หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พระอาจารย์ชยสาโร - รู้สึก นึกคิด

พระอาจารย์ชยสาโร - รู้สึก นึกคิด

https://youtu.be/di6pR86yR8k?si=hDTWR2rOaYE7HBZf

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตระรัง ปัจจายัง นะมะสามิ.

          วันนี้จะพูดเรื่อง อ่า เรื่องความคิด กับ ความรู้สึก.

          ในการรับรู้ ในการพิจารณา ในการตัดสิน อะไรต่างๆ เรามักจะมองว่าความ...เอ่อ ความรู้สึก จะเป็นอุปสรรค ทำให้จิตใจไม่เป็นกลาง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน แต่ว่า ไม่เสมอไป เราจะวิเคราะห์เรื่องความรู้สึกต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ มีผลต่อความคิด เริ่มตั้งแต่ว่าเรามองชีวิต ที่สลับซับซ้อน ที่ยุ่งเหยิงมาก ที่เราจำเป็นต้องตัดสิน ในวันหนึ่ง เรื่องเล็กเรื่องน้อย เรื่องใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว แต่ต้องยอมรับว่า เวลาที่จะคิด ใช้เหตุใช้ผล มีจำกัด ไม่เพียงพอ แต่ในหลายกรณี เราอาจจะ อยากจะคิดว่าเราใช้เหตุผล แต่เรามักจะใช้ความรู้สึกมากกว่า ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น เราต้องหาทางลัด ในการดำเนินชีวิต ดังนั้นถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เราไม่มีเวลา แต่ละเรื่องจะต้องคิดจะเอายังงั้นดีมั้ย จะเอาอย่างนั้นดีมั้ย ข้อดีข้อเสีย ไม่มีเวลา.

ฉะนั้นความรู้สึก เท่าที่อาตมาพิจารณานะ ความรู้สึกจะมีบทยบาทสำคัญข้อแรก ในการเลือกว่า เราจะให้เวลากับสิ่งใดบ้าง เมื่อเวลาเราจำกัด เราจะสนใจศึกษา เราจะใส่ใจ จะเรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง คือเราไม่ได้ใช้เหตุผลตัดสินว่า เราจะใช้เหตุผลในเรื่องไหน จะส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึก ความรู้สึกทำให้มี focus ความรู้สึกทำให้มี อันนั้นน่ะไม่เอา เอาเรื่องนี้แหละ ความรู้สึกตัวนี้ ที่เลือกเฟ้น ตัวที่จะดเป็นผู้กำหนดว่า จะให้เวลา จะคิด จะพิจารณาจะสนใจ ศึกษา ในเรื่องไหนบ้าง อาจจะให้ชื่อว่าศรัทธาก็ได้ มันคือศรัทธา.

ฉะนั้นความรู้สึกเป็นตัวกำหนดว่า เราจะให้เวลากับอะไร และความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดว่า เราให้เวลาอย่างไร ศึกษาอย่างไร คือความรู้สึกต่างๆนี้ ถ้าเราเอาตามหลักพุทธศาสนา เราแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ว่าฝ่ายกุศล กับฝ่ายอกุศล ถ้าพูดภาษาชาวบ้านนั่น ดีกับชั่ว หรือฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว แต่อาจจะมีข้อสงสัยว่า อ้าว และใครเป็นผู้ตัดสินว่า อารมณ์นี้อยู่ฝ่ายดี อารมณ์นี้อยู่ฝ่ายชั่ว ใครมีอำนาจจะตัดสินอย่างนี้? ด้วยหลักอะไร? อะไรคือหลักตัดสิน? คือเราจะตัดสินอะไรก็ต้องมีหลักตัดสินเสียก่อน อะไรคือหลักตัดสิน? หลักตัดสินสำหรับชาวพุทธ ก็คือว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จากการรู้การเห็นตามความเป็นจริง ก็ถือว่าเป็นความรู้สึกฝ่ายกุศล ก็มีรากอยู่ในปัญญา ส่วนความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นจากอวิชชา หรือความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด ความรู้สึกเหล่านั้น อยู่ฝ่ายอกุศล.

คำว่ากุศลหรือดี รากศัพท์มาจากคำว่า ฉลาด ในทางพุทธศาสนาเราจึงถือว่า ความดีกับความฉลาด เป็น 2 หน้าของสัจธรรมเดียว ถ้าฉลาดจริงก็ต้องดี ดีจริงต้องฉลาด เพราะความดีคือสิ่งที่เกิดขึ้น จากความรู้ ความเห็น ตามความเป็นจริง อาจจะมีปัญหาต่อไปว่า เอาที่ว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นอย่างไร? หลักใหญ่ก็คือกฎแห่งกรรม ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับว่า เรายังสามารถพิสูจน์กฎแห่งกรรมได้ในทุกๆข้อ และในทุกๆประเด็น ทุกๆแง่ ทุกๆมุม ดังนั้น เราอาศัยความไว้วางใจในปัญญาของพระพุทธเจ้า.

ทำไมเราถึงกล้าไว้วางใจในพระพุทธเจ้า? ในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังเข้าไม่ถึง ก็ด้วยเหตุผลว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมะ สอนหลักความจริงมากมายก่ายกอง ในคัมภีร์บอกว่ามี 84,000 คำสอน 84,000 ธรรมขันธ์ แต่ใน 84,000 ที่จริงมันน่าจะมีมากกว่านั้น มีหลายข้อมากที่เราสามารถพิสูจน์ได้ ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน แบบไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรมาก เมื่อเราเรียน เราศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าในลักษณะว่า ไม่เชื่องมงาย เอาคำสอนของท่านแต่ละข้อ มาเทียบเคียงกับชีวิตจริง ของตัวเอง ชีวิตของคนรอบข้าง เพื่อพิสูจน์ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าทุกครั้งที่เรานำคำสอนของพระพุทธองค์ มาพิสูจน์ ได้คำตอบว่าใช่ ถูกต้อง ใช่ ถูกต้อง ใช่ ถูกต้อง และไม่เคยเจอแม้แต่ครั้งเดียว ที่มีความรู้สึกว่า ไม่ใช่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นด้วยการพิสูจน์ ในคำสอนระดับพื้นฐาน จำนวนมากว่า ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ และไม่มีคำตอบว่า ไม่ใช่ ควสามรู้สึกก็เกิดขึ้น จากการใช้เหตุผล.

ก็เมื่อกี้นี้บอกว่า ความรู้สึกก็นำไปสู่เหตุผล และการใช้เหตุผลก็นำไปสู่ความรู้สึกเหมือนกัน ความรู้สึกว่าพระพุทธองค์สอนจริง พระพุทธองค์ไว้ใจได้ ฉะนั้นเหตุผลในการเชื่อกับพระพุทธองค์ตรัสเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น เพราะในสิ่งที่พระพุทธองค์สอน ทุกคนปุถุชนธรรมดา พิสูจน์ได้ ถูกหมด เราจึงใช้เหตุผลง่ายๆ ว่า นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนถูกต้องในทุกๆเรื่องที่เราพิสูจน์ได้ ทำไมเราจึงจะสงสัยในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้ หรือยังพิสูจน์ไม่ได้ เราเชื่อไว้ก่อนดีกว่า คือพระพุทธองค์ไม่ให้เราเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อในลักษณะเอาคำสอนนี้ไว้เป็นหลักในการคิด หลักในการพิจารณา แล้วดูว่าเกิดผลดีมั้ย.

ดังนั้น พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า โลก โลกแห่งสิ่งมีชีวิต มีการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ และเครื่องขับเคลื่อน ไอ้สิ่งกำหนดว่าจะขึ้นจะลง จะเกิดตรงไหนอย่างไร คือการกระทำ แต่ว่าการกระทำ มีเงื่อนไขว่า การกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนา กรรมคือเจตนา ข้อนี้จำไว้ให้ดี ถ้าหากว่าเราทำสิ่งใดด้วยเจตนา เจตนาดี แต่ผลออกมาไม่สู้จะดี ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และอาจจะเป็นบทเรียน สำหรับอนาคต แต่ไม่ถือเป็นบาปกรรม เพราะไม่มีเจตนา เจตนาเป็นตัวตัดสิน ว่าเป็นกรรมดี ว่าเป็นกรรมชั่ว.

ฉะนั้นความคิด มีมุมมองที่ยอมรับในกฎแห่งกรรม ว่าเราจะเจริญ เราจะเสื่อม จะทุกข์ จะสุข ก็อยู่ที่เจตนา อยู่ที่การกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ซึ่งประกอบด้วยเจตนา พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้าเจตนาประกอบด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะนำไปสู่ทุกข์ แล้วจะทำนำให้เราสร้างทุกข์ สร้างความเดือดร้อน ให้คนอื่นด้วย อันนี้ก็หลักการใหญ่ของพุทธศาสนาว่า ชีวิตของคน ของสรรพสัตว์ สัตว์ทั้งหลายเป็นกฏแห่งกรรม และความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่ประกอบด้วย เราโกรธหลง ก็เป็นความรู้สึกฝ่ายกรรมชั่ว ฝ่ายอกุศล ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการยอมรับความเป็นจริง คือกฎแห่งกรรม และด้วยเจตนาที่ปลอดจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง แม้จะชั่วคราวก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความรู้สึก ฝ่ายกุศล.

อันนี้คุยอย่างนี้ก็เป็นนามธรรมมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ความโกรธ ความโลภ ก็คือ emotion คือ ความรู้สึก ก็อยู่ฝ่ายอกุศล เพราะอะไร? ก็เพราะเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าในเรา ในของเรา ในการโทษคนอื่น และการถือว่าเค้า อย่างเช่นว่าเค้าไม่น่าทำอย่างนั้น ไม่ควรทำอย่างนั้น ทำอย่างงี้ว่าแย่ เพราะมีความรู้สึกว่า มันควรจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเค้าควรจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราไม่พอใจว่า มันไม่ตรง มันไม่ตรงกับที่เราต้องการให้เป็น ที่เราเห็นว่าสมควรจะเป็น ฉะนั้นจึงเห็นว่าความโกรธนี้ลึก ถ้าดูอย่างที่รากของมัน มันเกิดจากการไม่ยอมรับความจริง คือถ้าเรามองตามความเป็นจริงตามกฎแห่งกรรมว่า ในกรณีนั้นสิ่งนั้นเกิดขึ้น หรือคนนั้นทำอย่างนั้น เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ เพราะการกระทำ เพราะเจตนา เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ เมื่ออดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ เหตุปัจจัยต่างๆเป็นอย่างนี้ เจตนาของคนต่างๆเป็นอย่างนี้ นี่คือผล มันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราปล่อยให้ต่อต้าน ไม่ยอมรับความจริง เพราะไม่ตรงกับที่เราต้องการให้เป็น ความโกรธก็จะเกิดขึ้น เราจึงถือว่าความโกรธก็อยู่ฝ่ายโง่ ความโกรธก็อยู่ฝ่ายอวิชชา ความโกรธก็อยู่ฝ่ายทำร้าย ความโกรธไม่มีผลดี ต่อความคิด.

ส่วนความเมตตาสงสาร ก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง แล้วเป็นความรู้สึกที่อยู่ฝ่ายดี เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อเรารู้เห็นตามความเป็นจริง ว่า โอ้ คนนั้น อย่าง สมมติว่า เค้าหลง เค้าหลงอารมณ์ตัวเอง เค้าหลงอารมณ์ตัวเอง แล้วก็ไปทำไปพูดไปคิด แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองทุกข์เดือดร้อน สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน เข้าใจในกฎแห่งกรรม เข้าใจว่าคนไหนทำกรรม ก่อกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น เห็นตามความเป็นจริง และไม่มีอัตตาตัวตนของเราไปยุ่ง ไม่เอาศักดิ์ศรีของเรา ไม่เอาผลประโยชน์ตัวเองเข้าไปยุ่ง  แต่ดูตรงตามอาการ ตรงตามเรื่อง ตรงตามสภาวะที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่หดหู่ ไม่ใช่อะไร...คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือ เมตตา กรุณา สงสาร อยากช่วย.

สรุปแล้วว่า ถ้าเรามองด้วยความคิดผิด อารมณ์ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นฝ่ายอกุศล โดยธรรมชาติ ถ้าเรามองด้วยสติ ด้วยการไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวเอง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะเป็นฝ่ายกุศล ฉะนั้นในการทำให้โลกนี้ดีขึ้น ทำยังไงจะทำให้คนชั่วน้อยลง ทำความดีมากขึ้น ทำให้สังคมสงบสุข ขึ้นมาบ้าง คือไม่ใช่ว่าจะไปบังคับ จะขู่ อย่าให้ทำความชั่ว ทำความชั่วจะลงโทษอย่างแรง แล้วไม่ใช่ว่าขอร้อง เอ้อ จะต้องเป็นคนดีนะ พยายามเป็นคนดีนะ แล้วดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าที่ไหน ประเทศไหนที่ใช้วิธีขู่คนให้กลัว ไม่ทำบาปกรรมไม่ทำความชั่ว แล้วล่อทำความดี โดยให้รางวัลต่างๆ ตั้งแต่เรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องอำนาจ หรือความหวังว่าตายแล้วจะขึ้นสวรรค์ จะให้ ล่อให้คนทำความดีด้วยการให้รางวัล หรือให้หวัง ให้อยากได้รางวัล.

