หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พุทธทาสภิกขุ - ความรอดพื้นฐานของฆราวาส - วัฒนธรรมของชาวพุทธ



ความรอดพื้นฐานของฆราวาส

          ต่อไปก็มาถึงการที่เราจะแยกดูว่า มีอะไรบ้างที่พอจะกล่าวได้ว่า เป็นวัฒนธรรมที่มีรากฐานอยู่บนพุทธศาสนา. เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงพุทธศาสนา เรายังมุ่งหมายเฉพาะพวกฆราวาส ดังนั้นผมจึงใช้คำว่า “ความรอดพื้นฐานของฆราวาส”.  ถ้าเราจะดูกันเป็นข้อๆเพื่อสะดวกแก่การศึกษา หรือเข้าใจหรือการปฏิบัตินี้ ก็จะทำได้เป็นข้อๆ, แล้วก็มีมากจนจะทำให้ฟั่นเฝือ จะเพ่งเล็งกันเพียง 10 ข้อ ;-

1.ความขยันขันแข็ง
          ข้อที่ 1 อยากจะเรียกว่า ความขยันขันแข็ง. ความขยันขันแข็งนี้ คุณอาจจะคิดไปว่าไม่เกี่ยวกหับศาสนา. ถ้าอย่างนั้นก็ถูกเหมือนกัน แต่ว่าอย่าลืมไปว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้. เมื่อพระพุทธเจ้าออกบวชใหม่ๆเป็นแขกแปลกหน้าเข้าไปในประเทศมคธ, พบพระเจ้าพิมพิสาร สนทนากันถึงว่าเป็นอย่างไร มาจากไหน เป็นใครนี้; พระพุทธเจ้าท่านตอบว่ามาจากดพวกศากยะผู้ขยันขันรแข็ง แล้วก็เล่าอะไรต่อไปอีกตามสมควร. แต่ดูเหมือนว่าท่านอยากจะยืนยันในข้อที่พวกศากยะมีถิ่นอยู่ที่เชิงเขาหิมพานต์นี้ เป็นพวกที่ขยันขันแข็ง. เพราะฉะนั้นเราจะนึกถึงความขยันขันแข็ง ซึ่งรวมความกล้าหาญความอะไรเข้าไว้หมด.
          การมีชีวิตอยู่ในโลกจะรอดอยู่ได้ ก็ต้องด้วยความขยันขันแข็ง, ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่เหลือรอดอยู่ได้.  การต่อสู้ซึ่งเป็นความรู้สึกทางสัญชาตญาณ, ความขยันขันแข็งก็เป็นสิ่งหนึ่งในการต่อสู้. เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้มาก มันก็กลายเป็นความกล้าหาญ; เรารวมเรียกว่า “ความขยันขันแข็ง” คือเข้มแข็ง. เรื่องนี้ไม่ต้องสอนกันมาก เพราะธณรมชาติมันบังคับ ไม่ขยันขันแข็งมันก็ตายไม่เหลือรอดอยู่จนบัดนี้. แล้วยิ่งในโลกสมัยนี้ มันก็สอนความขยันขันแข็งโดยไม่รู้สึกตัวมากขึ้นๆ. แต่วัฒนธรรมของชาวพุทธนั้น มีความขยันขันแข็งอยู่ด้วยข้อหนึ่ง เราถือว่ามีรกรากมาแต่พระพุทธเจ้า ผู้ขยันขันแข็ง. ท่านสอนหลักธรรมะเช่นนั้นอยู่จนมาถึงพวกเรา ชาวไทย ซึ่งมีความขยันขันแข็ง เต็มไปด้วยการต่อสู้ตลอดเวลา, คือเคลื่อนย้ายลงมาสู่ผืนแผ่นดินนี้.

          นี้ คุณก็รู้ดี ตามประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยที่มีความเข้มแข็งและความกล้าหาญเป็นนิสัย สมกับคำว่าเป็นไทย จึงรอดอยู่ได้. ถ้าถามว่าความขยันขันแข็งในอะไร ก็ตอบว่าในหน้าที่. หน้าที่คืออะไร ก็คือความอยู่รอด ดังนั้นจึงนับความขยันขันแข็งนี้เป็นเครื่องมือของความอยู่รอดพื้นฐานอันแรก.

