หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

พัชระบูรณ์ - ความเชื่อ/ศรัทธา เมื่อไร้ปัญญาจึงกลายเป็นสงคราม

ความเชื่อ/ศรัทธา เมื่อไร้ปัญญาจึงกลายเป็นสงคราม

- ความทั้งหลายนี้ กระผมเขียนลงในfacebook แปะเป็นตอนๆไว้ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔...เห็นว่าสมควรรวมให้อ่านได้ทีเดียว - เลยนำมารวมไว้ในที่นี้ด้วย. 

1)..วันนี้เรื่องยาว - ไม่ทำเป็น power point...เพราะเกี่ยวกับ"ความเชื่อ"ทางศาสนา...ที่เพียงบางประโยคที่ไม่มีบริบทก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดของผู้คนที่ จิใจกับปัญญานั้นแตกต่างกันไปตาม "ภูมิ"...

..."ความเชื่อ"นั้นเกิดขึ้นจาก ความ"ไม่รู้"...ซึ่งความเป็น"สัจ-จริง"...ที่มนุษย์ทั่วไปจำเป็นต้องมีเป็นพื้นฐานของการแสวงหาความ"รู้"...ที่เมื่อ"รู้"แล้วก็จะเปลี่ยนจาก "ความ-เชื่อ"...ไปสู่ "ปัญญา-ความเข้าใจ"...

...ความเชื่อ/belief คำของตะวันตกมาจากรากคำที่แปลว่า สภาวะการยอมรับว่ามีสิ่งนั้นอยู่จริง/ตามที่ตนรัก(ปรารถนา)ชอบหรือถูกใจ...คือถ้าไม่ชอบ - ก็ไม่เชื่อ...เหมือนสินเชื่อตอนไปกู้เงิน...ก็คือของมีค่า-ที่ผู้ให้ยืมนั้นเชื่อถือในตัวผู้มาขอ...หุหุหุ...

...ส่วน"ศรัทธา"นั้น - เป็นความ"เชื่อ"ในระดับที่สูงขึ้น...เพื่อทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำตาม"ความเชื่อ"นั้น...

...ศรัทธา/faith...คำของตะวันตกก็มีความหมายเดียวกับเราคือ...ความเลื่อมใส/ความเชื่อมั่น...โดยสามารถแยกศรัทธาออกได้เป็น ๓ ประเภทคือ ๑. ศรัทธาโดยไม่ใช้ปัญญาหาความจริง-ความหลง ๒. ศรัทธาโดยใช้ปัญญา-พร้อมกับแสวงหาความจริง(ดังที่พระพุทธเจ้าสอนให้มี"ศรัทธา"เช่นนี้ ๓. ศรัทธาเมื่อมีประสบการณ์โดยตรง ด้วยตนเอง(แต่ต้อง"รู้"ถึงความเป็น"จริง"ของประสบการณ์รับรู้นั้นด้วย - ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นหลงดังข้อ ๑...คือหลง)

...ทั้งหลายทั้งปวงของ "ความเชื่อ"และ"ศรัทธา"นั้น - ต่างก็ต้องประกอบด้วย "ปัญญา" จึงจะไปถึง "ความ-รู้"ที่แท้จริงได้...เน๊าะ...

 

2)...ที่ใช้ตัวเลขเป็นหัวข้อ-แทนที่จะเป็นพยัญชนะนั้น...เพราะว่ามีคนไทยหลายคนนักที่ไม่รู้จักการเรียงลำดับอักษร-พยัญชนะไทยที่ถูกต้อง...

...ครั้งหนึ่งกระผม (ที่ใช้ "กระ"ด้วยกับ"ผม"ก็เพราะ-ถ้าใช้แค่"ผม"ก็อาจกลายเป็นความหมายอื่นได้อีก) เป็นกรรมการออกข้อสอบรับบรรจุข้าราชการ...เคยเสนอข้อสอบในหัวข้อความรู้/ความสามารถทั่วไป-สำหรับผู้ที่จะมาเป็นข้าราชการ...ที่ไม่ต้องไปสอบพิสูจน์ความรักสถาบัน-ชาติ/ศาสนา/พระมหากษัตริย์อื่นใดให้ยุ่งยากอีก...นั่นคือ...ให้ผู้สมัครเขียนพยัญชนะไทย - เรียงลำดับก่อนหลังให้ถูกต้อง...ปรากฏว่า-คณะกรรมการอื่นเค้าไม่เห็นด้วย...เค้าบอกว่า...ตัวเค้าเองที่เป็นข้าราชการระดับบริหารสูงๆ-ก็เขียนนั่นไม่ได้...หุหุหุ...แถมยังย้อนเอาว่า-แล้วกระผมที่เสนอน่ะ...เขียนเรียงพยัญชนะไทยได้มั๊ย?...ผมก็บอกว่าเคยเขียนได้/แต่ตอนนี้ก็เขียนไม่ได้...เหมือนกัน...อิอิอิ...

3) เพราะความเชื่อและศรัทธา - ที่ไม่มีการยึด"ปัญญา"เป็นแกนในการดำรงไว้นั้น...จึงก่อให้เกิดการเบียดเบียน/ทำร้ายกัน - ซึ่งขึ้นไปถึงการทำลายล้างและการฆ่ากันและกันของมนุษย์...

...มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจอย่างยิ่ง - ที่มนุษย์ประกาศที่จะฆ่ากันเพราะ - ความเชื่อ/ศรัทธา...ต่อสิ่งที่ตนคิดว่า"ดี/งาม/ประเสริฐ"...

...นั่นไม่ใช่มนุษย์ -ที่ควรจะเป็นไป-แล้ว...

...มนุษย์ - ในความหมายของตะวันตก...คือ human being...คือ สิ่งมีชีวิตในโลกนี้เค้าใช้คำรวมกันว่าคือ creature ผู้ได้รับการสร้าง...

...แต่คำว่า being นั้นมีสองความหมายใหญ่...อย่างแรก b ตัวเล็ก - แปลว่า "ภาวะ"สิ่งที่มีอยู่/เป็นอยู่...แต่ไม่ใช่"ภาวะสมบูรณ์" จึงมีทุกข์/มีปัญหาให้เกิดทุกข์...

...ถ้า Being คือ b ตัวใหญ่...อันนี้จะหมายถึง "สัต" สิ่งที่เป็นอยู่; มีอยู่, ที่มีภาวะอันเป็นนิรันดร...เช่น"พรหมัน"ของพราหมณ์...หรือ "นิพพาน"ของพุทธ...

 

4) การแสวงหา Being สภาวะอันเป็นนิรันดร...นั้นฝังลึกอยู่ในจิตของ"มนุษย์"มายาวนาน...จนกลายมาสู่ "ลัทธิ"/ความเชื่อถือ - ศรัทธา...อันนำไปสู่ศาสนา...

...และเมื่อเกิดความเชื่อ/ศรัทธาขึ้นมาแล้ว...ก็ทำให้เกิดบรรดา"สิ่งศักดิ์สิทธิ์"...ขึ้น...คือ สิ่ง/หรือบุคคล ที่จะนำผู้ศรัทธาไปสู่สภาวะ"Being" นั้นได้...เช่น พุทธเกษตร/สุขาวดี...หรือสวนสวรรค์/สวนอีเดน...ดินแดนของพระเจ้า...ฯลฯ.

...สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมี ๒ ลักษณะใหญ่...คือ ๑) ประตูสู่/ไปหาพระเจ้า...และ๒) ปูชนียสถาน/อนุสรณ์สถาน - สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ"ผู้"ที่เราเชื่อ/เคารพ/ศรัทธา...

...และเมื่อใดก็ตามที่เป็น"สิ่ง"ที่กลุ่มชน - เคารพ/มีความเชื่อและศรัทธาว่าเป็น "สิ่งศักดิสิทธิ์"...โดยไม่มี"ปัญญา"กำกับไปสู่ - ความ"รู้"ที่ถูกต้อง/หรือความ"จริง"...เมื่อนั้นก็เกิดการหวงแหน/กีดกัน ต่อสิ่งที่"สร้างความสกปรกโสโครก"ให้กับสิ่งนั้น...เกลียดชัง/โมโห/เคียดแค้น-โกรธ ต่อ ผู้ที่กระทำการดูหมิ่น/เหยียดหยาม/กระทำชั่วช้าสามานย์...ต่อสิ่งที่ตนมีความเชื่อ/ศรัทธา...ว่าศักดิ์สิทธิ์...นั้นๆ...

