หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2567

จ. กฤษณะมูรติ - ทำไมคุณต้องคิดอะไรด้วย?

 จ. กฤษณะมูรติ - ทำไมคุณต้องคิดอะไรด้วย?

Why do you think at all? | J. Krishnamurti

          https://youtu.be/gd4B6MZKVhw?si=CG4TyD181CxXneHw


          ทำไมคุณต้องคิดอะไรด้วย?

          มีหนทางแตกต่างอื่นไหมที่จะกระทำอะไร? (Is there a different way to action?)

          มีกิริยาลักษณะอื่นที่แตกต่างไปของการเข้าถึงชีวิต, เข้าถึงการดำรงชีวิตประจำวัน, ที่ไม่ได้ต้องการการคิดอะไรเลย, บ้างรึ? โอ้, คุณไม่รู้ทั้งหมดนี้. (Is there a different manner of approach to life, to daily living, that doesn’t require thinking at all? Oh, you don’t know all this.)

          ด้งนั้นอย่าวแรกเราต้องมองอย่างใกล้ชิด, ด้วยกัน – ไม่ใช่ฉันกำลังอธิบายแล้วคุณยอมรับ, นั่นจะเป็นที่โง่มาก - แต่ด้วยกันร่วมค้นหาเพื่อตัวเราเอง และแล้วก็กระทำ, ไม่มาพูดกันว่า, “ใช่, น่าจะถูกต้อง.” แต่กระทำ.(So first we have to look very closely, together – not I am explaining and you accept, that would be silly – but together find out for ourselves and then act, not say, ‘Yes, quite right.’ But act.)

          เรากำลังจะเข้าไปที่นั้น. (We are going to go into that.)

          อะไรคือการคิด. (What is thinking?)

คุณไม่ได้คิดรึ? มิเช่นนั้นแล้ว, คุณคงไม่มาอยู่ที่นี่. คุณได้ทำจัดเตรียมการทั้งหลายที่จะมาที่นี่ในเวลาที่แน่ชัด และคุณก็ยังได้ทำจัดเตรียมการที่จะกลับไว้ด้วยเช่นกัน. นั่นคือการคิด. (Don’t you think? Otherwise, you would not be here. You made arrangements to come here at a certain time and you have also made arrangements to go back. That is thinking.)

          การคิดอย่างปรัชญา - ปรัชญา หมายถึง ความรักในความสัจจริง, คสวามรักในชีวิต, ไม่ใช่การผ่านบางการสอบในมหาวิทยาลัย. ดังนั้นเราจงมาค้นหาด้วยกัน, อะไรคือการคิด? (Thinking philosophically – philosophy means the love of truth, the love of life, not passing some exam in a university. So let us find out together, what is thinking.)

          ถ้าคุณไม่มีความทรงจำของเมื่อวานนี้ หรืออะไรที่จัเกิดพรุ่งนี้ - ไม่มีความทรงจำใดเลย, ของชนิดอะไรเลย, คุณจะคิดไหม? คุณเข้าใจไหม? โอ้, ไม่เอาน่า, ท่านขอรับ – คุณจะคิดไหม, และทำการตามนั้น, ถ้าคุณไม่มีความทรงจำ? (If you had no memory of yesterday or what will happen tomorrow – no memory at all, of any kind, would you think? You understand? Oh, come on, sirs – would you think, and act thereby, if you had no memory?)

          แน่นอนว่าไม่. คุณกำลังลังเลถึงอะไรอยู่? คุณไม่สามารถคิด ถ้าคุณไม่มีความทรงจำ. ถูกมั้ย? ดังนั้น, อะไรคือความทรงจำ? (Of course not. What are you hesitating about? You can’t think if you have no memory. Right? So, what is memory?)

          ตอนนี้คุณได้งงงัน. อะไรคือความทรงจำ? (Now you are stumped. What is memory?)

          คุรได้ทำอะไรบางอย่างเมื่อวานนี้ และอะไรที่คุณทำได้ลงทะเบียนในสมอง, ที่กลายเป็นความทรงจำ, และด้วยความทรงจำนั้นคุณก็คิดและกระทำ. ถูกมั้ย? (You did something yesterday and what you did is registered in the brain, which becomes a memory, and accord to the memory you think and act. Right?)

          แล้ว, อะไรคือความทรงจำ? มันมาเกี่ยวอะไรด้วย? คุณจำได้ว่ามีใครบางคนเยินยอคุณ, คุณจำได้ว่ามีใครบางคนทำความเจ็บปวดให้คุณ, พูดสิ่งอะไรน่าเกลียดทั้งหลายเกี่ยวกับคุณ, หรือยกยอปอปั้นคุณเพราะว่าคุณได้เขียนหนังสือเล่นหนึ่ง. ดังนั้น, คุณระลึกถึงมัน - ความทรงจำ. (So, what is memory? How does it come about? You remember somebody flattering you, you remember somebody hurting you, say ugly things about you, or flattering you because you have written a book. So, you remember – memory.)

          นั่นคือ, ความทรงจำเป็นผลที่ออกมาจากความรู้. ถูกมั้ย? ใช่มั้ย? โอ้, พระเจ้า! นั่นเอง, คุณดูหมิ่นฉัน; มันได้ถูกลงทะเบียนเอาไว้ที่ในสมอง เป็นเช่นความทรงจำ. การดูหมิ่นหรือเยินยอนั่น, อะไรก็ตามที่มันเป็น, ได้ถูฏลงทะเบียนที่ได้กลายมาเป็นความทรงจำ. (That is, memory is the outcome of knowledge. Right? Right? Oh, Lord! That is, you insulted me; it is registered on the brain as a memory. That insult or flattery, whatever it is, is registered which becomes the memory.)

 นั่นคือ, ความรู้ขอเหตุการณ์นั่นกลายเป็นความทรงจำ(จำได้หมายรู้ - ผู้ถอดความ), ฉันมีอุบัติเหตุในรถยนต์คันหนึ่ง, อุบัติเหตุนั้นได้ลงทะเบียนในสมอง, ในเซลล์สมอง, และแล้วมันก็บอกว่า, “ใช่, นั่นคือความทรงจำ ที่ฉันได้มีอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง, ฉันต้องขับรถอย่างระมัดระวัง.” ถูกมั้ย? (That is, the knowledge of that incident becomes memory. I have an accident in a car, that accident is registered in the brain, in the brain cells, and then it says, ‘Yes, that is memory I’ve had an accident, I must drive carefully.’ Right?)

ดังนั้น, ออกมาจากความรู้ก็คือความทรงจำ, ถูกมั้ย? ชัดมั้ย? จากความทรงจำก็คือ, ความคิด. (So, out of knowledge come memory. Right? Clear? From memory, thought.)

ทีนี้, อะไรคือความรู้? (Now, what is knowledge?)

นี้คือค่อนข้างยุ่งยาก. เราทั้งหมดสะสมรวบรวมความรู้, นักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย, ศาสตราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย, นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย, ต้องได้มีความรู้มหาศาล. คุณเข้าใจมั้ย? อะไรคือความรู้? มันเข้ามาเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยเรื่องมีความรู้ด้วย?  (This is rather difficult. We all accumulate knowledge, the great scholars, great professors, scientists, acquire tremendous knowledge. Do you understand? What is knowledge? How does it come about you have knowledge?)