2.ความสุภาพอ่อนน้อม
          ข้อที่ 2 ถัดมาก็อยากจะพูดถึง ความสุภาพอ่อนโยน. ความสุภาพอ่อนโยนเป็นหลักธรรมะด้วยเหมือนกัน อย่าถือว่าเป็นเพียงขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้าน หรือว่าในเลือด ในเนื้อ ในฐานะที่เป็นลักษณะของคนชาตินั้นชาตินี้ พันธุ์นั้นพันธุ์นี้; แต่ที่แท้แล้วเป็นหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา. ความสุภาพ นั้นหมายถึงไม่มีอะไรที่น่าเกลียด, ความอ่อนโยน หมายถึงมีอะไรที่ทำให้น่ารัก.  แล้วเราไม่มีอะไรที่น่าเกลียด, และมีส่วนที่ทำให้น่ารัก มันก็ชนะผู้ที่ได้มาพบมาเห็น เป็นเครื่องมือ หรือเป็นอำนาจพิเศษอะไรอันหนึ่งที่ชนะน้ำใจของผู้ที่ได้เข้ามาพบมาเห็น มาสังคมด้วย, ดังนั้น เราในบางครั้งบางสมัยบางยุคก็เป็นคนที่มีกำลังน้อยด้วยเหมือนกัน แต่เราก็ชนะคนที่มีกำลังมากได้ด้วยความสุภาพหรืออ่อนโยน ในการรู้จักโอนอ่อนไปตามเหตุการณ์ที่ร้ายแรงช่วยให้ประเทศไทยรอดตัวมาได้จนบัดนี้
          คนโบราณเขาสอนให้ดูพงหญ้า ลมพัดมันลู่ไปไม่หัก. ต้นไม้แข็งๆกระด้างนั้นมันหักโครมครามไปมหดเ เมื่อมีพายุมา. เด้กๆก็เข้าใจได้ในเรื่องนี้. พระพุทธเจ้าท่านจะยิ่งเข้าใจในเรื่องนี้ ท่านจึงสอนให้อ่อนโยน นับไปตั้งแต่ระเบียบวินัยต่างๆ. คุณไปสำรวจดูจากวินัยปาฏิโมกข์ ที่เป็นหลักเป็นประธานและวินัยนอกปาฏิโมกข์ อภิสมาจารต่างๆจะพบเรื่องปรับให้เป็นโทษทางวินัยคือาบัตินั้น เพราะความไม่สุภาพอ่อนโยนนั่นมีอยู่มากเหมือนกัน ในเรื่องการพูดกริยาท่าทาง หรือการใช้สอยวัตถุสิ่งของอะไรต่างๆ.
          ความสุภาพอ่อนโยนนี้ ทำให้เกิดหลักพื้นฐานอื่นๆต่อไปเป็นแขนงๆไป, แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือสุภาพอ่อนโยนต่อคนเฒ่าคนแก่; พูดง่ายๆก็คือความเชื่อฟังคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งในสมัยโบราณมีมาก เรียกว่าเต็มร้องเปอร์เซนต์. แล้วเดี๋ยวนี้จะเหลืออยู่ไม่กี่เปอร์เซนต์ เพราะเด็กๆอวดดี ว่าคนเฒ่าคนแก่นั้นโง่งมงายไม่ก้าวหน้า. เด้กๆได้เล่าเรียนมาก ชนิดที่คนเฒ่าคนแก่ไม่ได้เรียน ความเคารพคนเฒ่าคนแก่ก็น้อยไป, จิตใจก็กระดางเพิ่มขึ้นตามส่วน; แต่แล้วก็ยังคิดว่าตัวเป็นผู้เก่ง ผู้สามารถ ผู้อะไรอยู่ดี.  น่ขอให้สังวรระวังเรื่องนี้ให้มาก. คนเฒ่าคนแก่อาจจะโง่กว่า แต่ผมอยากจะพูดว่า โง่กว่าในสิ่งที่ไม่จำเป็น ในเรื่องที่จำเป็น.  เรื่องที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตนั้นแหละคนเฒ่าคนแก่อาจจะโง่กว่าลูกหลาน, แต่ถ้าเรื่องที่จำเป็นแก่ชีวิตแล้ว คนเฒ่าคนแก่ฉลาดกว่าเสมอ.  หมายความว่าเรื่องเฟ้อนั้น พวกคุรอาจจะเก่งกว่าคนเฒ่าคนแก่ในเรื่องเฟ้อเกินความจำเป็น. แต่เรื่องที่จำเป็น เรื่องที่ช่วยให้เอาตัวรอดกันได้จริงๆแล้ว ไปดูเถิดพ่อแม่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ที่เห็นว่างุ่มง่ามหัวเก่าๆนั่นแหละ อาจจะเก่งกว่าพวกคุณในทุกๆกรณี. ท่านรู้จักเลี้ยงเรามาให้รอดชีวิตอะไรเหล่านี้ แล้วก็มีหลักง่ายๆตามธรรมชาติ ตามความรู้สึกพื้นฐานของธรรมชาติ.

          ข้อนี้เราสรุปเรียกว่า “ความสุภาพอ่อนโยน”ฎ แก่ทุกๆคน ทุกๆฝ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนแก่เฒ่า. เรื่องเพื่อนฝูง มิตรสหาย แขกบ้านแขกเมืองอะไรก็ตาม อยู่ในลักษณะที่จะต้องสุภาพอ่อนโยนทั้งนั้น. ทีนี้สองอย่างแรกนี้มันเป็นของคู่กัน : อันหนึ่งเข้มแข็ง อันหนึ่งอ่อนโยน, แต่มันก็ไม่ขัดแย้งกัน มันอยู่กันคนละเหลี่ยมคนละมุม. มันเข้มแข็งต่ออุปสรรคศัตรู;  จะสุภาพอ่อนโยนในเมื่อจะต้องสุภาพอ่อนโยน มีความสุภาพอ่อนโยนเป็นเครื่องมือซึ่งใช้กันอยู่คนละที ไม่เป็นอุปสรรคแก่กัน. เพื่อป้องกันไม่ให้ความเข้มแข็งนั้นเป็นไปทางกระด้าง เราก็มีความอ่อนโยน; เพื่อให้ความอ่อนโยนนั้นไม่อ่อนแอ เราก็มีความเข้มแข็ง.

3.ความกตัญญู
          ข้อที่ 3 อยากจะพูดถึงเรื่อง ความกตัญญู. ความกตัญญูเป็นเครื่องวัดบุคคล ว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ที่ถือกันมาเป็นหลักแต่โบราณกาล.  ถ้ามีนิสัยไม่กตัญญูก็หมายความว่าอันตราย คบไม่ได้, คือมีความทารุณโหดร้ายทางวิญญาณมากเกินไป จนไม่รู้สึกขอบคุณ รักใคร่ผู้ที่มีบุญคุณ เรื่องนี้เขามักจะอ้างถึงสุนัข ว่าความกตัญญูของสุนัขมีมาก คือมันมีความรู้สึกไวในทางนี้, แล้วสัตว์บางชนิดไม่อาจจะรู้สึกความรู้สึกข้อนี้ เช่น ลิง ค่าง ชะนี อย่างนี้.
          ผมสังเกตเห็นว่าชะนีนี้ไม่มีทางที่จะมีความรู้สึกกตัญญู สามารถกัดคนที่เอาของไปให้มันกินอยู่ทุกวัน สามเณรก็เคยถุกกัด แม่ครัวก็เคยถูกกัด; อารมณ์ของมันเดือดพล่านอยู่เสมอ คืออารมณ์ร้ายมีได้ง่าย, แล้วมันก็กัด.  เขาให้ช้าให้กินไม่ทันใจมันก็กัด. ที่กัดแน่นอนก็คือว่ายื่นเข้าไปให้แล้วดึงกลับ ทำว่าจะยังไม่ให้ อย่างนี้จะกระโจนกัดทันที ทั้งที่ให้กินอย่ทุกวัน. แต่สำหรับสุนัขคุณไปดูเถิด มันผิดกันลิบ แม้แต่ตีมัน มันก็ยังไม่กัด.
          ความกตัญญูที่เราต้องการนั้น หมายถึงความรู้สึก ที่มากกว่าระดับสัญชาตญาณ, เป็นเรื่องของความคิดความนึก. แล้วเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องอบรม. ชาติที่เป็นชาติโบราณอายุหลายพันปี จะมีหลักธรรมข้อนี้มาก. ในโลกนี้ก็มีชาติจีน ชาติอียิปต์ ชาติอินเดีย หรือชนชาติที่โบราณเท่าๆกัน เรื่องกตัญญูของจีนมีชื่อเสียงอยู่ชุดหนึ่ง คือเรื่อง “ยี่จับสี่เห่า” นำเอามาเขียนไว้ในตึกแสดงภาพนั้น คุณลองไปพิจารณาดู แล้วก็จะเห้นว่า โอ! สมัยนี้กลายเป็นเรื่องตลกสำหรับหัวเราะเยาะ, สมัยก่อนเป็นเรื่องที่มีได้จริง เพราะว่าเขาเมาในความกตัญญูกัน สอนลูกสอนหลานอย่างมัวเมาในเรื่องกตัญญู; มันก็มีได้. แต่พอมาถึงสมัยนี้ กลายเป็นเรื่องบ้า เรื่องโง่ไปก็ได้.

