หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพ ทราย (7)

 

    มากมายได้ถูกทำเครื่องหมายไว้ถึงความรวดเร็วกับที่ซึ่ง มวดดิบ ได้เรียนรู้ถึงความจำเป็นของ อาร์ราคิส. เบเน เกสเสอริท, แน่นอนล่ะ, รู้ถึงพื้นฐานของความรวดเร็วนี้. สำหรับผู้อื่น, เราสามารถพูดได้ว่า มวดดิบ เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพราะว่าการฝึกฝนแรกของเขาก็คือวิธีที่จะเรียนอย่างไร. และบทเรียนแรกของทั้งหมดก็คือความไว้วางใจพื้นฐานที่เขาควรจะเรียนรู้. มันน่าตกใจที่จะได้พบว่าผู้คนมากมายแค่ไหนที่ไม่ได้เชื่อว่าพวกเขาสามารถเรียนรู้ได้, และมากยิ่งแค่ไหนที่เชื่อว่าการเรียนนั้นยากลำบาก. มวดดิบ รู้ว่าประสบการณ์นั้นนำพามาซึ่งบทเรียนทั้งหลาย.

 

---จาก “มนุษยธรรม ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

         พอล ทอดกายบนเตียงนั้นแสร้งทำเป็นนอนหลับ. มันง่ายดายที่จะใช้มือบังยานอนหลับของ ดร.หยัว, ที่จะแสร้งทำเป็นกลืนลงไป. พอล หักห้ามหัวเราะเอาไว้. แม้กระทั่งมารดาของเขาก็เชื่อว่าเขานอนหลับ. เขาอยากจะกระโดดขึ้นและถามขออนุญาตเธอเพื่อไปสำรวจค้นราชสำนักทำเนียบนี้, แต่ต้องตระหนักว่าเธอคงไม่ยอมรับการนี้แน่. หลายสิ่งยังไม่เข้าที่ทางเกินไป. ไม่. นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุด.

         ถ้าฉันแอบหลบออกไปโดยไม่ขอ ฉันก็ไม่เชื่อฟังคำสั่ง. และฉันจะอยู่ภายในทำเนียบที่ซึ่งมันปลอดภัย.

         เขาได้ยินมารดาและ หยัว กำลังคุยกันอยู่ในอีกห้อง. คำพูดของพวกเขานั้นคลุมเครือ---บางอย่างเกี่ยวกับเครื่องเทศ.....พวกฮาร์คอนเนนส์. การสนทนาสูงดังขึ้นแล้วลดลง.

         ความสนใจของ พอล ไปยังกระดานหัวเตียงแกะสลักของเขา---หัวเตียงปลอมติดอยู่กับผนังและปกปิดเครื่องควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ทั้งหลายของห้องนี้. ปลาที่กระโจนได้ถูกติดวางบนแผ่นไม้เป็นคลื่นสีน้ำตาลอยู่ภายใต้มัน. เขารู้ว่าถ้าเขาดันดวงตาข้างหนึ่งของปลาที่เห็นนั้นก็จะเปิดแสงจากโคมไฟแขวนลอยนั่นขึ้น. หนึ่งในคลื่นนั้น, เมื่อบิดไป, จะเป็นการควบคุมเครื่องระบายอากาศ. อีกอันหนึ่งก็เปลี่ยนอุณหภูมิ.

         อย่างเงียบๆ, พอล ลุกขึ้นนั่งบนเตียง. ตู้หนังสือสูงตั้งติดอยู่ที่ผนังทางด้านซ้ายมือของเขา. มันสามารถเหวี่ยงไปทางด้านข้างที่จะเผยให้เห็นชั้นวางของส่วนตัวและลิ้นชักทั้งหลายทางด้านหนึ่ง. มือจับที่ประตูเข้าไปสู่โถงนั้นถูกวางแบบรูปของยานกระพือปีกแถบผลัก.

         มันราวกับว่าห้องนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อลวงล่อใจเขา.

         ห้องนี้และดาวเคราะห์นี้.

