หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา


แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อพุธ  ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

          ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ณ โอกาสต่อไปนี้ เป็นโอกาสที่จะได้บรรยายธรรม และจะได้ฟังธรรม ตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา หรือคำสอนของศาสดาซึ่งเป็นเจ้าของศาสนา ธรรมะที่จะออกสู่ท่านทั้งหลาย ในวันนี้ใคร่ที่จะขอแจ้งเกี่ยวกับเรื่องธรรมะอันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตประจำวัน ในฐานะที่เราเป็นผู้นับถือในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา เราอาจจะเข้าใจคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีพอสมควร แต่บางทีเราอาจจะสงสัยแคลงใจว่า ทั้งๆที่เรารู้ๆนั่นแหละ แล้วเราจะเอาธรรมะข้อไหน มาปฏิบัติเพื่อจะให้ได้ชีวิต...ให้ได้ประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ดังนั้นก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับท่านผู้ฟังก่อนว่า พระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้เราสร้างความรักความเมตตาปราณี อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องทำความเข้าใจ ในเมื่อเราเข้าใจในพุทธประสงค์ ว่าพระพุทธองค์สอนให้เราสร้างความรักความเมตตาปราณี เมื่อเราคิดว่าจะสร้างความรักความเมตตาปราณี ตามพระโอวาทของพระพุทธองค์ เราจะยึดเอาธรรมะข้อไหนเป็นหลักในการปฏิบัติ หลักธรรมะที่เราจะต้องยึดเป็นหลักปฏิบัติในเบื้องต้น ก็คือคำสั่งของพระพุทธองค์มีอยู่ 5 ประการ ทุกๆครั้งที่ชาวพุทธเราประกอบกองการกุศล จะให้ทานจะฟังเทศน์ต้องสมาทานศีล ทีนี้ก่อนหน้าที่เราจะได้สมาทานศีล 5 ข้อ เราจะต้องปฏิญญานตนถึง ผู้เป็นพระบรมศาสดาก่อน โดยเราปฏิญญานตนว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็น สรณะที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งในขณะที่เรากล่าวคำปฏิญญานตนจนถึงพระองค์ว่าเป็นสรณะ ถ้าสมมุติว่าพระพุทธองค์มาประทับนั่งอยู่ต่อหน้าเรา หรือหากพระพุทธเจ้าท่านพูดได้ บางทีท่านอาจจะถามเราว่า จะเอาจริงหรือ จะยึดเราเป็นเป็นศาสดาเป็นครูสอนเป็นสรณะจริงหรือ ถ้าเราตอบว่าเอาจริงพระเจ้าค่ะ ถ้าจะเอาจริงแล้วปฏิบัติตามคำสั่งของเราได้ไหม คำสั่งของพระองค์ท่านคืออะไร คำสั่งของเราก็คือศีล 5 ข้อ ที่ได้สมาทานไปแล้วนั่นอย่างไร ถ้าพอได้ยินแล้วท่านผู้ใดว่าไม่ไหวแล้วปฏิบัติไม่ได้ พระองค์ก็จะบอกว่าช่วยไม่ได้เหมือนกัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า หลักที่เราจะยึดเป็นหลักปฏิบัติเอาดีกับพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ก็คือศีล 5 ข้อเท่านั้น เพราะศีล 5 ข้อนี้มันเป็นคุณธรรมที่เป็นแนวทาง ที่ให้เราสร้างความรัก ในเมื่อเรามีศีล 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็มีแต่ความรัก ความรักเมื่อมันละเอียดอ่อนลงไปมันก็กลายเป็นความเมตตาปราณี หนักใจไหม ประการที่เราจะมารักษาศีล 5 นี่หนักใจหรือเปล่า ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าหนักใจ ถ้าหากว่าท่านผู้ใด มีความจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประกอบอาหารเลี้ยงชีวิตตามปกติ ก็เชิญตามสบาย แต่ถ้าอยากจะมีศีล 5 กับเขา หรืออยากจะปฏิบัติศีล 5 เพื่อเป็นมูลฐานสำหรับสร้างความรักความเมตตา ก็ให้ตั้งใจให้แน่วแน่ว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้น จะไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนไม่ข่มเหงไม่รังแกไม่อิจฉาตาร้อน ใครมีความจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ประกอบอาหารเลี้ยงชีวิต เชิญตามสบาย แต่ว่ามนุษย์อย่าไปแตะต้อง ให้เราพยายามสร้างความรักความเมตตาปราณีในมนุษย์ให้มันสมบูรณ์เพียงพอ ตามธรรมดาการสร้างคุณงามความดี ถ้าเราสร้างก็อยู่ไม่หยุดไม่หย่อน มันจะเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกทีทุกที เมื่อพลังแห่งความดีมันพร้อมมันจะแผ่คลุมไปถึงสัตว์เดรัจฉานเอง แล้วในที่สุดสัตว์เดรัจฉานเราก็จะฆ่าไม่ได้ เอากันอย่างนี้ดีกว่า ดีกว่าท่านที่จะไปคิดว่าไม่ไหวไม่ไหวท่าเดียว ทำไมเล่าเราจึงจำเป็นต้องรักษาศีล 5 ในระดับมนุษย์ เพราะศีล 5 เป็นกฎหมายปกครองบ้านเมือง ท่านผู้รู้ทั้งหลายลองพิจารณาดูให้ดีก็แล้วกัน ในเมื่อเรามีศีล 5 แล้ว มันจะเป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม ป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน จริงหรือไม่จริง ลองพิจารณาดู ทีนี้การฆ่ามันผิดศีล 5 ข้อไหน ผิดข้อปาณาติบาต ในเมื่อเรางดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียนการข่มเหงรังแก อิจฉาริษยา มันก็เป็นคุณธรรมที่ทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขสงบ ประการแรก ศีล 5 เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม ป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน ข้อที่ 2 เป็นคุณธรรมตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม ข้อที่ 3 บั่นทอนกำลังกิเลสโลภโกรธหลงในฝ่ายชั่วให้น้อยลงหรือหมดไป ข้อที่ 4 ปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ ข้อที่ 5 เป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม ข้อที่ 6 เป็นคุณธรรมที่เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะว่าหัวใจของประชาธิปไตยนั้นอยู่ที่การเคารพสิทธิมนุษย์ชน ผู้ที่มีศีล 5 ย่อมเคารพหมดทุกสิทธิ สิทธิในการดำรงชีพอยู่ สิทธิในการครอบครองทรัพย์สมบัติ สิทธิในคู่ครองและบุคคลผู้ต้องห้าม และสิทธิอื่นๆครอบจักรวาลไปหมด เพราะฉะนั้นการทำผิดศีล 5 ข้อใดข้อหนึ่งนั้น อยู่ในข่ายแห่งโทษอาญาทั้งนั้น เช่นอย่างการฆ่า ฆ่ามนุษยืผิดกฎหมายอาญา ฆั่สตว์ที่เขาเลี้ยงมีเจ้าของ ผิดกฎหมายอาญา การลักขโมยก็ผิดกฎหมายอาญา ล่วงละเมิดประเวณีของกันและกันก็ผิดกฎหมายอาญา โกหกหลอกลวงก้ผิดกฎหมายอาญา ต้มเหล้าเถื่อนก็ผิดกฎหมายอาญา เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามาพิจารณาให้ซึ้งแล้ว กฎหมายปกครองบ้านเมืองเรานี่ ถ้าเรามายึดศีล 5 เป็นหลักปฏิบัติ ดำเนินตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะได้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ อันนี้คือประโยชน์ของการรักษาศีล 5 ที่เราจะพึงได้ในปัจจุบัน สีเลนะ สุคติง ยันติ รักษาศีลแล้วไปสู่สุขคติ ทีนี้พอเรา...ถ้าเราได้ยินคำว่ารักษาศีลแล้วไปสู่สุขคติ จิตใจเรามักจะมุ่งถึงสวรรค์ชั้นฟ้า แต่เราลืมนึกถึงผลประโยชน์ที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าเราควรจะได้อะไร สีเลนะ สุคติง ยันติ สุ แปลว่าดีงามได้ ถ้า ติ แปลว่าทางเดินหรือทางดำเนิน ยันติ แปลว่า ไป เพราะฉะนั้นผู้มีศีลจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มี สุคติง ยันติ เพราะอะไร เพราะผู้มีศีล ไปก็ไปดี มาก็มาดี อยู่ก็อยู่ดี ไปที่ไหนอยู่ที่ไหน ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ที่นั่น เวลาอยู่ก็มีผู้ยินดี หนีไปก็มีผู้อาลัยคิดถึง อันนี่คือ สีเลนะ สุคติง ยันติ เรื่องสวรรค์เอาไว้คุยกันทีหลัง เอากันในปัจจุบันที่เรามองเห็นกันได้ชัดๆนี้ เราจะมองเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการรักษาศีล สีเลนะ โภคสัมปะทา รักษาศีลจะถึงพร้อมด้วยโภคะสมบัติก็เพราะศีล เนื่องจากการทำความเข้าใจในหลักคำสอนไม่กระจ่าง เราจึงไปเข้าใจว่า ใครรักษาศีลแล้วทรัพย์สมบัติไหลมาเทมา ไม่ต้องทำอะไรก็มีทรัพย์สมบัติมีอยู่มีทาน ไปเข้าใจกันซะยังงั้น ทีนี้ สีเลนะ โภคสัมปะทา ตามความหมาย  ถ้ามีศีลแล้วทรัพย์สมบัติใครมีอะไรแล้วไปวางไว้ที่ไหน มันก็ไม่เกิดภัยอันตราย โจรผู้ร้ายก็ไม่มี ไม่มีใครลักฉก ทรัพย์สมบัติไม่เสียหาย มันก็ถึงพร้อม มีเท่าไหร่ก็มีอยู่เท่านั้น นอกจากตัวเองจะนำไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ส่วนโจรขโมยที่จะมาจี้ปล้นฉกทรัพย์นั้นไม่มี เพราะเรามีศีลเป็นเครื่องประกันความปลอดภัย สีเลนะ นิพพุติง ยันติ มีศีลแล้วถึงซึ่งความดับสนิท แต่นักศึกษาธรรมะทั้งหลายนี่ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ จะถึงการดับการนิ่งคือพระนิพพานก็เพราะศีล ทีนี้เมื่อเราฟังแล้ว เพียงแต่ฟังคำว่านิพพานเท่านั้น เราก็ท้อใจซะแล้ว หรือบางทีเราอาจจะนึกสนุกนึกในใจว่าเรายังนึกอยากจะสนุกอยู่ในโลกนี้ เรายังไม่อยากไปพระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่พอใจที่จะปฏิบัติ เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจเสียว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ ความผูกพยาบาทอาฆาตเคียดแค้นจองล้างจองผลาญจองเวรซึ่งกันและกัน มันจะสลัดมันจะดับสนิทลงไปได้ก็เพราะอำนาจของศีล หมายถึงว่าเราเอง ไม่ได้ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ไปทุบไปตีใคร ไม่ได้ไปด่าใคร ไม่ได้ไปลักฉกทรัพย์สมบัติของใคร ไม่ได้ไปจี้ปล้นฉ้อโกงใคร เราก็มีความอบอุ่นใจเพราะเรามีศีล ความอบอุ่นใจนั่นแหละคือยถานะธรรมเครื่องอยู่ของใจ เมื่อใจมีที่อยู่ที่อาศัย มีความอบอุ่นเพราะคุณธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดับ ดับภัยดับเวรดับการพยาบาทอาฆาตเคียดแค้น สังคมของเราบ้านเมืองของเราก็จะพากันอยู่เย็นเป็นสุข เพราะอำนาจของศีล อันนี้คือการรักษาศีล 5 เพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นขอให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้โปรดกรุณาพิจารณาให้มันซึ้งๆเกี่ยวกับการเรียนการปฏิบัติธรรมะ พุทธบริษัทในเมืองไทยเรานี่ บางท่านก็ยังเข้าใจผิดในคำสอนของพระพุทธองค์ เช่น บางท่านได้กล่าวว่า ธรรมะบางข้อในทางพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ก็ไม่ควรนำมาสอนชาวบ้าน เพราะจะทำให้ชาวบ้านทั้งหลาย ขี้เกียจงอมืองอเท้า เช่น คำว่า สันโดษมักน้อยเป็นต้น อันนี้เราก็ตีความหมายสันโดษมักน้อยผิดไป แต่ส่วนใหญ่เรามักจะพูดเตลิดไปถึงว่า พอพูดถึงสันโดษแล้วเราก็จะเตลิดไปถึงคำว่ามักน้อย แต่ความจริงคำว่าสันโดษกับมักน้อยมันคนละอัน ไม่ใช่อันเดียวกัน สันโดษแปลว่าความพอ พอเรานี่ต้องทำความเข้าใจกันอีก พอในสิ่งที่เรามีอยู่ หมายถึงสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ท่านหมายถึงพออย่างนี้ ทีนี้สิ่งที่เรามีอยู่ทรัพย์สมบัติ วิชาความรู้ความสามารถ สมรรถภาพในการทำงาน  ท่านจึงมีการจำแนกคำว่าสันโดษเอาไว้ว่า ยะถา พละ สันโดษ พอใจตามกำลังของตนเอง ยะถา สัททาระ สันโดษ พอใจในสามีภรรยาของตนเอง ที่นี่ ยะถา พละ สันโดษ นี่ก็ควรจะทำความเข้าใจ พละ แปลว่ากำลัง กำลังแห่งความรู้ กำลังแห่งความสามารถ ความสามารถของเรามีเพียงใดแค่ไหน เราจะแสดงออกมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด แต่การแสวงหาของเรานั้นไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย มันไม่ได้ผิดสันโดษ เพราะฉะนั้นจึงขอย้อนกลับไปกล่าวถึง ข้อที่ว่าศีล 5 เป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม เราไปฟังเทศน์พระองค์ไหน หรือนิมนต์ท่านผู้ใดมาปาฐกถาธรรม ในสมาคมนี้ บางทีเราอาจจะได้ยินว่า พระท่านสอนให้เราละความโลภ ความโกรธ ความหลง โลภโกรธหลงนี่มันเป็นกิเลสที่ดุร้าย เป็นข้อมูลเป็นมูลเหตุให้เกิดกิเลสต่างๆ  เพราะฉะนั้นญาติโยมจงลัมนเสียอย่าเอามันไว้ ในเมื่อเราฟังๆแล้วเราก็อยากละ อยากจะละเพราะโลภ โกรธ หลง ถ้ามันแสดงฤทธิ์ของมันรุนแรงขึ้นมาเราจะเป็นทุกข์ใจ เมื่อพระบอกให้เราละเราก็อยากจะละ แต่มันเป็นภาระจำยอม เราละมันไม่ได้ ในเมื่อเราละมันไม่ได้เราทำอย่างนี้ดีไหม กิเลสโลภโกรธหลงนี้มันเปรียบเหมือนไฟ ไฟมีคุณมหันต์มีโทษก็อนันต์ ทีนี้ถ้าหากว่าใครสติปัญญาอ่อนใช้ไฟไม่เป็น เกิดอุบัติเหตุเผาบ้านเผาเรือน แต่ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีสติปัญญา สามารถที่จะใช้ไฟให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล เช่นอย่างบางคนเขาสามารถใช้กำลังไฟสร้างจรวดไปลงดวงดาวดวงเดือนได้ อันนั้นคือประโยชน์ของไฟ แต่ถ้าหากว่าใช้ผิดเพียงนิดเดียว มันจะเกิดอุบัติเหตุ อย่างน้อยก็จะทำให้ตัวเองต้องเสียชีวิต เช่นอย่างไฟฟ้าเป็นต้น สำหรับกิเลสก็ในทำนองเดียวกัน กิเลสโลภโกรธหลงมีโทษก็อนันต์มีคุณก็มหันต์ แต่ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดปล่อยให้กิเลสโลภโกรธหลงมันพาไปทำบาปทำความชั่ว มันก็เกิดความเสียหาย นอกจากจะเป็นความเสียหาย ส่วนตัวแล้วยังต้องทำให้สังคมต้องพินาศเสียหายไปด้วย ตลอดทั้งประเทศชาติบ้านเมือง อันนี้คือโทษที่ใช้กิเลสไม่ถูกทาง เพราะฉะนั้น เพราะเหตุที่กิเลสนี่ยังมีประโยชน์สำหรับประชาชน พระพุทธเจ้าจึงตีเส้นตายเอาไว้ว่า ใครจะใช้กิเลสให้มันเกิดประโยชน์ อย่ากระโดดข้ามเส้นขนานนี้ เส้นขนานนี้ก็คือศีล 5 ข้อนั้นเอง กิเลสโลภโกรธหลงมีอยู่ในใจเรา เอาให้มันกระตุ้นเตือนใจให้เกิดความทะเยอทะยาน ในความอยากดีได้อยากได้อยากดีอยากเป็น สิ่งที่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันต้องการอยู่นี่ มันมีอยู่เพียง 5 อย่างเท่านั้นแหละท่านผู้ฟัง หนึ่งลาภ ได้แก่ผลประโยชน์ สองยศ ได้แก่ตำแหน่งหน้าที่การงาน ยศฐาบรรดาศักดิ์  สามสรรเสริญ ชื่อเสียงที่ดีงาม สี่ความสุข ห้าอำนาจ ห้าอย่างนี้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหา แต่ว่าการแสวงหาก็ควรจะมีขอบเขต ขอบเขตที่แน่นอนที่สุดก็คือ ศีล 5 ข้อ ใครมีกิเลสมากน้อยเพียงใดถ้าเราแสวงหาผลประโยชน์ดังกล่าว ถ้าหากไม่ละเมิดล่วงเกินศีล 5 ในข้อใดข้อหนึ่ง พระพุทธเจ้าไม่ตำหนิว่าเราเป็นผู้ประพฤติไม่ดี กลับจะยกย่องสรรเสริญเสียอีกว่า เป็นคนฉลาด ใช้กิเลสฝห้เกิดประโยชน์ความเป็นธรรมได้ เรามีหลักฐานที่จะยืนยัน เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านผู้ใดต้องการผลประโยชน์ในปัจจุบัน ท่านให้ยึดหลักธรรม 4 ข้อ เป็นหลักปฏิบัติ หนึ่ง อุฏฐานสัมปทา จงหมั่นขยันในการแสวงหาผลประโยชน์คือทรัพย์สมบัติ ข้อที่สอง อารักขสัมปทา จงรู้จักรักษาทรัพย์สมบัติไม่ให้สูญเสียโดยไม่มีเหตุผล ข้อที่สาม กัลยาณมิตตตา เมื่อมีทรัพย์สมบัติพร้อมมียศฐาบรรดาศักดิ์พร้อม มีอำนาจสนับสนุน พระองค์สอนให้สร้างความดีกับเพื่อนบ้าน ให้เพื่อนบ้านเขารักเคารพนับถือบูชา จะได้เป็นกำลังรักษาชีวิตทรัพย์สมบัติไม่ให้เสื่อมสูญอันตรธาน ข้อที่สี่ สมชีวิตา เลี้ยงตนเองและครอบครัว ตลอดจนบริวารให้มีความสุขสบายตามสมควรแก่ฐานะ อันนี่หลักท่านสอนไว้อย่างนี้ จึงเป็นหลักฐานยืนยัน ให้เราทำความเข้าใจว่า พุทธองค์ไม่ได้สอนให้เราละกิเลสถ่ายเดียว แต่ว่าสอนให้ละนั่นแหละละ แต่เมื่อเราละไม่ได้ เราต้องหาเอาประโยชน์ จากอำนาจของกิเลสโดยความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นขอท่านผู้ฟังทั้งหลายพึงทำความเข้าใจคำสอนของสมเพ็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดี ถ้าบางทีเราเข้าใจไม่แจ่มแจ้ง เราอาจจะสงสัยว่าทำไม พระพุทธองค์สอนกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติเพื่อจะสร้างความสุขความสบาย ให้แก่ตนเอง ครอบครัวและสังคม ตลอดทั้งประเทศชาติ ถ้าจะเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติมันก็คือ ศีล 5 นั่นแหละเป็นหลักที่ตายตัวและแน่นอนที่สุด ในปัจจุบันนี้บ้านเมืองเรากำลังร่ำร้องหาประชาธิปไตย วันนี้มีนิสิตนักศึกษามาฟังกันเป็นจำนวนมาก ใคร่ที่จะพูดถึงแนวทางประชาธิปไตยของพระ ประชาธิปไตยของพระนี้บางทีมันอาจจะไม่ตรงกับประชาธิปไตยของฆราวาส ประชาธิปไตยของฆราวาสหมายถึง การรวมกลุ่ม รวมกลุ่มกัน เช่น อย่างเราไม่ชอบเจ้านาย ผู้ปกครองบ้านเมืองท่านใด หรือไม่ชอบหัวหน้าแผนกการใด ผู้ใต้บังคับบัญชาเขามารวมหัวกัน เดินขบวนขับไล่ แต่ว่าท่านทั้งหลายเข้าใจว่านั่นคือประชาธิปไตย แต่ว่าความเข้าใจของประชาธิปไตยแบบพระนั่นคือ การเผด็จการหมู่ เมื่อไม่ชอบขี้หน้าใครก็รวมหัวกันขับไล่ คุณงามความดีเขาสร้างกันมาล้นโลก ไม่มีความหมาย อันนี่พระเห็นว่า ยังไม่เข้าใจ ประชาธิฟไตยของพระนี่ สำหรับนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ควรจะได้ทำความเข้าใจอย่างนี้ ปัจจุบันพวกคุณพ่อคุณแม่ส่งเรามาเรียน ตั้งใจเรียน เรียนให้มันจบ พอเรียนจบ ในระดับที่เราต้องการ จบปริญญาตรีโทเอก ในเมื่อจบแล้วรีบไปหางานทำ ในเมื่อทำงานได้มีรายได้ ก่อนอื่น ให้ถามคุณพ่อคุณแม่ ไปจำนองจำนำเอาเงินมาส่งพวกเราเรียน ถ้าใครไม่มีก็แล้วไป แต่ว่าถ้าของใครมี รีบเก็บหอมรอมริบ ไถ่ถอนทรัพย์สมบัติคืนให้คุณพ่อคุณแม่ให้หมด อันนี่คือจุดเริ่มประชาธิปไตยจุดแรกของพระ ทีนี้เมื่อหมดธุระอันนี้แล้ว รีบเก็บหอมรอมริบ เพราะอนาคตเราจะต้องมีครอบครัว ในเมื่อเรามีครอบครัวแต่งงานแต่งการ ถ้าเราสามารถมีที่ดินเป็นของของตน มีบ้านเป็นของของตน มีรถยนต์นั่งไปทำงานมีรายได้พอที่จะเลี้ยงตนและครอบครัว มีเหลือเก็บบ้าง เราเก็บสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้ สร้างฐานะของตนเองให้มีความมั่นคง มีบ้านมีช่องมีเงินมีทอง มีคนรับใช้รับสอย ในเมื่อเราสร้างฐานะของเราให้มีความสมบูรณ์เต็มที่ เราช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใคร เราก็เป็นใหญ่ ไปเป็นใหญ่ใคร เป็นใหญ่เราเองน่ะสิ เรามีฐานะดีเราก็เป็นใหญ่ เป็นอธิปไตยแก่ตัวเอง ทีนี้ในเมื่อเราหลายๆครอบครัวที่มีหลักมีฐานมั่นคงดี รวมกนเป็นหมู่บ้านเป็นตำบล เป็นอำเภอเป็นจังหวัด ล้วนแต่เป็นผู้มีฐานะดีๆกันทั้งนั้น ช่วยตัวเองได้ รัฐบาลหายห่วงไม่ต้องนำของไปแจก บ้านเมืองเราก็เต็มไปด้วยบุคคลผู้เป็นใหญ่เป็นอิสระ หลายๆครอบครัวที่มีหลักฐานมั่นคงรวมกันเข้าเป็นหมู่เป็นพวกก็เป็นประชา ถ้าเป็นหมู่บ้านก็เป็นหมู่บ้านประชาธิปไตย เป็นตำบลก็เป็นตำบลประชาธิปไตย เป็นอำเภอก็เป็นอำเภอประชาธิปไตย เป็นจังหวัดก็จังหวัดประชาธิปไตย เป็นประเทศก็เป็นประเทสประชาธิปไตย เพราะมีแต่คนเป็นใหญ่ เป็นใหญ่เป็นอิสระช่วยตนเองได้ ไม่ต้องคิดว่าเราจะต้องไปเป็นเจ้าเป็นนายใคร อันนี่คือหลักประชาธิปไตยการสร้างประชาธิปไตยของพระมันเป็นอย่างนี้ ผิดถูกอย่างไรขอฝากนัก...นิสิตนักศึกษาทั้งหลาย ท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไปพิจารณา ที่ได้กล่าวมาในตอนต้นนั้น เป็นประโยชน์ของการรักษาศีล 5 แล้วเป็นคุรธรรมที่พระพุทธเจ้าให้ยึด เป็นแนวทางสำหรับสร้างความรักความเมตตาปราณี ว่าเรารักษาศีล 5 แม้ในระดับของมนุษย์นี้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว เราพยายามนึกเสมอว่า ไหว้พระสวดมนต์เช้าเย็น เรานึกเสมอว่าขอเพื่อมนุษย์ของเรานี่ จงมีสุขกายสุขใจอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงมีสุข รักษาตนให้พ้นภัยทั้งปวงเถิด อันนี่คือการปฏิบัติศีลห้าเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปกล่าวถึงสวรรค์นิพพานอะไรไว้ก่อน อันนั้นเอาไว้คุยกันทีหลัง เรามาช่วยกันปรับพื้นฐานระดับนี้ให้มันสมบูรณ์ดี อันนี้มันเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณธรรมเบื้องสูงขึ้นไป มีศีลห้าแล้วเราก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ที่เราภูมิใจว่าเราเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่บางทีเราก็ลืมนึก ลืมนึกถึงตัวเองในบางครั้งบางขณะ เอาละ จะขอถือโอกาสพูดถึงหลักการพิจารณาตนว่า เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์หรือเปล่า เรามีหลักที่จะพึงให้ท่านพิจารณาอยู่ 4 ข้อ ข้อหนึ่ง ในขณะใดที่จิตใจของเราเกิดโหดเหี้ยม หรือโกรธจัด อยากจะคิดอะไรตามอำเภอใจ นึกจะฆ่า ฆ่า นึกจะแย่งชิง แย่งชิง แล้วไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่น ในขณะนั้นกายของเราเป็นมนุษย์ จิตใจของเราลดระดับต่ำลงไป ถ้าศีล 5 ขาดข้อหนึ่ง มันลดระดับต่ำลงไป กายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นอย่างอื่น ในขณะใดจิตใจของเรามีความเมตตาปราณี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เห็นอกเขาอกเรา ในขณะนั้นกายของเราเป็นมนุษย์ จิตใจของเราก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ในขณะใดจิตใจของเรามีหิริความละอายบาป โอตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป ไม่กล้าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ขณะกายของเราเป็นมนุษย์แต่ใจของเราเป็นเทวดา ถ้าขณะใดเราบำเพ็ญสมาธิภาวนา ทำจิตให้สงบนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน เป็นจิตพุทธะ ในขณะนั้นกายของเราเป็นมนุษย์แต่ใจของเราเป็นพระพรหม พระพรหมแปลว่าผู้มีจิตใจสว่างไสว อันนี้คือหลักที่เราจะใช้เป็นหลักที่จะพิจารณาตนเอง ว่าเราเป็นอะไรในขณะปัจจุบันนี้ แล้วเราก้รู้แล้วแล้วเราก็พยายามปรับระดับจิตใจของเรานี่ ให้มันอยู่ในระดับที่เป็นมนุษย์เป็นอย่างต่ำ สูงขึ้นไปก็เป็นเทวดา เป็นพระพรหม เมื่อเป็นเช่นนั้นสังคมของเราก็จะมีแต่ความสุขความสบาย การปฏิบัติธรรมจะเอาดีกับพระพุทธเจ้า สำคัญอยู่ที่ศีลเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องสมาธิภาวนานี่ใครจะทำได้ดีวิเศษไปถึงไหน แต่ว่าศีลนั้นไม่บริสุทธิ์ ก็ไม่สามารถที่จะประกันความปลอดภัยของชีวิตได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า บัณฑิตท่านจึงว่า ตัสมา สีลัง วิโสธะเย สาธุชนพึงชำระศีลให้บริสุทธิ์
