หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (31)

           พระเจ้ารังสรรค์อาร์ราคิสเพื่อฝึกฝนผู้มีศรัทธา.

---จาก “ปัญญา แห่ง มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

ในความสงัดของถ้ำนั้น, เจสสิกา ได้ยินเสียงขัดสีของทรายบนก้อนหินขณะที่ผู้คนเคลื่อนที่ไป, นกในที่ห่างไปส่งเสียงเรียก, สติลจาร์ได้บอกไว้ว่านั่นเป็นสัญญานของผู้ระวังยามของเขา.

แผ่นพลาสติกมหึมาที่ใช้ปิดผนึกได้ถูกย้ายออกจากช่องเปิดของถ้ำ. เธอสามารถมองเห็นการสวนสนามของเงายามเย็นทั้งหลายข้ามริมขอบของผาหินตรงหน้าของเธอและแอ่งที่เปิดโล่งโพ้นเลยออกไป. เธอสัมผัสรู้ได้ถึงแสงกลางวันกำลังไปจากพวกเขา, สัมผัสรู้ถึงมันในความร้อนแห้งเช่นเดียวกันกับเงาทั้งหลายนั้น. เธอรู้ว่าความตื่นรู้ที่เธอได้ฝึกฝนมาในไม่ช้านี้ก็จะให้อะไรแก่เธอในสิ่งที่ฟรีเมนอย่างชัดแจ้งมี---ความสามารถที่จะสัมผัสรู้กระทั่งความเปลี่ยนแปลงอย่างเบาบางที่สุดในความชื้นของอากาศ.

พวกเขาช่างรีบร้อนมากเหลือเกินที่จะรัดแน่นสติลล์สูทของพวกเขาเมื่อถ้ำได้ถูกเปิดออก!

ลูกไปภายในถ้ำ, ใครบางคนเริ่มต้นการสวดภาวนา:

         “อิมา ตราวา โอโคโล!

         ไอ โคเรนจะ โอโคโล!

เจสสิกา แปลอย่างเงียบ: เหล่านี้คือเถ้าธุลี! และเหล่านี้คือรากทั้งหลาย!

พิธีศพสำหรับจามิสได้เริ่มต้น.

เธอมองออกไปยังดวงอาทิตย์อัสดงของอาร์ราคีน, ยังฉากชั้นดาดฝั่งทั้งหลายของสีสันในท้องฟ้า. กลางคืนกำลังเริ่มต้นที่จะขับเงามืดของมันออกมาไปตามเหล่าหินห่างไกลและเหล่านูนทราย.

กระนั้นความร้อนระอุก็ยังคงดื้อดึง.

ความร้อนระอุบังคับความคิดของเธอหวนไปหาน้ำและความเป็นจริงที่ถูกพบสังเกตว่าผู้คนทั้งปวงนี้สามารถที่จะถูกฝึกฝนให้อยู่ในความกระหายเพียงแค่เวลาที่ถูกให้มาเท่านั้น.

กระหาย.

เธอสามารถจำได้ถึงคลื่นแสงจันทร์บนคาลาดานเหวี่ยงเสื้อคลุมสีขาวไปบนเหล่าก้อนหิน.....และลมพัดหนักด้วยความชื้น. ตอนนี้สายลมเอื่อยที่ลูบไล้นิ้วมืออยู่ที่เสื้อคลุมของเธอเผาแผดกับรอยช่องที่ผิวหนังเปิดเผยโผล่ออกที่แก้มและหน้าผากของเธอ. ที่อุดจมูกอันใหม่ทำความรำคาญให้เธอ, และเธอพบว่าตนเองรู้สึกมากเกินไปกับหลอดท่อที่พาดข้ามใบหน้าของเธอลงเข้าไปในชุดสูทนั้น, กู้คืนความชื้นจากการหายใจของเธอ.

ชุดสูทนี้ตัวมันเองก็คือกล่องเก็บเหงื่อ.

“ชุดสูทของเจ้าจะเป็นที่สบายได้มากยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าได้ถูกปรับเข้าไปสู่การมีน้ำจำนวนน้อยลงบรรจุอยู่ในร่างของเจ้า,” สติลจาร์บอก.

เธอรู้ว่าเขาพูดถูก, แต่คมรู้นั้นทำให้ชั่วขณะนี้ไม่ได้สะดวกสบายใดขึ้นอีก. การหมกหมุ่นของจิตไร้สำนึกกับน้ำของที่นี่นั้นมีน้ำหนักถ่วงจิตใจของเธออยู่. ไม่, เธอแก้ไขให้ถูกต้องกับตนเอง: มันเป็นการหมกหมุ่นกับความชื้น.

และนั่นยิ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง.

เธอได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาหา, หันไปพบกับ พอล ออกมาจากส่วนลึกของถ้ำนำทางมาโดยเด็กสาวใบหน้ารูปไข่ชานิ.

มีอีกสิ่งหนึ่ง, เจสสิกา คิด. พอล ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับผู้หญิงของพวกเขา. หนึ่งในผู้หญิงทะเลทรายเหล่านี้จะไม่ทำหน้าที่เช่นภริยาต่อดยุค. เป็นได้แค่สนม, ใช่, แต่ไม่ใช่เช่นภริยา.

แล้วเธอก็สงสัยกับตนเอง, คิดไปว่า: ข้าได้ติดเชื้อกับแผนการทั้งหลายของเขา? และเห็นว่าดีเช่นไรที่เธอได้อยู่ในเงื่อนไขกำหนดนั้น. ข้าสามารถคิดถึงเรื่อความจำเป็นในการสมรสของราชศักดินาโดยปราศจากครั้งหนึ่งที่น้ำหนักตกมาที่ตัวข้าเองกับการเป็นสนม. ใช่.....ข้าเป็นมากกว่าสนม.

“ท่านแม่.”

พอล หยุดตรงหน้าของเธอ. ชานิยืนอยู่ที่ข้างข้อศอกของเขา.

“ท่านแม่ทราบหรือไม่ว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันที่ข้างหลังนั่น?”

เจสสิกา มองที่รอยมืดของดวงตาของเขาจ้องออกมาจากหมวกคลุมหัว. “แม่คิดว่ารู้.”

ชานีพาข้าไปดู...เพราะว่าข้าควรจะได้เห็นมันและให้...คำอนุญาตของข้าต่อการชั่งน้ำหนักของน้ำนั้น.”

เจสสิกามองดูชานี.

“พวกเขากำลังกู้คืนน้ำของจามิส,” ชานิพูด, และเสียงเรียมแผ่วของเธอออกมาจากช่องจมูกผ่านที่อุดจมูกนั้น. “มันเป็นกฎ. เนื้อเป็นของผู้นั้น, แต่น้ำของเขาเป็นของเผ่า.....นอกจากในการประลองยุทธ.”

“พวกเขาบอกว่าน้ำนั้นเป็นของข้า,” พอล พูด.

เจสสิกา สงสัยว่าทำไมเรื่องนี้น่าจะทำให้เธอตื่นตัวอย่างฉับพลันและระมัดระวังถึงอันตราย.

“น้ำจากการประลองยุทธตกเป็นของผู้ชนะ,” ชานิพูด. “มันเป็นเพราะเจ้าต้องต่อสู้อย่างเปิดเผยเปลือยเปล่าปราศจากสติลล์สูท. ผู้ชนะเองก็ต้องได้น้ำของเขาคืนกลับมาจากการสูญเสียไปในขณะต่อสู้.”

