ความเชื่อ/ศรัทธา เมื่อไร้ปัญญาจึงกลายเป็นสงคราม
1)..วันนี้เรื่องยาว - ไม่ทำเป็น power
point...เพราะเกี่ยวกับ"ความเชื่อ"ทางศาสนา...ที่เพียงบางประโยคที่ไม่มีบริบทก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดของผู้คนที่
จิใจกับปัญญานั้นแตกต่างกันไปตาม "ภูมิ"...
..."ความเชื่อ"นั้นเกิดขึ้นจาก
ความ"ไม่รู้"...ซึ่งความเป็น"สัจ-จริง"...ที่มนุษย์ทั่วไปจำเป็นต้องมีเป็นพื้นฐานของการแสวงหาความ"รู้"...ที่เมื่อ"รู้"แล้วก็จะเปลี่ยนจาก
"ความ-เชื่อ"...ไปสู่ "ปัญญา-ความเข้าใจ"...
...ความเชื่อ/belief คำของตะวันตกมาจากรากคำที่แปลว่า
สภาวะการยอมรับว่ามีสิ่งนั้นอยู่จริง/ตามที่ตนรัก(ปรารถนา)ชอบหรือถูกใจ...คือถ้าไม่ชอบ
- ก็ไม่เชื่อ...เหมือนสินเชื่อตอนไปกู้เงิน...ก็คือของมีค่า-ที่ผู้ให้ยืมนั้นเชื่อถือในตัวผู้มาขอ...หุหุหุ...
...ส่วน"ศรัทธา"นั้น -
เป็นความ"เชื่อ"ในระดับที่สูงขึ้น...เพื่อทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำตาม"ความเชื่อ"นั้น...
...ศรัทธา/faith...คำของตะวันตกก็มีความหมายเดียวกับเราคือ...ความเลื่อมใส/ความเชื่อมั่น...โดยสามารถแยกศรัทธาออกได้เป็น
๓ ประเภทคือ ๑. ศรัทธาโดยไม่ใช้ปัญญาหาความจริง-ความหลง ๒.
ศรัทธาโดยใช้ปัญญา-พร้อมกับแสวงหาความจริง(ดังที่พระพุทธเจ้าสอนให้มี"ศรัทธา"เช่นนี้
๓. ศรัทธาเมื่อมีประสบการณ์โดยตรง ด้วยตนเอง(แต่ต้อง"รู้"ถึงความเป็น"จริง"ของประสบการณ์รับรู้นั้นด้วย
- ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นหลงดังข้อ ๑...คือหลง)
...ทั้งหลายทั้งปวงของ
"ความเชื่อ"และ"ศรัทธา"นั้น - ต่างก็ต้องประกอบด้วย
"ปัญญา" จึงจะไปถึง "ความ-รู้"ที่แท้จริงได้...เน๊าะ...
2)...ที่ใช้ตัวเลขเป็นหัวข้อ-แทนที่จะเป็นพยัญชนะนั้น...เพราะว่ามีคนไทยหลายคนนักที่ไม่รู้จักการเรียงลำดับอักษร-พยัญชนะไทยที่ถูกต้อง...
...ครั้งหนึ่งกระผม (ที่ใช้
"กระ"ด้วยกับ"ผม"ก็เพราะ-ถ้าใช้แค่"ผม"ก็อาจกลายเป็นความหมายอื่นได้อีก)
เป็นกรรมการออกข้อสอบรับบรรจุข้าราชการ...เคยเสนอข้อสอบในหัวข้อความรู้/ความสามารถทั่วไป-สำหรับผู้ที่จะมาเป็นข้าราชการ...ที่ไม่ต้องไปสอบพิสูจน์ความรักสถาบัน-ชาติ/ศาสนา/พระมหากษัตริย์อื่นใดให้ยุ่งยากอีก...นั่นคือ...ให้ผู้สมัครเขียนพยัญชนะไทย
-
เรียงลำดับก่อนหลังให้ถูกต้อง...ปรากฏว่า-คณะกรรมการอื่นเค้าไม่เห็นด้วย...เค้าบอกว่า...ตัวเค้าเองที่เป็นข้าราชการระดับบริหารสูงๆ-ก็เขียนนั่นไม่ได้...หุหุหุ...แถมยังย้อนเอาว่า-แล้วกระผมที่เสนอน่ะ...เขียนเรียงพยัญชนะไทยได้มั๊ย?...ผมก็บอกว่าเคยเขียนได้/แต่ตอนนี้ก็เขียนไม่ได้...เหมือนกัน...อิอิอิ...
3) เพราะความเชื่อและศรัทธา -
ที่ไม่มีการยึด"ปัญญา"เป็นแกนในการดำรงไว้นั้น...จึงก่อให้เกิดการเบียดเบียน/ทำร้ายกัน
- ซึ่งขึ้นไปถึงการทำลายล้างและการฆ่ากันและกันของมนุษย์...
...มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจอย่างยิ่ง - ที่มนุษย์ประกาศที่จะฆ่ากันเพราะ
- ความเชื่อ/ศรัทธา...ต่อสิ่งที่ตนคิดว่า"ดี/งาม/ประเสริฐ"...
