หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พุทธทาสภิกขุ : สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป

















ปาฐกถาเรื่อง
สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป
ของ พุทธทาสภิกขุ
แสดงท่ามกลางที่ประชุมใหญ่ พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2509
                                                  ณ พุทธสถาน เชียงใหม่                 







สิ่งที่เรายังสนใจกันน้อยไป

เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่เป็นสมาชิกและมิได้เป็นสมาชิก พสล. ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์,
          ข้าพเจ้าได้รับคำขอที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จากท่านประธานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ให้มากล่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง กะท่านทั้งหลายในสถานที่นี้ ในวันนี้.  ข้าพเจ้าขอพูดกะท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย, และเป็นเพื่อนที่จะร่วมมือกันแก้ไข หรือกำจัดความทุกข์ของมนุษย์เป็นส่วนรวมให้หมดไป.  ท่านทั้งหลายต้องใหเอภัยและโอกาส เพื่อให้ข้าพเจ้าพูดอะไรได้ตรงๆ ตามความรู้สึกอันแท้จริง เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและตรงตามสปิริตของพุทธบริษัทเรา คือพูดจริง – ทำจริง – และรักเพื่อนมนุษย์กันจริง.
          เรื่องที่ข้าพเจ้าจะพูด  ในเวลาอันจำกัดนี้ คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้สังเกตเห็นมาเป็นเวลา 30 ปี และรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่พวกเรายังสนใจกันน้อยไปหน่อย  ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด สำหรับกิจการอันใหญ่หลวงของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็ในระยะที่กิจการของพุทธบริษัทเราทั่วทั้งโลก ดำเนินมาจนถึงขั้นนี้.  สิ่งที่กล่าวนั้นมีอยู่ 2 – 3 เรื่องด้วยกัน แต่มันสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกกันไม่ออก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องถือโอกาสกล่าวถึงมัน อย่างสัมพันธ์กันเป็นลำดับไป, และต้องขออภัย ถ้าหากมันได้ทำให้ท่านต้องฟังด้วยความอดกลั้นอดทน หรือถึงกับมีความกระเทือนใจบ้าง.  ข้าพเจ้าจะได้พูดเป็นเรื่องๆไปดังนี้ :-

          เรื่องที่หนึ่ง.  บรรดาพุทธสมาคมต่างๆในโลกพุทธบริษัทเรา ที่ทำการเผยแพร่พุทธธรรมอยู่ในเวลานี้ มักจะสนใจแต่ในเรื่องวิธีดำเนินงานและประสานงานกันมากเกินไปกว่าที่จะสนใจ ในตัวธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดและแท้จริง พร้อมทั้งการปฏิบัติธรรมในขั้นนั้นให้เหมาะสมกัน, และมีอยู่ไม่น้อยที่หนักไปแต่ในเรื่องพิธีรีตอง มากจนน่ารำคาญ เมื่อเป็นเช่นนั้นนานเข้า ผลที่เกิดขึ้นก็คือ :-
1.                 ทำให้เราและคนในเครือของเขา รู้จักธรรมตัวจริง ที่จะต้องรู้ด้วยจิตใจโดยตรงนั้น น้อยไป, และเพราะรู้จักธรรมตัวจริงน้อยไป ก็ทำให้เกิดผล คือ
(ก)      เราขาดผู้ที่มีจิตใจในการปฏิบัติงานเพื่อเห็นแก่ธรรมแท้,
(ข)      ทำให้ขอบวงแห่งความหมายของความเป็น พสล. เป็นต้น  แคบเข้ามา, ไม่ตรง ไม่เต็มตามที่ธรรมชาติเปิดไว้ให้และต้องการ, ซึ่งจะได้กล่าวในข้อถัดไป โดยละเอียด.

2.                 ทำให้ชาวพุทธพวกที่หนักในธรรมและธรรมปฏิบัติ ให้ความสนใจและความนับถือในกิจกรรมของเราน้อยไป หรืออาจจะถึงกับไม่ไว้ใจก็มี.  ข้อนี้ทำให้เกิดผลคือ :-
(ก)      เราจะดำเนินงานและขยายงานให้เต็มตามวัตถุประสงค์จริงๆได้ยาก  เหมือนกลิ้งครกขึ้นภูเขา, แต่แล้วก็ต้องทนเอาคือทำไปอย่างพอให้ผ่านๆไป พอไม่ให้สมาคมล้ม,
(ข)      ครั้นเป็นเช่นนี้นานวันเข้า สักวันหนึ่งในกาลข้างหน้า เราอาจจะถูกเขากล่าวหาถึงขนาดว่า สังคมทพุทธบริษัทพวกนี้ทำอะไรกันแต่พอเป็นพิธี เพียงเพื่อความสนุกสนานของตนเอง ดูๆคงจะเป็นการเที่ยวทัศนาจร หรือเที่ยวปิคนิคระหว่างประเทศไปเสียแล้วกระมัง, และ
(ค)      ในที่สุด พวกสมาชิกและกรรมกรทั้งหลายก็จะเสียนิสัย กลายเป็นผู้ที่ทำงานเพียงเพื่อความสนุกสนาน ด้วยค่าใช้จ่ายของผู้อื่นกันเสียเป็นส่วนมาก ในที่สุดองค์การหรือสมาคมของเรา ก็ต้องล้มเลิกไปโดยแน่นอน.  ดังนั้นยเราต้องนึกถึงเรื่องนี้กันให้มากเป็นพิเศษ แล้วรีบทำการป้องกัน, แก้ไข, และปรับปรุงให้สุดความสามารถเสียแต่ต้นมือ.