“ข้าไม่ต้องการน้ำของเขา,” พอล พึมพำ. เขารู้สึกว่าเขาได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพมากมายที่กำลังเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่องในหนทางที่ไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับดวงตาข้างในนั้น. เขาไม่สามารถเป็นที่แน่นอนในอะไรที่เขาจะทำ, แต่หนึ่งสิ่งที่เขาแน่ใจ: เขาไม่ได้ต้องการน้ำนั้นที่คั้นกลั่นออกมาจากเนื้อของจามิส.

“มันเป็น.....น้ำ,” ชานิพูด.

เจสสิกา ประหลาดใจกับวิธีที่เธอพูดมัน. “น้ำ.” ช่างมีความหมายมากมายมายในเสียงง่ายๆนั้น. สัจพจน์เบเน เกสเสอริตมาสู่จิตของ เจสสิกา: “การรอดชีวิตเป็นความสามารถที่จะว่ายไปในน้ำเชี่ยวกราก.” และ เจสสิกา คิด: พอล และข้า, เราต้องค้นหารกระแสทั้งหลายนั้นและแบบแผนทั้งหลายในน้ำอันแปลกถิ่นเหล่านี้.....ถ้าเราต้องการที่จะรอดชีวิต.

“ลูกจะยอมรับน้ำนั้น,” เจสสิกา พูด.

เธอจดจำน้ำเสียงในวาจาของเธอนั้นได้ง เธอได้ใช้น้ำเสียงเดียวกันกับเมื่อครั้งที่ใช้ต่อลีโต, บอกดยุคผู้ล่วงไปแล้วในตอนนี้ของเธอว่าเขาจะยอมรับสิ่งเสนอก้อนมหึมาสำหรับความสนับสนุนของเขาในการเสี่ยงที่ยังไม่มีคำตอบ---เพราะว่าเงินจะทำให้ธำรงอำนาจไว้ได้สำหรับอะไทรดิส.

บนอาร์ราคิส, น้ำคือเงิน. เธอเห็นนั้นอย่างกระจ่างชัด.

พอล ยังคงนิ่งเงียบอยู่, รู้แล้วว่าเขาจะทำอย่างที่เธอสั่ง---ไม่ใช่เพราะเธอได้สั่งมัน, แต่เพราะน้ำเสียงของวาจาของเธอนั้นได้บังคับให้เขาที่จะทบทวน-ประเมินใหม่. การปฏิเสธน้ำจะเป็นการทำลายการยอมรับข้อปฏิบัติของฟรีเมน.

ทันทีนั้น พอล ก็หวนนึกได้ถึงคำแห่ง 467 คาลิมะ(467 kalima*)ในคัมภีร์ไบเบิ้ล อ.ซ ของหยัว. เขาพูด: “จากน้ำที่ทั้งหมดชีวิตได้เริ่มขึ้น.”

เจสสิกา จ้องมองที่เขา, เขาไปเรียนคำกล่าวอ้างอิงนั้นมาจากที่ไหนหรือ? เธอถามตนเอง. เขายังไม่ได้ศึกษาศาสนเวทย์ทั้งหลายเลยนี่นา.

“เช่นนั้นมันได้ถูกกล่าวไว้,” ชานิพูด. “จิอูดิคาร์ มานเตเน(giudichar mantene*): มันได้ถูกเขียนไว้ในชาฮ์-นามะ(Shah-nama) ว่า น้ำ เป็นอย่างแรกของสิ่งทั้งหมดที่ได้ถูกรังสรรค์ขึ้น.”

อย่างไม่มีเหตุผลเธอสามารถอธิบาย(และนี้รบกวนใจเธอยิ่งไปกว่าความสัมผัสรู้), เจสสิกาทันทีนั้นตัวสั่นเทา. เธอหันหนีไปเพื่อซ่อนความสับสนของเธอและก็พอดีกับถึงเวลาได้เห็นอาทิตย์อัสดง. ภัยพิบัติรุนแรงของสีสันหลั่งท่วมท้องฟ้านั้นขณะที่ดวงอาทิตย์หยดลงไปใต้เส้นขอบฟ้า.

“ได้เวลาแล้ว!

เป็นเสียงของสติลจาร์ดังกังวานในคูหาถ้ำ. “จามิสคืออาวุธที่ได้ถูกฆ่า. จามิสได้ถูกเรียกโดยท่าน, โดย ไช-ฮูลุด, ผู้ได้บัญญัติลิขิตดิถีของจันทราทั้งหลายที่ถดถอยแสงลงใแต่ละวัน---จนที่สุด---ปรากฏซึ่งดุจโค้งงอและเหี่ยวเฉาของกิ่งก้านต้นไม้ทั้งหลาย.” เสียงของสติลจาร์ลดต่ำลง. “เช่นกระนั้นที่เป็นกับจามิส.”

ความเงียบตกลงมาเหมือนผ้าคลุมบนคูหาถ้ำนั้น.

เจสสิกา มองเห็นเงา-สีเทาเคลื่อนไหวของสติลจาร์เหมือนร่างของผีภายในความมืดภายในที่ไปถึง. เธอเหลือบมองกลับมาที่แอ่งลุ่ม, สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบ.

“เพื่อนทั้งหลายของจามิสจะเข้ามา.” สติลจาร์กล่าว.

เหล่าทหารเคลื่อนไหวด้านหลังของ เจสสิกา, ทิ้งม่านลงพาดผ่างช่องเปิดของถ้ำ. ลูกโคมเรืองแสงดวงเดียวถูกจุดขึ้นเหนือหัวไกลไปทางด้านหลังนี้ถ้ำ. แสงเรืองสีเหลืองของมันสาดส่องให้เห็นร่างของมนุษย์ที่ไหลหลั่งกันมา. เจสสิกา ได้ยินเสียงเสียดส่ายของเสื้อคลุมเหล่านั้น.

ชานิก้าวถอยออกไปราวกับว่าถูกดึงโดยแสงไฟนั้น.

เจสสิกา ก้มเข้าไปใกล้หูของ พอล, พูดในรหัสของครอบครัว: “ตามพวกเขานำไป; ทำอย่างที่พวกเขาทำ. มันจะเป็นพิธีกรรมง่ายๆเพื่อปลอบโยนเงาของจามิส.”

มันจะเป็นมากไปกว่านั้น, พอล คิด. และเขารู้สึกถึงความสัมผัสรู้กำลังบิดดึงอยู่ภายในสติ

ของเขาราวกับว่าเขาได้กำลังพยายามที่จะคว้ากุมบางอย่างในการเคลื่อนไหวและแสดงแต่งเติมมัน

เป็นไร้การเคลื่อนไหว.

         ชานิเคลื่อนอย่างเร็วเบากลับมายังข้างกายของ เจสสิกา, จับมือของเธอ. “มา, เสย์ยาดินา. เราต้องนั่งแยก.”

         พอล มองดูพวกเขาเคลื่อนจากเข้าไปสู่ในเงามืดเหล่านั้น, ปล่อยทิ้งให้เขาอยู่ตามลำพัง. เขารู้สึกถูกทอดทิ้ง.

         ชายผู้ที่ได้ติดม่านปิดกั้นนั้นเข้ามายังข้างเขา.

         “มา. อูซุล.”

         เขายอมให้ตนเองถูกนำไปข้างหน้า, ให้ถูกดันเข้าไปในวงกลมของผู้คนที่ก่อรูปอยู่รอบสติลจาร์, ผู้ยืนอยู่ภายใต้ลูกโคมกลมเรืองแสงและข้างมัดห่อหนึ่ง, โค้ง, และรูปทรงเป็นมุมรวมเข้ากันอยู่ใต้เสื้อคลุมหนึ่งบนพื้นหิน.