          มีเรื่องหนึ่ง เรื่อวไปนอนให้ยุงกัดตัวเอง เพื่อไม่ให้ยุงไปกัดแม่, เรื่องไปนอนแช่น้ำแข็งเพื่อให้มีน้ำบ้าง จะหกาปลาให้แม่สัก 2 ตัว อย่างนี้ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องที่จริง ที่มีได้; นั่นก้เพราะเอาความรู้สึกของคนสมัยนี้เป็นหลัก.  ถ้าเอาความมัวเมาในธรรมะของคนสมัยโบราณเป็นหลัก มันก็เป็นสิ่งที่มีได้, เพราะเขาสอน-สอน-สอน หรืออบรมๆจนเด็กมีนิสัยอย่างนั้นมาหลายชั่วอายุคน หลายสิบอายุคนตในเรื่องกตัญญูนี้.

          แต่เอาละ เราไม่ต้องการมากถึงอย่างนั้นดอก, เดี๋ยวนี้ต้องการแต่เพียงว่า ให้เล่าเรื่องนี้ฟังกันอยู่ หรือว่าเขียนภาพชนิดนี้ ให้ตำตาอยู่ ก็เพื่อจะช่วยให้เกิดนิสัยกตัญญูบ้างเท่านั้น, เช่นว่าไปดูภาพเด็กนอนแช่น้ำแข็งให้ละลาย เอาปลาไปให้แม่ที่เจ็บไข้นั้น ในจิตใจจะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง, แต่พร้อมกันนั้นมันสร้างความคิดที่จะกตัญญูบ้างตามสมควรแก่เด็กที่ไปดูภาพนั้น. เพราะฉะนั้น เราจึงเขียนภาพชนิดนี้ไว้ให้มาก, จะเป็นเครื่องช่วยจุดชนวนในจิตใจให้เกิดความกตัญญูโดยไม่รู้สึกตัว.

          คนบางคนบ้ามากๆ ถึงขนาดที่เห็นว่าเอาเรื่องเป็นไปไม่ได้มาเขียนให้รกให้รุงรัง ให้กีดที่ หรือให้เด็กหัวเราะเยาะ; แต่แล้วคนเฒ่าคนแก่ก็ฉลาดกว่าอีกตามเคย คนเฒ่าคนแก่ที่ถุกหาว่าโ.นั้น ก็ยังฉลาดกว่าอีกตามเคย โดยหวังว่าเมื่อเล่าหรือพูดหรือดูภาพเรื่องนี้อยู่นั้น มันจะจุดชนวน หรือจะก่อหวอดหรือจะรักษาไว้ซึ่งความรู้สึกพกตัญญูในจิตใจของผู้ที่ได้พบได้เห็น.  เพราะฉะนั้นคุณสังเกตดูให้ดี อย่าลืมว่าความกตัญญูเป็นเครื่องช่วยให้รอด. ถ้าคนเลิกกตัญญูต่อบิดามารดา โลกนี้ก็ล่มจม, ดังนั้นเราต้องกตัญญูต่อทุกอย่างที่มีประโยชน์และมีคุณ.

          ถ้า กตัญญูต่อวัตถุ เครื่องใช้ไม้สอยที่เรามีในบ้านในเรือน มันก็มีอยู่, ไม่ค่อยแตก ไม่ค่อยหาย หรือว่ามีเป็นเครื่องวเตือนใจให้ระลึกนึกอยู่เสมอที่จังหวัดนี้ ครั้งโบราณแต่ว่ายังเล่าถึงกันอยู่ พอมีคนทันเห็นตัว เล่าว่ามีคนจีนที่มาจากเมืองจีน เอาไม้คานหาบที่ช่วยตัวให้รอดได้ จนเป็นระดับเศรษฐีนี่เขาเอาไม้คานนั่นมาปิดทองไว้ที่หน้าที่บูชา.  อันนี้เป็นนิสัยกตัญญู แม้ต่อวัตถุสิ่งของ.  นี่เราก็ต้องกตัญญูต่อทุกอย่าง ถนนหนทาง ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็ไม่รักษามัน ก็ไม่มีทางที่จะใช้สอยให้เป็นประโยชน์.

