แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน
อ.เมือง จ.นครราชสีมา
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ณ โอกาสต่อไปนี้ เป็นโอกาสที่จะได้บรรยายธรรม และจะได้ฟังธรรม
ตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา หรือคำสอนของศาสดาซึ่งเป็นเจ้าของศาสนา ธรรมะที่จะออกสู่ท่านทั้งหลาย
ในวันนี้ใคร่ที่จะขอแจ้งเกี่ยวกับเรื่องธรรมะอันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตประจำวัน
ในฐานะที่เราเป็นผู้นับถือในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา
เราอาจจะเข้าใจคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีพอสมควร แต่บางทีเราอาจจะสงสัยแคลงใจว่า
ทั้งๆที่เรารู้ๆนั่นแหละ แล้วเราจะเอาธรรมะข้อไหน
มาปฏิบัติเพื่อจะให้ได้ชีวิต...ให้ได้ประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง
ดังนั้นก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับท่านผู้ฟังก่อนว่า
พระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสอนให้เราสร้างความรักความเมตตาปราณี
อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องทำความเข้าใจ ในเมื่อเราเข้าใจในพุทธประสงค์
ว่าพระพุทธองค์สอนให้เราสร้างความรักความเมตตาปราณี
เมื่อเราคิดว่าจะสร้างความรักความเมตตาปราณี ตามพระโอวาทของพระพุทธองค์
เราจะยึดเอาธรรมะข้อไหนเป็นหลักในการปฏิบัติ
หลักธรรมะที่เราจะต้องยึดเป็นหลักปฏิบัติในเบื้องต้น
ก็คือคำสั่งของพระพุทธองค์มีอยู่ 5 ประการ ทุกๆครั้งที่ชาวพุทธเราประกอบกองการกุศล
จะให้ทานจะฟังเทศน์ต้องสมาทานศีล ทีนี้ก่อนหน้าที่เราจะได้สมาทานศีล 5 ข้อ
เราจะต้องปฏิญญานตนถึง ผู้เป็นพระบรมศาสดาก่อน โดยเราปฏิญญานตนว่า พุทธัง สะระณัง
คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็น สรณะที่พึ่งที่ระลึก
ซึ่งในขณะที่เรากล่าวคำปฏิญญานตนจนถึงพระองค์ว่าเป็นสรณะ
ถ้าสมมุติว่าพระพุทธองค์มาประทับนั่งอยู่ต่อหน้าเรา หรือหากพระพุทธเจ้าท่านพูดได้
บางทีท่านอาจจะถามเราว่า จะเอาจริงหรือ
จะยึดเราเป็นเป็นศาสดาเป็นครูสอนเป็นสรณะจริงหรือ ถ้าเราตอบว่าเอาจริงพระเจ้าค่ะ
ถ้าจะเอาจริงแล้วปฏิบัติตามคำสั่งของเราได้ไหม คำสั่งของพระองค์ท่านคืออะไร
คำสั่งของเราก็คือศีล 5 ข้อ ที่ได้สมาทานไปแล้วนั่นอย่างไร
ถ้าพอได้ยินแล้วท่านผู้ใดว่าไม่ไหวแล้วปฏิบัติไม่ได้
พระองค์ก็จะบอกว่าช่วยไม่ได้เหมือนกัน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า
หลักที่เราจะยึดเป็นหลักปฏิบัติเอาดีกับพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ก็คือศีล 5
ข้อเท่านั้น เพราะศีล 5 ข้อนี้มันเป็นคุณธรรมที่เป็นแนวทาง ที่ให้เราสร้างความรัก
ในเมื่อเรามีศีล 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็มีแต่ความรัก
ความรักเมื่อมันละเอียดอ่อนลงไปมันก็กลายเป็นความเมตตาปราณี หนักใจไหม ประการที่เราจะมารักษาศีล
5 นี่หนักใจหรือเปล่า ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าหนักใจ
ถ้าหากว่าท่านผู้ใด มีความจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ประกอบอาหารเลี้ยงชีวิตตามปกติ ก็เชิญตามสบาย แต่ถ้าอยากจะมีศีล 5 กับเขา
หรืออยากจะปฏิบัติศีล 5 เพื่อเป็นมูลฐานสำหรับสร้างความรักความเมตตา
ก็ให้ตั้งใจให้แน่วแน่ว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้น จะไม่ฆ่าไม่เบียดเบียนไม่ข่มเหงไม่รังแกไม่อิจฉาตาร้อน
ใครมีความจำเป็นจะต้องฆ่าสัตว์ประกอบอาหารเลี้ยงชีวิต เชิญตามสบาย
แต่ว่ามนุษย์อย่าไปแตะต้อง
ให้เราพยายามสร้างความรักความเมตตาปราณีในมนุษย์ให้มันสมบูรณ์เพียงพอ
ตามธรรมดาการสร้างคุณงามความดี ถ้าเราสร้างก็อยู่ไม่หยุดไม่หย่อน
มันจะเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกทีทุกที
เมื่อพลังแห่งความดีมันพร้อมมันจะแผ่คลุมไปถึงสัตว์เดรัจฉานเอง
แล้วในที่สุดสัตว์เดรัจฉานเราก็จะฆ่าไม่ได้ เอากันอย่างนี้ดีกว่า ดีกว่าท่านที่จะไปคิดว่าไม่ไหวไม่ไหวท่าเดียว
ทำไมเล่าเราจึงจำเป็นต้องรักษาศีล 5 ในระดับมนุษย์ เพราะศีล 5 เป็นกฎหมายปกครองบ้านเมือง
ท่านผู้รู้ทั้งหลายลองพิจารณาดูให้ดีก็แล้วกัน ในเมื่อเรามีศีล 5 แล้ว
มันจะเป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม ป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน
จริงหรือไม่จริง ลองพิจารณาดู ทีนี้การฆ่ามันผิดศีล 5 ข้อไหน ผิดข้อปาณาติบาต
ในเมื่อเรางดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียนการข่มเหงรังแก อิจฉาริษยา
มันก็เป็นคุณธรรมที่ทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขสงบ ประการแรก ศีล 5
เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม ป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน ข้อที่
2 เป็นคุณธรรมตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม ข้อที่ 3 บั่นทอนกำลังกิเลสโลภโกรธหลงในฝ่ายชั่วให้น้อยลงหรือหมดไป
ข้อที่ 4 ปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ ข้อที่ 5
เป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม ข้อที่ 6
เป็นคุณธรรมที่เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เพราะว่าหัวใจของประชาธิปไตยนั้นอยู่ที่การเคารพสิทธิมนุษย์ชน ผู้ที่มีศีล 5
ย่อมเคารพหมดทุกสิทธิ สิทธิในการดำรงชีพอยู่ สิทธิในการครอบครองทรัพย์สมบัติ
สิทธิในคู่ครองและบุคคลผู้ต้องห้าม และสิทธิอื่นๆครอบจักรวาลไปหมด
เพราะฉะนั้นการทำผิดศีล 5 ข้อใดข้อหนึ่งนั้น อยู่ในข่ายแห่งโทษอาญาทั้งนั้น
เช่นอย่างการฆ่า ฆ่ามนุษยืผิดกฎหมายอาญา ฆั่สตว์ที่เขาเลี้ยงมีเจ้าของ
ผิดกฎหมายอาญา การลักขโมยก็ผิดกฎหมายอาญา
ล่วงละเมิดประเวณีของกันและกันก็ผิดกฎหมายอาญา โกหกหลอกลวงก้ผิดกฎหมายอาญา