เท่าที่อาตมาศึกษาประวัติศาสตร์ ไม่เคยเห็นได้ผลอะไร คำตอบของพุทธศาสนาต่อเรื่องนี้คือ ให้ชวนให้คนมีปัญญา ขวนให้คนดูให้ดี พิจารณาให้ดี ลืมหูลืมตา เรียนรู้ศึกษาเรื่องชีวิตจริงของตัวเอง ทั้งด้านนอกด้านใน ศึกษาความเป็นมนุษย์ของตัวเอง พอรู้เห็นมากขึ้น ชัดขึ้น ความดีจะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นผลจากความรู้เห็นตามความเป็นจริง ความชั่วกำเริบเพราะเราขาดความรู้ ความเห็นตามความเป็นจริง นี้เพราะคนไม่ศึกษา ไม่รู้เท่าทันความรู้สึก เหตุผลต่างๆกลายเป็น ผู้รับใช้ความรู้สึกฝ่ายอกุศลมาก คือการที่ความคิดความเห็นจะต้องอยู่กับความรู้สึก อันนี้จะต้องมี ไม่มีไม่ได้ ธรรมดาของมนุษย์ จะคิดว่าเรา เราจะฝึกให้คนใช้เหตุผลล้วน ๆ ไม่มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องเลย มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็ต้องพยายามศึกษา และก็พัฒนาตัวเอง พัฒนาชุมชน ให้มีความรู้คว่ามเห็นชัด ถึงทางที่ว่าความดี หลั่งไหลออกมา เป็นธรรมดา แล้วมีความหวังได้ คือไอ้ความดีนี่ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย แต่ว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อคนสนใจศึกษา เห็นความจริง.

ฉะนั้นในความรู้สึกที่มีประโยชน์ ที่เราควรจะพัฒนา มีอะไรบ้าง? ก็มีตั้งแต่เรื่องของหิริโอตัปปะ นั่นเอง ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป ถ้ามีแล้วก็ต้องวิเคราะห์ก่อน ใช่มั้ยว่า เอ้ะ ความละอายความเกรงกลัวต่อบาป คืออะไร? บาปกรรมก็คือกรรม ที่ประกอบขึ้นด้วยเจตนาที่มีโลภ มีโกรธ มีหลง บาปก็คือกรรมชั่วนั่นเอง คือการกระทำ บาปไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง บาปคือการกระทำ ที่เรียกง่ายๆว่า กรรมดำหรือว่ากรรมชั่ว ฉะนั้นเราก็ต้องกลัว เราก็ต้องละอาย เราก็ต้องละอายต่อการกระทำชั่ว แต่ความละอายความเกรงกลัวจะเกิดขึ้น ได้อย่างไร? ถ้ายังไม่มี หรือยังมีน้อย ก็ปัญญานั่นแหละ รู้เห็นตามความเป็นจริง .

อย่างเรื่องของความละอาย ความละอายจะเกิดขึ้นเพราะความสำนึก ความสำนึกในเป้าหมายชีวิต ความสำนึกในอุดมการณ์ ควสามสำนึกในหน้าที่ต่างๆ ถ้าเราไม่คิดบ่อยๆ ไม่ทบทวนบ่อยๆ ในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ สิ่งที่เป็นเป้าหมาย สิ่งที่เป็นหน้าที่ สิ่งที่เป็นหลักชีวิต ก็คิดไม่ทัน กิเลสเกิดขึ้นเร็ว มันคล่องแคล่วมาก เพราะเราได้เรียงกิเลสไว้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ากิเลสเกิดขึ้นจะให้ทำจะให้พูดจะให้คิด แต่ในสิ่งที่ไม่เหมาะสมไม่ดีไม่งาม ถ้าเราเอาความคิดในทางกุศล ไม่เร็วพอ มันวิ่งมาไม่ทัน ทันทำไปแล้วพูดไปแล้วคิดไปแล้ว แล้วเมื่อทำแล้วพูดแล้วคิดแล้ว จึงรู้สึกเสียดาย รู้สึกมีความผิด รู้สึกตัวเองแย่ ดังนั้นเราต้องให้เวลากับการทบทวน ในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ในชีวิต หรือสิ่งที่เป็นหน้าที่ ในฐานะอะไรบ้าง ในฐานะเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นลูก หรือเป็นพี่เป็นน้อง หรือเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อน หรือเป็นประชาชน หรือว่าเป็นชาวพุทธ อะไรคือสิ่งที่เหมาะสม การกระทำ การพูด การคิด ที่เหมาะสมที่เราต้องการจะพัฒนาให้ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นลูกที่สมบูรณ์ เป็นพ่อเป็นแม่ที่สมบูรณ์ เป็นพี่เป็นน้องที่สมบูรณ์ เป็นต้น ต้องคิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆแล้วจะต้องอยู่ในสมอง เมื่อกิเลสเกิดขึ้นมีการกระตุ้น มีการยั่วยุ กิเลสจะเกิดขึ้น ความสำนึก ไอ้ตัวสติก็วิ่งมาว่า โอ้ ไม่ใช่ มันขัดกับหลักการ มันขัดกับอุดมการณ์ มันขัดกับเป้าหมาย ขัดกับหน้าที่ ถ้าทำอย่างนั้นเรียกว่าไม่ทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี ไม่ทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดี ไม่ทำหน้าที่เป็นชาวพุทธที่ดี เป็นต้น.

ไอ้ในความรู้สึกที่ว่าเป็นความขัดแย้ง ระหว่างสิ่งที่คิดว่าจะทำ และสิ่งที่เราถือว่าสมควรสำหรับเรา เนี่ยะ ความละอายเกิดขึ้นตรงนี้ ถ้าเรา...เบื้องต้นนี่เราก็ต้องฝึกความคิดให้คล่องอย่างที่ว่า แต่ถ้าทำบ่อยๆแล้ว ความคิดและความสำนึกก็มีความคล่องของมันเหมือนกัน จนกระทั่งมันคล่องเท่าหรือว่าคล่องเกินความคล่องแคล่วของกิเลส พอกำลังคิดจะ ความละอายเกิดขึ้น ไม่...ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ไม่ต้องใช้เหตุผลแล้ว เพราะว่าเหตุผลมันถึงขั้นที่ว่ากลายเป็นความรู้สึก  อันนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับความรู้สึก.

ความคิด ถ้าคิดในแนวทางเดียวกันบ่อยๆ มัน...ถ้าภาษา เอ่อ ภาษาวิทยาศาสตร์ เหมือนกับเป็น algorithm มันก็คิดตามกระบวนการดั้งเดิม บ่อยๆๆๆๆๆ มันจะเกิดทางลัด มันจะเกิดความรู้สึกผุดขึ้นมาทันที ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะทำดีหรือว่าไม่ทำดี อยากทำนะแต่ว่า อู้ย ไม่ต้องเสียเวลา เพราะมีความรู้สึกวิ่งมาช่วย แต่ว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากปัญญา ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณ หริอเกิดจากอวิชชา.

อันที่สองก็คือ ความกลัว ความละอายนี่จะเป็น อ่า จะเน้นที่การกระทำ และยิ่งความละอาย ขอโทษ...ความเกรงกลัวนี่ จะเน้นที่ผลกรรม คือเราทุกคน เวลาเรากำลังจะทำอะไรที่มันรู้สึกอยู่ลึกๆว่าไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่ว่าจะมีความคิด จะมีอะไรสักอย่างหนึ่งในใจว่า ไม่รับฟัง อย่ามายุ่ง อู้ย ถ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรสิ อ้าว เราก็ไม่เป็นพระอรหันต์สิ เราก็เป็นฆราวาสธรรมดา อู๊ย ช่างมันเถอะ ใครๆก็ทำ มันจะมีเหตุผลของกิเลสอย่างนี้ที่บอกว่า อย่าไปคิดมาก ว่าถูกหรือผิด สมควรไม่สมควร อย่าไปคิด เดี๋ยว เดี๋ยวจะไม่ได้ทำ แบบนี้ก็คือตรงข้ามกับความเกรงกลัวต่อบาป และถ้าเราฝึกบ่อยๆ ให้รู้ว่าไอ้การกระทำด้วยกิเลส มันก็ได้ ไม่ได้กำไร จะมีความรู้สึก มีความสุข รุนแรงชั่วคราว อาจจะมีการกระตุ้นประสาท ในลักษณะที่ชอบ ชั่วคราว แต่ผลภายหลัง  ไม่คุ้ม ผลกระทบต่อความรู้สึกเคารพนับถือตัวเอง ผลกระทบต่อความสัมพันธ์คนรอบข้าง ผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ.

หลายอย่างเนี่ยะ ถ้าเรานั่งคิดดีๆ ชั่งน้ำหนัก ข้อดีข้อเสีย ของการทำตามกิเลส ว่าไม่คุ้ม กิเลสก็รู้ว่าไม่คุ้ม มันจึงไม่อยากให้เราคิด เพราะนั้นก็ต้องฝืนความรู้สึก ให้คิดบ่อยๆ เอาเรื่องที่อดีตที่เราเคยผิดพลาดไปแล้วก็ได้ เอาเป็นบทเรียน แต่ว่าถ้าเราคิดบ่อยๆ มันจะกลายเป็นกระบวนการความคิด จะบิดเป็นแนวทางความคิดที่เราจะคล่อง แล้วไม่ต้องคิด คือมันจะพ้นจากกระบวนการคิด แนวทางความคิด เป็นความรู้สึก เหมือนกับเป็นทางลัด เพราะความรู้สึกจะเป็นตัวกระตุ้นการกระทำ ด้วยการไม่กระทำ อันกำลังจะคิดอะไรแล้วก็ โอ๊ย ไม่ทำหรอก ถ้าทำแล้วนี่สุขนิดเดียว แค่นั้นแหละ แต่ตอนหลังนี่ โห ไม่ไหวล่ะ ไม่คุ้ม.

คือเป็นการยอมรับความจริง  ทุกประเด็น ทุกแง่ทุกมุม ไม่เอาจิตไม่จดจ่อเฉพาะความสุขที่จะได้เร็วๆนี้ คือถ้ากิเลสฺนี่ก็คิดว่า ช่างมันเถอะ จะเป็นยังไง อนาคตจะเป็นยังไง ไม่รู้หรอก อยากจะได้ความสุขอย่างนี้ ต้องการได้ความสุขอย่างนี้ คุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เอ้า ขอให้ได้อย่างเดียว อันนี้ก็คือการกิเลส การคิดแบบกิเลส เพราะฉะนั้นเราจะต่อต้านคความรู้สึกอย่างนี้ ความต้องการอย่างนี้ ด้วยเหตุผลในขณะนั้นไม่ได้ มันไม่ทัน จิตใจไม่มีคุณสมบัติที่จะไปโต้วาทีกันในเวลานั้น สิ่งที่จะช่วยชีวิตเราได้ ป้องกันอันตรายเราได้คือความรู้สึก และความรู้สึกนั้นก็คือ  โอตัปปะ ความกลัวต่อบาปกรรมหรือผลของการกระทำ.

เพราะฉะนั้นความรู้สึก 2 ข้อนี้เป็นตัวอย่าง ที่ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดจากสัญชาตญาณ หรือเป็นไปได้ว่าบางคนที่เคย รักษาศีล หลายภพหลายชาตินี่มีบุญมีบารมี และรู้สึกว่าการไม่ทำสิ่งไม่ดี เป็นเรื่องง่าย ไม่เห็นจะยาก อันนี้ดเรีนยกว่าเป็นบุญเป็นบารมี แต่ส่วนมากเราก็ต้องพัฒนา ถึงจะมีอยู่ในระดับหนึ่ง จะเอาเป็นเครื่องป้องกันอันตรายในทุกๆเรื่อง ยังไม่ได้ ต้องฝึก ฝึกอย่างไร? ฝึกด้วยการคิด ฝึกด้วยการทบทวน ด้วยการพิจารณา ความละอายก็ด้วยอุดมการณ์ ด้วยหน้าที่ ด้วยสิ่งที่เราเชิดชูว่าเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมีในชีวิต แล้วความเกรงกลัวก็ด้วยการพิจารณาใน เหตุผล การกระทำ ที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ในระยะยาว ภายในกาย ภายในใจ กับการสัมพันธ์กับ อ่า คนรอบข้าง เป็นต้น หรือกับทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สินต่างๆ ถ้าเป็นการเล่นการพนันเป็นต้น.