          ขึ้มาถึงระดับสัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องกตัญญูต่อมัน. มันเป็นเพื่อนร่วมโลก มันทำให้โลกนี้น่าอยู่ น่าดู หรือมีประโยชน์ แม้ที่สุดแต่มันสวยงาม. เรามีผีเสื้อมีนกร้อง ก็ต้องขอบคุณมัน ต้องกตัญญูมัน ช่วยสนับสนุนให้มันรอดอยู่ได้. ยิ่งมาถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน ช่วยเหลือกันโดยไม่รู้สึกตัว ก็ต้องกตัญญูกัน.  กระทั่งศัตรู ทำใฝห้เราเข้มแข็งหรือฉลาดเพราะมีศัตรู เราก็ต้องกตัญญู อย่างน้อยก็นึกขอบคุณว่าศัตรูช่วยให้เราฉลาด.  แต่ที่จะกตเวทีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง.  กตเวทีคือทำตอบแทน, กตัญญูนี้เรารู้สึกอยู่ใจใจ. เราจะตอบแทนศัตรูโดยวิธีใด ก็ทำให้เขากลายเป็นคนดีเสียเท่านั้นเอง; นี้คือกตัญญูกตเวทีต่อศัตรู. ถ้าเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เราก็เป็นมนุษย์ที่เลิศที่สุด เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด ในแง่ของความกตัญญู. ถ้ามีแต่คนกตัญญูแล้วละก็ โลกนี้ไม่มมีทางจะรบราฆ่าฟันกันได้เลย. มันเป็นความผูกพันที่แยกกันไม่ออก ที่ว่ามนุษย์อยู่ร่วมโลกกัน ก็มีประโยชน์ มีบุญคุณแก่กัน.

4.ความมีศีลมีสัตย์
          ข้อที่ 4 ก็อยากจะพูดถึง ความมีศีลมีสัตย์ จะใช้คำว่า “ซื่อสัตย์” มันน้อยไป ในที่นี้จึงใช้ “ศีลสัตย์”.  วัฒนธรรมของคนไทยเป็นคนมีศีลมีสัตย์มาแต่เดิมในชาติพันธุ์อันนี้ก็มีอยู่, แล้วก็มีมากขึ้นเมื่อได้รับพระพุทธศาสนา. มีศีลมีสัตย์นี้คุณก็เข้าใจได้ หมายความว่าอย่างไร : มีความซื่อตรง ก็เรียกว่ามีความสัตย์, มีศีลก็คือ มีการปฏิบัติ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์.  เราไม่มีการกระทำที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์ ก็เรียกว่า “มีศีล”, เรามีความซื่อตรงต่อเพื่อนมนุษย์ก็เรียกว่า “มีสัตย์”  ถ้ามีทั้งศีลทั้งสัตย์ก็มีการเบียดเบียนไม่ได้ แล้วก็เป็นผู้ที่ไว้ใจได้. เพราะฉะนั้น อย่าดูถูกว่าเป็นคำในวัด เป็นคำโบราณ.  เดี๋ยวนี้มนุษย์กำลังไม่มีศีลไม่มีสัตย์มากขึ้น เพราะตหเป็นทาสของประโยชน์ คือหมายถึงอุปกรณ์สำหรับสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนัง.  มันมีอำนาจทำให้เราค่อยๆมองข้ามศีลและสัตย์ เหยียบย่ำศีลและสัตย์ไปได้เพราระว่ากิเลสมันครอบงำ มันก็เหยียบย่ำศีลและสัตย์ไปได้; นี้ไม่เหมาะสมแก่ความเป็นไทยซึ่งมีความรอด หรือมีอะไรอยู่ได้ด้วยความมีศีลมีสัตย์มาตั้งแต่เดิม.
          คำคำนี้ขยายความได้มากด จนกระทั่งว่าพวกอันธพาล พวกโจรอะไรก็ต้องมีกฏเกณฑ์เกี่ยวกับศีลและสัตย์.  พวกโจรจะไม่ปล้นคนที่เคยให้กินข้าว แม้แต่มื้อเดียว อย่างนี้เป็นต้น, โจรบางพวกจะไม่ปล้นฆ่าเจ้าของบ้านที่เขาเคยให้อาศัยร่มเงาบังแดดสักครู่หนึ่งอย่างนี้เป็นต้น, อย่างนี้ก็เป็นเรื่องศีลเรื่องัสตย์ ซึ่งถือกันแม้แต่คนพาล หรือพวกโจรที่มีความรู้สึกว่า “ศีล-สัตย์”นี้ เป็นพระเจ้าหรือเป็นสิ่งสำคัญ.  ถ้าเขาไม่ถือเสียเลย เขาจะฉิบหายวอดวายหมด ทั้งที่เขามีอาชีพเป็นโจร. เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงคนดีๆอย่างพวกเรา ที่จะไม่มีศีลไม่มีสัตย์ จึงอยากพูดในข้อต่อไป เพราะว่าเวลาจะไม่พอ ถ้าพูดละเอียดเกินไปนัก.

5.ความประหยัด
          ข้อที่ 5 ก็เป็นเรื่อง ความประหยัด.  เมื่อพูถึงเรื่องความประหยัด คนส่วนมากก็มักจะคิดไปว่า ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยหลักพระพุทธศาสนา.  ที่พูดนี้ก็หมายความว่า เขาไม่รู้ว่าหลักพุทธศาสนา ก็คือ เรื่องการประหยัดอย่างยิ่งอยู่ด้วย ก็ขอให้ไปดูเรื่องต่างๆในวินัย ในหลักธรรมะอีก ในวินัยดทั้งปาฏิโมกข์และอภิสมาจารนั้นแหละ มีอยู่หลายข้อที่ปรับอาบัติภิกุผู้ไม่ประหยัด, ผู้หยาบคายต่อเครื่องใช้ไม้สอย, ไม่ประหยัดเวลา, ไม่ประหยัดเรี่ยวแรง, ไม่ประหยัดสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้คุ้มกัน; กระทั่งว่าวินัยห้ามไม่ให้ถ่ายอุจจาระด้วยการเบ่งแรง.  นี่ก็เป็นการประหยัด ประหยัดในฐานะที่เราเป็นคนยากจน ไม่มีหยูกยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่ก็ประหยัดโดยไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เพราะว่าการถ่ายอุจจาระเบ่งแรงนั้น เป็นที่มาของโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างหลายชนิเ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็โรคนิดสีดวงที่เกิดที่ทวาร เป็นต้น; นี่เอามาพูดให้เห็นเป็นเรื่องสุดท้าย.