ต้มเหล้าเถื่อนก็ผิดกฎหมายอาญา เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามาพิจารณาให้ซึ้งแล้ว
กฎหมายปกครองบ้านเมืองเรานี่ ถ้าเรามายึดศีล 5 เป็นหลักปฏิบัติ
ดำเนินตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราจะได้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ อันนี้คือประโยชน์ของการรักษาศีล
5 ที่เราจะพึงได้ในปัจจุบัน สีเลนะ สุคติง ยันติ รักษาศีลแล้วไปสู่สุขคติ ทีนี้พอเรา...ถ้าเราได้ยินคำว่ารักษาศีลแล้วไปสู่สุขคติ
จิตใจเรามักจะมุ่งถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
แต่เราลืมนึกถึงผลประโยชน์ที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าเราควรจะได้อะไร สีเลนะ สุคติง
ยันติ สุ แปลว่าดีงามได้ ถ้า ติ แปลว่าทางเดินหรือทางดำเนิน ยันติ แปลว่า ไป
เพราะฉะนั้นผู้มีศีลจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มี สุคติง ยันติ เพราะอะไร เพราะผู้มีศีล
ไปก็ไปดี มาก็มาดี อยู่ก็อยู่ดี ไปที่ไหนอยู่ที่ไหน ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ที่นั่น
เวลาอยู่ก็มีผู้ยินดี หนีไปก็มีผู้อาลัยคิดถึง อันนี่คือ สีเลนะ สุคติง ยันติ เรื่องสวรรค์เอาไว้คุยกันทีหลัง
เอากันในปัจจุบันที่เรามองเห็นกันได้ชัดๆนี้ เราจะมองเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการรักษาศีล
สีเลนะ โภคสัมปะทา รักษาศีลจะถึงพร้อมด้วยโภคะสมบัติก็เพราะศีล
เนื่องจากการทำความเข้าใจในหลักคำสอนไม่กระจ่าง เราจึงไปเข้าใจว่า
ใครรักษาศีลแล้วทรัพย์สมบัติไหลมาเทมา ไม่ต้องทำอะไรก็มีทรัพย์สมบัติมีอยู่มีทาน
ไปเข้าใจกันซะยังงั้น ทีนี้ สีเลนะ โภคสัมปะทา ตามความหมาย ถ้ามีศีลแล้วทรัพย์สมบัติใครมีอะไรแล้วไปวางไว้ที่ไหน
มันก็ไม่เกิดภัยอันตราย โจรผู้ร้ายก็ไม่มี ไม่มีใครลักฉก ทรัพย์สมบัติไม่เสียหาย
มันก็ถึงพร้อม มีเท่าไหร่ก็มีอยู่เท่านั้น นอกจากตัวเองจะนำไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
ส่วนโจรขโมยที่จะมาจี้ปล้นฉกทรัพย์นั้นไม่มี
เพราะเรามีศีลเป็นเครื่องประกันความปลอดภัย สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
มีศีลแล้วถึงซึ่งความดับสนิท แต่นักศึกษาธรรมะทั้งหลายนี่ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ
จะถึงการดับการนิ่งคือพระนิพพานก็เพราะศีล ทีนี้เมื่อเราฟังแล้ว
เพียงแต่ฟังคำว่านิพพานเท่านั้น เราก็ท้อใจซะแล้ว
หรือบางทีเราอาจจะนึกสนุกนึกในใจว่าเรายังนึกอยากจะสนุกอยู่ในโลกนี้
เรายังไม่อยากไปพระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่พอใจที่จะปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจเสียว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ
ความผูกพยาบาทอาฆาตเคียดแค้นจองล้างจองผลาญจองเวรซึ่งกันและกัน
มันจะสลัดมันจะดับสนิทลงไปได้ก็เพราะอำนาจของศีล หมายถึงว่าเราเอง
ไม่ได้ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ไปทุบไปตีใคร ไม่ได้ไปด่าใคร
ไม่ได้ไปลักฉกทรัพย์สมบัติของใคร ไม่ได้ไปจี้ปล้นฉ้อโกงใคร
เราก็มีความอบอุ่นใจเพราะเรามีศีล
ความอบอุ่นใจนั่นแหละคือยถานะธรรมเครื่องอยู่ของใจ เมื่อใจมีที่อยู่ที่อาศัย
มีความอบอุ่นเพราะคุณธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดับ
ดับภัยดับเวรดับการพยาบาทอาฆาตเคียดแค้น สังคมของเราบ้านเมืองของเราก็จะพากันอยู่เย็นเป็นสุข
เพราะอำนาจของศีล อันนี้คือการรักษาศีล 5 เพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นขอให้ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
ได้โปรดกรุณาพิจารณาให้มันซึ้งๆเกี่ยวกับการเรียนการปฏิบัติธรรมะ
พุทธบริษัทในเมืองไทยเรานี่ บางท่านก็ยังเข้าใจผิดในคำสอนของพระพุทธองค์ เช่น
บางท่านได้กล่าวว่า ธรรมะบางข้อในทางพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ก็ไม่ควรนำมาสอนชาวบ้าน
เพราะจะทำให้ชาวบ้านทั้งหลาย ขี้เกียจงอมืองอเท้า เช่น คำว่า สันโดษมักน้อยเป็นต้น
อันนี้เราก็ตีความหมายสันโดษมักน้อยผิดไป แต่ส่วนใหญ่เรามักจะพูดเตลิดไปถึงว่า
พอพูดถึงสันโดษแล้วเราก็จะเตลิดไปถึงคำว่ามักน้อย
แต่ความจริงคำว่าสันโดษกับมักน้อยมันคนละอัน ไม่ใช่อันเดียวกัน สันโดษแปลว่าความพอ
พอเรานี่ต้องทำความเข้าใจกันอีก พอในสิ่งที่เรามีอยู่
หมายถึงสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ท่านหมายถึงพออย่างนี้
ทีนี้สิ่งที่เรามีอยู่ทรัพย์สมบัติ วิชาความรู้ความสามารถ สมรรถภาพในการทำงาน ท่านจึงมีการจำแนกคำว่าสันโดษเอาไว้ว่า ยะถา พละ
สันโดษ พอใจตามกำลังของตนเอง ยะถา สัททาระ สันโดษ พอใจในสามีภรรยาของตนเอง ที่นี่
ยะถา พละ สันโดษ นี่ก็ควรจะทำความเข้าใจ พละ แปลว่ากำลัง กำลังแห่งความรู้
กำลังแห่งความสามารถ ความสามารถของเรามีเพียงใดแค่ไหน
เราจะแสดงออกมาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์มากน้อยเพียงใด
แต่การแสวงหาของเรานั้นไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย มันไม่ได้ผิดสันโดษ
เพราะฉะนั้นจึงขอย้อนกลับไปกล่าวถึง ข้อที่ว่าศีล 5
เป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม เราไปฟังเทศน์พระองค์ไหน
หรือนิมนต์ท่านผู้ใดมาปาฐกถาธรรม ในสมาคมนี้ บางทีเราอาจจะได้ยินว่า
พระท่านสอนให้เราละความโลภ ความโกรธ ความหลง โลภโกรธหลงนี่มันเป็นกิเลสที่ดุร้าย
เป็นข้อมูลเป็นมูลเหตุให้เกิดกิเลสต่างๆ เพราะฉะนั้นญาติโยมจงลัมนเสียอย่าเอามันไว้
ในเมื่อเราฟังๆแล้วเราก็อยากละ อยากจะละเพราะโลภ โกรธ หลง
ถ้ามันแสดงฤทธิ์ของมันรุนแรงขึ้นมาเราจะเป็นทุกข์ใจ
เมื่อพระบอกให้เราละเราก็อยากจะละ แต่มันเป็นภาระจำยอม เราละมันไม่ได้
ในเมื่อเราละมันไม่ได้เราทำอย่างนี้ดีไหม กิเลสโลภโกรธหลงนี้มันเปรียบเหมือนไฟ