 

5) สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ฆ่าฟันทำลายล้างกันตลอดมา...ก็เพราะ -ความเชื่อ/ความศรัทธา ของตนเอง...และความเกลียดชัง/ไม่เชื่อถือ/ไม่ศรัทธา - ในผู้อื่น...ในเรื่องของผู้อื่น...

...ความเชื่อ/ศรัทธา...ที่ขาด"ปัญญา"เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว...ก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อ-ผู้อื่นที่ไม่มี"ความคิด/คามเชื่อ/ศรัทธา"เหมือนตน...เมื่อขาดซึ่ง"ปัญญา"ยึดเหนี่ยวรั้ง...ศรัทธาจึงกลายเป็นความ"หลง-โมหะ"...ศรัทธาจึงกลายเป็นเรื่องชั่ว...ไร้ศีล...และไปไม่ถึงศึ่งความ Being/แดนศักดิ์สิทธิ์/พระเจ้า/นิพพาน...

...พระพุทธเจ้าจึงให้"เชื่อ/ศรัทธา" และบูชาในพระธรรม...ไม่ใช่ในพระองค์...

...แต่กระนั้น...กิเลสของความ"หลง"...ที่ทำให้เกิดการยึดถือใน"อัตตา"...นั่นเองที่ยังคงมีอยู่ใน"มนุษย์" ที่มีมาแต่กำเนิด...ที่เมื่อไม่ควบคุมบังคับ-อัตตา-ความหลงนั้นให้อยู่ในเส้นทางไป Being...ก็เวียนวนสร้างซึ่งอกุศลกรรม ...ที่ทำให้พ้นไปจากเส้นทางดังกล่าว...

...และทำร้ายฆ่าฟันความเป็น "มนุษย์"ซึ่งกันและกัน...ตลอดมา.

 

6) ปูชนียสถาน - สถานที่เพื่อการบูชา-เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณกาล...บ้างก็ว่าเป็นประตูสู่อีกมิติ...ที่จะไปถึง/ไปหา"พระเจ้า หรือ ที่ซึ่ง"พระเจ้าลงมาหา/มาพบ/มาติดต่อ...

...ก็กลายเป็นดุจเครื่องมือ device ที่จะลบล้างความชั่วสามานย์ของตน...และได้รับการยอมรับจาก"พระเจ้า"....หรือ"ตัดกรรม/ล้างกรรม/ล้างบาป"ที่ตนกระทำไปแล้วได้...

...ทั้งๆที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ว่า...สิ่งเหล่านี้คือ สังเวชนียสถาน...แปลตรงตามคำได้ว่า "สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช"

...สังเวช ก็แปลว่า ความสลดใจ, ความกระตุ้นให้คิด, ความรู้สึกเตือนสำนึก;

ในทางธรรม ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้...

...ดังนั้น - ปูชนียสถาน จึงทำให้เกิดการฆ่ากันของมนุษย์...

...แต่ สังเวชนียสถาน มีแต่ทำให้ยุติการฆ่ากันของมนุษย์...

 

7) รวบรัดตัดความ...มาถึงสิ่งที่เรียกว่า "curiosity killed the cat" - แปลว่า ความอยากรู้อยากเห็นนั่นแหละ-ที่ฆ่าแมว...หรือเป็นสาเหตุให้แมวถูกฆ่า...อิอิอิ...

...เป็นสันดานแมวววๆๆของกระผมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอ่ะแหละ...แบบว่าลืมตาจำความได้ก็เห็นแมวตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างมุ้งทุกคืนแล้วอ่ะนะ...ทำเสียงกืดๆๆๆอยู่ข้างหู...อิอิอิ...

...กระผมไม่ได้อยากรู้อยากเห็น - หรือสอดรู้สอดเห็นในการกระทำของผู้อื่น/หรือสิ่งอื่นหรือในเรื่องของผู้อื่นนะ....ตามความหมายของ curiosity เบื้องแรกที่แท้คือ "ความอยากรู้"...ไม่มีสร้อยความต้อท้ายให้ความหมายบิดเบือนไปในทางลบ เช่น อยากเห็น...curious แปลได้อีกอย่างว่า (ต่อสิ่ง)หายาก, แปลก, ผิดธรรมดา...

...ช่วยไม่ได้แหละ...เพราะเช่นนั้น - ทั้งชีวิตของกระผมตลอดมาจนถึงหัวที่มีผมน้อยลงไปเรื่อย-ไม่ค่อยหงอก...มีแต่ร่วง...จึงมีแต่เรื่อง "สงสัย"และอยากรู้ไปตลอด...

...ยิ่งสมัยก่อนมีแต่การสื่อสารไม่กี่อย่าง...แค่ฟังกับดูในสิ่งที่เค้าบันทึกไว้กันในวงแคบ...ได้ฟังผ่านวิทยุ/ได้ดูผ่านหนังกลางแปลงและหนังโรง/และได้อ่านจากหนังสือ...ซึ่งก็เป็นวงแคบเพราะเครื่องมือสื่อสารที่ยังไม่พัฒนาได้มาก...ไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้นะครับ - แต่ไม่สามารถผลิตสิ่งที่ตนคิดออกมาได้...

...ความสงสัยของกระผมเป็น curiosity...ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดเสนอหน้าออกมา...พูดหรือแถลงการณ์หรือแสดงความคิดในเรื่องต่าง...ที่กระผมฟัง/ดูแล้วว่า...มันไม่ใช่/มันผิดตรรกะ/มันขัดแย้งจากข้อมูล-ตำรา-หรือความคิดของกระผมที่ได้อ่าน/ดูในสิ่งเดียวกันนั้นมา...คือหนังสือเล่มเดียวกันนั่นแหละ...แต่กระผมอ่านแล้ว-เข้าใจไม่ตรงกับท่าน...ในภาษาคน-เช่นเดียวกัน...หุหุหุ...

...ก็เลยต้องสงสัย/ก็เลยต้องอยากรู้....ตามสันดานแมวววว...

...คือ กระผมไม่เชื่อในอะไรที่ใครมาบอกง่ายๆกับกระผม...ถึงจะเป็นกระผมจะชอบควาาาาาายยยยและชอบทำตัวเป็นควาาาาายยยยยมากก็ตาม...

...แม่เคยตำหนิกระผมตอนเด็กว่า...ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก...ผมกอดแม่แล้วก็ตอบว่า...ก็หนูเป็นลูกแม่ไงอ่ะ....(ไม่ใช่ลูกพ่อ)และที่กอดไว้นั้นเป็นการป้องกันเท้าขวา/มือขวาของแม่ที่ว่องไวมาก...อิอิอิ

...ตอนเรียน - ชมรมโต้วาทีเค้ามักจะเชิญกระผมไปโต้ด้วยเสมอ...กระผมมักจะเลือกเป็นสมาชิกชมรมกีฬาหรือดนตรี...คือกระผมเป็นนักค้านที่น่าสนใจมาก...และมีความสามารถในการค้านได้ทุกเรื่อง...

..มีอยู่ครั้งหนึ่งเค้าตั้งหัวข้อว่า "รวยหรือจน - อะไรดีกว่ากัน?"...เค้าก็เสนอมาให้กระผม...กระผมก็ก็บอกกลับไปว่า - พวกท่านในชมรมเลือกฝั่งก่อนได้เลย...กระผมโต้ได้ทั้งสองฝั่งอ่ะแหละ...เค้าก็เลือก"รวย" - แล้วส่งหนังสือว่า ความ"จน"คืออะไร-ดีอย่างไร...มาแนะนำการพูดให้กับกระผม...แบบคล้ายๆๆเตี้ยมกันนิดหน่อยเพื่อให้การแสดง"โต้วาที"นั้นประทับใจผู้ฟังและผู้ชม...

...กระผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก - ที่บ้านกระผมมีหนังสือน้อยกว่าห้องสมุดโรงเรียนแค่สัก ๒๐ เล่มได้อ่ะมั๊ง?...

...ถึงเวลาโต้วาทีบนเวทีห้องเล็ก...ฝ่ายเจ้าภาพก็เสนอตัวที่จะขอ"รวย"ก่อน...ทำนองว่ากระผมผู้เป็นแขกรับเชิญนั้น-อาจารย์ผู้จัด/เจ้าของชมรมงงงถือว่าเป็น"ฝ่ายค้าน"...และ"จน"กว่าบรรดาสมาชิกของขมรมทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว...เป็นการเอาเปรียบพวกเค้าตั้งแต่แรกเห็น...

