มากมายได้ถูกทำเครื่องหมายไว้ถึงความรวดเร็วกับที่ซึ่ง มวด’ดิบ ได้เรียนรู้ถึงความจำเป็นของ
อาร์ราคิส. เบเน เกสเสอริท, แน่นอนล่ะ, รู้ถึงพื้นฐานของความรวดเร็วนี้.
สำหรับผู้อื่น, เราสามารถพูดได้ว่า มวด’ดิบ
เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพราะว่าการฝึกฝนแรกของเขาก็คือวิธีที่จะเรียนอย่างไร.
และบทเรียนแรกของทั้งหมดก็คือความไว้วางใจพื้นฐานที่เขาควรจะเรียนรู้.
มันน่าตกใจที่จะได้พบว่าผู้คนมากมายแค่ไหนที่ไม่ได้เชื่อว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้ได้,
และมากยิ่งแค่ไหนที่เชื่อว่าการเรียนนั้นยากลำบาก. มวด’ดิบ
รู้ว่าประสบการณ์นั้นนำพามาซึ่งบทเรียนทั้งหลาย.
---จาก “มนุษยธรรม ของ มวด’ดิบ” โดย
เจ้าหญิง อีร์อูลาน
พอล ทอดกายบนเตียงนั้นแสร้งทำเป็นนอนหลับ.
มันง่ายดายที่จะใช้มือบังยานอนหลับของ ดร.หยัว, ที่จะแสร้งทำเป็นกลืนลงไป. พอล
หักห้ามหัวเราะเอาไว้. แม้กระทั่งมารดาของเขาก็เชื่อว่าเขานอนหลับ.
เขาอยากจะกระโดดขึ้นและถามขออนุญาตเธอเพื่อไปสำรวจค้นราชสำนักทำเนียบนี้, แต่ต้องตระหนักว่าเธอคงไม่ยอมรับการนี้แน่.
หลายสิ่งยังไม่เข้าที่ทางเกินไป. ไม่. นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด.
ถ้าฉันแอบหลบออกไปโดยไม่ขอ
ฉันก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง. และฉันจะอยู่ภายในทำเนียบที่ซึ่งมันปลอดภัย.
เขาได้ยินมารดาและ หยัว
กำลังคุยกันอยู่ในอีกห้อง. คำพูดของพวกเขานั้นคลุมเครือ---บางอย่างเกี่ยวกับเครื่องเทศ.....พวกฮาร์คอนเนนส์.
การสนทนาสูงดังขึ้นแล้วลดลง.
ความสนใจของ พอล
ไปยังกระดานหัวเตียงแกะสลักของเขา---หัวเตียงปลอมติดอยู่กับผนังและปกปิดเครื่องควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ทั้งหลายของห้องนี้.
ปลาที่กระโจนได้ถูกติดวางบนแผ่นไม้เป็นคลื่นสีน้ำตาลอยู่ภายใต้มัน. เขารู้ว่าถ้าเขาดันดวงตาข้างหนึ่งของปลาที่เห็นนั้นก็จะเปิดแสงจากโคมไฟแขวนลอยนั่นขึ้น.
หนึ่งในคลื่นนั้น, เมื่อบิดไป, จะเป็นการควบคุมเครื่องระบายอากาศ.
อีกอันหนึ่งก็เปลี่ยนอุณหภูมิ.
อย่างเงียบๆ, พอล
ลุกขึ้นนั่งบนเตียง. ตู้หนังสือสูงตั้งติดอยู่ที่ผนังทางด้านซ้ายมือของเขา.
มันสามารถเหวี่ยงไปทางด้านข้างที่จะเผยให้เห็นชั้นวางของส่วนตัวและลิ้นชักทั้งหลายทางด้านหนึ่ง.
มือจับที่ประตูเข้าไปสู่โถงนั้นถูกวางแบบรูปของยานกระพือปีกแถบผลัก.
มันราวกับว่าห้องนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อลวงล่อใจเขา.
ห้องนี้และดาวเคราะห์นี้.
เขาคิดถึงฟิล์มหนังสือที่
หยัว แสดงให้เขาดู---“อาร์ราคิส:
สถานีทดลองพฤกษศาสตร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิ.”
มันเป็นฟิล์มหนังสือเก่าๆจากตอนก่อนการค้นพบเครื่องเทศนั้น.