          พอพูดคำว่า “ประหยัด” ก็ต้องพูดเลยไปถึงคำว่า “สันโดษ” ด้วย. เพราะว่า สันโดษนั้นเป็นรากฐานของการประหยัด.  สันโดษมีคนเข้าใจผิดว่าทำให้อ่อนแอ ทำให้เกียจคร้านทำให้ไม่ขยันขันแข็ง; นั้นคนโง่พูด คนไม่รู้จักพุทธศาสนาพูด ทั้งที่ตัวเองก็เป็นพุทธบริษัท.  สันโดษนั้นทำให้เกิดกำลังใจ: เมื่อเรามีความอิ่มใจในส่วนที่ได้มา หรือได้อยู่ นั้นก็เกิดกำลังใจที่หล่อเลี้ยงทดแทนความท้อแท้ อ่อนแอ ความเหนื่อย. เพราะฉะนั้นท่านจึงวางเป็นหลักไว้ว่า สนฺตุฏฐี ปรมํ ธนํ พระพุทธเจ้าท่างวางหลักอย่างนี้ว่า ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างสูงสุด คือทำให้อิ่มใจเหมือนกับมีทรัพย์ ทำนองเดียวกับมีทรัพย์อย่างที่สุด.  ชาวนาขุดดินทีหนึ่ง ก็สันโดษพอใจ ว่าขุดดินไปได้ทีหนึ่ง เสร็จแล้วไปทีหนึ่ง ก็อิ่มใจ. ทีนี้ ถ้าชาวนาอีกคนหนึ่งว่า อุ๊ย, ไม่ไหว ยังอีกนานกว่าจะเสร็จ กว่าจะปลูกข้าวงอกออกรวง, ไปขโมยดีกว่า; มันก็ต่างกันตรงกันข้ามอย่างนี้.

          สันโดษ คือสิ่งหล่อเลี้ยงให้จิตใจอิ่มเอมเปรมปรีดาปราโมทย์อยู่เสมอ, แล้วก็ทำให้ประหยัด  ไม่ต้องมีสิ่งที่เกินความจำเป็น.  เดี๋ยวนี้เรากำลังจะมีสิ่งที่เกินความจำเป็นแก่ชีวิต โดยตามก้นฝรั่ง โง่ก้มหัวตามก้นฝรั่งมาหลายรายการ; แล้วรายการที่ไปมีสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมี คือไม่สันโดษนี้ก้กำลังจะครอบงำคนไทยเรามากขึ้น เพราะเห่อเหิมเรื่องเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ; การประหยัดก็มีไม่ได้.  ปัญหาที่เงินเดือนไม่พอใช้อยู่ในเวลานี้ก็มีมูลรากอยู่ที่ความไม่ประหยัดอยู่ส่วนหนึ่งด้วยเป็นสำคัญ.  ถ้ามีนิสัยประหยัดแล้วก็จะพอ; ถ้าแม้ไม่พอ มันก็จะไม่เดือดร้อน.  เมื่อมีความจำเป็นยังบมีอยู่ ถ้าแม้ยังไม่พอก็มีความยินดี และพอใจได้เท่าที่มี. ถือเป็นหลักสากลว่า  เมื่อเรายังไม่ได้สิ่งที่เราอยากจะได้ เราก็ต้องยินดีในสิ่งที่เรากำลังมีนั้น.  เด้กนักเรียนที่เคยเรียนในโรงเรียน ก็จะได้ยินคำพูดชนิดนี้เป็นสุภาษิตทั่วๆไป.

          เมื่อพูดถึงเรื่องประหยัดแล้ว ก็อยากจะยกตัวอย่างเรื่องในพระไตรปิฎกมาเลย ว่าพระอานนท์ทำให้พระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไม่นับถือพุทธศาสนา หันมานับถือพุทธศาสนาเพราะการประหยัด.  พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นพูดอย่างดูหมิ่นท้าทายอะไรๆ ว่าพระนี้โง่ทั้งนั้น แล้วเผอิญไปถามเรื่องว่าใช้จีวรอย่างไร พระอานนท์ก็ตอบไปตามลำดับว่า ก็ใช้ป้องกันหนาวเหมือนกับป้องกันเหลือบ ยุง ลม แดด เหมือนกับมีกุฏิ มีจีวรเป็นกุฏิ.
          ถ้าขาดจะทำอย่างไร  ก็เย็บปะอะไรนี้
          ถ้าเก่ามากจะทำอย่างไร มันก็ดามเป็น 2 ชั้นเข้า ถ้าชั้นเดียวมันเปื่อยขาด ก็ดามเป็น 2 ชั้นเข้า.
          ถ้าดามแล้วมันก็ยังเปื่อยขาดใช้ไม่ไหว จะทำอย่างไร ก็เอาไปทำผ้าปูนอน พับทบ ทบๆๆกันเข้าเป็นฟูกนอน.
          ถ้ามันเปื่อยเลยกว่านั้นไปอีกจนทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ จะทำอย่างไร ก็เอามาพับทบไปทบมาให้หนาเหลือเล็กนิดเดียวเป็นผ้ารองนั่ง.
          ถ้ามันเกินไปกว่าที่จะทำได้อีกล่ะ จะทำอย่างไร ก็ทำผ้าเช็ดเท้า.
          ถ้ามันเกินไปกว่าที่จะทำผ้าเช็ดเท้าจะทำอย่างไร ก็นำไปเผาเอาขี้เถ้ามาผสมดินและขี้วัว ฉาบทาฝากุฏิให้เป็นของใหม่ขึ้นมา.  นี้หมายถึงกุฏิทำด้วยดิน พอนานเข้ามันเก่า มันน่าเกลียด สกปรก เหม็นสาป เขาใช้ไล้กันใหม่ด้วยน้ำที่ผสมแบบนี้ ต้องมีขี้เถ้าอยู่ด้วย.  นี้ใช้กระทั่งเผาเป็นขี้เถ้าไปผสมน้ำขี้วัว ผสมดิน ไปทาฝากุฏิให้ใหม่ให้สวยให้หายน่าเกลียด. พระเจ้าแผ่นดินอันธพาลแห่งนครนั้นก็เลยเลื่อมใสพระพุทธศาสนานี้.