          เอ้า ทีนี้ในลำดับต่อไป ทีนี้ จะได้พูดถึง เรื่องการปฏิบัติสมาธิภาวนาบ้างละ การปฏิบัติสมาธิภาวนาในขณะนี้ท่านก็ได้ปฏิบัติสมาธิอยู่แล้ว ในขณะที่เราตั้งใจกำหนดฟัง ฟังพระท่านเทศน์ ฟังพระท่านบรรยาย เรามีสติจดจ่อรู้อยู่ที่จิตของเราใจของเรา หรือจดจ่อต่อการฟังเราก็ได้ปฏิบัติสมาธิอยู่ตลอดเวลาที่พระได้บรรยายธรรมมา เพราะฉะนั้นการทำสมาธิก็คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้สติ มีสิ่งระลึกอะไรก็ได้ หลักการปฏิบัติสมาธิซึ่งเรียกว่าแบบสากล คำว่าปฏิบัติสมาธิแบบสากลนี้ เราไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ไม่ต้องไปเดินจงกรม ไม่ต้องไปยกครูกรรมฐาน เอากันอย่างนี้ ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน แล้วเป็นสิ่งที่เป็นอารมณ์จิต เป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ ผู้สมัครใจจะปฏิบัติสมาธิ จงกำหนดจิตให้มีสติ รู้พร้อมอยู่กับการเดินยืนนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิดทุกขณะจิตทุกลมหายใจ นอกจากเวลาเดินยืนนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด ในเมื่อเรานอนลงไป จิตของเราคิดอะไร ปล่อยให้มันคิดไปแต่ต้องมีสติกำหนดตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน แล้วในที่สุดท่านจะได้สมาธิในขณะนอนหลับ พอนอนหลับลงไปจิตมันจะนิ่งสว่าง ปัญหาอันใดที่มันข้องใจอยู่ ในเมื่อกลางวันที่เราแก้ไม่ตก จะวิ่งเข้าไปเป็นอารมณ์จิต จิตจะทำหน้าที่แก้ไขปัญหานั้นๆ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับนอนหลับแล้วฝันไป แต่ว่าแก้ปัญหา อันนี้เป็นเรื่องของสมาธิทั้งนั้น เป็นการปฏิบัติสมาธิแบบสากล โดยไม่มีพิธีรีตองอันใด เพื่อให้ประยุกต์กับสิ่งที่ท่านปฏิบัติมาแล้ว ท่านผู้ที่เรียนจบปริญญาสูงๆมาแล้ว หรือนิสิตนักศึกษาซึ่งกำลังเรียนอยู่ในปัจจุบัน ก็ได้ผ่านการปฏิบัติสมาธิมาแล้วทั้งนั้น ในขณะท่าน...ที่ท่านวิจัยงานของท่าน ในขณะที่ท่านเรียน ท่านมีวิจัยวิชาความรู้ มีวิจัยงาน นอกจากจะใช้ความคิดและเหตุผลตามหลักวิชาที่ท่านเรียนรู้มา ท่านยังต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เข้าไปช่วยด้วย ในขณะที่ท่านคิดวกไปเวียนมาวกไปเวียนมา พอเผลอๆ จิตมันว่างลงนิดหนึ่ง สิ่งที่ท่านต้องการรู้ มันผุดขึ้นมาเป็นความรู้ อันนั้นคือ สมาธิปัญญา หรือปัญญาในสมาธิ ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิเก่งที่สุดในโลกปัจจุบันที่เรารู้ๆกันนี่คือใคร นักวิทยาศาสตร์นักวิทยาศาสตร์คนที่ค้นคิดสร้างจรวดไปลงดวงจันทร์ คนนั้นก็ยังไม่เก่ง แต่คนที่เก่งที่สุด คือคนที่คำนวณระยะเวลากับความเร็วของจรวดตัวเล็กที่ไปลงดวงจันทร์ แล้วกระโดดกลับมาเกาะยานแม่ลงสู่มนุษยโลก นายคนนี้เก่งที่สุด ถ้าหากว่านายคนนี้คำนวณผิดเพียงเสี้ยววินาที จรวดตัวเล็กจะเกาะยานแม่ไม่ถูก จะไม่มีโอกาสลงมาสู่มนุษยโลก จะลอยเคว้งคว้างอยู่บน ณ ...อ้า บนอวกาศ นี่สองคนนี้เป็นคนที่ปฏิบัติสมาธิเก่งที่สุด ทีนี้ในบ้านเมืองเรานี่ เราจะมาถกเถียงกันเพียงแต่หลักวิธีการเท่านั้น มันไปไหนไม่รอด ฝรั่งเขาไปถึงดวงจันทร์ดวงดาวกันแล้ว เรายังมาเถียงกันอยู่ก็เพราะยุบหนอพองหนอพุทโธสัมมาอรหัง นิสิตนักศึกษาซึ่งกำลังเรียนอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าท่านอยากจะเรียนหนังสือเก่ง เวลาท่านเข้าห้องเรียน เวลาอาจารย์มาสอน พออาจารย์มายืนหน้าห้อง ให้ท่านมองจ้องที่ตัวอาจารย์ ส่งใจไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์ อย่าให้สายตาหรือใจไปอื่น ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันที่มีอาจารย์มาสอน ถ้าท่านปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน ทุกชั่วโมงที่มีอาจารย์มาสอน รับรองว่าท่านจะได้สมาธิในห้องเรียน สมาธิที่ท่านปฏิบัติในห้องเรียนนี้ จะสามารถรู้จนกระทั่งข้อสอบล่วงหน้า ใคร่ที่จะขอนำตัวอย่างนักศึกษาที่ทำสำเร็จมาแล้วคนหนึ่ง เคยแนะนำให้เขาปฏิบัติ เขาก็ไปปฏิบัติตามตั้งแต่เขาเริ่มเรียนระดับปริญญาตรี ตอนแรกเขาเรียนไม่ค่อยเก่ง ภายหลังก็ไปปฏิบัติสมาธิดังที่กล่าว เขาเก่งขึ้น ทำให้เขาเรียนดีขึ้น ในตอนแรกๆสายตาและจิตไปจ้องมองอยู่ที่ตัวอาจารย์ ในภายหลังพอมีพลังทางสมาธิทางสติดีขึ้น ความรู้สึกทางใจมันย้อนมาเตรียมพร้อมอยู่ที่ตัวเอง แต่สายตายังจ้อง มาตอนนี้อาจารย์อธิบายอะไรให้ฟัง พออาจารย์พูดจบปั๊บหยุดหายใจ เขาสามารถที่จะรู้ล่วงหน้าว่าต่อไปอาจารย์จะพูดอะไร เวลาไปสอบพออ่านคำถามจบ ใจมันวูบไปนิดหนึ่งคำตอบก็ผุดขึ้นมาเขียนเอาเขียนเอา ไม่ต้องใช้ความคิด เวลาก่อนหน้าจะสอบ ใจมันบอกแล้วว่า ข้อสอบจะออกที่ตรงนั้นตรงนั้น ที่หนังสือเล่มนั้นหน้านั้น แล้วก็ พอไปสอบจริงๆแล้วก็มันก็ออกมาจริงๆ นักศึกษาคนนี้เมื่อเขาเรียนจบปริญญาโท ไปสมัครสอบแข่งขันจะไปเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ข้อสอบผ่านข้อเขียนผ่านไป ยังเหลือสัมภาษณ์ พอถึงวันที่จะสัมภาษณ์เขานั่งอยู่ที่บ้านเขา พอคิดขึ้นมาว่าวันนี้จะถูกสัมภาษณ์เรื่องอะไร คำถามมันก็โผล่ขึ้นมา คำตอบก็ผุดขึ้นมาแล้ว รู้ล่วงหน้าหมดทุกข้อ พอไปถึงสนามสอบกรรมการก็...พอกรรมการถามปั๊บตอบปุ๊บถามปั๊บตอบปุ๊บ พอเขาจบคำถามตอบได้ทันที กรรมการท่านถามว่าทำไมหนูจึงได้เก่งนัก หนูฝึกสมาธิ ไปฝึกสมาธิที่ไหน สำนักใด ตาหนูสอนให้ฝึกในห้องเรียน แล้วผลมันก็เกิดขึ้นมาดั่งนี้ อันนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ที่ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า นิสิตนักศึกษาที่ต้องการเรียนเก่ง เมื่อเวลาอาจารย์มาสอน ท่านมายืนหน้าห้องให้มองจ้องที่ตัวอาจารย์ ส่งใจไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์ อย่าให้สายตาและใจไปอื่น ให้จ้องมองอยู่อย่างนั้น มีอะไรจดรีบจด จดแล้วรีบมอง ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกชั่วโมงที่มีอาจารย์มาบรรยายหรือมาสอน แล้วในที่สุดเราก็จะได้สมาธิสนับสนุนการเรียนการศึกษาของเราดีขึ้น ทีนี้เมื่อเราเรียนจบเรายังจะได้ใช้พลังสมาธิอันนี้ไปเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ทีนี้การปฏิบัติสมาธิอันใด ถ้ามันไปรู้สึกว่า มันไปขวางขวางกับเรื่องชีวิตประจำวันเนี่ย มันไม่ถูก ผู้ปฏิบัติสมาธิเป็นแล้วได้แล้วนี่ จะต้องมีความรักเคารพบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป้นอย่างยิ่ง เมื่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่าอย่านะลูก หยุดทันที เขาจะไม่กล้าที่จะฝ่าฝืน อันนี่ ได้ตัวอย่างจากบุคคลผู้ที่เขาปฏิบัติสำเร็จมาแล้ว การปฏิบัติสมาธิมิได้มุ่งอยู่ที่ว่า เราจะต้องสร้างอิทธิฤทธิ์ ให้เกิดความรู้อะไรต่างๆซึ่งตามนุษย์ธรรมดาไม่รู้ไม่เห็น จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะสร้างพลังจิตของเราให้มีพลังสมาธิคือความมั่นคง พลังของสติสัมปะชัญญะจนกระทั่งเกิดปัญญา เพื่อใช้ประโยชน์ในการอก้ไขปัยหาชีวิตประจำวันของเราได้อย่างคล่องตัว ถ้าหากว่าการปฏิบัติสมาธิอันใดจิตได้สมธิแล้วเบื่อโลกเบื่อสงสาร อยากจะโกนหัวไปบวชนั้น อย่าไปเอา มันไม่ถูกต้อง ในเมื่อเราได้สมาธิดีแล้วเราต้องกล้าเผชิญต่อเหตุการณ์ต่างๆ ต้องเป็นนักสู้ไม่ใช่นักหลบ แต่เราจะต้องสู้ สู้ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติปัญญาของเรา
ทีนี้เนื่องจากว่าหลักและวิธีการปฏิบัติสมาธิในปัจจุบัน ในบางครั้งผู้สอนสมาธิผู้เรียนสมาธิ ก็ยังมีมติขัดแย้งกันอยู่ อาตมภาพได้เคยทดลองมา ในบางครั้งที่ศูนย์ฝึกสมาธินักเรียนระดับมัธยมที่จังหวัดนครราชสีมา ที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน เรารับภาระฝึกสมาธินักเรียนเดือนละสามรุ่น แต่ละรุ่น 300 คนขึ้นไป ในบางครั้งมีนักเรียนทั้งศาสนาพุทธศาสนาคริสต์มาฝึกร่วมกัน ทีนี้พอเข้าห้องฝึกสมาธิ เราก็ให้คำแนะนำว่า ชาวพุทธให้ภาวนาพุทโธ ชาวคริสต์ให้ภาวนาเยซู เด็กมันก็ต่างคนต่างภาวนาของใครของเรา เขาให้เวลานั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง ทีนี้พอเขาบอกให้หยุดพัก เด็กชาวคริสต์ก็มาถามชาวพุทธว่า เธอภาวนาพุทโธแล้วจิตของเธอเป็นอย่างไร ฉันภาวนาพุทโธแล้วจิตของฉันสงบนิ่งสบาย รู้ตื่นเบิกบานมีปีติมีความสุข แล้วของเธอล่ะเป็นอย่างไร ของฉันก็เหมือนกันฉันภาวนา เยซู เยซู เยซู มันรู้สึกมีอาการเคลิ้มๆเบลอๆเหมือนกับจะนอนหลับ พอเผลอพลั๊บจิตวูบลงนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน มีปีติมีความสุข เราคนละศาสนา ศาสดาคนละองค์ เมื่อมาปฏิบัติสมาธิแล้วทำไมจิตจึงเป็นเหมือนกัน อาจารย์เขาก็อธิบายให้ฟังว่า สมาธิมีหนึ่งเดียว ไม่มีแตกต่าง สมาธิตามธรรมชาติของสมาธิตามหลกของความเป็นจริงของสมาธิ มันจะมีอันเดียวเท่านั้น ไม่แตกต่างกัน ใครจะภาวนาแบบไหนคำไหนอย่างไร เมื่อจิตเป็นสมาธิ มันจะต้องนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบานเหมือนกันหมด มีปีติมีความสุขเหมือนกันหมด ก็เหมือนๆกับที่เราเชื่อว่า บรรยากาศรอบข้างของเรานี้มีกระแสไฟฟ้ากระจายเต็มไปหมด เราต้องการอยากจะได้กระแสไฟฟ้ามาใช้ให้มันเกิดประโยชน์ ฝรั่งเขามีปัญญาดีกว่าเขาก็สร้างขั้วแม่เหล็กทองแดงขึ้นมาให้มันหมุนเสียดสีกันเกิดความร้อนก็ได้ไฟมาใช้ แต่คนเราไทยนี่ค่อนข้างปัญญาอ่อน แต่ยังดีรู้จักตัดไม้ไผ่แห้งมาสีกัน สีไปสีมามันเกิดความร้อนก็เกิดเป็นไฟ ได้ไฟมาใช้เหมือนกัน กรรมวิธีเราอาศัยการเสียดสีอย่างเดียวกัน แต่วัสดุในการทำงานเราใช้คนละอย่างกัน ผลลัพธ์ก็คือได้ไฟมาใช้เหมือนกันเพราะฉะนั้นจะไปข้องใจอะไรเกี่ยวกับหลักวิธีการทำสมาธิในตำรา อาตมะจึงขอให้ข้อสรุปว่า ถ้าใครจะถามว่าอยากจะทำสมาธิทำอย่างไร ก็จะได้คำตอบว่า ทำสมาธิคือทำจิตให้มีอารมณ์ตื่นรู้ สติมีสิ่งระลึกจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด เป็นต้น ถ้าเรามีสติกำหนดการรู้อยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ นอนลงไปจิตมันคิดอะไรปล่อยให้คิดไปอย่าไปห้ามมัน เรามีสติความรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
เพื่อแก้ข้อข้องใจสงสัยบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย ใคร่ที่จะขอนำเรื่องราวการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟังพอเป็นตัวอย่าง ก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ยังไม่เกิด ทีนี้เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดคำว่าพุทโธก็ไม่มี สัมมาอรหังก็ไม่มี ยุบหนอพองหนอก็ไม่มี เพราะคำพูดสามคำนี้มันเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าโดยตรง ถ้างั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าตอนนั้น พระองค์เอาคำพูดคำไหนมาท่องบริกรรมภาวนา จนใจจริงๆ หาคำพูดที่จะท่องไม่มี เมื่อก่อนไปเรียนในสำนักดาบสทั้งหลาย ก็ไปยืมคาถาอาคมของดาบส มาท่อง ท่องไปแล้วมันก็ได้แค่ฌานสมาบัติ ไม่ใช่ทางตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อพระองค์เสด็จออกจากสำนักของอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น ตอนที่พระองค์จะไปเริ่มต้นปฏิบัติโดยพระองค์เองนี่สิ พระองค์เอาอะไรไปท่องไปบริกรรมภาวนา ไม่มี ดังนั้นเมื่อตอนหลังที่พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ทรงเสวย อิ่มหนำสำราญพระวรกายสดชื่น พระองค์มาเริ่มต้นการปฏิบัติ ทำให้พระองค์รำลึกถึงตอนที่ยังทรงพระเยาว์ ที่พระพี่เลี้ยงนางนมผูกพระอู่ให้บรรทมอยู่ใต้ต้นหว้า ในช่วงระยะเวลาว่างจากผู้คน พระองค์กำหนดพระทัยในจิตของพระองค์ รู้ที่ลมหายใจเข้าหายใจออก ในที่สุดพระองค์ได้บรรลุปฐมฌาน ปฐมฌานที่มีวิตกคือจิตรู้อยู่ที่ลมหายใจ สติสัมปะชัญญะประคับประคองจิตให้รู้อยู่ที่ลมหายใจ แล้วก็เกิดมีปีติเกิดความสุขเกิดความเป็นหนึ่ง คือจิตรู้อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น ได้บรรลุปฐมฌาน เมื่อพระองค์ทรงรำลึกถึงจุดนี้ พระองค์ก็มานึกว่า อ้อ ที่ตรงนี้เอง แล้วพระองค์ก็เริ่มต้นปฏิบัติ มากำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะ ทีนี้การที่พระองค์ทรงกำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าหายใจออกนั้น พระองค์ทำอย่างไร นี่ปัยหาที่เราจะต้องทำความเข้าใจมันอยู่ที่ตรงนี้ อย่าลืมว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติสมาธิตามหลักของธรรมชาติ พระองค์ไม่ได้บังคับจิต มีแต่กำหนดจิตให้รู้อยู่ที่ลมายใจเพียงอย่างเดียว มีพระสติกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกหายใจเข้าหายใจออกอยู่เฉยๆ แม้แต่คำว่า ลมหายใจยาวพระองค์ก็ไม่ได้นึกหายใจสั้นไม่ได้นึก ลมหายใจหยาบละเอียดไม่ได้นึกทั้งนั้น เพียงแต่มีพระสติกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว แล้วในที่สุดพระจิตของพระองค์ก็ทรงพลังสมาธิความมั่นคง มีพระสติเข้มแข็ง พระจิตของพระองค์ตามลมหายใจเข้าไปนิ่งสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ทำให้พระองค์รู้อวัยวะภายในกายทั่วหมดในขณะจิตเดียว คือรู้อาการ 32 ที่เราเคยได้ยินได้ฟังอยู่นั้นเอง อาการ 32 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น พระองค์ทรงรู้ในขณะจิตเดียว แล้วจิตของพระองค์ก็ไปสงบสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย เมื่อจิตค่อยสงบลงไปร่างกายก็หายไป ยังเหลือแต่พระจิตดวงเดียวนิ่งสว่างไสว อยู่ในท่ามกลางของจักรวาล แต่ในช่วงนี้ยังไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแต่เป็นจุดเริ่มของจิตพุทธะ  คือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ถ้าจะว่าในอันดับของสมาธิของฌานก็อยู่ในฌานที่สี่ ซึ่งเรียกว่า จตุถะฌาน จตุถะฌานนี่เป็นสมาธิขั้นสมถะ สมถะกรรมฐานเกิดขึ้นตั้งแต่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุถะฌาน แล้วก็ไป อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี่เป็นสมาธิสมถะกรรมฐาน สมาธิสมถะกรรมฐานนี้ ไม่เกิดปัญญาภูมิความรู้ แต่สามารถทำจิตให้สงบละเอียดยิ่งลงไปจนเกือบจะไม่มีอะไรเหลือ ซึ่งในสมัยนั้นพวกฤาษีเขาก็ว่า เขาสำเร็จอรหันต์เหมือนกัน พระองค์ก็ไปทรงทดลองปฏิบัติดูตามแบบเขา ก็เห็นว่า ไม่สำเร็จ พระองค์จึงมาทรงปฏิบัติโดยลำพังพระองค์เอง เมื่อได้สมาธิตั้งแต่ปฐมฌานแล้ว จิตก็วิ่งเข้าสู่กาย รู้เรื่องของกาย จนกระทั่งกายหายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวนิ่งสว่างไสวอยู่ ทีนี้ตอนนี้จิตของพระองค์ไปทางไหน พอไปถึงจุดนี้แทนที่จะเตลิดไปทางแนวทางของสมาบัติ 8 กลับวกเข้าไปสู่ สัญญาเวทะยิตะนิโรธ เข้านิโรธสมาบัติต่อ นิโรธสมาบัติเป็นฐานสร้างพลังจิตเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตระ เมื่อพระองค์ จิตของพระองค์สร้างพลังพร้อมแล้ว จิตเบ่งบานออกมาอีกทีหนึ่ง แผ่รัศมีสว่างไสวครอบคลุมจักรวาลทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดปิดบังดวงจิตดวงนี้ได้เลย นอกจากจะมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือผิวพื้นแผ่นดิน แต่ทะลุเป็นโลกวิทูนั้น มันมีลักษณะอย่างไร ใครได้อ่านตำราพระเจ้าเปิดโลก ก็เหมือนๆกันอย่างั้นแหละ ในขณะนั้นจิตของพระองค์ มองเห็นจนกระทั่งโลกนรก โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ นอกจากจะมองเห็นโลกมนุษยื โลกสวรรค์ ยมโลก หรือโลกนรกแล้ว ยังรู้บุพพกรรมของสัตว์ทั้งหลาย ว่าสัตว์ทั้งหลายทำกรรมอะไรจึงเป็นเช่นนั้น แล้วรู้ไปจนกระทั่งว่าทำไมสัตว์ต้องทำกรรมแตกต่างกัน เพราะอวิชชาความรู้ไม่จริง แต่ในขณะนั้นจิตของพระองค์จะรู้นิ่งอยู่เฉยๆ จิตของคนเรานิ่งไม่มีร่างกายตัวตน มีแต่จิตสว่างไสวอยู่สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่พูดไม่เป็น สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นอะไรมีแต่เฉยๆลูกเดียว ทำไมจึงไม่มีความคิดทำไมจึงไม่มีคำพูด เพราะจิตของคนเราในเมื่อแยกจากกายไปอยู่เอกเทศส่วนหนึ่ง รู้ได้เห็นได้แต่พูดไม่เป็น ทำไมจึงพูดไม่เป็น เพราะไม่มีเครื่องมือ เครื่องมือที่ทำให้จิตเกิดความคิดก็คือ ประสาททางสมอง ตอนนั้นไม่มีร่างกายแล้ว ประสาททางสมองก็ไม่มี มีแต่จิตดวงเดียว จึงคิดไม่เป็นแต่รู้เห็นได้ แล้วก็สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆไว้พร้อมหมด ทีนี้เมื่อจิตของพระองค์ถอนจากสมาธิขั้นนี้มา พอรู้สึกว่ามาสัมพันธ์กับร่างกาย รู้สึกว่ามีกายเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้เห็นหายไป ยังเหลือแต่ความทรงจำ พอเสร็จแล้วจิตของพระองค์จึงน้อมไปสู่การพิจารณาเรื่อง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ การระลึกชาติหนหลังได้ ตอนนี้คิดเป็นพูดเป็นภาษา คือพิจารณารู้เรื่อง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ คือระลึกว่า ชาติก่อนเราเคยเกิด...เกิดเป็นเวสสันดร ชาติต่อไปเป็นอย่างนั้น ชาติต่อไปเป็นอย่างนั้น และนอกจากจะรู้ของพระองค์เองแล้วยังสามารถรู้ของสัตว์โลกทั้งปวงด้วยว่า ว่าใครเกิดมากี่ภพกี่ชาติ อันนี้เป็นเรื่องปุพเพนิสาสานุสปฏิญานการกำหนดระลึกชาติหนหลังได้ พระองค์พิจารณาจบลงในปฐมญาน แล้วต่อไปจิตของพระองค์ก็น้อมไปสู่การพิจารณาการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปตามกฏของกรรม ภาษิตที่ว่า กัมมัง สัตเต ฑิวัตตะติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่างๆกัน เกิดขึ้นในตั้งแต่สมัยนั้น เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในมัชฌิมญาน แล้วก็จิตของพระองค์ก็น้อมไปพิจารณาเรื่องอาสวะกิเลสอันเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม คืออวิชชาความรู้ไม่จริง เมื่อรู้ไม่จริงก็ต้องทำกรรมไปตามที่ตนคิด ว่าถูกต้อง แต่แล้วมันก็มีทั้งผิดทั้งถูกทั้งบาปทั้งกรรม เมื่อทำแล้วก้ได้รับผลของกรรมได้รับแล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไม่รู้จักจบจักสิ้น อันนี้พระองค์พิจารณาจบลงในปัจฉิมญาน ในจวนใกล้รุ่ง เมื่อพระองค์พิจารณาสามเรื่อง ตลอดสามยามจนจบลงแล้ว จอนนี้เรียกว่าเจริญวิปัสสนา แต่ตอนที่รู้เห็นเป็นโลกะวิทู เป็นสมถะกรรมฐาน ทีนี้เมื่อพิจารณาจบจิตยอมรับสภาพความจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้เห็นนี้เป็นจริงตามกฏของธรรมชาติ แล้ว อรหัตมรรคญาณอันวิเศษ อันเกิดขึ้นในขณะจิตนั้น จึงตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นไปในปัจฉิมญาน จึงได้พระนามว่า อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้น ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ด้วยประการฉะนี้ นี่คือวิถีทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นดั่งนี้ ถ้าท่านผู้ใดต้องการความพิสดารให้ไปอ่านในคัมภีร์ พระปฐมสมโพธิ