...ฝ่ายเจ้าภาพก็แสดงความอวด"รวย"-ขุดค้นข้อมูลในกระดาษตามบทที่เขียนไว้ก่อนแล้วอย่างแพรวพราว...ถึงความรวยจะสร้างคุณประโยชน์ให้ผู้คน/และโลกได้อย่างไรในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน....หุหุหุ..ผู้ฟังปรบมือโห่ร้องสนับสนุน - รวมทั้งอาจารย์ผู้จัดที่ก็แหกยิ้มได้กว้างกว่าแมวของกระผมที่บ้าน...แล้วก็ถึงตา"ความจน"จะลงสนามไปสู้กับสิงโต....

...ผมไม่ได้เตรียมกระดาษจดหรือหนังสืออะไรไปเลย...นอกจากรอยยิ้มนิดนึง...ผมก็เริ่มต้นด้วยคำว่า...ความ"จน"นั้นเป็น"บาป"มาแต่กำเนิด - จากคำว่าของท่าน 'รงค์ วงษ์สวรรค์...หุหุหุ...และบอกว่า...วันนี้กระผมจะไม่มายกคุณงามความดีของความ"จน" - เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีใครอยากจน/หรือมีความสุขกับความจน....แต่ วันนี้จะมาโต้วาทีด้วยความ"เลว"ของความ"รวย" - ความชั่วอุบาทว์สามานย์ของความ"รวย"...ที่มีได้มากกว่าความ"จน"....อิอิอิ...ทั้งห้องประชุมเล็กก็เริ่มนิ่งเงียบ/อาจารย์ก็เริ่มมีเหงื่อไหลเปื้อนแป้งผัดบนใบหน้า...อิอิอิ...

...ผมเริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึง สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะสละราชสมบัติทุกอย่าง/สละความ"รวย"ทุกอย่างทิ้งไป...เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า - เพราะปรารถนาจะช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์....นั่นย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ไปทั้งโลกแล้วว่า....ความรวย/หรือทรัพย์สมบัติใด - ก็ช่วยให้สัตว์โลกพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้...อิอิอิ....เสร็จแล้วกระผมก็เริ่มพรรณนาต่อถึงหลัก"ธรรม"และความรวยที่เป็นปัญหาต่อสรรพสิ่งในโลกและทำร้ายผู้คน...และทำให้ผู้คนไกลพ้นจากหลักธรรมของพระพุทธองค์อย่างไร...จนผู้ฟังเหงื่อตกน้ำตาไหลและควันออกหูกันไปทั่ว...

...เมื่อจบการโต้วาทีแล้ว - ท่านอาจารย์สาวที่ตอนแรกยิ้มสวย-แต่ตอนนี้หน้ายับย่นยุ่งเหยิงและทำตาแดง...ก็กล่าวตัดสินว่าให้เสมอกัน...โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ว่า...ข้อมูลสาระของกระผมนั้นชัดเจนเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างยิ่งจนไม่อาจปฏิเสธได้...แต่นี้เป็นชมรมโต้วาที/คือการแสดงวาทะต่อผู้คน...สิ่งที่กระผมแสดงไปนั้น-แม้เป็นข้อเท็จจริงอันถูกต้องชัดเจนมิอาจเป็นอื่นได้...แต่วาทะวิธีการพูด/การนำมามากล่าวต่อสาธารณชนนั้น - อุกอาจก้าวร้าวและไม่มีศิลปะในการจูงใจเป็นอย่างยิ่ง...ทำให้ผู้ฟังเกิดความเกลียดชังในผู้พูด/เกลียดชังในตนเอง/และเกลียดชังในอาจารย์ผู้จัดการโต้วาทีนี้...อิอิอิ...กระผมเลยโดนตัดคะแนน...ให้เสมอกับฝ่ายตรงข้าม...หุหุหุ...แปลว่า ฝ่ายตรงข้ามแพ้ในเหตุผล/สาระของกาประเด็น-แต่พูดให้ผู้ฟังสบายอกสบายใจได้มากกว่า....อิอิอิ...ตอนให้รางวัลในการแสดงโวหารนี่ - กระผมอยากโผเข้าไปกอดท่านอาจารย์สาวผู้สุดยอดฝีมือในการปรองดองสมานฉันท์ตัดสินแบบนี้จริงเลย...กระผมปรบมือรับการปรบมือของผู้ฟัง/คู่ต่อสู้....แล้วหันไปยกนิ้ว-ปรบมือให้อาจารย์ผู้ตัดสิน...ยอมรับว่าอาจารย์เป็นนักโต้วาทีที่ลุ่มลึกกว่ากระผมยิ่งนัก...เน๊าะ...

 

8)หิวข้าวแหล่ว....รวบรัดตัดความ...เรื่องของเรื่องที่เป็นประเด็นวันนี้คือ...เบื่อผู้(อวด)ไม่รู้...ในเรื่อง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนมุสลิมและยิว...คือ "เยรูซาเล็ม" - Jerusalem....ที่กำลังฆ่ากันอยู่นี้นั่นแหละ...

...อุบาทว์จริงเลยนะ - คนงานไทย ๒ คนที่เสียชีวิตที่กาซ่า...ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลอะไรเลยในการนำ"ศพ"กลับมาสู่ญาติ...มีแต่รัฐบาลต่างด้าวที่ช่วยเหลือและแสดงออกถึงความเสียใจ/สลดใจของตน...ผู้นำประเทศไทย - ไม่คิดไม่กระทำแม้แต่จะแสดงออกถึงการเอา"ใจ"ใส่ในชีวิตจิตใจของประชานชนระดับไพร่สามัญทำมาหากิน...ที่ทูตพม่าของเผด็จการทหารมินอ่องหร่ายน่ะ - นายกฯไปต้อนรับแม่ม!ถึงสนามบินส่วนตัวของทหาร...หุหุหุ....ซวย-เผลอผิดquarantineปาก - คืนนี้โดนเจ้าที่ลงโทษแน่เลย...

 

9) นครเยรูซาเล็มนั้นเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาก่อน พระเยซู ด้วยซ้ำ...สร้างเมื่อไหร่อย่างไรก็ช่างเถอะ ....ว่างแล้วจะไปค้นจากหนังสือ"ยิว"ของท่านคึกฤทธิ์ฯมาสรุปให้ทีหลัง...ประโยคหนึ่งในหนัง Jesus Christ Superstar...ที่ในหนังคือตลาดในวิหารของเยรูซาเล็มเป็นที่ขายยา/ขายอาวุธ/ข้าวยาสุรา/ช้างม้าหมูไก่...และขายตัว/ขายมนุษย์...วันแรกที่Jesus เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มที่ยกขวนมากับสานุศิษย์จนถึงวิหารและเห็นเช่นนั้นเข้าก็อาระวาดทุกข้าวของขับไล่บรรดาสิ่งสามานย์เหล่านั้นและร้อง(เป็นเพลง)ขึ้นว่า...my temple should be a House of pray....นั่นแสดงว่ากรุงเยรูซาเล็มเคยเป็นสถานที่-ติดต่อพระเจ้า...ได้เสื่อมทรามลง...และกลับมาฟื้นคืนก็ด้วยjesusสอนสั่งในภายหลังต่อมา...

...แล้วอิสลามิกชนล่ะ...?

https://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem?fbclid=IwAR3Ue8YDPldlZC-4_kMwSQC5GTGSDVUSJHSoR9M0X_M-vfeIG8PYn4eP0tM

 

10) ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นภายหลังศาสนาคริสต์ประมาณ ๖๐๐ ปี...และศาสนาคริสต์ก็เกิดขึ้นภายหลังศาสนาพุทธก็ประมาณ ๕๔๓ ปี...ถ้ารวมเอาถึงตอนพระพุทธเจ้าประสูติก็ประมาณ ๖๐๐ ปีเช่นกันอ่ะแหละ...