ฉะนั้น ความคิดก็นำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกก็นำไปสู่ความคิด คือถ้าคิดอย่างไหนแล้ว ถ้ารู้สึกอย่างไหน ความคิดที่จะเกิดขึ้น มันจะสอดคล้องกับอารมณ์นั้น  เหมือน...เหมือนอารมณ์ความรู้สึก เหมือนเป็นนิเวศน์ ไอ้พืชต่างๆที่จะเกิดขึ้นในนิเวศน์ ยังไงก็ต้องสอดคล้องกับนิเวศน์ อ่า ถ้าเมืองไทยเราก็ปลูก...ปลูกต้นอะไรล่ะ...ปลูกต้นสับปะรด แต่อังกฤษนี่ปลูกไม่ได้  เพราะดินฟ้าอากาศไม่เหมือนกัน ทีนี้เมื่อเราคิดด้วยเมตตา เราตรวจรู้สึกเมตตา รู้สึกสงสาร ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น มันก็จะเป็นไปในทางที่เอื้ออาทร มันรู้สึก อ่า โอ้ น่าเอ็นดู โอ้ ทำอย่างไรเราจึงจะช่วยเค้าได้ และเรา พอเราความคิด อ่า เกิดขึ้นจากอารมณ์ ความคิดนั้นก็ปรุงแต่งอารมณ์อีกที มันจะหมุนๆๆๆอยู่ยังงั้นน่ะ ถ้ามันจิตเป็นอกุศล มันก็ตรงกันข้าม เกิดโกรธ พอโกรธแล้ว ความคิดด้วยความโกรธ ก็ปรุงแต่งไป เสร็จแล้วก็ปรุงแต่งไปปรุงแต่งไป มันก็เป็นการเติมเชื้อของความโกรธอีกที.

ฉะนั้น อยากจะให้เห็นความสัมพันธ์ อ่า เรื่องอาศัยความคิดกับความรู้สึก ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล ก็น่ากลัว ถ้าเป็นฝ่ายกุศลนี่ก็เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความสุขความเจริญ การที่จะไม่ให้มีความรู้สึกซะเลย ไม่ได้ ฉะนั้นเราก็พัฒนาความรู้สึก อ่า หิริโอตัปปะ เป็นต้น เป็นความรู้สึก ที่เกิดจากการพิจารณา ความเมตตาสงสารก็เกิดจากการรู้การเห็นตามความเป็นจริง ของมนุษย์ เรื่องนี้เราดูจาก อ่า พุทธประวัติ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ด้วยปัญญา เมื่อพุทธองค์ตรัสรู้ด้วยปัญญา แล้วเสวยนิพพานสุขแล้ว อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระพุทธองค์? ก็ความกรุณา ความมหากรุณาธิคุณ เพราะเมื่อพระพุทธองค์ได้ค้นพบความจริงว่า มนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์ และเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะสมุทัย และมนุษย์มีศักยภาพมีความสามารถจะละสมุทัยได้ เข้าถึงนิพพานเหมือนพระพุทธองค์ ถ้าเพื่อประพฤติปฏิบัติตามหลักอริยมรรค มี องค์ 8.

เพราะพระพุทธองค์เข้าใจว่า ความทุกข์ของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำใจ ไม่ใช่การดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แผนการขแองพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็เป็นเพราะตามเหตุตามปัจจัย และมนุษย์มีปัญญา จะรู้จะเข้าใจ พอที่จะละบาปบำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาดได้ พระพุทธองค์ทรง ลุกขึ้น เริ่มการเผยแผ่ เริ่มการประกาศพระสัทธรรม แล้วจากนั้น 45 ปี พระพรรษาของพระพุทธองค์ ตั้งแต่เช้ามืดจนดึกจนดื่น พระพุทธองค์ก็ทรงใช้เวลาในการโปรดสัตว์ พระพุทธองค์โปรดสัตว์โดยเจตนา ด้วยความรู้สึก คือความกรุณา มหากรุณาธิคุณ แต่กุศโลบายต่างๆที่ หลักคำสอนต่างๆที่พระพุทธองค์ใช้ในการสั่งสอน พระสาวกทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ใช้ปัญญา ฉะนั้นไปด้วยกัน นั่นคือ...คือถ้าเป็นหลักสูงสุดน่ะ ปัญญากับกรุณาไปด้วยกัน ความกรุณาก็เป็นสิ่งที่ให้แรงดลบันดาลใจ ที่จะให้ยอมเหน็ดยอมเหนื่อย เพื่อทำประโยชน์ เพื่อโปรดสัตว์ ปัญญาก็คือความสามารถในการเลือกแนวคิดเลือกคำพูด เลือกหลักการต่างๆที่ผู้ฟังสามารถเอาไปใช้ เอาไปแก้จิตใจตัวเอง ให้เข้าถึงหลักธรรมได้.

ฉะนั้นเมื่อกี้ก็ได้กล่าวถึง อ่า หิริโอตัปปะ แล้วต้นๆก็เรื่องศรัทธา คือศรัทธาก็คือความรู้สึก ที่ในทางพุทธศาสนาน่าต้องมี เหตุผลเป็นพื้นฐาน แต่ว่าในขณะเดียวกัน มีความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า ยังไม่รู้ ยังไม่เห็นทั้งหมด แต่เชื่อไว้ก่อน เพราะเรารู้สึกว่า พระศาสดาของเรานี่ น่าไว้ใจที่สุด ในเมื่อเรามีศรัทธาแล้ว เราก็จึงมีเข็มทิศว่า เอ๊ะ เรื่อวงนี้มันน่าสนใจนะ รึว่าแต่ว่าไม่มีเวลาหรอก ชีวิตมันสั้นเกินไป โอ้ เรื่องนั้นมันสนุกดี มันน่า น่าบันเทิงนี่ ชอบเหมือนกัน แต่ไม่เอาล่ะ ไม่มีเวลา มันไม่ได้ประณามว่ามันเลวร้ายหรอก แต่ว่าเราเกิดมาในโลกนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่กี่ปี ฉะนั้นเมื่อเรามีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำชีวิตของเราให้เรียบง่าย ให้มีโอกาสเจริญในธรรมให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ เพราะศรัทธาจะทำให้ เรามี focus ที่ชัดเจน และก็มีความมุ่งมั่น.

ทีนี้มันมี...มีความรู้สึกอย่างอื่น ข้อหนึ่งที่กล่าวถึงบ่อยๆ นั้นก็เรื่องฉันทะกับตัณหา คือทางโลกก็มักจะมีการ อ่า โดยเฉพาะในทางตะวันตกจะเห็นชัดเลยว่า มีการใช้ตัณหา เป็นเครื่องกระตุ้นคน ทำให้คนอยาก ก็เข้าใจว่าความขยันเกิดจากความอยาก นั้นเห็นว่าความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนแบบ แข่งขัน ถือว่าสังคมเจริญด้วงยการแข่งขัน หากมีความแข่งขันที่ไหน มีความเจริญที่นั่น ที่จริงการแข่งขันก็เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเจริญได้ แต่ว่าเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเสื่อมได้เหมือนกัน มันแล้วแต่บริบท แล้วการรู้จักการทำงานเป็นทีม เสียสละเพื่อส่วนรวม ก็เป็นสิ่งที่นำไปสู่ คว่ามเจริญได้เหมือนกัน และอาจจะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมบ้าง แต่ไม่บ่อย แต่ถ้าเป็นผู้มีปัญญา จะต้องรู้ว้ากรณีไหน บริบทไหนที่ตรงไหนอย่างไร จึงจะเน้นความแข่งขัน ตรงไหนที่จะเน้นความเสียสละเพื่อ ส่วนรวม ถ้าจะเอาแต่แข่งขันในทุกๆเรื่อง อ่า องค์กร สถาบัน ก็ไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไหร่ ก็ต่างคนต่างคิดที่จะเอาตัวรอด ที่จะหาผลฃประโยชน์ส่วนตัว.

ทีนี้ในเรื่อง แรงดลบันดาลใจ ที่ว่าความอยาก ทางพุทธศาสนาจะแยกแยะความอยากออกเป็น 2 อย่างเหมือนกัน กุศลกับอกุศล ถแป็นอกุศลก็เรียกว่าตัณหา เพราะมันเป็นความอยากได้ผล อยากได้ อยากดี อยากเป็น หรือว่าอยากให้พ้นจากสิ่งนั้น ไม่อยากได้ในสิ่งนี้ ความอยากอย่างนี้มีพลัง  แต่ว่ามักจะมีผลข้างเคียงมาก แล้วเมื่อตัณหาและความอยาก นี้ยิ่งเน้นที่ผลการกระทำ มันจะมีปัญหาอยู่เสมอว่า ไอ้ตัวการกระทำ ก็เป็นแค่เงื่อนไขที่ต้องทำ เพื่อจะได้สิ่งที่อยากได้ คือเงินเดือน คือลาภยศสรรเสริญสุข ซึ่งนำไปสู่ หนึ่ง งานฉาบฉวยไม่เรียบร้อย สอง ความทุจริต อันนี้เห็นได้ชัด ทางพุทธศาสนาได้เน้นให้เราเปลี่ยนแรงดลบันดาลใจ จากความอยากที่เป็นตัณหา ให้เป็นความอยากหรือเป็นความรู้สึก แต่ความรู้สึกที่เป็นฉันทะ คือมีความอยากในตัวการกระทำ ต้องการทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ ให้ดีที่สุด ให้มีความภาคภูมิใจ ให้มีความปลาบปลื้ม ให้มีการคิดสร้างสรรค์ ให้มีการพัฒนา ในตัว การกระทำ โดยถือว่า ไอ้เรื่องลาภยศสรรเสริญเจริญสุขนี่มันก็มาเองอยู่หรอก นี่ไม่ต้องสงสัยถ้าทำงานด้วยความรัก ด้วยความเคารพ ด้วยความตั้งอกตั้งใจ จะทำให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ มีความพอใจมีความปลื้มใจในตัวงาน ในตัวเหตุ.

ฉะนั้น ความรู้สึก ถ้าเป็นตัณหา ความคิดในการตัดสินสว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เวลาทำด้วยตัณหาก็อย่างหนึ่ง ถ้าทำด้วงยฉันทะ ก็อย่างหนึ่ง อย่างเช่นคนทำงาน ถ้าคิดด้วยตัณหา เอาแต่เงินเป็นใหญ่ ถ้าเอาแต่เงินใหญ่ก็ต้องคิดว่า ทำยังไงค่าใช้จ่ายจะน้อยที่สุด จะจ้างลูกน้องให้ต่ำที่สุด เพื่อเราจะได้กำไรให้มากที่สุด ในไอ้เรื่องสุขภาพกาย สุขภาพจิต ของลูกน้อง ไม่สนใจ สนใจแต่เงินอย่างเดียว โดยอ้างการแข่งขัน อ้างอย่างนั้นอ้างอย่างนี้ เป็นต้น อันนี้เรียกว่า เป็นผู้บริหารแบบตัณหา แต่ถ้าเป็นผู้บริหารแบบฉันทะ ว่านี่คืองานที่ต้องทำ อยากทำให้มันดี อยากจะเป็นบริษัท อยากจะเป็นองค์กรที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ และในการเป็นองค์กรเป็นบริษัทที่ดีที่สุดนั้น ส่วนหนึ่งคือ สุขภาพกายสุขภาพจิตของลูกน้อง ต้องการทำประโยชน์ทั้งทางโลก ทั้งทางธรรมด้วย ต้องการทำให้ทุกคนที่ทำงานที่นี่ มีความภาคภูมิใจ มีความสุข มีความรู้สึกเหมือนกับ เป็นครอบครัว เสียสละเพื่อซึ่งกันและกัน.

ทำงานขยันเหมือนกัน แต่ว่ามีความสุขในการขยัน ไม่ใช่ว่า คอยดูว่า อ่า วันเสาร์อีกกี่วัน วันอาทิตย์อีกกี่วัน จะได้...จะได้พักผ่อน จะได้ไม่ต้องทำงาน ฉะนั้นความ...เมื่อมีความ มีฉันทะ มีความรักความพอใจ ความมุ่งมั่นในตัวการงาน ตัวองค์กร คุณภาพของชีวิตของทุกคนที่เกี่ยวข้องละ มีความสร้างสรรค์ที่จะปรับปรุงแก้ไข จะทำให้มันดี มันก็จะผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ  แต่ทำด้วยอยาก อยากได้ผล อยากได้ผลมาก ได้ผลเร็ว อ่า มันก็จะทำให้คุณภาพชีวิตทุกคนเสื่อมไป.

ฉะนั้น ความคิดที่ประกอบด้วยฉันทะ การทำให้ไอ้ตัวการกระทำในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ และดีสำหรับทุกคน ความคิดมันจะต่างกันมาก กับความคิดของผู้ที่ถือว่า ใช้...ใช้ลูกน้องเหมือนเป็นวัตถุ ใช้แล้วใช้เต็มที่ บีบให้เต็มที่แล้วก็ทิ้ง เอาคนใหม่มา ช่างมันไม่เป็นไร ฉะนั้นความคิดในทุกทาง สังเกตว่าแรงบันดาลใจจะอยู่ฝ่ายตัณหาหรือจะฝ่ายฉันทะ อ่า จะเป็นเพื่อผลประโยชน์หรือจะให้ความสำคัญมากน้อยกับปัจจุบัน กับการกระทำ กับความเป็นอยู่ของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง.