         เขาคิดถึงฟิล์มหนังสือที่ หยัว แสดงให้เขาดู---“อาร์ราคิส: สถานีทดลองพฤกษศาสตร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิ.” มันเป็นฟิล์มหนังสือเก่าๆจากตอนก่อนการค้นพบเครื่องเทศนั้น. ชื่อเหล่านี้โฉบผ่านเข้ามาในจิตใจของ พอล, แต่ละรูปภาพที่พิมพ์อยู่ในรหัสช่วยจำของหนังสือ: ซากัวโร, เบอโร บุช, เดท พาล์ม, แซนด์ เวอร์บีนา, อีฟวนิ่ง พริมโรส, บาร์เรล แค็คตัส, รืเซ็นส์ บุช, สโม้ค ทรี, ครีโอโสต บุช.....คิท ฟอกซ์, เดเสิร์ท ฮอว์ค, แกงารู เมาส์.....

          ชื้อและรูปภาพทั้งหลาย, ชื่อและรูปภาพทั้งหลายจากภูมิประเทศของอดีตมนุษย์---และบางทีอาจไม่ถูกค้นพบในปัจจุบันได้ในที่อื่นใดอีกของจักรวาล, นอกจากที่นี่บน อาร์ราคิส.

         มากมายหลายสิ่งเหลือเกินที่จะต้องเรียนรู้ถึง---เครื่องเทศนั้น.

         และเหล่าหนอนทราย.

         ประตูปิดอยู่ในห้องอื่น. พอล ได้ยินเสียงฝีเท้าของมารดาตนถอยออกไปจากห้องโถง. ดร.หยัว, เขารู้ดีว่า, จะค้นหาบางอย่างเพื่ออ่านและยังอยู่ที่ในห้องนั้น.

         ตอนนี้เป็นชั่วขณะที่จะไปสำรวจค้นแล้ว.

         พอล เลื่อนตัวออกจากเตียง, มุ่งหน้าไปที่ประตูตู้หนังสือที่เปิดเข้าไปสู่ชั้นเก็บของ. เขาหยุดที่เสียงด้านหลังของเขา, หันกลับ. กระดานเหนือศีรษะของเตียงได้ร่วงลงมายังจุดที่เขาได้เคยนอนหลับอยู่. พอล เย็นเยียบ, และการเคลื่อนไหวออกมาก่อนนี้ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้.

         จากด้านหลังของกระดานหัวเตียงนั้นเลื่อนเปิดให้เห็นเครื่องล่า-สังหารขนาดเล็กยาวไม่เกินห้าเซนติเมตร. พอล จำมันได้ในทันทีนั้น---อาวุธของมือสังหารที่เด็กทุกคนของสายเลือดราชนิกูลได้เรียนเกี่ยวกับมันมาตั้งแต่ตอนเด็ก. มันเป็นแผ่นยาวบางสีดำกาของโลหะนำทางด้วยใครบางคนอยู่ใกล้ๆนั้นด้วยมือและตา. มันสามารถเจาะรูเข้าไปในหนังเนื้อเคลื่อนไหวและเคี้ยวเส้นทางของมันขึ้นไปยังช่องประสาททั้งหลายสู่อวัยวะที่อยู่ใกล้เคียงนั้น.

         เครื่องล่านั้นลอยยกขึ้น, เหวี่ยงไปทางด้านข้างข้ามห้อมแล้ววกกลับ.

         ผ่านไปในจิตใจของ พอล, แวบถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับมัน, ข้อจำกัดของเครื่องล่า-สังหาร: เครื่องยนต์บีบอัดสนามพลังแขวนลอยของมันได้บิดเบี้ยวภาพการมองเห็นของเครื่องส่งสัญญานดวงตาของมัน. ไม่มีอะไรนอกจากแสงสว่างสลัวของภายในห้องที่สะท้อนเป้าของเขา, ผู้ควบคุมม้นจะพึ่งพาในการเคลื่อนไหว—อะไรก็ตามที่เคลื่อนที่. โล่ห์ป้องกันสามารถทำให้ผู้ล่าช้าลงได้, ให้เวลาที่จะทำลายมัน.  แต่ พอล ได้ถอดโล่ออกวางไว้ที่บนเตียงนั่น. ปืนเลซซัดมันลงมาได้, แต่ปืนเลซมีราคาแพงและเชื่อถือนักไม่ได้เมื่อมีการซ่อมบำรุง---และมักจะมีอันตรายจากการระเบิดออกมาเหมือนดอกไม้ไฟของมันอีกถ้าแสงเลเซอร์เจอเข้ากับโล่ห์บังร้อนๆ. ชาวอะไทรดิสพึ่งพาอยู่ก็แต่โล่ห์หุ้มกายและสติปัญญาของตนเอง.