หมู่ทหารหมอบคู้ลงตามการส่งสัญญานของสติลจาร์, เสื้อคลุมของพวกเขาส่งเสียงเสียดส่ายไปกับการเคลื่อนไหวนั้น. พอล ตั้งรกรากลงกับพวกเขา, เฝ้าดูสติลจาร์, สังเกตถึงวิธีที่ลูกโคมกลมเหนือศีรษะทำให้เกดหลุมดำที่เบ้าตาของเขาและแสงจ้าสัมผัสของผ้าสีเขียวที่คอของเขา. พอล ย้ายความสนใจของเขาไปยังเสื้อคลุมที่ปิดกองเนินที่เท้าของสติลจาร์, จำได้ถึงด้ามจับของพิณบาลิเส็ทโผล่ยื่นออกมาจากผ้านั้น.

“วิญญาณได้ไปจากน้ำของร่างนี้เมื่อดวงจันทร์แรกได้ขึ้น,” สติลจาร์เปล่งเสียงขับขาน. “เช่นนี้มันได้ถูกกล่าวไว้. เมื่อเราเห็นดวงจันทร์แรกขึ้นในราตรีนี้, ผู้ใดหรือจะที่มันเรียกไปหรือ?”

จามิส,” หมู่ทหารตอบรับ.

สติลจาร์หมุนร่างเป็นเต็มวงกลมบนหนึ่งส้นเท้า, ผ่านสายตาจ้องจับของเขาพาดไปตามใบหน้าทั้งหลายของวงล้อมนั้น. “ข้าเป็นสหายของจามิส,” เขาพูด. “เมื่อยานบินเหยี่ยวนั้นโฉบอยู่เหนือพวกเราที่ รู-ใน-หิน, มันเป็นจามิสที่ดึงลากข้าไปสู่ที่ปลอดภัย.”

เขาค้อมร่างลงยังกองที่ข้างกายเขานั้น, ดึงเสื้อคลุมนั้นออกไป. “ข้ารับเอาเสื้อคลุมนี้เฉกเช่นเพื่อนคนหนึ่งของจามิส---ตามสิทธิของผู้นำ.” เขาแขวนห้อยเสื้อคลุมนั้นเหนือไหล่บ่า, ยืดร่างขึ้น.

ตอนนี้, พอล เห็นสิ่งภายในทั้งหลายของกองพะเนินนั้นเผยออก: สีเทาซีดระยิบระยับของสติลล์สูท, คนโฑน้ำบุบบี้หนึ่ง, ผ้าโพกหนึ่งที่มีหนังสือเล่มเล็กในตรงกลางของมัน, ด้ามไร้คมมีดของกริชคไน้ฟหนึ่ง, ฝักที่ว่างเปล่าอันหนึ่ง, เป้พับอันหนึ่ง, เข็มทิศพารา, กล่องดิสตรานใบหนึ่ง(distrans* - กล่องใส่สัตว์ส่งข่าว), เครื่องตบพื้นหนึ่ง, ตะขอทั้งหลายขนาดเท่ากำปั้นกองหนึ่ง, สิ่งของจัดแบ่งกองเหมือนหินก้อนเล็กภายในห่อพับของผ้า, ก้อนของมัดขนนกทั้งหลาย...และพิณบาลิเส็ทเผยให้เห็นอยู่ข้างเป้พับนั้น.

แล้วจามิสก็เล่นพิณบาลิเส็ทด้วย, พอล คิด. เครื่องดนตรีนั้นทำให้เขาหวนนึกถึงเกอร์นีย์ ฮัลเล็คและทั้งหมดนั่นที่สูญเสียไปแล้ว. พอล รู้ด้วยความทรงจำของเขาของอนาคตในอดีตที่บางเส้น-โอกาสทั้งหลายสามารถผลิตสร้างการพบกันกับฮัลเล็ค, แต่การกลับมารวมชุมนุมทั้งหลายกันอีกนั้นน้อยนิดและอยู่ในเงามืด. พวกนั้นทำให้เขางวยงง. องค์ประกอบที่ไม่แน่นอนได้สัมผัสเขาด้วยความพิศวง. นี่มันหมายถึงบางอย่างที่ข้าจะทำหรือ.....ว่าข้าอาจทำ, สามารถทำลายเกอร์นีย์.....หรือว่านำเขากลับมาสู่ชีวิต.....หรือ.....

พอล กลืนน้ำลาย, สั่นศีรษะของตน.

อีกครั้ง, สติลจาร์ค้อมร่างลงเหนือกองสิ่งของนั้น.

“สำหรับผู้หญิงของจามิสและยามพิทักษ์ทังหลาย,” เขาพูด. พวกก้อนหินเล็กนั้นกับหนังสือได้ถูกเก็บเข้าปำว้ในพับเสื้อคลุมของเขา.

“สิทธิของผู้นำ,” หมู่ทหารนั้นขับขาน.

“เครื่องหมายสำหรับการบริการกาแฟของจามิส,” สติลจาร์พูด, และเขายกจานแบนทำด้วยโลหะสีเขียวอันหนึ่งขึ้น. “นั่นจะถูกมอบให้แก่อูซุลในพิธีอันเหมาะสมเมื่อเรากลับถึงสิฐคามแล้ว.”

“สิทธิของผู้นำ,” หมู่ทหารขับขาน.

ท้ายสุด, เขาหยิบเอาด้ามมีดกริชคไน้ฟและยืนขึ้นกับมัน. “สำหรับทุ่งฝังศพ.”

“สำหรับทุ่งฝังศพ,” หมู่ทหารตอบรับ.

ณ ที่ของเธอในวงกลมฝั่งตรงข้ามกับ พอล, เจสสิกา พยักหน้า, จดจำได้ถึงแหล่งโบราณของพิธีกรรมนี้, เธอคิด: การพบกันระหว่างอวิชชาและความรู้, ระหว่างความป่าเถื่อนและวัฒนธรรม---มันเริ่มต้นในความสง่างามที่เราปฏิบัติด้วยต่อผู้ตายของเรา. เธอมองข้ามไปที่ พอล, พิศวงใจ: เขาจะมองเห็นมันไหม? เขาจะรู้ว่าจะทำอะไร?

“เราคือสหายของจามิส,” สติลจาร์พูด. “เราไม่ได้คร่ำครวญสำหรับผู้ตายของเราเหมือนเช่นเหล่าการ์วาร์จ(garvarg*).”

ชายเคราสีเทาผู้ยืนอยู่ข้างซ้ายของ พอล ลุกขึ้นยืน, “ข้าเป็นสหายผู้หนึ่งของจามิส,” เขาพูด. เขาข้ามไปยังกองสิ่งของ, หยิบเอากล่องดิสตราน. “เมื่อน้ำของเราไปต่ำมินิมน้อยที่สิฐคามแห่งสอง นก, จามิสได้แบ่งปัน.” ชายนั้นกลับมายังที่ของเขาในวง.

ข้าถูกคาดหวังให้จะพูดว่าข้าเป็นสหายของจามิสหรือ? พอล กังขาใจ. พวกเขาหวังว่าข้าจะหยิบเอาบางสิ่งจากกองนั่นหรือ? เขาเห็นใบหน้าทั้งหลายหันมายังตน, แล้วหันกลับไป. พวกเขาหวังมัน!