...นั่นไม่ใช่มนุษย์ -ที่ควรจะเป็นไป-แล้ว...
...มนุษย์ - ในความหมายของตะวันตก...คือ human being...คือ
สิ่งมีชีวิตในโลกนี้เค้าใช้คำรวมกันว่าคือ creature ผู้ได้รับการสร้าง...
...แต่คำว่า being นั้นมีสองความหมายใหญ่...อย่างแรก b
ตัวเล็ก - แปลว่า
"ภาวะ"สิ่งที่มีอยู่/เป็นอยู่...แต่ไม่ใช่"ภาวะสมบูรณ์"
จึงมีทุกข์/มีปัญหาให้เกิดทุกข์...
...ถ้า Being คือ b ตัวใหญ่...อันนี้จะหมายถึง
"สัต" สิ่งที่เป็นอยู่; มีอยู่, ที่มีภาวะอันเป็นนิรันดร...เช่น"พรหมัน"ของพราหมณ์...หรือ
"นิพพาน"ของพุทธ...
4) การแสวงหา Being สภาวะอันเป็นนิรันดร...นั้นฝังลึกอยู่ในจิตของ"มนุษย์"มายาวนาน...จนกลายมาสู่
"ลัทธิ"/ความเชื่อถือ - ศรัทธา...อันนำไปสู่ศาสนา...
...และเมื่อเกิดความเชื่อ/ศรัทธาขึ้นมาแล้ว...ก็ทำให้เกิดบรรดา"สิ่งศักดิ์สิทธิ์"...ขึ้น...คือ
สิ่ง/หรือบุคคล ที่จะนำผู้ศรัทธาไปสู่สภาวะ"Being" นั้นได้...เช่น
พุทธเกษตร/สุขาวดี...หรือสวนสวรรค์/สวนอีเดน...ดินแดนของพระเจ้า...ฯลฯ.
...สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมี ๒ ลักษณะใหญ่...คือ ๑)
ประตูสู่/ไปหาพระเจ้า...และ๒) ปูชนียสถาน/อนุสรณ์สถาน -
สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ"ผู้"ที่เราเชื่อ/เคารพ/ศรัทธา...
...และเมื่อใดก็ตามที่เป็น"สิ่ง"ที่กลุ่มชน -
เคารพ/มีความเชื่อและศรัทธาว่าเป็น
"สิ่งศักดิสิทธิ์"...โดยไม่มี"ปัญญา"กำกับไปสู่ -
ความ"รู้"ที่ถูกต้อง/หรือความ"จริง"...เมื่อนั้นก็เกิดการหวงแหน/กีดกัน
ต่อสิ่งที่"สร้างความสกปรกโสโครก"ให้กับสิ่งนั้น...เกลียดชัง/โมโห/เคียดแค้น-โกรธ
ต่อ
ผู้ที่กระทำการดูหมิ่น/เหยียดหยาม/กระทำชั่วช้าสามานย์...ต่อสิ่งที่ตนมีความเชื่อ/ศรัทธา...ว่าศักดิ์สิทธิ์...นั้นๆ...
5) สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ฆ่าฟันทำลายล้างกันตลอดมา...ก็เพราะ
-ความเชื่อ/ความศรัทธา ของตนเอง...และความเกลียดชัง/ไม่เชื่อถือ/ไม่ศรัทธา -
ในผู้อื่น...ในเรื่องของผู้อื่น...
...ความเชื่อ/ศรัทธา...ที่ขาด"ปัญญา"เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว...ก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อ-ผู้อื่นที่ไม่มี"ความคิด/คามเชื่อ/ศรัทธา"เหมือนตน...เมื่อขาดซึ่ง"ปัญญา"ยึดเหนี่ยวรั้ง...ศรัทธาจึงกลายเป็นความ"หลง-โมหะ"...ศรัทธาจึงกลายเป็นเรื่องชั่ว...ไร้ศีล...และไปไม่ถึงศึ่งความ
Being/แดนศักดิ์สิทธิ์/พระเจ้า/นิพพาน...
...พระพุทธเจ้าจึงให้"เชื่อ/ศรัทธา"
และบูชาในพระธรรม...ไม่ใช่ในพระองค์...
...แต่กระนั้น...กิเลสของความ"หลง"...ที่ทำให้เกิดการยึดถือใน"อัตตา"...นั่นเองที่ยังคงมีอยู่ใน"มนุษย์"
ที่มีมาแต่กำเนิด...ที่เมื่อไม่ควบคุมบังคับ-อัตตา-ความหลงนั้นให้อยู่ในเส้นทางไป Being...ก็เวียนวนสร้างซึ่งอกุศลกรรม ...ที่ทำให้พ้นไปจากเส้นทางดังกล่าว...
...และทำร้ายฆ่าฟันความเป็น
"มนุษย์"ซึ่งกันและกัน...ตลอดมา.
6) ปูชนียสถาน -
สถานที่เพื่อการบูชา-เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณกาล...บ้างก็ว่าเป็นประตูสู่อีกมิติ...ที่จะไปถึง/ไปหา"พระเจ้า
หรือ ที่ซึ่ง"พระเจ้าลงมาหา/มาพบ/มาติดต่อ...