         ตอนนี้, พอล ยึดตัวเองอยู่ในอาการนิ่งแทบหยุดเคลื่อนไหวใดๆ, รู้ว่าเขามีเพียงสติปัญญาเท่านั้นที่จะรับมือกับการบุกรุกนี้.

         เครื่องล่า-สังหารยกตัวขึ้นอีกครึ่งเมตร. มันกระเพื่อมผ่านแสงจากม่านเกล็ดของหน้าต่างเข้ามา, เดินหน้าและถอยหลัง, ตรวจสอบแบ่งห้องออกเป็นส่วนๆ.

          ข้าต้องพยายามตะครุบมัน, เขาคิด. สนามแขวนลอยนั่นจะทำให้มันลื่นที่ตอนล่างของมัน, ข้าต้องจับมันให้แน่นไว้.

          เจ้าสิ่งนั้นทิ้งตัวลงมาครึ่งเมตร, จัดแบ่งไปทางด้านซ้าย, หมุนเป็นวงกลมกลับมารอบๆเตียง. เสียงฮัมเบาๆสามารถถูกได้ยินมาจากมัน.

         ใครกำลังเป็นผู้ควบคุมเจ้าสิ่งนั้นอยู่รึ? พอล สงสัย. ต้องเป็นใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆ. ข้าสามารถตะโกนเรียก หยัว ได้, แต่มันอาจจะจัดการกับเขาในทันทีที่ประตูเปิดออก.

         ประตูห้องโถงด้านหลังของ พอล ดังเอี๊ยด. มีเสียงเคาะถี่ๆที่นั่น. ประตูนั้นก็เปิดออก.

         เครื่องล่า-สังหารยิงตัวดุจธนูผ่านศีรษะของเขาตรงไปหาการเคลื่อนไหวนั้น.

มือขวาของ พอล ยิงออกไปแล้วกดลง, ตะครุบจับสิ่งอันตรายถึงตายนั้น. มันส่งเสียงฮัมและบิดม้วนอยู่ในมือของเขา, แต่กล้ามเนื้อของเขาจับล็อคแน่นบนมันอย่างล่อแหลม. ด้วยการหมุนอย่างรุนแรงและเสือกพุ่ง, เขาฟาดจมูกของสิ่งนั้นเข้ากับแผ่นโลหะของประตู. เขารู้สึกถึงเสียงการบดแหลกของมันเมื่อดวงตายื่นจมูกแตกละเอียดและเจ้าเครื่องล่าก็ตายสนิทอยู่ในมือของเขา.

         กระนั้น, เขาก็ยังคงกำมันไว้---ให้แน่ใจ.

         ดวงตาของ พอล เงยขึ้นมา, สบเข้ากับที่เปิดกว้างจ้องมาสีฟ้าสนิทจากของ ชาเดาท์ มาเพส.

         “บิดาของท่านส่งข้ามาตามท่าน,” เธอบอก. “มีทหารอยู่ที่ในโถงเพื่อมาคุ้มครองท่าน.”

         พอล พยักหน้า, ดวงตาและสติรับรู้ของเขาจับจ้องเพ่งอยู่ที่ผู้หญิงแปลกในชุดถุงคลุมสีน้ำตาลของทาส. หล่อนกำลังมองในตอนนี้ที่เจ้าสิ่งที่แหลกอยู่ในมือของเขา.

         “ข้าเคยได้ยินถึงเจ้าสิ่งเช่นนี้,” เธอพูด. “มันอาจฆ่าข้าได้, ไม่เช่นนั้นหรือ?”

         เขาต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนที่จะสามารถพูดออกมาได้. “ข้า.....คือเป้าของมัน.”

         “แต่มันพุ่งมาหาข้า.”

         “เพราะว่าเจ้าเคลื่อนไหว.” และเขาก็สงสัย: ใครคือสิ่งมีชีวิตนี้กันรึ?

         “งั้นท่านก็ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้,” เธอพูด.

         “ข้าช่วยชีวิตของเราทั้งสองเอาไว้ได้.”

         “ดูเหมือนว่าท่านสามารถปล่อยให้มันจัดการข้าแล้วเอาตัวท่านเองหนีพ้นไปก็ได้,” เธอพูด.

         “เจ้าเป็นใครหรือ?”

         “พวกชาเดาท์ มาเพส, แม่บ้าน.”