...นั่นแปลว่า...เยรูซาเล็ม อยู่ตรงนั้นก่อนที่ผู้คนจะอ้างพระเยซูมายึดครอง...แต่รากแล้วเยรูซาเล็มย่อมเป็นของคนยิวสร้าง-และยิวก็ไม่ใช่คริสตชน...แต่เมื่อมีศาสนาอิสลามบังเกิดขึ้นและการเผยแพร่ศาสนาปะทะกันเข้ากับคริสต์...

...คือทั้งสองศาสนา-คริสต์และอิสลามทำสงครามครูเสด...แย่งชิงนครเยรูซาเล็มกัน/ฆ่าฟันกันมาหลายร้อย/พันปี...ผลัดกันครอบครองและก็สร้างปูชนียสถานของศาสนาตนเอาไว้ทั้งคู่...

...แต่ต้นเดิมนั่นคือ - ยิว ศาสนา จูดาย...มาก่อนทั้งสองศาสนาใหม่...

...ดังนั้น เยรูซาเล็ม จึงมี ๓ ฝ่ายของความศักดิ์สิทธิ์...และทั้ง ๓ ฝ่ายนี่แหละ - ก็มี"พระเจ้า"องค์เดียวกันด้วย...และก็ฆ่ากันเพื่อความศักดิ์สิทธิ/อ้างว่าตนถูกต้อง - ในวิธีการไปหา - พระเจ้า...หุหุหุ

...ดังนั้น - ด้วยความที่เป็น "พระเจ้า"องค์เดียวกัน...นี่แหละ...เพราะเช่นนั้น "ประตู"ขึ้นไปหาพระเจ้า/และที่พระเจ้าจะลงมาหา...ก็เลยอยู่ที่เดียวกัน...

...แต่ด้วยความที่ - ผู้นำคำ"พระเจ้า"มาถ่ายทอดมาสั่งสอนผู้คน...คนละคนกัน....และพูดไม่เหมือนกัน...และยึดว่าฝ่ายอื่นคือศัตรูที่มาทำความแปดเปื้อนต่อสิ่งที่ตนศรัทธา...และการยึด"อัตตา"ของพวกตนนั่นเอง....ที่การไปพบพระเจ้าคือ...การต้องเข่นฆ่าผู้อื่นที่ทำความสกปรกเป็นเชื้อไวรัสสามานย์ต่อเราก่อน...หุหุหุ...แน่ใจนะว่าเป็น"พระเจ้า"...เป็น Being...

 

11) ที่นี้...ปูชนียสถานที่เยรูซาเล็มนั้นก็ย่อมไม่ใช่สังเวชนียสถานของศาสดาของอิสลามสิ...แต่เป็นสังเวชนียสถานของยิวและคริสต์...เพราะศาสดาของยิวและคริสต์เคยเสด็จมาติดต่อพระเจ้า -ที่กรุงเยรูซาเล็ม...แต่ไม่ใช่พระมะหะหมัดซึ่งมาทีหลัง...แต่เยรูซาเล็มเป็น - ประตูมิติสู่พระเจ้า ...และอิสลามิกชนก็เคยสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อพบ"พระเจ้า"ไว้ด้วย - ในสมัยเมี่อกองทัพอิสลามเรืองอำนาจ...บุกเข้ามายึดครองกรุงนี้...

...โชคดีนะ - ของศาสนาพุทธนี่....มีค?????อุ๊ย! ไหนๆคืนนี้ก็โดนเจ้าที่ตบกระโหลกอยู่แล้ว...มีพวกควาาายยยอยู่กลุ่มนึงบอกว่า...ประตูขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่แถว ประตูน้ำพระอินทร์/รังสิตปทุมนี้เอง...แต่ต้องจ่ายค่าผ่านประตูกันมั่ง...เท่านั้นแหละ...

https://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem?fbclid=IwAR3hIQOxOmSZX-YhEsUy1NRC5hWViEzXdrZ5tCCC6FejdZQYPcs39OMf76w

 

12) ทีนี้ - ความต่อจากนี้ไป...ขอยืนยันว่าเป็นการกระทำด้วยความ"อยากรู้"อันยึดที่"ปัญญา"...ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น"ศาสนา"อันมีผู้คนมากมายนับถือ - แต่ประการใด...แต่ด้วยความ curiosity เท่านั้น...

...ที่ว่าอยากรู้ก็คือ...แล้ว"สถานที่ศักดิ์สิทธิ์"ตามคำสอนของพระศาสดา...หรือสถานที่พระศาสดามะหะหมัด - ได้พบกับพระเจ้า...เหมือนโมเสส หรือ Jesus นั้นคือที่ใด...อย่าลืมนะครับ...ว่าโมเสสก็บนเขา-และก็ไม่ใช่เยรูซาเล็ม...Jesusเองสถานที่เกิดอย่างเบ็ธเลเฮม - ก็ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์...มีตำนานอยู่บ้าง – ว่าJesusในวัยเด็กไปที่ตลาดเยรูซาเล็มกับบิดาและพลัดหลงายไป ๓ วัน...ก่อนที่บิดาจะมาพบว่ากำลังแสดงธรรมอยู่ที่มุมหนึ่งของเมือง...หุหุหุ...แต่ประวัติของJesusนั้นบอกว่าท่านเสด็จหายไปในทะเลทรายหลายสิบปี...กลับมาก็แสดงธรรม/ประกาศธรรมเลย...

...แต่พระนะบี มูหะหมัดนั้น – บอกไว้ว่าท่านทรงอึดอัดใจจึงขึ้นไปบนเขาในถ้าำแล้วเจอเทวทูต/หรือพระเจ้า...มาแสดงธรรมโปรด...เมื่อลงมาก็ป่วยเป็นไข้หลายวัน...แล้วก็ฟื้นคืนมา-และขึ้นเขาไปพบพระเจ้านั้นอยู่อีกหลายครั้ง...จึงมารวบรวมเป็นพระวิวรณ์ - revelation...รวบรวมหลักธรรมที่พระเจ้าตรัสสอน...มาประกาศ/สอนผู้คนให้เข้าสู่ทางธรรม...

...ดังนั้น...สถานที่พบพระเจ้า/ประตูสู่มิติ...ดั้งเดิมสมัยพระนะบี มูหะหมัดนั้น...ไม่ใช่เยรูซาเล็มนั่น...แล้วที่ไหนล่ะ...?

https://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem?fbclid=IwAR3hIQOxOmSZX-YhEsUy1NRC5hWViEzXdrZ5tCCC6FejdZQYPcs39OMf76w

 

13) สมัยรับราชการ - กระผมเดินทางไปทำงานแถมด้ามขวาน....มีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าพักที่โรงแรมขนาดใหญ่ในจังหวัดหนึ่ง(เจ้าของเป็น ส.ส.ดัง-โดนเค้าหาว่าบุกรุกป่าชายเลนตรงที่เอามาสร้างโรงแรมนี่แหละ)...พอนอนบนเตียง - เงยหน้าไปเห็น...ลูกศรชี้เฉียงกับเตียงอยู่อันหนึ่ง...หุหุหุ...ก็ต้องสงสัยตามสันดานแมวอีกอ่ะแหละ...

...พอลงมาทานอาหารกับเจ้าหน้าที่ร่วมงานคนพื้นถิ่น...เลยถามเรื่องลูกศรนี้...เค้าบอกว่า...เป็นลูกศรชี้ไปที่ เม็กกะ - สถานที่ศักดิสิทธิ์ที่มุสลิม/อิสลามิกชนเวลาสวดภาวนาละหมาด...ต้องหันหน้าไปทางนั้น...ก็โอเค...เข้าใจล่ะ...เพราะอิสลามนั้นการทำละหมาดสามารถทำได้ทุกสถานที่....ไม่ใช่ว่าต้องสวดกันที่วัดหรือห้องพระแบบของเรา...ขอให้เป็นสถานที่ที่สะอาด/บริสุทธิ์ตามคำสอนเท่านั้น...เลยต้องมีลูกศรชี้บอก - เพื่อความถูกต้อง/สะดวก....ไม่ต้องไปหาเอง...

 

14) ทีนี้...ก็เป็นที่เข้าใจล่ะว่า...เมกกะ คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม...ที่มุสลิมทุกคนต้องกราบไปทางนั้น...

...แล้วทำไมถึงต้องไปแย่งชิงเยรูซาเล็มถึงขนาดฆ่ากันตายล่ะ...

...แล้วสถานที่พระมะหะหมัดพบพระเจ้านั้น...ก็ไม่ใช่ที่ เมกกะล่ะ...