เรื่องที่สอง.   คือสิ่งที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงให้ทันท่วงทีก่อนแต่จายเกินไป ดังที่กล่าวแล้วนั้น พอจะแยกออกได้ดังต่อไปนี้ :-
1.                 จัดให้เกิดการสนใจ การศึกษาค้นคว้า การปรึกษาหารือทำความเข้าใจกันเป็นพิเศษ ในสิ่งที่เรียกว่า”หัวใจของพุทธศาสนา”อันเป็นการปฏิบัติ เพื่อกำจัดกิเลสของแต่ละคนโดยตรง  แทนที่จะเป็นเพียงเรื่องศีลธรรม เพื่อประโยชน์ทางสังคมและการเมือง, หรือเป็นเพียงวรรณคดีอันไพเราะ หรือเป็นปรัชญาที่น่าสนใจของโลก เท่านั้น.  ความทุกข์ของมนุษย์ในโลก เกิดมาจากกิเลสของเขาโดยตรง มิได้เกิดมาจากการที่เขาไม่มีความรู้ทางปรัชญาอันลึกซึ้งเหล่านั้น.  ความรู้เหล่านั้นเขามีกันแล้วมากมาย ก็ยังกำจัดกิเลสไม่ได้ ; เขาจะต้องเข้าถึง”หัวใจของพุทธศาสนา”ชนิดที่จะช่วยให้เขาสามารถควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเขา เพื่อไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ให้สุดความสามารถของเขา.  เมื่อเขาทำได้เช่นนั้น ศีลธรรมทางสังคมของเขาก็จะดีเอง และมนุษยธรรมก็จะแผ่ครอบคลุมไปทั่วโลกเอง.
ความสงบเย็นหรือสันติภาพอันถาวรของโลกนั้น เป็นสิ่งที่มีขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุเพียงการรู้วรรณคดีและปรัชญาของพุทธศาสนา ซึ่งกำลังขยายตัวออกไปอย่างยืดยาดและฟั่นเฝือยิ่งขึ้นทุกทีตามปริมาณแห่งการศึกษาแผนใหม่ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา หรือตามที่มีการแยกนิกายออกไปมากมายในวงพุทธบริษัทเอง  ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องปัญหาของปรัชญาไปเสียทั้งนั้น ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาเสียเลย.  กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือคนเหล่านั้นได้เอาตัวธรรมแท้ ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้นไปแปรรูปทำเป็นวรรณคดีและปรัชญาเสียหมด  จนไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตใจโดยตรงเสียเลย จึงได้มีแต่เรื่องพูด พูดพูดกันไปจนเกือบไม่มีเรื่องกระทำ.
หัวใจของพุทธศาสนานั้น อาจจะสรุปลงได้ในคำพูดเพียงคำเดียวว่”ธรรม” : คำว่า”ธรรม” ที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้ จะได้อธิบายกันโดยละเอียดในตอนที่สาม.  สรุปความเฉพาะในข้อนี้คือ พวกเราต้องรีบประชุมกันแก้ไขปรับปรุงกิจการ ให้หนักไปในทางการปฏิบัติตัวธรรมแท้ ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา, แล้วปัญหาปลีกย่อยทางศีลธรรมและอื่นๆ ก็จะถูกสะสางไปในตัวเอง โดยอัตโนมัติ.