ไฟมีคุณมหันต์มีโทษก็อนันต์ ทีนี้ถ้าหากว่าใครสติปัญญาอ่อนใช้ไฟไม่เป็น
เกิดอุบัติเหตุเผาบ้านเผาเรือน แต่ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีสติปัญญา
สามารถที่จะใช้ไฟให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล
เช่นอย่างบางคนเขาสามารถใช้กำลังไฟสร้างจรวดไปลงดวงดาวดวงเดือนได้
อันนั้นคือประโยชน์ของไฟ แต่ถ้าหากว่าใช้ผิดเพียงนิดเดียว มันจะเกิดอุบัติเหตุ
อย่างน้อยก็จะทำให้ตัวเองต้องเสียชีวิต เช่นอย่างไฟฟ้าเป็นต้น สำหรับกิเลสก็ในทำนองเดียวกัน
กิเลสโลภโกรธหลงมีโทษก็อนันต์มีคุณก็มหันต์ แต่ถ้าหากว่า
ท่านผู้ใดปล่อยให้กิเลสโลภโกรธหลงมันพาไปทำบาปทำความชั่ว มันก็เกิดความเสียหาย
นอกจากจะเป็นความเสียหาย ส่วนตัวแล้วยังต้องทำให้สังคมต้องพินาศเสียหายไปด้วย
ตลอดทั้งประเทศชาติบ้านเมือง อันนี้คือโทษที่ใช้กิเลสไม่ถูกทาง เพราะฉะนั้น
เพราะเหตุที่กิเลสนี่ยังมีประโยชน์สำหรับประชาชน พระพุทธเจ้าจึงตีเส้นตายเอาไว้ว่า
ใครจะใช้กิเลสให้มันเกิดประโยชน์ อย่ากระโดดข้ามเส้นขนานนี้ เส้นขนานนี้ก็คือศีล 5
ข้อนั้นเอง กิเลสโลภโกรธหลงมีอยู่ในใจเรา
เอาให้มันกระตุ้นเตือนใจให้เกิดความทะเยอทะยาน ในความอยากดีได้อยากได้อยากดีอยากเป็น
สิ่งที่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันต้องการอยู่นี่ มันมีอยู่เพียง 5 อย่างเท่านั้นแหละท่านผู้ฟัง
หนึ่งลาภ ได้แก่ผลประโยชน์ สองยศ ได้แก่ตำแหน่งหน้าที่การงาน ยศฐาบรรดาศักดิ์ สามสรรเสริญ ชื่อเสียงที่ดีงาม สี่ความสุข
ห้าอำนาจ ห้าอย่างนี้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหา
แต่ว่าการแสวงหาก็ควรจะมีขอบเขต ขอบเขตที่แน่นอนที่สุดก็คือ ศีล 5 ข้อ
ใครมีกิเลสมากน้อยเพียงใดถ้าเราแสวงหาผลประโยชน์ดังกล่าว
ถ้าหากไม่ละเมิดล่วงเกินศีล 5 ในข้อใดข้อหนึ่ง
พระพุทธเจ้าไม่ตำหนิว่าเราเป็นผู้ประพฤติไม่ดี กลับจะยกย่องสรรเสริญเสียอีกว่า
เป็นคนฉลาด ใช้กิเลสฝห้เกิดประโยชน์ความเป็นธรรมได้ เรามีหลักฐานที่จะยืนยัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านผู้ใดต้องการผลประโยชน์ในปัจจุบัน ท่านให้ยึดหลักธรรม 4
ข้อ เป็นหลักปฏิบัติ หนึ่ง อุฏฐานสัมปทา
จงหมั่นขยันในการแสวงหาผลประโยชน์คือทรัพย์สมบัติ ข้อที่สอง อารักขสัมปทา จงรู้จักรักษาทรัพย์สมบัติไม่ให้สูญเสียโดยไม่มีเหตุผล
ข้อที่สาม กัลยาณมิตตตา เมื่อมีทรัพย์สมบัติพร้อมมียศฐาบรรดาศักดิ์พร้อม
มีอำนาจสนับสนุน พระองค์สอนให้สร้างความดีกับเพื่อนบ้าน
ให้เพื่อนบ้านเขารักเคารพนับถือบูชา
จะได้เป็นกำลังรักษาชีวิตทรัพย์สมบัติไม่ให้เสื่อมสูญอันตรธาน ข้อที่สี่ สมชีวิตา
เลี้ยงตนเองและครอบครัว ตลอดจนบริวารให้มีความสุขสบายตามสมควรแก่ฐานะ
อันนี่หลักท่านสอนไว้อย่างนี้ จึงเป็นหลักฐานยืนยัน ให้เราทำความเข้าใจว่า
พุทธองค์ไม่ได้สอนให้เราละกิเลสถ่ายเดียว แต่ว่าสอนให้ละนั่นแหละละ
แต่เมื่อเราละไม่ได้ เราต้องหาเอาประโยชน์ จากอำนาจของกิเลสโดยความเป็นธรรม เพราะฉะนั้นขอท่านผู้ฟังทั้งหลายพึงทำความเข้าใจคำสอนของสมเพ็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดี
ถ้าบางทีเราเข้าใจไม่แจ่มแจ้ง เราอาจจะสงสัยว่าทำไม พระพุทธองค์สอนกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติเพื่อจะสร้างความสุขความสบาย ให้แก่ตนเอง
ครอบครัวและสังคม ตลอดทั้งประเทศชาติ
ถ้าจะเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติมันก็คือ ศีล 5
นั่นแหละเป็นหลักที่ตายตัวและแน่นอนที่สุด
ในปัจจุบันนี้บ้านเมืองเรากำลังร่ำร้องหาประชาธิปไตย
วันนี้มีนิสิตนักศึกษามาฟังกันเป็นจำนวนมาก
ใคร่ที่จะพูดถึงแนวทางประชาธิปไตยของพระ ประชาธิปไตยของพระนี้บางทีมันอาจจะไม่ตรงกับประชาธิปไตยของฆราวาส
ประชาธิปไตยของฆราวาสหมายถึง การรวมกลุ่ม รวมกลุ่มกัน เช่น อย่างเราไม่ชอบเจ้านาย
ผู้ปกครองบ้านเมืองท่านใด หรือไม่ชอบหัวหน้าแผนกการใด
ผู้ใต้บังคับบัญชาเขามารวมหัวกัน เดินขบวนขับไล่
แต่ว่าท่านทั้งหลายเข้าใจว่านั่นคือประชาธิปไตย
แต่ว่าความเข้าใจของประชาธิปไตยแบบพระนั่นคือ การเผด็จการหมู่
เมื่อไม่ชอบขี้หน้าใครก็รวมหัวกันขับไล่ คุณงามความดีเขาสร้างกันมาล้นโลก
ไม่มีความหมาย อันนี่พระเห็นว่า ยังไม่เข้าใจ ประชาธิฟไตยของพระนี่
สำหรับนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ควรจะได้ทำความเข้าใจอย่างนี้
ปัจจุบันพวกคุณพ่อคุณแม่ส่งเรามาเรียน ตั้งใจเรียน เรียนให้มันจบ พอเรียนจบ
ในระดับที่เราต้องการ จบปริญญาตรีโทเอก ในเมื่อจบแล้วรีบไปหางานทำ
ในเมื่อทำงานได้มีรายได้ ก่อนอื่น ให้ถามคุณพ่อคุณแม่
ไปจำนองจำนำเอาเงินมาส่งพวกเราเรียน ถ้าใครไม่มีก็แล้วไป แต่ว่าถ้าของใครมี
รีบเก็บหอมรอมริบ ไถ่ถอนทรัพย์สมบัติคืนให้คุณพ่อคุณแม่ให้หมด
อันนี่คือจุดเริ่มประชาธิปไตยจุดแรกของพระ ทีนี้เมื่อหมดธุระอันนี้แล้ว
รีบเก็บหอมรอมริบ เพราะอนาคตเราจะต้องมีครอบครัว
ในเมื่อเรามีครอบครัวแต่งงานแต่งการ ถ้าเราสามารถมีที่ดินเป็นของของตน
มีบ้านเป็นของของตน มีรถยนต์นั่งไปทำงานมีรายได้พอที่จะเลี้ยงตนและครอบครัว
มีเหลือเก็บบ้าง เราเก็บสะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้ สร้างฐานะของตนเองให้มีความมั่นคง
มีบ้านมีช่องมีเงินมีทอง มีคนรับใช้รับสอย
ในเมื่อเราสร้างฐานะของเราให้มีความสมบูรณ์เต็มที่ เราช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใคร
เราก็เป็นใหญ่ ไปเป็นใหญ่ใคร เป็นใหญ่เราเองน่ะสิ เรามีฐานะดีเราก็เป็นใหญ่
เป็นอธิปไตยแก่ตัวเอง ทีนี้ในเมื่อเราหลายๆครอบครัวที่มีหลักมีฐานมั่นคงดี
รวมกนเป็นหมู่บ้านเป็นตำบล เป็นอำเภอเป็นจังหวัด ล้วนแต่เป็นผู้มีฐานะดีๆกันทั้งนั้น
ช่วยตัวเองได้ รัฐบาลหายห่วงไม่ต้องนำของไปแจก
บ้านเมืองเราก็เต็มไปด้วยบุคคลผู้เป็นใหญ่เป็นอิสระ
หลายๆครอบครัวที่มีหลักฐานมั่นคงรวมกันเข้าเป็นหมู่เป็นพวกก็เป็นประชา