คุณไม่ได้มีความคิดเกี่ยวกับทั้งหมดนี้, ได้มองยังทั้งหมดนี้รึ? ความรู้มาเมื่อมีประสบการณ์. ถูกมั้ย? คุณมีอุบัติเหตุในรถยนต์นั้น, นั่นกลายมาเป็น...อุบัติเหตุนั้น, นั่นคือประสบการณ์. ถูกมั้ย? (Haven’t you thought about all this, looked at all this? Knowledge comes when there is experience. Right? You have an accident in the car, that becomes…the accident, that’s an experience. Right?)

จากประสบการณ์นั่น คุณก็มีความรู้ และจากความรู้นั่นคุณมีความทรงจำ; จากความทรงจำ, คุณมีความคิด. ถูกมั้ย? ระวังไว้. อย่าเพิ่งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย. ฉันกำลังดึงพรมที่อยู่ใต้เท้าของคุณ. (From that experience you have knowledge and from that knowledge you have memory; from memory, you have thought. Right? Be careful. Don’t agree yet or disagree. I am pulling the rug under your feet.)

ดังนั้น, อะไรคือประสบการณ์, ที่คือเหตุการณ์นั่น - ถูกมั้ย? - อุบัติเหตุในรถยนต์, ที่ได้ถูกลงทะเบียนในสมองเป็นเช่นความรู้? ถูกมั้ย? และอื่นๆต่อไปอีก - ประสบการณ์ - ความรู้ความทรงจำ - ความคิด. ชัดมั้ย? (So, what is experience, which is that incident – right? – accident in a car, which is registered in the brain as knowledge? Right? And so on – knowledge…experience – knowledge – memory – thought. Clear?)

นี่เป็นตรรกะ. ไม่ใช่หนทางของฉันในการมองที่มัน หรือหนทางของคุณในการมองที่มัน. ดังนั้น, ประสบการณ์ทั้งหมดไม่ว่ามันจะเป็นประสบการณ์ขอิงพระเจ้า หรือประสบการณ์ของคุณ, ได้ถูฏจำกัด. ใช่มั้ย? ถูกมั้ย? คุณจะเห็นด้วย, คุณมองเห็นนั่นมั้ย? ประสบการณ์ทั้งหมด. เพราะ, คุณมองที่มัน, นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายกำลังเติมเพิ่มลงไปทุกวันมากยิ่งมากยิ่งมากยิ่งขึ้นอีก. ถูกมั้ย? (This is logical. Not my way of looking at it or your way of looking at it. So, all experience whether it is God’s experience or your experience, is limited. Yes? Right? Would you agree, would you see that? All experience. Because, you look at it, the scientists are adding everyday more and more and more. Right?)

นั่นที่ได้ถูกเพิ่มเติมลงไป, ได้ถูฏจำกัด. ถูกมั้ย? อย่าเห็นด้วยง มองที่มัน, มองที่มัน. “ฉันรู้เล็กน้อย, ฉันต้องรู้มากยิ่งขึ้น,” คุณกำลังเติมลงไปอีก. ถูกมั้ย? นั่นที่คุณเติมลงไป, ต้องถูกจำกัดด้วย. โอ้, พระเจ้า! ถูกมั้ย? (That which is added to, is always limited. Right? Don’t agree. Look at it, look at it. ‘I know little, and I must know more,’ you are adding. Right? That which you add to, must be limited. Oh, Lord! Right?)

Q:       ใช่แล้ว. (Right.)

K:       ดังนั้น, ประสบการณ์มักจะถูฏจำกัดเสมอ. คุณประสบรับรู้ถึงพระเจ้า - ฉันไม่รู้ว่านั่นหมายถึงอะไรนะ, แต่มันไม่สำคัญอะไร – คุณประสบรับรู้ถึงบางอย่างที่มักจะถูกจำกัดเสมอ, ที่ซึ่งมีอะไรบางอย่างมากยิ่งขึ้นที่จะถูกเติมลงไป. (So, experience is always limited. You experienced of God – I don’t know what that means, but it doesn’t matter – you experience of something is always limited, where there’s something more to be added.)

          ดังนั้น, ประสบการณ์ได้ถูฏจำกัด, ความรู้ได้ถูกจำกัด - ตลอดกาล, ไม่ใช่แค่ความรู้ในอนาคต, มันได้ถูกจำกัดเสมอ. เช่นนั้นเอง, ความทรงจำจึงได้ถูฏจำกัด และดังนั้นความคิดก็ได้ถูกจำกัด. ถูกมั้ย? ความคิดได้ถูกจำกัด.(So, experienced is limited, knowledge is limited – forever, not just future knowledge, it is always limited. Therefore, memory is limited and so thought is limited. Right? Thought is limited.)

และที่ใดมีการถูกจำกัด, ก็มีการแบ่งแยก. ถูกมั้ย? เป็น ซิกห์, เป็นฮินดู, เป็นพุทธ, เป็นมุสลิม, เป็นคริสเตียน, พรรคเดโมแครต, พรรครีพับลิกัน, คอมมิวนิสต์. คุณเข้าใจมั้ย? พวกนั้นทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิด. (And where there is limitation, there is division. Right? As the Sikh, the Hindu, the Buddhist, the Muslim, the Christian, the Democrat Party, Republican Party, Communist. You understand? They are all based on thought.)

เช่นนั้นเอง, รัฐบาลทั้งหลายทั้งหมดได้ถูกจจำกัด. กิจกรรมทั้งหมดของคุณได้ถูกจำกัด, ไม่ว่าคุณคิดอย่างนามธรรม หรือว่าพยายามที่จะเป็นสูงศักดิ์ประเสริฐเลิศคุณธรรมยิ่ง, มันก็ยังคงเป็นการคิด. ถูกมั้ย? ดังนั้น, จากสิ่งนั่นเองที่ได้จำกัดคุณภาพของการคิด - และการคิด ก็มักจะถูกจำกัดอยู่เสมอ, การกระทำของเราก็ได้ ถูกจำกัด.(Therefore, all the governments are limited. All your activity is limited, whether you think most abstractly or try to be very noble, it is still thinking. Right? So, from that limited quality of thinking – and thinking is always limited, our actions are limited.)

ถูกมั้ย? (Right?)

https://youtu.be/gd4B6MZKVhw?si=2ga7uofrVdlHc7wn

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ฑะไล ลามะ – แนวคิดเรื่อง ความว่าง ในพุทธศาสนา

ฑะไล ลามะแนวคิดเรื่อง ความว่าง ในพุทธศาสนา

Concept of Emptiness in Buddhism

          https://youtu.be/OpgjSn7YGcQ?si=DORynzvRQn07m61z


ผู้ถาม:  ดิฉันได้ใคร่ครวญในแนวความคิดของความว่าง. และดิฉันได้หวังว่าท่านสามารถแบ่งปันญาณทัศน์บางสิ่งให้ได้. เพื่อที่เราจะสามารถเชื่อมสัมพันธ์ความว่างในบริบทสมัยใหม่ได้. (I have been contemplating the concept of emptiness. And I was hoping you can share some insight. To how we can relate emptiness in the modern context.)

องค์ฑะไล ลามะ:    นั่นเป็นหลักสำคัญตราบเท่าที่พุทธศาสนาได้ถูกเกี่ยวข้องด้วยเลยนะ. และโดยเฉพาะตามจารีตธรรมเนียมทั้งหลายของมหาวิทยาลัยนาลันทา. (That’s the key thing as far as Buddhism is concerned. And particularly Nalanda traditions.)