          นี่คุณดูความประหยัดตามหลักพุทธศาสนา คือประหยัดไปในทางที่เป็นประโยชน์, ไม่ใช่ประหยัดในทางที่ไม่จำเป็น เช่นไปประหยัดเพื่อจะได้สนุกสนานเอร็ดอร่อย, หรือว่าขี้เหนียวจนไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ คอยเฝ้าทรัพย์อะไรทำนองนั้น.

          ประหยัด ในที่นี้ เป็นประโยชน์, ประหยัด กับ ประโยชน์ คู่กันไปเรื่อยคู่กันไปเรื่อย จนวินาทีสุดท้าย; แล้วมาจากความสันโดษ. ไม่แสวงหาสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมี เอามาให้มันยุ่ง เสียเวลา; ก้หา และมีเท่าที่จำเป็น; แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์จนวาระสุดท้าย.  ถ้าตั้งใจจะหาเกินจำเป็น นี้เป็นบาป, มีไว้เกินจำเป็น นี้เป็นบาป, ใช้สอยเกินจำเป็น นี้เป็นบาปอย่างยิ่ง, คุณจำไว้ก็แล้วกัน ว่ามันบาปอย่างยิ่ง; มันเป็นต้นตอให้ทำผิดทำเลวอย่างอื่นอีกมากมาย. หาเกินจำเป็น ก็เหมือนมนุษย์สมัยนี้ หาเกินจำเป็นแล้วก็ได้รบราฆ่าฟันกันไม่มีทางจะหยุดได้ นี้หาเกินจำเป็น.
          หลักพระพุทธศาสนามีอยู่ว่า อติโลโภ หิ ปาปโก – โลภเกินนั้นลามก.  ยิ่งโลภเกินนั้น ลามก : อติโลโภ = โลภเกิน, หิ = ก็, ปาปโก = ลามก. นี้ก็คืออยากแล้วแสวงหาเกินความจำเป็น มีไว้เกินความจำเป็น หรือว่าใช้สอยเกินความจำเป็นก็เป็นของลามก. แม้ศาสนาอื่น เช่นศาสนาคริสเตียนเขาก็บัญญัติอย่างนี้; หาเกินความจำเป็นนั้นเป็นบาป เพราะว่าฝืนความประสงค์ของพระเป็นเจ้า.  ขอให้รู้จักเรื่องประหยัดและสันโดษในลักษณะอย่างนี้.

6.เมตตาใจกว้างใจบุญ
          ข้อที่ 6 คือเมตตาใจกว้างใจบุญ.  เมตตา แปลว่าความเป็นมิตร, มิตรคือความรู้สึกรัก หรือหวังดี.  คนไทยมีเมตตา โดยอาศัยอิทธิพลของพระพุทธศาสนา.  คุณก็มองเห็น ฝรั่งก็ออกปากสรรเสริญความมีใจกว้างใจบุญของคนไทย เขียนอยู่ทั่วๆไปในหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบันนี้ ก็แปลว่าเรามีความเห็นแก่ตัวน้อยกว่าพวกฝรั่ง. ฝรั่งเป็นครูสอนความเห็นแก่ตัวอย่างลึกซึ้งอย่างที่มีอะไรบังหน้า, ไม่เหมือนกับความไม่เห็นแก่ตัว. เรามีความเมตตากรุณาทำลายความเห็นแก่ตัวโดยหลักพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน.
          มีคำพูดมาแต่โบราณว่า “นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน”  ที่นี่มีอยู่ทั่วไป, “นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน” นี้ หมายความว่า เขาปลูก เขาทำเขาสร้างโดยไม่หวังจะรับผลเอง ; หรือแม้หวังจะรับผลเองแต่ถ้าไม่ได้กินเพราะนกกิน สัตว์กินเสีย ก็เป็นบุญ, คนอื่นมาขโมยเอาไปกินเสีย ก็เป็นทาน, ตัวเองก็ไม่เดือดร้อน ตัวเองก็กลับได้บุญมากกว่าที่จะเอามากินเอง; นี้เป็นหลักพื้นฐานอย่างนี้. เพราะฉะนั้นจึงเต็มไปด้วยเมตตา กรุณา ไม่โกรธขโมยที่มาลักเอาไปกิน ไม่ยิงนก ยิงสัตว์ที่มันมากิน; ก็ให้มันกินบ้าง เพราะว่าปลูกเผื่อไว้แล้ว.

          ผมไปอินเดียตรงใกล้ๆกับพระเชตวัน ที่สาวัตถี, เจ้าของนาที่เกี่ยวข้าวตัวเป็นเกลียวพร้อมกับลิงที่อยู่ข้างๆ.  ลิงที่ไม่มีเจ้าของกินแข่งกับเจ้าของนาที่เกี่ยวข้าว, นี่รู้สึกว่า โอ้, นี่มันก็เป็นวัฒนธรรมโบราณอย่างเดียวกับของคนไทยเรา; “นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน”.  อำนาจอิทธิพลของศาสนาสอนให้คนรักแม้แต่สัตว์.  สัตว์นั้นมันก็ต้องกิน เพราะฉะนั้นก็ให้มันกิน. เมื่อทำก็เผื่อมันไว้. คนไทยเราจะไม่ถึงอย่างนั้นเสียละกระมัง แต่ว่าก็ยังมีความเมตตา กรุณา นี่เหลืออยู่มาก มีความใจกว้าง ใจบุญ, แขกมาต้องให้กิน แขกชนิดไหนมาก็ต้องให้กิน. บางทีคิดว่าเขาจะมาปล้น ก็ยังต้องให้กิน; แล้วก็ใช้อันนี้เองเป็นเกราะป้องกันตัวจากคนพาล คือใช้ความรักนี้เป็นเครื่องมือชนะความเกลียดหรือความโกรธ.  ขอให้ไปนึกดูให้มากในข้อที่มีใจกว้างใจบุญ มีเมตตากรุณา.