2.                 การขยายขอบเขตแห่งกิจการของพุทธสมาคมต่างๆ เช่น พสล. เป็นต้น ออกไปให้เต็มตามความหมายของคำว่า”ธรรม”ในขั้นที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  นั่นคือการถอนความรู้สึกว่าเรา ว่าเขาออกไปเสีย เพื่อให้สมกับความหมายของคำว่า เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิป เป็นต้นนั่นเอง, และสมกับความหมายของคำว่า”ธรรม”ซึ่งเล็งถึงธรรมชาติแท้อันมิอาจแบ่งแยกเป็นของชาติ(เนชั่น) นั้น ชาตินี้ได้เลย, แม้จนกระทั่งไม่อาจแบ่งแยกเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม เป็นต้น ไปได้ด้วย.  ความหมายของคำว่า”ธรรม”ชนิดนี้ ข้าพเจ้ายกไปรวมอธิบายในตอนที่สาม คราวเดียวกันหมดเพื่อปนะหยัดเวลา.
3.                 การรีบแก้ไขข้อผิดพลาด ที่กำลังมีอยู่ในวงการศึกษา ทางพุทธศาสนาของโลก.  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้อผิดพลาดอยู่ในหนังสือที่แต่งขึ้นโดยชาวต่างประเทศ ซึ่งมีการอธิบายเรื่องกรรม และเรื่องการเกิดใหม่(รีเบอรฺธ)ไว้อย่างผิดๆ  จนไม่เป็นพุทธศาสนาเสียเลย, และแม้ในวงชาวพุทธเราเอง ก้อธิบายพระพุทธภาษิตบางคำ ผิดไปจากพุทธประสงค์หรือผิดไปจากข้อเท็จจริง จนทำให้หลักเกณฑ์อันนั้น ใช้ปฏิบัติไม่ได้ (อิมแพร็คติกอล) ไปเสียก็มี : ตัวอย่างเช่น คำว่า “ชาติ”(BIRTH)นั้น ที่มีความหมายถึงการคลอดจากท้องแม่ ก็มี, ที่มีความหมายถึงการเกิดขึ้นของความรู้สึก(คอนเซ็กชั่น) ว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” คราวหนึ่งๆ ซึ่งหมายถึงอีโกอิสมฺ ที่กำลังเดือดจัดก็มี ; ถ้าเอาความหมาย 2 อย่างนี้ไปปนกันหรือกลับกันเสียแล้วเราก็ไม่อาจจะเข้าใจพระพุทธโอวาทในตอนนั้นได้, หรืออาจจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นย จนไม่อาจจะปฏิบัติได้ตรงตามพุทธประสงค์.
คำว่า”การเกิดใหม่”ในทางพุทธศาสนานั้น ต้องไม่ถูกอิบายไปในรูปของการอวตาร หรือ อินคาร์เนชั่นอย่างแบบฮินดูหรืออุปนิษัท ดังที่ทำกันอยู่โดยมากในหนังสือพทธศาสนาที่เขียนโดยนักศึกษาฝรั่งแทบทั้งหมด ; และคำว่า”เกิดใหม่”ในหลักธรรมของพุทธบริษัทนั้น จะต้องใช้กันได้กับการเกิดขึ้นแห่งคอนเซ็บชั่นว่า”ตัวฉัน”ดังที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย ซึ่งวเป็นเรื่องที่สำคัญหว่าการเกิดใหม่ ชนิดที่ตายเข้าโลงแล้วจึงไปเกิดเป็นไหนๆ.  คำว่า”ชาติ”หรือความเกิด ในหลักธรรมเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น หมายถึง การเกิดแห่งความรู้สึกเป็นอีโกอิสมฺ ดังที่กล่าวแล้ว หาใช่เป็นการเกิดจากท้องแม่  ดังที่เข้าใจกันอยู่ทั่วๆไปไม่  เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่มนุษย์คนหนึ่งๆได้ วันละหลายๆรอบและเป็นตัวความทุกข์ชนิดที่ตรัสไว้ในเรื่องอริยสัจสี่ นั่นเอง.
เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มิใช่เป็นเพียงเรื่องทางปรัชญาสำหรับถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนที่กำลังกระทำกันอยู่ทั่วๆไป, โดยที่แท้แล้ว เป็นเรื่องอริยสัจชนิดที่ต้องปฏิบัติกันเป็นประจำวันคือการควบคุมตา หู จมุก ลิ้น กาย เมื่อได้รับอารมณ์ อย่าให้มีการปรุงแต่งทางจิต : คือตัวปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ขึ้นมา ด้วยอำนาจของอวิชชาจนเกิดความทุกข์ขึ้น.
สำหรับเรื่อง”กรรม”ในพุทธศาสนานั้น  ต้องพูดกันถึงเรื่องกรรมที่ไม่ดำไม่ขาว และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวจึงจะเป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนา.  การพูกันแต่เพียงเรื่องกรรมดำกรรมขาว คือกรรมดีกรรมชั่ว และผู้ทำจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้นเสมอไป นั้นยังไม่ใช่เรื่องกรรมในพุทธศาสนา เพราะคำสอนเช่นนั้นมีอยู่ก่อนพุทธศาสนา และมีในศาสนาอื่นทั่วๆไป.  พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องกรรมที่แปลกออกไป คือเรื่องวกรรมที่มดำไม่ขาว และเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมดำกรรมขาวทั้งปวง  ดังที่ปรากฏอยู่ในบาลีอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต หมวดที่ชื่อว่า กัมมวัคค์ : กล่าวโดยที่แท้แล้ว การปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมัคค์นั่นเอง คือกรรมที่ไม่ดำไม่ขาสว ทำให้ลุถึงนิพพาน อันเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งปวง.  เรื่องกรรมชนิดนี้เท่านั้นที่เป็นหลักของพุทธศาสนาที่ไม่ซ้ำใคร ที่จะกล่าวได้เต็มปากว่า เป็นเรื่องกรรมในพุทธศาสนาโดยตรง  ชาวต่างประเทศผู้แต่งหนังสือเหล้าโน้น มิได้กล่าวถึงกรรมชนิดนี้เลย, กล่าวถึงแต่กรรมดำกรรมขาว แล้วยังแทรกอรรถาธิบายส่วนตนเสียยืดยาวจนจะเข้ากันไม่ได้กับพุทธศาสนาไปเสียอีก ; การที่ยังมีใครในโลกเขียนหนังสือทางพุทธศาสนาขึ้นมาอย่างผิดๆเช่นนี้ ก็ควรจะตกเป็นหน้าที่ของสมาคมชาวพุทธ เช่น พสล. เป็นต้น จะต้องจัดการทำสังคายนา หรือสกรูนิไนส์  ทำความเข้าใจกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง, มิฉะนั้นแล้วการปฏิบัติตามหกลักพุทธศาสนาที่ถูกต้องก็มีขึ้นในโลกไม่ได้.

