หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พุทธทาสภิกขุ : สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป

















ปาฐกถาเรื่อง
สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป
ของ พุทธทาสภิกขุ
แสดงท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2509
                                                  ณ พุทธสถาน เชียงใหม่                 







สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป

เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่เป็นสมาชิกและมิได้เป็นสมาชิก พสล. ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์,
          ข้าพเจ้าได้รับคำขอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากท่านประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ให้มากล่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง กะท่านทั้งหลายในสถานที่นี้ ในวันนี้.  ข้าพเจ้าขอพูดกะท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย, และเป็นเพื่อนที่จะร่วมมือกันแก้ไข หรือกำจัดความทุกข์ของมนุษย์เป็นส่วนรวมให้หมดไป.  ท่านทั้งหลายต้องใหเอภัยและโอกาส เพื่อให้ข้าพเจ้าพูดอะไรได้ตรงๆ ตามความรู้สึกอันแท้จริง เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและตรงตามสปิริตของพุทธบริษัทเรา คือพูดจริง – ทำจริง – และรักเพื่อนมนุษย์กันจริง.
          เรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูด  ในเวลาอันจำกัดนี้ คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นมาเป็นเวลา 30 ปี และรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พวกเรายังสนใจกันน้อยไปหน่อย  ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับกิจการอันใหญ่หลวงของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็ในระยะที่กิจการของพุทธบริษัทเราทั่วทั้งโลก ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้.  สิ่งที่กล่าวนั้นมีอยู่ 2 – 3 เรื่องด้วยกัน แต่มันสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกกันไม่ออก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องถือโอกาสกล่าวถึงมัน อย่างสัมพันธ์กันเป็นลำดับไป, และต้องขออภัย ถ้าหากมันได้ทำให้ท่านต้องฟังด้วยความอดกลั้นอดทน หรือถึงกับมีความกระเทือนใจบ้าง.  ข้าพเจ้าจะได้พูดเป็นเรื่องๆไปดังนี้ :-

          เรื่องที่หนึ่ง.  บรรดาพุทธสมาคมต่างๆในโลกพุทธบริษัทเรา ที่ทำการเผยแพร่พุทธธรรมอยู่ในเวลานี้ มักจะสนใจแต่ในเรื่องวิธีดำเนินงานและประสานงานกันมากเกินไปกว่าที่จะสนใจ ในตัวธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดและแท้จริง พร้อมทั้งการปฏิบัติธรรมในขั้นนั้นให้เหมาะสมกัน, และมีอยู่ไม่น้อยที่หนักไปแต่ในเรื่องพิธีรีตอง มากจนน่ารำคาญ เมื่อเป็นเช่นนั้นนานเข้า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ :-
1.                 ทำให้เราและคนในเครือของเขา รู้จักธรรมตัวจริง ที่จะต้องรู้ด้วยจิตใจโดยตรงนั้น น้อยไป, และเพราะรู้จักธรรมตัวจริงน้อยไป ก็ทำให้เกิดผล คือ
(ก)      เราขาดผู้ที่มีจิตใจในการปฏิบัติงานเพื่อเห็นแก่ธรรมแท้,
(ข)      ทำให้ขอบวงแห่งความหมายของความเป็น พสล. เป็นต้น  แคบเข้ามา, ไม่ตรง ไม่เต็มตามที่ธรรมชาติเปิดไว้ให้และต้องการ, ซึ่งจะได้กล่าวในข้อถัดไป โดยละเอียด.

2.                 ทำให้ชาวพุทธพวกที่หนักในธรรมและธรรมปฏิบัติ ให้ความสนใจและความนับถือในกิจกรรมของเราน้อยไป หรืออาจจะถึงกับไม่ไว้ใจก็มี.  ข้อนี้ทำให้เกิดผลคือ :-
(ก)      เราจะดำเนินงานและขยายงานให้เต็มตามวัตถุประสงค์จริงๆได้ยาก  เหมือนกลิ้งครกขึ้นภูเขา, แต่แล้วก็ต้องทนเอาคือทำไปอย่างพอให้ผ่านๆไป พอไม่ให้สมาคมล้ม,
(ข)      ครั้นเป็นเช่นนี้นานวันเข้า สักวันหนึ่งในกาลข้างหน้า เราอาจจะถูกเขากล่าวหาถึงขนาดว่า สังคมทพุทธบริษัทพวกนี้ทำอะไรกันแต่พอเป็นพิธี เพียงเพื่อความสนุกสนานของตนเอง ดูๆคงจะเป็นการเที่ยวทัศนาจร หรือเที่ยวปิคนิคระหว่างประเทศไปเสียแล้วกระมัง, และ
(ค)      ในที่สุด พวกสมาชิกและกรรมกรทั้งหลายก็จะเสียนิสัย กลายเป็นผู้ที่ทำงานเพียงเพื่อความสนุกสนาน ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้อื่นกันเสียเป็นส่วนมาก ในที่สุดองค์การหรือสมาคมของเรา ก็ต้องล้มเลิกไปโดยแน่นอน.  ดังนั้นยเราต้องนึกถึงเรื่องนี้กันให้มากเป็นพิเศษ แล้วรีบทำการป้องกัน, แก้ไข, และปรับปรุงให้สุดความสามารถเสียแต่ต้นมือ.

เรื่องที่สอง.   คือสิ่งที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันท่วงทีก่อนแต่จายเกินไป ดังที่กล่าวแล้วนั้น พอจะแยกออกได้ดังต่อไปนี้ :-
1.                 จัดให้เกิดการสนใจ การศึกษาค้นคว้า การปรึกษาหารือทำความเข้าใจกันเป็นพิเศษ ในสิ่งที่เรียกว่า”หัวใจของพุทธศาสนา”อันเป็นการปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลสของแต่ละคนโดยตรง  แทนที่จะเป็นเพียงเรื่องศีลธรรม เพื่อประโยชน์ทางสังคมและการเมือง, หรือเป็นเพียงวรรณคดีอันไพเราะ หรือเป็นปรัชญาที่น่าสนใจของโลก เท่านั้น.  ความทุกข์ของมนุษย์ในโลก เกิดมาจากกิเลสของเขาโดยตรง มิได้เกิดมาจากการที่เขาไม่มีความรู้ทางปรัชญาอันลึกซึ้งเหล่านั้น.  ความรู้เหล่านั้นเขามีกันแล้วมากมาย ก็ยังกำจัดกิเลสไม่ได้ ; เขาจะต้องเข้าถึง”หัวใจของพุทธศาสนา”ชนิดที่จะช่วยให้เขาสามารถควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเขา เพื่อไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ให้สุดความสามารถของเขา.  เมื่อเขาทำได้เช่นนั้น ศีลธรรมทางสังคมของเขาก็จะดีเอง และมนุษยธรรมก็จะแผ่ครอบคลุมไปทั่วโลกเอง.
ความสงบเย็นหรือสันติภาพอันถาวรของโลกนั้น เป็นสิ่งที่มีขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุเพียงการรู้วรรณคดีและปรัชญาของพุทธศาสนา ซึ่งกำลังขยายตัวออกไปอย่างยืดยาดและฟั่นเฝือยิ่งขึ้นทุกทีตามปริมาณแห่งการศึกษาแผนใหม่ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา หรือตามที่มีการแยกนิกายออกไปมากมายในวงพุทธบริษัทเอง  ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องปัญหาของปรัชญาไปเสียทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเสียเลย.  กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือคนเหล่านั้นได้เอาตัวธรรมแท้ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้นไปแปรรูปทำเป็นวรรณคดีและปรัชญาเสียหมด  จนไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตใจโดยตรงเสียเลย จึงได้มีแต่เรื่องพูด พูดพูดกันไปจนเกือบไม่มีเรื่องกระทำ.
หัวใจของพุทธศาสนานั้น อาจจะสรุปลงได้ในคำพูดเพียงคำเดียวว่”ธรรม” : คำว่า”ธรรม” ที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้ จะได้อธิบายกันโดยละเอียดในตอนที่สาม.  สรุปความเฉพาะในข้อนี้คือ พวกเราต้องรีบประชุมกันแก้ไขปรับปรุงกิจการ ให้หนักไปในทางการปฏิบัติตัวธรรมแท้ ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา, แล้วปัญหาปลีกย่อยทางศีลธรรมและอื่นๆ ก็จะถูกสะสางไปในตัวเอง โดยอัตโนมัติ.

2.                 การขยายขอบเขตแห่งกิจการของพุทธสมาคมต่างๆ เช่น พสล. เป็นต้น ออกไปให้เต็มตามความหมายของคำว่า”ธรรม”ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  นั่นคือการถอนความรู้สึกว่าเรา ว่าเขาออกไปเสีย เพื่อให้สมกับความหมายของคำว่า เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิป เป็นต้นนั่นเอง, และสมกับความหมายของคำว่า”ธรรม”ซึ่งเล็งถึงธรรมชาติแท้อันมิอาจแบ่งแยกเป็นของชาติ(เนชั่น) นั้น ชาตินี้ได้เลย, แม้จนกระทั่งไม่อาจแบ่งแยกเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นต้น ไปได้ด้วย.  ความหมายของคำว่า”ธรรม”ชนิดนี้ ข้าพเจ้ายกไปรวมอธิบายในตอนที่สาม คราวเดียวกันหมดเพื่อปนะหยัดเวลา.
3.                 การรีบแก้ไขข้อผิดพลาด ที่กำลังมีอยู่ในวงการศึกษา ทางพุทธศาสนาของโลก.  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้อผิดพลาดอยู่ในหนังสือที่แต่งขึ้นโดยชาวต่างประเทศ ซึ่งมีการอธิบายเรื่องกรรม และเรื่องการเกิดใหม่(รีเบอรฺธ)ไว้อย่างผิดๆ  จนไม่เป็นพุทธศาสนาเสียเลย, และแม้ในวงชาวพุทธเราเอง ก้อธิบายพระพุทธภาษิตบางคำ ผิดไปจากพุทธประสงค์หรือผิดไปจากข้อเท็จจริง จนทำให้หลักเกณฑ์อันนั้น ใช้ปฏิบัติไม่ได้ (อิมแพร็คติกอล) ไปเสียก็มี : ตัวอย่างเช่น คำว่า “ชาติ”(BIRTH)นั้น ที่มีความหมายถึงการคลอดจากท้องแม่ ก็มี, ที่มีความหมายถึงการเกิดขึ้นของความรู้สึก(คอนเซ็กชั่น) ว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” คราวหนึ่งๆ ซึ่งหมายถึงอีโกอิสมฺ ที่กำลังเดือดจัดก็มี ; ถ้าเอาความหมาย 2 อย่างนี้ไปปนกันหรือกลับกันเสียแล้วเราก็ไม่อาจจะเข้าใจพระพุทธโอวาทในตอนนั้นได้, หรืออาจจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นย จนไม่อาจจะปฏิบัติได้ตรงตามพุทธประสงค์.
คำว่า”การเกิดใหม่”ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องไม่ถูกอิบายไปในรูปของการอวตาร หรือ อินคาร์เนชั่นอย่างแบบฮินดูหรืออุปนิษัท ดังที่ทำกันอยู่โดยมากในหนังสือพทธศาสนาที่เขียนโดยนักศึกษาฝรั่งแทบทั้งหมด ; และคำว่า”เกิดใหม่”ในหลักธรรมของพุทธบริษัทนั้น จะต้องใช้กันได้กับการเกิดขึ้นแห่งคอนเซ็บชั่นว่า”ตัวฉัน”ดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย ซึ่งวเป็นเรื่องที่สำคัญหว่าการเกิดใหม่ ชนิดที่ตายเข้าโลงแล้วจึงไปเกิดเป็นไหนๆ.  คำว่า”ชาติ”หรือความเกิด ในหลักธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น หมายถึง การเกิดแห่งความรู้สึกเป็นอีโกอิสมฺ ดังที่กล่าวแล้ว หาใช่เป็นการเกิดจากท้องแม่  ดังที่เข้าใจกันอยู่ทั่วๆไปไม่  เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์คนหนึ่งๆได้ วันละหลายๆรอบและเป็นตัวความทุกข์ชนิดที่ตรัสไว้ในเรื่องอริยสัจสี่ นั่นเอง.
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มิใช่เป็นเพียงเรื่องทางปรัชญาสำหรับถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนที่กำลังกระทำกันอยู่ทั่วๆไป, โดยที่แท้แล้ว เป็นเรื่องอริยสัจชนิดที่ต้องปฏิบัติกันเป็นประจำวันคือการควบคุมตา หู จมุก ลิ้น กาย เมื่อได้รับอารมณ์ อย่าให้มีการปรุงแต่งทางจิต : คือตัวปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ขึ้นมา ด้วยอำนาจของอวิชชาจนเกิดความทุกข์ขึ้น.
สำหรับเรื่อง”กรรม”ในพุทธศาสนานั้น  ต้องพูดกันถึงเรื่องกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวจึงจะเป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนา.  การพูกันแต่เพียงเรื่องกรรมดำกรรมขาว คือกรรมดีกรรมชั่ว และผู้ทำจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอไป นั้นยังไม่ใช่เรื่องกรรมในพุทธศาสนา เพราะคำสอนเช่นนั้นมีอยู่ก่อนพุทธศาสนา และมีในศาสนาอื่นทั่วๆไป.  พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องกรรมที่แปลกออกไป คือเรื่องวกรรมที่มดำไม่ขาว และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวทั้งปวง  ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต หมวดที่ชื่อว่า กัมมวัคค์ : กล่าวโดยที่แท้แล้ว การปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมัคค์นั่นเอง คือกรรมที่ไม่ดำไม่ขาสว ทำให้ลุถึงนิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งปวง.  เรื่องกรรมชนิดนี้เท่านั้นที่เป็นหลักของพุทธศาสนาที่ไม่ซ้ำใคร ที่จะกล่าวได้เต็มปากว่า เป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนาโดยตรง  ชาวต่างประเทศผู้แต่งหนังสือเหล้าโน้น มิได้กล่าวถึงกรรมชนิดนี้เลย, กล่าวถึงแต่กรรมดำกรรมขาว แล้วยังแทรกอรรถาธิบายส่วนตนเสียยืดยาวจนจะเข้ากันไม่ได้กับพุทธศาสนาไปเสียอีก ; การที่ยังมีใครในโลกเขียนหนังสือทางพุทธศาสนาขึ้นมาอย่างผิดๆเช่นนี้ ก็ควรจะตกเป็นหน้าที่ของสมาคมชาวพุทธ เช่น พสล. เป็นต้น จะต้องจัดการทำสังคายนา หรือสกรูนิไนส์  ทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง, มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติตามหกลักพุทธศาสนาที่ถูกต้องก็มีขึ้นในโลกไม่ได้.

แต่ลู่ทางแห่งโชคดียังมีอยู่ก็คือ ถ้าเราสนใจในตัว”ธรรม”ที่เป้นหัวใจแท้ของพุทธศาสนาคือเรื่อง”ไม่มีตัวตน”(อนัตตา = SELFLESS)กันจริงๆแล้ว ก็จะเกิดการค้นหาเรื่องกรรม หรือการกระทำชนิดที่เพิกถอนกรรมทั้งปวงขึ้นมาเอง และในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องเดียวกันต่อไป.  เรื่องความไม่มีตัวตน(อนัตตา)นี่แหละ ทำให้ไม่มีความรู้สึกว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” และจะนำไปสู่ความเป็น เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิปที่แท้จริงและเป็นทีเดียวหมดทั้งโลกได้ในที่สุด ถึงกับไม่มีการแบ่งเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม เหลืออยู่ในโลกเลย !