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมกรรมฐานนี้ มันเป็นการสร้างจิตของเราให้มีความมั่นคง คือ สมาธิ สร้างสติให้มีพลังเข้มแข็ง เพื่อประคับประคองจิตของเราให้มั่นคงต่อการทำงานในหน้าที่ของตนเอง ทั้งในเรื่องชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องการปฏิบัติธรรม ทีนี้การปฏิบัติธรรม คือการทำจิตให้มีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก อะไรเป็นสิ่งรู้ของจิต ในกายของคนเรานี่ มีกายกับใจ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ทีนี้กายกับใจ ตาหูจมูกลิ้นกายและใจ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ตลอดทั้งธุรกิจการงานวิชาความรู้ที่เราเรียนมาทั้งหมดมีในจักรวาลนี้ ทั้งนามธรรมและรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรมตั้งแต่อณูปรมาณู จนกระทั่งมวลสารอันเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่โต หรือสิ่งที่มีแต่ชื่อเรียกแต่ไม่มีวัตถุที่จะลูบคลำจับต้องได้ สิ่งนั้นเรียกว่านามธรรม ทั้งหมดนี้ เป็นสภาวะธรรม เป็นเรื่องของโลก โลกทั้งโลกเป็นอารมณ์จิตของผู้ภาวนา ผู้ภาวนาเพื่อจะให้จิตของตนเองบริสุทธิ์สะอาดเข้าถึงพระนิพพานได้ ต้องศึกษาและเรียนรู้โลกให้มีความเข้าใจถูกต้องถ่องแท้ ตามกฏของธรรมชาติ กฏของธรรมชาติที่มีอยู่ในจักรวาลนี้มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา สภาวะทั้งหลายที่เรียกว่าสภาวะธรรมนั้น มีเกิดขึ้นทรงอยู่ดับไป เกิดขึ้นทรงอยู่สลายตัว ภาษาพระพุทธเจ้าว่า อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาล อนัตตาไม่เป้นตัวของตัวเอง ทุกสิ่งวทุกอย่างตกอยู่ในกฏธรรมชาติอันนี้ แม้แต่กายใจของเรา แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ แล้วทำไมมันเรื่องอะไรมากระทบมนุษย์จนกระทั่งทำให้เกิดทุกข์เดือดร้อน ที่มันต้องมากระทบมนุษย์ทำให้มนุษย์ต้องเดือดร้อนนี่ เพราะมนุษย์ไม่รู้ความจริง มนุษย์ทั้งหลายยังนี่ยึดอัตตาตัวตน ว่าสิ่งโน้นก็ของเราสิ่งนี้ก็ของเรา ในเมื่อสิ่งที่เป็นของเรา เรานึกว่าเป็นของเรานั่นแหละ สิ่งนั้นเขาเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ มีแล้ว ทรงอยู่ หายไป มีแล้ว ทรงอยู่ หายไป เราเอาจิตใจของเราไปสอดแทรกเข้าไปในตรงนั้น เราอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของเรา แต่สิ่งนั้นหาเป็นไปตามความต้องการของเราไม่ เมื่อมันขัดใจเรา เราจึงเกิดโทมนัสน้อยใจ แล้วก็เกิดทุกข์เดือดร้อน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัพเพ สังขารา สังขารไม่เที่ยง สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารเป็นทุกข์ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อันนี่เป็นกฏของธรรมชาติ แต่เราเรียนธรรมะเราไปเที่ยวกล่าวตู่สิ่งโน้น กล่าวตู่ว่า มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา รถ เรือน เป็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราไปเที่ยวกล่าวตู่แต่สิ่งภายนอก เพราะเราไปมองเห็นแต่สิ่งภายนอก เป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่มองถึงตัวทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ภายในจิตของเรา แต่แท้ที่จริงแล้วจิตของเราเองนั้นแหละ ตัวไม่เที่ยง ถ้าตาเห็นรู้จิตของเราปกติ มันก็เที่ยง ได้ยินเขาด่ามา เราไม่โกรธ จิตของเราก็เที่ยง แต่ถ้ามันหวั่นไหวไปทางยินดียินร้ายแล้วมันก็ไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็กินทันที เพราะฉะนั้น การรักษาจิตของเราให้มีความมั่นคงคือสมาธิ สร้างสติของเราให้มีพลังเข้มแข็ง เมื่อสติมีพลังเข้มแข็งแล้วมันจะเกิดปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งหลาย อันเป็นเรื่องของโลก เมื่อเรามีสติปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในกฏธรรมชาติของโลก จิตของเราก็ถีบตัวอยู่เหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง เราก็สำเร็จพระนิพพาน
วันนี้ ได้บรรยายธรรมะพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านทั้งหลาย ก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาละเวลา การบรรยายธรรมครั้งนี้ ก้พูดไปตามอารมณ์เพื่อฟังกันง่ายๆ คล้ายๆกับว่าไม่มีกฏเกณฑ์ ไม่มีหลัก แต่ส่วนใหญ่ได้นำความจริงซึ่งมันเป็นประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังเป็นส่วนใหญ่ หากไปมัวแต่จะไปพูดแต่ถึงเรื่องคัมภีร์ ยกโน่นยกนี่ อาตมาเรียนจบเปรียญสี่ประโยคมาก็จำไม่ได้กี่มากน้อย เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของนักปฏิบัติ ท่านใดที่เป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติ ก็เอามาถ่ายทอดให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง หลักของการปฏิบัติสมาธิมีข้อสังเกตอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น หรืออย่างอื่นก็ได้ ทีนี้พอภาวนาไปแล้วจิตของท่านสงบนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน มีปีติมีความสุข รู้สึกว่ามีความสบาย แต่ว่าปฏิบัติไปปฏิบัติไป จิตมันมีพลังแก่กล้าขึ้น พอพุทโธ พุทโธ สองสามคำจิตมันวูบลงไปนิดหนึ่งความคิดมันฟุ้งฟุ้งฟุ้งขึ้นมายังกับน้ำพุ อย่างที่คุณโยมคนหนึ่งถามเมื่อก่อนหน้าที่จะพูดนี่ ที่ว่าจิตมันมีแต่ความคิดคิดคิดคิด คิดอยู่ไม่หยุด ถ้าในลักษณะอย่างนี้ถ้ามันคิดไม่หยุด ให้กำหนดสติตามรู้เรื่อยไป อาศัยหลักสมาธิที่ว่า ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด เป็นอารมณ์จิต ตามไปจนกว่าจิตของเราจะมีพลังทางสติเข้มแข็ง ธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกที แล้วในที่สุด เขาจะเกิดสติปัญญารู้อารมณ์จิตของเขาเอง ตามหลักแห่งความเป็นจริง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในท้ายที่สุดนี้ ด้วยบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ พระอริยะสงฆ์ผู้สืบศาสนา บุญบารมีอันใดที่อาตมภาพได้ทำเป็นมาด้วยกายวาจาจิต ขออุทิศให้แก่เป็นคารวะปัจจัยหนุนส่งวิถีชีวิตของท่านทั้งหลาย ให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ แม้จะปรารถนาลาภยศสรรเสริญสุขและอำนาจ จงสำเร็จตามปณิธานตามปรารถนา ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ ขอจบ
 ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ  
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา
สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง .
                
(จาก http://www.fungdham.com/sound/popup-sound/put/popup-put02.html)

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อัตชีวประวัติหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


อัตชีวประวัติหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (ตอนที่ ๑)
(วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย)
          อ้า...วันนี้ก็มาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วนะ คนแก่มีอยู่บ้าง มาปนกับคนหนุ่ม คนแก่ไม่ทราบไปไหนหมด ยังเหลือแต่คนหนุ่ม คนวัยกลางคน คนแก่ไม่ทราบไปไหน น่าสังเวช พอมาได้คิดถึงชีวิตของตัวเอง ว่ามันเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว เราจะต้องหาที่พึ่งทางจิตใจ มันไม่คิดกันเลยนะ ไม่คิด คล้ายๆกับว่าจะอยู่ยั่งยืนนาน จะได้อาศัยร่างกายนี้ไปนมนานกาเล ความเข้าใจความรู้สึกอันนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่แล้ว เถ้อ..ไม่อยู่ไม่กี่ปีไม่กี่เดือนต่อไปก็ต้องได้หนีจากกันแล้ว เพราะฉะนั้น ให้พากับรีบสร้างรีบเร่งสร้างที่พึ่งใส่ใจของตนเสีย ให้เต็มที่ วันนี้ อาจารย์ทิพย์ก็มีความประสงค์จะให้หลวงปู่เล่าชีวประวัติ ให้พุทธบริษัททั้งหลายฟัง  ว่าความเป็นมา ตั้งแต่เบื้องต้น เป็นมาอย่างไรก่อนที่จะมาบวช บวชมาแล้วระยะแรกทำยังไง ระยะต่อไปทำยังไง อันนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควรฟังอยู่เหมือนกัน เพราะว่ามันเป็นคติธรรมสำหรับเกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละบุคคล เพราะอาศัยบุญวาสนานั่นน่ะไป๊ มาดลบันดาล ให้เกิดความคิดความนึกขึ้นในทางที่ดี เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนบวช ใกล้จะได้มาบวชนี้แหละ ตามธรรมดานี่ ไม่ได้เป็นคนเกียจคร้านเลย เพราะเป็นชาวนาชาวสวน ถึงหน้าทำนาก็ทำนา ถึงหน้าทำสวนก็ทำสวน ด้วยความขยันหมั่นเพียร และก็โรคภัยก็ไม่เบียดเบียนด้วย พ่อแม่ก็ได้รับความสุขสบายด้วย พ่อแม่ไม่ได้ทำงานหนักอะไร ลูกๆทำแทน ก็ได้เมื่ออายุสิบเก้าปี  เข้ามาแล้วนี่ มันก็เกิดความคิดขึ้นมาในใจ ว่าการทำการทำงานต่างๆ หมู่นี้ ล้วนแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้นเลย หาความสุขไม่ได้ ทั้งเป็นทุกข์ด้วยและทั้งไม่มีสาระแก่นสารด้วย เช่นทำนา ได้ข้าวไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้บริโภคบ้างขายบ้าง พอถึงปีใหม่มา เอ้า ก็จวนจะหมดอยู่แล้ว ข้าวนี้น่ะ ก็ต้องได้เริ่มลงมือทำนากันไปอีก ไถนาคราดนาไปเดินตามหลังควายไป ก็คิดดำริอย่างนี้แหละ คิดไปคิดมาก็มองไม่เห็นสาระแก่นสารอะไร ถ้าขืนอยู่อย่างนี้มันก็เป็นทุกขเปล่าๆ อ้าว ถ้ายังงั้นจะไปยังไง ถามตัวเองน่ะ ก็บวชสิ ถ้าบวชแล้วมันจะพ้นจากเรื่องเหล่านี้หรือ พ้น ก็เป็นนักบวชนี่มันย่อมเป็นผู้วางมือจากการงานต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด ถึงจะเป็นนักบวชได้ พอคิดอย่างนี้ก็เกิดศรัทธาอยากบวชขึ้นมา นั่งบนหลังควายไปนี่แหละ เพ่งพิจารณาดูร่างกายอันนี้ แล้วปรากฏว่าร่างกายมันแตกกระจายออกไปหมด สว่างโร่ไปทั่วเลยบัดนี้ มองไปไหนก็ไม่มีคนไม่มีสัตว์ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้ มีตั้งแต่อากาศว่างเปล่าไปหมดเลย เอ้อ...โลกนี้ไม่มีแก่นสารอะไรเลยน๊า มันว่างไปหมด เสร็จแล้วก็ตายไป  ไม่เห็นมีอะไรเป็นสาร มันก็เป็นเกิดแสงสว่างอยู่อย่างนั้นชั่วระยะหนึ่ง แล้วมันก็หายไป ได้ปีติในใจอย่างรุนแรงมานี่ โอ๊ เมื่อเกิดแสงสว่างขึ้นในใจอย่างนั้นแล้ว ใจก็เบาปลอดโปร่ง ทั้งที่ไม่เคยได้ไปฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่ได้เคยนั่งภาวนาสักกทีเลย แต่แล้วนั่งบนหลังควายกลับบ้าน ไปไถนา ตอนเย็นน่ะ นั่งพิจารณาไปแล้วว่า เกิดปรากฏร่างกายแตกกระจายออกไปเลย เกิดแสงสว่างทั่วโลกอันนี้ มองไปไหนไม่เห็นสัตว์ไม่เห็นบุคคลเลย อันนี้กายก็เบาใจก็เบาเหมือนกันกับไม่มีกาย ตอนนี้แหละ โอ๊มันศรัทธาอยากบวชหลายแล้วบัดนี้นะ โอ้เราต้องบวชแน่ๆว่างั้น ก็ไม่ทราบว่าจะมาทำงาน เอาทำทุกข์ให้แก่ตัวเองอยู่อย่างนี้ทำไมล่ะ ทำมาแล้วก็เป็นทุกข์ แล้วในที่สุดก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วอย่างนี้จะทำไปทำไมล่ะ พอคิดได้อย่างนี้แล้วก็ อุตส่าห์ทำสวนทำนา เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงน้องอยู่ปีหนึ่งอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ก็จึงได้ร่ำลามารดาบิดาออกบวช ได้บวชอยู่วัดบ้านทีแรก เมื่อบวชแล้วโอ๊เกิดปีติเกิดอิ่มใจ ว่าตนได้พ้นจากความทุกข์ความลำบากต่างๆนั้นมาแล้ว นี่น่ะ เกิดปีติขึ้นในใจ บัดนี้ก็มีอาจารย์องค์หนึ่งไปเรียนกรรมฐานมา อยู่วัดนั่นแหละ คนบ้านเดียวกันนั่นแหละ บวชมาใหม่ๆนี้ไม่มีใครสอนแน๊ะ เรื่องพวกนี้ ก็ตอนค่ำมาก็เห็นอาจารย์องค์นั้น ไหว้พระแล้วก็สวดอะไรมุมๆมุมๆอยู่ ก็เลยถามท่านว่า เอ๊ะท่านสวดอะไรล่ะ ท่านก็บอกว่าท่านภาวนาว่างั้น เนี่ยะภาวนานี่มันดียังไงว่างั้น อ๊าว ภาวนาก็ได้บุญสิว่างั้น  ได้บุญ แล้วเราก็อุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไป ตอบบุญแทนคุณค่าข้าวค้อนน้ำนม ที่ท่านเลี้ยงดูเรามาว่างั้น อธิบายให้ฟัง อ๊าถ้ายังงั้น ผมก็เป็นหนี้บุญหนี้คุณพ่อแม่เหมือนกันก็ให้สอนให้ด้วยภาวนา สอนให้ผมด้วย ผมจะได้ภาวนาใช้หนี้บุญคุณพ่อแม่ว่างั้น ท่านก็เลยสอนให้ท่องเอาอนุสติสิบประการ นี่แหละพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ศีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มะรังนานุสติ กายะคตาสติ อานาปานสติ อุปสัมมานุสติ อนุสติสิบประการนี้ ให้ท่องเอาให้ได้ว่างั้น แล้วก็ภาวนาเรื่อยไปว่างั้น ท่านบอก ก็ไปท่องเอา ได้แล้วก็บริกรรมเรื่อยไปแล้ว พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติไปเรื่อย จบแล้วตั้งใหม่อีก จบแล้วตั้งใหม่ เอ๊ รู้สึกว่าจิตใจสบายบัดนี้ ไม่เฉพาะแต่นั่งภาวนาว่านี้ แม้เดินเหินไปมาทางไหนก็ไม่ลืม นึกภาวนาอยู่อย่างนั้น บัดนี้ พอถึงฤดูเดือนหกเดือนเจ็ดมา ก็คิดว่าเราบวชมาใหม่ยังไม่รู้ธรรมรู้วินัย  ก็คงจะไปศึกษาเล่าเรียนซะก่อนว่างั้น เมื่อเรียนได้แล้วจึงค่อยออกปฏิบัติกัน มันถึงจะได้บุญได้กุศลหลาย ถ้าบวชมาแล้วไม่เรียนธรรมเรียนวินัยไม่รู้อะไรอย่างนี้ รู้ก็รู้งูๆปลาๆไปอย่างนี้น่ะ คงไม่ได้บุญหลายหรอกบวชน่ะว่างั้น ก็เลยชวนกันลงไปจำพรรษาอยู่ในจังหวัด ไปจำพรรษาอยู่วัดของเจ้าคณะจังหวัดเอง 2 องค์ด้วยกันกับอาจารย์องค์นั้นแหละ ก็ไปเรียนนักธรรม เสร็จแล้วเดือนธันวาน่ะก็สอบนักธรรม เสร็จแล้วก็ขึ้นมาอยู่วัดเดิม ในระหว่างที่เรียนนักธรรมอยู่นั้น ก็มีข้อปฏิบัติอยู่ บัดนี้ไปเรียนถามอาจารย์ที่อยู่ในวัดนั้น ว่าผมภาวนาอนุสติสิบอย่างนี่จะถูกมั๊ย ว่างั้น ท่านอาจารย์องค์น้นบอกว่า อันถูกนั้นก็ถูกอยู่ดอก แต่ว่ามันหากไม่รัดกุมพอ ถ้าไปบริกรรมมากอย่างนั้นนะ จิตใจไม่สงบ ว่างั้น ถ้าอย่างงั้นทำยังไงภาวนาจึงจะดี จึงจะใจสงบได้ ท่านก็แนะนำว่าให้บริกรรมพุทโธ เอาพระคุณของพระพุทธเจ้านี้ไปตั้งไว้ใจใจอย่างเดียวเท่านั้น แล้วใจก็จะสงบได้ ว่างั้น อื่อ ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ยากอะไรล่ะ ว่า ตอนหัวค่ำก็ท่องหลักสูตรนักธรรมไปจนเที่ยงคืนนาฬิกาตีสิบสองโมงแล้วก็ เข้าห้องไหว้พระแล้วก็นั่งภาวนา บริกรรมพุทโธ จิตใจไม่อยู่ละทีแรก พุทโธก็วิ่งออกไปข้างนอกบ้าง แต่สติก็ตามไป ตามไปแล้วก็ไปพยายามนึกพุทโธ ใกล้ตัวเข้ามา ใกล้เข้ามา เรื่อยเข้ามา พอมาถึงตัวแล้ว ก็น้อมเข้าไปในจิต ให้พุทโธก็อยู่ในจิตโน่นบัดนี้ อ้าว พอให้พุทโธอยู่ในจิตเข้าไปแล้ว จิตก็สงบลงเป็นหนึ่ง ก็ได้ความสบายใจ เสร็จแล้วก็จึงค่อยหลับค่อยนอน นี่เป็นกิจวัตรเลยที่ทำกับบวชพรรษาแรก ต้องทำความเพียรอย่างนี้ทุกคืน ทำวัตรสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็ไปนั่งท่องหนังสืออยู่ที่ลานวัด จนเที่ยงเมื่อไรเที่ยงคืนเมื่อใดจึงค่อยหยุดท่องบ่น แล้วก็เข้าห้อง ไหว้พระนั่งภาวนา เสร็จแล้วจึงค่อยจำวัด หากว่าตีสี่ได้..เสียงระฆังดังขึ้น ที่กุฏิเจ้าอาวาส ก็ตื่นลุกขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาแล้วก็ขึ้นไปกุฏิเจ้าอาวาส เอ๊า ทำวัตรเช้า เสร็จแล้วก็สว่างพอดี สว่างมาแล้วก็ไปบิณฑบาต จะยืนจะเดินจะนั่งนอนอะไรไม่ลืมพุทโธ เอาพุทโธเป็นอารมณ์อยู่อย่างนั้น บัดนี้การเรียนก็รู้สึกคล่องตัวดี เมื่อใจเป็นสมาธิใจตั้งมั่น การท่องการจำเอาวิชาความรู้ใด ก็รู้สึกว่าได้ดี ในที่สุดสอบก็ได้นักธรรมชั้นตรีกับเพื่อน พอออกพรรษาแล้ว สอบนักธรรมเสร็จแล้วก็ลาเจ้าคณะจังหวัดกลับวัดเดิม ก็ไปอยู่วัดเดิมแล้วบัดนี้ก็ โยมบิดาไปได้หนังสือ อ้า หลวงปู่สิงห์วัดป่าสาละวัง...วัดป่าสาละวันนี่แหละ ท่านแต่งขึ้น เรียกว่าวิธีเจริญสมถะวิปัสสนาโดยสังเชปว่างั้น ในหัวข้อ ท่านก็เลยอธิบาย เรื่องสติปัฏฐานนี้ให้ไว้ในสมุดนั้น เจริญสติปัฏฐาน เจริญอย่างนั้นๆ เริ่มจากพิจารณาร่างกายนี้แหละไป ผม ขน เล็บ หนัง ฟัน เนื้อ เป็นต้นไป แล้วเพ่งให้เห็นอาการสามสิบสองนี้ด้วย ไม่ใช่นึกคิดเฉยๆว่างั้น  แล้วก็เพ่งและว่านี้ เพ่ง ผมก็ให้เห็นผม อยู่ภายในนู่น ขนเล็บฟันหนัง อันใดก็ให้เห็น อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆนี้ ท่านแนะไว้งั้น ก็พยายามเพ่งตามที่ท่านแนะไว้ ก็เห็น บัดนี้พอเห็นร่างกายอันนั้นแล้วก็ จิตใจมันก็สงบแน่วแน่ได้ แต่อยู่วัดบ้านน่ะ เสียงอะไรต่ออะไรรบกวน เอ๊ ภาวนาแล้ว ใจสงบลงแล้ว นึกถึงป่าแล้วบัดนี้ ไอ้การภาวนานี่มันเหมาะสมที่ไปอยู่ป่าน้า ไม่เหมาะสมเลยที่จะอยู่บ้าน อยู่ใกล้บ้านอย่างนี้ว่างั้น เมื่อภาวนาไปแล้วมันได้ความรู้ความสงบใจขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็ เลยร่ำลาญาติโยมไปอยู่ป่า ใกล้กับบริเวณสร้างวัดอยู่เดี๋ยวนี้แหละ ในในขณะที่ยังไม่ทันออกปฏิบัตินั่น ก็บังเอิญแมลง มีแมลงบินเข้าตา แมลงปีกแข็งๆทันไปแทงเอาตานั้นเลือดออก เจ็บตารักษายังไงก็ไม่หาย ยาหยอดตาสารพัดก็ไม่หาย ไม่หายบัดนี้มันมีแต่ศรัทธาแรงกล้าที่จะออกปฏิบัติ เอาละ ตั้งแต่นี้ไปเราจะไม่หยอดตาเลย โยนไอ้ยาทิ้งออกไปหมดแล้ว เข้าป่าไปเลยบัดนี้ ไปนั่งภาวนาอยู่ในป่า เอ้า ให้ตามันบอดอยู่กับป่านี่แหละ มันเป็นยังไงก็เป็นกันล่ะว่างั้น จนนั่งภาวนาไปมาเจ็ดวันเท่านั้นนะ ตาหายไปเลย หายไปแล้วน่ะ แล้วเวลาหยอดตาอยู่ที่วัดบ้านน่ะ ยังไงก็ไม่หาย จนได้ภาวนาปลงสังขารลงไปแล้วละว่า หาย ภายในเจ็ดวัน เรื่องเป็นปกติตามเดิม อันนี้แหละ อันนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อันหนึ่ง อานิสงส์แห่งการเสียสละ ถ้าหากว่าเรา...หากไม่ยอมเสียสละ ว่า เอ้า ให้มันไปบอดที่ในป่าล่ะว่างั้น มันก็มาไม่ได้ มันก็เข้าไปป่าไม่ได้ มันก็กลัวอย่างนั้นกลัวอย่างนี้แหละ แต่อันนี้เราเสียสละเอา ยาต่างๆนี้มันใส่หมดแล้วไม่หาย มันจะกรรมเวรของตัวเองก็มันแล้วกัน พามันไปบอดอยู่ในป่าโน่นล่ะว่างั้น ในที่สุด แทนที่มันจะบอดก็หายซ้ำ อันนี้แหละ เมื่อตาหายแล้วบัดนี้ก็ตั้งใจประกอบความเพียรภาวนา ไอ้พระองค์ที่ไปด้วยกันนั่น ท่านเรียนคาถาอาคมอะไรไปตั้งแต่วัดบ้านนี่ เมื่อท่านไปนั่งภาวนาอยู่ในป่า ไม่มีกุฏิกุต่าง ทำร้านไม้ไผ่อยู่กัน พอพ้นดินศอกกว่านี้เอง นั่งภาวนาไปมาเนี่ย เกิดความกลัวขึ้นมาว่างั้น ท่านเล่าให้ฟัง ก็เลยสาธยายเวทย์มนต์กลคาถานั้น ทันใดนั้นมันก็เกิดนิมิตขึ้น ปรากฏว่ามีรูปของกษัตริย์แต่งตัวเต็มยศ มีชฎาด้วย ถือดาบเดินเข้ามาหา มาถามว่า มาทำอะไรอยู่นี่ว่างั้น ท่านก็บอกว่ามาเจริญเมตตาภาวนาว่างั้น อื้อ มันจะเมตตาภาวนายังไงแบบเนี่ย มาเจริญคาถาอาคมเหล่านั้นเพื่อปราบผีสางที่อยู่ในบริเวณเหล่านี้น่ะ เจตนาของท่านเป็นอย่างนั้นนี่ ท่านจะมาเมตตาภาวนาอะไรอย่างนั้น เชื่อว่าท่านทำเดินทางผิดแล้ว อันคาถาที่ท่านเจริญอยู่นั้น ข้าพเจ้ารู้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องจะเจริญหรอก ขอให้นี่จากที่นี่ซะ ถ้าไม่หนีแล้วจะเอาดาบเล่มนี่ตัดคอเลยว่านั้น ท่านว่าแล้วก็หายไป ท่านกลัวละเหลือล้นเลยว่านี้ จนเกือบจะหายใจไม่ออก แต่ว่า เอ้า เจริญเมตตาเข้าไปบัดนี้นะ เจริญเมตตาสักครู่หนึ่งน่ะ เสือใหญ่มา เอาข้างมาถูเสาระนั้น ไหวหยึบๆอยู่ ตอนนี้ยิ่ง...