...ก็กลายเป็นดุจเครื่องมือ device ที่จะลบล้างความชั่วสามานย์ของตน...และได้รับการยอมรับจาก"พระเจ้า"....หรือ"ตัดกรรม/ล้างกรรม/ล้างบาป"ที่ตนกระทำไปแล้วได้...
...ทั้งๆที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ว่า...สิ่งเหล่านี้คือ
สังเวชนียสถาน...แปลตรงตามคำได้ว่า
"สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช"
...สังเวช ก็แปลว่า ความสลดใจ, ความกระตุ้นให้คิด, ความรู้สึกเตือนสำนึก;
ในทางธรรม ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้...
...ดังนั้น - ปูชนียสถาน
จึงทำให้เกิดการฆ่ากันของมนุษย์...
...แต่ สังเวชนียสถาน มีแต่ทำให้ยุติการฆ่ากันของมนุษย์...
7) รวบรัดตัดความ...มาถึงสิ่งที่เรียกว่า "curiosity
killed the cat" - แปลว่า
ความอยากรู้อยากเห็นนั่นแหละ-ที่ฆ่าแมว...หรือเป็นสาเหตุให้แมวถูกฆ่า...อิอิอิ...
...เป็นสันดานแมวววๆๆของกระผมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอ่ะแหละ...แบบว่าลืมตาจำความได้ก็เห็นแมวตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างมุ้งทุกคืนแล้วอ่ะนะ...ทำเสียงกืดๆๆๆอยู่ข้างหู...อิอิอิ...
...กระผมไม่ได้อยากรู้อยากเห็น -
หรือสอดรู้สอดเห็นในการกระทำของผู้อื่น/หรือสิ่งอื่นหรือในเรื่องของผู้อื่นนะ....ตามความหมายของ
curiosity เบื้องแรกที่แท้คือ
"ความอยากรู้"...ไม่มีสร้อยความต้อท้ายให้ความหมายบิดเบือนไปในทางลบ
เช่น อยากเห็น...curious แปลได้อีกอย่างว่า (ต่อสิ่ง)หายาก,
แปลก, ผิดธรรมดา...
...ช่วยไม่ได้แหละ...เพราะเช่นนั้น -
ทั้งชีวิตของกระผมตลอดมาจนถึงหัวที่มีผมน้อยลงไปเรื่อย-ไม่ค่อยหงอก...มีแต่ร่วง...จึงมีแต่เรื่อง
"สงสัย"และอยากรู้ไปตลอด...
...ยิ่งสมัยก่อนมีแต่การสื่อสารไม่กี่อย่าง...แค่ฟังกับดูในสิ่งที่เค้าบันทึกไว้กันในวงแคบ...ได้ฟังผ่านวิทยุ/ได้ดูผ่านหนังกลางแปลงและหนังโรง/และได้อ่านจากหนังสือ...ซึ่งก็เป็นวงแคบเพราะเครื่องมือสื่อสารที่ยังไม่พัฒนาได้มาก...ไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้นะครับ
- แต่ไม่สามารถผลิตสิ่งที่ตนคิดออกมาได้...
...ความสงสัยของกระผมเป็น curiosity...ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดเสนอหน้าออกมา...พูดหรือแถลงการณ์หรือแสดงความคิดในเรื่องต่าง...ที่กระผมฟัง/ดูแล้วว่า...มันไม่ใช่/มันผิดตรรกะ/มันขัดแย้งจากข้อมูล-ตำรา-หรือความคิดของกระผมที่ได้อ่าน/ดูในสิ่งเดียวกันนั้นมา...คือหนังสือเล่มเดียวกันนั่นแหละ...แต่กระผมอ่านแล้ว-เข้าใจไม่ตรงกับท่าน...ในภาษาคน-เช่นเดียวกัน...หุหุหุ...
...ก็เลยต้องสงสัย/ก็เลยต้องอยากรู้....ตามสันดานแมวววว...
...คือ
กระผมไม่เชื่อในอะไรที่ใครมาบอกง่ายๆกับกระผม...ถึงจะเป็นกระผมจะชอบควาาาาาายยยยและชอบทำตัวเป็นควาาาาายยยยยมากก็ตาม...
...แม่เคยตำหนิกระผมตอนเด็กว่า...ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก...ผมกอดแม่แล้วก็ตอบว่า...ก็หนูเป็นลูกแม่ไงอ่ะ....(ไม่ใช่ลูกพ่อ)และที่กอดไว้นั้นเป็นการป้องกันเท้าขวา/มือขวาของแม่ที่ว่องไวมาก...อิอิอิ
...ตอนเรียน - ชมรมโต้วาทีเค้ามักจะเชิญกระผมไปโต้ด้วยเสมอ...กระผมมักจะเลือกเป็นสมาชิกชมรมกีฬาหรือดนตรี...คือกระผมเป็นนักค้านที่น่าสนใจมาก...และมีความสามารถในการค้านได้ทุกเรื่อง...