การปฏิบัติเพื่อทำลายความรู้สึกว่า”ตัวตน”เสียนั่นแหละ คือตัวธรรมแท้ของธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาสอน.  แล้วพวกเราเอามาปิดป้ายชื่อให้ว่า “พุทธศาสนาของเรา” จนเกิดการแบ่งแยกกันเป็นเราเป็นเขา กระทั่งทำให้พวกเราซึ่งกำลังเรียกตัวเองว่า พุทธบริษัท ก็พลอยกลายเป็นผู้ที่ไม่มี”ธรรม”แท้ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันลึกซึ้ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบนั้นไปด้วย, คงมีแต่พุทธศาสนาเนื้องอกใหม่ๆ ซึ่งมีการแบ่งแยกเราเขากันมากขึ้นทุกที ซึ่งย่อมหมายถึงการยกตนเองขึ้นเหนือผู้อื่นมากขึ้นทุกทีด้วยเหมือนกัน.  ดังนั้น เราจงมาพูดกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่อง”ธรรม”ที่เป็นขั้นหัวใจของพุทธศาสนากันให้ชัดเจนต่อไปจะดีกว่า.

เรื่องที่สาม.  เรื่องที่สาม คือเรื่องสิ่งที่เรียกว่า”ธรรม”ตามความมหายอันสมบูรณ์หรือสิ้นเชิง ; ข้าพเจ้าจะได้แยกความหมายของคำว่าธรรม ออกเป็นชนิดๆไป แล้วจึงค่อยชี้ให้เห็นว่า ความหมายชนิดไหนเป็นหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.

1. คำว่า”ธรรม”ในความหมายทั่วไป และกว้างที่สุด.  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง  ที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันในขั้นแรก และจะต้องขอพูดถึงเรื่องนี้ มากสักหน่อย.
คำว่า”ธรรม”ในภาษาบาลีก็ตาม ในภาษาสันสกฤตก็ตาม เป้นคำที่มีความหมายกว้างที่สุด คือหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ทั้งที่มนุษย์รู้จักและยังไม่รู้จัก : คำคำนี้เป็นคำพูดคำเดียวที่ประหลาดที่สุดในโลก จนไม่อาจจะแปลไปเป็นภาษาอื่นได้ นอกจากภาษาที่ให้กำเนิดแก่คำคำนี้เอง.  เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเป็นการเข้าใจได้ง่าย แก่ทุกท่านในที่นี้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าขอเสนอบทจำกัดความ(เดฟฟินิชชั่น)บทหนึ่งของคำคำนี้ ตามที่ข้าพเจ้าเห็นว่าถุกต้องที่สุดตามหลักแห่งภาษาทั้งสองนั้น.  คำจำกัดความนั้น มีว่าสิ่งที่เรียกว่า”ธรรม”นั้นคือ :-
(1)        ตัวธรรมชาติ (NATURE)
(2)        ตัวกฏของธรรมชาติ (LAW OF NATURE),
(3)        ตัวหน้าที่ (DUTY) ที่มนุษย์จะต้อวงกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ และ
(4)        ตัวผล (RESULT) ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการกระทำหน้าที่นั้นๆนั่นเอง.

สิ่งทั้ง 4 ประเภทนี้สรุปลงได้ในคำพูดเพียงพยางค์เดียวว่า “ธรรม” อันเป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลกดังที่กล่าวแล้ว.  ผู้ที่รู้ภาษาบาลีดี ย่อมยืนยันความจริงข้อนี้ได้ดี, ขอให้ไปศึกษาเอาอย่างละเอียดจากผู้รู้ภาษาบาลีเถิด.

ภาษาทางพุทธศาสนา เรียกตัวธรรมชาติว่า สภาวธรรม เรียกกฏของธรรมชาติว่า สัจจธรรม, เรียกหน้าที่ ที่มนุษย์ปฏิบัติตามกฏของธรรมชาติว่า ปฏิปัตติธรรม, และเรียกผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆว่า ปฏิเวธธรรม หรือเรียกโดยทั่วไปอีกอย่างหนึ่ว่า วิปากธรรม.  ดังนั้นเป็นอันว่สิ่งทั้งสี่นี้ มีคำอธิบายอย่างสมบูรณ์ อยู่แล้วในคัมภีร์ของพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่รวมกันแล้วยืดยาว เท่ากับปริมาณของพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมดรวมกันน, แต่อย่างไรก็ตาม ท่านทั้งหลายจะเห็นได้เองแล้วว่า เรื่องทั้งสี่เรื่องนั้น ล้วนแต่เกี่ยวกับธรรมชาติ(เนเจ้อรฺ)ทั้งนั้น ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง ดังนั้นจึงถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องตายตัวเด็ดขาด อยู่ในตัวธรรมชาติ และไม่อาจจะแยกออกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติไปได้เลย.  ธรรมชาติที่แท้ชนิดนี้ ไม่มีการแยกเป็นเขา เป็นเรา, เป็นยุโรปหรือเอเซีย, เป็นพุทธ หรืออิสลาม เป็นต้นได้,  แต่มนุษย์ได้ดื้อดึงต่อธรรมชาติอย่างหลับหูหลับตา โดยการทำการสมมติแยกมันออกเป็นเรา – เป็นเขา จนได้ ด้วยการทำไปตามความรู้สึกที่ฝืนกฏธรรมชาติ หรือผิดกฏธรรมชาติ ซึ่งกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือผิดธรรม เพราะหลักธรรมชาติสี่ประการดังกล่าวแล้วนั้น รวมอยู่ในคำว่า”ธรรม”เพียงคำเดียว ! เมื่อผิดกฏธรรมชาติหรือผิดธรรมแล้ว  ก็ต้องได้รับผลตามกฏของธรรมชาติในทางที่เป้นทุกข์ทรมาน และเกิดปัญหายุ่งยากต่างๆขึ้นมา จนมนุษย์ไม่สามารถสะสางได้ตามลำพัง โดยปราศจากความรู้อันเป็นหัวใจธรรม หรือของธรรมชาตินั้นๆซึ่งเรียกในที่นี้ว่า”หัวใจของพุทธศาสนา”
เมื่อสิ่งที่เรียกว่าธรรม มีอยู่ถึง 4 ประเภท ดังที่กล่าวแล้ว หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ดังนี้แล้ว เราจะระบุธรรมส่วนไหนของประเภทไหน ว่าเป็นธรรมชนิดที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาโดยเฉพาะเล่า?
2. “ธรรม”ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  พระพุทธภาษิตในสังยุตตนิกาย ตรัสไว้ในตอนหนึ่งเป็นใจความว่า ธรรมทั้งหมด : ทั้งสภาวธรรม สัจจธรรม ปฏิปัตติธรรม และปฏิเวธธรรม ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ; ส่วนธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้นเท่ากับใบไม้เพียงกำมือเดียวจากใบไม้หมดทั้งป่านั้น, กล่าวคือเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ในส่วนที่เป็นการปฏิบัติเท่านั้นเอง.
อีกแห่งหนึ่งตรัสไว้ในบาลี อลคัททูปมสูตร มัชฌิมนิกาย มีขอบเขตแคบเข้ามาอีกโดยตรัสว่า ตถาคตกล่าวสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับไม่เหลือทุกข์เท่านั้นง
ในบาลีจูฬตัณหาสังขยสูตรมัชฌิมนิกาย ได้ตรัสไว้อย่างรัดกุมถึงที่สุด โดยตรัสไว้เป็นใจความว่า คำสอนของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น สรุปลงได้เป็นประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ซึ่งแปลว่า “สิ่งทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน”ดังนี้.

จากพระพุทธภาษิตเหล่านี้ทำให้เราสรุปความได้ว่า”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น คือหลักความจริงที่ว่า :
(1)   ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งที่เปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครจะไปถือเอาว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตนไม่ได้,
(2)   กฏธรรมชาติมีอยู่อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าไปยึดถือหรือมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นตัวตนหรือของตนก็ตามเข้าแล้ว  จะต้องเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ไม่โดยตรงก็โดยเร้นลับ,
(3)   ดังนั้นหน้าที่ตามกฏธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติก็คือ กระทำสิ่งต่างๆที่ควรกระทำและรับผลแห่งการกระทำนั้นๆไป โดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวตนหรือของตน ดังที่ได้กล่าวแล้ว, และ
(4)   เรามีชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ด้วยความยินยอมกันได้ทุกประการ โดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน เพราะไม่มีความยึดมั่นสิ่งใดโดยความเป็นของตน หรือเป็นตัวตนนั่นเอง.  นี้คือตัว”หลักธรรม” ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา และตรงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย – “ธรรมทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น” ดังที่กดล่าวแล้ว.
“ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง” ในที่นี้ ต้องอยู่ในรูปของการปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ อยู่แล้วจริงๆ, มิใช่เพียงแต่อยู่ในในตำรับตำรา, ในรูปของปรัชญา หรือวรรณคดี หรือจิตวิทยาอันไม่มีสิ้นสุด ดังที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้.  เราควรย้ำข้อความนี้ลงไปอีกครั้งหนึ่งว่า “ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา นั้นคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น(ดีแท็ชชเม้นตฺ) การปฏิบัติที่กล่าวนี้ ย่อมเรียกหาความรู้แห่งเรื่องนี้เอาเองในเบื้องต้น, และนำมาซึ่งผลอันพึงปรารถนาได้ในที่สุด โดยตัวมันเอง.

เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะต้องระลึกถึงบุคคลเป็นอันมาก ในครั้งพุทธกาล ได้เข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนา และเป็นพระอรหันต์กันเป็นจำนวนมากมาย โดยไม่มีความรู้ทางปรัชญาวรรณคดี หรือจิตวิทยาของพุทธศาสนาชนิดที่พวกเรากำลังรู้กันอยู่อย่างฟุ่มเฟือยในสมัยนี้เลย.  ท่านเหล่านั้นมีแต่การปฏิบัติโดยตรง โดยอาศัย สปิริตจวล เอ็กซฺปีเรียนซฺของตนเอง ที่เข้ารูปกันได้กับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตนได้ฟังอยู่ในขณะนั้น เป็นปทัฏฐาน โดยไม่ต้องเกี่ยวกับปัยหาอันยุ่งยากทางปรัชญาเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้ว.  แม้ว่าในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาเท่าที่ปรากฏในเวลานี้ จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้อความ ที่อยู่ในรูปของปรัชญา วรรณคดี จิตวิทยา ตรรกวิทยา และอื่นๆเช่นโบราณคดีเป็นต้น อย่างมากมายก็ตาม เราเองก็มิได้ถือว่า นั่นเป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาเลย แต่เป็นเพียงเครื่องหุ้มห่อและประดับประดาหัวใจของมันเท่านั้น ; ดังนั้นเราจึงถือว่าความรู้เรื่องตัวธรรมชาติก็ดี เรื่องกฏของธรรมชาติก็ดี เรื่องหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏของธรรมชาติก็ดี และเรื่องผลอันจะพึงได้รับจากการกระทำหน้าที่นั้นก็ดี อันล้วนแต่เป็นความรู้ซึ่งจะทำให้เราไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา. หรือสรุปเป็นกฏสั้นๆว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่มนุษย์ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือหัวใจของพุทธศาสนา.
เมื่อเราได้เข้าถึงธรรมที่เป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาของเราอย่างถูกแล้ว เราก็จะได้เหลียวมองไปยัง”ธรรม”ที่เป็นหัวใจแห่งศาสนาอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเราดูบ้าง เพื่อ”เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิปฎของเรา จะขยายตัวออกไปได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้, คือเต็มตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือที่ธรรมชาติเรียกร้องต้องการ ก็ตาม.

          3.   “ธรรม” ที่เป็นหัวใจแท้จริงของพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งเดียวกันกับ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของศาสนาอื่นด้วยกันทุกศาสนา.  ข้าพเจ้าขอยืนยันความเห็นข้อนี้ เพื่อการพิสูจน์, เพราะเป็นสิ่งที่ควรพิสูจน์อย่างยิ่ง.
          สิ่งแรกที่สุด  ที่เราจะต้องมองให้เห็นกันเสียก่อน ก็คือ ข้อเท็จจริงที่ประจักษ์แล้วว่า ศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนา ย่อมมุ่งหมายเพื่อกำจัดความมีตัวเป็นของตัว ของทุกคนทุกคนในโลก !  ไม่มีศาสนาไหนเลย ที่เว้นจากความมุ่งหมายอันนี้.  ศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า(ก็อด)ก็สอนให้มอบตัวเองให้แก่พระเป็นเจ้าเสีย หรือทำให้ตัวของพระเป็นเจ้าไปเสีย, อย่ามีตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าในขนาดที่จะเป็นอีโกอิสมฺ หรือเป็นเซ็ลฟิชเนสสฺ ก็ตาม ; แม้ในบางศาสนาจะสอนว่ามีโซล หรือ อาตมัน ก็สอนให้มีอย่างชนิดแท้จริง, มิใช่มีอาตมันชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัวของตัวโดยเฉพาะ.
          ส่วนศาสนาที่ไม่มีพระเป็นเจ้า เพราะถือการกระทำของตนเองเป็นหลัก ก็ยังคงสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง และยังสอนเลยไปถึงการทิ้งตัว หรือความมีตัวของตัวเสีย โดยไปเห็นแก่อุดมคติของมนุษย์ และทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์, เพื่อมนุษยธรรม(ฮิวแม็นนิตี), เพื่ออุดมคติของมนุษย์โดยตรง.  แม้ที่สุดแต่ลัทธิศาสนาที่ถูกจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิในครั้งพุทธกาล เช่นพวกที่สอนเรื่องอนัตตาอย่างผิดๆเป็นต้น ก็ยังมีการสอนเพื่อทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตน หรือทำลายความเห็นแก่ตน อยู่นั่นเอง.
          ดังนั้นเราควรถือเป็นหลักว่า ศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนา ล้วนแต่มีความมุ่งหมายที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น (สปิริจวล แอ็ทแท็ชชเม้นตฺ) ว่ามีตัวเป็นของตัว อย่างตรงกันแท้โดยหลักการใหญ่, ส่วนการที่จะมีข้อแตกต่างปลีกย่อย เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเป็นต้นบ้างนั้น ย่อมไม่เป็นการหักล้างความเหมือนกัน ในส่วนที่เป็นหัวใจ ดังที่กล่าวแล้ว.
          ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นการเพียงพอสำหรับการที่เราจะถือว่า คำพูดเพียงประโยคสั้นๆประโยคเดียวที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นหัวใจ ของศาสนาอื่นทุกศาสนาด้วย ; และนั่นคือเหตุผลอันชอบธรรมที่เราจะกล่าวว่า เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิป นั้น ต้องมีขอบเขตของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง, มิฉะนั้นแล้ว จะไม่เป็นธรรม จะไม่ตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือต้องการ.
          เราต้องนึกไว้เสมอว่าธรรม หรือธรรมชาตินั้นเป็นของสิ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ; ถ้าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งธรรมหรือแห่งธรรมชาติแล้ว เราก็ควรพยายามไปในทางที่จะขยายเขตแห่งเวิลดฺ เฟ็ลโลว์ชิป  ออกไปเต็มตามเจตนารมณ์ของธรรม หรือของธรรมชาตินั้น.  แม้เรายังๆไม่ได้ขยาย หรือขยายไม่ได้ เพราะทำความเข้าใจกันยังไม่ได้ก็ตาม, เราก็ควรจะยอมรับอยู่แล้วว่า ยังมีเพื่อนพุทธบริษัท ที่เรายังไม่ยอมรับเขาว่าเป็นพุทธบริษัทอยู่เต็มไปในโลกนี้  ทั้งที่เขาเหล่าโน้นก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนั้น.  ดังนั้น ขอให้เรามาพิจารณากันเป็นข้อสุดท้ายที่นี่ในวันนี้ ว่าขอบเขตของความเป็นพุทธบริษัทนั้น ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างไร และเพียงไหน.