          ในจารีตธรรมเนียมทั้งหลายของมหาวิทยาลัยนาลันทา, หลง ชู ปุ สะ/ นาคารชุน. ท่านได้อธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องความว่าง. ว่าตอนนี้ความว่างไม่ใช่ความไม่มีอะไร. แต่มันเหมือนฟิสิกส์ควอนตัม, เห็นไหม. ฟิสิกส์ควอนตัมบอกว่า, ไม่ใช่ความไม่มีอะไร แต่เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่อย่างที่มันปรากฏ. การปรากฏทั้งหลายของมันก็เพราะมีบางอบ่างดำรงอยู่ที่นั้น. แต่ถ้าคุณสืบสวน, ไม่มีอะไรเลย. (In Nalanda traditions, Long shu Pu sa /Nagar Juna1. He thoroughly explained the Lord Buddha’s teaching of Emptiness. So now

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B0

Emptiness is not Nothingness. But it’s like a Quantum physics, you see. Quantum physics says, not Nothingness but things doesn’t exist as it appears. Its appears because something exists there. But if you investigate, Nothing.)

          ดังนั้น, สิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่อย่างที่มันปรากฏ. มีช่องว่างใหญ่ระหว่าง การปรากฏ และ ความเป็นจริง. ทีนี้, ความว่างกำลังบอก, อะไรที่คือความจริงอันสัมบูรณ์, และคือความไม่มีอะไรเลย. (So, thing doesn’t exist as it appears. There is big gap between appearances and reality. Now, the Emptiness is telling, what’s the ultimate reality, and Nothing.)

          ถ้าเรารับอะไรบางอย่างและแยกแยะมัน. ไม่มีอะไรเลย. และฟิสิกส์ควอนตัมก็ไม่ได้เอื้อมไปถึงเรื่องของจิต. ที่พวกเขาเรียกว่า ผู้สังเกตการณ์. ทีนี้, จรีตธรรมเนียมทั้งหลายของพุทธศาสนา, เราก็ได้สืบสวนด้วยเช่นกันว่า จิตนั้นคืออะไร, แต่...จิตเป็นบวกในประเด็นทั้งหลายของ คสวามต่อเนื่องแห่งกระแสทั้งหลาย. (If we take something and dissect it, Nothing. And the Quantum physics didn’t reach about the Mind. That’s they call Observer. Now, in Buddhist traditions, we also investigate what’s Mind. Mind is not physical, but …Mind is positive in terms of continuity of streams.)

          ความสืบเนื่อง, เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติกับอดีต, ปัจจุบันและอนาคต. แล้วปัจจุบันคือพื้นฐานของอดีตและอนาคต. ทีนี้ปัจจุบัน, ถ้าเราไปไกลกว่านั้น, ศตวรรษปัจจุบัน, ทศวรรษปัจจุบัน, ปีปัจจุบัน, เดือนปัจจุบัน, สัปดาห์ปัจจุบัน, และวัน และชั่วโมง, และนาที และวินาที, ไม่มีปัจจุบัน. (Continuation. Automatically involves past, present and future. Then present is the basis of past and future. Now present, if we further go, present century, present decade, present year, present month, present week, and day and hour, and minute and second, No present.)

          วินาที, หนึ่งวินาที คืออดีต, หนึ่งวินาทีคืออนาคต. ปัจจุบันอยู่ที่ไหนล่ะ? (Second, one second is past, one second future. Where is present?)

          ไม่. ไม่มีปัจจุบัน. (No, No present.)

          แล้ว, ปราศจากปัจจุบัน, มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพูดถึงอดีตและอนาคต. (Then without present, it’s very difficult to say past and future.)

          ดังนั้น, นั่นแค่แอย่างหยาบบนพื้นฐานของการปรากฏให้เห็นทั้งหลายอย่างที่เราพูดกัน, เราพูดว่า, การสืบเนื่องของจิต. แต่ถ้าคุณไปในรายละเอียด, ไม่มีอะไรเลย.(So, that’s just roughly on the basis of appearances we say, we say, continuation of Mind. But if you go in detail, Nothing.)

          ดังนั้น ตอนนี้, ปรัชญามัธยมกะ, ท่านนาคารชุนกล่าวไว้ว่า, ถ้าเราสืบสวนตรวจสอบ, ถ้าเราวิเคราะห์, ไม่มีอะไรมีอิสรภาพในการดำรงอยู่. แต่เป็นแค่การแต่งตั้งให้มีตำแหน่งอย่างหนึ่งเท่านั้น. (So now, the Madhyamaka2 philosophy, Nagar Juna says, if we investigate, if we analyze, Nothing independent exists. But just a mere designation.)                    

          2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B0

          แนวความคิดนั้น, สำหรับชาวพุทธ, เราพยายามที่จะเอาชนะอารมณ์รู้สึกของเรา, เราพยายามที่จะเอาชนะอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของเราที่เชื่อว่าสิ่งนั้นดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ. นั่นคือพื้นฐานของการพูดโอ้อวด. หนึ่งในเพื่อนักจิตวิทยาทั้งหลายชาวอเมริกันของฉัน, นักจิตวิทยาที่ยิ่งใหญ่, อายุของเขาในตอนนี้, เมื่อฉันได้พบเขาสองปีก่อน, อายุของเขาได้ถึง 100 ปีแล้ว, อา...อารอน ท. เบ็ค (บิดาแห่งการบำบัดรักษาพฤติกรรมทางจิต). เมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมา, เขาได้รับมือกับผู้คนผู้ที่จิตได้ถูกรบกวนด้วยความโกรธมากเกินไปมาก. แล้ว, เขาได้บอกกับฉันว่า, ความโกรธเหล่านั้นเมื่อผู้นเหล่านั้น เมื่อพวกขารู้สึกมีอารมณ์โกรธ, วัตถุซึ่งพวกเขารู้สึกโกรธปรากฏอะไรบางอย่างที่เป็นเชิงลบอย่างมากขึ้น. (That concept, for Buddhist, we try to defeat our emotions which believes that things exist independently. That is a basis of exaggeration. One of my American psychologists, great psychologist, his age is now, when I met him two years ago, his age was already 100 years, A…Aaron T Beck3(father of cognitive Behavior Therapy4). For a few decades,

          3 https://en.wikipedia.org/wiki/Aaron_Beck

          4https://www.pobpad.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-cognitive-behavioral-therapy-%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%9B

he dealt with people whose Mind is too much disturbed by anger. So, he told me, those angry people when they feel angry, the object which they feel angry appears something very negative.)

          แต่ในความเป็นจริงแล้ว, 90% ของความเป็นเชิงลบเหล่านั้น เป็นการฉายภาพทางจิตของคุณเอง. นี้เป็นที่แน่ชัดในอะไรที่ปรัชญามัธยมกะได้พูดไว้. แล้วตอนนี้ยาถอนพิษกำลังวิเคราะห์ว่า สิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่อย่างที่มันปรากฏให้เห็น. อย่างสัมบูรณ์สุดแล้ว, มันเป็นการกำหนดแต่งตั้งให้ของคุณเอง. (But in reality, 90% of that negativeness is your own mental projection5. This is exactly what Madhayamaka philosophy says. So now antidote is to analyze that thing doesn’t exist as it appears. Ultimately, it’s your own mental designation.)