...แล้วทำไมถึงลูกศรชี้ไปที่เมกกะ/มุสลิมเดินทางไปฮัดจีย์ที่เมกกะ...แล้วอะไรคือหินกาบะ...

...เห็นมั๊ยว่า - แมวววนี้หาเรื่อง"อยากรู้"จนจะโดนกระทืบจนได้แหละ...

...คือ ถ้าไม่มีผู้"อวด"-ความไม่รู้...ไม่ออกมาเสนอหน้าพล่ามบ้าๆบอๆทางสื่อโซเสี้ยน/ทีวีอะไรอ่ะ...จนแมวววรำคาญแล้ว - แมวก็ไม่อยากรูอะไรนะกหนาหรอก...เพราะ"รู้"อยู่แล้ว...

...แต่ลูกศรที่ว่านัน - ไม่ได้ชี้ไปที่เม็กกะ...ทุกอัน...แถมบางอันของลูกศรในสถานที่ละหมาดสำคัญก็มีบางอันชี้ไปที่ เยรูซาเล็ม...หุหุหุ...

https://en.wikipedia.org/wiki/Mecca?fbclid=IwAR2CtwduOx-JjcKsaGFQawuX36xSQDw3l-Xf3SQys4DSArp5rvhlwUz1Ztg

 

15) แปลว่า สถานที่พระมูหะหมัดพบพระเจ้านั้น...ไม่ใช่หินกาบะ...คือหินกาบะและเมกกะมาสร้างทีหลังอีกหลายร้อยปี...ว่าเป็นสถานที่นั้น...แต่มีคนค้าน...มีคนสันดานแมววววยิ่งกว่าผมและตามล่าหาหลักฐานย้อมไปถึงอดีตกาลมาแสดงด้วย...เหมือน Da Vinci's code...

...เกิดมีคนสงสัยและตามล่าว่า...สถานที่พบพระเจ้าของท่านนะบี มะหะหมัด นั้น...อยู่ที่ไหน?...นี่คือ รายการสารคดีจาก youtube...ที่เม้นท์ข้างล่างนี้...

https://youtu.be/QGLWh5Cd-xo

 

16) ก็ต้องย้อนกลับมาที่เรื่องลูกศรที่ว่านี้ก่อน...ลูกศรที่ว่านี้มีชื่อว่า qibla* - กิบลัต..ภาษาอาหรับ แปลว่า สว่าง/ทิศทาง...เอาจากวิกิพีเดีย-เขียนขึ้นต้นบอกไว้ว่า..."กิบลัต, กิบละฮ์ หรือ ชุมทิศ (อาหรับ: قبلة‎) คือทิศที่มุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอดุอาอ์ มุ่งไปยังกะอ์บะฮ์ในนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เดิมกิบลัตอยู่ที่เยรูซาเลมในปาเลสไตน์ แต่เปลี่ยนมาเมื่อสมัยท่านนบีมูฮัมมัด

มุสลิมทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใหนก็ตามจะต้องหันหน้ามาทางนี้ เมื่อเวลาละหมาด จะหันหน้าไปทางทิศอื่นไม่ได้เด็ดขาด นอกจากว่าอยู่ในภาวะจำเป็น เช่น การเดินทาง ซึ่งไม่ทราบว่าขณะนั้นกิบลัตอยู่ทางทิศใด แต่ต้องมีการเหนียต (ตั้งใจแน่วแน่) ในใจว่า ขณะนี้เรากำลังหันหน้าไปสู่กิบลัต..."

 

..ปัญหาที่ว่าคือ ตกลงประตูพบพระเจ้านั้น - ย้ายกันได้ด้วยรึ?...ไม่ใช่-นักค้นคว้าสันดานแมวที่ผมนำมาจาก youtubeนี้บอกว่า...ไม่ใช่...

...เค้ายืนยันว่า qibla ที่อ้างว่าชี้ไปที่นครเยรูซาเล็ม ก่อนย้ายมาที่ เม็กกะ นั้น...ไม่ถูกต้อง...เพราะสุเหร่าในเยรูซาเล็มก็มี ลูกศรกิบลัต(มีจุดบ่งชี้ทิศ)ตอนทำละหมาดด้วย...และชีไปยังทิศทางหนึ่ง...คือ?

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%95?fbclid=IwAR2MLRfIc77BGtdCNO1pfpoYlQlvMzs9w99XTH_rPxnVv-KB0MqlNRlwvoM

 

17) ผู้ค้นคว้า...สืบค้นย้อนกลับไปยังสุเหร่าหรือ มัสยิดสำคัญทั่วโลก...และเอาทิศทางชี้ของqiblaแต่ละมัสยิดโบราณทั่วโลก...มาวางลงบนแผนที่ยุคดิจิตอล....แล้วคำนวณจุดตัดกันของทิศทางที่ลูกศรชี้ไป...นั้นอยู่ที่ไหน?.... หุหุหุ...แบบ Da Vinci code...อ่ะแหละ...

...แต่ก่อนจะไปถึงจุดที่ว่านั้น...ต้องเข้าใจถึง คำว่า มัสยิด อัล-อาราม ก่อน...

...มัสยิดอัลฮะรอม (อาหรับ: ٱلْـمَـسْـجِـد الْـحَـرَام;, "มัสยิดต้องห้าม" หรือ "มัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์....หรือ Masjid al-Haram (Arabic: اَلْمَسْجِدُ ٱلْحَرَامُ, romanized: al-Masjid al-arām, lit.*

...ที่บอกว่า ...คือ เม็กกะ นี้นั้น...สุเหร่าที่เยรูซาเล็ม มีลูกศรกิบลัตที่ชีไปทางอื่น/คนละทิศด้วย...เป็นมุมแหลม/ไม่ถึงกับทิศตรงข้าม...

...แปลว่า สถานที่ศักดิสิทธิที่ผู้สอนศาสนารับพระวิวรณ์ต่อๆมาได้...พบพระเจ้าในที่ต่างกันไปจาก...ที่พระนะบี มะะหมัดพบ...

...เยรูซาเล็ม ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระนะบี มะหะหมัดพบพระเจ้าครั้งแรก...แล้วที่ไหน?...

...หลายลูกศรกิบลัต ในมัสยิดโบราณ-บางที่อายุเก่าแก่ก่อนสร้างเม็กกะขึ้นมาใหม่..มีลูกศรชี้ไปไม่ตรงกับทั้ง เยรูซาเล็มและเมกกะ...แปลว่า สถานศักดิ์สิทธิ์ที่อิสลามิกชนไปประชุมรวมกันในสมัยโบราณ - เป็นปูชนียสถานนั้น...เป็นที่อื่น...

https://en.wikipedia.org/wiki/Masjid_al-Haram?fbclid=IwAR1GFPN2a0M3ENBzzvAsOER4l4vGyDlmTVT-XPv2vQPC1zun6uVfx9Sx9Us

 

18) เมื่อนำทิศทางจากลูกศรกิบลัตของมัสยิดสำคัญของเมืองที่มีมาในสมัยโบราณทั้งหลายทั่วโลก...มาวางลง/plotลงบนแผ่นที่ดิจิตอลสมัยใหม่...เพราะโลกมีสัณฐานกลมและแป้น...ถ้าplotในกระดาษจะทำไม่ได้/ทำได้ยาก...(ไม่อธิบายนะ - เรื่องนี้คนทำงานกับแผนที่จะเข้าใจดี...ซึ่งกระผมก็เป็นผู้หนึ่งด้วย....เพราะมีหน้าที่วางผังออกแบบชุมชนเพื่อ"การปฏิรูปที่ดิน"ให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้...เน๊าะ)...

...ทุกทิศทางของลูกศรกิบลัตที่ว่า...ตรงไปรวมจุดโฟกัส/ที่เดียวกัน...แม้กระทั่งของเยรูซาเล็ม....คือ petra...แห่ง จอร์แดน...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...*

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2?fbclid=IwAR2l93srJ3Ma4SwBrlXndRo5G5tS7xhziQg7fJE3JFTjdmDrjmPTnAvaTEc

19) เยรูซาเล็ม - ไม่ใช่ masjid al haram...ของพระนะบี มะหะหมัด...ถ้าเปรียบเทียบกับพุทธศาสนา...ก็คือ พุทธะคยา/ใต้ต้นมหาโพธิ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา คือเพ็ญเดือน ๖ ตอนตี ๕...