          4.   ใครก็ตาม ในโลกนี้ ที่ถือหลักแห่งการมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายอีโกอิสมฺแล้ว ต้องถือว่าเขาเหล่านั้น เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น.  เราไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงว่าใครเป็นเถรวาทใครเป็นมหายาน ซึ่งเป็นเรื่องของทะเบียนหรือบัญชีเหมือนบัญชีของปศุสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นคอกๆมากกว่าอย่างอื่น.  พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้หรือพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น มิได้เป็นเถรวาทหรือมหายานเลย.
          พระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ในรูปแห่งธรรมและวินัย ; ธรรมและวินัยที่เป็นอย่างแท้จริงนั้น จะเป็นเถรวาทหรือมหายานไปไม่ได้, จะเป็นได้ก็แต่เพียงแยกกัน ตามที่เราพวกไหนเลือกเอาธรรมวินัยส่วนไหนเป็นหลักปฏิบัติของตนตามรสนิยม หรือตามที่สิ่งแวดล้อมบังคับ.  เนื้อแท้ของธรรมและวินัยนั้น คือการปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือของตนด้วยกันแต่อย่างเดียว ; เมื่อความจริงเป็นอยู่ดังนี้ ความเป็นเถรวาทหรือมหายานอันแท้จริง ก็มิได้มี เพราะทุกคนมุ่งหมายทำอย่างเดียวกัน, เพื่อผลอย่างเดียวกัน, แตกต่างกันเพียงวิธีที่สะดวกเป็นส่วนตัว.
          ความแตกต่างทำนองนี้อาจจะแตกต่างกันได้เป็นอย่างมาก แม้ภายในวงเถรวาทกันเอง หรือในวงมหายานกันเอง, และอาจจะเป็นไปได้ในบางกรณี ถึงกับว่าความแตกต่างหรือขัดแย้งกันภายในวงเถรวาทกันเองนั้น อาจจะมีมากไปเสียกว่า ความแตกต่างหรือขัดแย้ง อันมีอยู่ในระหว่างเถรวาทกับมหายาน ในส่วนทิฏฐิหรือความเห็น ซึ่งกำลังดำเนินไปตจามความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หรือพวกของตัวด้วยซ้ำไป, ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยธรรมหรือโดยธรรมชาติแล้ว หามีเถรวาทหรือมหายานที่แท้จริงไม่.  แต่กลับไปมีของจริง(TRUTH) หรือข้อเท็จจริง(FACT)อยู่ที่ว่า  ใครก็ตาม ปฏิบัติเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว คนนั้นเป็นพุทธบริษัทแท้ : โครก็ตาม ปฏิบัติเพื่อความเห็นแก่ตัว คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัทเสียเลย, ดังนี้ไปเสียมากกว่าง
          เมื่อเราถือหลักว่า ใครมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายความเห็นแก่ตัว ผู้นั้นเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ดังนี้แล้ว เราก็อาจจะมองเลยออกไปนอกเขตที่เราสมมติกันอยู่ในบัดนี้ว่า เขตของพุทธบริษัท ; มองให้กว้าง มองให้กว้างออกไปด้วยสายตาอันนี้ จนกระทั่งทั่วโลก, จนกระทั่งทุกๆโลกกี่ร้อยกี่พันโลก, แม้เป็นโลกที่เรายังมองไม่เห็นด้วยตา แต่เราก็เชื่อว่ามีอยู่, เหล่านั้นให้ทั่วถึงเราก็จะพบด้วยความดีอกดีใจว่าเพื่อนพุทธบริษัทของเรานั้นมีอยู่ทั่วไปทั้งโลก, และทุกๆโลก, หรือในทุกๆศาสนาที่มีการสอนให้ทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนหรือของตนอย่างตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้และต้องการ, และตรงตามเจตนารมณ์ของ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา อย่างแท้จริง.
          ขอบเขตแห่ง พสล. เป็นต้นของเรา มีอยู่อย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ; เรากำลังให้ความสนใจ แต่มันน้อยเกินไป หรือถึงกับไม่สนใจกันเสียเลย.  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเรียกว่า เราพุทธบริษัทส่วนน้อย กำลังทำการแบ่งแยกและตีตนออกห่างจากเพื่อนพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ในลักษณะที่ไม่ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการได้หรือไม่ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องคิดดูกันให้ดีหรือเอาไปคิดกันเสียใหม่ให้หลายครั้งหลายหน.  ถ้าเราเข้าถึงความหมายของคำว่า”ธรรม”กันอย่างถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว การคิดได้อย่างถุกต้องนั้น จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากเลย.

          สรุปความ.  ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอสรุปเป็นใจความสั้นๆ เพื่อความสะดวกแก่ท่านทั้งหลายในที่นี้ว่า ในเวลาที่แล้วมา พวกเราสนใจในตัว”ธรรม”ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนากันน้อยไป.  เราศึกษาเรื่องอนัตตา สุญญตา เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น, และเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่องอริยสัจกันแต่ในรูปของวรรณคดี, ปรัชญา และจิตวิทยาเป็นต้น  แต่มิได้อยู่ในรูปของการปฏิบัติดังเช่นที่เคยกระทำกันในครั้งพุทธกาล.  เราพูดกันแต่วิธีดำเนินงานปละประสานงานในการประกาศธรรม  จนลืมพูดกันถึงตัวธรรมแท้จริงที่ควรประกาศ !  เราพูดกันแต่การประกาศราวกะว่าเราเป็นพระอรหันต์ผู้จบกิจในพระศาสนากันแล้วทุกคน, ดังนั้นเรื่องที่ประกาศออกไป จึงเป็นเพียงเรื่องจริยธรรมทางสังคม หรือการเมืองกันเสียมากกว่า แทนที่จะเป็นเรื่องทางปรมัตถธรรมในระดับที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
          เมื่อเรารู้จักตัวธรรมแท้กันน้อยเกินไป สิ่งที่เราประกาศออกไปนั้นจะไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความสนใจ แก่นักศึกษาและนักปฏิบัติที่กำลังก้าวหน้า อันมีจำนวนมากขึ้นทุกทีในโลกปัจจุบันนี้ ; องค์การที่เป็นปึกแผ่นเช่น องค์การ พสล. นี้ควรมีกิจการที่ทำให้คนเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาจริงๆ ยิ่งกว่ากิจการทางธุรการ หรือวิธีการที่เนื่องด้วยพิธีรีตองทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรมเป็นต้น ซึ่งเป็นเพียงพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น.  เมื่อเราศึกษาพุทธศาสนาในแง่ของปรัชญากันอย่างเพียงพอแล้ว เรายังต้องประชุมกันเพื่อหาวิธีแปรรูปของเรื่องที่เป็นปรัชญานั้น ให้มาอยู่ในรูปของการปฏิบัติที่คนสมัยนี้จะปฏิบัติกันได้จริงๆให้จนได้, เพื่อเขาถึงตัวธรรมแท้ให้ได้ ; เมื่อเข้าถึงตัวธรรมแท้กันได้จริงๆแล้ว เราก็สามารถขยายวงของ พสล. เป็นต้นออกไปเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งโลกได้, โดยไม่จำกัดอยู่แต่ในขอบวงของคนจำนวนน้อย ที่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขากันอยู่.  การทำโดยวิธีนี้ จะสิ้นเปลืองน้อย แต่ได้ผลมากและสูงกว่าการกระทำชนิดที่เป็นการเข็นผู้ไม่รู้จักธรรมเข้าไปในธรรม โดยอาศัยพิธีรีตองอันสง่าเป็นเครื่องมือ, หรือแม้แต่อาศัยเกียรติของสมาคมที่มีเกียรติเป็นเครื่องผลักดันเป็นต้นก็ตาม.
          ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ข้อความที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ที่เสนอแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยความหวังดีอก่เพื่อนมนุษย์และพุทธศาสนา, หากแต่เป็นความเห็นของผู้ที่ได้สนใจในกิจการเผยแผ่พุทธศาสนา, ทั่วๆไปมาแล้วเป็นเวลากว่า 30 ปี จึงหวังว่าจะได้รับความสนใจของท่านทั้งหลายบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อนำไปพิจารณากันดูตามสมควร เพื่อหาทางปรับปรุงกิจกรรมของพุทธบริษัทเป็นส่วนรวม ให้ก้าวหน้าสืบไป.
          ขอให้สรรพสัตว์จงได้รับประโยชน์จากการเสียสละ ของพวกเรา อย่างสูงสุดเถิด.


วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พุทธทาสภิกขุ - ปณิธาน 3 ประการ (3)



ธรรมบรรยาย
วันล้ออายุ ภาคบ่าย
27 พ.ค. 2529




ปณิธาน  ข้อ 3
การนำโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม


ท่านสาธุชน ผู้สนใจในธรรม และเพื่อนสหธรรมิกทั้งหลาย
          ในการบรรยายครั้งที่ 3 นี้ จะบรรยายด้วยหัวข้อ คำปณิธานข้อที่ 3 คือการนำโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม; ฟังดูมันก็ไม่น่าสนใจอะไร  แต่ความจริงเป็นเรื่องที่จะต้องสนใจที่สุด คือ สิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมนั่นแหละ คือตัวศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์ยิ่งกว่าสิ่งใด.  โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบัน วัตถุนิยมกำลังครองโลก กำลังจับจิตจับใจของมนุษย์ทุกคนในโลก, บีบบังคับให้ดิ้นรนไปในทางของความลุ่มหลงต่อวัตถุ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเห็นแก่ตัว และส่งเสริมความเห็นแก่ตัวให้ยิ่งขึ้นไป, โลกจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เพราะพอใจในรสของวัตถุ ลุ่มหลงยิ่งกว่าสิ่งใด จึงมีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นเท่ากับความลุ่มหลงในวัตถุ.

ศึกษาให้เข้าใจคำว่า “วัตถุนิยม”.
          บางท่านบางคนอาจจะไม่เข้าใจคำว่า “วัตถุนิยม” ก็ได้.  ขอโอกาสพูดกันสักเล้กน้อยในเรื่องนี้ จะเปรียบเทียบด้วยอุปมาเพื่อให้เข้าใจง่าย ; เหมือนกับว่า ลูกหนูตัวเล็กๆตัวหนึ่งมาบอกกับแม่ของมันว่า สัตว์ตัวหนึ่ง มันน่าเกลียดน่าชัง หน้าตาดุร้าย ไม่กล้ามอง, อีกสัตวตัวหนึ่งน่ารัก น่าคบหาสมาคมเป็นเพื่อน.  สัตว์ที่ลูกหนูบอกแม่ว่าน่าเกลียดน่ากลัวที่สุดนั้นคือ ไก่, ไก่ที่มีหงอน ; ส่วนที่ลูกหนูบอกแม่ของมันว่า น่ารักที่สุดนั้นคือ แมว เพราะแมวมันสวย มันน่ารัก.  นี้ลูกหนูมันมีความคิดอย่างนี้ มีความสำคัญอยู่ที่ว่า มันหลงกลับกัน ; เห็นยักษ์ร้ายเป็นสิ่งที่น่ารัก เห็นสิ่งที่ไม่มีอันตรายว่าเป็นยักษ์ร้าย.  คนเราในโลกนี่ ก็จะเป็นเสียอยบ่างนี้ : ไปหลงพอใจในรสอร่อยของวัตถุ ซึ่งมันจะกัดกินหัวใจ ; ส่วนรสอร่อยของธรรมะทางจิตใจนั้นกหลับเกลียด กลับกลัว นี่กลัวธรรมะ, กลัวนิพพาน เป็นต้น.  ฉะนั้น คนเหล่านี้ก็เหมือนกับลูกหนูตัวนั้น ไม่รู้จักว่าอะไรเป็นยักษ์ร้าย, อะไรที่จะไม่มีอันตราย.
          ขอแยกแยะกันดูให้ดีๆว่า วัตถุนิยมสวยงามน่ารัก ยั่วยวนชวนใจ ; แต่มันก็มีลักษณะเหมือนกับว่าแมว เมื่อไปเกี่ยวข้องกับหนู; ส่วนความสุขทางจิตใจหรือธรรมเนียมกลับเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย, มนุษย์เห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย น่าเกลียดน่ากลัวไปเสีย ; บางคนก็พูดออกมาตรงๆว่า เกลียดความสงบ คือไม่สนุกสนานไม่ได้กระโดดโลดเต้น ไม่ชอบ.  นี่วัตถุนิยมมันมีอะไรอย่างนี้ มันมีความยั่วยวน มีลักษณะอาการที่แสดงออกมาอย่างยั่วยวน, แล้วมันก็มีรสอร่อยตรงกับความรู้สึกของคนปุถุชนทั่วๆไป คือตามธรรมชาติ ตามธรรมดานั้น, แล้วมนุษย์เขาก็ปรับปรุงเรื่องของวัตถุนิยมนี้ ให้มีอำนาจมีอะไรมากขึ้นทุกที : อร่อยทางตา สวยงาม ก็ยิ่งขึ้นไปทุกที, อร่อยทางหู มันก็ไพเราะยิ่งๆขึ้นไปทุกที จนสุดเหวี่ยง, อร่อยทางจมูก ก็ทำกันจนถึงที่สุด, อร่อยทางลิ้น โดยเฉพาะอาหารก้ปรับปรุงกันจนถึงที่สุด, อร่อยทางผิวกาย โผฏฐัพพะ ที่มาสัมผัสกับผิวหนัง, ก็ปรับปรุงกันทุกอย่าง ทุกประการ ให้มันมีความดึงดูดมากขึ้น.  นี้เรียกว่าทางวัตถุ 5 ประการ ก็ได้รับการปรับปรุงอยู่ทุกวัน ให้ยิ่งขึ้นไป ให้ยิ่งขึ้นไป ผ๔ปรับปรุงนั้น เป็นผู้ฉลาดหารายได้ดี, ก็มีโอกาสที่จะปรับปรุงให้ยิ่งขึ้นไป ดูจะไม่มีจุดจบ ; วัตถุนิยมกำลังมีบทบาทอยู่ในโลกนี้ ในลักษณะอย่างนี้.