ยิ่งกลัวใหญ่เลย แทบจะหายใจไม่ออก ก็ นึกภาวนาเจริญเมตตา สัพเพสัตตา สุขิตาโหนตุ สัพเพสัตตา อะเวราโหนตุ อยู่อย่างนั้นล่ะว่างั้น สักครู่หนึ่งเสือนั้นก็หายไป เป็นอันว่านิมิตนั้นก็เป็นหายไปแล้วบัดนี้ แต่ความกลัวไม่หาย รุ่งเช้ามา ไปบิณฑบาตด้วยกัน ท่านก็พูดให้ฟังว่า พูดเรื่องนิมิตต่างๆนั่นน่ะให้ฟังแล้ว ผมเห็นจะอยู่ไม่ได้ดอก ถ้าขืนอยู่นี่เห็นจะมีอันตราย อ๊าว ทำไมจึงพูดอย่างนั้น ก็ท่านภาวนาผิดทางเขาก็ยังบอกอยู่แล้ว แน่ะเจ้าที่ได้ว่า  ท่านเดินผิดทาง เมื่อลองงดภาวนาเจริญคาถาอาคมเหล่านั้นเสียแล้ว มาบริกรรมแต่พุทโธพุโธเท่านี้แหละ ไม่มีดอก ผมรับรองว่าไม่มีอะไร ผมภาวนาอยู่นี่ ไม่เห็นมีอะไรเลย มีแต่ใจสงบสบายอยู่อย่างนั้น เอาเถิดท่านอย่าไปหวั่นไหวเลย อันนั้นให้ถือว่ามันเป็นความหลงผิดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเรามาตั้งใจภาวนาพุทโธ แต่แล้วเรื่องเหล่านั้นผมว่าไม่มี หายไปหมดว่างั้น เถอะ  ทำยังไงเพื่อนก็ไม่ยอม จะกลับเข้าวัดบ้านอยู่ลูกเดียว ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงคนยังงั้น... แต่ผมน่ะไม่ยอมกลับ เป็นยังไงก็เป็นอยู่กับป่านี่แหละผมน่ะ ผมจะไม่ยอมกลับไปวัดบ้านให้ขายขี้หน้าอีกเลยว่างั้น เดี๋ยวเขาชาวบ้านจะหัวเราะเอา ครั้นแล้วไปบิณฑบาตมาแล้วฉันแล้วเพื่อนก็กลับวัดบ้านเลย อยู่ได้พรรษาหนึ่งก็สึกไปเท่านั้นแหละ ไอ้เราภาวนาไปมาอยู่ก็มีครูบาอาจารย์มาเข้าก็อุ่นใจ ได้ภาวนาไป และที่สุดเลยได้ไปบวชเป็นธรรมยุต วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วมีอาจารย์บุญมาเป็นผู้นำไปบวช บวชเสร็จแล้วก็กลับไปอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ท่านก็ถาม บอกว่าคุณจะเรียนหรือคุณจะปฏิบัติว่างั้น ผมเอาทั้งสองอย่าง เรียนก็เรียน ปฏิบัติก็ปฏิบัติ ผมไปอยู่ป่าผมจะเอาตำราไปด้วย ผมจะไปดูตำราอยู่ในป่า เมื่อเหนื่อยเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนามาแล้วก็ดูตำรา ให้รู้จักธรรมรู้จักวินัยให้ละเอียดลออเข้าไป ว่างั้น อาจารย์ก็เห็นดีด้วย เอ้า ดีแล้ว หัดอย่างนั้นล่ะว่างั้น ก็เลยดำเนินแบบนั้นแหละทีแรก ดูตำรับตำราไปบ้าง ภาวนาไปบ้าง บัดนี้ ในพรรษาหนึ่งล่วงไปแล้ว พรรษาสองเข้ามา มาเกิดเป็นอันโรคอันบุคคลซึ่งไม่เป็น เราเป็นคนเดียว โรคที่ว่าฉันภัตตาหารแล้วไฟธาตุไม่ย่อยตลอดทั้งวันทั้งคืน แน่นท้องอยู่อย่างนั้น ได้เสวยทุกขเวทนาเหลือล้น แต่ก็อดทนไม่ถอย เดินธุดงค์ก็เดินไปยังงั้นแหละ ไม่ถอย แน่นท้องก็แน่นไป เวทนาก็เวทนาไป สู้ทนกันอยู่อย่างนั้น สามปีตั้งแต่เป็นอยู่ยังงั้นนะ ปีที่สามนี้ นั่งภาวนาอยู่ ดูท่ากรรมเวรมันจะหมดลง มันจึงบอกขึ้นในจิตนี้ว่า เอ้า ก็กรรมเวรที่เอาแมวไปปล่อยในป่านั้นแล้วว่างั้น พอนึกทบทวนคืนหลังดู โอ๊ จริงแหละ เราได้เอาแมวผู้ตัวหนึ่งไปปล่อยในป่า เนื่องจากว่ามันเป็นเวรอะไรกันมาแต่ชาติก่อนไม่รู้ กลางคืนไปเที่ยว แมวผู้ตัวนั้นก็ไปถ่ายอุจจาระใส่ข้างหมอนเลยเทียว ไปเที่ยวกลับมาต้องมาชำระขี้แมวเสียก่อน ไม่ใช่แต่คืนเดียวแล้ว เกือบจะทุกคืนเลย เอ๊ แมวตัวนี้กับเรามันเป็นเวรอะไรกันหนออันนี้เน๊าะ ถ้าเราจะฆ่ามันนี่มันไม่ไหวล่ะ มันต้องเป็นกรรมเป็นเวรหนักเข้าไปอีก อย่าไปฆ่ามันเลย เอามันไปปล่อยฝยป่าให้มันหากินเองล่ะว่างั้น ก็เลยอุ้มไปในป่านั้น เอาไปปล่อยไว้ เห็นไม้ต้นหนึ่งมันเป็นโพรงอยู่ ก็เลยเอาปล่อยเข้าไปในโพรง มึงอยู่นี่นะว่างั้น แล้วก็ไปเลี้ยงควาย กลับมาตอนเย็นก็ยังเห็นร้องแง๊วๆอยู่นั่น โอ๊ย สงสารมันก็สงสารล่ะบัดนี้ แต่ไม่รู้จะไปไง ถ้าเอามันกลับคืนบ้าน มันก็จะไปขี้หัวนอนอีก ฮึ เอาเถ๊อะ มันคงไม่ตายหรอก มันคงจะต้องหากินมันล่ะ ว่างั้นนะ สัตว์มันใหญ่แล้วว่างั้นดอก มันจะต้องหาเลี้ยงมันได้ ปานนั้นนะ เพียงแต่เอาไปปล่อยไม่ได้ฆ่านะ กรรมเวรมันยังตามสนอง ได้รับทุกข์ทรมานอยู่ตั้งสามปี มันจึงหมดลง และเมื่อรู้อย่างนั้นแล้วก็ภาวนาทีไรก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แมวตัวนั้นเรื่อยไป อันโรคแน่นท้องมันก็เบาลงเบาลง ในที่สุดก็หายเป็นปกติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อันหนึ่ง ซึ่งมาทบทวนดูแล้ว แหม เรานี่มันก็อดทนเอาเสียจริงๆ ถ้าหากความอดทนไม่เพียงพอนี่ อาจจะสึกหาลาเพศไปแล้วนะ ไปแล้ว แต่อันนี่ไม่แล้ว ตายก็ตาย เป็นก็เป็น เกิดมาแล้วต้องตาย สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เรามีกรรมมีเวรก็ต้องเสวยผลแห่งกรรมเวรไป แม้สึกออกไปมันก็ไม่พ้นดอกเวร ถ้าหากทำกรรมเวรอันไม่ดีไม่งามมาแต่ก่อนแล้ว จะไปที่ไหน จะเป็นเพศอะไรมันก็ไม่พ้น ถึงเวลามันต้องให้ผลแน่นอน เช่นนี้แล้วก็ อดทนสู้ไปอย่างว่านั่นแหละ ในที่สุดมันก็หมดกรรมหมดเวรไปเอง อย่างนี้นั่นแหละ ก็เลยได้โอกาสตั้งแต่นั้นมา ก็ภาวนาปลอดโปร่ง ร่างกายมันเป็นปกติดีแล้ว ตั้งใจประกอบความเพียร บัดนี้ เดินธุดงค์ไป เลียบฝั่งแม่น้ำโขงนั้นไป ไปค่ำเอาซะบ้านหนึ่ง ไอ้แม่น้ำโขงเหนือขึ้นไปนู่นน่ะ ตีนภูเขามันจดแม่น้ำโขงเลย มีคฤหัสถ์สองคนไปด้วย ไปไปถึงแล้วก็ไปถึงบ้านนั้นก็ ไปขอร้องให้ญาติโยมบ้านนั้นแหละไปหาที่พักให้ด้วย เขาก็พามาเดินเลียบตีนเขาไป ไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เป็นพุ่มอยู่ละก็ เอานี่แหละว่างั้น เขาก็ไปทำคสวามสะอาดไปอะไรให้ ทำทางจงกรมให้ แล้วก็ ส่วนคฤหัสถ์สองคนนั่นเขากลัว เขาไม่มานอนด้วยหรอก เขาก็นอนในบ้านนู่น ไอ้เราก็อยู่คนเดียวนั่นน่ะ เขาเลิกไปแล้ว เดินจงกรม เสร็จแล้วก็มานั่งภาวนาเข้าไป นั่งภาวนา ประมาณสักสี่ห้าทุ่มนี่ก็ จำวัดนอนตะแคงข้างขวาลงไป เพ่งสำรวมจิต แน่วแน่อยู่ภายใน จิตก็ผ่องใสอยู่ พอเคลิ้มนี่แหละ เคลิ้มว่าจะหลับนี่ เสียงดังเหมือนฟ้าผ่านี่เปรี้ยง ลงมาตรงไม้ต้นนั้นเองน่ะ แล้วจิตไม่สะดุ้งเลย สังเกตดูจิต จิตเป็นปกติอยู่ อ๊าวฟ้าผ่าแล้วมั๊งนี่ว่างั้นนะ ก็ลุกขึ้นนั่งภาวนาอีก นั่งภาวนาฟังดูมันจะมีเรื่องอะไรหนอว่างั้น พอนั่งไปนั่งมามันนึกถึงเสือสิบัดนี้น่ะ เอ๊ อันผีนี่มันไม่กลัวหรอก แปลกจริงๆ ไม่นึกถึงผีหรอก นึกถึงเสือ หือ รึว่าเสือใหญ่มาหรือว่าไงน่อว่างั้น พอขึ้นได้ความกลัวมันเอาแล้ว กลุ้มหมดเลย เอ๊า ได้สติระลึกได้บัดนี้ อ้าว เราเสียสละชีวิตต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์แล้วไม่ใช่หรือจึงมาอยู่นี่ จึงมาอยู่ป่าอยู่เขาอย่างนี้นะ ถ้าเราไม่เสียสละชีวิตต่อพระรัตนตรัยอย่างนี้ เราก็ไม่มา ถ้าหากว่าคุณพระรัตนตรัยนี่ รักษาชีวิตเราไม่ได้แล้ว ก็เป็นแต่กรรมแต่เวรของเราล่ะ เอ้า อะไรจะเอาไปกินก็เอาไป พอนึกได้แน่ความกลัวมันก็คลายออกหายไปๆ หน่อยหนึ่งมันเอากลุ้มเข้ามาอีกแล้วล่ะ ไอ้เรื่องเสือของเขาล่ะ ก็หาอุบายเตือนใจตัวเองเข้าไปอย่างว่า เอ้า ความกลัวก็หายออกไป เป็นอยู่อย่างงั้น จะออกไปเดินจงกรมก็ไม่...ไม่กล้าออกไป กลัวว่าเสือมันดักอยู่นั่นแหละว่า มันจะตะครุบเอาไปกิน เอ้า ตายอยู่กับกลดนี่แหละมุ้งนี่ เอางั้น ก็นั่งภาวนาอยู่ เหนื่อย นั่งสมาธิแล้ว ก็เหยียดขาออกไป เอ้อ เหยียดขาออกไป พอหายปวดแข้งปวดขาแล้วก็นั่งภาวนา บัดนี้ก็ดึกมาดึกมาก็ง่วงสิบัดนี้ เอา นอนมันล่ะเว้ย กินก็กินแน่ะ อะไรจะกินก็กิน เรามอบกายถวายชีวิตต่อคุณแก้วสามประการแล้วล่ะว่างั้น ก็นอนลงไป นอนลงไป กับพอเคลิ้มมันนี่แหละก็รู้สึกขึ้นมาเลย เอ๊า ไม่ดีน่า ถ้าเสือมาเอาไปกินเวลานอนหลับเข้าล่ะ มันไม่มีสติมันไม่ดีแล้วว่างั้น ก็ลุกขึ้นนั่งภาวนา ทำไปทำมาก็สว่างเลย คืนนั้นแทบไม่ได้หลับเลย เพราะไอ้ตอนที่ชาวบ้านเขามาทำที่วัดให้นั่นน่ะ เขาก็ยังบอกแล้วว่าท่านมาอยู่อย่างนี้ท่านไม่กลัวเหรอว่างั้น กลัวอะไรว่า เอ้า นี่เป็นทางเสือนะ เสือมาเอาหมูเอาไก่ของพวกผมไปกินอยู่บ่อยๆอยู่ว่างั้นนะ เอ้อ แต่ก่อนเป็นทางเสือ บัดนี้เป็นทางของเรานะ เอาละ ไม่เป็นไรหรอก เราจะอยู่ที่ล่ะว่า รุ่งเช้ามาญาติโยมเขาก็มาถวายภัตตาหาร เขาก็มาถามกันดีเลยว่า เป็นไงอาจารย์ เมื่อคืนนี้เป็นไง อะไรมารบกวนบ้าง เราก็ไม่บอกเขา ไม่มีอะไรหรอกโยม เป็นปกติอยู่ว่างั้น ไม่มีอะไร แล้วก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอะไรเลยล่ะ แต่เขามาก็เทศน์แนะนำสั่งสอนเขาให้พรเขาแล้วเขาก็ไป เราฉันเสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อ อันนี้เรียกว่าการที่เที่ยวธุดงค์ไป  ได้ประสบกับภัยต่างเหล่านี้แหละ นับว่าเป็นเครื่องมาส่งเสริมกำลังใจเข้มแข็งขึ้น เราก็ไม่กลัวไม่กล้า เราก็นึกว่าดีเหมือนกัน ท่านเป็นอย่างนี้เนี่ย มันจะได้เพิ่มกำลังใจเข้มแข็งขึ้น
อีกคราวหนึ่งนี่ก็ ชาวบ้านเขาไปทำไร่ ในป่านู่น แล้วเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วเขาก็เข้าบ้าน ห้างที่เขาปลูกไว้ก็ยังอยู่ ก็ไปกางกลดใส่ห้างเขานั้นแล้วก็ นั่งภาวนา บัดนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น ตื่นเช้ามาก็ไปบิณฑบาตในบ้าน พอดีก็มีเณรวัดบ้านนั้นมาขออยู่ด้วย เอา ก็อยู่ มันมีห้างไร่เขาอยู่สองห้าง ก็นั่งภาวนาอยู่คืนหนึ่ง พระจันทร์ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วก็พอสลัวๆ มันมีเมฆบัง นั่งภาวนาอยู่ แล้วก็ลมพัดเอื่อยๆเอื่อยๆมา อ้าว จิตมันนึกแล้ว โบราณท่านว่า เมื่อเสือใหญ่มันจะไปทางไหนนี่ ลมมันไปก่อนนะว่างั้นนะ เอ้า พอนึกอย่างนี่ ความกลัวเอาแล้วว่านี่ กลุ้มในใจล่ะบัดนี้ โอ้ เอ้า ภาวนาพุทโธเข้าไปเรื่อยๆ เราขอมอบกายถวายชีวิตต่อคุณแก้วสามประการ เอ้า อะไรจะเอาไปกินก็เอาไปซะ ร่างกายนี่เราไม่ถือว่าเป็นของของเรา  ภาวนาอยู่ พอนึกได้ยังงี้ก็ความกลัวก็หายไป สักหน่อยหนึ่งได้ยินเสียงดังผาบ...อยู่ที่อันนั้น กิ่งไม้อยู่ใกล้กับห้านนั่นแหละ โอ้ย แล้วกัน เสือมันกระโดดขึ้นกิ่งไม้นั้นแล้วอันนี้ว่า มันยิ่งกลัวใหญ่ กลัวใหญ่ก็ภาวนาพุทโธเข้าไปเรื่อยๆ สัพเพสัตา สุขีตาโหนตุ สัพเพสัตตา อะเวราโหนตุ อันนี้ก็เอาเข้าไปแล้วว่า ภาวนาเมตตา ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเป็นสุข อย่ามีเวรต่อกันและกันเลย ทั้ง..ทั้งไอ้ว่าเป็นคำอรรถด้วย ว่าเป็นคำแปลด้วย บัดนี้ อ้าว ก็ภาวนาไปความกลัวก็หายไปหายไป ครู่หนึ่ง เสียงดังผาบ...เข้าที่ฟากปูบนห้างนั้นที่อยู่นั้นน่ะ เพราะว่าไม่มี ไม่มีฝากั้นเลยแหละ โล่งๆ กางกลดใส่กางมันแล้วก็ พอเสียงดังผาบ...ในฟากนั้นแล้ว มันก็เต้นไปรอบๆมุ้ง ลืมตาขึ้นดูแล้วก็ โหยแม่นเจ้าบ่างล่ะบัดนี้ แม่นบ่าง โอ้ ตาย เรานี่มันกลัวแทบลมหายใจหยุด นึกว่าเป็นเสือ มันบ่างแท้ๆว่างั้น ก็เลยสอด เอามือสอดออกไปจากตีนมุ้ง เอาตบฟากนั่น ปั้ง เข้านี่มันก็บินสิ ไปร้องอ่อกๆอยู่ต้นไม้นู่น โถว่า คราวนี้ก็หายกลัว หายกลัวก็นั่งภาวนาต่อเอาจนว่าใจรวมลงได้แล้ว จึงค่อยนอนหลับไปได้ อันนี้เรียกว่าไม่มีใครบังคับ มันก็พอใจ พอใจไปหาที่สงบสงัดยังงั้น มันจะ...นึกว่าจะมีภัยอะไรมาก็มันก็ไม่กลัว ตายก็ตาย ถ้าบุญไม่มี บุญหมดแล้วก็ตายล่ะคนเรา ถ้าบุญยังมีอยู่มันก็รักษา ย่อมปลอดภัย เรามันเชื่อมั่นในบุญกุศล เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยอย่างนี้ อันนี้แหละเป็นเหตุให้บุกป่าฝ่าดงเข้าไป ผู้เดียวก็อยู่ มันเป็นแค่นั้น การบวชมาในศาสนานี้ เรามานึกถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สละราชสมบัติออกบวชไปแล้ว พระองค์ก็ไปอยู่แต่ในป่า แสวงหาทางตรัสรู้อยู่ถึงหกปี ด้วยบุญญานุภาพที่พระองค์ได้สั่งสมเอาลงมาแต่ก่อน ชีวิตของพระองค์ก็ไม่มีภัยในอันตรายใดๆเลย ดังนั้น พุทธบริษัทควรจะพากันพิจารณา โดยรวมใจความแล้วว่า ชีวิตของคนเรานี้มัน เป็นอยู่ด้วยบุญด้วยบาป ดังเคยเทศน์ให้ฟังมาแล้วนั้นแหละ ถ้าเรามีบุญมากพอสมควร ติดตามาเกิดในโลกนี้แล้ว บุญก็ตามรักษาชีวิตนี้ ให้ตลอดปลอดภัย ไม่มีภัยพิบัติอันตรายอะไรๆเกิดขึ้น ถ้าเว้นเสียแต่ บาปกรรมก็ติดตามมาด้วยอย่างนี้แล้ว เมื่อบาปกรรมนั้นมันได้โอกาสเวลาใด มันให้ผลเวลานั้น ชีวิตนี้ก็ย่อมถึงความวิบัติโดยประการต่างๆ จนกว่ามันจะหมดกรรมหมดเวรอันนั้นลงไป มันจึงจะหาย อันนี้แหละ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ไม่ควรที่จะหวาดกลัว อะไรต่ออะไรมากมายนัก บางคนก็กลัวผี บางคนก็กลัวเสือ บางคนก็กลัวโจรขโมยจะมาจี้มาฆ่าอะไร กลัวช้างกลัวเสือ สารพัดแหละ ความกลัวของคนเราน่ะ แต่ที่มันกลัวอยู่อย่างนี้ก็เพราะว่า ไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อผลของกรรมดังกล่าวมาแล้วนั้นแหละ ถ้าผู้ใดเชื่อบุญเชื่อบาปอย่างที่ว่ามาแล้วนั้น เราก็ฝากชีวิตไว้กับบุญกับกรรมอย่างนั้น เรานึกแล้วว่าไม่มีอะไรป้องกันได้เลย จะมี...สมมุติว่าคฤหัสถ์นั้นจะมีปืนติดตัวไปไหนต่อไหนก็ตามน่ะ ถ้ากรรมเวรมันมาถึงแล้วน่ะ ปืนมันก็ไม่...ใช่ไม่ได้เลย เผลอไปเข้าก็ยิงตัวเองก่อนเสีย ตัวเองไม่ทันได้ตอบโต้เขา ตัวเองก็ตายก่อน กรรมมันปิดบังไหม มันเป็นยังงั้น แต่ถ้าคนไม่มีกรรมมีเวรมาแต่ก่อนหนหลังแล้ว ไปไหนมาไหนไม่มีอาวุธยุทธภัณฑ์อะไรติดตัวเลย ก็ไม่มีภัยอันตรายใดๆ  ประกอบในปัจจุบันก็เป็นผู้รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ จะรักษากายวาจาของตนเสมอๆไป เมื่อเข้าสังคมใดๆก็ระมัดระวังความประพฤติทางกายทางวาจา ไม่ให้กระทบกระทั่งคนอื่น เจ็บอกเจ็บใจอะไร ทำอย่างนี้แล้วไม่มีเวรภัยทั้งหลาย ศัตรูไม่มีเลย ประกอบกับภาวนาเจริญเมตตา เรื่อยๆไปอย่างที่ว่านี้แหละ แล้วเวรภัยทั้งหลายย่อมไม่มากล้ำกราย แก่ชีวิตของผู้ที่มีคุณธรรม มีศีลอยู่ในกายวาจาใจของตน อันในพุทธศาสนามันเป็นอย่างนี้แหละ ศาสนาอื่นเขาไม่มีเด๊ ทำบุญแบบพุทธศาสนาไม่มีแหละ มีแต่เขาเรี่ยไรกันร่วมเอาลงสุเหร่าเขาเท่านั้นแหละ ใครไปกราบไปไหว้ เขาก็เรี่ยไร เอ้าเอารวบรวมเงินไว้สำหรับบำรุงสุเหร่า เท่าเองนั้นแหละ มีแต่ในพุทธศาสนานี้แหละ มีการทำบุญทำทานกัน และมีการกราบการไหว้ มีการฟังมีการฝึกสอนจิตใจ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะเหตุว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแล้วว่า มันจิตดวงเดียวเท่านี้ เป็นเหตุอยู่นี้ จิตดวงนี้ไม่รู้หรอก มันก็จึงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอันนี้ เกิดมาแล้วก็แก่เจ็บตาย ระหว่างที่ยังไม่ทันตายนี่ก็ ทนทุกข์แสวงหาอะไรต่ออะไร เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอันนี้ แสนยากแสนลำบากจริงๆ นี่ควรมาพิจารณาให้มันเห็น นั่นแหละ แล้วความทุกข์ทั้งหลายแหล่เหล่านี้นะ พระพุทธเจ้าทรงตัดว่า จะไปอาศัยสิ่งอื่นช่วยนั้นไม่มีทางพ้นไปได้ มีแต่บุญกุศลเท่านี้เอง และดังนั้นพระองค์เจ้าจึงได้ทรงสั่งสอนให้คนเราทำบุญนั่นแหละล่ะเรื่องมื้อนี้น่ะ ขอให้เข้าใจกันความหมายมันแน่ชัดลงไป อย่างนี้ แล้วบุญจะช่วยให้เราพ้นทุกข์โดยลำดับลำดับไปเมื่อนี้นะ พ้นทุกข์จากมนุษย์ก็ไปเป็นเทวดา แหละพ้นทุกข์จากเทวดาก็ มาเป็นมาเกิดในโลกนี้ มาพุทธ...มาพบพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ สามารถปฏิบัติไปบรรลุมรรคผลนิพพานได้ แหละ อ้า...สัตว์โลกทั้งหลายส่วนมากนะ มาบรรลุมรรคผลนิพพานในชมพูทวีปนี้ ในพื้นแผ่นดินอันนี้แหละ ในรูปร่างอันเป็นคนนี่เอง ไม่ใช่รูปร่างอื่นนะ ขอให้เข้าใจ แต่พวกเทวดานั้นยกไว้อันนั้น เพื่อนมีบุญหลายแล้ว พระพุทธเจ้าแสดงพระอภิธรรมจบลงกัณฑ์ในหนึ่งๆนี่ มันมรรคผลเป็นโกฏ และท่านเหล่านั้นมีบุญมากแล้ว เพราะฉะนั้นจึงได้ถาม...สำเร็จมรรคผลได้รวดเร็วเหลือเกิน และพวกเราถ้าฝึกฝนอบรมตนไปอย่างนี้แหละ ไม่ท้อไม่ถอยแล้วกิเลสมันก็เบาบางไป บัดนี้ เผื่อว่าตายลงได้ไปสู่สวรรค์ เช่นนี้พระพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งมาแสดงพระอภิธรรม ได้ฟังพระอภิธรรมคำสอนอันลึกซึ้ง ก็สามารถรู้แจ้งแทงตลอดได้ บรรลุมรรคผลนิพพานได้ อ้า เป็นยังงั้นเน้อ ชีวิตของคนเราน่ะ ขอให้เข้าใจ ไอ้พวกที่นับถือลัทธิอื่นนั้น ไม่มีทางหรอกที่จะได้พบพระพุทธเจ้า หรือแม้ได้พบแล้วเขาก็ไม่เลื่อมใส อย่างพวกเดียรถีย์เนี่ย ครั้งพระพุทธเจ้านั้นนะ ถึงเกิดร่วมพระพุทธเจ้า แต่เขาก็ไม่นับถือพระพุทธเจ้า เขาก็นับถือลัทธิของเขานั่นแหละ นั่นมันไปยังงั้น พระพุทธองค์พยายาม...พยายามหาโอกาสติดต่อสังคมสนิทสนมกับเขา แต่บางพวกก็ได้ผล ผู้มีบุญวาสนาแรงกล้าก็รู้ตัวได้กลับตัวได้หมดแล้วมานับถือพุทธศาสนา ปฏิบัติไปก็สำเร็จมรรคผลได้ตามวาสนาบารมีของตน เนี่ยะเป็นอย่างงี้ เพราะฉะนั้น พวกเรานั้น เรียกว่าละความหลงเห็นผิดต่างๆดังกล่าวมานี้ได้แล้ว เรามอบกาย...มอบกายถวายชีวิตบูชาคุณแก้วสามประการ...นี่ โดยส่วนเดียวไม่...เป็นหนึ่งไม่มีสองเลย ก็ขอให้ทำใจไปอย่างนั้น เพราะว่าลัทธิต่างๆในโลกนี้เยอะแยะ ถ้าเค๊าจ้าง...คนไทยนี้แหละเป็นตัวแทนโฆษณาชวนเชื่อ ต่างๆนาๆหมู่นี้แหละ มีถมไปทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นให้พากันระวังตัวไว้ อย่าไปหลงคารมของลัทธิอื่น ลัทธิอื่นน่ะไม่เป็นทางพ้นทุกข์เลย ไม่เป็นทางพ้นทุกข์จริงๆ เช่น อย่างว่าลัทธิโยเรอะไรอย่างนี้ ไอ้พวกที่เข้ามาเผยแผ่อยู่นั่น แต่ล้วนแต่มีกิเลสตัณหาหนาแน่นอยู่ในจิตใจ ยังบริโภคกามคุณอยู่เหมือนกับคนทั่วๆไป แล้วอย่างนี้จะเป็นผู้วิเศษได้ยังไง ผู้วิเศษทั้งหลายท่านละกิเลสขาดจากสันดานแล้ว ทำตัวเป็นคนผู้เดียว นุ่งห่มผ้าสีเดียว อย่างพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกนั้น ท่านก็มีความประพฤติปฏิบัติการเป็นอยู่เหมือนกันตรงกันอันเดียวกัน แล้วก็นุ่งผ้าสีเดียวกันเลย ไม่หลายสี นี่แหละ ท่านผู้สิ้นอาสวะกิเลส ท่านผู้มีบุญญาบารมีแก่กล้านะ และไม่ว่าใครแหละถ้าสร้างบุญบารมีไปไปแล้ว หากว่าบุญบารมีเต็มแล้ว ก้จะได้ออกบวชถือผ้ากาสาวพัตร์เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกนั่นเอง ถ้าเป็นผู้หญิงก็บวชเป็นนางภิกษุณี อย่างนี้ก็มีมาทุกยุคทุกสมัยแหละ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เพราะว่าผู้หญิงน่ะ ถ้าพูดแล้วก็ดูสมัยปัจจุบันนี้เน๊าะ ผู้เข้าวัดผู้ฟังธรรมจำศีล ผู้สนใจทำการฝึกฝนอบรมจิตใจน่ะ มีแต่ผู้หญิงเป็นส่วนมาก ผู้ชายมีน้อยเต็มที ดังนั้น เมื่อผู้หญิงอยากบวช พระองค์เจ้าก็บวชให้เป็นนางภิกษุณี แต่ว่านางภิกษุณีนั่นอยู่ไม่นาน เนื่องจากว่า นิสัยผู้หญิงนั่นมัน...นิสัยอ่อน น้อมไปง่าย แล้วก็มักจะมีเรื่องวุ่นวายอยู่บ่อยๆ พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทตั้งสามร้อยกว่าข้อ บังคับกายวาจาไว้ แล้วปรากฏว่า ตอนที่พระองค์เสด็จปรินิพพานนี่ ไม่ปรากฏว่ามีนางภิกษุณีไปชุมนุมที่เมืองกุสินารานั้นเลย ไม่มีเลย ในตำราไม่กล่าวไว้เลย เข้าใจว่านางภิกษุณีหมดก่อนพระองค์ปรินิพพานแล้ว อ้า มันเป็นยังงั้น ดังนั้นผู้ใดมีบุญวาสนาแรงกล้าจริงๆจึงได้บวชเป็นนางภิกษุณี นะ ก็จะได้...อย่างพวกเราปฏิบัติอยู่เนี้ยะ อานิสงส์อันนี้มันก็ได้ให้เป็นนักบวชนั่นแหละ ในอนาคตเบื้องหน้าต่อไป หากบุญบารมีแก่กล้าเต็มบริบูรณ์ลงไปแล้ว ก็ต้องได้ออกบวชในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ต่อไปแล้วก็จะทำอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไป ได้เข้าสู่พระนิพพาน หมดทุกข์หมดยากในสงสารต่อไป
ยะถา วาริวะหา ปูราปะริปุเรนฺติ สาครัง, เอวะ เมวะ อิโต ทินฺนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ, อิจฺฉิตัง ปัตถิตัง ตุมฺหัง ขิปฺปะเมวะ สมิชฺฌะตุ, สัพเพ ปูเรนฺตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา.
สัพพีตีโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ, มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ฑีกายุโก ภะวะ, อะภิวาทะนะสีลิสฺสะ อะนิจจัง พุทธา, จะตายีโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
(จบตอนที่ ๑)

อัตชีวประวัติหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (ตอนที่ ๒)
          ยายกับน้า น้องแม่น่ะ เลี้ยงไว้ เลี้ยงไว้เข้าโรงเรียนไป ก็เข้าโรงเรียนไป บังเอิญก็อย่างว่า มัน...ก็คงมีบุญอยู่บ้างนั่นแหละ การศึกษาเล่าเรียนก็อยู่ในเกณฑ์ดี สอบก็ไม่ค่อยตก สมัยนั้นน่ะ เพียงแต่แค่ประถมสามนี่ มันแตกฉานไปแล้วเรื่องบวกลบคูณหารเลขสองตัวสามตัวอะไรนะ ไปได้อย่างคล่องแคล่วเลย เขียนหนังสือสะกดการันต์อะไรนี่ เรียบร้อย แต่นักเรียนสมัยนี้ประถมสามนี่ยังอ่านหนังสือไม่ออกก็มี บางตัวสะกดการันต์อ่านไม่ได้เลย เขียนก็ไม่ถูก อย่างเด็กๆที่มาบวชเป็นเณรอยู่นี่ ออกปัญหาให้ตอบ ปัญหาธรรมวินัย มาเขียนไป มะโรงมะเส็งไป แทบจะอ่านไม่ได้ก็มี เนี่ยะ ถ้าครั้นถามว่า ประถมสี่ ประถมหก เอาล่ะ อะไรก็ดี อย่างนี้ ตั้งแต่คราวนั้น แต่ครูนั้นเข้มงวดจริงๆนะ ครูมีอำนาจเด๊สมัยนั้นน่ะ ถ้าดื้อด้านหรือว่าไม่เอาไหนนี่ ครูเฆี่ยนเลยล่ะ อย่างนี้แหละ ต้องเอาไปยืนขาเดียวแล้วก็ ไม้เรียวซัด แหะแหะ ไม่ไหวสิว่านี่ กลัวครูอ่ะ มันต้องทำเอาจริงล่ะบัดนี่ ถ้าพลาดลงไปครูเฆี่ยน พ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไร มอบอำนาจให้ครูอ่ะ พออายุสิบสามปีกับหกเดือนก็จบประถมสี่ เพราะว่าอายุเก้าปีนะจึงได้เข้าโรงเรียน ในครั้งนั้น พอจบประถมสี่แล้ว ครูถามจะเรียนต่อหรือจะออกว่างั้น เอ๊ ถ้าบุญบวชมันจะมีว่างั้น ออกครับ ถ้าว่าเรียนต่อละได้เป็นครูอย่างพวกคุณนี่ คงไม่ได้มาบวชแล้ว หรือว่าบุญมันบันดาล พอดีพ่อได้ทราบข่าวว่าออกนี่ เสียใจใหญ่เลย โห เราจะให้เรียนต่ออยู่แล้ว ทำไมล่ะ ทำไมถึงไปออกซะ แต่มันยังไงก็ไม่รู้นะว่า มันอยากออกแล้วก็ออกไปเฉยๆละว่างั้น และก็อยู่ทำไร่ทำนาทำสวนไป เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไป และจนว่าอายุครบยี่สิบก็จึงได้มาบวช ทีนี้ก่อนจะมาบวชนะ มันบุญบันดาลเนี่ยว่านี่ เมื่อมาคิดดูแล้วว่า เอ๊ น่าอัศจรรย์ใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ไถนาคราดนาไปนี่ พิจารณาไป เอ๊ เรานี่เมื่อไหร่เราจึงจะได้ยุติ ทำสวนทำนาหมู่นี้ มันแสนทุกข์แสนยากจริงๆ ทำปีนี้แล้วได้ข้าว เอาไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้แล้ว เอ้ากินบ้างขายบ้าง ปีใหม่มามันก็ร่อยหลอลงไปแล้ว ต้องทำใหม่อีก ทำอย่างอีก ปีต่อมาก็ทำอีก เอ๊ แล้วเราได้อะไรบัดนี้ ไม่ได้อะไรเลย เงินก็ไม่มี เพราะว่า ขายข้าวขายข้าวแล้วก็ต้องเอาไปซื้อนู้นซื้อนี้ไป ก็หมดไปสำหรับสมัยนั้นข้าวราคาถูกเหมือน เหมือนน้ำนี้ ขายก็ได้เงินนิดหน่อย อย่างงี้แหละ ทำไมหนอเราจึงจะพ้นจากทุกข์อันนี้ไปได้ เอ๊ มันมีแต่ทุกข์ แล้วไม่ได้อะไรเป็นแก่นเป็นสารซักหน่วยเดียว มันช่างคิด แน๊ะ แปลกจริงๆล่ะมัน คิดไปคิดมานี่เบื่อเข้าเบื่อเข้าล่ะบัดนี้ เอ้อ เบื่อการเบื่องาน วันหนึ่งน่ะ เลิกจากนาแล้วก็นั่งบนหลังควาย เข้าบ้านน่ะ พิจารณา ดูชีวิตอันนี้น่ะ เอ๊ ทำไมนี่ ชีวิตอันนี้มันเป็นอย่างนี้ มันทำไมจึงเป็นอย่างนี้ มันเพ่งเข้าไปในร่างกายนี่ อ้าว เพ่งไปเพ่งมาแล้ว ปรากฏว่า ไม่ทราบกายนี้มันหายไปไหน แล้วมองไปไหนไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีคนมีสัตว์อะไร ว่างไปหมดเลยโลกทั้งโลกนี้ เอ๊ะ โลกอันนี้มันก็ว่างไปหมดนี่ ทำไมหนอจึงเป็นอย่างนี้ว่างั้น แล้วทำไมมนุษย์มันจึงหวงแหนนักหนา ไม่เห็นมีอะไรนี่น๊าว่างั้น เพ่งดูไปดูไป เอ๊อ มันไม่มีอะไรนี่ ร่างกายนี้ก็ไม่มี เอ๊า มองดูร่างกายก็ไม่เห็นทีนี้ โอ๊ ตอนนั้นมันเกิดปีติขึ้นแล้วบัดนี้ อ็ โลกอันนี้มันเป็นอย่างนี้หนอ ตัวเบา ทั้งที่ไม่เคยเลยนะ ไม่เคยได้ภาวนาสมาธิอะไรทั้งนั้นเลย แล้วทำไมมันเกิดความคิดขึ้นอย่างนั้น มันทำไมมันรู้จักทวนกระแสจิตเข้ามาหาร่างกายนี่นะ เนี่ย เมื่อออกบวชมาแล้วจึงได้มาทบทวนเบื้องหลังนี้ จึงรู้ได้ว่า โอ๊ ถ้าบุญเก่าที่เราทำมาแต่ก่อนมาดลบันดาลว่างั้น เราคงจะได้เคยเจริญกายะคะตาสติกัมมัฏฐานนี้มาแล้ว ตั้งแต่ก่อนนี้ พอมาถึงวาระอันบุญอันนั้นมันให้ผลนะ มันก็เลยมาดลจิตให้เกิดความรู้ความเห็นขึ้นมาอย่างนั้น ทบทวนไปก็ได้ความอย่างนี้ พอมันเห็นไปอย่างนั้นแล้ว มันยิ่งเบื่อหลายครานี้โลกอันนี้  ตรงไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารซักหน่อยเดียว อ้าว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะทำยังไงล่ะ ถามตัวเอง เอ้าก็บวชซี่ว่างั้น บวชเท่านั้นมีทางเดียวเท่านั้นที่พ้นจากทุกข์เหล่านี้ไปได้ อื้อ พอว่านึกขึ้นมานี่ มันเกิดความพอใจในการบวชขึ้นมา อย่างแรงกล้าเลยทีเดียว พอกลับถึงบ้านก็ไป พูดให้มารดาบิดาฟัง เอ๊ บัดนี่ เวลานี้คิดอยากบวชแล้วว่า ขออนุญาตไปบวชเถ๊อะ พ่อเพิ่นว่า อ๊าว ยุ้งข้าวก็ชำรุดแล้ว ครั้นจะไปบวชแท้ๆก็ขอให้สร้างยุ้งข้าวให้ก่อนเถ๊อะ ยุ้งข้างก็เล็ก ข้าวก็หลายทีนี้ ไม่มีที่จะเก็บ ล้น...เอาเอามันมาใส่ล้นแล้วก็ มันก็ตกลงตามพื้น ไก่กินกันสนุกเลย เอา...ให้ทานมันไปว่า มือไม้มันอ่อนเลย ไม่สามารถจะทำงานได้เลย พอจิตใจมันเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็เลยบอกมารดาบิดาโดยตรงเลย เห็นจะทำไม่ได้ว่า มือไม้อ่อนหมด ไม่สามารถจะทำงานได้ มันมีแต่จะบวชลุกเดียวว่างั้น ในที่สุดเพื่อนก็ ต้องได้อนุญาต ก็จึงได้เข้านาคไปสิบห้าวันก็บวชกัน พอได้บวชแล้ว โอ๊ย มันเกิดปีติแน๊ะ อิ่มอกอิ่มใจหลาย
พอบวชเข้าไปบัดนี่ ก็มีหลวงตาองค์หนึ่งบวชก่อน เพื่อนบวชมาได้พรรษาหนึ่งแล้ว หลวงตาองค์นั้นเพื่อนสนใจในทางกรรมฐานภาวนา เพื่อนก็ไปเสาะหาครูบาอาจารย์ คราวนั้นได้ไปพบ...ญาครูศรีธาตุอยู่พระบาทหอนาง  อำเภอบ้านผือเนี่ย หลวงตาองค์นั้นเพิ่นก็ไปเรียนกรรมฐาน จากญาครูศรีธาตุนั่น ได้มาแล้วบัดนี่ พอดึกสมควรพอเงียบเสียงต่างๆ แล้วเพื่อนก็ ไหว้พระแล้วก็บริกรรมกรรมฐานที่เพื่อนเรียนมานั่น อุมๆอยู่ว่างั้น ไอ้เราก็ไม่รู้อะไรบวชใหม่ๆ ก็ถามแล้ อ้าวหลวงตาบ่นอะไรอุมๆอยู่คนเดียวว่างั้น โอ้ นี่เราภาวนานะว่า อ้าวภาวนานี่มันดียังไงล่ะ โอ้ภาวนามันก็ได้บุญซี่ ได้บุญแล้วก็ได้เป็นตอบบุญแทนคุณพ่อแม่ ค่าข้าวค้อนและน้ำนมน่ะ โอ๊ ถ้าเช่นนั้นผมก็เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่อยู่เหมือนกันน่ะ จะสอนให้ผมบ้างเป็นไงล่ะ ผมก็อยากตอบบุญแทนคุณพ่อแม่เหมือนกันนา ท่านไม่ยอมสอนให้ อันคาถาที่ท่านบริกรรมอยู่น่ะ ท่านบอกว่า ให้ไปท่องเอาอนุสติสิบนะว่างั้น ท่องเอาให้ได้ เมื่อท่องแล้วก็ให้บริกรรมไป สุดแล้วตั้งใหม่ สุดแล้วตั้งใหม่อย่างงั้นล่ะว่างั้น เอ้าก็ไปท่องเอาอนุสติสิบอยู่อย่างงั้นล่ะก็ว่ากันแล้วบัดนี้ ท่องได้แล้วก็เอาล่ะ นั่งภาวนา พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เนี่ย เรื่อยไปจนถึงอุปธัมมานุสติโน่น แล้วก็กลฃับมาตั้งใหม่อีก เอ๊ ภาวนาไปนี่รู้สึกว่าใจเบิกบานว่านี่ ใจเบิกบานผ่องใส แม้ลุกจากภาวนาไปแล้ว ไปที่ไหนก็ไม่ลืมห่ะนี่ ใจมันมีแต่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เรื่อยไปอยู่อย่างงั้นแหละ จะเดินไปยืนอยู่ก็ดี ไปไหนมาไหน อันว่าในใจนั้นมี...มีพุทธานุสติอยู่อย่างนั้นแหละ บัดนี่ อ้า บวชเดือนยี่นะ พอเดือนหกมาก็เลยไปหนองคาย ไปจำพรรษาวัดศรีสุมัง หนองคาย อ้าว ไปพบอาจารย์บุญจันทร์ ที่เป็นรองเจ้าอาวาสอยู่นั้นน่ะ ถูกนิสสัยกัน ก็เลยสนทนาปราศัยกัน บัดนี่เลยก็เรียนถามท่าน เอ๊ ผมภาวนาอนุสติสิบนี้ถูกหรือไม่นอ...ว่างั้น ท่านก็บอกว่า ทางที่จะให้ถูก แท้ๆก็ไม่ถูกหรอก คือยังไงจึงจะถูกต้องล่ะ อ๋อ คำภาวนานี่ คำบริกรรมนี่ ท่านให้เอาคำเดียวว่างั้น ถ้าให้เอาหลายคำจิตมันไม่สงบ เอาอะไรคำเดียวว่า ท่านก็ให้พุทโธว่านี้ เอาพุทโธซะ คำเดียวนั่นแหละว่างั้น ก็เลยปฏิบัติตามท่านนี้ เอ้าพุทโธก็พุทโธบัดนี่ เอาพุทโธแล้วบัดนี่ พอทำวัตรสวดมนต์ตอนเย็นเสร็จลงไปแล้ว ก็ไปนั่งท่องหนังสือ นวโกวาทนี่แน่ะ ของวัดมันเดือนหกนี่นะ จึงได้ไป ก็ยังไม่ได้จับหนังสือท่องพระสูตรอะไรเลยล่ะ ไปก็เร่งท่องละ ตั้งแต่หัวค่ำนี่จนนาฬิกาตีสิบสองเที่ยงคืน เม้งๆเม้งๆละก็ งดท่องหนังสือ พองดท่องหนังสือแล้วก้เข้าห้องบัดนี่ เปิดกุฏิก็ไม่พอกันพัก ท่านก็ไปจัดให้ไปนอนอยู่ในโบสถ์ ดูเหมือนว่าจะนอนอยู่ด้วยกันสององค์ เข้าไปไหว้พระแล้วก็นั่งสมาธิ บริกรรมพุทโธ พุทโธทีแรกมันก็ไปทั่วพิภพเลย ไปไหนก็พุทโธไปด้วยบัดนี่ เอ้าไป มันจะไปถึงไหนหวา ไปไหนเราก็เอาพุทโธไปด้วย พอมันไป...ตามไปจนสุดเหวี่ยงแล้วบัดนี่ก็ค่อยพุทโธกลับโค้งเข้ามา โค้งเข้ามา ใกล้ตัวเข้ามา ใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดพุทโธก็มาอยู่ที่กายละบัดนี่ น้อมจากกายก็เข้าใจบัดนี่ เข้าถึงใจ พุทโธเข้าถึงใจ พอพุทโธเข้าถึงใจแล้วก็ใจสงบลง พอเพ่งใจสงบลงพอสมควรแล้วก็ถึงค่อยจำวัด พอจำวัดไป เอ้าตีสี่เสียงระฆัง กุฏิเจ้าอาวาสนั่นดังเม้งๆแล้วก็ตื่นแล้ว พอตื่นแล้วก็ลุกล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ ห่มผ้าแล้วก็ขึ้นกุฏิเจ้าอาวาส ไปทำวัตรเช้ากัน ทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ท่านก็ให้นั่งภาวนา อยู่พักหนึ่ง ก็พากันนั่งสงบจิตอยู่พักหนึ่ง ก็เลิกกันไป ต่อจากนั้นก็ไปบิณฑบาตกัน พอบ่ายโมงก็ไปเรียนนักธรรม อันนี้เป็นข้อวัตรที่ตอนบวชพรรษาแรก บัดนี้ อัน...ธรรมดานี่น่อ บวชมหานิกายมันก็...จับเงินกันแล้วเก็บเงินกันแล้ว มีกระเป๋าเงินติดย่ามแล้ว ในย่ามน่ะ บัดนี้ไปเรียนนักธรรมก็ไปนั่ง ตอบปัญหาอยู่ในห้องเรียนนั้น คอยถึงเวลายังไม่ถึงเวลา ก็เอาย่ามไปวางที่โต๊ะแล้วก็ไปคุยกับเพื่อนที่แห่งอื่นโน่น พอได้เวลาก็กลับเข้าห้องเรียน พอเลิกเรียนแล้วบัดนี่ ออกไปนึก แอ๊ะ บุหรี่ไม่มีเว้ย ต้องซื้อบุหรี่ไปสักซองหนึ่งว่างั้น ไปค้นในย่ามไม่มีเลยเงิน กระเป๋าเงินไม่ทราบหายไปไหน เอ๊อ ดีแล้วดีแล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไม่ให้พระเก็บเงินรับเงินใช้เงินด้วยตนเอง ไอ้เรามันน่ะประมาทล่วงวินัย เอาละ นับตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่สะสมเงินเลย จะขอเอาเงินแต่ค่ารถค่าเรือกลับวัดเท่านั้นแหละว่างั้น เมื่อไปถึงวัดแล้ว เราจึงงดไม่มีอะไรติดย่ามเลยว่างั้น พอตอบนักธรรมอะไรต่ออะไรเสร็จสิ้นไปแล้วก็ลาเจ้าอาวาสกลับวัด โพธิ์ชัยบ้านหม้อนี่แน้ ตั้งแต่นั้นมาไม่เอาแล้วเงิน ไม่ถือล่ะ เงิน จบ...พูดยังไงต้องทำอย่างนั้น ต้องมีสัตย์คนเราน่ะ ไม่เอา พอถึงเดือนสามแรมสองค่ำ ก็ได้ออกปฏิบัติ พอกลับมาวัดแล้วก็มานั่งภาวนา ได้หนังสือพกเล่มหนึ่ง หนังสืออันนั้น ท่านอาจารย์สิงห์ ขันตยาคะโม วัดป่าสาละวัน โคราช เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น มันเป็นปาติโมกข์ อ่า...เป็นไอ้...หนังสือเล่มเล็กๆดอก ท่านอธิบายวิธีภาวนา วิธีเจริญสติปัฏฐานสี่ไว้ในนั้น โยมบิดาเนี่ย เอาไปท่องเอาไปให้ พอไปเปิดไปอ่านดูแล้ว ท่านแนะนำเรื่องทำสมาธภาวนาอย่างนั้นอย่างนั้นอย่างนั้น เมื่ออ่านดูแล้ว เอ๊ะ มันดีนะนี่นะ หนังสือนี้ว่าท่านบอกกะทัดรัด ไม่อ้อมค้อมนา เอาเราต้องทำดูว่า พออ่านดูจำ...กรรมวิธีจำแบบไอ้แนวทางอันนั้นได้แล้วก็ นั่งสมาธิก็ เพ่งกายเพ่งใจเข้าไป เอ๊ รู้สึกว่ามันได้ผลดีบัดนี่น่ะ แต่ก่อนใจยังไม่สงบแนบเนียนถึงปานนั้น พอมาภาวนาเจริญสติปัฏฐานอัน..ตามแนวที่ทานแนะนะ ใจมันสงบลงได้อยู่นานบัดนี้ เอ๊อ นี่เห็นจะถูกทางแล้วว่างั้น พอใจมันสงบไปอย่างงั้นว่านี้ มันนึกถึงป่าเลยทันทีว่างั้น เอ๊ เราจะมานั่งภาวนาอยู่ในที่ห้อมล้อมของคนหมู่มากนี้ มันไม่...คงไม่สะดวกล่ะ คงจะก้าวหน้าไปไม่ได้หรอก มันต้องออกป่าบัดนี้ ก็บังเอิญ ครูอาจารย์กรรมฐานกำลังมิอยู่นี่ล่ะ อยู่ริมโขงนั่น ท่านก็มาวิเวกอยู่งั้น แล้วก็มากราบท่าน นิมนต์ท่านมาแสดงธรรมให้ฟังอยู่วัดโพธิชัย ท่านก็ไป พอไป...ไปทำมาฆบูชาอยู่ที่วัดโพธิชัย คืนนั้นทั้งคืนไม่นอนเลย ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง ฟังไปข้างญาติโยมก็ไม่นอนกัน อยู่ตลอดคืน รุ่งเช้ามาฉันภัตตาหารแล้ว ท่านอาจารย์ท่านก็กลับที่พัก เราก็เตรียมบริขารบัดนี่ พอดีเดือนสามแรมสองค่ำก็ออกมาอยู่ป่ากับท่าน มาอบรมกับท่าน อ้าว บังเอิญเที่ยวนี่ยังไม่ได้คัดเลือกทหารบัดนี่ ไอ้ญาติพี่น้องท่านอยู่อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ตามมาบอกว่ามารดาป่วยหนัก จำเป็นต้องได้กลับลงไป ไปสกล ไอ้เราก็ตามท่านไปไม่ได้ เพราะว่าคาคัดเลือกก็เลยต้องอยู่ พอคัดเลือกเสร็จแล้วบัดนี่ ก็ได้พบกับท่านอาจารย์บุญมานี่ ที่เครื่องบินตกน่ะรู้จักกันรู้จักไหม เอ้อนั่นแหละ ท่านอาจารย์บุญมานี่ ได้พบกับท่าน แล้วก็ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็เลยอบรมให้ท่องคำบวช แบบมคธภาษา แบบธรรมยุติบวชนี่ แล้วท่านก็ฝึกสำเนียงหางเสียง พอเห็นสมควรได้แล้ว ท่านก็พาไปบวชที่อุดรเนี่ย วัดโพธิสมภรณ์ บวชกับเจ้าคุณธรรมเจดีย์ นั่นแน่ะ พอบวชเสร็จแล้ว ก็กลับขึ้นมาอยู่วัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อนะ ท่านก็ถามบัดนี่ เธอจะเรียนนักธรรมต่อไปหรือจะออกปฏิบัติว่างั้น กระผมเอาทั้งสองอย่างว่า เรียก็เรียน ปฏิบัติก็ปฏิบัติ แต่ว่าจะไม่เรียนเอาชั้นเอาภูมิ จะไปอยู่ป่าก็เอาตำราไปด้วยว่างั้น จะไปดูไปอ่านอยู่ในป่านู่น ท่องจำเอาอยู่ในป่านู่นน่ะ เออ ดีดี ดีดี ท่านก็อำนวยตาม นั่นแน่ะ ตั้งแต่นั้นมาก็ เอ้า ติดตามครูบาอาจารย์ไปบ้าง คลาดจากท่านบ้าง เที่ยงธุดงค์ขึ้นไปจังหวัดเลยนู่น ไปอยู่ถ้ำผาบิ้งจังหวัดเลย คราวนั้น โอ๊ย ภาวนาดี ถ้ำนั้นสงบสงัด แต่ก่อนเป็นป่าเป็นดงอยู่นิ รอบเขาถ้ำผาบิ้งอันนั้นน่ะ ไม่มีบ้านไม่มีไร่ไม่มีสวนอะไรใครหรอก แล้วน้ำนี่ก็อยู่ไกลอ่ะ อยู่ไกลเป็นกิโลนู่นนะ ต้องได้เอากระบอกไม้ไผ่พายกระบอกไม้ไผ่สองบ่า เดินไปหาบ่อน้ำ สรงน้ำเสร็จแล้ว ก็กรองน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่ พายเดินมาหาถ้ำ พอมาถึงถ้ำก็เหงื่อโชกเหมือนกันแหละ โชกเหมือนไม่ได้อาบน้ำเลย เอ้า ช่างมัน ได้ทำความเพียรอยู่นั่น ก็มีเพื่อนมีฝูงอยู่ด้วย ขึ้นล่องขึ้นล่องอยู่ อ่า หนองคายจังหวัดเลยนี่แหละ ก็จังหวัดเลยมีถ้ำมีเขามาก ชอบอยู่ตามถ้ำตามเขา พออยู่ไปอยู่มา พรรษาได้ห้าแล้ว โอ๋ มันมาเพ่งทบทวนมาดูการปฏิบัติมาโดยลำดับ เห็นว่า มันยังไม่จุใจ มันยังมีบกพร่องอะไรอยู่ความคิดความเห็นความรู้ แก้ไม่ตก พอมันแก้ไม่ตกอย่างงี้ ก็มานึกถึงครูบาอาจารย์ที่จะช่วยเหลือได้ ก้เห็นแต่ท่านอาจารย์มั่น ท่านอยู่จังหวัดเชียงใหม่นู่น ชวนกันได้สององค์แล้วก็ เดินทางขึ้นไป นั่งเรือขึ้นไปตามฝั่งแม่น้ำโขง ขึ้นไปเชียงราย...เอ้อ...