..มีอยู่ครั้งหนึ่งเค้าตั้งหัวข้อว่า
"รวยหรือจน - อะไรดีกว่ากัน?"...เค้าก็เสนอมาให้กระผม...กระผมก็ก็บอกกลับไปว่า
-
พวกท่านในชมรมเลือกฝั่งก่อนได้เลย...กระผมโต้ได้ทั้งสองฝั่งอ่ะแหละ...เค้าก็เลือก"รวย"
- แล้วส่งหนังสือว่า
ความ"จน"คืออะไร-ดีอย่างไร...มาแนะนำการพูดให้กับกระผม...แบบคล้ายๆๆเตี้ยมกันนิดหน่อยเพื่อให้การแสดง"โต้วาที"นั้นประทับใจผู้ฟังและผู้ชม...
...กระผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก -
ที่บ้านกระผมมีหนังสือน้อยกว่าห้องสมุดโรงเรียนแค่สัก ๒๐ เล่มได้อ่ะมั๊ง?...
...ถึงเวลาโต้วาทีบนเวทีห้องเล็ก...ฝ่ายเจ้าภาพก็เสนอตัวที่จะขอ"รวย"ก่อน...ทำนองว่ากระผมผู้เป็นแขกรับเชิญนั้น-อาจารย์ผู้จัด/เจ้าของชมรมงงงถือว่าเป็น"ฝ่ายค้าน"...และ"จน"กว่าบรรดาสมาชิกของขมรมทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว...เป็นการเอาเปรียบพวกเค้าตั้งแต่แรกเห็น...
...ฝ่ายเจ้าภาพก็แสดงความอวด"รวย"-ขุดค้นข้อมูลในกระดาษตามบทที่เขียนไว้ก่อนแล้วอย่างแพรวพราว...ถึงความรวยจะสร้างคุณประโยชน์ให้ผู้คน/และโลกได้อย่างไรในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน....หุหุหุ..ผู้ฟังปรบมือโห่ร้องสนับสนุน
- รวมทั้งอาจารย์ผู้จัดที่ก็แหกยิ้มได้กว้างกว่าแมวของกระผมที่บ้าน...แล้วก็ถึงตา"ความจน"จะลงสนามไปสู้กับสิงโต....
...ผมไม่ได้เตรียมกระดาษจดหรือหนังสืออะไรไปเลย...นอกจากรอยยิ้มนิดนึง...ผมก็เริ่มต้นด้วยคำว่า...ความ"จน"นั้นเป็น"บาป"มาแต่กำเนิด
- จากคำว่าของท่าน 'รงค์
วงษ์สวรรค์...หุหุหุ...และบอกว่า...วันนี้กระผมจะไม่มายกคุณงามความดีของความ"จน"
- เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีใครอยากจน/หรือมีความสุขกับความจน....แต่
วันนี้จะมาโต้วาทีด้วยความ"เลว"ของความ"รวย" -
ความชั่วอุบาทว์สามานย์ของความ"รวย"...ที่มีได้มากกว่าความ"จน"....อิอิอิ...ทั้งห้องประชุมเล็กก็เริ่มนิ่งเงียบ/อาจารย์ก็เริ่มมีเหงื่อไหลเปื้อนแป้งผัดบนใบหน้า...อิอิอิ...
...ผมเริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึง
สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะสละราชสมบัติทุกอย่าง/สละความ"รวย"ทุกอย่างทิ้งไป...เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
- เพราะปรารถนาจะช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์....นั่นย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ไปทั้งโลกแล้วว่า....ความรวย/หรือทรัพย์สมบัติใด
- ก็ช่วยให้สัตว์โลกพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้...อิอิอิ....เสร็จแล้วกระผมก็เริ่มพรรณนาต่อถึงหลัก"ธรรม"และความรวยที่เป็นปัญหาต่อสรรพสิ่งในโลกและทำร้ายผู้คน...และทำให้ผู้คนไกลพ้นจากหลักธรรมของพระพุทธองค์อย่างไร...จนผู้ฟังเหงื่อตกน้ำตาไหลและควันออกหูกันไปทั่ว...
...เมื่อจบการโต้วาทีแล้ว -
ท่านอาจารย์สาวที่ตอนแรกยิ้มสวย-แต่ตอนนี้หน้ายับย่นยุ่งเหยิงและทำตาแดง...ก็กล่าวตัดสินว่าให้เสมอกัน...โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ว่า...ข้อมูลสาระของกระผมนั้นชัดเจนเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างยิ่งจนไม่อาจปฏิเสธได้...แต่นี้เป็นชมรมโต้วาที/คือการแสดงวาทะต่อผู้คน...สิ่งที่กระผมแสดงไปนั้น-แม้เป็นข้อเท็จจริงอันถูกต้องชัดเจนมิอาจเป็นอื่นได้...แต่วาทะวิธีการพูด/การนำมามากล่าวต่อสาธารณชนนั้น
-
อุกอาจก้าวร้าวและไม่มีศิลปะในการจูงใจเป็นอย่างยิ่ง...ทำให้ผู้ฟังเกิดความเกลียดชังในผู้พูด/เกลียดชังในตนเอง/และเกลียดชังในอาจารย์ผู้จัดการโต้วาทีนี้...อิอิอิ...กระผมเลยโดนตัดคะแนน...ให้เสมอกับฝ่ายตรงข้าม...หุหุหุ...แปลว่า
ฝ่ายตรงข้ามแพ้ในเหตุผล/สาระของกาประเด็น-แต่พูดให้ผู้ฟังสบายอกสบายใจได้มากกว่า....อิอิอิ...ตอนให้รางวัลในการแสดงโวหารนี่
-
กระผมอยากโผเข้าไปกอดท่านอาจารย์สาวผู้สุดยอดฝีมือในการปรองดองสมานฉันท์ตัดสินแบบนี้จริงเลย...กระผมปรบมือรับการปรบมือของผู้ฟัง/คู่ต่อสู้....แล้วหันไปยกนิ้ว-ปรบมือให้อาจารย์ผู้ตัดสิน...ยอมรับว่าอาจารย์เป็นนักโต้วาทีที่ลุ่มลึกกว่ากระผมยิ่งนัก...เน๊าะ...