ดังนั้นในวันนี้อาตมาก็เลยได้ให้ข้อคิด ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ความคิดกับความรู้สึก  ความรู้สึกที่เป็นอกุศล มักจะทำให้เรื่องยุ่งเหยิง แล้วทำให้เกิดปัญหามาก เพราะว่าเป็นฝ่ายอกุศลนั้นก็คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการไม่รับรู้ต่อกฎแห่งกรรม ไม่รับรู้ต่อความเป็นจริง และหลักความเสื่อม หลักความเจริญ เพราะเช่นนั้น ไอ้ความโกรธ ความ อ่า ทะเยอทะยานอยากได้ ความอิจฉาพยาบาท ไอ้ความถือตัวถือตน หรือว่าความรู้สึกที่เป็นฝ่ายโมหะ เช่น ความวิตกกังวล ความซึมเศร้า ความหดหู่ ความรู้สึกเหล่านี้ที่เกิดจากความคิด ผิด จะทำให้ความคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ มีแต่เพิ่มความทุกข์ เพิ่มความเดือดร้อน ทั้งตัวเองและคนอื่น.

แต่ถ้าเราฝึกให้พิจารณา ให้มีสติ รับรู้ต่อความจริง มีศรัทธาในกฎแห่งกรรม มีศรัทธาในความสามารถของตน ในการละบาปบำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด ในความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกที่ทำให้ชีวิตเราสดชื่นเบิกบาน ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องบังคับความรู้สึกที่ดีที่งาม เกิดขึ้นเพราะเราเพียรพยายามรับรู้ต่อความเป็นจริง.

เอาละวันนี้ก็ได้แสดงธรรมพอสมควร.  

...สาธุ...

https://youtu.be/di6pR86yR8k?si=WXbR_icQb25I5pwO

                                                                   

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

แจ็ค หม่า – จีนไม่ได้ขโมยงานอาชีพของอเมริกา

แจ็ค หม่า – จีนไม่ได้ขโมยงานอาชีพของอเมริกา

Jack Ma: China DID NOT STEAL America's Jobs

          https://youtu.be/0jfYSncSTEY?si=i6U3mQFSVBdIlWZh

พิธีกร:  ให้บางความคิดเห็นทั้งหลายกับเราหน่อย ที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้ทำเกี่ยวกับจีนว่าเป็นยักย้ายถ่ายเท, ผู้ยักย้ายถ่ายเงินตรา, ทำตัวเป็นผู้โกง, ที่ได้พูดออกมาระหว่างการประชุมของคุณ.  (Given some of the comments that Donald Trumps has made about China being a manipulate, a currency manipulator did, that did that come up during your meeting.)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     ผมคิดอย่างอย่างแรก, อเมริกามีอิสระเสรีที่จะพูดอะไรๆ, ถูกมั้ย? ดังนั้น, เขาสามารถพูดอะไรก็ตามที่เขาต้องการและผมก็เคารพในเรื่องนั้น, ผมเข้าใจ. แต่แน่นอนละ, ผมก็มีมุมมองทั้งหลายของผม เราไม่โต้วาทีในเรื่องของการค้าของ จีน-สหรัฐ หรือการจัดการ/เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม/ยักย้ายถ่ายเทที่ว่านั้น, เราไม่ได้โต้วาทีกัน. (I think first in America there’s a freedom of speech, right? So, he can say whatever he wants and I respect, I understand. But of course, I have my views we did not the debate about the China – US trade or manipulation, we did not debate.)

          เราไม่ได้คุยกัน, เราอย่างแท้จริงแล้ว, เราเก็นพ้องกันกับบางอย่างที่เป็นการพัฒนาขนาดเล็กในมิดเวสต์ อเมริกา ช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาทั้งหลาย, คุณรู้มั้ย, ธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังส่งออกสินค้าไปที่จีน, ดังนั้นเราทั้งหมดเห็นพ้องกัน. แต่บางอย่างที่เราไม่ได้ถกเถียงอภิปรายไปถึง, คุณก็รู้, การสูญเสียงานอาชีพของคนอเมริกันให้แก่จีน, เม็กซิโก และสิ่งนี้ผมสามารถแบ่งปันกับคุณได้, ความคิดทั้งหลายของผมเอง. (ได้โปรด). เย้.  (We did not talk we actually we agreed on something small developing the Midwest America helping the farmers there, small business there exporting to China, so we all agreed. But something that we did not discuss about the, you know, the American the job losing to China, Mexico and this I can share with you, my ideas. (please) Yeah.)

          อย่างแรก, ผมคิดว่าเมื่อ 30 ปีก่อน, เมื่อผมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยทั้งหลาย, ผมได้ยินว่าอเมริกาได้ใช้กลยุทธอันน่ามหัศจรรย์มาก พวกเขาจ้างงานนอกประเทศในงานการผลิตทั้งหลาย, งานบริการทั้งหลาย, พวกเขาจ้างงานภายนอกงงานการผลิตไปที่เม็กซิโกและจีน, จ้างงานจากภายนอกงานบริการไปที่อินเดีย.  มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ “โลกนี้แบน” - ทอม ฟรีดแมน, (ช่าย, สหายร่วมอาชีพแห่งนิวยอร์ค ไทมสิ์). คุณรู้มั้ย, ว่าคนอเมริกันทั้งหลายบอกว่า, อ่า เราแค่ต้องการที่จะควบคุม IP, เราแค่ต้องการที่จะมีเทคโนโลยี, เราแค่ต้องการที่จะมียี่ห้อ และทิ้งให้, งานราคาถูกและสร้างงานอาชีพทั้งหลายให้กับโลก, นั่นเป็นกลยุทธที่ยิดเยี่ยมมาก. (Internet Protocol - มาตรฐานที่สร้างขึ้นในเรื่องของการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเครื่องปลายทาง (terminal) ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์) (First, I think 30 years ago, when I just graduated from university, I heard America had a wonderful strategy they outsource the manufacture job, service jobs, they outsource the manufacture to Mexico and China, outsource the service job to India. There is a book called ‘The World is Flat’- Tom Friedman1, (yeah, colleague of New York Times). You know, that the Americans said ah we just want to control the IP2, we just want to have technology, we just want to brand and leave the, the low and the jobs for the world, great strategy.)

          1 https://en.wikipedia.org/wiki/Thomas_L._Friedman

          2 https://en.wikipedia.org/wiki/IP_address

          และอย่างที่สองก็คือว่า, บริษัทนานาชาติอเมริกันทั้งหลายได้ทำเงินหลายล้านและหลายล้านดอลลาร์จากโลกาภิวัฒน์. บริษัททั้งหลายที่ยอดบน 10, 100 บริษัททั้งหลายในอเมริกา, อย่างน่าทึ่ง. ผมจำได้ เอ่อ เมื่อผมจบปริญญาจากมหาวิทยาลัย ผมได้พยายามที่จะซื้อ Bleeper, Bleeper ของ Motorola (เพจเจอร์ หรือเรียกอีกอย่างว่า บีปเปอร์ หรือ บี๊บเปอร์ คือ อุปกรณ์โทรคมนาคมไร้สาย ที่รับและแสดงข้อความ ตัวอักษร และตัวเลขหรือเสียง)   คิดเงินผม 250 ดอลลาร์. เงินรายได้ของผมในเวลานั้นคือ 10 ดอลลาร์ต่อเดือน ในฐานะเป็นครู. และนั่นคือ ค่าใช้จ่ายในการผลิตbeeperเป็นแค่ 8 ดอลลาร์ต่อเครื่องเท่านั้น, ใช่มั้ย?  (And second is that, the American international companies made millions and millions of dollars from globalization. The top 10, top 100 companies in America, amazing. I remember uh when I graduate from university I try to buy a beeper, the Motorola Beeper3 costs me $250. My pay at that time is $10 a month as a teacher. And that cost of making that beeper is only $8 for a chip, right?)

          3 https://en.wikipedia.org/wiki/Pager

          แล้ว, ใน 30 ปีที่ผ่านมา, IBM, Cisco, Microsoft, พวกเขาได้สร้างเงินได้เป็นตันๆ, เงินจากผลกำไรที่พวกเขาได้มากยิ่งขึ้นกว่าธนาคารใหญ่ที่สุด 4 แห่งในจีน, เอามารวมกันของโทรศัพท์มือถือของจีน, China Unicom  และ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณเอ่ยชื่อมาได้เลย, มันมารวมกันจนกระทั่งบริษัทข้ามชาติทั้งหลายเหล่านี้ได้ทำเงินมากยิ่งขึ้นกว่า. แล้ว, มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของพวกเขาก็เติบโตขึ้นเป็น 100 เท่าจากในอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ที่ไหนซึ่งเงินไปต่อล่ะ? นี่คืออะไรซึ่งผมสนใจจริงจัง เพราะในฐานะผู้คนธุรกิจ; ผมมักจะห่วงใยเอาใจใส่เกี่ยวกับงบดุล ที่ซึ่งเงินได้มา, ที่ซึ่งเงินได้ไป. (So, the past 30 years, IBM, Cisco, Microsoft, they made a ton of money, the money the profit they made are much more than the four largest banks in China, put together the China Mobile phone, China Unicom and, whatever your name, it put together still these multinational companies made more money than. So, their market cap4 grows more than 100 times in past 30 years but where the money goes? This is what I’m curious cause as a business people; I always care about the balance sheet5 where the money coming where the money goes.)

          4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94

          5 https://en.wikipedia.org/wiki/Balance_sheet

          30 ปีที่ผ่านมา, คนอเมริกันได้มี13 สงคราม ใช้จ่ายเงินไป 14.2 ล้านล้านดอลลาร์, เงินได้กำลังไปที่นั่น. อะไรถ้าพวกเขาได้ใช้จ่ายเงินส่วนหนึ่งไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้กับพวกคอปกขาว(พนักงานสำนักงาน), คอปกขาวและคอปกน้ำเงิน, ไม่ว่ากลยุทธจะมันจะดีอย่างไร, คุณได้ถูกคาดหวังว่าจะใช้จ่ายเงินไปกับผู้คนของคุณเอง, ถูกต้องมั้ย? กับทุกคนที่ไม่ได้ผ่านฮาวาร์ดมาเช่นผม, เราอาจจะไม่ได้มีการศึกษาดี, ถูกต้องมั้ย?  (Past 30 years, the American had 13 wars spending $14.2 trillion, the money going there. What if they spend a part of that money on building up the infrastructure helping the white collar6, the white collar and the blue collar, no matter how strategic good it is, you’re supposed to spend money on your own people, right? On the not everybody can pass Harvard like me, we may not good at education, right?)

          6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99

          เราควรที่จะใช้จ่ายเงินไปกับผู้คนเหล่านั้น ผู้ที่ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนดีๆ, และกับเงินอื่นๆที่ผมสนใจอยากรู้เกี่ยวกับมันก็คือว่า, เมื่อผมตอนเป็นหนุ่ม, ผมได้ยินว่าอเมริกาทำกับฟอร์ด, ฟอร์ดและโบอิ้ง บริษัทผู้ผลิตขนาดใหญ่, เมื่อ 10-20 ปีที่ผ่านมา ผมได้ยินถึงเรื่อง ซิลิคอน วัลเลย์และวอลล์ สตรีท, เงินไหลไปที่วอลล์ สตรีท. (We should spend money on those people who are not good at schooling, and the other money which I’m curious about is that, when I was young, I heard America is about the Ford, Ford and Boeing those big manufacturer companies, last 10-20 years I heard about is Silicon Valley and Wall Street, the money goes to Wall Street.)

          และอะไรที่ได้บังเกิดขึ้นปี 2008, วิกฤตการณ์ทางการเงินได้กวาดออกไปเฉพาะสหรัฐอเมริกาถึง 19.2 ล้านล้านดอลลาร์. พวกนั้นได้กวาดเอาพนักงานสำนักงานออกไปและได้ทำลายงานอาชีพทั้งหลายทั่วโลก 34 ล้านราย.  ดังนั้น, อะไรถ้าเงินนั้นไม่ได้เป็นวอลล์ สตรีท, อะไรถ้าเงินนั้นได้ถูกใช้ไปกับมิดเดิ้ล อีสต์, มิดเดิ้ล เวสต์ ของสหรัฐอเมริกา, การพัฒนาในด้านอุตสาหกรรม นั่นก็สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมากมาย. (And what happened year 2008, the financial crisis wiped out $19.2 trillion USA alone. They wiped all the white collar and destroyed 34 million jobs globally. So, what if the money is not the Wall Street, what if the money spent on the Middle East, Middle West of the United States, developing the industry there that could be change a lot.)