          5 https://www.istrong.co/single-post/defense-mechanism-projection

          ดังนั้น, เมื่อความโกรธและอุปาทานมา, สิ่งทั้งหลายปรากฏให้เห็นว่าดูจะเป็นที่สุด. และดีและเลวก็เป็นที่สุดเช่นกัน. ในทางพุทธศาสนา, ส่วนหนึ่งของการฝึกปฏิบัติคือ ความเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น. อีกส่วนหนึ่งอื่นของการฝึกปฏิบัติก็คือ, ไม่มีอะไรดำรงอยู่ดังที่มันปรากฏ. แล้ว, ท่านนาคารชุนได้อธิบายไว้ว่า, เอกราช, ความสัมพันธ์เนื่องต่อกัน, ไม่มีอะไรที่ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระ. ทุกสรรพสิ่งทั้งหลายพึ่งพาอาศัยเป็นปัจจัยของกันและกัน.  (So, when anger and attachment come, things appear something absolute. And good or bad are also absolute. In Buddhism, one part of practice is altruism. Another part of practice is, Nothing exist as it appears. So, Nagar Juna explained, Independent, Interconnected, nothing exists independently. Everything depends on another factor.)

          ดังนั้นแล้วด้วยเช่นกัน, นั่นเช่นกันที่เป็นการเข้าถึงสิ่งต่างๆอย่างตามความเป็นจริงมากยิ่งกว่า, มันดำรงอยู่ แต่ดำรงอยู่เนื่องด้วยปัจจัยทั้งหลายอื่นอีกมากมาย, รวมทั้งจิตของคุณเอง.  (So that also that’s also a more realistic approach thing, it exists but exist due to many other factors, include your own Mind.)

          ดังนั้นแล้วความโกรธ, อุปาทานของเรา, สิ่งบังเกิดเหล่านี้, ธรรมชาติอย่างยิ่งของมันเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายนั้นมีอยู่ที่นั้นอย่างเป็นอิสระ แล้ว, อุปาทาน(การยึดมั่นถือมั่น)และความโกรธก็เข้ามา. (So then our anger, attachment, these happen, its very nature is entirely believed that things exist there independently then, attachment and anger come.)

          ตัวอย่างเช่น, โดยปกติแล้วเราพัฒนาความโกรธไปยังศัตรูของเรา. แล้วเราเรียกว่าศัตรู, แต่แล้วคุณโกรธไปยังกายภาพของศัตรูนั้น หรือจิตของศัตรูนั้น. แล้วความโกรธนั้นก็รู้สึกสับสนได้, ไม่ใช่รึ? (For example, usually we develop anger towards our enemy. So called enemy, but then you are angry towards the enemy’s physical or enemy’s Mind. Then the anger feels confused, isn’t it?)

          และเช่นเดียวกัน, เมื่อเรารู้สึก ฉัน, ฉัน, ฉัน, ที่ไหนล่ะคือฉัน? ไม่ใช่กายภาพนี้. ฉันสามารถพูดได้ว่ากายภาพของฉัน, จิตของฉัน. กระนั้นก็ยังคงมีฉันอยู่, ที่ไหนล่ะที่เป็นฉัน? ฉันอยู่ที่นี่รึ? (ชี้ที่ศีรษะ) ไม่. ที่นี่รึ? (ชี้ที่หน้าอก) ไม่, ยากเน๊าะ. (And similarly, when we feel I, I, I, where is the I? Not this physical. I can say my physical, my Mind. So still there is I, where is I? I here (points His head)? No. Here (points His chest)? No, difficult.)

          ฉัน อยู่ที่นั้น. แต่ถ้าคุณสืบสวนตรวจสอบ, เราไม่สามารถค้นพบได้. (I is there. But if you investigate, we cannot find.)

          ดังนั้นท้ายสุดนี้, การประสมประสานเข้าด้วยกันของกายและจิต, เราเองที่แค่กำหนดแต่งตั้ง ให้เป็น ฉัน ขึ้นมา. เป็นตัวฉัน/อัตตา. (So finally, combination of physical and Mind, we just merely designate as I. SELF.)

          https://youtu.be/OpgjSn7YGcQ?si=ioFB-tV8XZXyTUZ_

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี) - สิ้นโลก เหลือธรรม (1 - จิตและกาย)

 พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี) - สิ้นโลก เหลือธรรม



          พระพุทธเจ้าได้อุบัติเกิดขึ้นมาในโลก เป็นศาสดาเอกด้วยการตรัสรู้ชอบเอง ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สอน แล้วก็นำเอาธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มาสอนแก่มนุษย์ทั้งปวง ด้วยธรรมที่สอนนั้น สอนมีเหตุมีผล มิใช่ไม่มีเหตุมีผล เป็นของอัศจรรย์ สมควรที่ผู้ฟังทั้งหลายตรึกตรองแล้วจะเข้าใจได้ แลไม่ได้บังคับให้ผู้มานับถือ แต่เมื่อผู้ฟังทั้งหลายมาฟังตรึกตรองตามเหตุผลแล้ว เห็นดี เห็นชอบ มีเหตุมีผล แล้วเลื่อมใสศรัทธา จึงเข้ามานับถือด้วยตนเอง ซึ่งผิดจากศาสนาอื่นและลัทธิอื่น บางทีลัทธิศาสนาอื่น ซึ่งเขาห้ามไม่ให้วิจารณ์ศาสนาของเขา อ่านพุทธศาสนา ท้าให้วิจารณ์ได้เต็มที่เลย วิจารณ์เห็นเหตุ เห็นผล แน่ชัดด้วยตนเองแล้ว จึงนับถือด้วยความเป็นอิสระ แลเมื่อยอมรับนับถือแล้ว ความคิดความเห็นและการปฏิบัติ ก็จะเป็นไปในแนวเดียวกันทั้งหมด โดยมิได้บังคับ หรือนัดแนะกันไว้ก่อนเลย หากแต่เป็นไปตามเหตุผล ดังนี้คือ

          ขั้นที่ ๑ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม “กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู กมฺมปฏิสรณา ยํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ” ทั้ง ๖ อย่างนี้ เชื่อมั่นแน่วแน่อยู่ในใจของตน ทุก ๆคน ตลอดชีวิต...........

 

(จากหนังสือ “เทสรังสีอนุสรณาลัย”, พิมพ์ครั้งที่ ๑, ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙, หน้า ๒๕-๒๖)

          กาย แล จิต หรือ รูป กับ นาม ก็ว่าแยกกันเกิด แลแยกกันดับ ฉะนั้น ผู้มีปัญญาทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เมื่อท่านมีทุกขเวทนาทางกาย ท่านจึงแยก จิต ออกจากกาย กาย แล้วจึงเป็นสุข

          เมื่อจะเกิด สัมภาวะธาตุของบิดามารดาประสมกันก่อน หรือเรียกว่าน้ำเชื้อ หรือเรียกว่าสเปอร์มาโตซัวกับไข่ประสมกันก่อน แล้วจิตปฏิสนธิจึงเข้ามาเกาะ ถ้าธาตุของบิดามารดาประสมกันไม่ได้สัดส่วนกัน เช่น อีกฝ่ายหนึ่งเสีย เป็นต้นว่ามันแดง หรือสีมันไม่ปกติ ก็ประสมดันไม่ติด แล้วปฏิสนธิจิตก็ตั้งไม่ติด เรียกว่า รูปเกิดก่อน แล้วจิตจึงมาเข้าปฏิสนธิภายหลัง

