanghata – สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่ง4). ประชุม(meeting), การร่วมกัน(uniting), การผสานกัน(merging).

         4 https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%D1%A7%A2%B5%D0

         เจตนะ(चेतना Chetana). มันคือการมีสติ(it is conscious).

         และธฤติ(धृति Dhrti – การทรงไว้, กระทำด้วยความมุ่งมั่น5). ธฤติไม่สามารถถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษได้(Dhrti cannot be translated into English). ธฤติคือแรงกำลังนั้นที่ยืนหยัดค้ำ

         5 https://hmong.in.th/wiki/Dhrti

จุนจิตสำนึกเอาไว้(Dhrti is that force which upholds the consciousness).

         ดังนั้นรูปลักษณ์ทั้ง 7 เหล่านี้รวมเข้าด้วยกันให้ชื่อว่า จิตวิญญาณ หรือ พลังชีวิต(so these 7 aspects together give the name Soul or life force), และมันก็เป็นเช่นเดียวกันสำหรับไม่ว่าจะเป็นช้างหรือว่ามดตัวหนึ่ง(and it is the same whether for an elephant or for and ant).

         ในที่นี้การวัดระยะขนาดทั้งหลายนั้นล้มเหลว(here measurements fail). คุณไม่สามารถพูดได้ช้างมีจิตวิญญาณใหญ่กว่ามด และมดมีจิตวิญญาณเล็กกว่า(you can’t say the elephant has a bigger soul than an ant and an ant smaller soul). ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือการแสดงตัวมันเองมากอีกเล็กน้อยในขณะที่มันย้ายจากมดไปเป็นของช้างไปเป็นของมนุษย์, การแสดงปรากฏของมันได้ผลิบานเพิ่มขึ้น(the only difference is it is expressing itself a little more in as it moves from an ant to an elephant to a human being, its expression has blossomed).

         พูดสมมติได้ว่า, ถ้ามันยังอยู่ในรูปดอกตูม, มันก็ผลิบานเล็กๆเมื่ออยู่ช้าง และมันกลายมาเป็นบานเต็มที่ในมนุษย์(say suppose, if it is a bud shape in an ant, it’s a little blossomed in an elephant and it becomes fully blossomed in human being).

         คุณสามารถพูดได้อีกเช่นเดียวกันว่ เหมือนข้าวต้นกล้าและแล้วก็เป็นข้าวออกรวงเขียว แล้วก็มาเป็นข้าวออกรวงสุก(you can also say like paddy and then rice and then puffed rice). แต่มันก็เป็นความหมายเรื่องเดียวกัน(but it’s the same stuff).

         https://youtu.be/OLh98z9MBjY?si=NvCQU1aKFxBnFFNg