แต่ลู่ทางแห่งโชคดียังมีอยู่ก็คือ ถ้าเราสนใจในตัว”ธรรม”ที่เป้นหัวใจแท้ของพุทธศาสนาคือเรื่อง”ไม่มีตัวตน”(อนัตตา = SELFLESS)กันจริงๆแล้ว ก็จะเกิดการค้นหาเรื่องกรรม หรือการกระทำชนิดที่เพิกถอนกรรมทั้งปวงขึ้นมาเอง และในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องเดียวกันต่อไป.  เรื่องความไม่มีตัวตน(อนัตตา)นี่แหละ ทำให้ไม่มีความรู้สึกว่า”ตัวฉัน” หรือ “ตัวกู” และจะนำไปสู่ความเป็น เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิปที่แท้จริงและเป็นทีเดียวหมดทั้งโลกได้ในที่สุด ถึงกับไม่มีการแบ่งเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม เหลืออยู่ในโลกเลย !

การปฏิบัติเพื่อทำลายความรู้สึกว่า”ตัวตน”เสียนั่นแหละ คือตัวธรรมแท้ของธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบและนำมาสอน.  แล้วพวกเราเอามาปิดป้ายชื่อให้ว่า “พุทธศาสนาของเรา” จนเกิดการแบ่งแยกกันเป็นเราเป็นเขา กระทั่งทำให้พวกเราซึ่งกำลังเรียกตัวเองว่า พุทธบริษัท ก็พลอยกลายเป็นผู้ที่ไม่มี”ธรรม”แท้ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันลึกซึ้ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบนั้นไปด้วย, คงมีแต่พุทธศาสนาเนื้องอกใหม่ๆ ซึ่งมีการแบ่งแยกเราเขากันมากขึ้นทุกที ซึ่งย่อมหมายถึงการยกตนเองขึ้นเหนือผู้อื่นมากขึ้นทุกทีด้วยเหมือนกัน.  ดังนั้น เราจงมาพูดกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือเรื่อง”ธรรม”ที่เป็นขั้นหัวใจของพุทธศาสนากันให้ชัดเจนต่อไปจะดีกว่า.

เรื่องที่สาม.  เรื่องที่สาม คือเรื่องสิ่งที่เรียกว่า”ธรรม”ตามความมหายอันสมบูรณ์หรือสิ้นเชิง ; ข้าพเจ้าจะได้แยกความหมายของคำว่าธรรม ออกเป็นชนิดๆไป แล้วจึงค่อยชี้ให้เห็นว่า ความหมายชนิดไหนเป็นหลักธรรมที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.

1. คำว่า”ธรรม”ในความหมายทั่วไป และกว้างที่สุด.  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง  ที่เราจะต้องทำความเข้าใจกันในขั้นแรก และจะต้องขอพูดถึงเรื่องนี้ มากสักหน่อย.
คำว่า”ธรรม”ในภาษาบาลีก็ตาม ในภาษาสันสกฤตก็ตาม เป้นคำที่มีความหมายกว้างที่สุด คือหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ทั้งที่มนุษย์รู้จักและยังไม่รู้จัก : คำคำนี้เป็นคำพูดคำเดียวที่ประหลาดที่สุดในโลก จนไม่อาจจะแปลไปเป็นภาษาอื่นได้ นอกจากภาษาที่ให้กำเนิดแก่คำคำนี้เอง.  เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเป็นการเข้าใจได้ง่าย แก่ทุกท่านในที่นี้โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าขอเสนอบทจำกัดความ(เดฟฟินิชชั่น)บทหนึ่งของคำคำนี้ ตามที่ข้าพเจ้าเห็นว่าถุกต้องที่สุดตามหลักแห่งภาษาทั้งสองนั้น.  คำจำกัดความนั้น มีว่าสิ่งที่เรียกว่า”ธรรม”นั้นคือ :-
(1)        ตัวธรรมชาติ (NATURE)
(2)        ตัวกฏของธรรมชาติ (LAW OF NATURE),
(3)        ตัวหน้าที่ (DUTY) ที่มนุษย์จะต้อวงกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ และ
(4)        ตัวผล (RESULT) ต่างๆ อันเกิดขึ้นจากการกระทำหน้าที่นั้นๆนั่นเอง.

สิ่งทั้ง 4 ประเภทนี้สรุปลงได้ในคำพูดเพียงพยางค์เดียวว่า “ธรรม” อันเป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลกดังที่กล่าวแล้ว.  ผู้ที่รู้ภาษาบาลีดี ย่อมยืนยันความจริงข้อนี้ได้ดี, ขอให้ไปศึกษาเอาอย่างละเอียดจากผู้รู้ภาษาบาลีเถิด.