         ชายอีกผู้หนึ่งตรงข้ามกับ พอล ลุกขึ้น, เดินไปที่กองสิ่งของนั้นและย้ายเอาเข็มทิศพารามา. “ข้าเป็นสหายผู้หนึ่งของจามิส,” เขาพูด. “เมื่อหน่วยลาดตระเวนจับกุมเราได้ที่ อ่าว-แห่ง-ผาชันและข้าบาดเจ็บ, จามิสดึงพวกมันออกไปเพราะเช่นนั้นผู้บาดเจ็บจึงสามารถรอดชีวิตได้.” เขากลับมายังที่ของตนในวง.

         อีกครั้ง, ใบหน้าทั้งหลายันมายัง พอล, และเขาเห็นความคาดหวังในพวกนั้น, ลดตาต่ำลง. ข้อศอกหนึ่งกระทุ้งเขาและมีเสียงขู่เบา: “เจ้าจะนำความพินาศมาใส่เราหรือ?”

         ข้าจะสามารถพูดว่าข้าเป็นสหายเขาได้อย่างไร? พอล กังขาใจ.

         อีกร่างหนึ่งลุกขึ้นจากวงกลมตรงข้ามกับ พอล และ, ขณะที่ใบหน้าในหมวกคลุมเข้ามาสู่แสงไฟ, เขาจดจำได้ว่าคือมารดาของเขา. เธอหยิบเอาผ้าโพกจากกองนั้น. “ข้าเป็นสหายของจามิส,” เธอพูด. “เมื่อวิญญาณขอวิญญาณทั้งหลายภายในตัวเขาเห็นความจำเป็นต้องการของความสัจ, วิญญาณนั้นถอนและละเว้นซึ่งบุตรชายของข้า.” เธอกลับไปยังที่ของตน.

         และ พอล หวนนึกถึงความหมิ่นแคลนในน้ำเสียงของมารดาของตนขณะที่เธอได้เผชิญหน้ากับเขาหลังการต่อสู้นั้น. “มันรู้สึกอย่างไรหรือที่ได้เป็นนักฆ่า?”

         อีกครั้ง, เขามองเห็นใบหน้าทั้งหลายหันมายังตน, รู้สึกถึงความโกรธและกลัวในหมู่ทหาร. ช่องทางที่มารดาของเขาครั้งหนึ่งให้ฟิล์มหนังสือแก่เขาในเรื่อง “พิธีกรรมของผู้ตาย”แวบผ่านเข้ามาในจิตของ พอล. เขารู้ว่าอะไรที่เขาต้องทำ.

         อย่างช้าๆ, พอล ลุกขึ้นยืน.

         เสียงถอนหายใจดังผ่านไปรอบวง.

         พอล รู้สึกถึงการลดน้อยลงในตัวตนของเขาขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าเข้าสู่ศูนย์กลางของวงนั้น. มันราวกับว่าเขาสูญเสียเศษชิ้นส่วนของตัวเขาและเสาะค้นหามันที่นี่. เขาค้อมร่างเหนือกองสิ่งของของผู้ตายนั้น, หยิบเอาพิณบาลิเส็ทขึ้นมา. สายพิณดังแกว่งเบานุ่มออกมาเมื่อมันกระแทกโดนบางอย่างที่ในกองสิ่งของนั้น.

         “ข้าเป็นสหายของจามิส,” พอล กระซิบ.

         เขารู้สึกน้ำตาไหม้อยู่ที่ดวงตาของตน, บังคับเพิ่มปริมาตรความดังเข้าไปในวาจาของเขา. “จามิสได้สอนข้า.....ถึง.....เมื่อเจ้าฆ่า.....เจ้าต้องชดใช้ให้มัน. ข้าหวังว่าจะได้รู้จักจามิสดีกว่านี้.”

         อย่างมืดมัวตา, เขาคลำหาทางของเขากลับไปยังที่ของตนในวง, ทิ้งตัวลงสู่หินพื้น.

         มีเสียงแซ่ดขึ้นว่า: “เขาหลั่งน้ำตา!

         มันดังขึ้นไปรอบวงนั้น:อูซุล ให้ความชื้นต่อผู้ตาย!

         เขารู้สึกมีหลายนิ้วมาสัมผัสแก้มที่แก้มเปียกชื้นของเขา, ได้ยินเสียงกระซิบอย่างกลัวเกรง.

         เจสสิกา, ได้ยินวาจาเหล่านั้น. รู้สึกถึงความลึกของประสบการณ์รับรู้, ตระหนักว่าอะไรที่ความตื่นตระหนกของผู้อดกลั้นข่มใจทั้งหลายที่นั้นต้องต่อต้านกับการหลั่งน้ำตา. เธอเพ่งความสนใจกับคำพูดนั้น: “เขาให้ความชื้นต่อผู้ตาย.” มันเป็นของขวัญต่อโลกในเงามืด---น้ำตา. พวกเขาน่าจะต้องเป็นที่สักการะเกินกว่าที่จะเดาได้.

         ไม่มีอะไรบนดาวเคราะห์ได้ทุบลงมาด้วยกำลังแรงเต็มที่เหลือเกินเข้าไปในเธอได้เท่ากับคุณค่าสัมบูรณ์ยิ่งของน้ำ. ไม่ใช่ผู้ขาย-น้ำ, ไม่ใช่ผิวที่แห้งกร้านของชนพื้นเมือง, ไม่ใช่สติลล์สูทหรือกฎของวินัยเรื่องน้ำ. ที่นี้มีแก่นสารลึกล้ำค่ามากยิ่งกว่าทั้งหมดอื่นเหล่านั้น---มันคือชีวิตในตัวมันเองและโอบล้อมพัวพันไปทั้งหมดด้วยสัญลักษณ์นิยมและพิธีกรรม.

         น้ำ.

         “ข้าได้แตะแก้มของเขา,” ใครผู้หนึ่งกระซิบ. “ข้าได้รู้สึกถึงของขวัญนั้น.”

         ในที่แรก, นิวทั้งหลายที่กำลังแตะใบหน้าของเขาทำให้ พอล ตกใจกลัว. เขากุมแน่นกับด้ามอันเย็นเยียบของพิณบาลิเส็ท, รู้สึกถึงสายพิณกัดฝ่ามือของเขา. แล้วเขาเห็นใบหน้าทั้งหลายเลยออกไปจากกลุ่มมือทั้งหลาย---ดวงตาที่เบิกกว้างและพิศวง.

         ทันทีทันใดนั้น, มือทั้งหลายนั้นดึงกลับไป. พิธีศพดำเนินต่อไปอีก. แต่ตอนนี้มีที่ว่างเล็กน้อยรอบตัวของ พอล, การถดกลับไปราวกับหมู่ทหารนี้ให้เกียรติยกย่องเขาโดยการแยกระยะจากเขาอย่างเคารพ.

         พิธีกรรมจบลงด้วยการสวดภาวนาเสียงต่ำเบา.

         “จันทร์เพ็ญเพรียกหาสูเจ้า---

         ไช-ฮูลุด ท่านจะเห็นไหม;

         แดงในราตรี, สนธยาในนภา,

         เลือดในความตายที่สูเจ้าสิ้นชีวี.

         เราสวดอ้อนวอนต่อจันทรา: เธอกลมวง---

         โชคดีกับเราจะกระนั้นอุดม,

         อะไรที่เราเสาะหานั้นก็จะถูกพบ

         ในดินแดนแห่งปฐพีแกร่งแข็ง.”