ถ้าเป็นหมู่บ้านก็เป็นหมู่บ้านประชาธิปไตย เป็นตำบลก็เป็นตำบลประชาธิปไตย เป็นอำเภอก็เป็นอำเภอประชาธิปไตย
เป็นจังหวัดก็จังหวัดประชาธิปไตย เป็นประเทศก็เป็นประเทสประชาธิปไตย
เพราะมีแต่คนเป็นใหญ่ เป็นใหญ่เป็นอิสระช่วยตนเองได้
ไม่ต้องคิดว่าเราจะต้องไปเป็นเจ้าเป็นนายใคร
อันนี่คือหลักประชาธิปไตยการสร้างประชาธิปไตยของพระมันเป็นอย่างนี้ ผิดถูกอย่างไรขอฝากนัก...นิสิตนักศึกษาทั้งหลาย
ท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไปพิจารณา ที่ได้กล่าวมาในตอนต้นนั้น
เป็นประโยชน์ของการรักษาศีล 5 แล้วเป็นคุรธรรมที่พระพุทธเจ้าให้ยึด
เป็นแนวทางสำหรับสร้างความรักความเมตตาปราณี ว่าเรารักษาศีล 5
แม้ในระดับของมนุษย์นี้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว เราพยายามนึกเสมอว่า
ไหว้พระสวดมนต์เช้าเย็น เรานึกเสมอว่าขอเพื่อมนุษย์ของเรานี่
จงมีสุขกายสุขใจอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงมีสุข
รักษาตนให้พ้นภัยทั้งปวงเถิด อันนี่คือการปฏิบัติศีลห้าเพื่อประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
ไม่ต้องไปกล่าวถึงสวรรค์นิพพานอะไรไว้ก่อน อันนั้นเอาไว้คุยกันทีหลัง
เรามาช่วยกันปรับพื้นฐานระดับนี้ให้มันสมบูรณ์ดี
อันนี้มันเป็นพื้นฐานที่รองรับคุณธรรมเบื้องสูงขึ้นไป
มีศีลห้าแล้วเราก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ที่เราภูมิใจว่าเราเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
แต่บางทีเราก็ลืมนึก ลืมนึกถึงตัวเองในบางครั้งบางขณะ เอาละ
จะขอถือโอกาสพูดถึงหลักการพิจารณาตนว่า เราเป็นมนุษย์สมบูรณ์หรือเปล่า เรามีหลักที่จะพึงให้ท่านพิจารณาอยู่
4 ข้อ ข้อหนึ่ง ในขณะใดที่จิตใจของเราเกิดโหดเหี้ยม หรือโกรธจัด อยากจะคิดอะไรตามอำเภอใจ
นึกจะฆ่า ฆ่า นึกจะแย่งชิง แย่งชิง แล้วไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนอื่น
ในขณะนั้นกายของเราเป็นมนุษย์ จิตใจของเราลดระดับต่ำลงไป ถ้าศีล 5 ขาดข้อหนึ่ง
มันลดระดับต่ำลงไป กายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นอย่างอื่น
ในขณะใดจิตใจของเรามีความเมตตาปราณี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เห็นอกเขาอกเรา
ในขณะนั้นกายของเราเป็นมนุษย์ จิตใจของเราก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
ในขณะใดจิตใจของเรามีหิริความละอายบาป โอตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป
ไม่กล้าทำบาปทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ขณะกายของเราเป็นมนุษย์แต่ใจของเราเป็นเทวดา
ถ้าขณะใดเราบำเพ็ญสมาธิภาวนา ทำจิตให้สงบนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน เป็นจิตพุทธะ ในขณะนั้นกายของเราเป็นมนุษย์แต่ใจของเราเป็นพระพรหม
พระพรหมแปลว่าผู้มีจิตใจสว่างไสว
อันนี้คือหลักที่เราจะใช้เป็นหลักที่จะพิจารณาตนเอง ว่าเราเป็นอะไรในขณะปัจจุบันนี้
แล้วเราก้รู้แล้วแล้วเราก็พยายามปรับระดับจิตใจของเรานี่
ให้มันอยู่ในระดับที่เป็นมนุษย์เป็นอย่างต่ำ สูงขึ้นไปก็เป็นเทวดา เป็นพระพรหม
เมื่อเป็นเช่นนั้นสังคมของเราก็จะมีแต่ความสุขความสบาย
การปฏิบัติธรรมจะเอาดีกับพระพุทธเจ้า สำคัญอยู่ที่ศีลเป็นเรื่องสำคัญ
เรื่องสมาธิภาวนานี่ใครจะทำได้ดีวิเศษไปถึงไหน แต่ว่าศีลนั้นไม่บริสุทธิ์
ก็ไม่สามารถที่จะประกันความปลอดภัยของชีวิตได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า
บัณฑิตท่านจึงว่า ตัสมา สีลัง วิโสธะเย สาธุชนพึงชำระศีลให้บริสุทธิ์
เอ้า ทีนี้ในลำดับต่อไป ทีนี้
จะได้พูดถึง เรื่องการปฏิบัติสมาธิภาวนาบ้างละ
การปฏิบัติสมาธิภาวนาในขณะนี้ท่านก็ได้ปฏิบัติสมาธิอยู่แล้ว
ในขณะที่เราตั้งใจกำหนดฟัง ฟังพระท่านเทศน์ ฟังพระท่านบรรยาย
เรามีสติจดจ่อรู้อยู่ที่จิตของเราใจของเรา
หรือจดจ่อต่อการฟังเราก็ได้ปฏิบัติสมาธิอยู่ตลอดเวลาที่พระได้บรรยายธรรมมา
เพราะฉะนั้นการทำสมาธิก็คือ การทำจิตให้มีสิ่งรู้สติ มีสิ่งระลึกอะไรก็ได้ หลักการปฏิบัติสมาธิซึ่งเรียกว่าแบบสากล
คำว่าปฏิบัติสมาธิแบบสากลนี้ เราไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ไม่ต้องไปเดินจงกรม
ไม่ต้องไปยกครูกรรมฐาน เอากันอย่างนี้ ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด
เป็นเรื่องชีวิตประจำวัน แล้วเป็นสิ่งที่เป็นอารมณ์จิต เป็นสิ่งรู้ของจิต
สิ่งระลึกของสติ ผู้สมัครใจจะปฏิบัติสมาธิ จงกำหนดจิตให้มีสติ
รู้พร้อมอยู่กับการเดินยืนนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิดทุกขณะจิตทุกลมหายใจ นอกจากเวลาเดินยืนนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด
ในเมื่อเรานอนลงไป จิตของเราคิดอะไร
ปล่อยให้มันคิดไปแต่ต้องมีสติกำหนดตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน
แล้วในที่สุดท่านจะได้สมาธิในขณะนอนหลับ พอนอนหลับลงไปจิตมันจะนิ่งสว่าง
ปัญหาอันใดที่มันข้องใจอยู่ ในเมื่อกลางวันที่เราแก้ไม่ตก
จะวิ่งเข้าไปเป็นอารมณ์จิต จิตจะทำหน้าที่แก้ไขปัญหานั้นๆ
ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับนอนหลับแล้วฝันไป แต่ว่าแก้ปัญหา
อันนี้เป็นเรื่องของสมาธิทั้งนั้น เป็นการปฏิบัติสมาธิแบบสากล
โดยไม่มีพิธีรีตองอันใด เพื่อให้ประยุกต์กับสิ่งที่ท่านปฏิบัติมาแล้ว
ท่านผู้ที่เรียนจบปริญญาสูงๆมาแล้ว หรือนิสิตนักศึกษาซึ่งกำลังเรียนอยู่ในปัจจุบัน
ก็ได้ผ่านการปฏิบัติสมาธิมาแล้วทั้งนั้น ในขณะท่าน...ที่ท่านวิจัยงานของท่าน
ในขณะที่ท่านเรียน ท่านมีวิจัยวิชาความรู้ มีวิจัยงาน
นอกจากจะใช้ความคิดและเหตุผลตามหลักวิชาที่ท่านเรียนรู้มา
ท่านยังต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เข้าไปช่วยด้วย ในขณะที่ท่านคิดวกไปเวียนมาวกไปเวียนมา