ภาษาทางพุทธศาสนา เรียกตัวธรรมชาติว่า สภาวธรรม เรียกกฏของธรรมชาติว่า สัจจธรรม, เรียกหน้าที่ ที่มนุษย์ปฏิบัติตามกฏของธรรมชาติว่า ปฏิปัตติธรรม, และเรียกผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆว่า ปฏิเวธธรรม หรือเรียกโดยทั่วไปอีกอย่างหนึ่ว่า วิปากธรรม.  ดังนั้นเป็นอันว่สิ่งทั้งสี่นี้ มีคำอธิบายอย่างสมบูรณ์ อยู่แล้วในคัมภีร์ของพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่รวมกันแล้วยืดยาว เท่ากับปริมาณของพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถาทั้งหมดรวมกันน, แต่อย่างไรก็ตาม ท่านทั้งหลายจะเห็นได้เองแล้วว่า เรื่องทั้งสี่เรื่องนั้น ล้วนแต่เกี่ยวกับธรรมชาติ(เนเจ้อรฺ)ทั้งนั้น ไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง ดังนั้นจึงถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องตายตัวเด็ดขาด อยู่ในตัวธรรมชาติ และไม่อาจจะแยกออกจากสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติไปได้เลย.  ธรรมชาติที่แท้ชนิดนี้ ไม่มีการแยกเป็นเขา เป็นเรา, เป็นยุโรปหรือเอเซีย, เป็นพุทธ หรืออิสลาม เป็นต้นได้,  แต่มนุษย์ได้ดื้อดึงต่อธรรมชาติอย่างหลับหูหลับตา โดยการทำการสมมติแยกมันออกเป็นเรา – เป็นเขา จนได้ ด้วยการทำไปตามความรู้สึกที่ฝืนกฏธรรมชาติ หรือผิดกฏธรรมชาติ ซึ่งกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือผิดธรรม เพราะหลักธรรมชาติสี่ประการดังกล่าวแล้วนั้น รวมอยู่ในคำว่า”ธรรม”เพียงคำเดียว ! เมื่อผิดกฏธรรมชาติหรือผิดธรรมแล้ว  ก็ต้องได้รับผลตามกฏของธรรมชาติในทางที่เป้นทุกข์ทรมาน และเกิดปัญหายุ่งยากต่างๆขึ้นมา จนมนุษย์ไม่สามารถสะสางได้ตามลำพัง โดยปราศจากความรู้อันเป็นหัวใจธรรม หรือของธรรมชาตินั้นๆซึ่งเรียกในที่นี้ว่า”หัวใจของพุทธศาสนา”
เมื่อสิ่งที่เรียกว่าธรรม มีอยู่ถึง 4 ประเภท ดังที่กล่าวแล้ว หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ดังนี้แล้ว เราจะระบุธรรมส่วนไหนของประเภทไหน ว่าเป็นธรรมชนิดที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาโดยเฉพาะเล่า?
2. “ธรรม”ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.  พระพุทธภาษิตในสังยุตตนิกาย ตรัสไว้ในตอนหนึ่งเป็นใจความว่า ธรรมทั้งหมด : ทั้งสภาวธรรม สัจจธรรม ปฏิปัตติธรรม และปฏิเวธธรรม ที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มีปริมาณมากเท่ากับใบไม้หมดทั้งป่า ; ส่วนธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้นเท่ากับใบไม้เพียงกำมือเดียวจากใบไม้หมดทั้งป่านั้น, กล่าวคือเฉพาะเรื่องอริยสัจสี่ในส่วนที่เป็นการปฏิบัติเท่านั้นเอง.
อีกแห่งหนึ่งตรัสไว้ในบาลี อลคัททูปมสูตร มัชฌิมนิกาย มีขอบเขตแคบเข้ามาอีกโดยตรัสว่า ตถาคตกล่าวสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับไม่เหลือทุกข์เท่านั้นง
ในบาลีจูฬตัณหาสังขยสูตรมัชฌิมนิกาย ได้ตรัสไว้อย่างรัดกุมถึงที่สุด โดยตรัสไว้เป็นใจความว่า คำสอนของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น สรุปลงได้เป็นประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ซึ่งแปลว่า “สิ่งทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น ว่าเป็นตัวตน หรือของตน”ดังนี้.

จากพระพุทธภาษิตเหล่านี้ทำให้เราสรุปความได้ว่า”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น คือหลักความจริงที่ว่า :
(1)   ธรรมชาติทั้งปวง ทั้งที่เปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ใครจะไปถือเอาว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตนไม่ได้,
(2)   กฏธรรมชาติมีอยู่อย่างเด็ดขาดว่า ถ้าไปยึดถือหรือมั่นหมายสิ่งใด ว่าเป็นตัวตนหรือของตนก็ตามเข้าแล้ว  จะต้องเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ไม่โดยตรงก็โดยเร้นลับ,
(3)   ดังนั้นหน้าที่ตามกฏธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติก็คือ กระทำสิ่งต่างๆที่ควรกระทำและรับผลแห่งการกระทำนั้นๆไป โดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวตนหรือของตน ดังที่ได้กล่าวแล้ว, และ
(4)   เรามีชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ด้วยความยินยอมกันได้ทุกประการ โดยไม่ต้องเบียดเบียนกัน เพราะไม่มีความยึดมั่นสิ่งใดโดยความเป็นของตน หรือเป็นตัวตนนั่นเอง.  นี้คือตัว”หลักธรรม” ส่วนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา และตรงตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย – “ธรรมทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่น” ดังที่กดล่าวแล้ว.
“ความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง” ในที่นี้ ต้องอยู่ในรูปของการปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ อยู่แล้วจริงๆ, มิใช่เพียงแต่อยู่ในในตำรับตำรา, ในรูปของปรัชญา หรือวรรณคดี หรือจิตวิทยาอันไม่มีสิ้นสุด ดังที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้.  เราควรย้ำข้อความนี้ลงไปอีกครั้งหนึ่งว่า “ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา นั้นคือความไม่ยึดมั่นถือมั่น(ดีแท็ชชเม้นตฺ) การปฏิบัติที่กล่าวนี้ ย่อมเรียกหาความรู้แห่งเรื่องนี้เอาเองในเบื้องต้น, และนำมาซึ่งผลอันพึงปรารถนาได้ในที่สุด โดยตัวมันเอง.

เกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะต้องระลึกถึงบุคคลเป็นอันมาก ในครั้งพุทธกาล ได้เข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนา และเป็นพระอรหันต์กันเป็นจำนวนมากมาย โดยไม่มีความรู้ทางปรัชญาวรรณคดี หรือจิตวิทยาของพุทธศาสนาชนิดที่พวกเรากำลังรู้กันอยู่อย่างฟุ่มเฟือยในสมัยนี้เลย.  ท่านเหล่านั้นมีแต่การปฏิบัติโดยตรง โดยอาศัย สปิริตจวล เอ็กซฺปีเรียนซฺของตนเอง ที่เข้ารูปกันได้กับคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตนได้ฟังอยู่ในขณะนั้น เป็นปทัฏฐาน โดยไม่ต้องเกี่ยวกับปัยหาอันยุ่งยากทางปรัชญาเป็นต้น ดังที่กล่าวแล้ว.  แม้ว่าในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาเท่าที่ปรากฏในเวลานี้ จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้อความ ที่อยู่ในรูปของปรัชญา วรรณคดี จิตวิทยา ตรรกวิทยา และอื่นๆเช่นโบราณคดีเป็นต้น อย่างมากมายก็ตาม เราเองก็มิได้ถือว่า นั่นเป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาเลย แต่เป็นเพียงเครื่องหุ้มห่อและประดับประดาหัวใจของมันเท่านั้น ; ดังนั้นเราจึงถือว่าความรู้เรื่องตัวธรรมชาติก็ดี เรื่องกฏของธรรมชาติก็ดี เรื่องหน้าที่ของมนุษย์ตามกฏของธรรมชาติก็ดี และเรื่องผลอันจะพึงได้รับจากการกระทำหน้าที่นั้นก็ดี อันล้วนแต่เป็นความรู้ซึ่งจะทำให้เราไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา. หรือสรุปเป็นกฏสั้นๆว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่มนุษย์ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือหัวใจของพุทธศาสนา.
เมื่อเราได้เข้าถึงธรรมที่เป็นหัวใจแห่งพุทธศาสนาของเราอย่างถูกแล้ว เราก็จะได้เหลียวมองไปยัง”ธรรม”ที่เป็นหัวใจแห่งศาสนาอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเราดูบ้าง เพื่อ”เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิปฎของเรา จะขยายตัวออกไปได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้, คือเต็มตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือที่ธรรมชาติเรียกร้องต้องการ ก็ตาม.

          3.   “ธรรม” ที่เป็นหัวใจแท้จริงของพุทธศาสนานั้น เป็นสิ่งเดียวกันกับ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของศาสนาอื่นด้วยกันทุกศาสนา.  ข้าพเจ้าขอยืนยันความเห็นข้อนี้ เพื่อการพิสูจน์, เพราะเป็นสิ่งที่ควรพิสูจน์อย่างยิ่ง.
          สิ่งแรกที่สุด  ที่เราจะต้องมองให้เห็นกันเสียก่อน ก็คือ ข้อเท็จจริงที่ประจักษ์แล้วว่า ศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนา ย่อมมุ่งหมายเพื่อกำจัดความมีตัวเป็นของตัว ของทุกคนทุกคนในโลก !  ไม่มีศาสนาไหนเลย ที่เว้นจากความมุ่งหมายอันนี้.  ศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า(ก็อด)ก็สอนให้มอบตัวเองให้แก่พระเป็นเจ้าเสีย หรือทำให้ตัวของพระเป็นเจ้าไปเสีย, อย่ามีตัวของตัวเอง ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าในขนาดที่จะเป็นอีโกอิสมฺ หรือเป็นเซ็ลฟิชเนสสฺ ก็ตาม ; แม้ในบางศาสนาจะสอนว่ามีโซล หรือ อาตมัน ก็สอนให้มีอย่างชนิดแท้จริง, มิใช่มีอาตมันชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัวของตัวโดยเฉพาะ.
          ส่วนศาสนาที่ไม่มีพระเป็นเจ้า เพราะถือการกระทำของตนเองเป็นหลัก ก็ยังคงสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง และยังสอนเลยไปถึงการทิ้งตัว หรือความมีตัวของตัวเสีย โดยไปเห็นแก่อุดมคติของมนุษย์ และทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์, เพื่อมนุษยธรรม(ฮิวแม็นนิตี), เพื่ออุดมคติของมนุษย์โดยตรง.  แม้ที่สุดแต่ลัทธิศาสนาที่ถูกจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิในครั้งพุทธกาล เช่นพวกที่สอนเรื่องอนัตตาอย่างผิดๆเป็นต้น ก็ยังมีการสอนเพื่อทำลายความรู้สึกว่ามีตัวตน หรือทำลายความเห็นแก่ตน อยู่นั่นเอง.
          ดังนั้นเราควรถือเป็นหลักว่า ศาสนาที่แท้จริง ทุกศาสนา ล้วนแต่มีความมุ่งหมายที่จะทำลายความยึดมั่นถือมั่น (สปิริจวล แอ็ทแท็ชชเม้นตฺ) ว่ามีตัวเป็นของตัว อย่างตรงกันแท้โดยหลักการใหญ่, ส่วนการที่จะมีข้อแตกต่างปลีกย่อย เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเป็นต้นบ้างนั้น ย่อมไม่เป็นการหักล้างความเหมือนกัน ในส่วนที่เป็นหัวใจ ดังที่กล่าวแล้ว.
          ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นการเพียงพอสำหรับการที่เราจะถือว่า คำพูดเพียงประโยคสั้นๆประโยคเดียวที่ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นหัวใจ ของศาสนาอื่นทุกศาสนาด้วย ; และนั่นคือเหตุผลอันชอบธรรมที่เราจะกล่าวว่า เวิลดฺ เฟ็ลโลวฺชิป นั้น ต้องมีขอบเขตของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง, มิฉะนั้นแล้ว จะไม่เป็นธรรม จะไม่ตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ หรือต้องการ.
          เราต้องนึกไว้เสมอว่าธรรม หรือธรรมชาตินั้นเป็นของสิ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ; ถ้าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งธรรมหรือแห่งธรรมชาติแล้ว เราก็ควรพยายามไปในทางที่จะขยายเขตแห่งเวิลดฺ เฟ็ลโลว์ชิป  ออกไปเต็มตามเจตนารมณ์ของธรรม หรือของธรรมชาตินั้น.  แม้เรายังๆไม่ได้ขยาย หรือขยายไม่ได้ เพราะทำความเข้าใจกันยังไม่ได้ก็ตาม, เราก็ควรจะยอมรับอยู่แล้วว่า ยังมีเพื่อนพุทธบริษัท ที่เรายังไม่ยอมรับเขาว่าเป็นพุทธบริษัทอยู่เต็มไปในโลกนี้  ทั้งที่เขาเหล่าโน้นก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนั้น.  ดังนั้น ขอให้เรามาพิจารณากันเป็นข้อสุดท้ายที่นี่ในวันนี้ ว่าขอบเขตของความเป็นพุทธบริษัทนั้น ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างไร และเพียงไหน.