         ถุงโป่งพองยังกองอยู่ที่เท้าของสติลจาร์. เขาคู้กายลง, วางฝ่ามือของเขากับมัน. ใครบางคนเข้ามาที่ข้างร่างของเขา, คู้ลงกับข้อศอกของตน, และ พอล จำใบหน้าของชานิได้ในเงามืดของหมวกคลุมศีรษะ.

         จามิสถือน้ำสามสิบ-สามลิตรและเจ็ดและสาม-สามสิบ-สำรองแดรช์ม(drachms* -

         https://en.wiktionary.org/wiki/drachm#English

หน่วยของปริมาตร)แห่งน้ำของเผ่า,” ชานีพูด. “ข้าขออวยพรมันตอนนี้ในการปรากฏแห่งท่านเสย์ยาดินา. เอคเคอริ-อาไคริ, นี้คือน้ำนั้น, ฟิลลิสสิน-ฟอลลาสี(fillissin-follasy*)แห่ง พอล-มวดดิบ! คิวิ อะ-คาวิ, ไม่มีอีกแล้ว, นาคาลาส(nakalas) นาคิลาส! จะถูกวัดและถูกนับ, อูไคร์-อัน!(ukair-an)ด้วยเสียงเต้นของหัวใจทั้งหลาย จัน-จัน-จัน ต่อสหายของเรา.....จามิส.”    

         https://books.google.co.th/books?id=BXMLLxuSISMC&pg=PA180&lpg=PA180&dq=fillissin-follasy&source=bl&ots=YyAFEsRBJx&sig=ACfU3U3HlSFD-mslE1fDmO1dgWsJlMRufg&hl=th&sa=X&ved=2ahUKEwizsM3z8cjwAhUF4zgGHd7GCooQ6AEwB3oECAkQAw#v=onepage&q=fillissin-follasy&f=false

         ในฉับพลันและลึกล้ำของความเงียบ, ชานิหันมา, จ้องยัง พอล. ทันทีนั้นเธอก็พูดขึ้น: “ที่ใดหรือซึ่งข้าจักเป็นถ่านคุโชนแก่เจ้า. ที่ใดหรือที่ข้าจักเป็นน้ำค้างแก่น้ำสูเจ้า.”

         “ไบ-ลัล ไคฟา(bi-lal kaifa),” ขับขานรับโดยหมู่ทหาร.

         “สู่ พอล-มวดดิบ ไปในส่วนนี้,” ชานิพูด. “ขอให้เขาจงคุ้มกันมันเพื่อเผ่า, สงวนรักษ์มันต้านต่อการสูญเสียไร้ระวังใด. ขอเขาจงเอื้อเฟื้อด้วยมันในยามแห่งจำเป็น. ขอเขาจงผ่านมันต่อไปในกาลของเขาเพื่อสิ่งดีงามแห่งเผ่า.”

         “ไบ-ลัล ไคฟา(bi-lal kaifa),” ขับขานรับโดยหมู่ทหาร.

         ข้าต้องยอมรับน้ำนั้น, พอล คิด. อย่างช้า, เขาลุกขึ้น, ทำทางเข้าไปหาข้างกายของชานิ. สติลจาร์ก้าวถอยหลังเพื่อทำที่ว่างให้กับเขา, ดึงเอาพิณบาลิเส็ทอย่างนุ่มนวลไปจากมือของเขา.

         “คุกเข่าลง.” ชานิพูด.

         พอล คุกเข่าลง.

         เธอชี้นำมือของเขาไปที่ถุงน้ำนั้น, ยึดมันเข้ากับผิวหยุ่นนั้น. “ด้วยน้ำนี้เผ่าได้มอบไว้ต่อสูเจ้า,” เธอพูด. “จามิส ได้ไปจากมัน. รับมันในสันติ.” เธอยืนขึ้น, ดึง พอล ลุกขึ้นกับเธอ.

         สติลจาร์คืนพิณบาลิเส็ทให้, ยื่นกลุ่มเล็กๆของแหวนโลหะในฝ่ามือข้างหนึ่ง. พอล มองดูพวกนั้น, เห็นมีขนาดทั้งหลายที่แตกต่างกัน, วิธีที่แสงจากลูกโคมเรืองแสงสะท้อนออกมาจากมัน.

         ชานิหยิบเอาวงใหญ่ที่สุด, ถือมันอยู่บนนิ้ว. “สามสิบลิตร.” เธอพูด. ทีละอัน, เธอหยิบวงอื่นขึ้นมา, แสดงแต่ละอันต่อ พอล, นับพวกมัน. “สองลิตร, หนึ่งลิตร; เจ็ดที่นับน้ำของหนึ่งดราช์มแต่ละอัน; หนึ่งแหวนนับน้ำของสาม-สามสิบ-เซกันด์ดราช์ม. ในทั้งหมด---สามสิบ-สามลิตรและเจ็ดและสามสิบ-สาม-สำรองดราช์ม.

         เธอถือมันยกขึ้นบนนิ้วของเธอให้ พอล ได้เห็น.

         “เจ้ายอมรับพวกมัน?” สติลจาร์ถาม.

         พอล กลืนน้ำลาย, พยักหน้า. “ใช่.”

         “ในภายหลัง,” ชานิพูด, “ข้าจะแสดงให้เจ้าดูว่าจะผูกพวกมันอย่างไรในผ้าโพกเพื่อพวกมันจะไม่กระทบกันและให้เจ้าพ้นไปได้เมื่อเจ้าต้องการความเงียบ.” เธอแผ่นยื่นมือของเธอออก.

         “เจ้าจะ.....ถือพวกมันไว้แทนข้าได้ไหม?” พอล ถาม.

         ชานิหันการมองอย่างตระหนกไปยังสติลจาร์.

         เขายิ้ม, พูด, “พอล-มวดดิบ ผู้คือ อูซุล ยังไม่รู้ถึงวิถีของเรา, ชานิ. ถือแหวนนับน้ำของเขาโดยไม่มีพันธสัญญาจนกว่ามันถึงเวลาที่จะแสดงให้เขาเห็นมรรยาทของการถือมัน.”

         เธอพยักหน้ารับ, สะบัดแถบริ้บบิ้นผ้าจากในเสื้อคลุมของเธอ, โยงแหวนเหล่านั้นลงบนมันด้วยการพันทับไปทบมาและถักทอเข้าด้วยกัน, ลังเล, แล้วย้ายพวกมันเข้าไปในสายคาดเอวในใต้เสื้อคลุมของเธอ.

         ข้าพลาดอะไรบางอย่างนั่นไป, พอล คิด. เขาสัมผัสรู้ถึงความรู้สึกของความขบขันอยู่รอบตัวเขา, บางอย่างเป็นการหยอกล้ออย่างมิตรในมัน, และจิตของเขาได้โยงเชื่อมเข้ากับความทรงจำถึงการณ์ล่วงหน้า: แหวนนับน้ำถูกเสนอให้ต่อผู้หญิง---พิธีขอความรัก.

         “นายกองน้ำทั้งหลาย,” สติลจาร์พูด.

         หมู่ทหารลุกขึ้นยืนในเสียงส่ายเสียดของเสื้อคลุมนั้น. สองคนก้าวอกมา, หยิบถุงน้ำขึ้น. สติลจาร์ดึงเอาลูกโคมเรืองแสงลงมา, นำทางด้วยมันเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ.