...แต่ petra คือ พุทธะคยา...คือ masjid al haram...แห่งแรก...

...ที่ผู้ค้นคว้าว่าไว้ใน youtubeข้างล่างนี้...

...ดังนั้น...จงเลิกฆ่า/ทำลายความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน...แล้วอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์ใดกันเถิด...

...เส้นทาง"ธรรม"อันถูกต้องที่จะนำไปสู่ "พระเจ้า/นิพพาน/สวนสวรรค์อีเดน" มีแค่เพียงก็ด้วย ยานพาหนะที่ชื่อ "ปัญญาญาณ" เท่านั้น...

https://youtu.be/HCoyRrylVrg

 

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ดร.สตีเฟน กุนดรี - ความจริงแท้เกี่ยวกับ โคโรนาไวรัส

 


ความจริงแท้เกี่ยวกับ โคโรนาไวรัส โดย ดร.สตีเฟน กุนดรี

THE REAL TRUTH ABOUT CORONAVIRUS by Dr. Steven Gundry

 

สตีเฟน ร. กุนดรี* (เกิด มิถุนายน ๑๑, พ.ศ.๒๔๙๓) เป็นแพทย์ชาวอเมริกันและเป็นนักประพันธ์. เขาเป็นผู้เริ่มแรกในการผ่าตัดหัวใจ(cardiac surgeon)และปัจจุบันทำงานคลินิกของตนเอง, ตรวจสอบหาความจริงในผลกระแทก(impact)ของการควบคุมอาหารต่อสุขภาพ(diet on health). กุนดรี ควบคุมจัดการการค้นคว้าวิจัยในเรื่องผ่าตัดหัวใจในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ และเป็นผู้บุกเบิกนำเริ่มต้นในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ, และเป็นผู้ประพันธ์ที่ได้รางวัลขายดีที่สุดจากนิว ยอร์ค ไทมิ์ส หนังสือชื่อ “พืชปฏิทรรศน์: อันตรายที่ซ่อนอยู่ในอาหารสุขภาพที่เป็นสาเหตุโรคและการเพิ่มน้ำหนัก.”

เขาเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องที่เขาอ้างโต้เถียงทั้งหลายว่า เล็คตินส์(lectins* - เลคติน (Lectins) เป็นโปรตีนที่สามารถพบได้ในอาหารหลายๆ ชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักพบในพืชถั่ว พืชตระกูลถั่ว ธัญพืช และผักไนท์เฉด (Nightshade vegetables) ซึ่งเป็นพืชในกลุ่มวงศ์ Solanaceae หรือกลุ่มพืชผักในวงศ์มะเขือ เช่น อย่าง มะเขือเทศ มะเขือยาว พริก มันฝรั่ง แต่สารเลคตินนั้นยังสามารถพบได้ในนมวัวและไข่ไก่ที่เลี้ยงด้วยถั่วอีกด้วย

สเตเวน กล่าวว่าพืชที่มีสารเลคตินนั้นเป็นพิษ พืชสร้างสารเลคตินขึ้นมาเพื่อความอยู่รอด โดยป้องกันไม่ให้แมลงและสัตว์นั้นรับประทานตัวเอง นอกจากนี้สารเลคตินยังทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำให้ลำไส้เกิดความเสียหาย และช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวให้ด้วย แม้ว่าเลคตินจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพบางอย่าง แต่อาหารบางชนิดที่มีเลคติน ก็อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอื่นๆ ทั้งไฟเบอร์ โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ถั่วแดง เป็นถั่วที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีเลคตินที่เป็นอันตรายอยู่ด้วย หากรับประทานในปริมาณก็อาจเป็นอันตรายได้ แต่การปรุงสุกก็จะช่วยทำลายเลคตินในถั่วแดงได้), เป็นโปรตีนในพืชชนิดหนึ่งที่พบในอาหารจำนวนมาก,

https://hellokhunmor.com/%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/plant-paradox-diet/

ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ(inflammation)มีผลในโรคสมัยใหม่มากมาย(resulting in many modern disease). พืชปริทรรศน์ของการควบคุมอาหาร ชี้แนะให้หลีกเลี่ยงอาหารทั้งหมดที่มีเล็คตินส์อยู่ด้วย. นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการควบคุมอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายได้จำแนก(classified)ข้ออ้างของกุนดรีเกี่ยวกับเล็คตินส์นี้ว่าเป็น วิทยาศาสตร์เทียม(pseudoscience). เขาขายอาหารเสริมสุขภาพทั้งหลายที่เขาอ้างว่าป้องกันต่อหรือพลิกกลับ(protect against or reverse)การเสียหายจากผลกระทบที่คาดไว้ของเล็คตินส์(the supposedly damaging effects of lectins).

https://en.wikipedia.org/wiki/Steven_Gundry

กุนดรี: ผมคิดว่าเรื่องนี้มีบางอย่างที่ผู้คนควรจะเข้าใจ.

ไวรัสทั้งหลายไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้าของภาพของพวกตน(their hosts). พวกเขาต้องการจะใช้เจ้าภาพของพวกเขา(use their hosts)ในตัวเรา(in us), ในกรณีนี้คือเรา, ในการที่จะ”งอก”(to replicates - ถ่ายซ้ำ/ทำสำเนาเพิ่ม)และแล้วทำให้แน่ใจว่าเจ้าภาพทั้งหลาย(the hosts)ไอและกระจาย(coughs and spreads)ไวรัสนี้ไปยังเจ้าภาพรายถัดไปของมัน(is next host). และตราบนานเท่าที่เจ้าภาพ(the host)นั้นยังมีชีวิตอยู่และทำการไอ(alive and coughing), นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ไวรัสนี้สามารถร้องขอได้.

อย่างง่ายๆ(simplistically), พวกเราทั้งหมดในที่นี้คือสิ่งมีชีวิต(living creatures)เป็นโดยพื้นฐานตรงนี้(are basically here)ก็ที่จะทำสำเนาทั้งหลายของตัวเราเอง(to make copies of ourselves), ที่จะผลิตซ้ำ(to reproduce).

และดังเช่นที่ข้าพเจ้าพูดถึงในเรื่องของพืชปริทรรศน์(the plant paradox)ครั้งหนึ่ง, คุณทำสำเนา(make copies)คุณก็อยู่ในเส้นทาง(in a way), คุณได้ทำงานของคุณ(done your job)และคุณควรจะออกไปนอกเส้นทาง(out of the way)เมื่อคุณได้ทำเสร็จแล้วที่คุณได้มีหลานจำนวนหนึ่งมารับงานทำต่อไป(get grandchildren take over).

ส่วนหนึ่งของปัญหา(part of the problem)กับไวรัสพิเศษเฉพาะนี้(with this particular virus)ก็คือ...มันเป็นญาติของไข้หวัดธรรมดา(its cousin of common cold)และโดยจริงแล้วเป็นเพราะว่ามันประพฤติตัว(behaves)เหมือนไข้หวัดธรรมดา(common cold)ในแง่ทั้งหลายของการติดเชื้อของมัน(in terms of its infectivity)ที่สร้างความเกเรซุกซนเหลือเกิน(so mischievous).

แต่นั่นที่ข้าพเจ้าหมายถึงดังเช่นการถกเถียงอย่างมากมาย(for instance a lot of discussion)โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในสหรัฐอเมริกา, ว่า เอ้อ, ในสหรัฐอเมริกา, ระหว่าง 20,000 ถึง 60,000 ผู้คนต่อหนึ่งปีที่เสียชีวิตเพราะไข้หวัด(die of the flu)และในตอนเริ่มต้นกับและในวิกฤตการณ์โคโรนาไวรัสนี้(early on and in this coronavirus crisis).

ผู้คนพูดกันว่า, ทำไมถึงได้วิตกกังวลนักหนา(so upset)เพราะว่าเรา...เรายอมรับนั่นกับเรื่องยี่สิบถึงหกสิบพันผู้คน(2-6 หมื่นคนที่เสียชีวิตต่อปี)มาทุกปีว่ากำลังตายด้วยโรคหวัด.

และเราก็ไม่ได้ทำ เว้นระยะทางสังคม(social distance), เราไม่ได้แยกตัวอกจากกัน(isolate), แล้วทำไมเราควรจะทำเช่นนั้นกันในครั้งนี้.