8)หิวข้าวแหล่ว....รวบรัดตัดความ...เรื่องของเรื่องที่เป็นประเด็นวันนี้คือ...เบื่อผู้(อวด)ไม่รู้...ในเรื่อง
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนมุสลิมและยิว...คือ "เยรูซาเล็ม" - Jerusalem....ที่กำลังฆ่ากันอยู่นี้นั่นแหละ...
...อุบาทว์จริงเลยนะ - คนงานไทย ๒
คนที่เสียชีวิตที่กาซ่า...ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลอะไรเลยในการนำ"ศพ"กลับมาสู่ญาติ...มีแต่รัฐบาลต่างด้าวที่ช่วยเหลือและแสดงออกถึงความเสียใจ/สลดใจของตน...ผู้นำประเทศไทย
-
ไม่คิดไม่กระทำแม้แต่จะแสดงออกถึงการเอา"ใจ"ใส่ในชีวิตจิตใจของประชานชนระดับไพร่สามัญทำมาหากิน...ที่ทูตพม่าของเผด็จการทหารมินอ่องหร่ายน่ะ
- นายกฯไปต้อนรับแม่ม!ถึงสนามบินส่วนตัวของทหาร...หุหุหุ....ซวย-เผลอผิดquarantineปาก - คืนนี้โดนเจ้าที่ลงโทษแน่เลย...
9) นครเยรูซาเล็มนั้นเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาก่อน พระเยซู
ด้วยซ้ำ...สร้างเมื่อไหร่อย่างไรก็ช่างเถอะ
....ว่างแล้วจะไปค้นจากหนังสือ"ยิว"ของท่านคึกฤทธิ์ฯมาสรุปให้ทีหลัง...ประโยคหนึ่งในหนัง
Jesus Christ Superstar...ที่ในหนังคือตลาดในวิหารของเยรูซาเล็มเป็นที่ขายยา/ขายอาวุธ/ข้าวยาสุรา/ช้างม้าหมูไก่...และขายตัว/ขายมนุษย์...วันแรกที่Jesus
เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มที่ยกขวนมากับสานุศิษย์จนถึงวิหารและเห็นเช่นนั้นเข้าก็อาระวาดทุกข้าวของขับไล่บรรดาสิ่งสามานย์เหล่านั้นและร้อง(เป็นเพลง)ขึ้นว่า...my
temple should be a House of pray....นั่นแสดงว่ากรุงเยรูซาเล็มเคยเป็นสถานที่-ติดต่อพระเจ้า...ได้เสื่อมทรามลง...และกลับมาฟื้นคืนก็ด้วยjesusสอนสั่งในภายหลังต่อมา...
...แล้วอิสลามิกชนล่ะ...?
10) ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นภายหลังศาสนาคริสต์ประมาณ ๖๐๐ ปี...และศาสนาคริสต์ก็เกิดขึ้นภายหลังศาสนาพุทธก็ประมาณ
๕๔๓ ปี...ถ้ารวมเอาถึงตอนพระพุทธเจ้าประสูติก็ประมาณ ๖๐๐ ปีเช่นกันอ่ะแหละ...
...นั่นแปลว่า...เยรูซาเล็ม
อยู่ตรงนั้นก่อนที่ผู้คนจะอ้างพระเยซูมายึดครอง...แต่รากแล้วเยรูซาเล็มย่อมเป็นของคนยิวสร้าง-และยิวก็ไม่ใช่คริสตชน...แต่เมื่อมีศาสนาอิสลามบังเกิดขึ้นและการเผยแพร่ศาสนาปะทะกันเข้ากับคริสต์...
...คือทั้งสองศาสนา-คริสต์และอิสลามทำสงครามครูเสด...แย่งชิงนครเยรูซาเล็มกัน/ฆ่าฟันกันมาหลายร้อย/พันปี...ผลัดกันครอบครองและก็สร้างปูชนียสถานของศาสนาตนเอาไว้ทั้งคู่...
...แต่ต้นเดิมนั่นคือ - ยิว ศาสนา จูดาย...มาก่อนทั้งสองศาสนาใหม่...