          เวลาดับ จิตดับก่อน กายจึงดับภายหลัง พึงเห็นเช่นคนตาย จิตดับหมดความรู้สึกแล้ว แต่กายยังอบอุ่น เซลล์หรือประสาทยังมีอยู่ คนตายแล้วกลับฟื้นคืนมา ยังใช้เซลล์หรือประสาทนั้นได้ตามเดิม

          เมื่อจิตเข้ามาครองร่างกายอันนี้แล้ว จิตขึงเข้ามาไปยึดร่างกายอันนี้หมดทุกชิ้นทุกส่วน ว่าเป็นของกู ๆ แม้ที่สุด ร่างกายนี้จะแตกดับตายไปแล้ว มันก็ยังถือว่าของ กู ๆ อยู่นั่นเอง พึงเห็นเช่นพวกเขาเหล่านั้นตายไปแล้ว ได้เสวยกรรมที่ตนได้กระทำไว้แต่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ไปเกิดเป็นอมิสกาย เช่น ภูต ปีศาจ หรือเทวบุตร เทวดา เป็นต้น เมื่อเขาเหล่านั้นจะแสดงให้คนเห็น ก็จะแสดวงอาการที่เคยเป็นอยู่แต่ก่อนนั้นแหละ เช่น เคยทำชั่ว จิตใจเศร้าหมอง กายสกปรก หรือเคยทำความดี จิตใจใสสะอาด ร่างกายงดงาม สมบูรณ์ ก็จะแสดงอย่างนั้น ๆ ให้คนเห็น

          แม้ที่สุดสัตว์ตายไปตกนรก ก็แสดงภูมินรกนั้นให้คนเห็นชัดเจนเลยทีเดียว แต่แท้จริงแล้ว ภพภูมิของเขาเหล่านั้น มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเห็นได้ดอก เพราะเขาเหล่านั้นตายไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตกับกรรม ที่เขาได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น

          มนุษย์คนเรานี้เกิดขึ้นมาแล้ว มายึดถือเอาร่างกายอันนี้ว่าเป็นของกู มันแน่นหนาลึกซึ้งถึงขนาดนี้ ท่านผู้ฉลาดมาชำระจิตด้วยการทำสมาธิภาวนา ให้จิตสะอาดบริสุทธิ์แล้ว จนเข้าถึงความเป็นกลางได้ ไม่อดีต อนาคต วางเฉยได้ เข้าถึงใจ นั่นแลจึงพ้นจากสรรพกิเลสทั้งปวงได้.

 

คุรุเทพ - จิตสำนึกบริสุทธิ์ของโลกทั้งปวง

 คุรุเทพ - จิตสำนึกบริสุทธิ์ของโลกทั้งปวง

This Purifies Consciousness Of The Whole World! | Gurudev

          https://youtu.be/NeheMBUuxbs?si=nWeD_mIR2HFFni50



...คุณรู้นะในยัคยาส/พิธียัญ, สิ่งที่มองไม่เห็นได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น แต่คุณไม่สามารถมองเห็นได้, แต่แรงกระทบนั้นคุณสามารถรู้สึกถึงมันได้. และมันเป็นอะไรบางอย่างที่โพ้นเลยไปจากสติปัญญา. (
The unseen is created but you cannot see, but the impact you can feel it. And it is something beyond intellect.)

          ในความหมายนั้น, อะไรที่เราเข้าใจผ่านสติปัญญาคือผ่านจิตตรรกะของเรา, ใช่มั้ย? และจิตตรรกะนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานการรับรู้ของเราและความเข้าใจที่ผ้านมาของเรา, ตอนนี้อะไรบางอย่างใหม่ที่เราไม่รู้ไม่สามารถเหมาะพอดีเข้าไปในตรรกะของเรา, ดงนั้นมันคือบางอย่างที่โพ้นเลยไป.  (In the sense, what we understand through intellect is through our logical mind1, right? And logical mind is based on our perception and our previous understanding, now something which we don’t know cannot fit into our logic so it is something beyond.)

          2 https://en.wikipedia.org/wiki/Logical_reasoning

          มันไม่ใช่ผิดตรรกะแต่เป็นโพ้นเลยจากตนนกะไป, มีความแตกต่างกันระหว่างผิดตรรกะกับโพ้นเลยตรรกะที่ว่านี้. ดังนั้น, สิ่งที่ไม่เห็นนี้ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น แต่ถ้าคุณมองเห็นว่ามีความหมายอยู่มากในทุกๆสิ่งเล็กๆน้อยๆที่ซึ่งกำลังทำให้เสร็จอยู่. เพราะว่าชีวิตนั้นเป็นสิ่งสากล, ชีวิตปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง. (It is not illogical but beyond logic, there is different between this illogical and beyond logic. So, this unseen is created but if you see there is lot of meaning in every little thing that is being done. Cause life is universal life is present in everything.)

พิธียัคยา/พิธียัญนี้ เริ่มต้นด้วยการถั่วงอก, คุณรู้มั้ย, การเพาะเมล็ดทั้งหลาย, คุณรู้มั้ย, คุณมองว่าในรอบๆมนตรานี้, มีเมล็ดทั้งหลายที่ได้มาและถั่วงอกทั้งหลายที่ได้มา. ถั่วงอกทั้งหลายเป็นสัญญาณแรกของชีวิต, คุณรู้มั้ย, เมล็ดทั้งหลายได้ถูกหว่าน และจิตสำนึกที่สงบเงียบอยู่ในเมล็ดตอนนี้ก็เริ่มประกาศตนและงอกขึ้น. (The Yagya2 begin with putting sprouts, you know, putting the seeds, you know, you see around this Mantra, there are seeds that has come and the sprouts that has come. Sprouts is the first sign of life, you know, seeds are sown and the dormant consciousness in the seed now starts manifesting and sprouted.)

2 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%8D

เช่นเดียวกัน, ทุกสมุนไพรที่มีอยู่นี้ก็เช่นกัน, สมุนไพรแตกต่างกันไปเป็นอันมากกำลัวงถูกใช้ถึง 1087 สมุนไพร. และทั้งหมดของสิ่งนี้ได้ถูกเสนอให้ในพิธียัญ เพื่อที่จะสร้างสรรค์การกระทบปะทะที่มองไม่เห็นของจิตสำนึกและนั้นเป็น, นั่นชำระล้างให้สติปัญญาบริสุทธิ์. มันชำระล้างจิตสำนึก และชำระล้างโลก. (Similarly, every herb there are so, so many different herbs are being used 108 different herbs. And all this is offered in Yagya to create the unseen impact of consciousness and that is, that purifies the intellect. It purifies the consciousness purify the world.)

                                                                    


ดังนั้นยอคยา/พิธียัญกำลังทำให้เสร็จที่นี่ทุกปี ไม่ได้จำกัดแต่เพียงสถานที่นี้เท่านั้น, มันเป็นที่สำหรับโลกทั้งปวง. สำหรับทุกคนที่จะมีความสุข. นั่นคือสิ่งหลักที่อาจให้ทุกคนมีความสุข. นใหปั(So, the Yagyas being done here yearly is not limited to this place, it is for the whole world. For everybody in the world. For everyone to be happy. That is the main thing may be everyone be happy.)