7.ความอดกลั้น
          ข้อที่ 7 ความอดกลั้น  ในพุทธศาสนาเรียกว่า “ขันติ” คนที่มีความอดกลั้นนี้ คือคนที่มีธรรมะอย่างแรง, เพราะมันยาก. การอดกลั้นนี้มียาก เราบันดาลโทสะโดยไม่รู้สึกตัว. ถ้าไม่อบรมบ่มนิสัยมาในวัฒนธรรมมาในสายเลือดแล้ว มันยากจะอดกั้น. บางทีพวกนั้นเสียเอกราชของประเทศไปเช่น พวกประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศในอินโดจีนด้วยกันนั้น เพราะไม่มีความอดกลั้น. เราไปอ่านประวัติศาสตร์ดู ผู้นำของคนไทย เมื่อฝรั่งข่มเหงนั้น ชนะได้ด้วยความอดกลั้น. ความอดกลั้นเป็นเหตุให้ยับยั้ง ให้ทบทวน ให้คิดนึก ให้ผ่อนผัน ให้ยอมในส่วนที่ควรยอมก็เลยรอดตัวมาได้, นี่เป็นเรื่องโลกแท้ๆยังรอดมาได้ด้วยความอดกลั้น; เรื่องธรรมะที่สูงไปกว่านั้น ก็ยิ่งจำเป็นมาก. เพราะฉะนั้นคุณยังหนุ่มๆอย่างนี้ อย่าบันดาลโทสะ, อย่าปล่อยไปตามอารมณ์, ฝึกฝนความอดกลั้นนี้ไว้ให้มาก. อดกลั้นในระยะยาวก็คือว่า รอได้-คอยได้; ทนได้ มันก็ระยะยาว. ที่เด็กๆเราไม่ค่อยมีความอดกลั้นเสียไปตั้งแต่เล็ก เป็นเจ้าชู้กันตั้งแต่เล็ก การเล่าเรียนเสีย, อย่างนี้ก็เพราะไม่มีความอดกลั้น. เพราะฉะนั้น คำว่า “อดกลั้น” มันกินความกว้าง, อดกลั้นต่อทุกอย่าง แล้วสรุปรวมอยู่ที่ อดกลั้นต่อความบีบคั้นของกิเลส.
          ทีนี้ อดกลั้นนี้ต้องแจ่มใสด้วย ยิ้มแย้มแจ่มใสไปด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นทุกข์ทรมาน เหมือนไฟไหม้อยู่ในอก อย่างนั้นมันไปไม่รอด; ต้องมีการระบายออก มีการแก้ไขทุกอย่าง เพื่อให้มีความแจ่มใส. ในภาษาบาลีเรียกว่า มีขันตี มีความอดกลั้น, มีโสรัจจะ มีความยิ้มแย้มแจ่มใส. ขันตี กับ โสรัจจะ เป็นลูกฝาแฝดกันไป.

8.การยอมได้
          ข้อที่ 8 อยากจะพูดถึง การยอมได้.  คือว่ายอมให้ได้(tolerance) เราเป็นฝ่ายยอมได้ ในเมื่อฝ่ายอื่นไม่ยอม, หรือว่ายอมกันทั้ง 2 ฝ่าย, ที่เรียกว่า “ให้อภัย” การให้อภัย ไม่ถือโทษนี้ คือการยอมได้. เดี๋ยวนี้มีตัวกู-ของกูจัด ไม่ยอมให้อภัย, แล้วก็บ้าบิ่นว่ากูเป็นฝ่ายถูก กูจะไม่ยอมอะไรเลย, ประนีประนอมปรองดองกันไม่ได้ ; ความผ่อนสั้นผ่อนยาวมีไม่ได้ เพราะความยอมไม่ได้ คือไม่ให้อภัย.  ที่จริงผู้ที่ให้อภัย หรือผู้ที่ยอมนั่นแหละเป็นผู้ชนะ; คนไม่ยอมนี่แหละคือคนแพ้หรือคนโง่, อย่าเข้าใจไปว่าถ้ายอมแล้วจะเป็นฝ่ายแพ้.

          พระพุทธเจ้าท่านตรัสสรรเสริญผู้ที่ยอมได้ ให้เรื่องร้ายที่มันกำลังเกิดขึ้น แล้วจะลุกลามกลายเป็นความพินาศของทั้งหมด แล้วก็มีคนฝ่ายหนึ่งยอมเสีย, ทั้งที่ตัวไม่ผิด ยอมว่าผิด หรือยอมทุกอย่างที่จะให้เรื่องมันระงับไปได้; นี้พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญคนชนิดนี้.  ดัวงนั้นความยอมได้ หรือความให้อภัยนี้ จำเป็นอย่างยิ่ง คือมันเป็นวัฒนธรรมพื้นฐาน; แล้วคนไทยเราก็ยอมได้มาเรื่อยๆในประวัติศาสตร์ จนมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ให้อภัยแก่กันและกันอยู่เสมอ, เขาสอนให้ยอมได้ด้วยการทำวัตรอย่างพระเราทำวัตร อย่างนี้ นั่นก็เป็นการขออภัยให้อภัยอยู่เป็นหลักประจำ; คุณไม่ได้เข้าพรรษา คุณไม่ได้เห็นพิธีทำวัตร แต่ก็อาจจะเห็นมาอย่างอื่น.