ชื่อเหล่านี้โฉบผ่านเข้ามาในจิตใจของ พอล, แต่ละรูปภาพที่พิมพ์อยู่ในรหัสช่วยจำของหนังสือ: ซากัวโร, เบอโร บุช, เดท พาล์ม, แซนด์ เวอร์บีนา, อีฟวนิ่ง พริมโรส,
บาร์เรล แค็คตัส, รืเซ็นส์ บุช, สโม้ค ทรี, ครีโอโสต บุช.....คิท ฟอกซ์, เดเสิร์ท
ฮอว์ค, แกงารู เมาส์.....
ชื้อและรูปภาพทั้งหลาย, ชื่อและรูปภาพทั้งหลายจากภูมิประเทศของอดีตมนุษย์---และบางทีอาจไม่ถูกค้นพบในปัจจุบันได้ในที่อื่นใดอีกของจักรวาล,
นอกจากที่นี่บน อาร์ราคิส.
มากมายหลายสิ่งเหลือเกินที่จะต้องเรียนรู้ถึง---เครื่องเทศนั้น.
และเหล่าหนอนทราย.
ประตูปิดอยู่ในห้องอื่น.
พอล ได้ยินเสียงฝีเท้าของมารดาตนถอยออกไปจากห้องโถง. ดร.หยัว, เขารู้ดีว่า,
จะค้นหาบางอย่างเพื่ออ่านและยังอยู่ที่ในห้องนั้น.
ตอนนี้เป็นชั่วขณะที่จะไปสำรวจค้นแล้ว.
พอล เลื่อนตัวออกจากเตียง,
มุ่งหน้าไปที่ประตูตู้หนังสือที่เปิดเข้าไปสู่ชั้นเก็บของ.
เขาหยุดที่เสียงด้านหลังของเขา, หันกลับ.
กระดานเหนือศีรษะของเตียงได้ร่วงลงมายังจุดที่เขาได้เคยนอนหลับอยู่. พอล
เย็นเยียบ, และการเคลื่อนไหวออกมาก่อนนี้ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้.
จากด้านหลังของกระดานหัวเตียงนั้นเลื่อนเปิดให้เห็นเครื่องล่า-สังหารขนาดเล็กยาวไม่เกินห้าเซนติเมตร.
พอล จำมันได้ในทันทีนั้น---อาวุธของมือสังหารที่เด็กทุกคนของสายเลือดราชนิกูลได้เรียนเกี่ยวกับมันมาตั้งแต่ตอนเด็ก.
มันเป็นแผ่นยาวบางสีดำกาของโลหะนำทางด้วยใครบางคนอยู่ใกล้ๆนั้นด้วยมือและตา.
มันสามารถเจาะรูเข้าไปในหนังเนื้อเคลื่อนไหวและเคี้ยวเส้นทางของมันขึ้นไปยังช่องประสาททั้งหลายสู่อวัยวะที่อยู่ใกล้เคียงนั้น.
เครื่องล่านั้นลอยยกขึ้น,
เหวี่ยงไปทางด้านข้างข้ามห้อมแล้ววกกลับ.
ผ่านไปในจิตใจของ พอล,
แวบถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับมัน, ข้อจำกัดของเครื่องล่า-สังหาร: เครื่องยนต์บีบอัดสนามพลังแขวนลอยของมันได้บิดเบี้ยวภาพการมองเห็นของเครื่องส่งสัญญานดวงตาของมัน.
ไม่มีอะไรนอกจากแสงสว่างสลัวของภายในห้องที่สะท้อนเป้าของเขา,
ผู้ควบคุมม้นจะพึ่งพาในการเคลื่อนไหว—อะไรก็ตามที่เคลื่อนที่. โล่ห์ป้องกันสามารถทำให้ผู้ล่าช้าลงได้,
ให้เวลาที่จะทำลายมัน. แต่ พอล
ได้ถอดโล่ออกวางไว้ที่บนเตียงนั่น. ปืนเลซซัดมันลงมาได้,
แต่ปืนเลซมีราคาแพงและเชื่อถือนักไม่ได้เมื่อมีการซ่อมบำรุง---และมักจะมีอันตรายจากการระเบิดออกมาเหมือนดอกไม้ไฟของมันอีกถ้าแสงเลเซอร์เจอเข้ากับโล่ห์บังร้อนๆ.
ชาวอะไทรดิสพึ่งพาอยู่ก็แต่โล่ห์หุ้มกายและสติปัญญาของตนเอง.