          คนก็หลงวัตถุก็ซื้อหาวัตถุชนิดที่ไม่จำเป็น ที่ไม่จำเป็น เอามาไว้เต็มบ้านเต็มเรือนที่เกินความต้องการ, อุตส่าห์กู้หนี้ยืมสินไปซื้อหา อุปกรณ์แห่งวัตถุนิยมนี้มาให้มีความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมุก ทางลิ้น ทางผิวกาย; เป็นสิ่งที่ถ้าไม่มองก็ดูจะไม่มีความหมายอะไร; ถ้าไปมองเข้าแล้วมันมีความหมายมาก คือมันจะกัดกินมนุษย์ใหก้สูญสิ้นความเป็นมนุษย์, มันจะไม่มีจิตใจอย่างมนุษย์ คือไม่มีความสะอาด สว่าง สงบ เสียเลย; บูชาความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ คือทางเนื้อทางหนัง อย่างยิ่งอย่างสูงสุด เหมือนกับว่าเป็นพระเจ้า.
          ดูคนที่เล่าเรียนศึกษาก็มีความมุ่งหวังว่าจะมีรายได้สูง เพื่อไปซื้อหาวัตถุที่บำรุงบำเรอความรู้สึกทางอายตนะนี่ให้ยิ่งๆขึ้นไป, แล้วก็ยั่งยวนแก่กันและกัน ประกวดประชันแก่กันและกันให้มันยิ่งๆขึ้นไป, เงินเดือนไม่พอใช้จนกระทั่งต้องคดโกง ต้องทำคอรัปชั่น หลายอย่างหลายประการ หลายๆวิธี, มันก็เต็มไปด้วยคอรับชั่น, ในโลกนี้ก็หาความสงบสุขไม่ได้ นี่ วัตถุนิยม เป็นยักษ์ร้าย ถึงกับทำลายโ,กได้ ชนิดที่สมัครใจ คือมนุษย์สมัครจะวินาศด้วยความสมัครใจ เพราะหลงเสน่ห์อย่างยิ่ง ของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม.
          เมื่อหลงใหลทางวัตถุแล้วก็เห็นแก่ตน  ซึ่งหมายถึงการเห็นแก่กิเลสของตน, มันนเป็นการให้เหยื่อแก่กิเลส, ไม่ได้ให้เหยื่อแก่จิตใจที่บริสุทธิ์.  จิตใจที่บริสุทธิ์มันไม่ต้องการกินเหยื่อดอก, ต้องการปัจจัยเล้กๆน้อยๆตามสมควรก็อยู่ได้ ; แต่ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส มันต้องการเหยื่อ – เหยื่อ – เหยื่อ, แล้วก็ยิ่ง – ยิ่ง – ยิ่งขึ้นไป.  ฉะนั้น ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุนั้น มันไปหล่อเลี้ยงกิเลส ไม่ใช่ไปหล่อเลี้ยงจิตใจ; แต่ว่ากิเลสมันก็เป็นสิ่งที่รู้สึกกันทางจิตใจ แต่มันยังแบ่งแยกออกได้ว่า เป็นส่วนจิตใจล้วนๆหรือเป็นส่วนของกิเลสที่ห่อหุ้มจิตใจ.  เรามันไม่รู้จักแยกออกจากกัน มีตัวกู – ของกู เป็นผู้ที่จะเอร็ดอร่อยทางอายตนะเหล่านี้ให้ถึงขีดสุด, แล้วก็ลุ่มหลงพร้อมๆกันทั้งโลก ; ไม่มีใครตักเตือน, ไม่มีใครชักชวนว่า หยุดกันเสียบ้างเถิด, ประหยัดลดหย่อนกันเสียบ้างเถิด มันไม่มี มันมีแต่จะช่วยส่งเสริมให้ยิ่งๆขึ้นไปด้วยกันทั้งนั้น จึงเต็มไปทั้งโลก.

          ความเจริญก้าวหน้าของโลก ในทางวิชาการก็ค้นคว้าแต่เรื่องวัตถุ ในการประดิษฐ์คิดค้น หรือผลิตขึ้นมา  ก็เป็นแต่เรื่องของวัตถุ, วัตถุจึงครองโลก มันก็เป็นเรื่องที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ใครจะรับผิดชอบ ถ้าจะให้พระเจ้ารับผิดชอบ ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าอยยู่ที่ไหน ; แล้วคนเขาบูชาวัตถุยิ่งกว่าพระเจ้า, เขาก็หันหลังให้พระเจ้า.  บทบัญญัติทางศาสนาก็เลยเป็นหมันไป, ไม่มีใครเชื่อฟัง ไม่มีใครเหลียวแล ; ฝ่ายมารร้ายคือ วัตถุนิยมได้เปรียบ เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปจนครองโลก.

วัตถุนิยมทำให้โลกร้อนด้วย กิน กาม เกียรติ.
          นี่ดูกันสักนิดว่า การเจริญด้วยวัตถุนี้มันไม่ได้อะไร.  และมันเสียอะไร? มันได้ความเพลิดเพลินอันหลอกลวงอย่างยิ่งมา ; แต่มันสูญเสียความสงบสุขอันแท้จริงไป, มันแลกเปลี่ยนกันอย่างนี้ ; มันได้ความเพลิดเพลินอันหลอกลวง แสนจะหลอกลวง หลอกลวงถึงกับเป็นบ้าเป็นหลังไป นี้ได้มา, แต่ความสงบเย็นแห่งจิตใจนั้นสูญเสียไปหมด.  โลกนี้มันก็ต้องร้อน ต้องระอุ ต้องร้อน แล้วต้องลุกเป็นไฟ ไม่เป็นไฟอย่างไฟไหม้กระดาษอย่างนี้ แต่เป็นไฟที่ไหม้จิตใจลึกซึ้งอยู่ข้างใน เป็นไฟทางจิตวิญญาณ ; ดูอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุ มันจุดไฟให้เกิดขึ้น ในจิตในวิญญาณ แล้วก็ร้อนระอุ.
          เราเคยสมมติคำ 3 คำ ว่า กิน กาม เกียรติ : เรื่องกิน ก็เป็นเรื่องอร่อยทางลิ้น  สำหรับกินเหยื่อไม่ใช่กินอาหาร ; ร่างกายตามธรรมชาตินั้น ที่ไม่เกี่ยวกับกิเลส ต้องการเพียงอาหารพอให้อยู่ได้ ; นี้ไม่ใช่กินเหยื่อ, แต่กิเลสนั้นมันไม่กินอาหารอย่างนี้ มันต้องการจะกินเหยื่อ, ต้องการได้เหยื่อ, ที่กระตุ้นความรู้สึกของระบบประสาทอันรุนแรง เรียกว่ามันกินเหยื่อ ความจริงมันจึงเป็นไปในทางส่งเสริมกิเลส.
          เรื่องกาม นั้น มันกลายเป็นคนละเรื่องกับการสืบพันธุ์โดยบริสุทธิ์ ; ธรรมชาติต้องการให้มีการสืบพันธุ์โดยบริสุทธิ์ ไม่ให้สูญพันธุ์ ; แต่มนุษย์ก็ไม่พอใจในเรื่องสืบพันธุ์บริสุทธิ์ ต้องการเหยื่อล่อที่ธรรมชาติมันปะหน้าไว้หลอกลวงให้เป็นค่าจ้าง คือความรู้สึกทางเพศที่เรียกว่า กาม ก็คิดในทางที่จะบริโภคกามให้ยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็รังเกียจการสืบพันธุ์.  แต่ถึงอย่างนั้น ส่วนมากก็ไม่พ้นไปจากการตกเป็นเหยื่อของกาม ได้รับโทษได้รับการตอบแทนในทางการสืบพันธุ์, ต้องจัดการคุมกำเนิดกันอยู่อย่างนี้.
          เรื่องเกียรติ  เกียรตินั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องนามธรรมอันบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ, มันเป็นเครื่องมือที่เขาต้องการจะมีไว้สำหรับแสวงหาวัตถุ.  คนมีเกียรติโดยทั่วๆไป มีไว้เพื่อแสวงหาวัตถุ, ไม่ใช่เป็นการได้เพียงชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ เป็นเกียรติคุรอันบริสุทธิ์ ; แต่มันเป็นเกียรติที่จะมีไว้ในลักษณะเป็นอำนาจ ที่จะกวาดเอาวัตถุมาทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม.  นี่เราจึงมีปแญหามาก เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ.

          ส่วนอีกสามอย่าง คือสาม ส. ได้แก่ สะอาด สว่าง สงบ นั้นมันตรงกันข้าม ไม่มีใครจะสนใจกันสักกี่คน เห็นเป็นความจืดชืดแห้งแล้ง ไม่มีรสชาติ; แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มันเป็นความสงบสุขอันแท้จริง.  เรื่องกิน กาม เกียรติ มัน เป็นสุขหลอกลวง คือเป็นสุขที่ทำให้เผาไหม้, เป็นสุก ก. สะกด เผา จี้ ปิ้ง ให้สุก, เป็นความสุก ก.สะกด.  ส้วนความ สะอาด สว่าง สงบ นั้นเป็นความสุขที่แท้จริง สงบเย็น, เป็น ข. สะกด ที่ถุกต้อง.  เดี๋ยวนี้เราก็เอามาปนกันเสีย : เอาความสุก ก. สะกด สุกดไหม้มาเป็นความสุข ข. สะกด และก็ยึดถือไว้, บูชาความสุขชนิดนี้ กันอยู่.  ดูให้ดีๆมันสุขเย็นหรือสุกไหม้ ให้แน่เอย.  ดูให้ดีๆว่ามันสุขเย็นหรือสุกไหม้, สุก ก. สะกด หรือ สุข ข. สะกด, สุกอันเกิดมาจากวัตถุนิยม นี่มัน เป็นสุกไหม้ : ถ้าสุขที่เกิดมาจากธรรมนิยมนั้นเป็นสุขเย็น : ซึ่งจะได้พูดกันโดยรายละเอียดต่อไป.

วัตถุนิยมเป็นปัญหาใหญ่
          การบรรยายครั้งแรก ก็พูดถึงการเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ เมื่อเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆแล้ว ก็มีความเข้าใจกันได้ในระหว่างศาสนา นี้ปัญหามันเหลืออยู่แต่ว่าทุกคนกำลังเป็นทาสของวัตถุนิยม จะทำอย่างไร? ไม่เข้าถึงหัวใจของศาสนา ก็เพราะมันหลงวัตถุนิยม, มันทำความเข้าใจซึ่งกันและกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างแย่งชิงวัตถุหรือรสอร่อยของวัตถุนิยม ไม่อยากจะปรองดองปรึกษาหารืออะไรกัน.  มันทำความเข้าใจกันไม่ได้ จึงถือว่าแม้จะเข้าถึงหัวใจของศาสนาแล้ว ทำความเข้าใจกันได้ระหว่างศาสนาแล้ว ; ปัญหาก็ยังเหลืออยู่แต่ว่า สมาชิกทุกคนในโลก เป็นทาสของวัตถุ คือวัตถุนิยม, มันจึงต้องจัดการกับปัญหานี้กันอีกทีหนึ่ง.
          ขอให้ดูให้ดีเถิด การเผยแผ่ธรรมะ ประกาศพระศาสนาไม่สำเร็จ เป็นไปได้ยากเย็นนั้น อะไรเป็นอุปสรรคกีดขวาง? มองผิวเผินก็เห็นเป็นอันอื่น แต่ถ้ามองลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่า ลัทธิวัตถุนิยมในโลก นี่แหละมันเป็นข้าศึก เพราะตัวเองมันก้เป็นข้าศึกต่อธรรมะอยู่แล้ว, มันยึดจิตใจคนส่วนใหญ่ในโลกไว้ มันก็ไม่สนใจในเรื่องราวธรรมะ.  ฉะนั้น ถ้าว่าฆ่ายักษ์ตัวนี้ไม่ได้ โลกนี้ก็จะต้องทนอยู่ในความทุกข์ทรมานยิ่งๆขึ้นไปหรือไม่มีที่สิ้นสุด ; ถ้าว่านำโลกออกมาเสียได้จากอำนาจวัตถุนิยม นั่นแหละมันจึงจะมีความสงบสุข.  แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นไปไม่ได้ในข้อที่ว่า วัตถุนิยมมันมีเสน่ห์มากกว่า มันจับใจคนมากกว่า มันยึดจิตใจของคนไว้หมด, ทำให้โลกนี้ หลงติดอยู่ในความเอร็ดอร่อยของวัตถุ.

          ผู้ที่จะเผยแผ่ธรรมะหรือพระศาสนา จะต้องมองถึงปัยหาข้อนี้ให้เป็นอย่างยิ่ง คือมันเป็นอุปสรรคอย่างแรงร้าย และแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ของการเผยแผ่ธรรมะ ของความหวังที่เราจะอยู่เย็นเป็นสุขกันด้วยการมีธรรมะ, จึงขอฝากไว้ให้พิจารณาสำหรับผู้ที่จะเผยแผ่ธรรมะคือ พวกธรรมทายาทก็ดี  พวกธรรมฑูตก็ดี  อะไรที่มีหน้าที่เผยแผ่ธรรมะจะต้องดูให้เห็นว่า อะไรเป็นอุปสรรค.
          ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นผู้รับการเผยแผ่ มันก็ต้องดูตัวเองให้ดีว่า ทำไมจิตใจของเราจึงไม่ชอบธรรมะ? เพราะว่าหลงอยู่ในเสน่ห์อันใหญ่หลวงของวัตถุนิยม  ทั้งๆที่ปากมันก็พูดไปเหมือนกับว่าไม่ต้องการ.  ครั้งหนึ่งเลยสอบถามคนๆหนึ่งว่า อยากไปนิพพานไหม?  เขาตอบทันที อยากไปอย่างยิ่ง, อยากได้อย่างยิ่ง อยากไปอย่างยิ่ง.  แต่พอบอกว่า ในนิพพานนั้นไม่มีรำวงนะ เขาเลยสั่นหัวดิกไม่เอา, ไม่เอาไม่เอา เพราะว่าเขาเป็นผู้ชอบรำวง พอบอกว่าในนิพพานไม่มีรำรง ก็ไม่ประสงค์นิพพาน, ก่อนหน้านี้ก็หวังจะได้นิพพาน คงจะด้วยความคิดว่า ในเมืองนิพพานนั้นจะมีรำวงที่สนุกสนานยิ่งกว่าที่นี่ นี่ผู้ชอบรำวงคนนี้จึงอยากจะไปนิพพาน บอกว่าอยากไปนิพพาน.  นั่นแหละดูใหก้ดีเถอะว่า มันมีลักษณะอย่างนี้อยู่ด้วยกันแทบจะทุกคนก้ว่าได้ ปากว่าอยากไปนิพพาน.  พอเขาบอกว่าในนิพพานไม่มีรสอร่อยอย่างนี้นะ รสอร่อยของวัตถุอย่างนี้นะ มันก็สั่นหัวอีกนั่นแหละ.  นี่ดูให้ดีว่าอย่างวัตถุนิยมอย่างนี้มันยึดโลกทั้งโลกไว้, ยึดสัตว์ทั้งหมดไว้ในลักษณะอย่างไร.  เราจะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ไปจนตาย, หรือว่าจะช่วยแก้ไข.  ช่วยดึงออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม.