         “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะหาข้าพบได้ที่ไหน?”

         “มารดาของท่านบอกกับข้า. ข้าพบนาง ที่บันไดที่ขึ้นไปยังห้องพิลึกใต้ห้องโถง.” หล่อนชี้ไปทางด้านขวามือ. “ทหารของบิดาท่านกำลังยังคงรอคอยอยู่.”

         พวกนี้คงจะเป็นคนของ ฮาวัต. เขาคิด. เราต้องหาตัวผู้ควบคุมเจ้าสิ่งนี้ให้ได้.

         “ไปหาคนของบิดาข้า,” เขาบอก. “บอกพวกเขาว่าข้าจับเครื่องล่า-สังหารได้ในทำเนียบนี้แล้วพวกเขาต้องกระจายกันออกและค้นหาตัวผู้ควบคุมมัน. บอกพวกเขาให้ปิดผนึกทุกทางออกของทำเนียบและพื้นที่ทั้งหมดของมันในทันที. พวกเขาจะรู้ว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้. ผู้ควบคุมมันจะต้องเป็นคนแปลกหน้าในหมู่พวกเรา.”

         แล้วเขาก็สงสัยใจ: จะเป็นเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ได้ไหม? แต่เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่. เครื่องล่า-สังหารนี้ยังถูกควบคุมอยู่ตอนที่เธอเข้ามา.

         “ก่อนที่ข้าจะทำตามท่านสั่ง, ท่านชาย,” มาเพส พูด. “ข้าต้องทำความสะอาดหนทางระหว่างเราก่อน. ท่านเอาภาระน้ำมาบนข้าซึ่งข้าไม่แน่ใจนักว่าข้าใส่ใจที่จะรองรับ. แต่เราฟรีเมนชำระหนี้ของเรา---ไม่ว่าจะเป็นหนี้ดำหรือหนี้ขาว. และมันเป็นที่รู้กันของพวกเราว่าท่านมีผู้ทรยศอยู่ในแกนกลางของท่าน. เป็นใครนั้น, เราไม่สามารถบอกได้, แต่เราแน่ใจในเรื่องนี้. อาจบางทีเป็นมือชี้นำที่เป็นผู้ตัด.”

         พอล ซึมซับเรื่องนี้อย่างเงียบงัน: ผู้ทรยศ. ก่อนที่เขาจะสามารถพูดออกมาได้, หญิงประหลาดนี้ก็หมุนรางไปและวิ่งกลับไปยังทาเข้า.

         เขาคิดที่จะเรียกหล่อนกลับมา, แต่มีกลิ่นอายบางอย่างของเธอที่บอกเขาว่าหล่อนคงขุ่นเคืองมัน. หล่อนบอกเขาในอะไรที่หล่อนรู้และตอนนี้หล่อนกำลังไปทำตามคำสั่งของเขา. ทำเนียบนี้คงจะเต็มไปด้วยฝูงคนของ ฮาวัต ในหนึ่งนาที.

         จิตใจของเขาไปยังอีกส่วนหนึ่งของคำสนทนาแปลกนั้น: ห้องพิลึก. เขามองไปทางด้านซ้ายมือที่หล่อนชี้. เรา ฟรีเมน. งั้นนั่นก็คือ ฟรีเมน เขาหยุดเพื่อกะพริบบันทึกจุดช่วยจำในการจะเก็บแบบรูปลักษณะของใบหน้าเธอในความทรงจำของเขา---รูปรอยย่นยับเหมือนลูกพรุนแงน้ำตาเข้ม, สีฟ้าสุดฟ้าของดวงตาโดยไร้สีขาวในพวกมัน. เขาติดป้ายบอกไว้ว่าคือ: พวกชาเดาท์ มาเพส.

         ยังคงกุมเครื่องล่า-สังหารที่แหลกละเอียดนั้นอยู่, พอล หันกับเข้าไปในห้องของเขา, รวบเอาเข็มขัดโล่ห์พลังของเขาขึ้นมาจากเตียงด้วยมือซ้ายของเขา. เหวี่ยงมันไปรอบเอวของเขาและกดหัวเข็มขัดให้เข้าที่ในขณะที่เขาวิ่งกลับออกมาและลงไปตามห้องโถงยังด้านซ้ายมือ.

         หล่อนบอกว่ามารดาของเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างล่าง---บันไดนั้น......ห้องพิลึก.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น