ตอนนี้, พอล ยึดตัวเองอยู่ในอาการนิ่งแทบหยุดเคลื่อนไหวใดๆ,
รู้ว่าเขามีเพียงสติปัญญาเท่านั้นที่จะรับมือกับการบุกรุกนี้.
เครื่องล่า-สังหารยกตัวขึ้นอีกครึ่งเมตร.
มันกระเพื่อมผ่านแสงจากม่านเกล็ดของหน้าต่างเข้ามา, เดินหน้าและถอยหลัง,
ตรวจสอบแบ่งห้องออกเป็นส่วนๆ.
ข้าต้องพยายามตะครุบมัน, เขาคิด. สนามแขวนลอยนั่นจะทำให้มันลื่นที่ตอนล่างของมัน,
ข้าต้องจับมันให้แน่นไว้.
เจ้าสิ่งนั้นทิ้งตัวลงมาครึ่งเมตร, จัดแบ่งไปทางด้านซ้าย,
หมุนเป็นวงกลมกลับมารอบๆเตียง. เสียงฮัมเบาๆสามารถถูกได้ยินมาจากมัน.
ใครกำลังเป็นผู้ควบคุมเจ้าสิ่งนั้นอยู่รึ?
พอล สงสัย. ต้องเป็นใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ. ข้าสามารถตะโกนเรียก หยัว ได้,
แต่มันอาจจะจัดการกับเขาในทันทีที่ประตูเปิดออก.
ประตูห้องโถงด้านหลังของ
พอล ดังเอี๊ยด. มีเสียงเคาะถี่ๆที่นั่น. ประตูนั้นก็เปิดออก.
เครื่องล่า-สังหารยิงตัวดุจธนูผ่านศีรษะของเขาตรงไปหาการเคลื่อนไหวนั้น.
มือขวาของ พอล ยิงออกไปแล้วกดลง,
ตะครุบจับสิ่งอันตรายถึงตายนั้น. มันส่งเสียงฮัมและบิดม้วนอยู่ในมือของเขา,
แต่กล้ามเนื้อของเขาจับล็อคแน่นบนมันอย่างล่อแหลม.
ด้วยการหมุนอย่างรุนแรงและเสือกพุ่ง, เขาฟาดจมูกของสิ่งนั้นเข้ากับแผ่นโลหะของประตู.
เขารู้สึกถึงเสียงการบดแหลกของมันเมื่อดวงตายื่นจมูกแตกละเอียดและเจ้าเครื่องล่าก็ตายสนิทอยู่ในมือของเขา.
กระนั้น,
เขาก็ยังคงกำมันไว้---ให้แน่ใจ.
ดวงตาของ พอล เงยขึ้นมา,
สบเข้ากับที่เปิดกว้างจ้องมาสีฟ้าสนิทจากของ ชาเดาท์ มาเพส.
“บิดาของท่านส่งข้ามาตามท่าน,”
เธอบอก. “มีทหารอยู่ที่ในโถงเพื่อมาคุ้มครองท่าน.”
พอล พยักหน้า, ดวงตาและสติรับรู้ของเขาจับจ้องเพ่งอยู่ที่ผู้หญิงแปลกในชุดถุงคลุมสีน้ำตาลของทาส.
หล่อนกำลังมองในตอนนี้ที่เจ้าสิ่งที่แหลกอยู่ในมือของเขา.
“ข้าเคยได้ยินถึงเจ้าสิ่งเช่นนี้,”
เธอพูด. “มันอาจฆ่าข้าได้, ไม่เช่นนั้นหรือ?”
เขาต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะสามารถพูดออกมาได้.
“ข้า.....คือเป้าของมัน.”
“แต่มันพุ่งมาหาข้า.”
“เพราะว่าเจ้าเคลื่อนไหว.”
และเขาก็สงสัย: ใครคือสิ่งมีชีวิตนี้กันรึ?
“งั้นท่านก็ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้,”
เธอพูด.
“ข้าช่วยชีวิตของเราทั้งสองเอาไว้ได้.”
“ดูเหมือนว่าท่านสามารถปล่อยให้มันจัดการข้าแล้วเอาตัวท่านเองหนีพ้นไปก็ได้,”
เธอพูด.
“เจ้าเป็นใครหรือ?”
“พวกชาเดาท์ มาเพส,
แม่บ้าน.”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะหาข้าพบได้ที่ไหน?”