พอเผลอๆ จิตมันว่างลงนิดหนึ่ง สิ่งที่ท่านต้องการรู้ มันผุดขึ้นมาเป็นความรู้ อันนั้นคือ
สมาธิปัญญา หรือปัญญาในสมาธิ
ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิเก่งที่สุดในโลกปัจจุบันที่เรารู้ๆกันนี่คือใคร
นักวิทยาศาสตร์นักวิทยาศาสตร์คนที่ค้นคิดสร้างจรวดไปลงดวงจันทร์
คนนั้นก็ยังไม่เก่ง แต่คนที่เก่งที่สุด คือคนที่คำนวณระยะเวลากับความเร็วของจรวดตัวเล็กที่ไปลงดวงจันทร์
แล้วกระโดดกลับมาเกาะยานแม่ลงสู่มนุษยโลก นายคนนี้เก่งที่สุด
ถ้าหากว่านายคนนี้คำนวณผิดเพียงเสี้ยววินาที จรวดตัวเล็กจะเกาะยานแม่ไม่ถูก
จะไม่มีโอกาสลงมาสู่มนุษยโลก จะลอยเคว้งคว้างอยู่บน ณ ...อ้า บนอวกาศ
นี่สองคนนี้เป็นคนที่ปฏิบัติสมาธิเก่งที่สุด ทีนี้ในบ้านเมืองเรานี่
เราจะมาถกเถียงกันเพียงแต่หลักวิธีการเท่านั้น มันไปไหนไม่รอด
ฝรั่งเขาไปถึงดวงจันทร์ดวงดาวกันแล้ว
เรายังมาเถียงกันอยู่ก็เพราะยุบหนอพองหนอพุทโธสัมมาอรหัง
นิสิตนักศึกษาซึ่งกำลังเรียนอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าท่านอยากจะเรียนหนังสือเก่ง
เวลาท่านเข้าห้องเรียน เวลาอาจารย์มาสอน พออาจารย์มายืนหน้าห้อง
ให้ท่านมองจ้องที่ตัวอาจารย์ ส่งใจไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์ อย่าให้สายตาหรือใจไปอื่น
ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันที่มีอาจารย์มาสอน ถ้าท่านปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันทุกวัน
ทุกชั่วโมงที่มีอาจารย์มาสอน รับรองว่าท่านจะได้สมาธิในห้องเรียน สมาธิที่ท่านปฏิบัติในห้องเรียนนี้
จะสามารถรู้จนกระทั่งข้อสอบล่วงหน้า
ใคร่ที่จะขอนำตัวอย่างนักศึกษาที่ทำสำเร็จมาแล้วคนหนึ่ง เคยแนะนำให้เขาปฏิบัติ
เขาก็ไปปฏิบัติตามตั้งแต่เขาเริ่มเรียนระดับปริญญาตรี ตอนแรกเขาเรียนไม่ค่อยเก่ง
ภายหลังก็ไปปฏิบัติสมาธิดังที่กล่าว เขาเก่งขึ้น ทำให้เขาเรียนดีขึ้น
ในตอนแรกๆสายตาและจิตไปจ้องมองอยู่ที่ตัวอาจารย์
ในภายหลังพอมีพลังทางสมาธิทางสติดีขึ้น
ความรู้สึกทางใจมันย้อนมาเตรียมพร้อมอยู่ที่ตัวเอง แต่สายตายังจ้อง มาตอนนี้อาจารย์อธิบายอะไรให้ฟัง
พออาจารย์พูดจบปั๊บหยุดหายใจ เขาสามารถที่จะรู้ล่วงหน้าว่าต่อไปอาจารย์จะพูดอะไร
เวลาไปสอบพออ่านคำถามจบ ใจมันวูบไปนิดหนึ่งคำตอบก็ผุดขึ้นมาเขียนเอาเขียนเอา
ไม่ต้องใช้ความคิด เวลาก่อนหน้าจะสอบ ใจมันบอกแล้วว่า ข้อสอบจะออกที่ตรงนั้นตรงนั้น
ที่หนังสือเล่มนั้นหน้านั้น แล้วก็ พอไปสอบจริงๆแล้วก็มันก็ออกมาจริงๆ
นักศึกษาคนนี้เมื่อเขาเรียนจบปริญญาโท
ไปสมัครสอบแข่งขันจะไปเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ข้อสอบผ่านข้อเขียนผ่านไป ยังเหลือสัมภาษณ์
พอถึงวันที่จะสัมภาษณ์เขานั่งอยู่ที่บ้านเขา พอคิดขึ้นมาว่าวันนี้จะถูกสัมภาษณ์เรื่องอะไร
คำถามมันก็โผล่ขึ้นมา คำตอบก็ผุดขึ้นมาแล้ว รู้ล่วงหน้าหมดทุกข้อ
พอไปถึงสนามสอบกรรมการก็...พอกรรมการถามปั๊บตอบปุ๊บถามปั๊บตอบปุ๊บ
พอเขาจบคำถามตอบได้ทันที กรรมการท่านถามว่าทำไมหนูจึงได้เก่งนัก หนูฝึกสมาธิ
ไปฝึกสมาธิที่ไหน สำนักใด ตาหนูสอนให้ฝึกในห้องเรียน แล้วผลมันก็เกิดขึ้นมาดั่งนี้
อันนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ที่ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า นิสิตนักศึกษาที่ต้องการเรียนเก่ง
เมื่อเวลาอาจารย์มาสอน ท่านมายืนหน้าห้องให้มองจ้องที่ตัวอาจารย์ ส่งใจไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์
อย่าให้สายตาและใจไปอื่น ให้จ้องมองอยู่อย่างนั้น มีอะไรจดรีบจด จดแล้วรีบมอง
ปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกชั่วโมงที่มีอาจารย์มาบรรยายหรือมาสอน
แล้วในที่สุดเราก็จะได้สมาธิสนับสนุนการเรียนการศึกษาของเราดีขึ้น
ทีนี้เมื่อเราเรียนจบเรายังจะได้ใช้พลังสมาธิอันนี้ไปเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
ทีนี้การปฏิบัติสมาธิอันใด ถ้ามันไปรู้สึกว่า
มันไปขวางขวางกับเรื่องชีวิตประจำวันเนี่ย มันไม่ถูก ผู้ปฏิบัติสมาธิเป็นแล้วได้แล้วนี่
จะต้องมีความรักเคารพบูชาพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป้นอย่างยิ่ง เมื่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเราบอกว่าอย่านะลูก
หยุดทันที เขาจะไม่กล้าที่จะฝ่าฝืน อันนี่
ได้ตัวอย่างจากบุคคลผู้ที่เขาปฏิบัติสำเร็จมาแล้ว
การปฏิบัติสมาธิมิได้มุ่งอยู่ที่ว่า เราจะต้องสร้างอิทธิฤทธิ์
ให้เกิดความรู้อะไรต่างๆซึ่งตามนุษย์ธรรมดาไม่รู้ไม่เห็น จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะสร้างพลังจิตของเราให้มีพลังสมาธิคือความมั่นคง
พลังของสติสัมปะชัญญะจนกระทั่งเกิดปัญญา
เพื่อใช้ประโยชน์ในการอก้ไขปัยหาชีวิตประจำวันของเราได้อย่างคล่องตัว ถ้าหากว่าการปฏิบัติสมาธิอันใดจิตได้สมธิแล้วเบื่อโลกเบื่อสงสาร
อยากจะโกนหัวไปบวชนั้น อย่าไปเอา มันไม่ถูกต้อง ในเมื่อเราได้สมาธิดีแล้วเราต้องกล้าเผชิญต่อเหตุการณ์ต่างๆ
ต้องเป็นนักสู้ไม่ใช่นักหลบ แต่เราจะต้องสู้ สู้ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติปัญญาของเรา
ทีนี้เนื่องจากว่าหลักและวิธีการปฏิบัติสมาธิในปัจจุบัน
ในบางครั้งผู้สอนสมาธิผู้เรียนสมาธิ ก็ยังมีมติขัดแย้งกันอยู่
อาตมภาพได้เคยทดลองมา ในบางครั้งที่ศูนย์ฝึกสมาธินักเรียนระดับมัธยมที่จังหวัดนครราชสีมา
ที่วัดวะภูแก้ว อำเภอสูงเนิน เรารับภาระฝึกสมาธินักเรียนเดือนละสามรุ่น แต่ละรุ่น
300 คนขึ้นไป ในบางครั้งมีนักเรียนทั้งศาสนาพุทธศาสนาคริสต์มาฝึกร่วมกัน
ทีนี้พอเข้าห้องฝึกสมาธิ เราก็ให้คำแนะนำว่า ชาวพุทธให้ภาวนาพุทโธ
ชาวคริสต์ให้ภาวนาเยซู เด็กมันก็ต่างคนต่างภาวนาของใครของเรา
เขาให้เวลานั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมง ทีนี้พอเขาบอกให้หยุดพัก
เด็กชาวคริสต์ก็มาถามชาวพุทธว่า เธอภาวนาพุทโธแล้วจิตของเธอเป็นอย่างไร ฉันภาวนาพุทโธแล้วจิตของฉันสงบนิ่งสบาย