ขอให้ทุกคนจงมองซึ่งกันและกันเหมือนแม่วัวเฝ้าดูเหนือลูกวัวเพิ่งเกิดของตน. ขอทุกคนจงมองที่เรากันด้วยสายตาของเพื่อน และขอให้เราจงมองเห็นทุกคนด้วยสายตาอย่างเพื่อน. ช่างงดงามอะไรเช่นนี้, ใช่มั้ย? เห็นโลกทั้งปวงมองดูทุกคน, ไว้วางใจในทุกคน และให้เกียรติแก่ทุกคน นั่นเป็นความจริงของสัตยุค. ไม่ใช่ที่ส่วนพิธีกรรม แต่เป็นการเดินทางสู่ภายในตน, สมาธิ. (May everyone see each other like the cow watches over its newborn calf. May everyone look at us with friendly eyes and may we see everyone with friendly eyes. How nice this is, right? See the whole world looks everyone, trusts everyone and honors everyone that is really the Satyuga3. Not the ritualistic part but the inward journey, meditation.)

3 https://en.wikipedia.org/wiki/Satya_Yuga

ถ้าคุณเป็นนักปฏิบัติสมาธิ, แล้วนี้ได้มีการกระทบปะทะยิ่งขึ้น มิเช่นนั้น, ถ้าคุณคุณไม่ได้กำลังปฏิบัติสมาธิ, มันก็การมีแล็ปท็อปและปราศจากพาสเวิร์ดไปด้วยกันกับอารมณ์รู้สึกนี้ คุณได้รับพรประเสริฐ และคุณกำลังเอาพรมากมายอันประเสริฐนี้ไปด้วยกันกับคุณ. (If you are a meditator, then this has more impact otherwise if you’re not meditating it’s like having a laptop and without having a password go with this feeling you are blessed and you are taking with you a lot of blessing.)

แผ่ขยายนั่นออกไปและยัคยา/พิธียัญ กำลังรวมเข้าเป็นหนึ่ง กำลังไปสู่รากของชีวิตทั้งหมด, แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และนั่นที่เราได้กระทำแล้ว, และได้เต้นรำ และได้ร้องเพลง และไม่ได้เพียงแต่นั่งอยู่และเฝ้าดู และที่จะปล่อยให้เสียงเซ็งแซ่ดำเนินไปในหัว. นั่นคือทำไมพวกเขาถึงเล่นกลองใหญ่ทั้งหลายเหล่านี้, คุณรู้มั้ย, ทำไมกลองใหญ่จึงถูกตี? เพื่อที่คุณจะได้ไม่คิด. หะหะหะ. (Spread that and Yagya is uniting going to the root of all life, the source of all existence and that we have done, and danced and sang and not to just sit and watch and to let the chatter continue in the head. That’s why they play all these big drums, you know, why the big drum are played? So that you can’t think.

เมื่อคุณไม่สามารถคิด คุณก็ไม่สามารถวิตกกังวลด้วยเช่นกัน. ในวันเวลาโบราณ, วิหารทั้งหลายเคยมีเก้าประตู และแต่ละประตูพวกเขาจะใส่กลองใหญ่ๆไว้, และระฆังและกลองทั้งหลายและเครื่องดนตรีทั้งหมดนี้.  (When you can’t think you can’t worry also. In ancient days, in the temples there used to be nine doors and each door they would keep some big, big drums, and bells and drums and all these musical instruments.)

ดังนั้น, ผ่านดนตรีนี้, คุณเปลี่ยนถ่ายความคิดวิตกกังวลให้กับจิตเล็กๆไปสู่การดำรงอยู่ของประสบการณ์รับรู้. ดังนั้น, ดนตรีนั้นกำลังดำเนินไปไม่ว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่, ดีที่สุดคือเต้นแกว่งไกวไปตามดนตรีเพียงแค่ที่จะดื่มด่ำจมอยู่ในมัน. การดื่มด่ำที่เป็นความสำคัญมาก, อย่าถามฉันว่า ฉันได้ดื่มด่ำอย่างไร? คุณแค่ง่ายๆต้องดื่มด่ำ. (So, through the music, you shift from thinking worry small mind to the experiential existence. So, even the music is going on whether you understand or not, best is to swing dance just to be immersed in it. Immersion that is very important don’t ask me how do I get immersed? You simply have to immerse.)

ดังนั้น, ในนาราดา ภัคติ สูตร, คุณเคยได้ยินไปแล้ว, ไม่รึ? ฉันได้พูดถึงมันย้อนไปได้นานแล้ว. ส กิรตยา มาน: ชิกราเมวาวีรภาวดี อนุภาวดี ชา บักทาน. (So, in the Narada Bhakti Sutra4, you have already heard, no? I have said it long time back. मान: शिग्रमेवाविर्भवती अनुभावयति  भक्तान्  - S Kirtya Maan: Shigramevavirbhavati Anubhavayati Cha Bhaktaan.)

4 https://en.wikipedia.org/wiki/Narada_Bhakti_Sutra

มันไม่ได้ยากเลยที่จะรู้สึกได้ถึงพระเจ้า, ประสบรับรู้พระเจ้า, คุณแค่ต้องร้องดเพลงจากดวงใจของคุณออกมา, หรือเป็น 100% จริงๆในสิ่งใดที่คุณทำ. อย่างรวดเร็วมากที่สรวงสวรรค์ทำให้คุณรู้สึกถึงได้ในการสำแดงปรากฏของมัน, คุณสามารถรู้สึกได้ถึงการสำแดงปรากฏของสรวงสวรรค์. อย่างรวดเร็วมาก, ซึ่งคุณไม่ต้องปลงอาบัติ/บำเพ็ญตบะเป็นระยะเวลามานานหลายปี. ทั้งหมดที่คุณจำเป็นต้องทำคือการเรียนรู้ที่จะดื่มด่ำฝยสิ่งใดก็ตาม. (It is not difficult to feel God, experience God, you simply have to sing your heart out, or really be 100% in anything you do. Very quickly the divine makes you feel its presence you can feel the divine presence. Very quickly you don’t have to do some penance for years. All that you need to do is learning to immerse in anything.)

มีสุภาษิตอินเดียโบราณกล่าวกันไว้ว่า, “มันอาจจะใช้เวลาบ้างที่จะเด็ดดอกไม้จากต้น แต่การจะพบกับพระผู้สร้างของคุณนั้น มันไม่ได้ใช้เวลามากขนาดนั้นเลย.”. หมายความว่ามันไม่ได้ใช้เวลาใดเลยที่จะพบกับสรวงสวรรค์ภายในตัวคุณ. ไม่แม้กระทั่งเวลาที่คุณต้องใช้ในการเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่ง. (There an old proverb in India that says “It may take some time to pluck a flower from the tree but to meet your creator it doesn’t even take that much time”. Means it doesn’t take any time to meet the divinity within you. Not even the time that takes for you to pluck a flower.)

หมายความว่า มันไม่ได้ต้องใช้ความพยายามใดใหคุณที่จะไปอย่างไร้ความพยายามที่จะสงบเงียบภายใน. คุณรู้ว่ามันเป็นเช่นนั้น, ไม่ว่าอะไรจะบังเกิด, บังเกิดผ่านพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า. มหากรุณาเมตตาของสรวงสวรรค์มา และเพียงตอนนั้นเท่านั้นที่สิ่งทั้งหลายบังเกิดขึ้น. มันไม่ได้บังเกิดเพราะว่าคุณได้ทำบางอย่าง, คุณกำลังทำนี้นั่น...นั่นไม่อาจนับได้เลย, นี้คืออะไรหรือ? (Means it’s not with effort you have to go effortless to the inner silence. You know it is, whatever happens, happens through the Grace of God. Divine grace comes and only then things happen. It doesn’t happen because you did something, you’re doing this that…that doesn’t count at all, this is what?)