และข้าพเจ้าคิดว่า, สิ่งสำคัญสำหรับผู้คน(the important thing for people)ที่จะตระหนักว่า(to realize is)ไข้หวัดนั้นขณะที่เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน(the flu while certainly deadly)นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับการติดเชื้อหมายเลขหนึ่งดังเช่น(not nearly as number one as this)ในยุคสมัยที่สิบเก้านี้.

และไข้หวัดนั้นมีระยะเวลาสั้นมากในการ”งอก/ฟักตัว”(has a very short incubation time), โดยปกติภายใน 48 ชั่วโมงของการเผยตัว(of exposure). ถ้าคุณกำลังจะพัฒนาไข้หวัด(going to develop the flu)คุณก็จะรู้ถึงมัน, และคุณก็รู้ว่าเป็นมันได้เกือบอย่างรวดเร็ว(quite dramatically), คุณรู้ว่ามีไข้ปวดหัว(headaches fever), คุณอยากไปนอน, คุณไม่อยากจะเคลื่อนไหว(don’t ant to move)และก็คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณมีเชื้อหวัด(have the flu)และค่อนข้างจะเปิดเผยเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นไข้หวัดที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกเกี่ยวกับการแพร่กระจายมัน.

ข้าพเจ้าได้เป็นผู้ดูแลอย่างเข้มข้น(intensivist)(ในเรื่องนี้ - ผู้แปล)มากว่า 40 ปีและเรา 40 ปีอยู่ในสหรัฐอเมริกากับไข้หวัดสายหลักทั้งหลาย, h1n1(with major flus, h1n1)และไข้หวัดสายพันธุ์หลักอื่น, ไม่เคยประมาทความสามารถของเรา(overwhelmed our ability - ประมาทตนเอง)ในการที่จะชวยการหายใจของคนไข้ทั้งหลาย(to ventilate patients), เราไม่เคยประมาทในการใช้ RIC*( Reduced-Intensity Conditioning - ผู้แปล?) เย้, เรามีงานยุ่งอย่างแน่-

https://www.allacronyms.com/RIC/medical

นอน(we got busy certainly)แต่เราไม่เคยประมาท(overwhelmed)ความสามารถของเราในการช่วยการหายใจของคนไข้ทั้งหลายที่เป็นไข้หวัด(to ventilate patients with the flu)กับโคโรนาไวรัส(with the coronavirus).

         ปัญหาก็คือ เราเริ่มที่จะตระนักได้ว่า(to realize that)ผู้คนมากมายได้ติดเชื้อกับสิ่งนี้(have been infected with this)และพวกเขามีไข้เพียงเล็กน้อยเบาบาง(a mild illness), หรือกระทั่งไม่มีอาการทั้งหลายใดปรากฏเลย(even have any symptoms)เหมือนอย่างมากยิ่งของผู้คนที่ติดไข้หวัด(catch cold).

         โอ้, ลองคิดว่ามันเป็นโรคภูมิแพ้อย่างหนึ่ง(an allergy) หรือว่า, คุณก็รู้, โอ้ ฉันเพิ่งเป็นอาการสืดน้ำมูก(sniffles)แล้วก็แค่นั้น.

         และเรื่องนี้ได้ถูกซัดโดยตรงพิเศษเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา(this has been hitting particularly United States)ในช่วงฤดูการแพ้อากาศ(allergy season)เมื่อต้นไม้ทั้งหลายกำลังเริ่มผลิบาน(beginning to bloom).

แล้วไวรัสนี้ก็ทำให้ติดเชื้อได้(is infective)เหมือนหวัดธรรมดา(the common cold)ที่ไม่เหมือนเชื้อไข้หวัด(unlike the flu)และคุณสามารถมีคาบระยะยาวนานของเวลานี้(a long period of time)ก่อนที่คุณจะมีแสดงออกจริงถึงอาการของโรคทั้งหลาย(actually make a show symptoms)ที่มากกว่าคาบระยะของเวลาสองวันสำหรับอาการไข้หวัด(so rather than two-day period of time for flu symptoms).

คุณอาจจะไปเจ็ดถึงสิบวันก่อนที่คุณอาจจะเริ่มแสดงออกถึงอาการทั้งหลายของโรค(may start exhibiting symptoms).

ดังนั้น, ด้วยมีคาบระยะของเวลาอันมหึมานี้(this huge period of time)ที่ผู้คนยังคงได้เดินกันไปทั่ว(have been walking around)ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังแพร่กระจายไวรัสนี้(they’re spreading this virus).

และสิ่งอันดับที่สอง(the second thing), ข้าพเจ้าคิดว่าเราจะเข้าไปสู่กับการที่ว่า(get into that is) ว่าไวรัสนี้ไม่เหมือนกับไข้หวัด(the flu)ในการสามารถรับรู้สึกได้ง่าย(in susceptible), ผู้คนได้แค่มีความตื่นตระหนกกลัว(a horrible)กับอะไรที่เราเรียกกันว่า พายุไซโตไคนิ์(cytokine storm* - สภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดในการตอบสนองด้านอักเสบที่โหมกระหน่ำเกินภาวะควบคุมได้)ในปอด(in the lung), ที่ไข้หวัด(the flu)ไม่ทำเช่นนั้น.

https://www.facebook.com/197657060347838/posts/479617212151820/

และนั่นคือทำไมผู้คนมากมายเหลือเกิน(so many people)จบลงกับเครื่องช่วยหายใจ(ventilators).

และเมื่อใดที่กระบวนการนี้เริ่มต้น(once this process starts)ที่ชั่วขณะ(at the moment)ที่เราไม่ได้มีการบำบัดรักษาที่ดีที่จะหยุดมันwe don’t have a good treatment to stop it), นอกไปจาก(excepts for)เพื่อการพยายามที่จะรอคอยมันโผล่ออกมา(trying to wait it out)โดยการเล็งเป้าสำหรับผู้คนที่เครื่องช่วยหายใจ(ventilators).

ดังนั้นไวรัสนี้(the virus)ต้องการให้เราทำสำเนา(to make copies)และต้องการให้คุณที่จะแพร่กระจายพวกมัน(to spread them).

แล้วมิฉะนั้น(so otherwise), มันไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าคุณ(doesn’t want to kill you), นั่นจะเป็นการโง่เง่าแท้จริง(would be really stupid)ถ้าไวรัสมรณะของคุณ(your deadly virus)สามารถแพร่กระจายได้.

แล้วพายุไซโตไคนิ์(cytokine storm)ที่เราเห็นในตอนนี้คือระบบภูมิคุ้มกันการติดเชื้อโรค(your immune system). เพราะว่าการแสดงปฏิกิริยามากเกินไป(over-reacting)ต่อการติดเชื้อไวรัสนี้(to this virus infection)ในที่จริง(in actually)ส่วนล่างของปอดทั้งหลาย(the lower parts of the lungs)และเรื่องนี้ก็มีรูปแบบซ้ำมากในการปรากฏ(a very typical appearance)บน เอ็กซ์-เรย์(x-ray)ว่ามันไม่เหมือนอย่างที่เมื่อเป็นบัคเตรีทั้งหลาย(bacterial moments)ที่เราคุ้นเคยในการรับมือ(that we’re used to dealing with).

และด้วยปฏิกิริยาตื่นเต้นดาลเดือดอย่างเข้มข้นนี้(this intense inflammatory reaction)ต่อไวรัสนี้(against the virus)และความคิดบรรเจิดทั้งปวงของที่คุณรู้ในการหนีบลงป(clamping down)กับสิทธิเสรีภาพของผู้คน(on civil liberties)ไปเลย. ก็เลยไปแท้จริงต่อต้านกับธรรมชาติของมนุษย์(actually against human nature).

แต่หนึ่งอย่างของสิ่งทั้งหลายนั้น(one of the things)ที่เป็นพิเศษอย่างยิ่งของดีที่สุดในการรู้ว่าจะทำอย่างไร(that particularly best know how to do). จากประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ในความจริงของกฎทั้งหลายที่ตามมา(in fact follow rules)นั้นคือความทารุณโหดร้าย(are draconian)เพื่อช่วยชีวิตทั้งหลายของพวกคุณ(to save your lives)และชาติอเมริกาต่อคนส่วนน้อย(America to lesser extent).

แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเพราะว่ารุ่นอายุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด(the greatest generation)ที่เราได้มีประสบการณ์ที่ถูกแบ่งปัน(a shared experience)ที่ซึ่งถ้าคุณได้ถูกขอให้ทำตามกฏทั้งหลายนั้น(you’re asked to follow the rules), เราก็ควรจะกระดิกหางทำตัวดีๆกับการทำตามกฏทั้งหลาย(pretty doggone good at following rules).

โอเค, มาสมมติว่าเราขึ้นไปถึงยอดสุด(let’s suppose we hit the peak)และเราเริ่มการลงมา(start going down), และเราได้อนุญาตที่จะให้ผู้คนปะปนรวมกันได้อีก(to mingle), มีบางคำแนะนำ(some suggestion)โดยเฉพาะของสิงคโปร์(particular of Singapore)ว่าเราจะได้เห็น, คุณรู้ไหม, ยอดสุดอันใหม่(we will see, you know, new peak)มีผู้คนที่ได้ถูกสมมติว่า(who were assumed)ว่าเป็นผู้ไม่ติดเชื้อ(to be uninfected), และคุณก็ยังคงเป็นผู้ติดเชื้ออยู่อีกต่อไป(you anymore are still infected).

และเพิ่งเมื่อตอนเช้านี้ที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับนักชีววิทยาผู้หนึ่ง(a biologist), ว่าพวกเขาเริ่มกังวลว่า(beginning to worry)ไวรัสพิเศษเฉพาะนี้ได้กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วมาก(this particular virus mutates very rapidly)เหมือนหวัดธรรมดาที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว.

นี่คือการรับมือ(here’s the deal)และคุณก็รู้, ชัดเจนเลยว่าทุกคนต้องการวัคซีน(obviously everyday wants a vaccine)และนั่นควรจะเป็นสิ่งอัศจรรย์(be a wonderful thing).

แต่คุณต้องก้าวถอยกลับมาสักหนึ่งวินาที(have to step back for a second)และตระหนักรู้ว่าไม่มีวัคซีนใดป้องกันไข้หวัดธรรมดา(no vaccine to the common cold).

และเราก็สามารถสร้างวัคซีนป้องกันไข้หวัดธรรมดา(we could build a vaccine to the common cold).

แต่ในสองเดือนที่ไวรัสนั้นสามารถกลายพันธุ์ได้(in two months that virus could mutate)และเราก็จะได้อยู่กับมันอีกครั้ง.

เราสามารถสร้างวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่(a vaccine to influenza flu), แต่พวกเราทั้งหมดทราบหรือไม่ว่าไวรัสนั้นกลายพันธุ์ราวหนึ่งครั้งต่อปี(that virus mutates once a year).

และดังนั้นเองที่เราเกือบจะมักหนึ่งปีตามหลังมันอยู่เสมอกับไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้น.

ดังนั้น,จินตนาการดู, และข้าพเจ้าไม่ได้กำลังบอกว่ามันกำลังจะเป็นแต่ลองจินตนาการดู. ถ้าไวรัสนี้(this virus)ซึ่งเป็นญาติกับไวรัสไข้หวัดธรรมดา(a cousin of common cold)ได้หลายพันธุ์(mutates)เหมือนหวัดธรรมดา(like common cold), และแล้วสิ่งที่วางแผนไว้ทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด(all these projections)ได้อย่างเศร้าใจต่ำลงกว่ามากมายกับอะไรที่อาจบังเกิดขึ้น(much lower than what may happen).

ดังนั้นมีสองสิ่งที่สามารถบังเกิดขึ้นได้(there’s two things that can happen)ถ้ามันเป็น. ถ้ามันเป็นไวรัสตามฤดูกาล(a seasonal virus), เราก็จะได้หยุดพัก(get a break). แต่นั่นหมายถึงว่ามันก็สามารถกลับมาได้ในฤดูฝนและฤดูหนาวครั้งหน้า(next fall and winter), หวังเต็มที่ว่ามันจะเป็นในรูปแบบเดิม(hopefully in its same form).

ถ้าเราไม่ได้หยุดพัก(don’t get a break), และไวรัสนี้กำลังที่จะกลายพันธุ์(is going to mutate)เหมือนหวัดธรรมดา(like common cold), แล้วเราจะได้เห็นกัน.

คุณรู้ไหม, เราเป็นสัตว์สังคม(social creatures), สาขหลักของข้าพเจ้า(my major), สาขาวิชาของการศึกษาของข้าพเจ้า(my area of study)ในระดับปริญญาตรี(undergraduate)ที่มหาวิทยาลัยเยล(Yale University)คือ ชีววิทยามนุษย์(human biological*)และวิวัฒนาการทาง

         https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C

สังคม(social evolution), ว่าเราวิวัฒนะอย่างมีสังคมได้อย่างไร(how we evolved socially).

และเราก็เป็นเหมือนกับวานรขนาดใหญ่อื่นทั้งหมด(like all other great apes), การเป็นสังคมอันน่าทึ่ง(incredibly socially being) และน่าทึ่งอย่างยิ่งในความสำคัญที่มีการติดต่อสื่อสารปัจเจกชนเอกเทศ(incredibly important to have individual individual contact).

ตอนนี้เราไม่หยิบเห็บเหาออกให้กันและกัน(don’t pick fleas off of each other)มากอีกต่อไป, แต่การดูแลเสริมสวยสังคมทั้งปวง(the entire social grooming)เครือข่ายสังคมทั้งปวงคือ...คือ, รู้ไหม, ส่วนหนึ่งของชีวภาพของเรา(part of our biologic)และไม่มีคำถามใดอีก.

และการศึกษาในเรื่องการรวมกลุ่มทางสังคม(social grouping)ดังเช่นที่เราได้วิวัฒนะมา(as we evolved)เป็นแรงขับเคลื่อนที่น่าทึ่ง(a incredible driving force)ของอะไรที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์มากไปกว่าแค่ลิงขนาดใหญ่ทั้งหลาย(rather than great apes).

อันที่จริงแล้ว, ความคิดทั้งหมดของการมีปฏิสัมพัทธ์ทางใบหน้า(face interaction)ของการมองเห็นการแสดงออกของ(looking at expression of), คุณก็รู้, มองดูคิ้วยักขึ้นลง.

หนึ่งของการโต้เถียงทั้งหลายต่อสื่อสังคม(against social media)ในทั่วไปหรือการส่งข้อความ(text messaging)หรือ ทวิตเต้อร์(Twitter)คือคุณไม่ได้เห็นการแสดงออกทางใบหน้าของกันและกันแท้จริง(don’t actual see facial expressions)ขณะที่บางคนกำลังสรรเสริญเยิรยอคุณ(praising you)หรือกำลังตัดคุณเป็นริบบิ้นอยู่(cutting you to ribbons)บนสื่อสังคม(on social media).

และนั่นแหละคือปฏิสัมพัทธ์ของบุคล-ต่อ-บุคคล(person-to-person interaction)ที่เราเป็นเช่นของชนิดพันธุ์ทั้งหลาย(of species)เจริญรุ่งเรืองมา(thrive on)และจำเป็นต้องการ(and need).

และข้าพเจ้าคิดว่าทำไมคุณเห็นสิ่งนี้, รู้ไหม, การเพิ่มขึ้น(uptick)ในความตกต่ำทางเศรษฐกิจ(in depression)และการฆ่าตัวตายจากการบริโภคแอลกอฮอล(suicides in alcohol consumption) เมื่อคุณไม่มีอะไรดีกว่าที่จะทำ.

นั่นเป็นหนึ่งในหลายสิ่ง(one of the things)ที่เราปฏิบัติติ่ตัวเราเองด้วย(treat ourselves with). และข้าพเจ้าคิดว่านั่นไม่ได้มีแต่แค่คุณที่รู้ถึงการเว้นระยะห่างทางสังคมนี้(this social distancing). มีบางทีจุดแตกหัก(breaking point)ที่สังคมของเศรษฐกิจทั้งหลาย(society the economies)จะพังทะลายลง(will collapse)นอกเสียจากว่าเรากลับไปทำงานกัน(unless we go back to work).

หรือในเวลาเดียวกัน(simultaneously)จิตประสาทจนกว่าเราจะมีหนทางที่จะทั้งปวงของเราอาจพังทลาย(our entire psyche may collapse)จนกว่าเราจะมีหนทางที่จะปฏิสัมพัทธ์(unless we have a way to interact).

 

https://youtu.be/gSKY4Oz9IXQ