          ดังนั้น, มันไม่ใช่ประเทศทั้งหลายอื่นที่ขโมยงาสนอาชีพทั้งหลายไปจากพวกคุณ, มันเป็นกลยุทธของคุณเอง, โอเคมั้ย? แต่คุณไม่ได้กระจายเงิน, เงินของพวกคุณและสิ่งทั้งหลายที่ควรถูกใช้ไปอย่างเหมาะสม. นี่คืออะไรที่ผม...(So, it’s not the other countries steal jobs from you guys, it is your strategy, okay? But you did not distribute the money, the money and things in proper way. This is what I…)

พิธีกร:  แล้วตอนนี้เราก็โดนการสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรง, ลิการสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรงนั้นก็คือ คำตำหนิติเตียนของโลกาภิวัตน์ และมากเหลือเกินของการสนทนาอย่าวงเปิดอกที่เรามีกันในที่นี้. และแซ่ฟาดหลังกำลังบังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา แต่ผมจะขอพูดว่าประธษนาธิบดี สี ได้มาอยู่ที่นี่เมื่อวานนี้ คุณได้ทานอาหารกลางวันกับท่าน และท่านได้อ้างถึงคำพูดของอับราฮัม ลินคอล์น. คุณคิดว่านั่นอะไรบ้าง?  (And now we are having a backlash, and that backlash is a rebuke of globalization and so much of the conversation frankly that we have here. And that backlash is happening in the United States but I will say President Xi was here yesterday you had lunch with him. And he was quoting Abraham Lincoln. What did you make that?)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     เอาละ, ผมอยากจะพูดว่า โลกาภิวัตน์นั้นคือของดี. มันเป็นที่สหรัฐอเมริกา, มันเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วที่จะสอนเราว่าโลกาภิวัตน์ทำอย่างไร. ผมจำได้ปี 2002 หรือหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จีนจะได้เข้าร่สวมองค์กรการค้าโลกWTO, ทุกคนในจีนเป็นกังวลผม. ผมได้เป็นกังวลเพราะ อะไรถ้านานประเทศทั้งหมดเข้ามา, ผลผลิตทั้งหลายมายังจีน ทำลายอุตสาหกรรมของเรา และเราได้สูญเสียงานอาชีพของเรา.  (Well, I would say that globalization is a great stuff. It’s the USA, it’s a developed country to teach us how to do globalization. I remember 2002 or one week before China joined the WTO, everybody in China was worried me. I was worried cause what if all the international come, products come to China destroy our industry and we have lost our job.)

ดังนั้น, หลังจากชักจูงจีนมานาน 20 ปี แล้วพวกคุณกำลังบอกว่า, พูดว่านี่เป็นสิ่งเลวร้าย. ผมเชื่อว่าโลกาภิวัตน์นั้นดี แต่โลกาภิวัตน์จำเป็นต้องถูกปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น. นี่คือที่โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีต้องการจะคลี่คลายปัญหาของมัน, ปัญหาทั้งหลายที่โลกาภิวัตน์นั่น, ผมควรที่จะรวมเอาครอบคลุมไปถึงโลกาภิวัตน์ด้วย. ใน 30 ปีที่ผ่านมา, โลกาภิวัตน์ได้ถูกควบคุมไว้โดย 60,000 บริษัทขนาดใหญ่. เมื่อร้อยปีมาแล้ว, โลกาภิวัตน์ได้ถูกควบคุมโดยหลายกษัตริย์ปและจักรพรรดินีทั้งหลาย.  (So, convince the China after 20 years then you guys are telling, say this is a terrible thing. I believe globalization is good but globalization needs to be improved. This is Donald Trump president elect want to solve it, the problems that globalization, I should be inclusive globalization. In the past 30 years, the globalization was controlled by 60,000 big companies. A hundred years ago, globalization was controlled by several Kings and Empresses.)

อะไรถ้าอีก 30 ปีข้างหน้า, เราสามารถสนับสนุนธุรกิจ 6 ล้านที่กำลังทำธุรกิจนี้ได้ตลอดทั่วกระดาน? อะไรถ้าในอีก 30 ปีข้างหน้าเราสามารถช่วยเหลือสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก 20 ล้านให้สามารถทูรกิจได้ทั่วกระดาน? ดังนั้น, นี่คือบางอย่างที่ผมเชื่อว่าโลกาภิวัตน์ ควรที่จะครอบคลุมกว้างออกไปให้ทั่วถึง. (What if next 30 years, we can support 6 million business doing business cross the board? What if in next 30 years we can help support 20 million small business can do business cross the board? So, this is something which I believe globalization should be inclusive.)

พิธีกร:  และคุณคิดว่าคำพูดทั้งหลายของประธานาธิบดี สีจะบังเกิดขึ้นเป็นจริงขึ้นได้ ที่คือซึ่งพูดว่า เย้ จีน ได้มีการกระทำซึ่งกว้างไกลใหญ่โตในนามของตนเองมามากมายหลายปีแล้ว. และในตอนนี้อย่างมีประสิทธิผลกำลังบอกว่า สหรัฐจำเป็นต้องกระทำต่อไปในนามของทุกคนอื่น.  (And do you think that the words of President Xi will happen in reality which is to say yeah that China has largely acted on its own behalf for many, many years. And now is effectively saying that the US needs to continue acting on everybody else’s behalf.)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     เย้, ผมคิดว่าคุณก็รู้, โลกจำเป็นต้องการบาง อืม อย่างที่ผมเป็น, มิสเตอร์ สี ได้กล่าวเมื่อวานนี้ว่า มันเป็นเวลาอันอัศจรรย์, มันเป็นเวลาที่ดีที่สุดหรือไม่ก็เวลาที่เลวร้ายที่สุด. โลกจำเป็นต้องการผู้นำใหม่, แต่ผู้นำใหม่นั้นก็ต้องเกี่ยวกับการทำงานร่วมด้วยกัน นี่คืออะไรที่ผมเข้าใจ. เราไม่ได้จำเป็นต้องการผู้นำหนึ่งใดโดยเฉพาะ ที่จะมาสอนเราในอะไรที่จะทำ. แต่โลกต้องเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน.  (Yeah, I think you know the world needs some um I as a being it’s a such a, Mister Xi yesterday said it’s a wonderful time it’s a best time or the worst time. The world needs a new leadership, but the new leadership is about working together this is what I understand. We do not necessarily need one specific leader to teach us what to do what not to do. But the world has to partner together.)

          นี่คืออะไรที่ผมคิกด และผมคิดว่า ผมชอบ ในฐานะที่เป็นคนจีน, ในฐานะที่เป็นผู้คนธุรกิจผมชอบ, ผมรู้สึกภาคภูมิใจสำหรับอะไรที่ท่านประธานาธิบดี สี ได้กล่าวเมื่อวานนี้. ในฐานะบุคคธุรกิจ ผมต้องการให้โลกที่จะแบ่งปันความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน, ที่จะร่วมกำลังด้วยกัน. (This is what I think and I think I like as a Chinese, as a business people I like, I feel proud for what President Xi said yesterday. As a business person I want the world to share the prosperity together, to join the force together.)

          ในฐานะคนจีน, ผมมีความสุขเกี่ยวกับอะไรที่ท่านได้ให้คำมั่นสัญญา, เมื่อวานนี้ท่านได้พูดว่า อืม คุณก็รู้, ท่านพูดเหมือนเราที่ต้องรับผิดชอบของความเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสอง, เขาต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง. นี่คือครั้งแรกที่ผมได้ยินจากปากผู้นำจีน ให้พันธะสัญญาเป็นจำนวนนับได้, ท่านบอกว่าใน 10 ปีข้างหน้า เรากำลังจะนำเข้าสินค้า 8 ล้านล้านดอลลาร์. นี่เล็กน้อย, สิ่งเล็กน้อยนี้ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่าจีนกำลังเปลี่ยนรูปจากการส่งออกสินค้ามาเป็นนำเข้าสินค้า. ถ้ามีจำนวนที่แข็วงแรงแน่นหนานี้, ถ้าเราสามารถเติมเต็มมันได้, นี่กำลังจะเป็นการเปลี่ยนแปลงมหึมาต่อจีนและต่อโลก.  เศรษฐกิจอนสอง(As the Chinese, I’m happy about what he committed, yesterday he said um you know he speaks like us take the responsibility of the second largest economy as the China second largest economy, he has to take some responsibility. This is the first time I heard a Chinese leader make number commitment, he said next 10 years we are going to import $8 trillion. This few, this few make me feel excited because China is transforming from exporting to importing. If there’s a concrete number, if we can fulfill it, this going to be huge change to the China and to the world.)

พิธีกร:  คุณคิดว่าอะไรที่มันเป็น, มันง่ายในวันนี้สำหรับจีนที่จะสนใจในโลกาภิวัตน์ เพราะกำไรทั้งหลายที่ได้สามารถพอกพูนขึ้น, ที่สามารถพอกพูนให้กับจีนเพราะว่าคตุณกำลังดำเนินต่อไปที่จะพัฒนามากไปกว่าที่มันเป็นเพื่อประเทศทั้งหลายที่ได้ถูกอ้างถึง, และไม่ได้อ้างถึง ได้พัฒนา.  (What do you think that it’s, it’s easy today for China to be interested in globalization because of the benefits that can accrue, that can accrue to China because you’re continuing to develop than it is for countries that are quote, unquote developed.)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     เอาละ, อย่างแรก, กฏของ WTO ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจีน, มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยจีน. ผมควรจะพูดว่า มีอะไรบางอย่างที่ผมต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง WTOที่ถูกออกแบบมานี้, หลายอย่างของกฎนี้ได้ออกแบบมาเพื่อบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายใน 30 ปีที่ผ่านมา และมีแค่บริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายเท่านั้นที่สามารถทำมัน. และจีนได้ผลกำไรทั้งหลายอย่างมากมายชัดเจนในการเปิดประเทศ. ผมคิดว้าจีนควรที่จะเรียนรู้สิ่งหนึ่งที่เราได้เติบโตในอดีต 30 ปีที่ผ่านมา, มันเป็นเพราะว่าเอราเปิดประตูสู่โลก.  (Well, first, the WTO rule is not designed by China, it’s not made by China. I would say there’s something that I want to change the WTO is designed, a lot of rules designed for big companies in past 30 years and only big companies can do it. And China definitely benefits a lot from opening. I think China should learn one thing that we grow in the past 30 years, it’s because we open to the world.)

          ถ้าเราดำเนินต่อไปที่จะเปิดตัวสู่โลกไม่เต็มที่, โอเค, ไม่เต็มๆ...(If we continue to open to the world not fully, okay, not fully…)

พิธีกร:  ธุรกิจอเมริกันที่ต้องการอย่างได้รับผลลัพธ์ที่ดีในการไปสู่ธุรกิจในจีน, ได้มีช่วงเวลาที่ความยากลำบากอย่างมาก ต้องเป็นหุ้นส่วนอย่างชัดเขนกับบริษัทที่ได้อยู่ที่นั้นแล้ว...(American business that wants to effectively go into business in China, has a very difficult time has to partner effectively with a company that’s there already…)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     นี่คือทำไมที่ผมได้พูดว่า จีนได้มีปัญหาทั้งหลายด้วยเช่นกัน, โลกมีปัญหาทั้งหลาย. และจีนก็อย่างแน่นอนว่ามีปัญหาทั้งหลายมากมาย, จีนควรจะเปิด, เราควรที่จะมีความมั่นใจมากขึ้น. นี้คืออะไรที่ผมรู้สึกเมื่อวานนี้, ผมรู้สึกถึงความมั่นใจของมิสเตอร์ สี ที่เขาได้พร้อมแล้วที่จะเปิดมากยิ่งขึ้นของจีนต่อโลก. นี่คืออะไรที่ผมได้แนะนำ, นั่นคือที่เราควรจะคลี่คลายปัญหาที่เกิดโดยชุมชนธุรกิจ, ถูกมั้ย? โดยการเจรจาต่อรอง. WTO จีน เข้าร่วมกับองค์กรการค้าโลกมาสักบาง, ผมไม่รู้นะ, 20 ปี หรือ 70 ปี, ผมไม่ได้, ไม่ได้ตัวเลขนั้น.  (This is a why I said China has problems too, the world has problems. And China has definitely had a lot of problems, China should open, we should be more confidence. This is what I feel yesterday, I feel the confidence of Mister Xi that he is ready to open more to the China to the world. This is I was suggested, that we should solve the problem by business community, right? By negotiation. WTO China join WTO for some for like, I don’t know, 20 years or 70 years, I don’t, I don’t the number.)

แต่ 2 ปีที่ผ่านมานั่นผมคิดว่าเราเป็นนักธุรกิจรายหนึ่ง, เราเป็นประเทศหนึ่ง, เราเป็นโลกหนึ่ง, เราต้องรื้อฟื้นทบทวนบางอย่าง, ถูกมั้ย? แต่เพราะความสมดุลในสิ่งทั้งหลาย, เราต้องหยุดมัน.  (But the past two years that I think we as a business, we as a country, we as the world, we have to review something, right? But because unbalance the things, we stop it.)

พิธีกร:  คุณได้กำลังเรียกร้องสำหรับบางอย่างที่เรียกว่า eWTP - Electronic World Trade Platform เขตปลอดภาษีอากรพานิยช์อิเล็กทรอนิกส์, (ช่าย), นั่นคืออะไร?  (You’ve been calling for something called eWTP7, (yup) what is that?)

          7 https://lawforasean.ocs.go.th/Content/View?Id=128&Type=1

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     นี่คืออะไรที่ผมน่าจะพูดคุยถึงก็คือว่า, WTO นั้นยอดเยี่ยม แต่พวกเขาถูกออกแบบเชิงหลักใหญ่มาเพื่อประเทศทั้งหลายที่พัฒนาแล้ว, บริษัทใหญ่ๆทั้งหลาย. ไม่มีโอกาสสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก. เราต้องการที่จะยกสร้าง EWเอ่อ...แพลตฟอร์มโลกาการค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนผู้คนหนุ่มสาว. ธุรกิจขนาดเล็ก ขอบคุณผ่านโทรศัพทเคลื่อนที่ทั้งหลาย, อินเตอร์เน็ต, พวกเขาสามารถขายและซื้อข้ามกระดานไปได้ทั่วโลก. และอีกสิ่งอื่นคือว่า WTO เป็นองค์กรที่น่าสนใจมาก เมื่อคุณวางประตูไปไว้รอบๆ, เมื่อคุณเอา 2,000 เจ้าหน้ารัฐบาลทั้งหลายมารวมอยู่ในห้องเดียวกัน, ขอให้พวกเขาเห็นด้วยกับบางอย่าง. มันเป็นไปไม่ได้หรอก.  (This is what I would talk about is that, the WTO was great but they mainly designed for developed countries, big companies. There’s no opportunity for small business. We want to build up a EW…electronic world trade platform to support young people. Small business thanks through mobile phones, internet, they can sell and buy across the board. And the other thing is that WTO is a very interesting organization when you put the door around, when you put 2,000 government officers in a one room, asking them to agree on something. It’s impossible.)

          ผมไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาสามารถเห็นด้วยกับบางอย่างร่วมกันได้. ธุรกิจควรที่จะถูกออกแบบมาโดยผู้คนทางธุรกิจ, ดังนั้นเราจึงเชื่อว่า EWTP น่าจะเป็นบางอย่างที่ผู้คนรธุรกิจนั่งลงร่วมกันเห็นด้วยกับบางอย่าง, เจรจาต่อรองกันกับบางอย่าง และได้ความสนับสนุนผลักดันจากรัฐบาล. (I can never imagine that they can agree on something together. Business should be designed by business people, so we believe EWTP should be something that the business people sit down together agree on something, negotiate on something and get endorsement from government.)

พิธีกร:  ให้เรามาพูดคุยกันเล็กน้อยเกี่ยวกับ อะลีบาบา และแบบจำลองของตัวมัน, เพราะผมคิดว่าสำหรับผู้คนมากมายในฝ่ายตะวันตก, ถ้าคุณจะว่านะ, พวกเขาไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจมัน. และกับบทขยายความของมันที่อย่างโชคร้าย. ต่อขยายความว่า ผมควรลองพยายามที่จะเปรียบเทียบมันกับอะเมซอน, ที่ผมรู้ว่าคุณคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบอย่างไม่เป็นธรรม. หนึ่งในบรรดาสิ่งทั้งหลายคือที่น่าจับใจยิ่งสำหรัลบผมคือว่าอะเมซอนและเจฟฟ์ เบซอสได้แสวงหาอะไรที่อาจถูกอธิบายได้ว่าเป็นเช่น แบบจำลองธุรกิจที่มีสินทรัพย์สูง พวกเขากำลังซื้อเครื่องบิน, พวกเขาต้องการที่จะเป็นเจ้าของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดเป็นของตนเอง จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดปลายจบ. และอะลีบาบาได้มีประสิทธิผลในธุรกิจบางเบาทางสินทรัพย์. มันเป็นอย่างมากในความหมายทั้งหลายของการค้าปลีกของสิ่งนี้, ด้านตรงข้ามกันเลย ที่คุณไม่ต้องการจะเป็นเจ้าของโกดังสินค้าของตจนเอง, คุณไม่ต้องการเป็นเจ้าของบริษัทคัดแยกจัดส่งสินค้าทั้งหลาย.  (Let’s talk a little bit about Alibaba and the model itself, because I think for many in the West, if you will, they don’t necessarily understand it. And to the extent that unfortunately. To the extent that I could try to compare it to Amazon, which I know you think is an unfair comparison. One of the things that’s so fascinating to me is that Amazon and Jeff Bezos have pursued what might be described as a very asset heavy business model8 they’re buying airplanes, they want to own the entire supply chain9 from beginning to end. And Alibaba has effectively an asset light business. It is very much in terms of the retail piece of this, the opposite you don’t want to own the warehouse, you don’t want to own the logistics companies.)

คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น?  ว่าเจฟฟ์ เบซอส ถูกต้อง หรือว่าคุณถูกต้อง? และนั่นมี, นั่นกำลังที่จะเป็นการพบกันครึ่งทางหรือไม่?  (How do you think about that? Is Jeff Bezos right or are you right? And is there, is there going to be a meeting in the middle?)

          8 https://www.quora.com/What-is-an-asset-heavy-business-model-What-are-the-advantages-and-disadvantages

          9https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     ผมหวังว่าทั้งฝ่ายนั้นถูกต้อง. และเพราะโลกสามารถที่ไม่เคยมี แค่หนึ่งแบบจำลอง. ถ้าโลกมีเพียงแบบจำลองที่ถูกต้องเพียงแค่หนึ่ง, โลกก็คงน่าเบื่อมากเกินไป, ถูกต้องมั้ย? เราจำเป็นที่ต้องมีทุกชนิดของแบบจำลองทั้งหลาย. และผู้คนทืทำแบบจำลองนั้นๆควรที่จะเชื่อในในแบบจำลองนั้น, และผมก็เชื่ออะไรที่ผมทำ, ถูกต้องมั้ย?  (I hope both are right. And because world can never have one model. If the world has only one correct the model, the world’s too boring, right? We need to have all kinds of models. And the people who do the model should believe in the model, and I believe what I do, right?)

ความแตกต่างระหว่างอะเมซอนและเรา,  อะเมซอนนั้นเป็นมากเหมือนกับจักรวรรดิ, ทุกอย่างพวกเขาควรจะตวบคุมกำกับด้วยตัวพวกเขาเอง, ทั้งซื้อและขาย.  และปรัชญาของเราคือเราต้องการให้เป็นอยู่กับระบบนิเวศน์. ปรัชญาของเราคือที่จะเสริมอำนาจผู้อื่นทั้งหลายที่จะขาย, เสริมอำนาจผู้ออื่นทั้งหลายที่จะนั่ง, ที่จะให้บริการ, เสริมอำนาจที่จะทำให้แน่ใจว่าผู้อื่นๆจะมีพลังอำนาจเต็มเปี่ยมมากยิ่งไปกว่าเรา, ทำให้แน่ใจด้วยเทคโนโลยีของเรา, นวัตกรรมของเรา, หุ้นส่วนของเราทั้งหลาย, 10 ล้านธุรกิจการขายขนาดเล็กทั้งหลายของเรา, พวกเขาสามารถแข่งขันกับไมโครซอฟท์, IBM. (The different between Amazon and us, Amazon is more like an empire, everything they should control themselves, buy and sell. And our philosophy is that we want to be an ecosystem. Our philosophy is to empower others to sell, empower others to sit, to service, empower to make sure the other people are more powerful than us, making sure with our technology, our innovation, our partners, our 10 million small business sellers, they can compete with Microsoft, IBM.)

ปรัชญาของเราคือว่าเราคิดการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ที่เราสามารถทำให้ทุกๆบริษัทกลายเป็นอะเมซอน. จำสิ่งหนึ่งไว้นะ, ทุกวันนี้สำหรับการขายทั้งหลายของเรา, GMV gross merchandise volume/ มูลค่าสินค้ารวม ของเราเมื่อปีที่แล้วเป็นมากกว่า 550 พันล้านดอลลาร์. ในการที่จะจ้าง 5 ล้านผู้คนจัดส่งสินค้าให้เรา? ที่จะจัดส่งสิ่งที่เราขายได้?  (Our philosophy is that we think using internet technology we can make every company become Amazon. Remember one thing, today for our sales, our GMV10 last year is more than $550 billion. To hire people, deliver for us we need 5 million people. So, how can we hire 5 million people deliver things for us? To deliver the things we sold?)

10 https://corporatefinanceinstitute.com/resources/valuation/gross-merchandise-value-gmv/

 

สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราทำคือเสริมอำนาจให้กับบริษัทให้บริการ, บริษัทคัดแยกกระจายสินค้าทั้งหลาย, ทำให้แน่ใจว่าพวกเขามีประสิทธิภาพ, ทำให้แน่ใจว่าพวกเขาทำเงินและการทำให้แน่ใจว่าพวกเขาสามารถจ้างผู้คนได้มากยิ่งขึ้น. (The only thing we do is empower the service company, logistics companies, making sure they are efficient, making sure that they make the money. And making sure that they can hire more people.)

พิธีกร:  แต่โดยปราศจากการเป็นเจ้าของในห่วงโซ่ทั้งหมด, คุณสามารถทำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือ? ความคิดนั้นที่ว่าคุณกำลังได้เฝ้ามองอะเมซอนอยู่ไหม ที่สามารถจะจัดส่งสิ่งทั้งหลายในตอนนี้ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง? (But without owning the whole chain, can you do it as effectively? The idea that you’re having watching Amazon, being able to deliver things now within hours literally?)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     เราทำให้ 125 เมืองใหญ่จัดส่งได้ภายในหนึ่งวันเมื่อปีที่แล้ว. จินตนาการดูสิถึงเมื่แอ 10 ก่อน, การส่งสิ่งหนึ่งจากเป่ยจิงไปยังหันโจวใช้เวลา 80 วัน. ตอนนี้คุณสามารถส่งสิ่งทั้งหลายจากหันโจวจากเป่ยจิง ไปยังมองโกเลีย หรือบางเมืองใหญ่ภายใน 12 ชั่วโมง. มันได้กำลังปรับปรุงดีขึ้น, คุณสามารถไม่มีวันคาดหวังสิ่งทั้งหลายเหล่านี้บังเกิดขึ้นได้ภายใน 24 ชั่วโมง. เรามีความอดทน. ดังนั้น, ผมคิดว่า, คุณสามารถจินตนาการนั่นได้ไหมว่าภายใน 11 วันเท่านั้น, เราขายสินค้าได้ 17 พันล้าน, พันล้านดอลลาร์. และด้วยการจัดส่งมากกว่า 500 ล้านหีบห่อภายใน 3 วัน.  (We made 125 cities deliver within one day last year. Imagine 10 years ago, deliver one thing from Beijing to Hanjou takes by 80 days. Now you can deliver things from a Huns from Beijing to in the Mongolia or some city within 12 hours. It’s improving, you can never expect these things happen within 24 hours. We have patience. So, I think, can you imagine that within the 11 singles day, we sold seventeen billion trillion, billion dollars. And by delivering more than 600 million packages within three days.)

นี่คือที่กำลังบังเกิด, และนี่คืออะไรที่เรารูสึกภาคภูมิใจ. คืออะไรที่เราไม่ใช่ว่า เราทำเงินได้มากเท่าไหร่. ไม่ใช่ว่าเรามีอำนาจเต็มเปี่ยมเท่าไหร่. เราคิดว่าเพราะเทคโนโลยี. เราสามารถทำเทคโนโลยีที่ครอบคลุมในวงกว้างยิ่งที่ทุกๆบริษัทขนาดเล็กสามารถใช้มันได้. (This is happening, and this is what we feel proud of. Is not how much money we make. Is not how powerful we are. We think because of the technology. We can make the technology very inclusive that every small companies can use it.)

นี่คือความฝันของผม, เพราะว่าผมเริ่มต้นธุรกิจครั้งแรกในปี 1922 ในจีน เป็นธุรกิจขนาดเล็ก. เพื่อที่จะได้ยืมเงิน 5,000 ดอลลาร์จากธนาคารได้ ผมต้องใช้เวลา 3 เดือนในการที่จะได้รับมา, แล้วก็ล้มเหลว.  ดังนั้น, ยากลำบากมากที่จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก. ทุกวันนี้, ด้วยเทคโนโลยีเราสามารถเสริมอำนาจพวกเขาได้. นี่คืออะไรบางอย่างที่ผมต้องการทำ.  (This is my dream, because I start my first business 1992 in China as a small business. In order to borrow money $5,000 from a bank took me 3 months to acquire, still fail. So, difficult to be a small business. Today, with the technology we can empower them. This is something I want to do.)

พิธีกร:  หนึ่งในข้อวิจารณ์ทั้งหลายดังที่คุณก็รู้ และมันดำเนินการต่อไปที่จะห้อยแขวนรายรอบอะลีบาบาคือประเด็นเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์. นี่ไม่ใช่ผม, มีประเด็นเรื่องIP และมันเป็นวาระประเด็นไปทั่วประเทศจีนแต่มัน เอ่อ มันเป็นคุณ, เป็นคุณที่โดนรุนแรงอย่างมากมายของมัน. มันได้ก้าวหน้ามากอย่างไรที่คุณได้ทำในจิตใจของคุณและคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับบางอย่างของตัวร่างคณะกำกับดูแลในประเทศทั้งหลายอื่นๆรวมทั้งสหรัฐที่ดำเนินการต่อไปที่จะวิพากษ์วิจารณ์อะลีบาบาสำหรับประเด็นเหล่านี้.  (One of the critiques as you know and it continues to linger around Alibaba is piracy issue. This is not I, there’s an IP issue and it’s an issue all over China but it uh it you, you take the brunt of a lot of it. How much progress have you made in your mind and how do you think about some of the regulatory bodies11 in other countries including the US that continue to criticize Alibaba for these issues.)

          11 https://en.wikipedia.org/wiki/Regulatory_agency

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     อย่างแรก, เมื่อเราเริ่มต้นทำธุรกิจนี้, ดังเช่นธุรกิจหนึ่งในขนาดเช่นนี้, คุณต้องรับเอาระบบบ้าบอทั้งหมดให้ได้. คุณต้องฟังว่าอะไรคือถูก, อะไรคือผิด.(First, when we start do this busines, as a business like this size, you have to take all the crazy system. You have to listen what is right, what is wrong.)