          4.   ใครก็ตาม ในโลกนี้ ที่ถือหลักแห่งการมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายอีโกอิสมฺแล้ว ต้องถือว่าเขาเหล่านั้น เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงอยู่แล้วทั้งหมดทั้งสิ้น.  เราไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงว่าใครเป็นเถรวาทใครเป็นมหายาน ซึ่งเป็นเรื่องของทะเบียนหรือบัญชีเหมือนบัญชีของปศุสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เป็นคอกๆมากกว่าอย่างอื่น.  พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้หรือพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น มิได้เป็นเถรวาทหรือมหายานเลย.
          พระพุทธองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ในรูปแห่งธรรมและวินัย ; ธรรมและวินัยที่เป็นอย่างแท้จริงนั้น จะเป็นเถรวาทหรือมหายานไปไม่ได้, จะเป็นได้ก็แต่เพียงแยกกัน ตามที่เราพวกไหนเลือกเอาธรรมวินัยส่วนไหนเป็นหลักปฏิบัติของตนตามรสนิยม หรือตามที่สิ่งแวดล้อมบังคับ.  เนื้อแท้ของธรรมและวินัยนั้น คือการปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือของตนด้วยกันแต่อย่างเดียว ; เมื่อความจริงเป็นอยู่ดังนี้ ความเป็นเถรวาทหรือมหายานอันแท้จริง ก็มิได้มี เพราะทุกคนมุ่งหมายทำอย่างเดียวกัน, เพื่อผลอย่างเดียวกัน, แตกต่างกันเพียงวิธีที่สะดวกเป็นส่วนตัว.
          ความแตกต่างทำนองนี้อาจจะแตกต่างกันได้เป็นอย่างมาก แม้ภายในวงเถรวาทกันเอง หรือในวงมหายานกันเอง, และอาจจะเป็นไปได้ในบางกรณี ถึงกับว่าความแตกต่างหรือขัดแย้งกันภายในวงเถรวาทกันเองนั้น อาจจะมีมากไปเสียกว่า ความแตกต่างหรือขัดแย้ง อันมีอยู่ในระหว่างเถรวาทกับมหายาน ในส่วนทิฏฐิหรือความเห็น ซึ่งกำลังดำเนินไปตจามความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หรือพวกของตัวด้วยซ้ำไป, ดังนั้น เมื่อกล่าวโดยธรรมหรือโดยธรรมชาติแล้ว หามีเถรวาทหรือมหายานที่แท้จริงไม่.  แต่กลับไปมีของจริง(TRUTH) หรือข้อเท็จจริง(FACT)อยู่ที่ว่า  ใครก็ตาม ปฏิบัติเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว คนนั้นเป็นพุทธบริษัทแท้ : โครก็ตาม ปฏิบัติเพื่อความเห็นแก่ตัว คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัทเสียเลย, ดังนี้ไปเสียมากกว่าง
          เมื่อเราถือหลักว่า ใครมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยการควบคุมและทำลายความเห็นแก่ตัว ผู้นั้นเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ดังนี้แล้ว เราก็อาจจะมองเลยออกไปนอกเขตที่เราสมมติกันอยู่ในบัดนี้ว่า เขตของพุทธบริษัท ; มองให้กว้าง มองให้กว้างออกไปด้วยสายตาอันนี้ จนกระทั่งทั่วโลก, จนกระทั่งทุกๆโลกกี่ร้อยกี่พันโลก, แม้เป็นโลกที่เรายังมองไม่เห็นด้วยตา แต่เราก็เชื่อว่ามีอยู่, เหล่านั้นให้ทั่วถึงเราก็จะพบด้วยความดีอกดีใจว่าเพื่อนพุทธบริษัทของเรานั้นมีอยู่ทั่วไปทั้งโลก, และทุกๆโลก, หรือในทุกๆศาสนาที่มีการสอนให้ทำลายความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตนหรือของตนอย่างตรงตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้และต้องการ, และตรงตามเจตนารมณ์ของ”ธรรม”ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา อย่างแท้จริง.
          ขอบเขตแห่ง พสล. เป็นต้นของเรา มีอยู่อย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ; เรากำลังให้ความสนใจ แต่มันน้อยเกินไป หรือถึงกับไม่สนใจกันเสียเลย.  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเรียกว่า เราพุทธบริษัทส่วนน้อย กำลังทำการแบ่งแยกและตีตนออกห่างจากเพื่อนพุทธบริษัทส่วนใหญ่ ในลักษณะที่ไม่ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการได้หรือไม่ นั้นเป็นสิ่งที่ต้องคิดดูกันให้ดีหรือเอาไปคิดกันเสียใหม่ให้หลายครั้งหลายหน.  ถ้าเราเข้าถึงความหมายของคำว่า”ธรรม”กันอย่างถูกต้องและสมบูรณ์แล้ว การคิดได้อย่างถุกต้องนั้น จะเป็นสิ่งที่ไม่ยากเลย.