         พอล ถูกดันให้เข้าไปอยู่ด้านหลังของชานิ, สังเกตจำถึงสีเหลืองเนยเรืองของแสงเหนือผนังหินเหล่านั้น, วิธีที่เงาทั้งหลายเต้นระบำ, และเขารู้สึกถึงจิตวิญญาณของหมู่ทหารบรรจุอยู่ในอากาศอันนิ่งเงียบของความคาดหวังนั้น.

         เจสสิกา, ถูกดึงเข้าไปอยู่ตอนปลายแถวของหมู่ทหารโดยมืออันกระตือรือร้น, ปิดล้อมอยู่รอบๆโดยร่างที่กำลังดันกันเข้ามา, อดกลั้นขณะที่จะตื่นตระหนกนั้น. เธอได้จดจำถึงเศษชิ้นของพิธีกรรม, ถูกระบุถึงสะเก็ดทั้งหลายแห่ง ชาค็อบสาและโพตานิ-จิบ(Chakobsa and Bhotani-jib)ในคำทั้งหลาย, และเธอรู้ถึงความรุนแรงป่าคุคลั่งที่สามารถระเบิดออกมาในชั่วขณะตามที่เห็นได้ง่ายเหล่านี้.

         จัน-จัน-จัน, เธอคิด. ไป-ไป-ไป.

         มันเหมือนเกมเด็กเล่นที่ได้สูญเสียการหักห้ามใจไปทั้งหมดในมือทั้งหลายของผู้ใหญ่.

         สติลจาร์หยุดที่ผนังหินสีเหลือง. เขากดตรงที่โผล่ยื่นออกมาและผนังนั้นก็เหวี่ยงออกอย่างช้าไปจากเขา, เปิดไปตามรอยแตกแยกไม่เป็นระเบียบนั้น. เขานำทางผ่านโครงตาข่ายดุจรังผึ้งมืดนั้นที่นำไปสู่อากาศล้างเย็นฉ่ำพาดปะทะ พอล เมื่อเขาได้ผ่านมัน.

         พอล หันจ้องมองเชิงถามไปยังชานิ, ดึงแขนของเธอ. “อากาศนั่นรู้สึกชื้น,” เขาพูด.

         “ชู่-ว-ว-ว,” เธอกระซิบ.

         แต่ชายผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังพวกเขาพูดขึ้น: “เต็มไปด้วยความชื้นในกับดักคืนนี้. เป็นวิธีการบอกต่อเราของจามิสว่าเขาพึงพอใจ.”

         เจสสิกา ผ่านทะลุประตูลับนั้นไป, ได้ยินเสียงปิดตามมาด้านหลัง. เธอได้เห็นว่าฟรีเมนเชื่องช้าอย่างไรในขณะที่กำลังผ่านประตูถักขัดตารางรังผึ้งนั้น, รู้สึกถึงความชื้นของอากาศขณะที่เธอมายังด้านตรงข้ามของมัน.

         กับดักลม! เธอคิด. พวกเขาได้มีกับดักลมที่ปิดซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งบนพื้นผิวเพื่อที่จะทำเป็นปล่องกรวยให้อากาศลงมาที่นี่เข้าสู่ภาคส่วนที่เย็นกว่าและตกตะกอนความชื้นจากมัน.

         พวกเขาผ่านทะลุประตูหินอีกอันที่มีงานโครงถักขัดอยู่เหนือมัน, และประตูนั้นปิดตามลังพวกเขา. กระแสของอากาศที่ด้านหลังพวกเขาทั้งหลายแบกเอาการสัมผัสรู้สึกได้ของความชื้นที่กระจ่างชัดในรับรู้ได้ต่อทั้ง เจสสิกา และ พอล.

         ที่หัวของหมู่ทหารนั้น, ลูกโคมเรืองแสงในมือของสติลจาร์หล่นต่ำลงจากระดับศีรษะทั้งหลายตอนหน้าของพอล. ทันทีนั้นเขารู้สึกถึงขั้นบันไดภายใต้เท้าของเขา, โค้งลงไปทางด้านซ้ายมือ. แสงสะท้อนกลับขึ้นมาข้ามศีรษะในหมวกผ้าคลุมเหล่านั้นและการเคลื่อนเป็นวงโค้งของผู้คนเวียนลงไปตามขั้นบันได.

         เจสสิกาสัมผัสรู้ถึงความตึงเครียดของการไต่ลงไปในหมู่ผู้คนรายรอบเธอ, ความกดดันของความเงียบที่ครูดถูกับประสาทของเธอด้วยความเร่งด่วนของมัน.

         ขั้นบันไดนั้นสิ้นสุดลงและหมู่ทหารได้ผ่านประตูต่ำๆอีกอัน. แสงของลูกโคมเรืองได้ถูกกลืนกินในที่เปิดโล่งมหาศาลด้วยเพดานโค้งสูง.

พอลรู้สึกถึงมือของชานิบนแขนของเขา, ได้ยินเสียงหยดบางเบาในอากาศอันเย็นเยือก, รู้สึกถึงความนิ่งสงัดเวียนวนมาเหนือทั่วฟรีเมนในการปรากฏเยี่ยงวิหารแห่งน้ำนั้น.

ข้าได้เคยเห็นสถานที่นี้ในความฝันหนึ่ง, เขาคิด.

ความคิดนั้นเป็นทั้งความมั่นใจอีกและความท้อแท้. ที่ไหนสักแห่งข้างหน้าของเขาบนเส้นทางนี้, ฝูงคนที่คลั่งไคล้เลื่อมใสตัดเส้นทางอาบเลือดของพวกเขาข้ามทั่วจักรวาลในนามของเขา. สีเขียวและดำของแถบธงทิวแห่งอะไทรดิสจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสยองขวัญ. กองทัพดุร้ายจะบุกเข้าไปในการสู้รบกรีดตะโกนร้องสงครามของพวกเขาออกมา:มวดดิบ!

มันต้องไม่เป็นเช่นนั้น, เขาคิด. ข้าไม่สามารถปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้.

แต่เขาสามารถรู้สึกได้ถึงจิตสำนึกที่เรียกร้องเร่งแข่งอยู่ภายในตัวเขา, เจตจำนงอันน่าตระหนกของเขาเอง, และเขารู้ว่าไม่มีสิ่งเล็กๆสามารถเบี่ยงเบนสิ่งใหญ่โตทรงพลังได้. มันได้กำลังรวมเข้าหากันของน้ำหนักและแรงผลักดัน. ถ้าเขาตายลงไปในฉับพลันนี้, สิ่งนั้นก็จะดำเนินต่อไปผ่านมารดาของเขาและน้องสาวของเขาที่ยังไม่กำเนิด. ไม่มีอะไรน้อยยิ่งกว่าการตายของกองทหารทั้งหมดที่ได้รวมตัวกันอยู่ในที่นี่และตอนนี้---ตัวเขาเองและมารดาของเขารวมอยู่ด้วย---สามารถหยุดสิ่งนั้นได้.

พอล จ้องมองไปรอบตัวเขา, เห็นหมู่ทหารกระจายออกเป็นเรียงหน้ากระดาน. พวกนั้นดันกดเขาไปข้างหน้าเข้ากับกำแพงกั้นเตี้ยแกะสลักจากหินธรรมชาติ. โพ้นเลยกำแพงกั้นออกไปในแสงเรืองจากลูกโคมของสติลจาร์. พอล เห็นผิวหน้าเงียบสงบดำมืดของน้ำ. มันแผ่ยืดเข้าไปในเงาทั้งหลาย---ลึกและดำมืด---กำแพงห่างไกลเป็นเพียงภาพลางบางเบาที่เห็นได้, บางทีราวหนึ่งร้อยเมตรห่างออกไป.