...ดังนั้น เยรูซาเล็ม จึงมี ๓ ฝ่ายของความศักดิ์สิทธิ์...และทั้ง ๓
ฝ่ายนี่แหละ -
ก็มี"พระเจ้า"องค์เดียวกันด้วย...และก็ฆ่ากันเพื่อความศักดิ์สิทธิ/อ้างว่าตนถูกต้อง
- ในวิธีการไปหา - พระเจ้า...หุหุหุ
...ดังนั้น - ด้วยความที่เป็น
"พระเจ้า"องค์เดียวกัน...นี่แหละ...เพราะเช่นนั้น
"ประตู"ขึ้นไปหาพระเจ้า/และที่พระเจ้าจะลงมาหา...ก็เลยอยู่ที่เดียวกัน...
...แต่ด้วยความที่ -
ผู้นำคำ"พระเจ้า"มาถ่ายทอดมาสั่งสอนผู้คน...คนละคนกัน....และพูดไม่เหมือนกัน...และยึดว่าฝ่ายอื่นคือศัตรูที่มาทำความแปดเปื้อนต่อสิ่งที่ตนศรัทธา...และการยึด"อัตตา"ของพวกตนนั่นเอง....ที่การไปพบพระเจ้าคือ...การต้องเข่นฆ่าผู้อื่นที่ทำความสกปรกเป็นเชื้อไวรัสสามานย์ต่อเราก่อน...หุหุหุ...แน่ใจนะว่าเป็น"พระเจ้า"...เป็น
Being...
11) ที่นี้...ปูชนียสถานที่เยรูซาเล็มนั้นก็ย่อมไม่ใช่สังเวชนียสถานของศาสดาของอิสลามสิ...แต่เป็นสังเวชนียสถานของยิวและคริสต์...เพราะศาสดาของยิวและคริสต์เคยเสด็จมาติดต่อพระเจ้า
-ที่กรุงเยรูซาเล็ม...แต่ไม่ใช่พระมะหะหมัดซึ่งมาทีหลัง...แต่เยรูซาเล็มเป็น -
ประตูมิติสู่พระเจ้า
...และอิสลามิกชนก็เคยสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อพบ"พระเจ้า"ไว้ด้วย
- ในสมัยเมี่อกองทัพอิสลามเรืองอำนาจ...บุกเข้ามายึดครองกรุงนี้...
...โชคดีนะ - ของศาสนาพุทธนี่....มีค?????อุ๊ย!
ไหนๆคืนนี้ก็โดนเจ้าที่ตบกระโหลกอยู่แล้ว...มีพวกควาาายยยอยู่กลุ่มนึงบอกว่า...ประตูขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่แถว
ประตูน้ำพระอินทร์/รังสิตปทุมนี้เอง...แต่ต้องจ่ายค่าผ่านประตูกันมั่ง...เท่านั้นแหละ...
12) ทีนี้ - ความต่อจากนี้ไป...ขอยืนยันว่าเป็นการกระทำด้วยความ"อยากรู้"อันยึดที่"ปัญญา"...ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น"ศาสนา"อันมีผู้คนมากมายนับถือ
- แต่ประการใด...แต่ด้วยความ curiosity เท่านั้น...
...ที่ว่าอยากรู้ก็คือ...แล้ว"สถานที่ศักดิ์สิทธิ์"ตามคำสอนของพระศาสดา...หรือสถานที่พระศาสดามะหะหมัด
- ได้พบกับพระเจ้า...เหมือนโมเสส หรือ Jesus นั้นคือที่ใด...อย่าลืมนะครับ...ว่าโมเสสก็บนเขา-และก็ไม่ใช่เยรูซาเล็ม...Jesusเองสถานที่เกิดอย่างเบ็ธเลเฮม -
ก็ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์...มีตำนานอยู่บ้าง – ว่าJesusในวัยเด็กไปที่ตลาดเยรูซาเล็มกับบิดาและพลัดหลงายไป
๓ วัน...ก่อนที่บิดาจะมาพบว่ากำลังแสดงธรรมอยู่ที่มุมหนึ่งของเมือง...หุหุหุ...แต่ประวัติของJesusนั้นบอกว่าท่านเสด็จหายไปในทะเลทรายหลายสิบปี...กลับมาก็แสดงธรรม/ประกาศธรรมเลย...
...แต่พระนะบี มูหะหมัดนั้น – บอกไว้ว่าท่านทรงอึดอัดใจจึงขึ้นไปบนเขาในถ้าำแล้วเจอเทวทูต/หรือพระเจ้า...มาแสดงธรรมโปรด...เมื่อลงมาก็ป่วยเป็นไข้หลายวัน...แล้วก็ฟื้นคืนมา-และขึ้นเขาไปพบพระเจ้านั้นอยู่อีกหลายครั้ง...จึงมารวบรวมเป็นพระวิวรณ์
- revelation...รวบรวมหลักธรรมที่พระเจ้าตรัสสอน...มาประกาศ/สอนผู้คนให้เข้าสู่ทางธรรม...
...ดังนั้น...สถานที่พบพระเจ้า/ประตูสู่มิติ...ดั้งเดิมสมัยพระนะบี มูหะหมัดนั้น...ไม่ใช่เยรูซาเล็มนั่น...แล้วที่ไหนล่ะ...?