          และอย่างที่สองคือ, อี-คอมเมิร์ช, เมื่อคุณเอา 10 ล้านธุรกิจขนาดเล็กมาเสริมอำนาจในการขาย,เราไม่ได้ทำโดยการซื้อเหมือนอะเมซอน, เราไม่สามารถตรวจสอบได้แม้กระทั่งว่าคุณซื้อ 55ล้านล้านดอลาร์, หรือว่า 55, 550 พันล้านดอลลาร์. คุณไม่สามารถตรวจสอบได้ทุกสินค้า. ดังนั้นแบบจำลองในตัวมันเอง, และ อี-คอมเมิร์ชในตัวมันเอง, อาจจะมีการฉ้อฉลทั้งหลายอย่างมากมายนั้น.  (And second is, e-commerce, when you put 10 million small business empower them to sell, we do not like Amazon buy, we cannot check even you buy when you buy 55 trillion dollars or 55, 550 billion dollars. You cannot check every product. So, the model itself, and the e commerce itself, may have a lot of these frauds.)

          และอย่างที่สาม, ผมควรจะพูดว่าในอดีต 17 ที่ผ่านมา, เราคือผู้นำในประเด็นเรื่องการต้อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์. เรื่อง IP, IP ก็ได้รับการปกป้อง. แต่อย่างที่สองคือเราเป็นบริษัทอินเตอร์เน็ตทั้งหลาย; เราไม่ได้รับการเสริมกำลังทางกฎหมาย. เราค้นพบคนที่ขายสินค้าราคาถูกนี้, อย่างที่คุณก็รู้, เป็นสินค้าปลอม. เราได้ลบทิ้งพวกเขา, เราไม่สามารถจับกุมพวกเขาได้เอง. แต่เราก็มีความก้าวหน้ามหึมา, ปีที่แล้วเพียงลำพัง เราเอา 400 ผู้คนเข้าไปติดคุก. เราลบทิ้งไป 370 ล้านสินค้าปลอม/สินค้าหลอกลวงที่อยู่ในบัญชีรายการของเรา. ผมน่าจะพูได้ว่า เราคือผู้นำทั้งหลาย และเรากำลังใช้ข้อมูลใหญ่/บิ๊ก ดาต้า ในการที่จะตรวจสอบว่าใครกำลังซื้อมันไป, ใครกำลังประกอบกิจการการผลิต, ใครกำลังขาย, ที่แอยู่แห่งหนคืออะไร.  (And third, I would say in the past 17 years, we are the leader of this anti privacy issue. The IP, protected IP. But the second we are internet companies; we do not have the law enforcement. We find this guy selling product cheap, that you know, fake product. We delete them, we cannot arrest them. But we’re a huge progress, last year alone we put 400 people into jails. We delete 370 million fake products listing on our site. I would say we are the leaders and we are using the big data to check who’s buying, who’s manufacturing, who’s selling, what is the address.)

          ดังนั้น, ผมมีความสุขเกี่ยวกับโลกทั้งปวงโดยเฉพาะที่จีน, องค์กรรัฐบาลทั้งหมดเริ่มต้นที่จะตระหนักรู้ถึงวาระประเด็นทั้งหลายนี้. ดังนั้น, ผมจะบอกกับคุณในสิ่งดีๆว่าทุกวันนี้ เมื่อคุณไปที่กลุ่มอาชญากรรมนั้นที่ผมเรียกพวกเขาว่าอาชญากรทั้งหลาย. ผลิตภัณฑ์สินค้าปลอม/หลอกลวงนั้น, กิจการผลิตทั้งหลาย, ผู้ขายทั้งหลาย....(So, now I’m happy about the whole world especially China, all the government organization start to realize the issues. So, I would tell you good thing is that today when you go those criminal group which I call them criminals. Those fake products, manufactures, sellers…)

พิธีกร:  คุณได้สรรเสริญถึงคุณภาพผ่านสินค้านั่นบ้างรายด้วย.  (You praise the quality through of some of these.)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     ผมควรจะพูดถึงมันทีหลังในคืนนี้. อาชญากรรมทั้งหลายเหล่านั้นได้บอกว่า พวกเขาสามารถไปได้ทุกแห่งแต่ไม่ใช่ที่ หม่า, ไม่ใช่ที่ ตาลิบัน, ไม่ใช่ที่ติมอร์ เพราะว่าการใช้ข้อมูลของเรา เราแกะรอยตามที่ที่พวกเขาอยู่, ว่าพวกเขาเป็นใคร และอะไรคือที่อยู่แห่งหนขแองพวกเขา, ว่าอะไรที่พวกเขาติดอยู่. และเราจะจัดส่งสิ่งเหล่านี้ไปให้สถานีตำรวจและทำงานกับพวกเขา, ที่จะจับกุมพวกนั้น.  (I would talk about it later tonight. Those criminals said they can go anywhere but not Ma, not Taliban, Timor because using our data we trace where they are, who they are and what’s the address, what they mount. And we will deliver this to the police station and work with them, to arrest them.)

          วาระประเด็นในเรื่องคุณภาพคืออะไรบางอย่างที่ผมต้องการที่จะแบ่งปันกับผู้คน. มันไม่ใช่เป็นการยกย่องสรรเสริญสินค้าปลบอม/หลอกลวงทั้งหลายนั้น. ผมต้องการจะพูดว่า, สำหรับหลายปีที่บริษัทมียี่ห้อทั้งหลายคุณต้องเป็นที่ระมัดระวังเพราะสินค้าปลอมทั้งหลาย, คุณภาพของพวกมันได้ปรับปรุงขึ้นมาได้อย่างน่าตกใจกลัว. ยั่นคือความแตกต่างระหว่างเรา, เพราะว่าเมื่อคุณเจอเข้ากับคนพวกนั้น, สิ่งที่ผู้คนได้พูดถึงสิ่งปลอมนี้, และคุณต้องค้นหากับผู้คน, คุณต้องค้นหาสถาบันฝ่ายที่สามเพื่อตรวจสอบว่ามันปลอมหรือไม่. เราค้นพบว่าในบางครั้งคุณภาพนั้นดีกว่าด้วย.  (The quality issue is something I want to share with people. It’s not about praising the fake products. I want to say that, for so many years the branded companies you have to be careful because the fake products, their quality improving is scary. That is the difference between us, cause when you find the guys, the thing that people said this is fake, and you have to find people, you have to find a third-party institution to check it is fake or not. We find sometimes the quality is better.)

          และผมบอกกับคุณอีกสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจกลัวมากกว่า, มีอยู่มากมายของบริษัทที่มีตรายี่ห้อเพียงหนึ่งอย่าง เขาได้พูดว่า เราขายสินค้าปลอมทั้งหลาย. เราตรวจสอบทุกอย่างแล้วมันไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป. ดังนั้น, เราพูดว่า หืมม มันมีอะไรผิดตรงไหน, ดังนั้นเราซื้อสินค้าทั้งหลายจากร้านของเพื่อนของเขาและส่งไปให้เขา, พวกเขาบอกว่ามันเป็นของปลอม. คุณรู้ไหมว่าผมกำลังพูดอะไร? เราซื้อร้านนั้น, ซื้อสิ่งทั้งหลายจากร้านธงนำของยี่ห้อนี้แล้วส่งมันกลับไป, มันเป็นเป็นสินค้าปลอม, พวกเขาบอก. ดังนั้น, มันค่อนข้างจะสับสนนิดหน่อย. นี่คือการต่อสู้กับสินค้าปลอมทั้งหลาย ที่เป็นสงครามต่อความตะกละ, ความโลภของมนุษย์.  (And I tell you another thing is even scary, a lot of there’s a one branded company he said we are selling fake products. We check everything it’s nothing wrong. So, we say hmm what is wrong, so we buy the products from his friend shop and deliver to them, they say it’s a fake. You know what I’m saying? We buy shop, buy things from the flag shop of this brand and deliver back, it’s the fake products they say. So, it’s a bit confusing. This is fighting against fake products is a war against the greedy, human greediness.)

มันไม่ง่าย. มันไม่สามารถจบสิ้นมันได้ แต่คุณต้องดำเนินต่อไปในการต่อสู้. และผมต้องการจะพูดว่า เราเอาส 2,000 ผู้คน, 1 พันล้าน IMD ลงไปในการต่อสู้กับมันที่มันไม่สามารถจบสิ้นสร้างกำแพงแล้วเสร็จได้ในสองปี. แต่ผมมีความสุขไม่ว่าผู้คนจะวิจารณ์ผม, จะวิจารณ์เรา. สิ่งสำคัญมากที่สุดคือว้าเรามีความสุขกับความก้าวหน้าที่เราได้ทำ, แต่ถ้าผู้คนสรรเสริญผมดังที่คุณก็รู้, เมื่อผู้คนพูดว่า แจ็ค คุณมหัศจรรย์, ผมรู้ว่าผมไม่ได้มหัศจรรย์, ถูกต้องมั้ย? (It’s not easy. It cannot finish it but you have to continue to fight. And I want to say we put 2,000 people, 1 billion IMD every fighting against that it can never finish the wall within two years. But I’m happy whether people criticize me, criticize us. The most important is that we are happy about the progress we made, but if people praise me so you know, when people say Jack, you’re wonderful I know I’m not wonderful, right?)

ทั้งหมดของเรานั้นยิ่งใหญ่, เราไม่ได้ยิ่งใหญ่, เราเพียงแค่บริษัทที่มีอายุ 17 ปี แต่เมื่อผู้คนพูดว่า คุณกำลังไม่ได้ทำอะไรเลย, ไม่เลย, เรากำลังทำสิ่งทั้งหลายอย่างมากมาย แต่คุณไม่จำเป็นต้องที่จะไปโต้แย้ง. คุณไม่จำเป็นต้องไปโต้วาทีเถียง; คุณแค่ทำในสิ่งที่คุณเชื่อมั่น. (All of us are great, we are not great, we are just a 17-year-olds company but when people say you’re doing nothing, no we are doing a lot of things but you don’t have to argue. You don’t have to debate; you do what you believe.)

พิธีกร:  หนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่คุณได้เอ่ยถึงว่ากำลังใช้ข้อมูลใหญ่/บิ๊กดาต้ากับฝ่ายการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่สิ่งอื่นที่คุณกำลังใช้อย่างมากมายที่จะทำคือ การสร้างเครดิต. เย้, และอย่างมีประสิทธิผลทั้งผู้ที่เข้าถึงธนาคารและผู้ไม่สามารถเข้าถึงธนาคาร, และอะไรที่จับใจต่อผม. และผมหวังว่าคุณจะแบ่งปันมัน; คือที่เราจะพูดคุยถึงเซซามิ เครดิต, เย้. คุณจะใช้ข้อมูลใหญ่/บิ๊กดาต้าอย่างไรให้มีประสิทธิผล, ที่จะคาดคิดออกมาว่าใครควรได้รับเครดิตและใครไม่ควร เอ่อ ในตลาดการค้า, ที่บางรายของผู้คนเหล่านี้ไม่มีประวัติเครดิตมาก่อน.  (One of the things you mentioned was using big data on the piracy side but the other thing that you’re using a lot of that big data to do is provide credit. Yeah, and effectively banking the unbanked, and what fascinating me. And I hope you’ll share it; is we talk about the Sesame Credit12 yeah. How you are able to use big data effectively, to figure out who deserves credit and who doesn’t uh in market place, where some of these people had no credit history before.)

          12 https://en.wikipedia.org/wiki/Zhima_Credit

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     โอเค, เอาละ, ก่อนทำยังงั้นเราได้มีระบบที่เรียกว่า สอนคอมพิวเตอร์ ที่จะเรียนรู้ว่าจะต่อต้านสินค้าปลอมทั้งหลาย, สอนคอมพิวเตอร์ทั้งหลายที่จะเรียนรู้ว่าจะทำอย่าง เอ่อ คุณก็รู้, เพราะว่าเรามีอะลีเปย์ , ผู้คนมากมายพยายามที่จะใช้หนทางทั้งหมดเพื่อการโกง, ดังนั้นเราสอนคอมพิวเตอร์ว่าจะทำอย่างไรกับการโกงในสิ่งทั้งหลายนั้น. ดังนั้น, เราได้ทำนั่นมา 10 ปีจนกระทั่งถึงวันนี้, มีที่ถูกเรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์. เพราะเราได้ทำเช่นนั้นมา.  (Okay, well, before do that we had a system called Teach Computers13 to learn how to anti fake products, teach the computers to learn how to uh you know, because we have Alipay14, a lot people try to use all the ways to cheating, so we teach the computer how to do that the cheating things. So, we’ve been doing that for 10 years until now, there is called artificial intelligence. Cause we’ve been doing that.)

          13 "Teaching computers" encompasses various approaches and fields, broadly referring to the process of equipping computers with knowledge, skills, and abilities to perform specific tasks or understand informationIt involves methods like programming, machine learning, and AI, allowing computers to learn from data, analyze information, and make decisions.