ไม่ควรเป็นทาสวัตถุ แต่ปฏิบัติตามธรรมเนียม.
          อาตมาเห็นเป็นความจำเป็นที่ว่า จะต้องยึดมนุษย์ไว้ให้ได้, ไม่ให้ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม จึงได้มุ่งมั่นบากบั่นในการเผยแผ่ธรรมนิยม ก็ถือโอกาสพูดถึงธรรมนิยมไปเสียว่า เรื่องวัตถุนิยมนั้นเป็นคู่กันกับจิตนิยม, มันตรงกันข้ามกันอยู่.  แต่ว่าถ้าจะหลงใหลในเรื่องจิตนิยม มันก็จะไปติดรสอะไรบางอย่างคล้ายๆกันอีก เป็นสุดโต่งฝ่ายจิต  มันก็ร้ายพอๆกับสุดโต่งฝ่ายวัตถุ ; ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างจิตกับวัตถุ หรือว่าครอบงำทั้งจิตและวัตถุ, ควบคุมได้ทั้งทางวัตถุ และทั้งทางจิต เป็นความถูกต้องทั้งสองทาง คือพอดีทั้งสองทาง คือทางวัตถุและทางจิต ความถูกต้องอย่างนี้เราเรียกว่าธรรมะ หรือธรรมนิยม.

          อย่าเข้าใจไปว่า หลีกจากวัตถุนิยมแล้วก็จะต้องไปติดกับจิตนิยม มันก็ไม่ได้ มันเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาสุดโต่งด้วยกันทั้งนั้น มันต้องถูกต้องอยู่ตรงกลาง แล้วก็เรียกว่า ธรรมนิยม.  คำว่า ธรรมะ – ธรรมะนี้มีความสำคัญที่จะต้องเข้าใจให้ดีๆให้ถุกต้องเพียงพอที่จะระงับความเข้าใจผิดทั้งหมดทั้งสิ้นได้.
          เดี๋ยวนี้มันเป็นธรรมนิยมไม่ได้ เพราะว่าวัตถุนิยมมันดึงดูดไปหมดสิ้น ; จิตนิยมแท้ๆมันก็ไม่มีการดึงดูดคนทั่วไปเหมือนวัตถุนิยม มันดึงดูดได้เฉพาะบางคนหรือบางพวกที่หลงใหลในเรื่องจิต นั้นมันยังเป็นส่วนน้อย, ถ้าดึงดูดไปได้ มันก็ไปเป็นฤาษี มุนี ชีไพรอยู่ในป่า ในดง ไม่เป็นปัยหาแก่บ้านแก่เมืองอะไร.  เดี๋ยวนี้ที่กำลังเป็นปัยหาอยู่ในบ้านในเมืองนี้เป็นเรื่องของวัตถุนิยมทั้งนั้น ถ้าสุดโต่งไปอยู่ในป่าเป็นจิตนิยม มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน, มันจะต้องรู้จักทำชีวิตนี้ให้มีประโยชน์.
          ชีวิตนี้ประกอบอยู่ด้วยสิ่งทั้งสอง คือ ประกอบอยู่ด้วยวัตถุคือร่างกาย, แล้วก็ประกอบอยู่ด้วยจิต คือ จิตใจ, มันมีทั้งทางวัตถุและทางจิตประกอบกันอยู่เป็นชีวิต.  นี้จะต้องพิจารณาดูกันต่อไปดีๆว่า มันจะต้องมีความถุกต้องทั้งสองทาง คือ ทั้งทางวัตถุและทางจิต, เป็นธรรมนิยมขึ้นมา.

พึงรู้ความหมายของวัตถุนิยม.
          เดี๋ยวนี้เรามาพิจารณาเรื่องวัตถุนิยมโดยเฉพาะ ในฐานะเป็นศัตรูอันร้ายกาจ และท่านทั้งหลายที่ไม่เคยทราบความหมายของคำๆนี้ ยังไม่เข้าใจคำๆนี้ ก็จะได้เข้าใจ เพราะว่าคำว่า วัตถุนิยม – วัตถุนิยมนี้ มันก็มีความหมายหลายแง่หลายมุม หรือหลายลักษณะ.
          ความหมายแรกที่สุด วัตถุนิยมก็คือลุ่มหลงรสอร่อยของวัตถุ บูชารสอร่อยของวัตถุ เพราะมันง่าย ; เด็กๆคลอดออกมาจากท้องมารดา มันก็ง่ายที่สุดที่จะติดในรสของวัตถุ นับตั้งแต่น้ำนมของมารดาเป็นต้นมา จนของกินของอร่อยต่างๆเป็นไปได้เอง ไม่ต้องมีใครสอน ไม่ต้องส่งเสริมมันก็ยังเป็นเองได้.  มันมีวัตถุนิยมรอคอยที่จะจับตัวทารกที่คลอดมาจากท้องแม่ภายในไม่กี่วัน มันก็มีอำนาจครอบงำจิตใจ, เด็กๆ เหล่านั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความลุ่มหลงในทางวัตถุ ; เมื่อเจริญเติบโตขึ้น อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสมรรถภาพสูงขึ้น ก็ชวนให้ลุ่มหลงในรสอร่อยทางวัตถุลึกลงไปอีกทุกๆทาง, เลยเสร็จมัน, ยักษ์วัตถุนิยมเอาตัวไปได้ คือ ไปบูชารสอร่อยของวัตถุ ; นี้เรียกว่าวัตถุนิยม.

          เราแม้ไม่ถึงขั้นนั้น มันก็พอใจในความสะดวกสบายทำนองนั้น แม้ไม่ถึงขนาดเป็นลึกซึ้งถึงกามารมณ์อันเหนียวแน่น ; แต่เพียงแต่ความสะดวกสบายในทางวัตถุ มันก็ชวนให้เป็นวัตถุนิยม.  ต้องการจะบำรุงบำเรอด้วยวัตถุให้มีความสะดวกสบายเพียงเท่านั้นแหละ มันก็ทำให้คนเป็นวัตถุนิยมได้, ไม่ต้องถึงกับเรื่องกามารมณ์อันลึกซึ้ง ; รวมกันเข้าทั้งสองอย่าง ก็เลยมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของวัตถุนิยม : พวกหนึ่งลึกลงไปถึงรสอร่อยทางกามารมณ์ ก็เป็นวัตถนิยม, พวกหนึ่งเอาเพียงแค่ความสะดวกสบายทางกาย เพียงมีห้องปรับอากาศ หรือมีรถอะไรที่มันสะดวกสบาย แล้วก็พอใจหลงใหล นี้ก็ยังเป็นวัตถุนิยม.

          ทีนี้คนก็รู้จักดต่ความงามทางวัตถุ ไม่รู้จักความงามในจิตใจ ; รู้จักค่านิยมแต่ในทางวัตถุ ไม่รู้จักค่านิยมในทางจิตใจ.  นี่รู้จักความงามและค่านิยมกันแต่ในทางวัตถุ ความงามทางจิตใจนั้นไม่รู้จัก ; แล้วจะฟังไม่ถูกเช่นคำว่า ธรรมะมีความงดงามในเบื้องต้น มีความงดงามในท่ามกลาง มีความงดงามในเบื้องปลาย  นี่พวกเหล่านี้ฟังไม่ถูก อย่าว่าแต่ชาวบ้านญาติโยม แม้แต่พระเณรที่อยู่ในวัดก็ยังฟังไม่ถูก ว่าธรรมะมีความงดงามในเบื้องต้น, ในท่ามกลางและในเบื้องปลายอย่างไร ; เพราะมีจิตใจรู้จักแต่เรื่องทาง
วัตถุ และความสะดวกสบายทางวัตถุ จึงไม่พอใจและหลงรักในธรรมะ.  แม้จะมีความงดงามอย่างยิ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยันไว้เองว่าธรรมะนี้มีความงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย, ซึ่งสวดกันอยู่ทุกวันนั่นแหละ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลาณังปริโยสานกัลยาณัง.  พระพุทธองค์ทรงกำชับว่า เธอทั้งหลายจงเผยแผ่ธรรมะ ประกาศธรรมะ ให้มีความงดงามทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลางและเบื้องปลาย.  เดี๋ยวนี้ธรรมทูตธรรมทายาทของเรา รู้จักความงามของธรรมะ เบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย หรือเปล่า?  ถ้าไม่รู้ มันก็ไม่รู้ว่าจะไปเผยแผ่ธรรมะให้มีความงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายได้อย่างไร ; รสนิยมหรือค่านิยมมันยังไกลกันอย่างนี้ ก็เดี๋ยวนี้คนก็รู้จักความงามและค่านิยมแต่ในทางวัตถุ, ภาวะอย่างนี้ก็เรียกว่าวัตถุนิยม.
          ทีนี้มาถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ การตรากฏเกณฑ์ บัญญัติกฏเกณฑ์ บันทึกประวัติ ทำอะไรที่เป็นหลักฐานเป็นเรื่องเป็นราวนี้ ก็บันทึกกันได้แต่ทางวัตถุ เพราะไม่รู้เรื่องทางจิตใจ ; ฉะนั้น ตำรับตำราอันมหาศาล, กฏเกณฑ์ต่างๆที่บัญญัติสร้างกันขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องทางวัตถุไปหมด ; แล้วก้หลงว่านี้หมดแล้ว สูงสุดกันเท่านี้ ไม่มีเรื่องอะไรนอกไปจากนี้.  นี่การบันทึกประวัติศาสตร์นั้น น่าหัวเราะที่สุด มันก็บันทึกกันได้แต่เรื่องทางวัตถุ หรือแสดงออกมาทางวัตถุทางจิตใจมันไม่มีเลย.

          ทีนี้ที่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ จะบัญญัติความจริงของธรรมชาติ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็บัญญัติได้แต่เรื่องทางวัตถุที่ผิวเผิน, ไม่รู้และไม่ได้บัญญัติลึกซึ้งลงไป ถึงกับเรื่องทางจิตหรือทางธรรมะ.  แล้วก็ยึดหลักอันนี้ที่บัญญัติขึ้นมาอย่างหลับตา มีวัตถุเป็นหลักนี่ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นคัมภีร์เป็นตำรับตำราอะไรที่ถูกต้อง ก็ยึดเป็นหลัก, มันก็เป็นวัตถุนิยมหนักขึ้นไปอีก กระทั่งในที่สุดมีทิฏฐิความคิดเห็นความเชื่ออันแน่นแฟ้นว่าวัตถุเป็นเครื่องนำจิต ตามหลักที่เรียกว่า dialectic materialism, dialectic materialism  ลัทธิวัตถุนิยมที่ถึงพร้อมด้วยเหตุผลที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าวัตถุนั้นนำจิต, ก็อย่างที่พวกคอมมิวนิสต์เขาถือว่าเป็นหลักใหญ่ ว่าถ้าวัตถุดีแล้ว ก็ดีหมด, อะไรก็ดีหมดเพราะว่าวัตถุมันนำจิตใจให้ดี, ฟังดู ถ้าวัตถุดี แล้วมันจะนำจิตใจให้ดี; เดี๋ยวนี้เราก็เห็นๆกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ว่า วัตถุนั้นมันนำจิตไปให้จมปลัก, ให้มันตกจมอยู่ในวัตถุ ในปลักหนองของวัตถุ, วัตถุนำจิตมันนำไปอย่างนั้น.  พวกนั้นเขาอ้างว่า วิวัฒนาการทั้งหลายในสากลจักรวาลนี้ วัตถุนำจิต, วัตถุดีแล้วจิตดี นี้มันฝืนหลักธรรมชาติ, มันหลอก หลอกลวงอย่างยิ่ง, วัตถุจะเป็นเครื่องนำจิต มันก็เป็นเรื่องที่เหลือเกิน.  แต่เขาก็ยังหาเหตุผลมาพิสูจน์กันได้ จนให้ทุกคนลุ่มหลงมีความเชื่ออย่างนั้น แล้วมาร่วมแรงร่วมกำลัง ระดมกันพัฒนาวัตถุเป็นการใหญ่, แล้วเขาก็จะครองโลก; คอมมิวนิสต์จึงคิดจะครองโลกด้วยการพัฒนาทางวัตถุ.

          ส่วนหลักธรรมะนั้น  มันไม่เป็นอย่างนั้น, มันตรงกันข้าม.  มันมองเห็นข้อเท็จจริง หรือความจริงว่า จิตมันนำวัตถุ, ไม่ใช่วัตถุนำจิต : ความคิดนึกเป็นไปก่อนแล้ววัตถุจึงจะเกิดขึ้นและเป็นไปตาม.  ในร่างกายของเรานี้ มีจิตเป็นเครื่องนำ ให้ร่างกายเจริญงอกงามออกมายิ่งขึ้น; เมื่อร่างกายเจริญงอกงามแล้ว มันก็ส่งเสริมจริงเหมือนกัน.  ในร่างกายที่ดี ที่สบาย ที่มีอนามัยสุขภาพดี จิตมันก็ดี ; นี้ก็จริงเหมือนกัน  แต่ถ้าจะถามว่า อะไรเป็นเครื่องนำอะไรกันแล้ว  ก็ดูดีๆว่า วัตถุนำจิตหรือว่าจิตนำวัตถุ ; ตามหลักพระพุทธศาสนาเราถือว่าจิตนำวัตถุ ต้องทำจิตให้ถุกต้อง แล้วทางกายหรือทางวัตถก็จะพลอยถุกต้องไปตาม ; ข้อนี้มันน่าจะเห็นกันได้ง่ายๆ, ถ้าเราอย่าไปหลงการหลอกของพวกวัตถุนิยม แล้วเราก็จะเห็นได้ว่า จิตมันนำวัตถุ ; เราจึงพัฒนาจิตให้มันถูกต้อง แล้ววัตถุหรือร่างกายนี้มันก็จะถุกต้องเป็นไปตาม.  ดังนั้นความเชื่อ ความคิด ความเห็นที่เชื่อว่า วัตถุนำจิต นั่นแหละคือวัตถุนิยม ; นี้ก็เป็นลักษณะหนึ่งของวัตถุนิยม.

          พวกนี้ พวกที่นิยมวัตถุนี้เขาเชื่อกันว่า ถ้าเราทำการพัฒนาทำให้เจริญนั้น, การพัฒนา หรือการทำให้เจริญนั้น มันขึ้นอยู่กับวัตถุ  โดยมุ่งแต่จะพัฒนาหรือให้เจริญทางวัตถุ ซึ่งมีผลมหาศาล ออกมาเป็นที่พอใจมากมายได้เหมือนกัน ; แต่มันเสียสมดุลในการที่ว่าจิตจะนำวัตถุ มันไม่สมดุล, มันก็ถูกให้วัตถุนำไป, เฮ เฮ เฮกันไปทางวัตถุ.  ฉะนั้นการที่ถือว่า ความเจริญหรือการพัฒนาขึ้นอยู่กับวัตถุ นั้นแหละคือวัตถุนิยม, เป็นความคิดที่เป็นวัตถุนิยม ; ฉะนั้น การพัฒนาวัตถุจนท่วมโลก พัฒนากันจนโลกเป็นทาสของวัตถุนิยม, นั่นแหละคือวัตถุนิยม.