13) สมัยรับราชการ -
กระผมเดินทางไปทำงานแถมด้ามขวาน....มีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าพักที่โรงแรมขนาดใหญ่ในจังหวัดหนึ่ง(เจ้าของเป็น
ส.ส.ดัง-โดนเค้าหาว่าบุกรุกป่าชายเลนตรงที่เอามาสร้างโรงแรมนี่แหละ)...พอนอนบนเตียง
-
เงยหน้าไปเห็น...ลูกศรชี้เฉียงกับเตียงอยู่อันหนึ่ง...หุหุหุ...ก็ต้องสงสัยตามสันดานแมวอีกอ่ะแหละ...
...พอลงมาทานอาหารกับเจ้าหน้าที่ร่วมงานคนพื้นถิ่น...เลยถามเรื่องลูกศรนี้...เค้าบอกว่า...เป็นลูกศรชี้ไปที่
เม็กกะ - สถานที่ศักดิสิทธิ์ที่มุสลิม/อิสลามิกชนเวลาสวดภาวนาละหมาด...ต้องหันหน้าไปทางนั้น...ก็โอเค...เข้าใจล่ะ...เพราะอิสลามนั้นการทำละหมาดสามารถทำได้ทุกสถานที่....ไม่ใช่ว่าต้องสวดกันที่วัดหรือห้องพระแบบของเรา...ขอให้เป็นสถานที่ที่สะอาด/บริสุทธิ์ตามคำสอนเท่านั้น...เลยต้องมีลูกศรชี้บอก
- เพื่อความถูกต้อง/สะดวก....ไม่ต้องไปหาเอง...
14) ทีนี้...ก็เป็นที่เข้าใจล่ะว่า...เมกกะ
คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม...ที่มุสลิมทุกคนต้องกราบไปทางนั้น...
...แล้วทำไมถึงต้องไปแย่งชิงเยรูซาเล็มถึงขนาดฆ่ากันตายล่ะ...
...แล้วสถานที่พระมะหะหมัดพบพระเจ้านั้น...ก็ไม่ใช่ที่ เมกกะล่ะ...
...แล้วทำไมถึงลูกศรชี้ไปที่เมกกะ/มุสลิมเดินทางไปฮัดจีย์ที่เมกกะ...แล้วอะไรคือหินกาบะ...
...เห็นมั๊ยว่า -
แมวววนี้หาเรื่อง"อยากรู้"จนจะโดนกระทืบจนได้แหละ...
...คือ ถ้าไม่มีผู้"อวด"-ความไม่รู้...ไม่ออกมาเสนอหน้าพล่ามบ้าๆบอๆทางสื่อโซเสี้ยน/ทีวีอะไรอ่ะ...จนแมวววรำคาญแล้ว
- แมวก็ไม่อยากรูอะไรนะกหนาหรอก...เพราะ"รู้"อยู่แล้ว...
...แต่ลูกศรที่ว่านัน -
ไม่ได้ชี้ไปที่เม็กกะ...ทุกอัน...แถมบางอันของลูกศรในสถานที่ละหมาดสำคัญก็มีบางอันชี้ไปที่
เยรูซาเล็ม...หุหุหุ...
15) แปลว่า สถานที่พระมูหะหมัดพบพระเจ้านั้น...ไม่ใช่หินกาบะ...คือหินกาบะและเมกกะมาสร้างทีหลังอีกหลายร้อยปี...ว่าเป็นสถานที่นั้น...แต่มีคนค้าน...มีคนสันดานแมววววยิ่งกว่าผมและตามล่าหาหลักฐานย้อมไปถึงอดีตกาลมาแสดงด้วย...เหมือน
Da Vinci's code...
...เกิดมีคนสงสัยและตามล่าว่า...สถานที่พบพระเจ้าของท่านนะบี
มะหะหมัด นั้น...อยู่ที่ไหน?...นี่คือ รายการสารคดีจาก youtube...ที่เม้นท์ข้างล่างนี้...
16) ก็ต้องย้อนกลับมาที่เรื่องลูกศรที่ว่านี้ก่อน...ลูกศรที่ว่านี้มีชื่อว่า qibla*
- กิบลัต..ภาษาอาหรับ แปลว่า
สว่าง/ทิศทาง...เอาจากวิกิพีเดีย-เขียนขึ้นต้นบอกไว้ว่า..."กิบลัต, กิบละฮ์ หรือ ชุมทิศ (อาหรับ: قبلة)
คือทิศที่มุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอดุอาอ์ มุ่งไปยังกะอ์บะฮ์ในนครมักกะฮ์
ประเทศซาอุดีอาระเบีย เดิมกิบลัตอยู่ที่เยรูซาเลมในปาเลสไตน์
แต่เปลี่ยนมาเมื่อสมัยท่านนบีมูฮัมมัด
มุสลิมทั่วโลก
ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใหนก็ตามจะต้องหันหน้ามาทางนี้ เมื่อเวลาละหมาด
จะหันหน้าไปทางทิศอื่นไม่ได้เด็ดขาด นอกจากว่าอยู่ในภาวะจำเป็น เช่น การเดินทาง
ซึ่งไม่ทราบว่าขณะนั้นกิบลัตอยู่ทางทิศใด แต่ต้องมีการเหนียต
(ตั้งใจแน่วแน่) ในใจว่า ขณะนี้เรากำลังหันหน้าไปสู่กิบลัต..."