          สรุปความ.  ข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าขอสรุปเป็นใจความสั้นๆ เพื่อความสะดวกแก่ท่านทั้งหลายในที่นี้ว่า ในเวลาที่แล้วมา พวกเราสนใจในตัว”ธรรม”ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนากันน้อยไป.  เราศึกษาเรื่องอนัตตา สุญญตา เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น, และเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่องอริยสัจกันแต่ในรูปของวรรณคดี, ปรัชญา และจิตวิทยาเป็นต้น  แต่มิได้อยู่ในรูปของการปฏิบัติดังเช่นที่เคยกระทำกันในครั้งพุทธกาล.  เราพูดกันแต่วิธีดำเนินงานปละประสานงานในการประกาศธรรม  จนลืมพูดกันถึงตัวธรรมแท้จริงที่ควรประกาศ !  เราพูดกันแต่การประกาศราวกะว่าเราเป็นพระอรหันต์ผู้จบกิจในพระศาสนากันแล้วทุกคน, ดังนั้นเรื่องที่ประกาศออกไป จึงเป็นเพียงเรื่องจริยธรรมทางสังคม หรือการเมืองกันเสียมากกว่า แทนที่จะเป็นเรื่องทางปรมัตถธรรมในระดับที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.
          เมื่อเรารู้จักตัวธรรมแท้กันน้อยเกินไป สิ่งที่เราประกาศออกไปนั้นจะไม่เพียงพอที่จะให้เกิดความสนใจ แก่นักศึกษาและนักปฏิบัติที่กำลังก้าวหน้า อันมีจำนวนมากขึ้นทุกทีในโลกปัจจุบันนี้ ; องค์การที่เป็นปึกแผ่นเช่น องค์การ พสล. นี้ควรมีกิจการที่ทำให้คนเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาจริงๆ ยิ่งกว่ากิจการทางธุรการ หรือวิธีการที่เนื่องด้วยพิธีรีตองทางศีลธรรมหรือวัฒนธรรมเป็นต้น ซึ่งเป็นเพียงพื้นฐานทั่วไปเท่านั้น.  เมื่อเราศึกษาพุทธศาสนาในแง่ของปรัชญากันอย่างเพียงพอแล้ว เรายังต้องประชุมกันเพื่อหาวิธีแปรรูปของเรื่องที่เป็นปรัชญานั้น ให้มาอยู่ในรูปของการปฏิบัติที่คนสมัยนี้จะปฏิบัติกันได้จริงๆให้จนได้, เพื่อเขาถึงตัวธรรมแท้ให้ได้ ; เมื่อเข้าถึงตัวธรรมแท้กันได้จริงๆแล้ว เราก็สามารถขยายวงของ พสล. เป็นต้นออกไปเป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งโลกได้, โดยไม่จำกัดอยู่แต่ในขอบวงของคนจำนวนน้อย ที่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขากันอยู่.  การทำโดยวิธีนี้ จะสิ้นเปลืองน้อย แต่ได้ผลมากและสูงกว่าการกระทำชนิดที่เป็นการเข็นผู้ไม่รู้จักธรรมเข้าไปในธรรม โดยอาศัยพิธีรีตองอันสง่าเป็นเครื่องมือ, หรือแม้แต่อาศัยเกียรติของสมาคมที่มีเกียรติเป็นเครื่องผลักดันเป็นต้นก็ตาม.
          ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ข้อความที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ที่เสนอแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยความหวังดีอก่เพื่อนมนุษย์และพุทธศาสนา, หากแต่เป็นความเห็นของผู้ที่ได้สนใจในกิจการเผยแผ่พุทธศาสนา, ทั่วๆไปมาแล้วเป็นเวลากว่า 30 ปี จึงหวังว่าจะได้รับความสนใจของท่านทั้งหลายบ้างไม่มากก็น้อย เพื่อนำไปพิจารณากันดูตามสมควร เพื่อหาทางปรับปรุงกิจกรรมของพุทธบริษัทเป็นส่วนรวม ให้ก้าวหน้าสืบไป.
          ขอให้สรรพสัตว์จงได้รับประโยชน์จากการเสียสละ ของพวกเรา อย่างสูงสุดเถิด.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น