รู้ตื่นเบิกบานมีปีติมีความสุข แล้วของเธอล่ะเป็นอย่างไร
ของฉันก็เหมือนกันฉันภาวนา เยซู เยซู เยซู มันรู้สึกมีอาการเคลิ้มๆเบลอๆเหมือนกับจะนอนหลับ
พอเผลอพลั๊บจิตวูบลงนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน มีปีติมีความสุข เราคนละศาสนา ศาสดาคนละองค์
เมื่อมาปฏิบัติสมาธิแล้วทำไมจิตจึงเป็นเหมือนกัน อาจารย์เขาก็อธิบายให้ฟังว่า
สมาธิมีหนึ่งเดียว ไม่มีแตกต่าง
สมาธิตามธรรมชาติของสมาธิตามหลกของความเป็นจริงของสมาธิ มันจะมีอันเดียวเท่านั้น
ไม่แตกต่างกัน ใครจะภาวนาแบบไหนคำไหนอย่างไร เมื่อจิตเป็นสมาธิ มันจะต้องนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบานเหมือนกันหมด
มีปีติมีความสุขเหมือนกันหมด ก็เหมือนๆกับที่เราเชื่อว่า
บรรยากาศรอบข้างของเรานี้มีกระแสไฟฟ้ากระจายเต็มไปหมด
เราต้องการอยากจะได้กระแสไฟฟ้ามาใช้ให้มันเกิดประโยชน์
ฝรั่งเขามีปัญญาดีกว่าเขาก็สร้างขั้วแม่เหล็กทองแดงขึ้นมาให้มันหมุนเสียดสีกันเกิดความร้อนก็ได้ไฟมาใช้
แต่คนเราไทยนี่ค่อนข้างปัญญาอ่อน แต่ยังดีรู้จักตัดไม้ไผ่แห้งมาสีกัน
สีไปสีมามันเกิดความร้อนก็เกิดเป็นไฟ ได้ไฟมาใช้เหมือนกัน กรรมวิธีเราอาศัยการเสียดสีอย่างเดียวกัน
แต่วัสดุในการทำงานเราใช้คนละอย่างกัน ผลลัพธ์ก็คือได้ไฟมาใช้เหมือนกันเพราะฉะนั้นจะไปข้องใจอะไรเกี่ยวกับหลักวิธีการทำสมาธิในตำรา
อาตมะจึงขอให้ข้อสรุปว่า ถ้าใครจะถามว่าอยากจะทำสมาธิทำอย่างไร ก็จะได้คำตอบว่า
ทำสมาธิคือทำจิตให้มีอารมณ์ตื่นรู้ สติมีสิ่งระลึกจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น
ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด เป็นต้น
ถ้าเรามีสติกำหนดการรู้อยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ
นอนลงไปจิตมันคิดอะไรปล่อยให้คิดไปอย่าไปห้ามมัน เรามีสติความรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
เพื่อแก้ข้อข้องใจสงสัยบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย
ใคร่ที่จะขอนำเรื่องราวการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาเล่าสู่ท่านทั้งหลายฟังพอเป็นตัวอย่าง
ก่อนที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็ยังไม่เกิด ทีนี้เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดคำว่าพุทโธก็ไม่มี
สัมมาอรหังก็ไม่มี ยุบหนอพองหนอก็ไม่มี
เพราะคำพูดสามคำนี้มันเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าโดยตรง
ถ้างั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าตอนนั้น พระองค์เอาคำพูดคำไหนมาท่องบริกรรมภาวนา จนใจจริงๆ
หาคำพูดที่จะท่องไม่มี เมื่อก่อนไปเรียนในสำนักดาบสทั้งหลาย ก็ไปยืมคาถาอาคมของดาบส
มาท่อง ท่องไปแล้วมันก็ได้แค่ฌานสมาบัติ ไม่ใช่ทางตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ทีนี้เมื่อพระองค์เสด็จออกจากสำนักของอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น
ตอนที่พระองค์จะไปเริ่มต้นปฏิบัติโดยพระองค์เองนี่สิ
พระองค์เอาอะไรไปท่องไปบริกรรมภาวนา ไม่มี ดังนั้นเมื่อตอนหลังที่พระองค์ได้รับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา
ทรงเสวย อิ่มหนำสำราญพระวรกายสดชื่น พระองค์มาเริ่มต้นการปฏิบัติ
ทำให้พระองค์รำลึกถึงตอนที่ยังทรงพระเยาว์ ที่พระพี่เลี้ยงนางนมผูกพระอู่ให้บรรทมอยู่ใต้ต้นหว้า
ในช่วงระยะเวลาว่างจากผู้คน พระองค์กำหนดพระทัยในจิตของพระองค์
รู้ที่ลมหายใจเข้าหายใจออก ในที่สุดพระองค์ได้บรรลุปฐมฌาน ปฐมฌานที่มีวิตกคือจิตรู้อยู่ที่ลมหายใจ
สติสัมปะชัญญะประคับประคองจิตให้รู้อยู่ที่ลมหายใจ
แล้วก็เกิดมีปีติเกิดความสุขเกิดความเป็นหนึ่ง คือจิตรู้อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น
ได้บรรลุปฐมฌาน เมื่อพระองค์ทรงรำลึกถึงจุดนี้ พระองค์ก็มานึกว่า อ้อ ที่ตรงนี้เอง
แล้วพระองค์ก็เริ่มต้นปฏิบัติ มากำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะ
ทีนี้การที่พระองค์ทรงกำหนดลมอัสสาสะปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าหายใจออกนั้น
พระองค์ทำอย่างไร นี่ปัยหาที่เราจะต้องทำความเข้าใจมันอยู่ที่ตรงนี้
อย่าลืมว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติสมาธิตามหลักของธรรมชาติ
พระองค์ไม่ได้บังคับจิต มีแต่กำหนดจิตให้รู้อยู่ที่ลมายใจเพียงอย่างเดียว
มีพระสติกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกหายใจเข้าหายใจออกอยู่เฉยๆ แม้แต่คำว่า ลมหายใจยาวพระองค์ก็ไม่ได้นึกหายใจสั้นไม่ได้นึก
ลมหายใจหยาบละเอียดไม่ได้นึกทั้งนั้น เพียงแต่มีพระสติกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว
แล้วในที่สุดพระจิตของพระองค์ก็ทรงพลังสมาธิความมั่นคง มีพระสติเข้มแข็ง พระจิตของพระองค์ตามลมหายใจเข้าไปนิ่งสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย
ทำให้พระองค์รู้อวัยวะภายในกายทั่วหมดในขณะจิตเดียว คือรู้อาการ 32
ที่เราเคยได้ยินได้ฟังอยู่นั้นเอง อาการ 32 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น
กระดูก เป็นต้น พระองค์ทรงรู้ในขณะจิตเดียว แล้วจิตของพระองค์ก็ไปสงบสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย
เมื่อจิตค่อยสงบลงไปร่างกายก็หายไป ยังเหลือแต่พระจิตดวงเดียวนิ่งสว่างไสว อยู่ในท่ามกลางของจักรวาล
แต่ในช่วงนี้ยังไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า เพียงแต่เป็นจุดเริ่มของจิตพุทธะ คือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน
ถ้าจะว่าในอันดับของสมาธิของฌานก็อยู่ในฌานที่สี่ ซึ่งเรียกว่า จตุถะฌาน
จตุถะฌานนี่เป็นสมาธิขั้นสมถะ สมถะกรรมฐานเกิดขึ้นตั้งแต่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