เจสสิกา รู้สึกความแห้งที่ดึงผิวหนังบนแก้มและหน้าผากของเธอกำลังผ่อนคลายลงในการปรากฏขึ้นมาของความชื้น. สระน้ำนั้นลึก; เธอสามารถสัมผัสรู้ถึงความลึกของมัน, และหักห้ามใจที่จะจุ่มมือของเธอลงไปในมัน.

เสียงสาดกระทบน้ำทางด้านซ้ายมือของเธอ. เธอมองลงไปตามแถวเงาของเหล่าฟรีเมน, เห็นสติลจาร์กับพอลกำลังยืนอยู่ข้างเขาและนายกองน้ำกำลังเทน้ำจากที่บรรจุของพวกเขาลงไปในสระผ่านเครื่องวัดการไหล. เครื่องนั้นเป็นเหมือนดวงตากลมเทาอยู่เหนือขอบของสระ. เธอเห็นปลายชี้เรืองแสงของมันเคลื่อนไหวขณะที่น้ำไหลผ่านมัน, เห็นปลายชี้นั้นหยุดที่สามสิบ-สามลิตร, เจ็ดและสาม-สามสิบ-เซกันด์ดราช์ม.

ช่างประณีตละเอียดยอดเยี่ยมในการวัดน้ำ, เจสสิกาคิด. และเธอสังเกตไว้ว่าผนังทั้งหลายของรางน้ำเครื่องวัดนั้นไม่มีร่องรอยของความชื้นเกาะติดอยู่เลยหลังจากน้ำผ่านไปแล้ว. น้ำไหลผ่านกำแพงเหล่านั้นอย่างปราศจากแรงดึงเกาะติดไว้เลย. เธอเห็นเบาะแสสำคัญต่อเทคโนโลยีของฟรีเมนในความจริงเรียบง่ายนี้: พวกเขาเป็นนักสมบูรณ์สุด.

เจสสิกา ทำทางของเธอลงไปตามกำแพงเตี้ยนันยังข้างร่างของสติลจาร์. ทางนั้นได้ปิดช่องให้เธอด้วยความนอบน้อมอย่างเป็นสิ่งธรรมดา. เธอสังเกตได้ว่ามีแววครุ่นคิดอยู่ในดวงตาของพอล, แต่ความลึกลับของสระใหญ่มหึมาของน้ำนี้เด่นชัดอยู่ในความคิดของเธอ.

สติลจาร์มองที่เธอ. “มีเหล่าผู้อยู่ในท่ามกลางเราจำเป็นต้องการน้ำ,” เขาพูด, “กระนั้นพวกเขาจะมายังที่นี้และไม่แตะต้องน้ำนี้. เจ้ารู้นั้นไหม?”

“ข้าเชื่อเช่นนั้น,”

เขามองดูยังสระนั้น. “เรามีมากกว่าสามสิบ-แปดล้านทศลิตรในที่นี่,” เขาพูด. “ผนังกั้นล้อมจากเหล่าผู้สร้างตัวน้อยๆทั้งหลาย, ซ่อนและสงวนไว้.”

“ขุมทรัพย์สมบัติ,” เธอพูด.

สติลจาร์ยกลูกโคมเรืองแสงขึ้นเพื่อดูดวงตาของเธอ. “มันยิ่งใหญ่เกินกว่าทรัพย์สมบัติ. เรามีหลายพันที่เก็บซ่อนเช่นนี้. มีอยู่เพียงสองสามคนของเราที่รู้พวกนั้นทั้งหมด.” เขาชูโก่งศีรษะไปทางด้านหนึ่ง.  ลูกโคมนั้นส่งแสงสีเหลืองเงาเรืองข้ามผ่านใบหน้าและเครานั้น. “ได้ยินนั่นไหม?”

พวกเขาฟัง.

เสียงหยดของน้ำที่ถูกควบแน่นตกตะกอนจากที่ดักลมเติมเต็มทั่วห้องด้วยปรากฏของมัน. เจสสิกา เห็นว่าหมู่ทหารทั้งหมดได้ติดอยู่ในความปีติยินดีของการฟังนั้น. มีเพียง พอล ที่ดูเหมือนยืนอยู่ห่างไกลไปจากมัน.

กับ พอล, เสียงนั้นเป็นเหมือนเวลาชั่วขณะเคลื่อนติ๊กติ๊กจากไป. เขาสามารถรู้สึกถึงเวลาไหลผ่านตัวเขา, ความฉับพลันทั้งหลายนั้นไม่เคยได้ถูกจับได้อีก. เขาสัมผัสรู้ถึงความจำเป็นต้องตัดสินใจ, แต่รู้สึกไร้พลังที่จะขยับเขยื้อน.

“มันได้ถูกคำนวณตลอดมาด้วยความแม่นยำ,” สติลจาร์กระซิบ. “เรารู้ถึงภายในหนึ่งล้านทศลิตรว่ามากเท่าไหร่ที่เราจำเป็นต้องการ. เมื่อเราได้มัน, เราจะเปลี่ยนพื้นผิวหน้าของอาร์ราคิสนี้.”

กระซิบปิดปากหนึ่งของการตอบรับลอยขึ้นมาจากหมู่ทหารนั้น: “ไบ-ลัล คาอิฟา(Bi-lal kaifa* - without how).”

https://dune.fandom.com/wiki/Bi-lal_kaifa

“เราจะดักนูนทรายนั้นอยู่ใต้การปลูกหญ้า,” สติลจาริ์พูด, เสียงของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น. “เราจะผูกน้ำนั้นเข้าไปในดินนั้นด้วยต้นไม้ทังหลายและพุ่มไม้ทั้งหลาย.”

“ไบ-ลัล คาอิฟา,” ขานรับโดยหมู่ทหาร.

“แต่ละปีน้ำแข็งขั้วโลกนั้นถดถอย,” สติลจาร์พูด.

“ไบ-ลัล คาอิฟา,” พวกเขาสวดภาวนา.

“เราจะทำเครื่องหมายพิภพบ้านเกิดให้อาร์ราคิส---ด้วยแก้วตาละลายที่ขั้วโลกนั้น, ด้วยทะเลสาบทั้งหลายในเขตอบอุ่นซีกโ,กนั้น, และมีเพียงทะเลทรายตอนลึกสำหรับผู้สร้างกับเครื่องเทศของเขา.”

“ไบ-ลัล คาอิฟา.”

“และไม่มีคนใดจะได้ต้องอยากต่อน้ำอีก. มันจะเป็นของเขาเพราะการหยดจากบ่อหรือสระน้ำหรือทะเลสาบหรือคลอง. มันจะวิ่งลงไปผ่านคานัตทั้งหลายเพื่อหล่อเลี้ยงพืชพรรณพทั้งหลายของเรา. มันจะอยู่ที่นั่นสำหรับคนผู้ใดก็ตามที่จะได้รับมัน. มันจะเป็นของเขาเพราะการยื่นมือของเขาออกมา.”

“ไบ-ลัล คาอิฟา.”

เจสสิการู้สึกพิธีกรรมศาสนาอยู่ในคำพูดเหล่านั้น, สังเกตบันทึกถึงการตอบสนองเยี่ยงสัญชาตญาณอย่างยำเกรงของตัวเธอเอง. พวกเขาได้สมาพันธ์กันด้วยอนาคตนั้น, เธอคิด. พวกเขามีภูเขาของพวกเขาที่จะปีนป่ายขึ้นไป. นี้คือความฝันของนักวิทยาศาสตร์.....และผู้คนเรียบง่ายเหล่านี้, ชาวบ้านเหล่านี้, ได้เติมเต็มไว้ด้วยมัน.