“มารดาของท่านบอกกับข้า.
ข้าพบนาง ที่บันไดที่ขึ้นไปยังห้องพิลึกใต้ห้องโถง.” หล่อนชี้ไปทางด้านขวามือ.
“ทหารของบิดาท่านกำลังยังคงรอคอยอยู่.”
พวกนี้คงจะเป็นคนของ
ฮาวัต. เขาคิด. เราต้องหาตัวผู้ควบคุมเจ้าสิ่งนี้ให้ได้.
“ไปหาคนของบิดาข้า,”
เขาบอก. “บอกพวกเขาว่าข้าจับเครื่องล่า-สังหารได้ในทำเนียบนี้แล้วพวกเขาต้องกระจายกันออกและค้นหาตัวผู้ควบคุมมัน.
บอกพวกเขาให้ปิดผนึกทุกทางออกของทำเนียบและพื้นที่ทั้งหมดของมันในทันที.
พวกเขาจะรู้ว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้.
ผู้ควบคุมมันจะต้องเป็นคนแปลกหน้าในหมู่พวกเรา.”
แล้วเขาก็สงสัยใจ: จะเป็นเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ได้ไหม? แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่.
เครื่องล่า-สังหารนี้ยังถูกควบคุมอยู่ตอนที่เธอเข้ามา.
“ก่อนที่ข้าจะทำตามท่านสั่ง,
ท่านชาย,” มาเพส พูด. “ข้าต้องทำความสะอาดหนทางระหว่างเราก่อน.
ท่านเอาภาระน้ำมาบนข้าซึ่งข้าไม่แน่ใจนักว่าข้าใส่ใจที่จะรองรับ.
แต่เราฟรีเมนชำระหนี้ของเรา---ไม่ว่าจะเป็นหนี้ดำหรือหนี้ขาว.
และมันเป็นที่รู้กันของพวกเราว่าท่านมีผู้ทรยศอยู่ในแกนกลางของท่าน. เป็นใครนั้น,
เราไม่สามารถบอกได้, แต่เราแน่ใจในเรื่องนี้. อาจบางทีเป็นมือชี้นำที่เป็นผู้ตัด.”
พอล ซึมซับเรื่องนี้อย่างเงียบงัน: ผู้ทรยศ. ก่อนที่เขาจะสามารถพูดออกมาได้,
หญิงประหลาดนี้ก็หมุนรางไปและวิ่งกลับไปยังทาเข้า.
เขาคิดที่จะเรียกหล่อนกลับมา,
แต่มีกลิ่นอายบางอย่างของเธอที่บอกเขาว่าหล่อนคงขุ่นเคืองมัน. หล่อนบอกเขาในอะไรที่หล่อนรู้และตอนนี้หล่อนกำลังไปทำตามคำสั่งของเขา.
ทำเนียบนี้คงจะเต็มไปด้วยฝูงคนของ ฮาวัต ในหนึ่งนาที.
จิตใจของเขาไปยังอีกส่วนหนึ่งของคำสนทนาแปลกนั้น: ห้องพิลึก. เขามองไปทางด้านซ้ายมือที่หล่อนชี้. เรา ฟรีเมน.
งั้นนั่นก็คือ ฟรีเมน เขาหยุดเพื่อกะพริบบันทึกจุดช่วยจำในการจะเก็บแบบรูปลักษณะของใบหน้าเธอในความทรงจำของเขา---รูปรอยย่นยับเหมือนลูกพรุนแงน้ำตาเข้ม,
สีฟ้าสุดฟ้าของดวงตาโดยไร้สีขาวในพวกมัน. เขาติดป้ายบอกไว้ว่าคือ: พวกชาเดาท์ มาเพส.
ยังคงกุมเครื่องล่า-สังหารที่แหลกละเอียดนั้นอยู่,
พอล หันกับเข้าไปในห้องของเขา, รวบเอาเข็มขัดโล่ห์พลังของเขาขึ้นมาจากเตียงด้วยมือซ้ายของเขา.
เหวี่ยงมันไปรอบเอวของเขาและกดหัวเข็มขัดให้เข้าที่ในขณะที่เขาวิ่งกลับออกมาและลงไปตามห้องโถงยังด้านซ้ายมือ.
หล่อนบอกว่ามารดาของเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างล่าง---บันไดนั้น......ห้องพิลึก.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น