จตุถะฌาน แล้วก็ไป อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี่เป็นสมาธิสมถะกรรมฐาน
สมาธิสมถะกรรมฐานนี้ ไม่เกิดปัญญาภูมิความรู้ แต่สามารถทำจิตให้สงบละเอียดยิ่งลงไปจนเกือบจะไม่มีอะไรเหลือ
ซึ่งในสมัยนั้นพวกฤาษีเขาก็ว่า เขาสำเร็จอรหันต์เหมือนกัน พระองค์ก็ไปทรงทดลองปฏิบัติดูตามแบบเขา
ก็เห็นว่า ไม่สำเร็จ พระองค์จึงมาทรงปฏิบัติโดยลำพังพระองค์เอง เมื่อได้สมาธิตั้งแต่ปฐมฌานแล้ว
จิตก็วิ่งเข้าสู่กาย รู้เรื่องของกาย จนกระทั่งกายหายไป
ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวนิ่งสว่างไสวอยู่ ทีนี้ตอนนี้จิตของพระองค์ไปทางไหน
พอไปถึงจุดนี้แทนที่จะเตลิดไปทางแนวทางของสมาบัติ 8 กลับวกเข้าไปสู่ สัญญาเวทะยิตะนิโรธ
เข้านิโรธสมาบัติต่อ นิโรธสมาบัติเป็นฐานสร้างพลังจิตเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตระ
เมื่อพระองค์ จิตของพระองค์สร้างพลังพร้อมแล้ว จิตเบ่งบานออกมาอีกทีหนึ่ง
แผ่รัศมีสว่างไสวครอบคลุมจักรวาลทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดปิดบังดวงจิตดวงนี้ได้เลย
นอกจากจะมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือผิวพื้นแผ่นดิน แต่ทะลุเป็นโลกวิทูนั้น มันมีลักษณะอย่างไร
ใครได้อ่านตำราพระเจ้าเปิดโลก ก็เหมือนๆกันอย่างั้นแหละ ในขณะนั้นจิตของพระองค์
มองเห็นจนกระทั่งโลกนรก โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ นอกจากจะมองเห็นโลกมนุษยื โลกสวรรค์
ยมโลก หรือโลกนรกแล้ว ยังรู้บุพพกรรมของสัตว์ทั้งหลาย ว่าสัตว์ทั้งหลายทำกรรมอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
แล้วรู้ไปจนกระทั่งว่าทำไมสัตว์ต้องทำกรรมแตกต่างกัน เพราะอวิชชาความรู้ไม่จริง แต่ในขณะนั้นจิตของพระองค์จะรู้นิ่งอยู่เฉยๆ
จิตของคนเรานิ่งไม่มีร่างกายตัวตน
มีแต่จิตสว่างไสวอยู่สามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่พูดไม่เป็น
สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นอะไรมีแต่เฉยๆลูกเดียว ทำไมจึงไม่มีความคิดทำไมจึงไม่มีคำพูด
เพราะจิตของคนเราในเมื่อแยกจากกายไปอยู่เอกเทศส่วนหนึ่ง
รู้ได้เห็นได้แต่พูดไม่เป็น ทำไมจึงพูดไม่เป็น เพราะไม่มีเครื่องมือ
เครื่องมือที่ทำให้จิตเกิดความคิดก็คือ ประสาททางสมอง ตอนนั้นไม่มีร่างกายแล้ว
ประสาททางสมองก็ไม่มี มีแต่จิตดวงเดียว จึงคิดไม่เป็นแต่รู้เห็นได้
แล้วก็สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆไว้พร้อมหมด
ทีนี้เมื่อจิตของพระองค์ถอนจากสมาธิขั้นนี้มา พอรู้สึกว่ามาสัมพันธ์กับร่างกาย
รู้สึกว่ามีกายเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้เห็นหายไป ยังเหลือแต่ความทรงจำ
พอเสร็จแล้วจิตของพระองค์จึงน้อมไปสู่การพิจารณาเรื่อง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
คือ การระลึกชาติหนหลังได้ ตอนนี้คิดเป็นพูดเป็นภาษา คือพิจารณารู้เรื่อง ปุพเพนิวาสานุสติญาณ
ระลึกชาติหนหลังได้ คือระลึกว่า ชาติก่อนเราเคยเกิด...เกิดเป็นเวสสันดร
ชาติต่อไปเป็นอย่างนั้น ชาติต่อไปเป็นอย่างนั้น และนอกจากจะรู้ของพระองค์เองแล้วยังสามารถรู้ของสัตว์โลกทั้งปวงด้วยว่า
ว่าใครเกิดมากี่ภพกี่ชาติ อันนี้เป็นเรื่องปุพเพนิสาสานุสปฏิญานการกำหนดระลึกชาติหนหลังได้
พระองค์พิจารณาจบลงในปฐมญาน แล้วต่อไปจิตของพระองค์ก็น้อมไปสู่การพิจารณาการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งเป็นไปตามกฏของกรรม ภาษิตที่ว่า กัมมัง สัตเต ฑิวัตตะติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่างๆกัน
เกิดขึ้นในตั้งแต่สมัยนั้น เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในมัชฌิมญาน
แล้วก็จิตของพระองค์ก็น้อมไปพิจารณาเรื่องอาสวะกิเลสอันเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม
คืออวิชชาความรู้ไม่จริง เมื่อรู้ไม่จริงก็ต้องทำกรรมไปตามที่ตนคิด ว่าถูกต้อง
แต่แล้วมันก็มีทั้งผิดทั้งถูกทั้งบาปทั้งกรรม เมื่อทำแล้วก้ได้รับผลของกรรมได้รับแล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไม่รู้จักจบจักสิ้น
อันนี้พระองค์พิจารณาจบลงในปัจฉิมญาน ในจวนใกล้รุ่ง เมื่อพระองค์พิจารณาสามเรื่อง
ตลอดสามยามจนจบลงแล้ว จอนนี้เรียกว่าเจริญวิปัสสนา แต่ตอนที่รู้เห็นเป็นโลกะวิทู
เป็นสมถะกรรมฐาน ทีนี้เมื่อพิจารณาจบจิตยอมรับสภาพความจริง
ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้เห็นนี้เป็นจริงตามกฏของธรรมชาติ แล้ว อรหัตมรรคญาณอันวิเศษ
อันเกิดขึ้นในขณะจิตนั้น จึงตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นไปในปัจฉิมญาน จึงได้พระนามว่า
อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์
ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้น ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ด้วยประการฉะนี้ นี่คือวิถีทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นดั่งนี้
ถ้าท่านผู้ใดต้องการความพิสดารให้ไปอ่านในคัมภีร์ พระปฐมสมโพธิ
เพราะฉะนั้น
การปฏิบัติธรรมกรรมฐานนี้ มันเป็นการสร้างจิตของเราให้มีความมั่นคง คือ สมาธิ
สร้างสติให้มีพลังเข้มแข็ง เพื่อประคับประคองจิตของเราให้มั่นคงต่อการทำงานในหน้าที่ของตนเอง
ทั้งในเรื่องชีวิตประจำวัน ทั้งในเรื่องการปฏิบัติธรรม ทีนี้การปฏิบัติธรรม คือการทำจิตให้มีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก
อะไรเป็นสิ่งรู้ของจิต ในกายของคนเรานี่ มีกายกับใจ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายและใจ ทีนี้กายกับใจ
ตาหูจมูกลิ้นกายและใจ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน
ตลอดทั้งธุรกิจการงานวิชาความรู้ที่เราเรียนมาทั้งหมดมีในจักรวาลนี้