          14  https://wise.com/us/blog/what-is-alipay

เราเป็นบริษัทข้อมูล, 8 ปีที่ผ่านมาเราได้พูดกับตัวเราเอง อะลีบาบาไม่ควรจะเป็นบริษัท อี-คอมเมิร์ช, เราควรจะเป็นบริษัทข้อมูล. เพราะว่าเรามีข้อมูลจากผู้บริโภคทั้งหลาย, เรามีข้อมูลจากผู้ประกอบการผลิตทั้งหลาย, ของบริษัทคัดแยกกระจายสินค้าและจัดส่งสินค้าทั้งหลาย.  แต่เราคิดว่าทำอย่างไรที่เราจะสามารถทำข้อมูลเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสู่สังคม.  อะไรที่จีนจำเป็นต้องการคือที่เรากำลังมีผู้คนมหาศาลมากมายยิ่ง. ธุรกิจขนาดเล็กทั้งหมด, พวกเขามีความสามารถอย่างมากๆทางเครดิตแต่พวกเขาไม่มีเครดิต, เราไม่ได้มีระบบเครดิตสำหรับการนั้น.  (We are a data company, 8 years ago we said to ourselves Alibaba should not be a e- commerce company, we should be a data company. Because we have the data from consumers, we have data from the, the manufacturers, of data is from logistic company and transactions. But we think how we can make a data really beneficiary to the society. What China need is we having a lot of great people. All the small business, they have a very, they are very credible but they don’t have, we don’t have a credit system for that.)

          ดังนั้น, เราจะสามารถใช้ระบบจัดอันดับเครดิตได้อย่างไรขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เรามีกับมัน, การให้ทุกคนในเซซามิ ไม่...ระบบจัดอันดับ. นั่นข่างเป็นอำนาจมากยิ่งในแอดีต 4 ปีที่ผ่านมา, เพราะว่าทุกปัจเจกบุคคล, ทุกธุรกกิจขนาดเล็ก,  ถ้าพวกเขาได้ใช้บริการของเรา เราจะให้ระบบจัดอันดับหนึ่ง. ดังนั้น, เรากำลังให้เงินยืมทั้งหลายใฝน 5 ปีที่ผ่านมา 5 ล้านเงินยืมทางธุรกิจ, พวกเขาเพียงแค่ยืมเงิน 5,000 ดอลลาร์ได้ในเวลา 3 นาทีเท่านั้น เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราควรจะให้เงินแก่คุณมากเท่าไหร่ ที่เราต้องการจะให้ภายใน 1 วินาทีเงินนั้นก็จะเข้าไปอยู่ในบัญชีของคุณ และเป็น 0 คนที่ได้แตะต้องก่อน ดังนั้นเราจึงเรียกมันว่า 3,10.  (So, how can we using a credit rating system15 based on the data we have to it, giving everybody a Sesame no…uh uh rating system. That is so powerful in the past 4 years, because every individual, every small business, if they have been using our services we give them a rating system. So, we’re giving loans in the past 5 years we giving 5 million business loans, they only borrow $5,000, three minutes we can decide whether we should give your money how much we want to give within one second the money will be in your account and zero people touch so we called it three, one Zero.)

          15 https://en.wikipedia.org/wiki/Credit_rating

และแม้กระทั่งทุกวันนี้ระบบจัดอันดับเซซามิ ได้กลายเป็นการนัดผู้คนเชิงชู้สาว. แม่ยายต้องการที่จะพูดว่า เฮ้ คุณต้องการมีนัดกับลูกสาวชั้น, แสดงอันดับการจัดตามระบบเซซามิในเรื่องรถยนต์มาให้ดูหน่อยดิ่. ดังนั้น, มันช่างน่าขบขันที่เราไปสู่ผู้คนที่ต้องการจะเช่ารถยนต์, พวกเขาจะมาบอกว่า แสดงให้ฉันดูก่อนว่าคุณมีบัตรเซซามิ เอ่ ที่ดี เพราะถ้าพวกเขาไม่ได้จ่ายคืน, พวกเขาไม่ได้เติมเต็มอันดับอัตราที่กำลังตกต่ำลง และพวกเขาไม่สามารถเช่าบ้านได้, นี่คืออะไรที่เราต้องการที่จะสร้างระบบขึ้นมา นั่นคือถ้าคุณขายหรือซื้อสินค้าปลอมทั้งหลาย ในเรื่องของรถยนต์ทั้งหลายนี้จะแสดงให้เห็นได้.  (And even today the Sesame rating system become people dating. The mother-on-law want to say hey you want to dating with my daughter, show me your rating system of the Sesame car. So, it’s so funny we go to the people want to rent a car, they will say show me your Sesame cards hmm good cause if they do not pay back, they do not fulfill the ratings is going down and they can never rent a house right, this is what we want to build up the system that if you sell or buy fake products the session the cars will show.)

พิธีกร:  ผมกำลังจะเปิดคำถามทั้งหลายขึ้นแค่อันสุดท้ายสำหรับผม. มีการเก็งคาดหมายกันอยู่มากในเรื่องที่คุณกำลังจะเข้ามาสู่ธุรกิจของฮอลลีวู้ด. ชื่อของคุณได้ปรากฏในอะลีบาบา กรุ๊ป, ที่ตอนเริ่มต้นของภาพยนต์ขนาดใหญ่สองสามเรื่องไม่นานมานี้. อะไรคือความทะเยอทะยานสำหรับอะลีบายบาในโลกบันเทิง?  (I’m going to open up to questions but a final one for me. There’s been a lot of speculation that’s you’re going to get into the business of Hollywood. Your name has appeared Alibaba Group, At the beginning of a couple of big films recently. What is the ambition for Alibaba in the entertainment world?)

แจ็ค หม่า(Jack Ma):     อืมม, ในตอนเริ่มต้นเป็นอย่างนี้, หลายปีก่อน, เราทุก 5 ปี, เราจะมีการทบทวน สำหรับยุทธศาสตร์ของเรา, ตอนนี้ยุทธศาสตร์ของเรามักจะมองไปที่ 30 ปี และ 10 ปี, และทุกการตัดใจในยุทธศาสตร์ที่เราทำ เราต้องถามคำถามอย่างที่หนึ่งว่า, “การตัดสินใจที่เราทำนี้คลี่คลายปัญหาสังคมหรือไม่?” เพราะว่าเราเชื่อว่าปัญหาใหญ่กว่าทางสังคมที่คุณคลี่คลายแก้ไขได้มากขึ้นเท่าใด ความสำเร็จของคุณก็มากขึ้นเท่านั้น.  (Um, in the beginning were like this, several years, we every 5 years, we have a review for our strategy, now our strategy is always look at the 30 years and 10 years, and every strategic decision we make we have to ask one question, “Is this decision we made solve society problem?” Because we believe the bigger social problem you solve the more successful you are.)

          ดังนั้น, ถ้าเราทำสิ่งนี้ไม่สามารถคลี่คลายแก้ไขปัญหาทั้งหลายทางสังคมใดๆได้, เราก็จะไม่ทำมัน. อย่างที่สอง, “โครงการนี้กำลังจะประสบสำเร็จใน 10 ปีไหม?” ถ้ามันกำลังจะประสบสำเร็จใน 10 ปี, เราก็มาทำมันกันเลย. ถ้ามันกำลังจะประสบสำเร็จใน 1 ปี, หรือ 1 เดือน ตามปกติแล้วผมจะพูดว่า ลืมมันทิ้งไปเสีย. เพราะว่า, ทำไมคุณถึงประสบสำเร็จได้ใน 1 ปี หรือ 1 เดือน? ดังนั้น, เราต้องล้อมคอกเอากับมันไว้. และเมื่อ 5 ปีก่อน, เราได้มีการโต้วาทีกันขนาดใหญ่เกี่ยวกับ 10 ปีทีหลัง, 20 ปี, อะไรเป็นสิ่งที่สังคมจีนอาศัยอยู่ในโลกต้องการ.   (So, if we do this cannot solve any social problems, we don’t do it. Second, “Is this project is going to be successful in 10 years?” If it’s going to be successful in 10 years, let’s do it. If it’s going to be successful in 1 year, or one month normally I would say forget about it. Because, why you can be successful in 1 year or 1 month? So, we all have to put pen on. And 5 years ago, we had a big debate about 10 years later, 20 years, what are the thing that China society in the world live want.)

          ดังนั้น, เรากำลังพูดถึงความสุขและสุขภาพ ยุทธศาสตร์ 2ส, ดังนั้นความสุขและสุขภาพเราเชื่อฮอลลีวู้ด, คุณก็รู้, อุตสาหกรรมภาพยนตร์นำความสุขมาให้ผู้คน. เพราะว่าในทุกวันนี้ไม่มีใครมีความสุข, คนรวยไม่ได้มีความสุข, คนจนก็ไม่มีความสุข, คุณก็รู้, อย่างน้อยที่สุดเมื่อผมดูภาพยนตร์, ผมรู้สึกมีความสุขไปกับมัน, ถูกต้องมั้ย?  (So, we are saying happiness and health 2H strategy, so happiness and health we believe Hollywood, you know, the movie industry bring people happy. Because today nobody’s happy, rich people not happy, poor people not happy, you know, at least when I watch a movie, I feel happy about, right?)

          ดังนั้น, ผมคิดว่าเราควรเป็นหุ้นส่วนกับฮอลลีวู้ด, โดยเฉพาะเหมือนที่มีมากมาย เอ่อ...เรามีหนทางทั่งหลายในการมีชีวิตที่แตกต่างกัน และที่ในจีน, ภาพยนตร์ของเรามีวีรบุรุษมากมาย. แต่ในภาพยนตร์จีนทั้งหลาย, วีรบุรุษทั้งหลายมักจะตายในตอนจบ. ภาพยนตร์ทั้งหกของคนอเมริกัน วีรบุรุษทั้งหลายไม่เคยตาย. (So, I think we should partner with the Hollywood, especially like a lot of uh…we have a different way of living and in China, the movie we have a lot of heroes. But China movies, heroes always dead. The American meme movie hero never dies.)

          ถ้าบรรดาวีรบุรุษทั้งหลายทั้งหมดตาย, ใครล่ะจะต้องการเป็นวีรบุรุษ? ดังนั้น, ภาพยนตร์ของผม, ผมต้องการที่จะทำวีรบุรุษให้มีชีวิต, ถูกต้องมั้ย? ดังนั้น, นี้คือ, นี้คือที่ผมคิดเราน่าจะเรียนรู้อย่างมากและ เอ่อ มันเป็นเพียงแค่เพิ่ง 2 ปีเท่านั้น. ดังนั้น, เรามีอีก 8 ปีที่จะไปอีก, ผมต้องการที่จะทำบริษัทของเราที่มันไม่ใช่อี-คอมเมิร์ช. มันเป็นบางอย่างที่ให้ผูเคนซึ่งแรงดาลใจทั้งหลาย.  (If all the heroes die, who want to be the hero? So, my movie, I want to make the hero live, right? So, this is, this is I think we should learn a lot and uh it’s only about 2 years. So, we have another 8 years to go, I want to make our company that it’s not e-commerce company. It’s something that given people inspirations.)

          ให้ผู้คน, เพราะว่าผมเรียนรู้อย่างมาก, ตัวอย่างเช่น, ผมมักจะพูดเสมอๆว่าภาพยนตร์โปรดขอวงผมคือ “ฟอเรสต์ กรัมป์”. คุณรู้มั้ย, ชีวิตนั้นลำบาก, นี่คือที่ผมได้เรียนรู้,และนั่นดาลใจให้ผม. นั่นคือทำไมเมื่อผู้คนเรียกผมว่า ไอ้บ้า, ไอ้โง่ ในอดีตที่ผ่านมา 17 ปี. แกมันบ้า! แกมันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่มีวันได้เรื่อง แกมันโง่, คุณสามารถทำแบบจำลองนั่นกันได้อย่างไร? อะเมซอนนี้, อีเบย์แบบจำลองนี้, ทำไมอะลีบาบาเป็นแบบจำลองนี้? ผมบอกกับตัวเอง ฟอเรสต์ กรัมป์ได้บอกว่า ลุยต่อไปเลย, อย่าไปใส่ใจกังวลกับอะไรใครอื่น. และสิ่งอื่นที่ฟอเรสต์ กรัมป์ได้บอกคือ, ไม่มีใครอื่นทำเงินออกมาได้จากการจับปลาวาฬ, ผู้คนทำเงินกันด้วยการจับกุ้ง.   (Given people, because I learn a lot, for example, I always say that my favorite movie ‘Forest the Grump’. You know, life’s tough, this is I learned and that inspired me. That is why when people call me crazy, stupid in the past of 17 years. You’re crazy! You’re something never work you’re stupid, how can you do that model? Amazon this eBay this model, why Alibaba this model? I told myself Forest Grump said go ahead, never care about what the other people. And the other thing Forest Grump said, nobody make money out of the catching whales, people make money by catching shrimps.)

          ดังนั้น, เรารับใช้ธุรกิจขนาดเล็กอย่างยุติธรรม. (So, we serve small business fair enough.)

พิธีกร:  แจ็ค หม่า เอ่อ เราควรบางทีน่าจะจบมันตรงนี้นะ, เพราะว่าดรากำลังหมดเวลาไปแล้ว. แต่ผมขอขอบคุณ, ขอบคุณคุณเป็นอย่างมากสำหรับ....(ขอบคุณเช่นกันครับ). (Jack Ma uh we should probably end it there, because we’re going to run out of time. But I thank you, thank you so much for…(Thank you).   

           https://youtu.be/0jfYSncSTEY?si=UT1k6ynYeiZkQpNm