          แล้วเขาก็บูชาวัตถุนิยม  เป็นลัทธิที่จะช่วยให้รอดได้ ก็บูชาวัตถุนิยมอย่างเป็นสิ่งสูงสุด, นับตั้งแต่บูชาความเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ ทางวัตถุเป็นพระเจ้า, หรือยึดถือเอากฏเกหณฑ์บัญญัติ ทั้งหลายที่บัญญัติไว้ โดยอาศัยหลักทางวัตถุเป็นพระเจ้า.  การมีวัตถุเป็นพระเจ้านั้นแหละคือลัทธิวัตถุนิยม,  เอาวัตถุเป็นสิ่งสูงสุด จึงมีการจมอยู่ในความหลอกลวงของวัตถุอย่างหลับหูหลับตา, พัฒนาวัตถุจนเป็นทาสของวัตถุ.

          ระวังให้ดีๆ ผู้ที่ชอบวัตถุและพัฒนาทางวัตถุนั้น อย่าให้มันไปถึงขนาดว่า พัฒนาจนตนเองตกเป็นทาสของวัตถุ ; นี่พุทธบริษัทจะต้องระมัดระวัง มิฉะนั้นจะสูญเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพุทธบริษัทจนหมดสิ้น.
          ลักษณะดังที่กล่าวมานี้เรียกว่าวัตถุนิยม คือบูชาความเอร็ดอร่อยจากวัตถุ, เห็นวัตถุเป็นนสิ่งสำคัญ จะเป็นเครื่องนำจิต พัฒนาจิต ก็คือพัฒนาทั้งหมดแล้วก็ บูชาวัตถุหรือกฏเกณฑ์ ทางวัตถุเป็นพระเจ้า มันมีลักษณะอย่างนี้.  รวมความแล้วก็คือ วัตถุเป็นใหญ่ วัตถุเป็นหลัก วัตถุเป็นความจริง  เอาจิตเป็นเรื่องเหลวไหลหลอกลวง เป็นเพียงปฏิกิริยาทางวัตถุ.
          วิทยาศาสตร์มีส่วนช่วยให้เกิดความคิดเช่นนั้น, พลังงานนี้มันเป็นผลออกมาจากสสาร ก็เลยว่าสสารนั้นแหละ ทำให้เกิดพลังงาน.  กายนี้แหละให้เกิดจิตหรือพลังของจิตทางวิทยาศาสตร์มันก็ชวนให้คิดอย่างนั้น ชวนให้เชื่ออย่างนั้น ; ทันก็เกิดความยุ่งยากลำบาก แก่พวกที่จะชี้แจงว่า จิตนี้มันนำวัตถุ.

ต้องศึกษาให้ถูกต้องว่า
ชีวิตต้องประกอบด้วยวัตถุและจิต.
          เมื่อเรารู้จักลักษณะของสิ่งที่เรียกว่า วัตถุนิยม วัตถุนิยม กันทุกๆลักษณะแล้ว ก็จะได้พิจารณากันต่อไปถึงข้อที่จะต้องทราบ จะต้องรู้ จะต้องเข้าใจโดยประจักษ์ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาอันนี้ได้ คือ แก้ปัญหาในการที่ว่า โลกมันตกเป็นทาสของวัตถุ จมปลักอยู่ในวัตถุ นี้จะแก้กันอย่างไร ; ก็ควรจะมีสิ่งซึ่งควรจะสนใจ หรือมันจะเป็นไปได้ในทางที่จะแก้ปัญหานี้.

          ต้องเริ่มศึกษากันเสียใหม่ให้ถูกต้อง ว่าชีวิตชีวิตนี้ มันประกอบขึ้นด้วยวัตถุและจิต เรียกเป็นภาษาธรรมะในทางศาสนา นามและรูป, รูปและนาม.  ชีวิตมันจะเป็นรูปอย่างเดียวไม่ได้; เป็นนามอย่างเดียวไม่ได้ ชีวิตประกอบด้วยของสองอย่างคือวัตถุ และจิต : รูป และนาม.  ดังนั้นมันต้องจัดการให้ถูกต้อง ทั้งเรื่องของรูปคือวัตถุ และเรื่องของจิต.  ถ้า-ไปยึดแต่วัตถุฝ่ายเดียว มันก็ผิดหมด มันก็ผิดหมดจนหกคะเมนไปเลย.  นี่ให้รู้เสียก่อนว่าชีวิตนี้ประกอบขึ้นด้วยวัตถุและจิต ; ดังนั้น ต้องมีความถูกต้องทั้งสองเรื่อง  แล้วแม้ว่าจะดูโลก โลกในความหมายรวมกันทั้งหมดทั้งโลก ไม่แยกเป็นชีวิตก็ยังเห็นได้ว่า โลกนี้มันก็ประกอบอยู่ด้วยวัตถุและจิตสองอย่างอีกนั่นเอง.  นี้จะยังเห็นได้ง่ายว่า จิตนำวัตถุ, วิวัฒนาการของโลกดำเนินไปในลักษณะที่ว่า จิตนำวัตถุ.  มนุษย์คนหนึ่งก็ดี, หรือว่าโลกทั้งสากลจักรวาลก็ดี, มันประกอบอยู่ด้วยสิ่งสองอย่าง คือวัตถุและจิต.  เราจะต้องมีความรู้ถูกต้องทั้งสองเรื่อง.

          ทีนี้ก็มารู้จักให้ลึกลงไปอีกว่า จะเป็นวัตถุก็ดี เป็นจิตก็ดี  มันเป็นเพียงสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ; คำสอนอย่างนี้ ดูจะมีแต่ในพุทธศาสนา เท่านั้นแหละ ที่ว่าไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ, มันเป็นธาตุทั้งนั้นแหละ ; ฝ่ายรูปธรรมก็เป็นธาตุ, ฝ่ายนามธรรมก็เป็นธาตุ, ตลอดถึงปฏิกิริยาต่างๆมันก็เป็นธาตุ, ความสุขก็เป็นธาตุ, ความทุกข์ก็เป็นธาตุ, ไม่มีอะไรที่มิใช่ธาตุ ; จนกระทั่งถึงพระนิพพานก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ.  หากแต่ว่ามันชนิดที่เป็นอสังขตะคือไม่ต้องมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง  หรืออะไรปรุงแต่งได้, มันเป็นธาตุอิสระอย่างนั้น, แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ ส่วนสิ่งอื่นๆ นอกไปจากพระนิพพาน นั้นก็เป็นสังขารปรุงแต่ง มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง  มันก็ยังเป็นธาตุตามธรรมชาติ แต่ว่าเป็นฝ่ายสังขตะคือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง.

          คำว่า  ทุกอย่างเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาตินี้  ดูจะไม่มีลัทธิศาสนาอื่น  ดูจะมีแต่ในพุทธศาสนา, เท่าที่เคยศึกษาสังเกตมา มันพบว่า มีแต่การบัญญัติสั่งสอนอยู่ในพระพุทธศาสนา.  ทุกอย่างแต่ละอย่างเป็นเพียงสักว่าธาตุตามธรรมชาติ จะเป็นสังขตะ หรืออสังขตะก็ดี จะเป็นสังขารหรือวิสังขารคือนิพพานก็ดี มันก็เป็นสักแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ.

          นี่เราก็ไม่ลุ่มหลงวัตถุเกินไป, ไม่ลุ่มหลงจิตเกินไป, เพราะทั้งสองอย่างมันเป็นเพียงสักว่าธาตุตามธรรมชาติ; ห็เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธาตุ  ข้อนี้อย่างถุกต้อง ว่าพวกที่เป็นสังขตธาตุ ก็ล้มลุกคลุกคลานไปตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง, ส่วนที่เป็นอสังขตธาตุ มันก็ไม่ลhมลุกคลุกคลานอะไร คงที่แน่นอน เที่ยงแท้เป็นนิรันดร ; นี่มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ ไม่เห็นเป็นตัวเป็นตนที่จะเอามายึดมั่นถือมั่น, เห็นเป็นธาตุตามธรรมชาติ.  นี้เรียกว่ารู้สึกถึงที่สุดของเรื่องที่จะต้องรู้ สำหรับเรื่องที่เรียกกันว่า วัตถุและจิต,  ยังรู้ไปถึงเรื่องที่สามซึ่งไม่ใช่วัตถุและจิต  คือนิพพาน.

          เรื่องวัตถุและจิตนี้เป็นสังขารปรุงแต่ง – ปรุงแต่ง – ปรุงแต่งกันอยู่ในวงนี้, ในขอบเขตอันนี้.  ส่วนพระนิพพาน นั้นไม่อยู่ในวงนี้ ไม่อยู่ในขอบเขตนี้ เพราะอยู่เหนือการปรุงแต่ง : ไม่ปรุงแต่งสิ่งใด, และไม่ถุกสิ่งใดปรุงแต่ง  ไม่มีอาการปรุงแต่งนั้นเป็นนิพพาน.  เราเลยรู้มากกว่าที่พวกนั้นรู้ ซึ่งรู้กันแต่เรื่องจิต และเรื่องกายและเรื่องจิต นี้ยังรู้ถึงเรื่องนิพพาน ที่สูงไปกว่า, และจะเป็นเครื่องยุติหรือดับเสียซึ่งเสน่ห์ของกายและของจิต.
          ถ้าเรารู้ขึ้นมาถึงขนาดนี้  มันง่ายนะที่จะรู้วิธีที่จะกำจัดฤทธิ์เดชของวัตถุนิยม;  ถ้าเรารู้เพียงด้านเดียว คือรู้แต่จิตด้านเดียว หรือวัตถุด้านเดียว มันก็ไม่สมดุล, เป็นความรู้ที่ไม่สมดุล.  ไม่มีรากฐานที่สมดุล มันก็ไม่รู้อย่างแท้จริงและอย่างถุกต้องได้;  เพราะมันเป็นความรู้ที่บกพร่องหรือมันไม่สมดุล คือไม่รู้เรื่องวัตถุอย่างเพียงพอ, ไม่รู้เรื่องของจิตอย่างเพียงพอ และไม่รู้เรื่องที่อยู่เหนือของความเป็นวัตถุและจิต อย่างเพียงพอ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงธรรมะสัจจะแห่งความหลุดพ้น.  ธรรมะสัจจะแห่งความรอด, ธรรมะสัจจะแห่งความหลุดพ้น มาจากความรู้ที่รู้อย่างถูกต้องครบถ้วน ทั้งเรื่องวัตถุและเรื่องจิต, และเรื่องที่เหนือไปกว่านั้น คือ มิใช่วัตถุและมิใช่จิต คือเรื่องอขงพระนิพพาน.

          ศึกษากันมาถึงขั้นนี้ก็รู้หมดสำหรับที่จะแก้ปัญหายุ่งยากของเรื่องทางวัตถุ ; เมื่อเอาความรู้อันถูกต้องของเรื่องวัตถุและของเรื่องจิตมารวมกันเข้ามันก็เป็นเรื่องของธรรมะหรือธรรมนิยม, ธรรมนิยมจึงเป็นเรื่องความถุกต้องของทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ; แล้วก็เป็นเหตุให้รู้จักสิ่งที่ตรงกันข้าม คือมิใช่จิตและมิใช่วัตถุ คือเรื่องของวิสังขารหรืออสังขตะ ซึ่งไม่มีอะไรจะปรุงแต่งได้ นี่มันก็เลยวัตถุเลยจิตขึ้นไป.
          การรู้เพียงด้านเดียว เพียงเรื่องเดียว แม้จะรู้จักกันสักเท่าไรๆเท่าไร  มันก็ไม่ทำอะไรให้ถูกต้องได้ เพราะมันรู้ซีกเดียว ; จะรู้เรื่องของวัตถุนี้ยิ่งกว่านี้ มันก็แก้ปัยหาไม่ได้.  แต่ว่าแน่นอนมันอาจะผลิตหรือประดิษฐ์สิ่งที่เป็นวัตถุออกมา อย่างน่าประหลาด อย่างน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่งๆขึ้นไปทุกที; เดี๋ยวนี้มันมีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่ๆ ตั้งแต่เรื่องอวกาศ เรื่องปรมาณู กระทั่งเรื่องคอมพิวเตอร์ อะไร ; ที่อาศัยระบบอันลึกซึ้งนั้น มันก็ออกมาๆ, แล้วมันยังจะออกมาอีก ซึ่งก็น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น ; แต่มันเป็นเรื่องทางวัตถุอยู่นั่นเอง มันก็เป็นความรู้ซีกเดียว หรือครึ่งเดียวอยู่นั่นเอง มันไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้.

ต้องสนใจทำชีวิตให้เป็นธรรม.
          นี่เราจะต้องมีความรู้ครบถ้วน  ทั้งสองซีกของวงกลม,  แล้วก็รู้เรื่องที่อยู่นอกวงกลมเหล่านั้นด้วย.  รวมความว่า รู้เรื่องวัตถุดี รู้เรื่องทางจิตดี แล้วก็รู้เรื่องที่เหนือไปกว่าวัตถุและจิต เป็นระบบธรรมะที่จะใช้เป็นหลักวิชาอันสมบูรณ์ ในการที่จะทำจิตให้หายโง่, ทำจิตให้อยู่เหนือความหลอกลวงหรือเสน่ห์อันร้ายกาจของวัตถุ.  นี้เราจะต้องสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ คือความถุกต้องของวัตถุและจิต ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงโดยเฉพาะ  ที่จะต้องปฏิบัติให้ได้ยิ่งๆขึ้นไป จนเป็นปรกติมีชีวิตเป็นธรรมะ, มีธรรมะเป็นชีวิต ; เพราะปฏิบัติถูกต้องทั้งระบบกายและระบบจิตคือถุกต้องทั้งฝ่ายวัตถุและทั้งฝ่ายธรรม.
          ฉะนั้น ขอให้รู้และยอมรับรู้ไว้ด้วยว่า คำว่าธรรม, ธรรมะนั้น คือความถุกต้อง ทั้งฝ่ายระบบวัตถุ  และฝ่ายระบบจิต และยิ่งไปกว่า ระบบวัตถุและระบบจิต, มันเป็นความถุกต้องทั้งหมดทั้งสิ้น ; แล้วปัญหาอะไรมันจะเกิดได้ถ้ามันรอบรู้กันถึงขนาดนี้.  นี่เราจะแก้ปัยหาได้ก็ด้วยการมีธรรมะเป็นตัวชีวิต, อย่าให้เพียงแต่ว่าวัตถุเป็นตัวชีวิต, หรือจิตเป็นตัวชีวิต.
          ต้องมีธรรมะคือความถุกต้อง ของสิ่งทั้งสองนั้น รวมไปทั้งสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งทั้งสองนั้น มารวมเป็นหลักเกณฑ์ มาเป็นระบบที่ชีวิตนี้ดำเนินอยู่ เลยเกิดคำขึ้นมาอีกคำหนึ่งว่า ธรรมชีวี.  ใช้คำบาลีว่า ธรรมชีวี หรือใช้เป็นสันสกฤต ว่าธรรมชีวิน  อะไรก็ได้ แต่ขอให้มันมีความหมายว่า มีธรรมะเป็นตัวชีวิต  เท่านี้แหละมันตะเพิดวัตถุ หรือวัตถุนิยมกระเด็นหายไปหมด, แล้วยังจะตะเพิดระบบจิตนิยมบ้าคลั่งให้หายไปหมด, เหลืออยู่แต่ความถูกต้องคือธรรมนิยม.