ทั้งนามธรรมและรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปธรรมตั้งแต่อณูปรมาณู จนกระทั่งมวลสารอันเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่โต
หรือสิ่งที่มีแต่ชื่อเรียกแต่ไม่มีวัตถุที่จะลูบคลำจับต้องได้
สิ่งนั้นเรียกว่านามธรรม ทั้งหมดนี้ เป็นสภาวะธรรม เป็นเรื่องของโลก โลกทั้งโลกเป็นอารมณ์จิตของผู้ภาวนา
ผู้ภาวนาเพื่อจะให้จิตของตนเองบริสุทธิ์สะอาดเข้าถึงพระนิพพานได้
ต้องศึกษาและเรียนรู้โลกให้มีความเข้าใจถูกต้องถ่องแท้ ตามกฏของธรรมชาติ
กฏของธรรมชาติที่มีอยู่ในจักรวาลนี้มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา สภาวะทั้งหลายที่เรียกว่าสภาวะธรรมนั้น
มีเกิดขึ้นทรงอยู่ดับไป เกิดขึ้นทรงอยู่สลายตัว ภาษาพระพุทธเจ้าว่า
อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังทนอยู่ไม่ได้ตลอดกาล อนัตตาไม่เป้นตัวของตัวเอง
ทุกสิ่งวทุกอย่างตกอยู่ในกฏธรรมชาติอันนี้ แม้แต่กายใจของเรา แต่ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ
แล้วทำไมมันเรื่องอะไรมากระทบมนุษย์จนกระทั่งทำให้เกิดทุกข์เดือดร้อน
ที่มันต้องมากระทบมนุษย์ทำให้มนุษย์ต้องเดือดร้อนนี่ เพราะมนุษย์ไม่รู้ความจริง
มนุษย์ทั้งหลายยังนี่ยึดอัตตาตัวตน ว่าสิ่งโน้นก็ของเราสิ่งนี้ก็ของเรา ในเมื่อสิ่งที่เป็นของเรา
เรานึกว่าเป็นของเรานั่นแหละ สิ่งนั้นเขาเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ มีแล้ว ทรงอยู่
หายไป มีแล้ว ทรงอยู่ หายไป เราเอาจิตใจของเราไปสอดแทรกเข้าไปในตรงนั้น
เราอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของเรา แต่สิ่งนั้นหาเป็นไปตามความต้องการของเราไม่
เมื่อมันขัดใจเรา เราจึงเกิดโทมนัสน้อยใจ แล้วก็เกิดทุกข์เดือดร้อน อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา สัพเพ สังขารา สังขารไม่เที่ยง สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารเป็นทุกข์ สัพเพ
ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อันนี่เป็นกฏของธรรมชาติ
แต่เราเรียนธรรมะเราไปเที่ยวกล่าวตู่สิ่งโน้น กล่าวตู่ว่า มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้
ภูเขา รถ เรือน เป็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เราไปเที่ยวกล่าวตู่แต่สิ่งภายนอก เพราะเราไปมองเห็นแต่สิ่งภายนอก เป็นทุกขัง
อนิจจัง อนัตตา ไม่มองถึงตัวทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ภายในจิตของเรา
แต่แท้ที่จริงแล้วจิตของเราเองนั้นแหละ ตัวไม่เที่ยง ถ้าตาเห็นรู้จิตของเราปกติ มันก็เที่ยง
ได้ยินเขาด่ามา เราไม่โกรธ จิตของเราก็เที่ยง แต่ถ้ามันหวั่นไหวไปทางยินดียินร้ายแล้วมันก็ไม่เที่ยง
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็กินทันที เพราะฉะนั้น
การรักษาจิตของเราให้มีความมั่นคงคือสมาธิ สร้างสติของเราให้มีพลังเข้มแข็ง
เมื่อสติมีพลังเข้มแข็งแล้วมันจะเกิดปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งหลาย
อันเป็นเรื่องของโลก เมื่อเรามีสติปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงในกฏธรรมชาติของโลก
จิตของเราก็ถีบตัวอยู่เหนืออำนาจของสิ่งทั้งปวง เราก็สำเร็จพระนิพพาน
วันนี้
ได้บรรยายธรรมะพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านทั้งหลาย ก็เห็นว่าพอสมควรแก่กาละเวลา
การบรรยายธรรมครั้งนี้ ก้พูดไปตามอารมณ์เพื่อฟังกันง่ายๆ คล้ายๆกับว่าไม่มีกฏเกณฑ์
ไม่มีหลัก แต่ส่วนใหญ่ได้นำความจริงซึ่งมันเป็นประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังเป็นส่วนใหญ่
หากไปมัวแต่จะไปพูดแต่ถึงเรื่องคัมภีร์ ยกโน่นยกนี่ อาตมาเรียนจบเปรียญสี่ประโยคมาก็จำไม่ได้กี่มากน้อย
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ของนักปฏิบัติ ท่านใดที่เป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติ
ก็เอามาถ่ายทอดให้ญาติโยมทั้งหลายฟัง หลักของการปฏิบัติสมาธิมีข้อสังเกตอยู่อย่างนี้
ยกตัวอย่างเช่น ท่านภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นต้น หรืออย่างอื่นก็ได้ ทีนี้พอภาวนาไปแล้วจิตของท่านสงบนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน
มีปีติมีความสุข รู้สึกว่ามีความสบาย แต่ว่าปฏิบัติไปปฏิบัติไป จิตมันมีพลังแก่กล้าขึ้น
พอพุทโธ พุทโธ
สองสามคำจิตมันวูบลงไปนิดหนึ่งความคิดมันฟุ้งฟุ้งฟุ้งขึ้นมายังกับน้ำพุ
อย่างที่คุณโยมคนหนึ่งถามเมื่อก่อนหน้าที่จะพูดนี่
ที่ว่าจิตมันมีแต่ความคิดคิดคิดคิด คิดอยู่ไม่หยุด
ถ้าในลักษณะอย่างนี้ถ้ามันคิดไม่หยุด ให้กำหนดสติตามรู้เรื่อยไป
อาศัยหลักสมาธิที่ว่า ยืนเดินนั่งนอนรับทานดื่มทำพูดคิด เป็นอารมณ์จิต ตามไปจนกว่าจิตของเราจะมีพลังทางสติเข้มแข็ง
ธรรมชาติของจิตถ้ามีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้นทุกที
แล้วในที่สุด เขาจะเกิดสติปัญญารู้อารมณ์จิตของเขาเอง ตามหลักแห่งความเป็นจริง คือ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในท้ายที่สุดนี้ ด้วยบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ พระอริยะสงฆ์ผู้สืบศาสนา บุญบารมีอันใดที่อาตมภาพได้ทำเป็นมาด้วยกายวาจาจิต
ขออุทิศให้แก่เป็นคารวะปัจจัยหนุนส่งวิถีชีวิตของท่านทั้งหลาย ให้เจริญด้วยอายุ วรรณะ
สุขะ พละ ปฏิภาน ธนสารสมบัติ แม้จะปรารถนาลาภยศสรรเสริญสุขและอำนาจ จงสำเร็จตามปณิธานตามปรารถนา
ในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ ขอจบ
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ
อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา
สัพพีติโย
วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ
นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง .
(จาก
http://www.fungdham.com/sound/popup-sound/put/popup-put02.html)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น