ไปเชียงแสนโน่น ขึ้นเรือจากเชียงแสนแล้วก็เดินลัดไป ใส่อำเถอดอยสะเก็ด ไปเชียงใหม่ ถามข่าวถึงท่านอาจารย์มั่น มีผู้นำไปบัดนี่ มีพระในวัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่นั้นนำไปหาท่าน พอไปพบกับท่านก็ได้รับการอบรม ท่านก็แนะนำสั่งสอนเอา สองสามวันทีแรกนี่ จิตไม่ลงเลย แข็งกระด้าง คล้ายกับว่าท่านพูดอะไรมาเรารู้ไปหมด หึหึ แม้ทิฐิมานะของมนุษย์เรานี่หนอ เราบากหน้ามาหาครูบาอาจารย์แท้ๆ ทำไมมาเอาความรู้มาแข่งกับอาจารย์ว่า ไอ้อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ว่างั้น สามวันจิตไม่ลงท่านเทศน์ให้ฟังมันก็ไม่ลง บัดนี่ ก็วันที่สี่ที่นี่ เมื่อท่านเทศน์ให้ฟังจบไปแล้ว ก็เลิกไป ไปถึงที่อยู่ ก็ไม่มีอะไรนี่ ไม่มีกุฏิกุต่างอะไร เพียงแต่เอาไม้กลมๆนี่ วางเรียงให้ถี่ๆเข้า แล้วเอาใบไม้มาปูลงไปเสื่อปูลงไปแล้วก็ กางกลดครอบลงไปเท่านั้นเอง ก็นั่งก็นอนภาวนายังงี้ เดินจงกรมพอสมควรแล้วก็นั่งภาวนา อธิษฐานใจ ถ้าหากว่าจิตใจของเราเป็นอยู่อย่างนี้เนี่ย เราจะไม่ลุกจากที่นั่งนี่เลย เอ้าตายบัดนี่แหละ เอ้า บากหน้ามาหาครูบาอาจารย์แท้ๆ ทำไมจิตใจเป็นอย่างนี้ ตายเสียดีกว่าว่างั้น พออธิษฐานใจแล้วก็นั่งภาวนา เพ่ง...เข้าไปอยู่นั่นน่ะ ไม่ใช่ว่าจิตมันฟุ้งซ่านเลื่อนลอยอะไรไปที่ไหนหรอก แต่มันเพียงว่ามัน มันสงบลงไปไม่ละเอียด มันไม่...มันไม่เป็นไปตามเป้าหมายเท่านั้นดอก บัดนี้ก็ นั่งเพ่งกันอยู่นั้น ตอนนั้นไม่...ไม่ได้มีนาฬิกา ไม่ทราบว่ากี่ชั่วโมงไม่รู้ นั่งไปนั่งมานั่งไปนั่งมา ปรากฏเห็นท่านอาจารย์มานนี่ จูงม้าอาชาไนยตัวหนึ่งมา มายืนอยู่ต่อหน้านี่ ท่านก็แนะนำบอกว่า นี่นะคุณ นี่น่ะเขาเรียกว่าม้าอาชาไนย ม้าอาชาไนยนี่ เป็นม้าที่สอน...สอนง่าย ไม่พยศ และก็มีกำลังวังชามาก วิ่งเร็ว เธอจงทำตัวเป็นม้าอาชาไนยเป็นเหมือนกับม้าอาชาไนยนี่ แล้วเธอก็จะพ้นทุกข์ไปได้ ก็ดูนะ เราจะขึ้นขี่ม้าตัวนี้ให้ดูว่างั้น พอว่าแล้วท่านก็ก้าวขึ้นสู่หลังม้านั้น ม้าก้พาวิ่งไปเหมือนกับลมพัด หายวับไปเลย คราวนี้ ก็เลยทบทวนเข้ามา เอ้อ นี่มันนิมิตนี้ นิมิตดีจริงๆ เอ๊ อย่างนี้ครูบาอาจารย์มา มาบอกปริศยาธรรม อ้าว ม้าอาชาไนยนี่เทียบกับธรรมอะไร อ๋อ ม้าอาชาไนยนี่ มันก็เปรียบได้กับ พละคือธรรมเป็นกำลังห้าอย่าง ศรัทธาพลัง วิริยะพลัง สติพลัง สมาธิพลัง ปัญญาพลัง นี่ถ้าผู้ใดบำเพ็ญคุณธรรมห้าอย่างนี้ให้ แก่กล้าขึ้นในจิตใจแล้วก็ ก็คงสามารถที่จะบรรลุ ธรรมของจริงได้ จิตนี้จะต้องมีกำลังเข้มแข็งเต็มที่ว่างั้น ก็พิจารณา ธรรมอันเป็นกำลังห้าอย่างนั้น ก็ทบทวนไปมาเข้า จิตใจก็รู้สึกว่า เบิกบานผ่องใส ปีติ โอ้ ไอ้ความสงสัย ความข้องใจอะไรมาแต่ก่อนนั้น ก็ค่อยหายไปหายไป ตั้งแต่นั้นมาจึงค่อยได้ ใจจึงค่อยลงจึงค่อยเคารพต่อครูบาอาจารย์ได้เต็มที่เลยว่างั้น ในสามวันแรกนั้น ใจแข็งกระด้าง ไม่ลงเลย
(จบตอนที่ ๒)                                                                                                               (จาก เสียงธรรมออนไลน์ หลวงปู่เหรียญ---http://www.fungdham.com/sound/rein.html)         
การภาวนาของหลวงปู่ (หลวงปู่เล่าถึง)
                   หลวงปู่ภาวนาน่ะ เริ่มแม้...พระอยู่ในวัดท่านสอน ให้บวชมาใหม่ไม่รู้จักแม้แต่ภาวนา ครูบาที่เขาบวชก่อนมาได้พรรษาหนึ่ง เขาสอนให้นั้น เห็นๆเขานั่งภาวนา แล้วเราบวชมาใหม่ๆ ก็เลยถาม เอ้า ครูบาทำอะไรเมื่อคืนนี้น่ะ ได้ยินเสียงพึมพัมพึมพัมอยู่ โอ้ ก็ภาวนาซี่ว่างั้น อ้าว ภาวนามันดียังไง โน่น ก็ภาวนาก็ได้บุญ ได้บุญแล้วก็เป็นการตอบบุญแทนคุณ ค่าข้าวค้อนและน้ำนมบิดามารดาด้วย ถ้ายังงั้นก็นิมนต์สอนให้ผมบ้างเป็นไงง่า ผมก็นึกถึงบุญคุณท่าน มารดาผมก็ล่วงลับไปแล้ว เหลือแต่บิดา ผมก็อยากสร้างบุญกุศลแล้ว อุทิศให้แก่มารดาผู้วายชนม์ไป ก็ได้ซิเป็นไรว่างั้น เมื่อรับปากกันไปเลยท่าน ท่านไม่ได้สอนให้เรียนคาถาที่ท่านภาวนา ท่านสงวนลิทสิทธิ์ยังไงก็ไม่รู้แหละ ท่านแนะนำให้ไปท่องเอาอนุสติสิบ แล้วก็บริกรรม ท่องจำเอาได้แล้วให้บริกรรมเรื่อยไปนะว่างั้น แล้วจิตใจก็จะสงบสบายว่างั้น ก็ไปท่องเอาอนุสติสิบนั่นน่ะ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ศีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณานุสติ กายะคตาสติ แล้วก็อานาปานสติ อุปสมานุสติ นี่เรียกว่าอนุสติสิบ ท่องเอาได้แล้วบัดนี้ก็บริกรรมแล้ว พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เรื่อยไป จบแล้วตั้ง จบแล้วตั้ง อยู่อย่างนั้น นั่งสมาธิอยู่อย่างนั้น บริกรรมอนุสติสิบ ออกจากสมาธิไปแล้วก็เดินไปไหนมาไหน ก็ภาวนาแต่อนุสติสิบนั้นอยู่ สุดแล้วตั้งสุดแล้วตั้งอยู่อย่างนั้นแน่ะ พอภาวนาไปแล้วรู้สึกว่า เอ๊ ใจเย็นสบาย เอ๊อ ภาวนาอย่างนี้มันดีอยู่นะว่างั้น จึงได้เอาใจจดจ่ออยู่ทั้งกลางวันกลางคืนเลยบัดนี่ ครั้งต่อมานี่ ถึงใกล้เข้าพรรษาก็ได้มาจำพรรษาอยู่ในจังหวัดเพื่อเรียนนักธรรม ก็มาพบอาจารย์อีกองค์หนึ่งละบัดนี้ ก็เรียนถามท่านว่าผมภาวนาอนุสติสิบอย่างนี้ถูกมั๊ยว่างั้น อาจารย์องค์นั้นก็ตอบว่า ถ้าจะให้ถูกจริงๆก็คงไม่ถูก แต่ก็พอใช้ได้ว่างั้น อ้าวแล้วที่...ถ้าให้ภาวนาถูกจริงๆน่ะภาวนายังไง ท่านก็บอกว่าภาวนาพุทโธ เอาคำเดียวเท่านี้แหละ ใจมันถึงสงบลงได้ ถ้าบริกรรมไปหลายคำ หลายบทไปแล้ว จิตใจมันไม่สงบ มันฟุ้งซ่านว่างั้น เมื่อท่านบอกยังงั้นก็เอาแหละเชื่อ มานั่งภาวนาเข้าไปก็ใจก็นึกพุทโธแล้วบัดนี่ เอ้า พุทโธ บัดนี่มันส่งออกนอกสิบัดนี่ พุทโธมันไปทั่วพิภพเลยฮั่นนี่ รู้สึกว่าจิตใจมันไม่สงบ แต่ว่าพุทโธน่ะไม่ลืม นึกพุทโธมันก็จิตมันก็วิ่งไปตามเรื่องต่างๆภายนอกนู่น พุทโธมันก็ไปด้วยบัดนี่ ก็พยายามตะล่อมไอ้ความคิดนั้นๆให้สั้นเข้ามา สั้นเข้ามา พยายามนึกให้สั้นเข้ามาว่านี้ ไม่ให้มันยาวออกไป นึกสั้นเข้ามาสั้นเข้ามามาถึงตัวบัดนี่ ถึงร่างกายแล้วก็นึกน้อมเข้าไปสู่จิตบัดนี่ ให้พุทโธไปตั้งอยู่ในจิตนู่นบัดนี่ พอจิตสงบลงไปพอสมควรแล้วก็ ก็จึงค่อยหลับค่อยนอนอันนี้ วันใดภาวนาก็ทำแต่อย่างนั้นแหละ ทำอย่างนั้นเรื่อยมาโดยลำดับ ทั้งเรียนนักธรรมด้วยทั้งภาวนาด้วย ก็รู้สึกว่าจิตใจมันสบายร่าเริงบันเทิง ไม่เดือดร้อนอะไร ร่างกายก็สมบูรณ์มีกำลัง เรี่ยวแรงดีก็เพราะว่าจิตใจมันเบิกบานผ่องใสนั้นแน่ะ คนเรานี่ ถ้าหากจิตใจเบิกบานแจ่มใสแล้วร่างกายมันก็กระชุ่มกระชวย ไม่ค่อยจะวิบัติขัดข้อง มันเป็นยังงั้นเรื่องมันน่ะ เว้นเสียแต่ผู้มีกรรมมีเวร ถ้ามีกรรมมีเวรหนหลังตามมาสนองแล้ว มันก็เป็นไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อหมดกรรมหมดเวรอันนั้นแล้วก็หาย
บัดนี่ไอ้เรื่องที่ โยมผู้หญิงคนนี้ภาวนา แล้วเกิดนิมิต ได้ยินเสียงพูดอะไรต่ออะไรให้ฟังอยู่ จนเกิดความรำคาญ อันเช่นนี่..นี้ก็หลวงปู่เคยเห็นมา ไม่ใช่คนอื่นนะ บิดาของตัวเองนี่แหละ แต่ท่านบวชเป็นพระแล้วนะ เรียกว่าหลวงพ่อแหละ และไปอยู่ปักษ์ใต้ พาไปอยู่ปักษ์ใต้จังหวัดพังงา ปีนั้นเพื่อนก็ลาไปจำพรรษาอยู่อีกแห่งหนึ่ง อยู่กับพระอาจารย์องค์หนึ่ง อาจารย์มหาปิ่น ที่ภายหลังท่านขึ้นมาอยู่ จังหวัดราชบุรี แล้วก็ถึงแก่มรณภาพไปแล้วแหละเดี๋ยวนี้นะ ไปจำกับท่านมหาปิ่นนั้น ในพรรษานั่นน่ะ ท่านภาวนาไปเกิดนิมิต ได้ยินเสียงเทวดา เสียงเทวดาดังแว่วมาใส่หู เทวดาคุยกันหัวเราะกันยังไง รู้สึกว่าเสียงไพเราะเอาจริงๆ และก็เถาวัลย์ที่โยงอยู่กับต้นไม้ในวัดนั่น อันนั้นเป็นที่เล่นของลูกเทวดาว่างั้น บัดนี่ ท่านไปเล่าให้ท่านมหาปิ่นนั้นฟังนะ เพราะว่าเมื่อเกิดนิมิตขึ้นยังงั้นแล้ว นอนก็ไม่หลับสิ พอภาวนาไปแล้วก็ได้ยินเสียงเหล่านั้น เสียงเหล่านั้นมันก็รบกวนหูอยู่เรื่อย นอนก็ไม่หลับ ฉันอาหารก็ไม่ค่อยได้บัดนี่ ท่านมหาปิ่นไม่รู้จักทางแก้เลย ไม่ทราบจะไปแก้ยังไงว่า มันเป็นแบบนี้ ก็ท่านไม่เคย...เรียกว่าเป็นมหงมหากำลังออกปฏิบัติใหม่ ก็ยังไม่ฉลาดในเชิงภาวนา จึงได้ส่งข่าวไปหาที่ในเมืองนู่น จำพรรษาอยู่ในเมืองทีนั้น ในเมืองพังงา  หลวงพ่อภาวนาแล้วเกิดนิมิตอย่างนั้นอย่างนั้น ผมไม่มีทางก้ได้ ขอนิมนต์ไปแก้ว่างั้น ก็เลยไปไปหา ไปหาถามท่านแล้วก็เล่าให้ฟังอย่างว่านี้แหละ อืมม และท่านนี่ก็เลยพูดให้ฟังว่า หลวงพ่อน่ะ ลืมจิตใจเสียแล้ว จิตใจส่งไปยึดมั่นอยู่ในเสียงต่างๆ ที่มันดังมาแว่วๆหมู่นั้นแหละ ไปเพลิดเพลินอยู่ในเสียงต่างๆหมู่นั้นแหละ จิตใจเข้าถึงความสงบไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันถึงนอนก็ไม่หลับ ฉันอาหารก็ไม่ได้ว่างั้น บัดนี่หลวงพ่อต้องรู้ว่า อันนั้นเป็นแต่เพียงนิมิต คือเป็นแต่เพียงอารมณ์... สัญญาอารมณ์เฉยๆ ไม่ใช่เป็นตัวจริง ไม่ใช่เป็นความจริง ไม่ใช่เป็นเทวดาจริง ให้เข้าใจ จะว่าเป็นมารของสมาธิก็ได้ ถ้าหากว่าเราไปหลงไหลอยู่ตามเสียงต่างๆหมู่นี้นี่ จิตสงบลงไม่ได้เลย สังขารร่างกายก็ทรุดโทรมลงไป เพราะเช่นนั้นอย่าไปหลงต่อนี้ไป ให้ทวนกระแสจิตเข้ามาภายใน จิตคือความรู้สึก ไม่ใช่อย่างอื่นว่างั้น เราจะไปหาดวงจิตเป็นรูปเป็นร่างสีสันวรรณะต่างๆนั้นไม่พบหรอก ไม่มี ความคิดก็ไม่ใช่จิต ความรู้สึกอยู่ภายในกายนั่นน่ะ คือดวงจิต แต่ดวงจิตดวงนี้มันอาศัยหทัยวัตถุ อาศัยเนื้อหัวใจเป็นอยู่ ดังที่เราหายใจเข้าก็รู้ และหายใจออกก็รู้อยู่นั่นน่ะ นั่นแหละคือจิต ดังนั้นน่ะ ให้...ให้หลวงพ่อทำจิตใจเดี๋ยวนี้แหละว่างั้น ผู้เฒ่าก็น้อมจิตเข้าไปล่ะบัดนี่ น้อมสติเข้าไป ควบคุมจิตไว้ภายใน ตั้งมั่นอยู่ เอ้า ให้ควบคุมจิตไว้ เสียงอะไรดังมาก็อย่าไปใส่ใจมัน ให้เตือนตนว่า นั่นเป็นแต่เพียงนิมิต ไม่ใช่ของจริง เกิดแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ตัวตนเราเขาอะไร ให้เตือนตนอย่างนี้ ถ้าเสียงอันนั้นมันดังมาก็ดีว่างั้น อย่าให้จิตใจมันส่งไปตามเสียงนั้น ให้สติกำหนดรู้อยู่ที่รู้นั้น ความรู้อยู่ตรงไหน สติก็ให้ประคองอยู่ความรู้นั้นอยู่ตรงนั้น ให้ทำอยู่อย่างนี้แหละเรื่อยไป อย่าไปวิตกวิจารณ์กับเสียงกับรูปอะไรต่างๆหมู่นั้นว่างั้น ผู้เฒ่าทำในใจลงไป ซักประมาณสามสิบนาที ออกจากสมาธิมาว่าหายแล้ว ว่างั้นบัดนี่ หายแล้วอันนี่ ต่อจากนั้นผู้ใด...ผู้เฒ่าก็นอนหลับได้บัดนี่ ฉันอาหารได้ และหายเป็นปกติไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเลย หายเป็นปกติได้นี่แหละ เพราะฉะนั้น ที่ถามกันมาว่าหลวงปู่ภาวนายังไงเนี่ย หลวงปู่ภาวนาบริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ ทีแรกบัดนี่ เมื่อนั่งภาวนานั่งสมาธิเรียบร้อยแล้วบัดนี่ก็ ตั้งสติควบคุมจิตให้ตั้งอยู่ภายใน คือความรู้สึกอันนั้นแหละ แล้วบัดนี้จิตก็นึกพุทโธพุทโธไป แต่พุทโธอยู่ในความรู้อันนั้นนะ ความรู้อยู่ตรงไหนพุทโธก็อยู่ตรงนั้น นานเข้านานเข้า จิตใจมันไม่มีโอกาสได้คิดไปภายนอกแล้ว มันก็รวมลงรวมลง ในที่สุดมันก็หยุดนิ่ง พุทโธก้หายไป เหลือแต่ความรู้กับสติเท่านั้น เป็นหนึ่งอยู่ในท่ามกลางอกนี่ บัดนี้รู้สึกว่าตัวเบา ร่างกายก็เบา จิตใจก็เบา ปลอดโปร่ง มันเข้าหลักของสมถะภาวนาแล้วบัดนี้นะ หลักของสมถะภาวนาเนี่ย ท่านกล่าวไว้ และใจมันรวมลงมันละอารมณ์ภายนอกได้จริงๆ ไอ้เช่นนี้แหละ มันจะเบา ความรู้สึกอันนั้นไม่หนักหน่วง ไม่อึดอัดอะไร ไอ้ร่างกายนี่ก็เบาเหมือนนุ่นนี่เลยล่ะ ร่างกายเบา ไอ้ความเจ็บปวดความเมื่อยล้าต่างๆหมู่นั้นน่ะ ก็ระงับลงไปหมดเลย กายก็เบาปลอดโปร่งอยู่ยังงั้น ไอ้อย่างนั้นแล้วเรานั่งอยู่ได้นานทีเดียวแหละนะ นั่งไปนานไปก็เบาไป ไม่หนักไม่หน่วง ผู้ที่มีโรคภัยเบียดเบียนร่างกาย ถ้าไม่ใช่เรื่องของกรรมของเวรอย่างที่ว่ามาแล้ว มันก็ระงับไปได้ หายได้ เป็นไข้อย่างนี้นะ คราวหนึ่งมันเป็นไข้อยู่ถ้ำสูงทีเดียว จากตีนเขาขึ้นไป ประมาณสักสองเส้นเห็นจะได้ ไปเป็นไข้อยู่บนถ้ำนั่นน่ะ พอฉันเสร็จแล้วก็เริ่มจับไข้ จนตะวันตกโน้นจึงหายสร่าง แต่ละวันละวัน บัดนี้ก็ นานไปมันก็ อ้า สมมุติว่าแปดโมงเช้าเป็นไข้ มันก็เลื่อนพอเป็นเก้าโมงเช้าเป็นไข้ เลื่อนไปสิบโมงเช้าเป็นไข้ และบัดนี่ ก็ไปสร่างเอาหกโมงเย็น ได้เป็นจับไข้ยังงั้นมาหกเจ็ดวัน หลวงปู่ชอบหลวงปู่ขาวเนี่ย ท่านอยู่ตีนเขาไม่ได้อยู่ถ้ำบนเขา ท่านบิณฑบาตมาแล้ว ท่านก็ให้คนเอาอาหารขึ้นไปส่งให้ฉัน บัดนี่มาในวันที่เจ็ดนั่นน่ะ มันจับไข้อีกตอนบ่าย มันจับไข้อีกบัดนี้ก็...เอ๊ะ...เขาทำอาสนะมาถวายอันหนึ่งทำด้วยฟาง...ฟางข้าวนี้แหละ เขามัดลงเป็นมัดๆแล้วก็ เอาหมุนเข้าให้เป็นวงกลมน่ะ เอามาถวายบัดนี่ เราจะเข้าไปนั่งภาวนาอยู่ในก้นถ้ำโน่น มันเป็นยังงั้น ทำไมมันจึงชอบจับไข้เอาเหลือเกินนี่ว่างั้น ถ้าไข้นี่ไม่สร่าง เราก็จะไม่ออกจากภาวนา ได้เสวียนฟางอันนั้นมาเป็นอาสนะแล้วก็ เดินเข้าไปในก้นถ้ำไปไปเห็นหินก้อนหนึ่ง ตั้งอยู่ พอดีปูอาสนะลงไป พอดีที่หินก้อนนั้นพอดี แล้วก็แสงสว่างก็ส่องเข้าไปพอเป็นรางๆขึ้นนั่งสมาธิอยู่บนก้อนหินนั้นๆ ฮธิษฐาน เอ้า ถ้าไข้นี่ไม่สร่างแล้วจะไม่ออกจากสมาธินี่เลย อธิษฐานแล้วนี่ก็นั่งเพ่งอยู่แล้วบัดนี่นะ เพ่งเข้าไปภายใน มันเป็นไข้นี่มัน พอเพ่งเข้าไป ทีแรกก็หนาวนะ ต่อมาเกิดร้อนแล้ว...ร้อนในลำไส้ ในกระเพาะนั่นน่ะ ร้อนขึ้นก็ไม่ถอย เพ่งอยู่อย่างนั้นนะ เอาร้อนก็ร้อน เราจะเพ่งดูความร้อนบัดนี้นะ เพ่งไปเพ่งมา บัดนี่ไอแห่งความร้อนน่ะ มันก็พุ่งออกตามขุมขนนี่น่ะ ทุกขุมขนไปเลยน่ะ มันพุ่งออกมาจนจีวรนี้ปรากฏว่า ไหวไปไหวมาอยู่นั่นน่ะ จีวรที่ห่มอยู่นะ คราวนี้เหงื่อออกทุกขุมขนเลย ความร้อนที่มันร้อนอยู่ภายในนั้นค่อยเบาลงเบาลงบัดนี้นะ เอ้าก็เพ่งไม่ถอยเลย ไอ้ความร้อนก็เบาลงเบาลง ความเย็นก็ค่อยปรากฏขึ้น ในที่สุดความร้อนก็หายไป บัดนี้ เหงื่อนี่มันออกจากขุมขนนี่ก็ถูกผ้าจีวรนี่ก็เปียกโชกทีเดียวนะ เปียกโชกเลย ไข้ก็สร่างบัดนี้นะ พอไข้สร่างแล้วบัดนี้ก็ออกจากสมาธินั่นน่ะ  ออกจากก้นถ้ำนั่นมา ตั้งแต่วันนั้นมาไม่จับไข้อีกเลย หายไปเลย เอ้า อยู่ต่อมามันเกิดตุ่มอะไรขึ้น ที่บั้นเอวเนี่ย ที่สายเข็มขัดรัดเอวนี่นะ ไอ้ตุ่มอันนั้นเป็นตุ่มหัวดำๆนั่นน่ะ ต้องก็ไม่ได้ เจ็บ อ้าว ปะคดเอวนี่จะเอารัดเอวก็ไม่ได้บัดนี่ เมื่อนุ่งสบงก็ต้อง เอารัดหน้าอกนี่ ยกสบงขึ้นมาเพียงกับหน้าอก แล้วเอาปะคดเอวรัดไว้ ถึงกระนั้นก็ไปบิณฑบาตไม่มีถอย ไปบิณฑบาต เป็นตุ่มอันนั้นอยู่อีกเจ็ดวัน หาย ก็อยู่ในที่อันนั้นไม่มีอ่ะ...เรื่องหยูกยาไม่ต้องไปถามหาเลย มีแต่ภาวนาลูกเดียว ตุ่มนั้นก็หายไปเลยบัดนี่ พอตุ่มนั้นหายก็สบาย เอ้อนี้ มาทบทวนดูว่า คงจะเป็นพิษของไข้นั่นแหละ มันออกมาภายนอกบัดนี้นะ มันไม่จมอยู่ภายใน ตัวพิษมันออกมาหมดแล้วบัดนี้ มันก็เลยไม่จับไข้อีกแล้ว ก็เลยเป็นปกติไป นี่...