          ชีวิตนี้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะแล้วเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ;  เมื่อเป็นธาตุตามธรรมชาติแล้วก็มาเป็นตัวตน หรือเป็นของตนไม่ได้  มันก็ไม่ยึดถือโดยความเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน เพราะว่าเห็นความที่ว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ.  นี้คือทางออกหรือทางลับ ที่จะออกมาเสียได้จากวัตถุนิยม.
          เอาธรรมะมาเป็นหลักของชีวิตหรือถ้าดีกว่านั้นก็ เอาธรรมะเป็นตัวชีวิต; อย่าไปเอาตัวชีวิต ที่วัตถุหรือจิตเลย,  เอาตัวชีวิตที่ธรรมะคือความถุกต้องของสิ่งทั้งสองนั้น เรียกว่าธรรมะ, แล้วก็มีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักธรรมะ.  คำว่าธรรมะ ธรรมะนี้มีความหมายที่ดีที่สุด ที่ควรจะกำหนดจดจำไว้  ว่าธรรมะ, ธรรมะนี้คือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น นั้นคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ.
          ธรรมะ เกิดมาจากการที่รู้จักธรรมชาติ, รู้จักความจริงของธรรมชาติโดยครบถ้วน คือ รู้จักดตัวธรรมชาติ, รู้จักตัวกฏของธรรมชาติ, รู้จักดตัวหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ, แล้วก็รู้จักผลอันเกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่;  มีอยู่ 5 อย่างที่จะต้องรู้  รู้ธรรมชาติ : รู้กฏของธรรมชาติ, รู้จักหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ, รู้จักผลที่เกิดมาจากหน้าที่แล้วก็รู้ว่า  สิ่งที่ 3 คือหน้าที่ตามกฏของธรรมชาตินั่นแหละคือตัวธรรมะ ที่มีความหมายจำเป็นที่จะต้องมีก่อน หรือยิ่งกว่าความหมายอย่างอื่น รู้จักหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.
          รู้ธรรมชาติ ก็ไม่หลงใหลเอาธรรมชาติใดๆมาเป็นตัวตน ของตน รู้จักกฏของธรรมชาติ ก็สามารถจะรู้วิธีที่จะควบคุมสิ่งที่เป็นธรรมชาติในภายในนี้ ร่างกายจิตใจ, ธาตุขันธ์อะไรต่างๆนี้ให้ถูกต้อง แล้วก็รู้หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติว่า จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ธรรมชาติเหล่านั้นจะไม่เกิดเป็นปัญหา หรือเป็นความทุกข์ขึ้นมา.
          หน้าที่ตามกฏของธรรมชาตินั้น คือสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ ; คำสั่งสอนทั้งหมดทั้งสิ้นในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ที่เราทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถุกต้อง, แล้วก็เอาชนะความทุกข์ทั้งปวงได้, รู้จักมันดีทั้งเรื่องวัตถุ เรื่องจิต และเรื่องที่ตรงกันข้าม คือเรื่องของพระนิพาน.

          ในทางอภิธรรม เขามีอีกคำหนึ่ง คือคำว่า เจตสิก, นี้มันรวมอยู่กับจิต ไม่ต้องแยกก็ได้ รู้เรื่องกาย รู้เรื่องจิต แล้วก็เรื่องนิพพานเลยก็ได้ เป็นที่ดับ.  แต่อภิธรรมที่เขาเรียนๆสอนๆกันอยู่ เขามีแยกเจตสิกออกจากจิต เลยกลายเป็น 4 เรื่อง เรื่องรูป, เรื่องจิต, เรื่องเจตสิก, แล้วก็เรื่องนิพพาน.  เจตสิกกับจิตนั้นไม่แยกกันได้ เพราะฉะนั้น เอาเพียงครึ่งเดียว มันก็รู้เรื่อง กายนี้อย่างดี, รู้เรื่องจิตอย่างดี, รู้เรื่องสิ่งตรงกันข้าม ที่จะดับเสียได้ซึ่งวัตถุและจิต คือเรื่องพระนิพพาน, ทั้งหมดเป็นธาตุตามธรรมชาติ.

          มีเรื่องธาตุว่าไว้เป็นหลักว่า รูปธาตุ อรูปธาตุ และ นิโรธธาตุ; รูปธาตุที่มีรูปเป็นวัตถุ, อรูปธาตุคือธาตุที่ไม่มีรูปเป็นวัตถุ ; ส่วนพระนิพพานนั้นเป็นนิโรธธาตุ ไม่รวมอยู่ในคำว่ารูปธาตุหรืออรูปธาตุ แต่เป็นอีกธาตุหนึ่ง เรียกว่า นิโรธธาตุ; ธาตุเป็นเครื่องดับ เสีย ซึ่งรูปธาตุ และอรูปธาตุ.

          ถ้าเราศึกษา จนรู้จักความเป็นธาตุอย่างนี้แล้ว  มันจะไปงมงายหลงใหลในวัตถุอย่างไรได้.  คิดดูเถอะมันรู้ทั้งหมดทุกเรื่องของวัตถุของจิต และสิ่งที่อยู่เหนือหรือตรงกันข้าม เป็นที่ดับแห่งวัตถุและจิต คือดับความโ.ความหลงที่จะไปยึดมั่นในเรื่องของวัตถุปละจิต เพราะรู้เรื่องของพระนิพพาน พุทธบริษัทเราโดยแท้จริง, มันจึงตกไปเป็นวัตถุนิยมไม่ได้.  พุทธบริษัทที่แท้จริงจึงไม่โง่ ไม่อาจจะโง่ พลัดตกลงไปอยู่ใต้อำนาจของวัตถุนิยมได้ ; เพราะมันรู้เรื่องจริง รู้ธรรมะ หรือธรรมนิยมสำหรับจะควบคุมความถูกต้องของวัตถุและจิต.


หลักปฏิบัติทำชีวิตให้มีธรรมนิยม.
          ทีนี้ก็มาถึงธรรมนิยมหรือความถูกต้องนี้กันต่อไป, เมื่อกล่าวโดยหลักปฏิบัติที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้  ได้แก่ เรื่องอัฏฐังคิกมรรค เรื่องความถูกต้อง 8 อย่าง 8 ประการ มารวมกันเข้าเป็นเรื่องเดียวเรียกว่า มรรคมีองค์แปด ถ้าเรารู้เรื่องวัตถุ เรื่องจิต และนิพพานถูกต้องแล้ว เราจะสามารถปฏิบัติให้มันมีความถูกต้องแปดประการนี้ขึ้นมาได้  โดยสะดวกหรือเป็นไปได้, ปฏิบัติครบถ้วนในองค์มรรคทั้งแปด ก็มีสิ่งที่เรียกว่าธรรมชีวี  มีชีวิตในธรรม, มีธรรมะเป็นชีวิต, มีชีวิตเป็นความถูกต้อง แปดประการ:-
- สัมมาทิฏฐิ   ถูกต้องทางทิฏฐิ ความคิด ความเห็น ความรู้ ความเชื่อ หรืออะไรก็ตาม, ที่มันเป็นความเห็นแล้วถูกต้อง.
- ทางความมุ่งหมายต้องการ  เมื่อมันมีทิฏฐิถุกต้องแล้ว  มันก็มุ่งหมายได้ถุกต้อง.
- แล้วก็มี  การกระทำทางวาจาถูกต้อง.
- ทางการทำงานถูกต้อง.
- ทางการดำรงชีวิตถูกต้อง.
- แล้วมันก็มีการกระทำทางจิต คือ มีความพากเพียรถูกต้อง.
- มีสติถูกต้อง.
- มีสมาธิถูกต้อง.

มีความถูกต้องครบหมด ทั้งเรื่องทางวัตถุ เรื่องทางจิต และเรื่องที่มันเหนือออกไป ที่เหนือกว่านั้น.  เรื่องวัตถุเรื่องจิตนี้ก็เป็นเรื่องโลกๆมันอยู่ในโลก.  ถ้าเป็นเรื่องของพระนิพพานก็เป็นโลกกุตระ หรืออยู่เหนือโลก.  เดี๋ยวนี้ก็มารู้จักดีถูกต้อง ครบถ้วนทั้งเรื่องโลก และเหนือโลก.

จิตนี้  ถ้าจะเปรียบเทียบแล้ว  มันก็เป็นสิ่งที่น่าสงสารมันติดมาในชีวิต คลอดจากท้องมารดา ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร, ไม่รู้จะไปทางไหน.  ทีนี้อะไรมาถึงเข้า มาเกี่ยวข้องกันด้วยการสัมผัส มันก็ตะครุยเอาความหมายนั้นๆ, แล้วสิ่งแรกที่มันตะครุบเอา ก็คือรสอร่อยของวัตถุ ; จิตมันก็เลยเริ่มผิด เริ่มโง่ เริ่มหลง ก็ต้องรับโทษ สมกับความโง่ ความหลง คือเป็นทุกข์ทรมานเรื่อยไปๆ, จนกระทั่งเอือมระอา  จนเห็นความจริงว่า ไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว ต้องเปลี่ยนแล้ว.  นี่มันจึงหันมาศึกษาความจริงของเรื่องธรรมะ  ปฏิบัติตามหลักของธรรมะ แล้วก็บรลุพระนิพพาน ; เรียกว่าออกมาเสียได้จากวัตถุนิยมทางวัตถุหรือกาย, แล้วก็ออกมาเสียได้จากเรื่องของจิตก็มาสู่ที่ว่างข้างนอก คือพระนิพพาน, มีความถุกต้องทั้งทางวัตถุและทางจิต นั่นแหละคือมนุษย์ที่ถุกต้อง มนุษย์ที่เต็มเปี่ยมถึงยอดของการเป็นมนุษย์แล้ว, ไม่หลงไม่จมไม่ติดอยู่ในเรื่องของวัตถุ.

ดังนั้น  จงสนใจในเรื่องของธรรมะ คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค นั้นเป็นทางออก  คำว่าทาง ทางนี้เป็นทางออก  ทางออกมาเสียได้จากความทุกข์,  ออกมาเสียได้จากปัญหา.  หรือจะพูดให้กว้างกว่านั้น ว่าออกมาเสียจากโลก, ออกมาเสียจากโลก หมายความว่า ออกมาเสียจากอิทธิพลทุกๆชนิด ที่มันมีอยู่ในโลก ซึ่งส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้สมัยนี้ ยุคนี้ก้คือวัตถุนิยม ; ออกมาเสีขจากสิ่งที่มีอิทธิพลครอบงำจิตใจครอบงำโลก, ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม นี่มันเป็นสิ่งสุดท้าย ที่จะแก้ปัยหาได้ ในข้อที่ว่า เดี๋ยวนี้ทำไมจึงมีความทุกข์มากขึ้น เพิ่มขึ้น? เพราะไม่รู้เรื่อง ไปหลงพัฒนาวัตถุ จนตกเป็นทาสของวัตถุยิ่งขึ้น, และเป็นกันดังนี้ทั้งโลก, พัฒนาวัตถุขึ้นมาหลอกหลอนชาวโลกให้หลงติด ให้หลงติดอยู่ในวัตถุนิยม ; แล้วก็จมอยู่ในความหลงนี้ ก็เร่าร้อนกันไปทั้งโลก ทั้งโลกเลย แล้วมันอาจจะลุกลามไปถึงเทวโลก มารโลกอื่นๆด้วย เพราะความลุ่มหลง.

เลิกหลงติดทางวัตถุ มาศึกษาธรรมนิยมเถิด.
ฉะนั้น  อย่าพอใจในความลุ่มหลง ในสิ่งที่เรียกว่าสวรรค์วิมาน ของทิพย์ เทวดา อะไรกันนัก; ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเครื่องลุ่มหลงในความสุขทางเนื้อหนังแล้วก็ มันควรจะถือว่าเป็นเรื่องบ้าบอมากกว่า ; ฉะนั้นสวรรค์ที่พูดกันถึงกันอยู่นั้น, ไปใคร่ครวญให้ดี มันมีความหลงในวัตถุนิยม.  พวกคอมมิวนิสต์จึงยกเอามาเป็นข้ออ้างว่า นี่บ้านี่หลง, นี่เอาไม่เอา.  เราที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็ฟังให้ดี มันจะไปเข้ารอยเดียวกันว่า ไปลุ่มหลงในรสอันอร่อยสูงสุดของวัตถุนิยม ซึ่งเรารู้จักเกลียดกันแล้ว, แล้วจะมาหลงอยู่ในสิ่งที่เขาเริ่มเกลียดกันแล้วได้อย่างไร.

ในที่สุดก็จะต้องมุ่งหมายมุ่งมาดปรารถนา จะถอนตัวออกมาเสียจากวัตถุนิยม,  ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ; แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะได้ตรัสสอนวิธีปฏิบัติเพื่อการถอนตน ; แต่พระองค์ก็ช่วยถอนให้ไม่ได้ ทรงทำได้แต่เพียงชี้บอกให้ทำอย่างนั้นๆ,  เปรียบเหมือนกับผู้ชี้ทางให้เดิน ถ้าคนไม่เดินพระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้.  พระองค์ก็ตรัสว่า อย่างนี้ว่าตถาคตก็ได้บอกหนทางแล้ว ; แต่มันไม่มีคนจะเดินจะว่าอย่างไร คนชี้ทางมี แต่คนเดินมันไม่เอา จะว่าอย่างไร.
มาศึกษาให้รู้ ความเลวร้าย เสน่ห์อันเลวร้ายของวัตถุนิยม  หลอกลวงคนไปจมปลักอยู่ในเรื่องของวัตถุ,  ทรมานจิตใจอยู่ด้วยเรื่องมีกิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม ทำกรรมแล้วรับผลกรรม, รับผลกรรม แล้วก็เพิ่มกิเลส, แล้วก็เพิ่มกรรม  แล้วก็เพิ่มผลของกรรม แล้วก็เพิ่มกิเลส.  นี่คืออาการที่ว่ามันจมปลักอยู่ในวัตถุนิยม  เห็นแก่ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางรูปธรรมก็ได้  ทางอรูปธรรมก็ได้ ; แต่ทางอรูปธรรมนั้นเป็นไปน้อยมาก ฉะนั้นเราจึงไม่พูดถึงกัน.  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดับทุกข์, อรูปธรรม อรูปฌาน อรูปสุข นี้ยังไม่ใช่เรื่องของการดับทุกข์, คือ อยู่เหนืออำนาจของวัตถุโดยประการทั้งปวง.

รีบศึกษาความจริงข้อนี้  แล้วความเกลียดในวัตถุนิยมมันก็จะตั้งต้น  เห็นความเลวร้าย, อาทีนพความเลวร้าย โทษอันต่ำทรามของวัตถุนิยม, ก็จะเกลียดชังวัตถุนิยม ; แล้วจิตใจก็จะหกันเหไปในทางตรงกันข้าม คือ ธรรมนิยมคือพระนิพพาน ; มีความพอใจในความสุขที่แท้จริง สงบ เยือกเย็นแท้จริง มันก็เริ่มเกลียดวัตถุนิยม, เกลียดวัตถุนิยม จนใอยากจะแตะต้อง เหมือนกับเป็นของสกปรก, ไม่อยากแม้แต่จะเอาเท้าไปเขี่ยดู มันก็เกลียดมากถึงขนาดนี้ ; เพราะว่ามีความรู้จักสุขอันแท้จริง มากจากการรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง.