9.ความไม่ตามใจกิเลส
          ข้อที่ 9 ความไม่ตามใจกิเลส.  นี้อยากจะแยกออกมาจากข้ออื่นๆ ที่จริงมันก็มีอยู่ในข้ออื่นๆ, แยกออกมาให้เด่นชัด เป็นหลักสำคัญ.  ความไม่ตามใจกิเลส คือความไม่ตามใจความรู้สึกฝ่ายต่ำ อย่างที่เขาเรียกกันในภาษาสากลนั้น. จิตมีความรู้สึกฝ่ายต่ำกับความรู้สึกฝ่ายสูง ก็เลยไม่ทำตาม อย่าไปยอมตามความรู้สึกฝ่ายต่ำ, ให้ยึดมั่นในความรู้สึกฝ่ายสูง ก็เลยไม่ทำตามอำนาจของกิเลส อย่ายอมตามอำนาจของกิเลส ให้ยึดธรรมะเป็นหลักคือตามใจธรรมะ. ถ้าเขียนเป็นคู่ก็ว่า “ไม่ตามใจกิเลส แต่ก็ตามใจพระธรรม” ถือเอาตามความมุ่งหมายของพระธรรม.
          ตามใจกิเลส นี่เป็นมูลเหตุให้ตามก้นฝรั่ง, นี่ไม่ใช่ด่าฝรั่ง แต่พูดให้ประหยัดเวลาสั้นๆว่า ไปเห็นแก่ความสุขทางเนื้อหนัง ทางวัตถุ ทาง materialism. ฝรั่งเขาไม่ถือว่าที่เขาร่ำรวย เพลิดเพลินอยู่นั้น เป็น materialism ด้วยซ้ำไป. แต่ถ้าดูตามหลักพุทธศาสนาแล้ว อย่างนั้นเป็น materialism หมดเลย ในการที่ไปตามใจความรู้สึกที่ต้องการ ตามเรื่องราวของวัตถุ หรือของกิเลส ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักดพอ แล้วเกินพอดี. นี่เราต้องบังคับตัว ไม่ตามใจกิเลส, แต่ตามใจพระธณรมะ หรือตามใจพระเจ้า ซึ่งฝรั่งบอกว่า ตายแล้วนั่นแหละ.  แต่ว่า”พระเจ้า”ยังอยู่ เราต้องตามใจพระเจ้า คือไม่ตามใจกิเลส; พระเจ้าก็ป้องกันเรา เป็นเครื่องรางคุ้มครองเรา ไม่ให้ไปตามก้นฝรั่ง. คุณเขียนไว้นะว่า “ไม่ตามใจกิเลสเป็นวัฒนธรรมสูงสุดขงอคนไทย”; พอไปตามใจกิเลส เป็นทาสของกิเลส ก็สูญเสียความเป็นไทย เพราะว่าไทยนั้นไม่ใช่ทาส ก็พูดกันอยู่แล้ว : ไปตามใจกิเลสก็เป็นทาสมิดหัวไปเลย จนมิดหัวไปในความเป็นทาสเลส.

10.ความมีแบบฉบับเป็นของตนเอง
          อันสุดท้าย ข้อ 10 พูดรวมๆกันว่า ความมีแบบฉบับเป็นของตนเอง.  ชาวพุทธจะมีแบบฉบับเป็นของชาวพุทธเองในทุกกรณี : ในการกินอยู่หลับนอนในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย, เท่านี้ก็พอแล้ว.  ในการกินอยู่หลับนอน, ในการเกืดแก่ เจ็บ ตาย พอแล้ว; เรามีแบบฉบับของเราเองไม่ตามก้นใคร.  เรื่องรายละเอียดต่างๆก็พูดกันมามากแล้วว่า ฆราวาสที่เป็นชาวพุทธจะต้องทำอย่างไร คือคำบรรยายในตอนต้นๆนั้นแล้ว.  นี่ก็เพราะว่าเรารู้จักโลก เรารู้จักตนเอง ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในสังสารวัฏฏ์ ในจักรวาลนี้เป็นอย่างไร ; รู้จนไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็น ตัวกู-ของกู; นี่รู้จักตัวเอง รู้จักโลกในขนาดไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็น ตัวกู-ของกู; เพราะฉะนั้นจึงเกิดระเบียบปฏิบัติในการกินอยู่หลับนอน ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นพิเศษขึ้นมาเป็นยแบบของชาวพุทธ.
          เพราะฉะนั้น ขอให้ถือเป็นหลักที่ใช้แก้ปัญหาทั่วๆไปว่า เราจะมีแบบฉบับของเราเอง; เรามีแบบฉบับชาวพุทธ-ของเราเอง.  เราจะทำตามแบบฉบับที่มีอยู่ก่อน หรือว่าเราค่อยๆมีขึ้น เพิ่มเติมขึ้นมาก็ได้ทั้งนั้น, โดยมีรากฐานเดียวกัน คือรู้จักสิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงอย่างไร. เมื่อเรารู้แล้วเราก็สามารถจะมีแบบฉบับที่ถูกต้องขึ้นมาได้ นี้เป็นข้อสุดท้าย.

          ทั้งหมดนี้ ขอให้ถือเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธ และเป็นหลักแห่งความรอดพื้นฐานของฆราวาส : มีความขยันขันแข็ง กล้าหาญ ยอมตายด้วยพระธรรมนี้เป็นข้อที่ 1
          ข้อที่ 2 สุภาพอ่อนโยนขยายความไปถึงเชื่อฟังคนเฒ่าคนแก่.
          ข้อที่ 3 กตัญญู.
          ข้อที่ 4 มีศีลสัตย์.
          ข้อที่ 5 ประหยัด สันโดษ.
          ข้อที่ 6 มีเมตตา กรุณา ใจกว้าง ใจบุญ.
          ข้อที่ 7 อดกลั้น อดทน มีความแจ่มใสประกอบอยู่ด้วย.
          ข้อที่ 8 ยอมได้ ให้อภัยได้, เป็นฝ่ายแพ้เพื่อให้เรื่องต่างๆระงับไป.
          ข้อที่ 9 ไม่ตามใจกิเลส แต่ตามใจพระธรรมหรือพระเจ้า.
          ข้อที่ 10 มีแบบฉบับเฉพาะของชาวพุทธเองในทุกๆกรณี, ในการกินอยู่หลับนอน เกิด แก่ เจ็บ
ตาย.

          ทั้งหมดนี้ขอให้เรียกว่า “วัฒนธรรมของชาวพุทธ” เป็นพื้นฐานแห่งความรอดพื้นฐานของฆราวาสที่เป็นชาวพุทธทั่วๆไป, เป็นพื้นฐานที่ส่งเสริมให้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือวิมุตติหลุดพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร.  นี่แหละวัฒนธรรมของช่าวพุทธ เป็นสิ่งที่มีขอบเขตกว้างขวางอย่างนี้ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นความรอดพื้นฐานของฆราวาสทั่วๆไป.

          ขอให้สนใจทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้ง 4 ระดับของอาศรม คือที่เป็นพรหมจารี, ที่เป็นคฤหัสถ์, เป็นวนปรัสถ์, เป็นสันยาสี.

          เวลาหมดแล้ว ตามที่นกกางเขนร้องเตือน, เรไรก็ร้อง; เอาละพอกันที.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น