..ปัญหาที่ว่าคือ ตกลงประตูพบพระเจ้านั้น - ย้ายกันได้ด้วยรึ?...ไม่ใช่-นักค้นคว้าสันดานแมวที่ผมนำมาจาก youtubeนี้บอกว่า...ไม่ใช่...
...เค้ายืนยันว่า qibla ที่อ้างว่าชี้ไปที่นครเยรูซาเล็ม
ก่อนย้ายมาที่ เม็กกะ นั้น...ไม่ถูกต้อง...เพราะสุเหร่าในเยรูซาเล็มก็มี
ลูกศรกิบลัต(มีจุดบ่งชี้ทิศ)ตอนทำละหมาดด้วย...และชีไปยังทิศทางหนึ่ง...คือ?
17) ผู้ค้นคว้า...สืบค้นย้อนกลับไปยังสุเหร่าหรือ
มัสยิดสำคัญทั่วโลก...และเอาทิศทางชี้ของqiblaแต่ละมัสยิดโบราณทั่วโลก...มาวางลงบนแผนที่ยุคดิจิตอล....แล้วคำนวณจุดตัดกันของทิศทางที่ลูกศรชี้ไป...นั้นอยู่ที่ไหน?....
หุหุหุ...แบบ Da Vinci code...อ่ะแหละ...
...แต่ก่อนจะไปถึงจุดที่ว่านั้น...ต้องเข้าใจถึง คำว่า มัสยิด อัล-อาราม
ก่อน...
...มัสยิดอัลฮะรอม (อาหรับ: ٱلْـمَـسْـجِـد الْـحَـرَام;,
"มัสยิดต้องห้าม" หรือ
"มัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์....หรือ Masjid al-Haram (Arabic: اَلْمَسْجِدُ ٱلْحَرَامُ,
romanized: al-Masjid al-Ḥarām, lit.*
...ที่บอกว่า ...คือ เม็กกะ นี้นั้น...สุเหร่าที่เยรูซาเล็ม
มีลูกศรกิบลัตที่ชีไปทางอื่น/คนละทิศด้วย...เป็นมุมแหลม/ไม่ถึงกับทิศตรงข้าม...
...แปลว่า
สถานที่ศักดิสิทธิที่ผู้สอนศาสนารับพระวิวรณ์ต่อๆมาได้...พบพระเจ้าในที่ต่างกันไปจาก...ที่พระนะบี
มะะหมัดพบ...
...เยรูซาเล็ม ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระนะบี
มะหะหมัดพบพระเจ้าครั้งแรก...แล้วที่ไหน?...
...หลายลูกศรกิบลัต
ในมัสยิดโบราณ-บางที่อายุเก่าแก่ก่อนสร้างเม็กกะขึ้นมาใหม่..มีลูกศรชี้ไปไม่ตรงกับทั้ง
เยรูซาเล็มและเมกกะ...แปลว่า สถานศักดิ์สิทธิ์ที่อิสลามิกชนไปประชุมรวมกันในสมัยโบราณ
- เป็นปูชนียสถานนั้น...เป็นที่อื่น...
18) เมื่อนำทิศทางจากลูกศรกิบลัตของมัสยิดสำคัญของเมืองที่มีมาในสมัยโบราณทั้งหลายทั่วโลก...มาวางลง/plotลงบนแผ่นที่ดิจิตอลสมัยใหม่...เพราะโลกมีสัณฐานกลมและแป้น...ถ้าplotในกระดาษจะทำไม่ได้/ทำได้ยาก...(ไม่อธิบายนะ - เรื่องนี้คนทำงานกับแผนที่จะเข้าใจดี...ซึ่งกระผมก็เป็นผู้หนึ่งด้วย....เพราะมีหน้าที่วางผังออกแบบชุมชนเพื่อ"การปฏิรูปที่ดิน"ให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้...เน๊าะ)...
...ทุกทิศทางของลูกศรกิบลัตที่ว่า...ตรงไปรวมจุดโฟกัส/ที่เดียวกัน...แม้กระทั่งของเยรูซาเล็ม....คือ
petra...แห่ง จอร์แดน...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...*
19) เยรูซาเล็ม - ไม่ใช่ masjid al haram...ของพระนะบี มะหะหมัด...ถ้าเปรียบเทียบกับพุทธศาสนา...ก็คือ
พุทธะคยา/ใต้ต้นมหาโพธิ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา คือเพ็ญเดือน ๖ ตอนตี ๕...
...แต่ petra คือ
พุทธะคยา...คือ masjid al haram...แห่งแรก...
...ที่ผู้ค้นคว้าว่าไว้ใน youtubeข้างล่างนี้...
...ดังนั้น...จงเลิกฆ่า/ทำลายความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน...แล้วอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์ใดกันเถิด...
...เส้นทาง"ธรรม"อันถูกต้องที่จะนำไปสู่
"พระเจ้า/นิพพาน/สวนสวรรค์อีเดน" มีแค่เพียงก็ด้วย ยานพาหนะที่ชื่อ
"ปัญญาญาณ" เท่านั้น...