นี้คือ, นี้คืออย่างชัดเจนว่าคืออะไรที่ เวฑานตะ หมายถึง, เวฑานตะ หมายถึง ไม่มีอะไรเลยจะบังเกิดขึ้นโดยการกระทำของคุณ. แค่เข้าใจถึงจักรวาลบทั้งปวงว่าดำเนินไปโดยแรงกำลังอันใหญ่โตยิ่งอันหนึ่ง, และอะไรก็ตามที่มันทำ นั่นคืออะไรที่กำลังบังเกิดขึ้น.  (That is, this is exactly is what Vedanta5 means, Vedant means nothing will happen by your doing. Just understand the whole universe is run by a bigger force, and whatever it does that’s what going to happen.)

5 https://en.wikipedia.org/wiki/Vedanta

และถ้าแรงกำลังอันใหญ่โตยิ่ง ได้ให้ความคิดบางอย่างแก่จิตของคุณ และมันจะทำให้คุณทำ, ถึงแม้กระทั่งว่าคุณไม่ไกด้ต้อวงการจะทำ. นั่นคือที่สิ่งทั้งหลายทำงานทั้งหมดอย่างไร. พระกฤษณะกล่าวไว้ว่า, ยุคยาส/พิธียัญนี้และทั้งหมดคุณต้องทำ, เพราะว่ามันเป็นรวบรวมเอาการชำระล้างให้บริสุทธิ์ทั้งหลายต่อจิตสำนึกของมนุษย์, การกระทำดีทั้งหลายอันบริสุทธิ์, ความปรารถนาในสิ่งดีทั้งหลายของคุณ และการปฏิบัติสมาธิขำระล้างทั้งหลาย, นี้เป็นสิ่งงดงาม, ไม่รึ?  (And if the bigger force gives some idea in your mind and it will make you do, even if you don’t want to do. That’s how things all work. Lord Krishna says these Yagyas and all you must do, because it collectively purifies the human consciousness, good actions purify, your good wishes purify and meditation purifies, all these purifies, this is so beautiful, no?)

เห็นมั้ย, เราได้เพาะปลูกอาหารเจริญโตจากโลก, ถูกมั้ย? ในหนทางเดียวกัน, ความสุขได้ถูกเพาะปลูกเจริญเติบโตในอวกาศ/ที่ว่าง. อวกาศ/ที่ว่างไม่ได้อยู่ข้างนอกนั่นแต่เป็นอวกาศ/ที่ว่างข้างใน. ดังนั้น, เมื่อคุณ, เหมือนเช่นที่คุณไถพรวนดินและแล้วก็หว่านเมล็ดลงไป, แล้วนั่นเองที่อาหารเจริญเติบโตงอกงาม. เหมือนเช่นคุณต้องทำความสะอาดอวกาศ/ที่ว่างนั้น, และหว่านเมล็ดทั้งที่นั้นและเมล็ดเหล่านั้นก็งอกขึ้นเป็นเช่นความสุข, เป็นความปีติ. แล้ว, ปีติก็ขึ้นมา, ขึ้นมา, ขึ้นมา, อย่าจินตนาการ, จากที่ไหนสักแห่งข้างบนนั้น. (See, like we grow food from the earth, right?  In the same way, happiness is grown in the space. Space is not out there but the inner space. So, when you, like you plow the soil and then sow seed, so that food grows. Like that you have to cleans the space, and sow the seeds there and those seeds sprout as happiness, as joy. So, joy comes up, up, up, don’t imagine, somewhere up there.)

อวกาศ/ที่ว่างนั้นอยู่ข้างในคุณ. ปีติมาจากอวกาศ/ที่ว่าง และอาหารที่นี้, ดิน.(The space is inside you. Joy comes from the space and food comes from this, the soil.)

 https://youtu.be/NeheMBUuxbs?si=o9kaVQva9eaXNvIP

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2567

จ. กฤษณะมูรติ - ทำไม ความคิด จึงสร้างภาพทั้งหลายขึ้น?

 จ. กฤษณะมูรติ - ทำไม ความคิด จึงสร้าง ภาพทั้งหลาย ขึ้น?

Why does thought create images? | Krishnamurti

          https://youtu.be/BFZXmbFLUOw?si=85h5k7aFq4Fpxkq-



นั่นคือ, สองคนได้อยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด, ผูกพันมั่นหมายที่จะสร้างสรรค์ภาพทั้งหลายเหล่านี้. (That is, two people live up together intimately, are bound to create these images.)

ฉันอยู่กับคุณและอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, วันแล้ววันเล่า, ความเหนื่อยหน่ายของกัน, การวิสาสะคุ้นเคย, ความจำได้ทั้งหลาย, ความเจ็บปวดทั้งหลาย, คำเยินยอทั้งหลาย, กำลังใจเร้าใจทั้งหลาย – คุณรู้มั้ย, ทั้งหมดนั้นที่กำลังดำเนินไปอยู่, นั่นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่ต้องสร้างสรรค์ภาพนั้น, ถูกมั้ย?  (I live with you and inevitably, day after day, the monotony of it, the monotony of it, the familiarity, the remembrances, the hurts, the flatteries, the encouragements – you know, all that is going on, that inevitably must create the image, right?)

ดังนั้น, ฉันสร้างสรรค์ภาพเกี่ยวกับคุณ และสร้างสรรค์ภาพเกี่ยวกับตัวฉัน. แล้ว, นี้คือสัมพันธภาพระหว่างภาพทั้งสองนั้น. ขอโทษด้วยที่เป็นเช่นนั้น...และนี้เองที่เราเรียกว่าสัมพันธภาพ. สัมพันธภาพอย่างแท้จริงไม่ได้มีอยู่. (So, I create an image about you and create an image about me. So, this is relationship between the two images. Sorry to be so…And this is we call relationship. Actual relationship doesn’t exist.)

ฉันกังขาใจว่าคุณตามทั้งหมดนี้ทันไหม. แล้ว, มันเป็นไปไม่ได้ไหมที่ตจะอาศัยอยู่ด้วยกันโดยปราศจากภาพเดี่ยว ๆ? คุณดเข้าใจคำถามนี้ของฉันมั้ย? (I wonder if you are following all this. So, is it impossible to live together without a single image? You understand my question?)

เราพูดว่ามันเป็น, แน่นอนว่ามันเป็น, มิเช่นนั้นแล้ว, ก็ไม่มีความรัก, คุณตามทันมั้ย? แล้วก็มีความขัดแย้ง. ความบ่งแยกย่อมนำมาซึ่งความขัดแย้งเสมอ – คนอังกฤษ, คนฝรั่งเศส, และคนเยอรมัน. ดังนั้น, เครื่องจักรกลของการสร้างภาพนี้ สามารถหยุด้ไหม? (We say it is, of course it is. Otherwise, there is no love, you follow? Then there is conflict. Division invariably brings conflict – British, French, and German. So, can this image-making machinery stop?)