นี่ผู้อยากทราบว่าหลวงปู่ภาวนายังไง เนี่ยก็จึงเล่าให้ฟังยังงี้แหละ หมายความว่า เมื่อเราประสพภัยภิบัติอย่างนั้นมาแล้ว ใจก็กล้าหาญสละตายเลย อย่างนี้นะ เอ้า เมื่อมันเป็นทุกข์ขึ้นมามันร้อนมันเจ็บอะไรขึ้นมา ก็เพ่งเอาที่ร้อนที่เจ็บไม่ถอยเลย เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ เมื่อใจแข็งแรงซะอย่างเดียวแล้ว อะไรอะไรก็สู้ไม่ได้ว่างั้น เมื่อกำหนดได้อย่างนี่เพราะเช่นนั้น จึงตั้งใจเข้มแข็ง มันจะทุกข์มันจะร้อนมันจะเจ็บอย่างไรก็ช่างมันไม่หวั่นไหว เอ้า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นไปได้ซักคนเกิดมาในโลกนี่  ถ้ายังมายึดถือขันธ์ห้านี่มาเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ไอ้จิตใจนี้ก็พ้นทุกข์ไปไม่ได้ ไม่ใช่เป็นทุกข์แต่ขันธ์ห้า ใจก็เป็นทุกข์ด้วย อย่างนี้ ดังนั้นน่ะ ใจอย่าเป็นทุกข์ อย่าไปสำคัญว่าขันธ์ห้าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา อ้าว ให้ปล่อยวางตามสภาพเสีย เมื่อ...เมื่อสตินี่สอนจิตนี่เข้าไปเท่าใดแล้ว สติ...เอ้อ..จิตนี่มันก็เข้มแข็งขึ้น ถูกสติตักเตือนเข้าไปแล้วนะ มันก็กล้าหาญเลย ไม่หวั่นไหวต่อความเจ็บปวดทุกขเวทนาต่างๆ อย่างนี้แหละ ที่บำเพ็ญมานะ เป็นเช่นนั้น เมื่อ...ธรรมดาจิตนี่เมื่อเราเพ่งเราฝึกให้มันหนักแน่นแล้วอย่างนี้นะ มันก็เป็นบาทของวิปัสสนา คือเป็นทางที่จะให้เกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นแล้วพิจารณาทุกข์ มันก็เห็นทุกข์ได้แจ่มแจ้งอย่างนี้นะ บุคคลผู้มีใจไม่ตั้งมั่นแล้ว พอทุกข์เกิดมากระทบกระทั่งกับจิตเข้าไป จิตก็หวั่นไหวไปเลยดิ้นรนไปเลย เมื่อเป็นนี้มันจะไปรู้เท่าทุกข์ได้อย่างไรล่ะ ต้องให้เข้าใจ ผู้จะรู้เท่าทุกข์ได้ก็เพราะว่า ทำใจฝึกใจนี่ให้เข้มแข็ง ตั้งมั่นด้วยดี ไม่หวั่นไหวต่อสุขต่อทุกข์ต่อร้อนต่อหนาวอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ ต่อเจ็บปวด พอจิตไม่หวั่นไหวอย่างนั้นแล้ว มาเพ่งดูทุกข์บัดนี่ อ้าวทุกข์นี่ มันคืออะไรมันมีตัวเหรอ มันเป็นยังไงล่ะ ตัวทุกข์มันอยู่ที่ไหน หรือว่ามาเพ่งดูแล้วมันไม่เห็นสิบัดนี่ ไม่เห็นตัวทุกข์อ่ะ อ้าว เห็นอะไรเล่า ก็เห็นแต่ความรู้สึกอยู่เท่านี้เองแน่ะ คำว่าทุกข์นะได้แก่ความรู้สึก ในจิตในใจตัวนี้เอง คำว่าเจ็บแข้งเจ็บขาว่านู่นน่ะ มันก็มาเจ็บอยู่ที่จิตนี่ ความรู้สึกนี่แหละ ความรู้สึกนี่แหละ กระวนกระวายจึงว่าตนเจ็บแข้งเจ็บขา แต่ถ้าจิตนี้ไม่กระวนกระวายไม่หวั่นไหวแล้ว ไอ้คำว่าเจ็บแข้งเจ็บขาไม่มีแหละบัดนี่ มันเป็นยังงั้น ไม่มี เมื่อมาเพ่งดูแล้วอ๋อ ไอ้ความทุกข์ทั้งหลายนั่นน่ะ มันอยู่ที่จิต อยู่ที่ความรู้สึกอันนี้ เมื่อความรู้สึกอันนี้หวั่นไหวแล้ว เราก็สมมุติกันว่าเป็นทุกข์ คำว่าไม่ทุกข์นั้นหมายความว่า เมื่อความรู้สึกอันนี้ไม่หวั่นไหว มีสติ มีขันติธรรมเป็นที่อยู่ มีปัญญารอบรู้ความจริงของสังขารนั้นอยู่ ถ้าอย่างนี้นะ แล้วความรู้สึกอันนี้ไม่หวั่นไหว ทุกข์มันก็ไม่มีบัดนี้นะ นั่นแหละ ทุกข์ก็ไม่มี ไม่มีใครเป็นทุกข์ ไม่มีใครเสวยทุกข์บัดนี้นะ เพราะว่าจิตไม่เสวยแล้ว ใครจะเสวยทุกข์ล่ะบัดนี้ ไม่มีอ่ะ เนี่ยให้พากันเข้าใจ ก้เรื่องทุกข์นี่แหละมันทำให้คนเรา ดิ้นรนเดือดร้อนไปในสงสารอันนี้ เพราะรู้...ไม่รู้เท่าทุกข์ ตามเป็นจริง จิตใจจึงเหลาะแหละเหลวไหลวอกแวก ดิ้นรนไปมา เมื่อใจดิ้นรนอย่างนั้นนะ หากเวลาตายลงอย่างนี้นะ จิตนี้มันก็ ดิ้นรนไปเหมือนกับเมื่อเวลาอาศัยอยู่ในจิตนี่แหละ เพราะว่าจิตดวงเดียวนี้ มันแต่เวลายังมีชีวิตอยู่มันดิ้นรนกระวนกระวาย เอ้า เวลาตายลงจิตออกจากร่างนี้ไปแล้ว มันก็กระวนกระวายไปอย่างนั้นแหละ เรื่องของเรื่องน่ะมันเป็นอย่างนั้น มันก็กระวนกระวายไปหาที่เกิดอีกใหม่อีก เอ้า เกิดมาแล้วก็มากระวนกระวายอยู่อีก มาเดือดร้อนอีก นี่ให้สังเกตดูคนเรามันเป็นยังงั้น บางน่ะเป็นคนเจ้าทุกข์จริงๆนะ เนื่องจากว่า ทำอะไรผิดหวังก้เป็นทุกข์ เดือดร้อน โกรธให้ตัวเอง ทำอะไรผิดหวังก็เป็นทุกขืเดือดร้อน เวลามีใครมาด่ามาว่าติเตียนก็โกรธ ไม่พอใจ อันหมู่นี้ล้วนแต่เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งนั้นเลย ทุกข์ทางใจนะ อย่างนี้ เพราะฉะนั้นผู้ใดรู้อย่างนี้แล้ว ก็สอนใจเข้าไปซิบัดนี้นะ จิตใจตั้งมั่นว่างั้น ทำอะไรผิดหวังเพราะอะไร เพราะมันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงนั่นน่ะมันจึงผิดหวัง ถ้าโลกนี้มันเที่ยงแล้ว เราแสวงหาอะไรได้มาแล้วก็ ไม่แปรผันหวั่นไหว มันก็ได้ตามประสงค์ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ มันก็เที่ยงยั่งยืนซิโลกอันนี้นะ เมื่อมันเที่ยงยั่งยืนอย่าวนี้แล้วมันจะมีทุกข์มาจากไหน ทุกข์ก็ไม่มี เพราะเหตุที่ว่า มันไม่เที่ยงนั่นแหละ มันจึงได้หวั่นไหวไปมา มันจึงเป็นทุกข์อยู่อย่างนี้ สิ่งที่เราจะทำให้เที่ยงได้นั่นน่ะคือดวงจิต อันสิ่งอื่นนั้นใครจะไปดัดแปลงยังไง๊ยังไง มันก็เที่ยงไม่ได้ ขอให้เข้าใจขอให้แยกเสีย ดูให้มันเข้าใจ ดวงจิตนี้เมื่อเราภาวนาไปเท่าไหร่ เพ่งความรู้สึกอันนี้เข้าไปเท่าไหร่ สติแก่กล้าเข้าควบคุมความรู้สึกอันนี้ได้ ความรู้สึกอันนี้ไม่หวั่นไหว อิ่มต่อโลกนิวาสอันนี้ ไม่เสียใจไม่ดีใจไม่ยินดียินร้ายกับความเป็นไปของโลกอันนี้ อย่างนี้นะจิตตั้งมั่น รู้แจ้งตามเป็นจริงอยู่ได้ นี่จิตนี้ตั้งมั่นอยู่ได้บัดนี้นะ อ้า นั่นแหละเราสามารถทำให้จิตนี่เที่ยงได้ ให้เข้าใจ อ้าว มันจะไม่ขัดกับอภิธรรมที่ท่านแสดงไว้หรือ ว่าจิตเกิดจิตดับ อ้า อย่างนี้ไม่ขัดไม่ขัด ไอ้จิตในอภิธรรมนั่น ท่านอธิบายไว้ ถึงร้อยยี่สิบเอ็ดดวงนู่นน่ะ อันนั่นหมายความว่า จิตที่ไม่ตั้งมั่น จิตที่ไม่ได้อบรมและฝึกฝนให้ตั้งมั่น มันจึงได้คิดได้ปรุงแต่งกระจายออกไป เป็นหลายอาการ ในอภิธรรมพระศาสดาแสดงไว้ถึง...มากสูงสุดร้อยยี่สิบเอ็ดดวงแน่ะ นี่แหละ แล้วทีนี้เมื่อเรามาฝึกฝนจิตใจนี้เข้าไป ทำใจนี้ให้สงบลงไปละบัดนี้ แล้วสุขก็หายไป ทุกข์ขึ้นมาแทน เดี๋ยวก็ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นมาเมื่อสุขหายไปอย่างนี้นะ ไอ้สัญญานี่ก็ลองสังเกตดูซิ เดี๋ยวก็จำเรื่องนั้นหน่อยหนึ่งแล้วก็ดับไป แต่ไปจำเรื่องอื่นต่อไปอีก เดี๋ยวก็ไปจำเรื่องนั้นอีก ทิ้งเรื่องนั้นก็ไปจำเรื่องอื่นอยู่งี้นะ สัญญานะ ลองสังเกตดู มันจะเอาอะไรมาเที่ยงได้ล่ะบัดนี่ หือ สังขารความคิดความปรุงแต่งในจิตใจ มันก็ไม่เที่ยง คิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ในขณะนี้น่ะ คิดดีคิดอยากจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองต่างๆนาๆ อย่างนี้นะ หน่อยหนึ่งบัดนี้มันไปคิดถึง เอ๊ เราทำความดีไปคนนั้นน่ะมาขัดขวาง มาเบียดเบียนเรา ทำให้เราเป็นทุกข์เดือดร้อน เอ้า ใจก็แปรไปตามเรื่องอารมณอันนั้นแล้ว เกิดอกุศลจิต คิดอยากจะตอบโต้คิดอยากจะเบียดเบียนตอบคนนั้นเข้าไปแล้ว ก็เป็นทุกข์กับความคิดตนเองนั้นอีกล่ะบัดนี้นะ นี่ เนี่ยะความคิดจึงที่ว่า มันเป็นของไม่เที่ยง คิดดีแต่เสร็จแล้วก็ดับไป หน่อยหนึ่งมันึคิดชั่วขึ้นมาแล้วก็ดับไป เลยก็คิดไม่ดีไม่ชั่วขึ้นมา ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วดับไป อยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้ท่านเรียกว่าเจตสิก ในทางธรรมะนะ เจตสิก แปลว่าความคิด ไม่ใช่ดวงจิต น๊า มันคิดไปยังไงเราก็ทวนกระแสจิตกลับคืนมาไม่ใช่ อันนั้นเป็นความคิดไม่ใช่จิตใจ เกิดแล้วดับไปอย่าไปหลงว่าสำคัญว่าเป็นจิต ส่วนมากก็สำคัญว่าจิตเรามันคิดไปทางโน้นคิดไปอย่างนี้ จิตไม่อยู่ อ้า นี่ สำคัญได้อย่างนั้น มีแต่ไปกับไปไม่ทวนกระแสคืน นี่นะฟังให้ดีเน้อ อย่างงั้นแหละ สาเหตุที่มันจะเดือดร้อนล่ะ ผู้ภาวนาแล้วเมื่อรู้ว่าตนเผลอ จิตมันคิดฟุ้งไปอย่างนี้นะ รู้ตัวแล้วก็ทวนกระแสจิตคืน คือว่า ทวนความระลึกอันนั้นน่ะ คืนมาระลึกเข้ามาหาความรู้ตามเดิมนะ ไม่ไปตามความคิด หมายถึงสตินั่นแน่ะ สติย้อนระลึกเข้ามาหาจิตนี้ หาความรู้สึกนี้ หมายความว่าอย่างนั้น ไม่ระลึกไปตามอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นนั้น เมื่อทวนสติเข้ามา ระลึกเข้ามาหาความรู้สึก มาประคองความรู้สึกอันนี้อยู่แล้ว ไอ้ความคิดทั้งหมายนั้น มันก็ดับไป อ้า มันเป็นยังงั้น เรื่องมันน่ะ ความคิดเหล่านั้นก็ดับไป เมื่อความคิดต่างๆมันดับไป ความรู้สึกอันนี้มันก็อยู่เฉย มีสติประคองอยู่ เมื่อมันได้รับความสุขอันเกิดจากความสงบ นั้นอย่างนี้ มันก็เกิดปีติสิ อิ่ม...ความรู้สึกอันนี้รู้สึกว่าอิ่ม ไม่ต้องการอยากคิดไปไหนแล้วบัดนี้ว่า มันอิ่ม มันได้ความสุขแล้วนี้ มันได้ความสงบความเย็นใจแล้ว มันก็อิ่มอยู่อย่างนั้น แล้วเราก็มีสติประคอง ความรู้สึกอยู่อย่างนั้น แล้วเราทำความรู้เท่ากับปีติเข้าไปอีก ปีตินี่ก็ไทม่เที่ยง เมื่อมันเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวหนึ่งแล้ว ไปไปแล้วมันก็จางหายไป นี่เราต้องรู้เท่ารู้ล่วงหน้าไว้เลย เพราะว่าเมื่อ...เมื่อกำลังมีปีติอยู่นั้นรู้สึกว่ามันเป็นสุขสบายมาก แต่ว่าถ้าไม่รู้เท่าแล้วเมื่อเวลาปีติหายไป ไอ้จิตใจที่ว่าตนเป็นสุขสบายนั้นมันก็หายไปตามกัน น้อยใจ โอ้ ทำไมปีติมันหายไปเสียแล้ว ทำยังไงถึงจะได้กลับคืนมา ก็ไปวิตกวิจารณ์น้อยเนื้อต่ำใจอีกแล้วบัดนี้ นั่นน่ะเรียกว่าไม่รู้เท่าปีติ เมื่อเราภาวนามันเกิดปีติขึ้นมานี่ ก็เตือนตนว่าปีตินี่มันก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่เป็นของยั่งยืนนะ อย่าไปหลง เตือนตนไว้อย่างนี้แล้ว เวลามันเกิดขึ้นมามันก็ไม่หลงล่ะสิ เวลามันเสื่อมไปหายไปจิตก็ไม่เศร้าโศกเสียใจไม่น้อยเนื้อต่ำใจอะไร ก็รู้แล้วนี่ว่าปีติมันไม่เที่ยง มันเกิดแล้วมันก็ต้องดับไปแหละของมันไม่เที่ยงนะ เอ้า สิ่งใดเที่ยงล่ะทีนี้ อ้ะ ความรู้จริงสิมันเที่ยงน่ะ ความรู้จริง รู้ไม่ผิด รู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรก็รู้ตามความเป็นจริงไปหมด ความรู้จริงอย่างนั้นแล้วเกิดขึ้นมันก็ไม่หวั่นไหวสิ่งใดแล้วบัดนี้ เพราะว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยงมันก็รู้จริงตามเป็นจริงแล้วว่ามันไม่เที่ยงอย่างนี้นะ แล้วมันจะหวั่นไหวไปทำไม เอ้า รู้ว่าขันธ์ห้านี่มันเป็นทุกข์ มันทนได้ยากลำบาก ก็รู้จริงแล้วว่าขันธ์ห้านี่มันเป็นทุกข์ทนได้ยาก แล้วจะหวั่นไหวไปตามมันทำไม เพราะขันธ์ให้มันไม่ใช่ของเรานี่ นี่ปัญญาสอนจิตมันเข้าไปนะบัดนี้นะ นี่แหละ เมื่อปัญญาสอนจิตเข้าไปบ่อยๆยังงี้ จิตก็รู้ยิ่งขึ้นไปล่ะบัดนี้ รู้ยิ่งในขันธ์ห้า นี่แหละจิตที่เรา...เราฝึกให้มันเที่ยงมันยั่งยืนไว้อยู่ เมื่อมันไม่หวั่นไหวกับทุกขเวทนาต่างแล้วมันก็ตั้งมั่นอยู่ได้ อย่างนี้แหละ อะไรกระทบเข้ามากระทั่งเข้ามามันก็ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่เศร้าโศกไม่เสียใจ อันนี้ท่านเรียกว่า วิปัสสนาญาน แปลว่าความรู้แจ้งเห็นจริง หนา ให้พากันเข้าใจ แต่ถ้าหากว่า รู้ขึ้นมาเป็นบางคราวแล้วความรู้นั้นหายไป จิตหวั่นไหวขึ้นมา แสดงว่าวิปัสสนานั้นไม่แก่กล้า ต้องให้เข้าใจอย่างนี้ ต้องทำให้มากต้องเจริญให้มาก เช่นนี้แล้วก็ วิปัสสนามันแก่กล้าเข้าไปแล้ว ไอ้ความหวั่นไหวของจิตมันก็น้อยลงน้อยลง อย่างนี้นะ เมื่อรู้จริงตามเป็นจริง ในสิ่งที่เราข้องใจอยู่เราไม่รู้มาแต่ก่อน มารู้จริงตามสภาพเหล่านั้นแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนให้ผู้เจริญวิปัสสนาทั้งหลายนั่น รู้ว่า ธาตุสี่ขันธ์ห้า หรือนอกจากธาตุสี่ขันธืห้าออกไปเหล่านี้น่ะ ทรงสอนให้พิจารณารู้แจ้งตามเป็นจริง เมื่อรู้แจ้งตามเป็นจริงแล้วก็ปล่อยวางไว้ตามสภาพของมัน อย่าไปถือมั่นไว้ ไม่ใช่ว่าพระองค์สอนให้พิจารณาให้รู้แล้วยึดไว้ ไม่ใช่นะ พิจารณาให้รู้ชัดตามเป็นจริงแล้วปล่อยวาง เมื่อปล่อยวางไว้ตามสภาพ มันปล่อยวางไว้ได้จริงๆแล้ว จิตมันก็รวมลงเป็นหนึ่ง หมายความว่าความรู้สึกอันนั้นน่ะก็เป็นหนึ่ง ไม่คิดไปทางไหนแล้วบัดนี้นะ มีความรู้สึกเป็นหนึ่งอยู่อย่างนั้น มีสติคอยกำกับคอยประคองอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกเป็นหนึ่งอันนั้นมันก็รู้ยิ่งแหละบัดนี่ ท่านเรียก ญาน ญานความรู้ ก็มาจากจิตนั่นแหละ จิตรู้ยิ่ง ท่านเลยบัญญัติว่า ญาน นี่ขอให้เข้าใจ คำว่าปัญญาญานนี้หมายถึงว่า จิตนั่นแหละรู้ยิ่งเห็นจริง ในธาตุสี่ขันธ์ห้าตามความเป็นจริงแล้วไม่ถือมั่นว่าเป็นเราเป็ของของเรา นี่นะ นี่เราก็รักษาความรู้ความเห็นอันนั้นไว้ ให้นานเท่าที่จะนานได้ล่ะบัดนี้น่ะ เมื่อมันจิตรวมลงครั้งที่สองด้วยอำนาจแห่งปัญญาวิปัสสนาญานนี่ การ...การที่จิตรวมมีอยู่สองขั้น สองขั้นตอน ขั้นแรกนั่นเราจะเพ่ง ส่วนมาก ย้ำอีกทีหนึ่ง เพ่งความรู้สึกอันนั้นแหละ หายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้ เพ่งเพื่ออะไรล่ะ เพ่งเพื่อไม่ให้มันคิดไม่ให้มันปรุงแต่ง ไปตามอารมณ์ต่างๆ นี่นะ เราไม่มีทางอื่นที่จะให้จิตนั้นหยุดคิดหยุดนึกแหละ มีแต่เพ่งลูกเดียวแหละ เพ่ง...เข้าไป สติให้มันหยั่งเข้าไปถึงความรู้อันนั้นน่ะ เมื่อมันเพ่งเท่าใดสติมันก็ หยั่งเข้าไปถึงความรู้อันนั้น อย่างนี้นะ เมื่อสติหยั่งเข้าไปถึงความรู้อันนั้นแล้ว มันจะหยุดคิดทันทีนะ ให้สังเกตดู ถ้าสติยังหยั่งเข้าไม่ถึงความรู้อันนั้น มันคิดไปบ้างหยุดไปบ้าง อย่างนี้แหละ ให้สังเกตดูให้รู้ด้วยตนเอง จิตจะสงบตั้งมั่นอยู่ได้เพราะอาศัยสติโดยแท้จริง สติสำคัญมากทีเดียว สติแปลว่าความระลึกได้ คือระลึกอยู่ในแต่ในความรู้สึกอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ระลึกไปทางอื่น นี่พูดย่นๆย่อๆเข้ามาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ เอาเนื้อความมัน นี่แหละความมุ่งหมายของสมถะนะ เราเพ่งเพื่อให้ความรู้สึกนั้นมันหยุดคิด หยุดนึกไม่คิดไปทางไหนเลย มีแต่ความรู้กับสติอยู่เท่านั้นเองนะ นี่เป็นขั้นตอนหนึ่ง เราต้องฝึกให้หนักแน่น ให้สมาธินั้นมันหนักแน่นจริงๆ แล้วต่อนั้นไปจึงเจริญปัญญาวิปัสสนา ดังที่อธิบายให้ฟังมาแล้วนั้นแน่ะ เมื่อเห็นแจ้งตามเป็นจริงแล้วก้ปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วจิตมันก็รวมลง ถ้ามันวางลงแล้วจริงๆนะ ถ้ามันวางไม่ได้มันจะคิดต่อไปอีก อ้าว ถ้ามันคิดต่อไปอีกมันก็พิจารณา เรื่องที่มันสงสัยอยู่น่ะ ให้มันรู้ชัดตามเป็นจริง ให้มันรู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรปล่อยควรวางไม่ควรถือมั่น ให้มันเห็นชัดด้วยปัญญาอย่างนั้น แล้วบัดนี้มันจะปล่อยวางลง ลองดูสิบัดนี้จะปล่อยวางได้จริงๆรึ ว่ามันปล่อยวางได้จริง จิตรวมลงเป็นหนึ่งมันก็ไม่ปรุงไม่แต่งไปทางไหนล่ะบัดนี่ อ้าว มันก็มีสติกับความรู้สึกเท่านั้นตั้งเป็นหนึ่งอยู่เลย ความรู้ยิ่งอันนั้นอย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ นี่แหละขอให้พากันเข้าใจ ไอ้จิตรวมลงครั้งที่สองนะ ท่านเรียกว่าผลของวิปัสสนา หลังจากที่เราค้นคว้าเพ่งพิจารณาธาตุสี่ขันธ์ห้า ให้เห็นตามเป็นจริง แล้วจนเกิดนิพพิธาเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็วางลงไป เหมือนอย่างที่เรามีสิ่งของอันที่อยู่ในมือแล้วเป็นที่ไม่พอใจ ไม่เป็นที่ชอบใจ ของที่ควรทิ้งนี่นะ มัน...มันถือเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างว่าของที่มีกลิ่นเหม็นว่านี้นะ อ้าว ของที่ไม่มีประโยชน์อะไรมีแต่กลิ่นเหม็น ก็โยนทิ้งเท่านั้นแหละ เมื่อมันรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรมีแต่กลิ่นเหม็น เท่านั้นแล้ว อันฉันใดปัญญาวิปัสสนาก็เป็นเช่นนั้นแหละ เมื่อเรากำหนดพิจารณาธาตุสี่ขันธ์ห้าอันนี้ เพ่งอยู่ภายใน เห็นร่างกายตามสภาพความเป็นจริงแล้วบัดนี้ก็ ก็มา...กลับมาพิจารณาในปัจจุบัน พิจารณาในความรู้อันนั้นนะ แล้วเท่าที่พิจารณาดูแล้วธาตุสี่ขันธ์ห้านี้เที่ยงหรือไม่เที่ยง อ้าว ไม่เที่ยง เมื่อไม่เที่ยงเป็นทุกข์หรือว่าเป็นสุข เป็นทุกข์ซิ ทนได้ยากลำบาก เมื่อสิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นตัวตนหรือไม่ใช่ตัวตนล่ะ ไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่ามันต้องการความทุกข์ เราไม่ต้องการความทุกข์ เพราะฉะนั้นสิ่งใดยังเป็นทุกข์เราก็ไม่ถือว่าเป็นตัวตนของเรา ถ้าเช่นนั้นทำยังไง อ้าวก็ปล่อยวางตามสภาพซิ เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ของเรา บังคับไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยวางตามสภาพ อย่างนี้นะ ปัญญาสอนจิตอันนี้น่ะ เมื่อปัญญามันสอนจิตอย่างนี้ จิตรู้เห็นตามเป็นจริงตามปัญญาแล้วมันก็ปลง มันก็วางลงได้ ก็ไม่ยินดียินร้ายกับขันธ์ห้านั้น อันนี้แหละท่านเรียกว่าวิปัสสนา ให้พากันเข้าใจ ในการเจริญวัปัสสนานี้ต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าเรายังเจริญสมาธิไม่เพียงพอ จิตสงบยังไม่แน่วแน่พอ ก็อย่าเพิ่งไปเจริญวิปัสสนา นี่นะ ให้เข้าใจ พยายามทำใจสงบเสียก่อน พยายามทำใจให้หนักแน่น ให้ตั้งมั่นด้วยดีแล้ว รู้ว่าใจตั้งมั่นด้วยดีแล้วนะบัดนี่ ไม่ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไปกับอารมณ์ใดๆแล้วบัดนี้ ก็จึงค่อยเจริญปัญญาจีงค่อยคิดจึงค่อยพิจารณา ให้รู้ความจริงของธาตุสี่ขันธ์ห้านี้ พร้อมทั้งเหตุทั้งผล ดังที่เคยเทศน์ให้ฟังมาแล้วนั่นแหละ เข้าใจว่าผู้ฟัง มัน...มันหลายเน๊าะ...มันหลายเรื่องก็อาจจะจำไม่ได้ ต้องทบทวนอีก ธาตุสี่ขันธ์ห้านี้เกิดมาจากบุญจากกรรม จากบุญจากบาปที่ตนทำเอามาแต่ชาติก่อน อย่าไปลืมข้อนี้ก็ดี แล้วบุญกรรมบาปกรรมที่นำจิตวิญญาณมาอาศัยธาตุของมารดาบิดา มาตกแต่งให้เป็นรูปเป็นกายขึ้นมานี่ บุญกรรมบาปกรรมอันนั้นก็ไม่เที่ยง นี่นะ ต้องให้รู้ ทำไมจึงว่ามันไม่เที่ยง ก็ไม่เที่ยงซี่  เมื่อมันตกแต่งให้เกิดเป็นรูปเป็นกายขึ้นมาแล้ว มันก็รักษาอยู่เย็นเป็นสุขมาโดยลำดับๆ ต่อไปแล้วมันก็ร่อยหลอลง มันก็น้อยลงๆน้อยลงแล้ว บุญและบาปกรรมนั้นนะ เมื่อบุญมันน้อยลงๆ ร่างกายมันก็ทรุดโทรมลงไป เราเรียกว่า คนแก่คนชรานี่นะ ที่เรียกว่าบุญมันน้อยลงนั่นนะ ไอ้ร่างกายที่มันทรุดโทรมลงไปนี่น่ะ ให้เข้าใจ เมื่อไปๆแล้วบุญมันหมดลงแล้วบัดนี้ก็ ร่างกายนี้มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ลมหายใจนี้มันก็หยุดเลย เมื่อบุยหมดแล้วลมหายใจก็หมดไปพร้อมกัน จิตวิญญาณก้อาศัยอบู่ในร่างนี้ไม่ได้ นี่แหละปัจจัยของธาตุสี่ขันธืห้าอันรวมเรียกว่า ร่างกาย หรือรวมเรียกว่า คน นี่นะ เราก็ต้องเจริญปัญญาและพิจารณาค้นคว้าหาเหตุปัจจัยของชีวิตอย่างดังกล่าวมานี้ให้ได้ แล้วเราจะได้รู้ว่า ขันธ์ทั้งห้าอันนี้น่ะ มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนก็เพราะว่าเหตุปัจจัยที่ตกแต่งขันธ์ห้านี้ไม่เที่ยง อย่างนี้เราจะได้รู้ซี่ เราจะไม่สงสัยว่า ทำไมธาตุสี่ขันธ์ห้านี้มันจึงไม่เที่ยง เราจะไม่ได้สงสัยหมายความว่าอย่างนั้น เราจะสงสัยอะไรเรารู้ชัดแล้ว อ๋อ หมดบุญแล้วก็ตายรูปอันนี้ คนเรานี้มันอยู่ไม่ได้แล้วอย่างนี้นะ ดังนั้นเราก็รู้เท่าไว้ เตรียมตัวไว้เสมอ ว่าบุญนี้มันจะหมดลงได้ ไม่มีใครมาบอกกล่าวให้รู้ได้อย่างนี้แหละ ดังนั้น เราจึงเตรียมตัวไว้เสมอๆ สร้างที่พึ่งไว้ในใจ สร้างบุญสร้างคุณไว้ในใจ สร้างสติปัญญา ในทางธรรมนี่ ให้เกิดขึ้นไว้ในใจ สร้างปัญญาความรู้เท่าสังขารนามรูปตามเป็นจริง อย่างที่ว่ามาแล้วนั่นแหละ เมื่อปัญญาเกิดขึ้นมันรู้เท่าแล้วก็มันก็ไม่เป็นทุกข์สิใจนะ ปัญญาสอนใจให้รู้จริงตามเป็นจริงในขันธ์ห้าแล้ว ใจก็ไม่เป็นทุกข์แล้วเดือดร้อนแล้วทีนี้ ขันธ์นี่ตะโกนไปมันจะแตกจะดับก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ช่างมัน เอ้า แตกก็แตกไป ดับก็ดับไป เพราะเรารู้แล้วว่าไม่ใช่ของเรา บุญกรรมบาปกรรมตกแต่งธาตุของบิดามารดาให้เกิดมาก็ไม่ใช่ธาตุ ไม่ใช่อย่างอื่นใด ก็ธาตุดินธาตุน้ำนั่นแหละ แล้วธาตุไฟธาตุลมก็มาทีหลัง เมื่อบุญกรรมตกแต่งธาตุดินธาตุน้ำประกอบกันเข้าได้ส่วน ธาตุไฟธาตุลมก็มาเข้า บัดนี้วิญญาณจิตวิญญาณก็เข้าอาศัยได้ เมื่อวิญญาณเข้าอาศัยได้บุยกรรมก็ แต่งอวัยวะน้อยใหญ่ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย มือ เท้า ต่างๆ อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆหมู่นี้ เอ้า บุญกรรมก็ตกแต่ง ธาตุของบิดามารดานั่นแหละ ให้เจริญขึ้นไปโดยลำดับ เด็กที่นอนอยู่ในท้องของมารดา อ้ามันก็...มันก็เล็กว่างั้นเถอะ มันไม่ใหญ่แต่ว่ามันมีอวัยวะครบถ้วน เมื่ออยู่ใดถึงเก้าเดือนแล้วมันก็คลอดออกมา จึงได้เลี้ยงดูปูเสื่อกัน รูปกายอันนี้จึงเจริญขึ้นมาโดยลำดับ อาศัยบุยกุศลตามรักษา ไม่ให้มีความวิบัติ ไม่ให้แตกดับทำลายเสียก่อน นี่นะ เมื่อหมดบุยหมดกรรมอันนี้แล้ว ทนอยู่ไม่ได้ เราจะไปหาหมอมนต์กลคาถา หมอผีหมอสาง สะเดาะเคราะห์ผูกดวง อ้อนวอนบวงสรวงเทวดาอินทร์พรหมยังไงก็ไม่ไหว อ้า เทวดาอินทร์พรหมก็ช่วยไม่ได้ เอ้า จะช่วยได้ยังไง เทวดาไม่ได้มาแต่งรูปอันนี้นิ อินทร์พรหมก็ไม่ได้มาแต่งรูปอันนี้นะ บุญกรรมต่างหากนิมาแต่งรูปอันนี้ให้นะ เฮ้อ แต่งธาตุดินน้ำไฟลมให้ มีรูปร่างลักษณะขึ้นมาอย่างนี้ ให้เรามาสมมุติกันว่าเป็นคนน่ะ ดังนั้นเมื่อหมดบุญหมดกรรมอันนั้นลงไปแล้ว รูปอันนี้มันก็แตกดับลงเท่านั้นแหละ ถ้าจะอุปมาให้เห็นง่ายแล้วก็ คือร่างกายนี้อาศัยอาหารเนี่ย อาศัยข้าวน้ำอย่างนี้นะ เราก็หล่อเลี้ยงมันอยู่ทุกวันทุกวัน ร่างกายอันนี้จึงเป็นอยู่ไปได้ แล้วพองดไม่รับประทานอาหาร ไม่รับประทานข้าวน้ำลงไปแล้วบัดนี้น่ะ เอ้อ ร่างกายอันนี่มันก็ซูบซีดลงไป เพราะไม่มีสิ่งหล่อเลี้ยงมัน เมื่อมันทนไม่ไหวแล้วมันไม่มีอาหารลหล่อเลี้ยง มันก็แตกดับทำลายลง อันนี้บุคคลผู้ทุกข์โทมนัสน้อยใจอะไรขึ้นมาแล้ว มาอดข้าวไม่รับประทานอาหารไม่รับประทานน้ำอะไรอย่างนี้นะ นี่เรียกว่าฆ่าตัวตาย มันก็เป็นบาปเป็นกรรมแล้ว นี่มันเป็นยังงั้น ทีนี้ถ้าหากว่าบุคคลผู้นั้นรักษาจิตใจของตน ภาวนาเจริญสมถะวิปัสสนา ใจตั้งมั่นมีสติมีปัญญา รู้จริงตามเป็นจริงเหตุปัจจัยแห่งสังขารทั้งปวงเหล่านี้แล้ว ไม่มีความทุกข์โทมนัสคับแค้นอะไร มันก็จะไม่อดข้าวตายล่ะ จะไปอดให้มัน...อ้า ลำบากทำไมล่ะ แล้วกฏธรรมดาไม่มีอย่างนั้นบัดนี่ นั่นแน่ะ ผู้มีจิตใจตั้งมั่นอยู่ในธรรมมีกุศลธรรมเป็นเครื่องอยู่ สลายใจแล้วถึงร่างกายนี้มันจะวิบัติแปรปรวนอย่างไร จิตใจมันก็ไม่เป็นทุกข์เดือดร้อนไม่เศร้าโศก แล้วจะไปฆ่าตัวตายทำไมบัดนี้นะ คนที่คิดฆ่าตัวตายแน่ะคนจิตใจมัวหมองคับแค้นนะ แน่นอุราหาความสบายไม่ได้เลยในโลกอันนี้ ก็เราอยู่ไปก็อยู่ไม่ไหวหรอกโลกอันนี้ คับแคบเหลือเกิน คับแค้นใจเหลือเกิน แน่ะ อย่างนี้นะ อย่างพวกนักการเมืองไปอดข้าวประท้วงการเมืองอย่างนี้นะ แสดงว่า ตนคิดว่าอยากจะให้การเมืองเป็นไปอย่างนั้นอย่างนั้น แล้วบัดนี้เมื่อมันไม่เป็นไปตามใจหวังแล้วก็เอาแล้ว เกิดทุกข์โทมนัสขึ้นมา ไม่มีทางอื่น เราจะไปปราบปรามคนอื่นก็ไม่ได้ล่ะบัดนี่ ก็เลยอดข้าวประท้วงเอา บางทีเขาเมตตาเขาก็จะ เอ้อ ดำเนินการเมืองให้เป็นไปตามจุดประสงค์ของตนน่ะ คือเมื่อเขาไม่ดำเนินไปตามแล้วตนก็ตายเสียเปล่า เอ้อ มันเป็นยังงั้น นั่นคนขาดปัญญา คนไม่ได้ภาวนาให้ใจสงบเป็นสมาธิ คนไม่ได้เจริญปัญญา ไม่รู้แจ้งเหตุปัจจัยของชีวิตตามเป็นจริง เหตุนั้นจึงได้ทำลายตัวเองเสีย แทนที่จะบำรุงร่างกายอันนี้ไว้ เพื่อให้ได้สั่งสมบุญกุศล ให้ได้เจริญสมถะวิปัสสนา อบรมจิตใจให้หลุดจากกิเลสอันเป็นเหตุแห่งทุกข์นี่ เอ้าก็ไม่เอาเสีย ไม่ทำ แล้วก็ไปทำลายตัวเองให้ตายไป นึกว่าตายไปในโลกหน้าแล้วจะสบาย มันจะสบายได้อย่างไร จิตดวงเดียวนี่นะ เมื่อเป็นทุกข์อยู่ในโลกนี้แล้ว ตายไปสู่โลกหน้าก็เป็นทุกข์ไปเหมือนเดิมนั่นแหละ มันจะเป็นสุขไปได้ยังไง มันคนเราจะเป็นสุขได้มันต้องมีเหตุปัจจัยนำให้เป็นสุขซี่  มันต้องมีบุญกุศลซี่ นั่นแหละ บุญกุศลนั่นแหละทำให้จิตใจเรามีความสุขไปโลกหน้านะ บาปนั่นก็มีแต่นำจิตให้เป็นทุกข์เดือดร้อนไปโลกหน้า เท่านั้นเองนะ อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้นทุกคนให้เข้าใจไว้ ถึงแม้ว่าตนจะประสพภัยวิบัติอย่างไรอย่างไรแรงกล้าหรือว่าอย่างไรก็ตามแหละ ความวิบัติทางร่างกายอย่างนี้นะ เช่นเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างนี้ เอ้า ก็อย่าไปคิดฆ่าตัวตาย อย่าไปโทมนัสอย่าไปคับแค้นใจ ก็อย่างที่ว่านั่นน่ะ ผู้ที่ไม่ได้ภาวนามันก็คับแค้นแหละ มันถือว่าตัวว่าตนนิ เมื่อผิดหวังมันเข้าแล้วก็เอาแล้ว เมื่อผู้ใดได้ภาวนาอย่างที่แนะนำมานี่รับรองว่า ไม่ฆ่าตัวตาย แล้วก้ไม่เป็นทุกข์เป็นโศกด้วย แม้ร่างกายจะวิบัติแปรปรวนไปยังไงจิตจะไม่แปรปรวนไปตามเลย จิตก็อยู่กับจิต คสามรู้ก้อยู่กับความรู้นะ เอาสติเข้าไปควบคุมอยู่ตลอดเวลา แล้วร่างกายนี้จะเป็นไปยังไง ผุ้ภาวนาจะมีนิมิตอะไรจะมีเสียงมีรูปอะไรปรากฏ ก็ไม่ส่งไปตามมัน ไม่หวั่นไหวตามมัน มีแต่สอนใจตัวเองว่า สิ่งที่รู้ที่เห็นที่ได้ยินล้วนแต่ ไม่เที่ยงเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เราไม่ใช่เขาใช้ปัญญาสอนใจตัวเองเรื่อยไป ทวนกระแสจิตกลับเข้ามาเรื่อนยๆอย่าส่งไปตามเสียงอย่าส่งไปตามรูปเหล่านั้น อ้าว ลองทำดูซิ
ผู้ใดเป็นผู้เห็นทุกข์เห็นภัยในสงสาร อยากจะพ้นทุกข์ไปโดยเร็ว ก็เข้ามารวมกันในที่นี้ เข้ามาปฏิบัติตามระเบียบ ของคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนยังไงเราก็ปฏิบัติไปตามยังงั้น เช่นรักษาศีลอย่างนี้ก็หมายความว่า รักษากายรักษาวาจาไม่ให้ล่วงละเมิดในสิกขาบท ที่ได้สมาทานแล้ว มีสติสัมปะชัญญะคอยระมัดระวังอยู่เสมอ พูดแต่ในสิ่งที่ควรพูด สิ่งใดที่ไม่ควรพูดก็นิ่งเสียเลยดีกว่า นี่เรียกว่ารักษาศีล บำเพ็ญสมาธิเราก็อย่างว่าน่ะ ถึงเวลาก็นั่งสมาธิลงไป เพ่งจิตให้เข้าถึงความสงบลงไป แหละที่เราทำอย่างนี้น่ะ การทำสมาธิลงไป อานุภาพแห่งสมาธินี่ มันจะไปทับกิเลสอันมันนอนเนื่องอยู่ในจิตใจนั้น กิเลสเหล่านั้นทนอยู่ไม่ไหว มันก็ถอนตัวออกไป ที่กิเลสบางอย่างมันรุนแรงมาก มันถอนตัวออกไปมันก็แสดงเป็นนิมิต เป็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวต่างๆ รูปคนบ้างรูปสัตว์บ้าง แล้วแสดงเสียงที่น่ากลัวต่างๆปรากฏออกไป อันนี้ท่านเรียกว่าอุคหนิมิต แปลว่านิมิตติดตา  พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เท่านิมิตเหล่านั้น เมื่อมันทานต่ออำนาจแห่งสมาธิไม่ได้มันก็ ถอนตัวออกไป บัดนี้ปัญญาก็ตามรู้เท่าบัดนี่ ว่านิมิตต่างๆเหล่านั้นมันก็เป็นสังขารธรรมประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่หน่อยหนึ่งก็ดับไป ไม่มีแก่นสารอะไรไม่ได้ธรรมวิเศษอะไร ปัญญาจะกำหนดรู้เท่าอย่างนี้ แล้วก็ไปสำรวมจิตอยู่ภายในไม่หวั่นไหว ไม่ส่งไปตามนิมิตนั้นๆ ไม่นานนิมิตนั้นมันก็ดับไป อย่างนี้นะ เมื่อนิมิตทั้งหลายดับไปแล้วจิตก็เบิกบาน ผ่องใส จิตก็รวมลงแน่วแน่ แต่ถ้าหากว่า ไม่รู้เท่านิมิตนั้น เมื่อนิมิตนั้นเกิดขึ้นแล้ว ส่งใจไปตาม ถ้านิมิตที่น่ากลัว ก็ตกใจ จิตก้ถอนจากสมาธิ ก้เป็นสมาธิไม่ได้ ถ้าเป็นนิมิตสวยๆงามๆน่ารักน่าใคร่ ก็เกิดความรักความใคร่ เพลิดเพลินไปตามนิมิตนั้นเสีย จิตก็สงบไม่ได้ นี่เรียกว่าไม่รู้เท่านิมิต อ้า เป็นยังงั้น เพราะฉะนั้นต้องให้รู้ไว้ทั้งส่วนดีและส่วนชั่วนิมิตทั้งหลายนั่น  ถ้ามันเกิดมีขึ้นมายังงี้ ก็จะได้รู้เท่าตามเป็นจริง ไม่ยึดไม่ถือ แล้วมันก็ดับไปเอง มันเป็นยังงั้น แต่บางคนก็ไม่มีดอก นิมิตเหล่านั้นน่ะ ไม่เป็น ก็ตามอัธยาศัยของใครของเรา ไม่ใช่ว่าจะเป็นเหมือนกันทั้งหมดหามิได้ ถึงไม่เห็นนิมิตเหล่านั้นบางคนก็หงอยเหงา จืดชืดก็ว่า การภาวนาไม่เห็นนิมิตอะไรเลยนี่ มันทำให้เบื่อหน่าย อันนั้นก็ไม่ถูกต้อง เมื่อไม่เห็นนิมิตเช่นนั้น เราก็เอาร่างกายนี่แหละเป็นนิมิต ร่างกายนี้ประกอบไปด้วยธาตุสี่ดินน้ำไฟลม นี่ถ้าเราเพ่งลมหายใจเข้าหายใจออกนี่เป็นอารมณ์อยู่อย่างนี้นะ มันก็เป็นนิมิตประเภทหนึ่ง นี่น่ะ ให้เข้าใจ เรากำหนดรู้ลมเข้าลมออกได้เดี๋ยวนี้ก็เท่ากับว่ากำหนดรู้นิมิต เราภาวนาคราวนี้เอาเอาลมเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย จิตใจกำหนดรู้อยู่แต่ลมเข้าลมออก  เช่นนี้มันก็ไม่ได้คิดฟุ้งซ่านปทางอื่นเลย ถ้าเผลอสติเข้าไปมันก็คิด เอ้า ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออกใหม่ อย่างนี้นะ ก็กำหนดพยายามอย่าให้มันเผลออย่างนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อไม่...มันไม่เผลอแล้วบัดนี้ จิตใจที่ถูกประคับประคอบอยู่ ด้วยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก มันก็ไม่มีโอกาสที่จะได้คิดไปทางอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้มันก็รวมลงไป อย่างนี้นะ จิตนี่มันก็รวมลงไปได้เป็นหนึ่งลงไป อื้อ เรื่องภาวนานี่ขออย่าไป หนีหลัก คือ สติสัมปะชัญญะ คุณธรรมสองอย่างนี่เป็นอุปการะแก่การสมาธิภาวนา ตลอดถึงการเจริญวิปัสสนา มันก็ต้องมีสติสัมปะชัญญะนี้กำกับทุกระยะไปเลย ไอ้ความคิดการคิดการพิจารณามันจะรู้แจ้งไปได้ก็เพราะอาศัยสติสัมปะชัญญะนี้กำหนดรู้ รู้จิตตัวเองหมายความว่าอย่างนั้นแหละ  ประคองจิตนี้ไว้ไม่ให้มันหันเหไปนอกทาง เหตุนั้นมันจึงได้รู้แจ้งไปตามเป็นจริง เมื่อเราพิจารณาสิ่งใดนี้ก็ให้รู้สิ่งนั้นไปตลอดสายเลย ให้รู้ความจริงของสิ่งนั้นไปตลอด เมื่อเห็นจริงตามเป็นจริงด้วยปัญญาแล้ว ก้ปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดถือ คือการที่เราหยิบยกเอามาพิจารณานั่นน่ะ ก็เพราะบางทีจิตใจมันสงสัยอยู่ หลงยึดหลงถืออยู่ ดังนั้นแหละจึงหยิบยกมาพิจารณาตีแผ่ออกดูล่ะ เช่นรูปร่างกายอันนี้ ที่สมมุติกันว่าเราว่าเขา ว่าตัวว่าตนอยู่ในโลกอันนี้น่ะ มันเป็นของเราจริงๆหรือ อย่างนี้นะ เมื่อเราเพ่งพิจารณาแยกแยะออกไปดูแล้ว มันก็...มันไม่เห็นมีเขามีเรามีตัวมีตนอยู่ที่ไหนล่ะ  กองนั้นก็ธาตุดิน กองนั้นก็ธาตุน้ำ กองนั้นก็ธาตุไฟ กองนี้ก็ธาตุลม แล้วอย่างนี้หาตัวไม่เจอแล้ว เป็นแต่สภาวะธาตุอยู่เฉยๆ ดังนั้นนะ เมื่อเราพิจารณาเป็นกองๆไปเห็นตามเป็นจริง อย่างนั้นแล้วเมื่อเราเห็นว่าไม่ใช่ของเราแล้วก็วางสิ บัดนี้นะ จะไปถือไว้ทำไมล่ะ ก็การถือเอาธาตุอันนี้ไว้ อย่างนั้นก็หมายความว่า เราไปถือเอาของไม่เที่ยง.........

(จาก เสียงธรรมออนไลน์ หลวงปู่เหรียญ---http://www.fungdham.com/sound/rein.html)