พุทธบริษัทต้องศึกษา
ปฏิบัติเพื่อออกไปจากวัตถุนิยม.
เป็นพุทธบริษัทกันให้ถูกต้องเถอะ  มันก็รอดเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อย่างครบถ้วนในเรื่องของวัตถุนิยม จิตนิยม ธรรมนิยม และเรื่องของพระนิพพาน  ก็ตื่นจากหลับคืออวิชชา, ปลอดจากการบีบคั้น  ของสิ่งเหล่านั้นก็เป็นผู้เบิกบาน ; เบิกบานด้วยธรรมนี้มันไม่รู้จักโรยแต่เราใช้คำว่าเบิกบานเป็นกิริยาอาการของดอกไม้เหล่านี้ เห็นว่ามันบาน ต่อเมื่อมันบานมันจึงจะสวยงามถึงที่สุด.  แต่ถ้ามันเป็นเรื่องวัตถุอย่างนี้ เดี๋ยวมันก็โรย มันก็เหี่ยวแห้ง ; ทางจิตที่มีธรรมะเป็นชีวิตนั้น  มีความเบิกบานชนิดที่ไม่กลับร่วงโรยเหี่ยวแห้ง นี่คือความหมายของพระนิพพาน.

จะเปรียบเทียบด้วยเรื่องโรคทางจิต  กาลหลงวัตถุเป็นทาสของบูชาวัตถุเป็นพระเจ้า  นั้นเป็นโรคทางวิญญาณที่ขาดสัมมาทิฏฐิ  มีแต่มิจฉาทิฏฐิหรืออวิชชา นั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดโรค, เกิดโรคทางวิญญาณ ฆ่ามิจฉาทิฏฐิ ทำลายอวิชชาให้หมดไป  นั่นแหละคือการหายจากโรค.  ที่ว่าอาศัย อริยมรรคมีองค์แปด เป็นทางสายกลาง ที่จะฆ่ามิจฉาทิฏฐิ ทำลายอวิชชา นั่นแหละคือยา, การใช้ยาเพื่อให้เกิดการหายโรค.

แต่ถ้าใครไม่ยอมรับว่าตนกำลังมีโรคอย่างนี้ ก็ไม่มีทางที่จะพูดกัน ; ถ้ามองเห็นว่า เรากำลังเป็นโรคอย่างนี้, มีโรคทางวิญญาณ จมปลักอยู่ในรสอันหลอกลวงของสังขารทั้งหลายทั้งปวง และก็เจ็บป่วยเป็นโรค เพราะมีอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิเป็นต้นเหตุ  ก็ฆ่าทำลายต้นเหตุนี้เสียก็เป็นการหายโรค.  วิธีฆ่าก็คือการดำเนินอยู่ในความถูกต้องของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ; เอาบทนิยามกลางๆว่า ธรรมะคือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น.  ความหมายเดียวนี้กระจายออกมาเป็นแปดอย่าง : เป็นความถูกต้องแปดอย่าง ซึ่งรวมกันก็เป็น อัฏฐังคิกมรรค; นี้คือทางออกของสัตว์ทั้งหลายที่จะออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม.



ต้องปฏิบัติธรรมเป็นธรรมชีวี
ชีวิตจึงจะออกจากวัตถุนิยม.
ทีนี้เราก็มีความมุ่งหมายส่วนใหญ่  ในการที่จะดึงมนุษย์ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม  เราก็ต้องเผยแผ่สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ  อย่างถูกต้องและเพียงพอ  ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายรู้จักสิ่งๆนี้  และใช้ปฏิบัติให้อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นธรรมชีวี, เป็นธรรมวิธี มันก็รอดได้.  นี่เป็นเรื่องของปณิธานข้อที่สาม ว่าจะดึงโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยมด้วยการช่วยกันมีธรรมะ จึงจะมีธรรมะ  มีแต่ความรู้เฉยๆมันก็ไม่มีธรรมะ, มีการปฏิบัติ จึงจะมีธรรมะ มีแต่ความรู้เฉยๆมันก็ไม่มีธรรมะ ; แม้ว่ามันจะมีความรู้ธรรมะ  แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมะ  ก็ไม่มีธรรมะ, แล้วเราก็ต้องช่วยกันให้ถึงที่สุด ให้รู้เรื่องของธรรมะ, แล้วก็ปฏิบัติธรรมะจนมีธรรมะ, และก็รู้จักใช้ธรรมะนั้นให้เป็นประโยชน์ในการดึงโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม.
ดึงโลก ดึงที่ไหน? คำว่าดึงโลก ดึงที่ไหน? ไปดึงโลกก้อนใหญ่ก้อนนี้อย่างไร? มันไม่ใช่ ; มันก็ดึงคนทั้งโลกมันก็ไม่ใช่ ; แต่ว่ามันดึงจิต ดึงจิตของคนแต่ละคนออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม.  ใครจะช่วยดึงใครได้?  ทุกคนมันจะต้องดึงของตัวเอง โดยหลักที่ว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ;  ดังนั้นที่จะช่วยได้ ก็คือทำให้ทุกคนแต่ละคนมีความรู้เรื่องนี้  คือรู้เรื่องดึงจิตของตน ออกมาเสียจากความลุ่มหลงในวัตถุหรือวัตถุนิยม, ช่วยกันเผยแผ่ให้เพียงพอสำหรับที่เขาจะสามารถดึงจิตของตน อย่างน้อยก็ควบคุมจิตของตนไว้  ไม่ให้ไหลไปตามอำนาจของวัตถุนิยม.

นี่ขอฝากไว้เป็นความรู้ในลักษณะที่ว่าเป็นของขวัญตอบแทนแก่ท่านทั้งหลายที่ให้ของขวัญแก่อาตมา  ให้คอยรับฟังการประกาศ การเผยแผ่ธรรมะ ของเจ้าหน้าที่ทางศาสนาของพระพุทธเจ้า  คือพวกธรรมทูตก้ดี, พวกธรรมทายาทก็ดี, เขาจะกองออกไปเผยแผ่ความรู้เหล่านี้ให้แพร่หลาย  ให้กระจายครอบคลุมไปในหมู่มนุษย์ ให้มนุษย์แต่ละคนละคนรู้จักดึงจิตของตนออกมาเสียจากวัตถุนิยม; รวมกันแล้วนั่นแหละคือการดึงโลกออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม สมตามความปรารถนาทุกๆประการที่ตั้งไว้เป็นปณิธาน ว่าจะดึงโลกช่วยโลก ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม.
ขอร้องความร่วมมือ ความสนับสนุนจากท่านทั้งหลาย ว่าจงมาช่วยกันแผนการอันนี้ จะดึงโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม ด้วยความร่วมมือของท่านทั้งหลาย.  ความร่วมมือของท่านทั้งหลายนั้น ไม่มีอะไรดีไปกว่า  หรือมากไปกว่าท่านทั้งหลาย  จงดึงจิตใจของตนออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม;  นี่แหละเป็นความร่วมมืออย่างสูงสุด. โลกพ้นจากอำนาจของวัตถุนิยมแล้ว ก็จะไม่มีวิกฤติการณ์เลวร้ายใดๆในโลกเหลืออยู่ได้ ; ถ้าตกอยู่ภายใต้อำนาจของวัตถุนิยมแล้วก็เห็นแก่ตัว, เห็นแก่ตัวแล้วก้เปิดโอกาสให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ท่วมท้นไปหมดทั้งโลก.  กิเลสไหลนองครองโลก แล้วก็มีความทุกข์เต็มโลก เพราะอำนาจของวัตถุนิยม  ซึ่งมีลักษณะน่ารัก เหมือนกับว่าลูกหนูตัวนั้นเห็นหน้าแมวมันน่ารัก ; แต่ไปเห็นหน้าไก่หงอนแดงว่าน่าเกลียดน่ากลัว ไม่อยากเข้าใกล้.  แม่หนูก็ต้องบอกว่าลูกเอ๋ยอย่าโง่ไป ที่น่าเกลียดน่ากลัวนั้น หน้าไก่, เป็นไก่ไม่มีอันตรายอะไร, ที่น่ารักน่าพอใจนั้นแหละคือหน้าแมว, มันเป็นความตายของพวกแก แกอย่าไปหลงกับมัน.
นี่เราทั้งหลาย  ก็จงเป็นลูกหนูที่ได้รับคำสั่งสอนครบถ้วนถุกต้อง  แล้วก็ไม่ไปหลงแมว  คือวัตถุนิยมให้ตัวเองตาย.  เรายังเป็นปุถุชนอยู่ไม่รู้อะไร  มันก็เหมือนลูกหนูโง่ๆนั่นแหละ ; ต่อเมื่อได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมะสูงขึ้น  มันจึงจะพ้นจากความเป็นอย่างนั้น,  มันจะได้เป็นหนูที่ฉลาดพ้นจากอำนาจของแมว, แล้วก็รู้จักเรียกว่าอะไรเป็นมิตร อะไรเป็นศัตรู.  วัตถุนิยมเป็นศัตรูเต็มตัว,  ธรรมะเป็นมิตรเต็มตัว.

จงอยู่ฝ่ายข้างมิตร มีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตรผู้ชี้ทางแห่งธรรมะ ให้เดินตามร่องรอยของธรรมะ, แล้วก็หลุดออกมาได้  โดยหลักที่เรียกว่า  อริยอัฏฐังคิกมรรค หรือมัชฌิมาปฏิปทา  ทางออกชของปัญหาทุกอย่างทุกประการตามที่ค้นพบในพระบาลี,  พระพุทธเจ้าได้ตรัสระบุอริยอัฏฐังคิกมรรค, อริโยอัฏฐังคิโกมรรคนั่นแหละเป็นนิสรณะ คือทางออกมาเสียจากปัยหา  หรือความทุกข์ทุกอย่างทุกประการ, ดำเนินตนอยู่ในอริยมรรคมีองค์แปดเหล่านี้แล้ว จะไม่มีความเลวร้ายหรือวิกฤติการณ์อันใดมาแผ้วพานได้.
ขอให้ท่านทั้งหลาย  จงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้, แล้วก็ดำเนินตนไปอย่างถูกต้อง  อย่างนี้ก็จะเป็นการกล่าวได้ว่าช่วยกันดึงโลกทั้งโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม.  สิ่งอาตมาต้องการจะพูดก็มีอย่างนี้ แล้วก็ได้พูดแล้ว เป็นเรื่องที่สามครบถ้วนทั้งสามข้อของปณิธาน.  ขอความร่วมมือจากท่านทั้งหลายทุกคนๆได้ร่วมมือกันให้ปณิธานสามประการนี้สำเร็จประโยชน์; ความสมบูรณ์และความถูกต้องมันก็จะถึงที่สุด, หมดปัญหาโดยประการทั้งปวง.  เราทุกคนก็จะสามารถเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง คือ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ได้ตลอดไป.

..........           .........            ……….           ……….           ………..          ………

การบรรยายนี้  สมควรแก่เวลาแล้ว  จะขอยุติการบรรยาย, แล้วก็ขอสรุปท้ายด้วยเรื่องส่วนตัวว่า ขอบพระคุณ ขอบคุณ ขอบใจท่านทั้งหลาย ที่ให้ของขวัญวันนี้ แก่ข้าพเจ้า, และขอตอบแทนด้วยการให้ของขวัญว่า จงช่วยร่วมมือกัน ทำให้ปณิธานสามประการนี้ ประสบความสำเร็จสมบูรณ์ แล้วผลก็จะเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลายนั่นเอง ; ไม่ใช่ว่าจะได้ดีอะไรที่อาตมาคนเดียว แต่จะได้แก่ทุกคน.  ช่วยกันทำปณิธานของข้าพเจ้าให้สมบูรณ์ แล้วผลทั้งหมดก็จะกลับไปได้แก่ท่านทั้งหลายทุกคน.  ขอความร่วมมือถึงที่สุดในลักษณะอย่างนี้  ว่าทุกคนจงเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ, ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ให้โลกไม่มีความขัดแย้ง, แล้วก็ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมด้วยกันจงทุกๆคนเถิด.

ขออยุติการบรรยายในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้

















ใหญ่กว่าภูเขา

                  ทำอย่างไร    จึงจะใหญ่    กว่าภูเขา     
อ๋อ! เพราะเรา       ฟาดฟัน       ตัวตัณหา
มันเป็นเรื่อง  ของจิต        หรือปัญญา?
อ๋อ! ต้องมา   ด้วยกัน        นั้นแน่นอน

        เรื่องของจิต  นั้นมี   หน้าที่อะไร?
อ๋อ! ใช้พลัง   หนักใหญ่     กว่าสิงขร
เรื่องปัญญา  มีหน้าที่       ที่ไหน? ตอน
มันตัดขอน    คมเฉียบ      เปรียบสายฟ้า
        มันร่วมแรง   กันอย่างไร?  ไฉนเล่า?
อ่อ! มันเข้า   เค้าของอาวุธ ทั้งคมกล้า
ทั้งน้ำหนัก    ตัดฟัน เหลือพรรณา
ฆ่าตัณหา     หมดพิษ      “จิตอนันต์”ฯ


               







ถูกเขาต่อว่า
               
        ศิษย์ของท่าน ไยเป็นพาล   ถึงปานนี้
ฉันตอบว่า    “ดูให้ดี”      มันน่าขัน
ไม่เชื่อฟัง     จะเรียกศิษย์ อย่างไรกัน
ไม่ทำตาม    อาจารย์นั่น   เรียกสิษย์ฤา

        ฉันเป็นทาส   พุทธองค์      ปลงจิตมั่น
เขาจะเป็น    นายฉัน        ไม่เห็นหรือ
เพราะดื้อด้าน        คัดค้าน       การฝึกปรือ
ไม่นับถือ      แม้พุทธะ     พระศาสนา

        ไม่ควรมา     ต่อมา เอากะฉัน
ว่าศิษย์ท่าน  อันธพาล      ไม่เหมาะท่า
เขามิใช่       ศิษย์อะไร     ที่ไหนมา
นอกจากว่า   มาตื้อ หาชื่อเองฯ








ถูกเขาต่อว่า

          “จงรู้จัก       ตัวเอง”       คำนี้หมาย
มีดีร้าย        อยู่เท่าไร      เร่งไขขาน
ข้างฝ่ายดี     มีไว้    ในดวงมาน
ข้างฝ่ายชั่ว    รีบประหาร  ให้หมดไป

        จงรู้จัก                ตัวเอง         คำนี้หมาย
ว่าในกาย     มีกิเลส                เป็นเหตุใหญ่
จึงสาระแน   แต่จะทำ      บาปกรรมไกล
ต้องควบคุม  มันไว้          ให้รักบุญ

        จงรู้จัก                ตัวเอง         คำนี้หมาย
สังขารไซร้    ตนตัว         มัวแต่หนุน
ไปตามเหตุ   ปัจจัย         ที่ไส รุน
พ้นบาปบุฯ   ชั่วดี           มีนิพพาน ฯ