เรากำลังสอบสวนด้วยกัน. ตอนนี้, ทำไมจิต, ความคิด, สร้างสรรค์ภาพขึ้นมา? คุณเข้าใจมั้ย? คุณมีภาพหนึ่งเกี่ยวกับสามีของคุณ, หรือภรรยาของคุณ, เพื่อหญิงหรืออะไรก็ตามที่มันเป็น, ทำไมคุณถึงสร้างสรรภาพนั้นขึ้นมา? , หรือ(We are investigating together. Now, why does the mind, thought, create the image? You understand? You have an image about your husband, or your wife, girlfriend or whatever it is, why do you create an image?)

มันเป็นเพราะในภาพนั้นคือความมั่นคงปลอดภัยหรือ? ไม่ใช่ในทางส่วนตัว, ถูฏมั้ย? ฉันกังขาใจอยู่ว่าคุณมองเห็นนี้มั้ย. (Is it because in the image there is security? Not in the person, right? I wonder if you see this.)

ฉันกำลังไม่ได้ทำเป็นดูถูกดูหมิ่นนะ; ฉันแค่กำลังชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทั้งหลายออกมา. ช่างโง่เง่ากันอย่างไรในทั้งหมดนี้, ไม่ใช่รึ?(I’m not being cynical; I am just pointing out facts. How stupid all this is, isn’t it?)

ตอนนี้, การสร้างภาพนั่นสามารถหยุดกันได้ไหม? แล้วจะได้เป็นความรักกัน.(Now, can that image-making stop? Then there can be Love.)

สองภาพได้มีสัมพันธภาพกันและถูกเรียกนั่นว่ารัก, คุณสามารถเห็นได้ว่าอะไรที่มันเป็นคือ - ความอิจฉาริษยา, กระวนกระวายกังวล, ทะเลาะเบาะแว้ง, ความระคายเคือง, หมิ่นแคลน กันและกัน, กดข่มกันและกัน, ชิงดีชิงเด่น และอะไรๆอื่นทั้งหลาย, และนั่นที่เรียกกันว่า รัก. (Two images having relationship and calling that Love, you can see what it is – jealously, anxiety, quarrels, irritations, bully each other, possessing each other, dominating and so on, and that is called Love.)

และเรากำลังถามว่า:  มันเป็นไปได้ไหมที่จะจบสิ้นการสร้างภาพทั้งหลายเหล่านี้? นั่นคือ, ทำไมสมองถึงลงทะเบียน? คุณเข้าใจมั้ย?...เมื่อมันไม่เป็นไปได้ที่จะลงทะเบียน ก็ไม่มีการสร้างภาพขึ้นได้. คุณตามนี้ทันไหม? นี้กลายเป็นเรื่องทางสติปัญญาเกินไปมั้ย? (And we are asking:  is it possible to end the building of these images? That is, why does the brain register? You understand? …When it is not possible to register there is no image-making. You follow this? Is this become too intellectual?)

นักพูดนั้นไม่ได้ชอบที่จะเล่นวกวนไปทั่วกับสติปัญญาตามลำพัง, มันเป็นที่โง่เง่า. ดังนั้นทำไมสมองถึงถึงได้ลงทะเบียนการระคายเคืองใดๆ - คุณเข้าใจมั้ย? ประสาทรู้สึกวิตกกังวลภายในสัมพันธภาพนี้, ความอิจฉาริษยา และอะไรๆอื่นทั้งหลายนั้น. (The speaker doesn’t like to play around with the intellect alone, it is stupid. So why does the brain register any irritation – you understand? – any sense of anxiety within this relationship, jealously and so on?)

มันเป็นไปไม่ได้หรือที่สมองจะไม่ลงทะเบียน? คุณได้เข้าใจถึงคำถามนี้มั้ย? คุณจะค้นพบออแกมาได้อย่างไร? (Is it impossible the brain not to register? You’ve understood the question? How are you going to find out?)

คุณประจบประแจงฉัน, หรือดูหมิ่นฉัน, ที่ได้บังเกิดขึ้นไป, ทั้งคู่. และทำไมสมองลงทะเบียนการดูหมิ่น, หรือการประจบประแจงนั้นด้วย? ถ้าใครคนหนึ่งถูกเรียกว่า ไอ้โง่, ในทันทีนั้นมันก็ได้ถูกลงทะเบียนไว้. การลงทะเบียนนั้นได้เข้ามาแทนที่แต่เพียงเมื่อคุณมีภาพเกี่ยวกับตัวฉันแล้วเท่านั้น. ฉันสงสัยว่าคุณจับทั้งหนี้ทันไหม. (You flatter me, or insult me, which has happened, both. And why should the brain register the insult, or the flattery? If one is called an idiot, immediately it is registered. The registration takes place only when you have image about myself. I wonder if you capture all this!)

นี้คือภาพทัศน์ภายใน, คุณเข้าใจมั้ย? แล้วนั่นคือภาพทัศน์ภายใน/ญาณเข้าไปสู่ในคำถามของสัมพันธภาพที่ได้วางตั้งอยู่บนภาพทั่งหลายนั้น – ภาพทั้งหลายเหล่านั้นได้ถูกละลายเลือนไป. ภาพทัศน์/ญาณได้ละลายลบเลือนพวกมัน, ไม่เถียงค้าน, การวิเคราะห์, และปฏิกิริยาทั้งหลายทางอารมณ์รู้สึก. (This is insight, you understand? So that is insight into the whole question of relationship which is based on images – those images are dissolved. Insight dissolves them, not argument, analysis, and emotional reactions.)

คุณได้คุยด้วยกันจบแล้วมั้ย, เข้าไปในเรื่องนี้, คุณได้ละลายเลือนมันมั้ย? มิเช่นนั้นแล้ว, ไม่มีจุดใส่ใจให้การพูดคุยเหล่านี้. นี่เป็นเรื่องจริงจังมาก. (Have you in talking over together, going into this, have you dissolved it? Otherwise, there is no point attending these talks. This is very serious.)

และในขณะที่เราได้พูดว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบทั้งของเราในชีวิต - สัมพันธภาพ, ที่ได้ตั้งอยู่บนความกลัว ฯลฯ. ความอิจฉาริษยาทั้งหลาย. ตอนนี้เมื่อใครคนหนึ่งมองทั้งปวงของนั่นแล้ว, และภาพทัศน์/ญาณที่เปลี่ยนรูปการเคลื่อนไหวทั้งปวงของการนั้น, พลังงานของการนั้น, แล้วก็มีความเป็นไปได้ชองการมีสัมพันธภาพที่แท้จริงด้วยกันและกัน. (And as we said this is one of our factors in life – relationship, which is based on fear, etc. jealously. Now when one sees the whole of that, and the insight that transforms the whole movement of that, the energy of that, then there is a possibility of having an actual relationship with another.)

ไม่มีการที่คุณออกไปยังสำนักงานของคุณ, ทำงานด้วยตัวคุณเองไปทีละขั้นในความทะเยอทะยาน และกลับมายบ้านและอยู่ในความว่านอนสอนง่ายและการรักในทั้งหมดของธุรกิจนั่น, ที่ไม่มีความหมายอะไร.  (There is no you going off to your office, working yourself step by step in ambition and coming home and being docile and loving and all that business, which has no meaning.)    

คุณเข้าใจทั้งหมดนี้มั้ย? (You understand all this?)



https://youtu.be/BFZXmbFLUOw?si=8L5K5UoXV3w6pFmO

          -ไม่เข้าใจครับ (ผู้ถอดความ)