ความคิดของเธอหันไปสู่ เลียต-คายนิ์ส, นักพิภพนิเวศวิทยาของจักรพรรดิ, ชายผู้ที่กลายเป็นชนพื้นเมือง---และเธอสงสัยใจกับเขา. นี้เป็นความฝันที่จะกุมชีวภูตทั้งหลายของคน, และสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงมือของนักนิเวศวิทยาในมัน. นี้เป็นความฝันที่ซึ่งคนทั้งหลายยอมตายไปเพื่อมัน. มันเป็นอีกอื่นของเครื่องปรุงสำคัญจำเป็นที่เธอรู้สึกว่าบุตรชายของเธอขาดไม่ได้: ผู้คนด้วยเป้าหมาย. ผู้คนเช่นนี้จะเป็นที่ง่ายต่อการกระตุ้นด้วยความศรัทธาแรงกล้าและความหลงใหล่อย่างบ้าคลั่ง. พวกเขาสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือเหมือนดาบที่จะเอาชนะคืนตำแหน่งของ พอล ให้กับเขา.

“เราจะไปกันในตอนนี้,” สติลจาร์พูด, “และรอคอยสำหรับการขึ้นของจันทราแรก. เมื่อจามิส ได้ปลอดภัยในเส้นทางของเขาแล้ว, เราจะกลับบ้าน.”

การกระซิบอย่างไม่เต็มใจของพวกเขา, หมู่ทหารตกตามหลังเขาไป, หันกลับไปตามกำแพงกั้นน้ำนั้นและขึ้นบันได.

และ พอล, กำลังเดินอยู่ด้านหลังของชานิ, รู้สึกว่าชั่วขณะสำคัญยิ่งได้ผ่านเขาไป, ว่าเขาได้พลาดการตัดสินสำคัญและได้ในตอนนี้ติดอยู่กับในนิทานตำนานของเขาเอง. เขารู้ว่าเขาได้เห็นสถานที่นี้มาก่อน, ประสบการณ์รับรู้มันในเศษชิ้นละเอียดของความฝันล่วงหน้าที่บนภพคาลาดานอันห่างไกลนั้น, แต่รายละเอียดทั้งหลายของสถานที่นี้ได้ถูกเติมเต็มแล้วในตอนนี้ในส่วนที่เขาไม่ได้เห็นมาก่อน. เขารู้สึกถึงสัมผัสรู้อันใหม่ของความกังขากับขอบเขตจำกัดทั้งหลายของพรสวรรค์ของเขา. มันเป็นราวกับว่าเขาขี่ไปบนคลื่นของกาลเวลา, บางครั้งในรางร่องของมัน, บางครั้งบนยอดบนสุดของมัน---และรายรอบตัวเขาคลื่นอื่นทั้งหลายก็ยกและยุบลง, เผยออกและแล้วก็หลบซ่อนอะไรที่พวกเขาส่งผลต่อพื้นผิวของพวกเขา.

ผ่านมันทั้งหมด, สงครามจิฮัดบ้าคลั่งนั้นยังคงเห็นได้รางเลือนอยู่ข้างหน้าของเขา, ความรุนแรงและการสังหารหมู่นองเลือด. มันเหมือนโหนกแหลมอยู่เหนือคลื่นซัดนั้น.

หมู่ทหารนั้นรวมกลุ่มผ่านประตูสุดท้ายเข้ามาในโถงถ้ำใหญ่. ประตูถูกปิดผนึก. แสงถูกดับ, ผ้าคลุมทั้งหลายถูกเคลื่อนย้ายออกจากช่องเปิดของถ้ำ, เผยให้เห็นราตรีและแสงดาวทั้งหลายที่มาอยู่เหนือทะเลทราย.

เจสสิกาเคลื่อนไปยังริมปากของขอบถ้ำอันแห้งผาก, มองขึ้นยังดวงดาวทั้งหลายนั้น. พวกเขาคมชัดและใกล้. เธอรู้สึกถึงความชุลมุนของหมู่ทหารรายรอบเธอ, ได้ยินเสียงพิณบาลิเส็ทถูกตั้งสายที่ไหนสักแห่งด้านหลังของเธอ, และเสียงของ พอล ฮัมตั้งระดับเสียงนั้น. มีภาวะเศร้าโศกในน้ำเสียงของเขาที่เธอไม่ชอบ.

เสียงของชานิรุกล้ำมาจากความมืดของถ้ำตอนลึก: “บอกฉันเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายที่ภพบ้านเกิดของเข้าสิ, พอล มวดดิบ.”

และ พอล, “เวลาอื่น, ชานิ. ข้าสัญญา.”

ช่างเป็นความเศร้าใจนัก.

“มันเป็นพิณบาลิเส็ทที่ดี,” ชานิพูด.

“ดีมาก,” พอล พูด. “เจ้าคิดว่าจามิสจะว่าอะไรไหมถ้าข้าจะใช้มัน?”

เขาพูดถึงผูเตายในพจน์ของปัจจุบัน, เจสสิกา คิด. ความหมายนัยนั้นรบกวนใจเธอ.

เสียงชายหนึ่งแทรกรุกเข้ามา: “เขาชอบดนตรีก่อนเวลา, จามิสเคยทำ.”

“งั้นก็ร้องเพลงให้ข้าฟังหนึ่งในเพลงทั้งหลายของเจ้าสิ,” ชานิออดอ้อน.

ช่างมีเสน่ห์หญิงในน้ำเสียงของเด็ก-สาวนี้ยิ่งนัก, เจสสิกา คิด. ข้าต้องคอยระมัดระวัง พอล เกี่ยวกับพวกผู้หญิงของชนเล่านี้.....และเร็วด้วย.

“นี่เป็นเพลงของสหายของข้า,” พอล พูด. “ข้าคาดหวังว่าเขาคงตายแล้วในตอนนี้, เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค คือเขานั้น. เขาเรียกมันว่าเพลงยามเย็นของเขา.”

หมู่ทหารเริ่มหยุดนิ่ง, ฟังเสียงของ พอล ขึ้นมาในน้ำเสียงทุ้มหวานของเด็กชายกับพิณบาลิเส็ทกรุ๊งกริ๊งและสบัดมืออยู่ภายใต้มัน.

“นี้เป็นยามกระจ่างชัดของการเห็นเถ้าถ่านคุแดง---

แสงทอง-เจิดจรัสตะวันสูญไปในสนธยาแรก

ช่างทำให้รู้สึกตระหนกคลั่งนัก, สิ้นหวังฉุนโชย

เป็นเหมือนคู่คุ้นเคียงคลอแห่งความทรงจำหวนคำนึง.”

เจสสิกา รู้สึกคำดนตรีนั้นอัดอยู่ให้หัวอกของเธอ---นอกรีตและจู่โจมด้วยเสียงทั้งหลายที่ทำให้เธอตื่นรู้อย่างทันทีนั้นและรุนแรงผะผ่าวในตนเอง, รู้สึกถึงร่างกายของเธอเองและความจำเป็นต้องการของมัน. เธอฟังด้วยเครียดขมึงและนิ่งงัน.

“เพลงสวด-ส่งวิญญาณร่ำร้องพร่างลงดุจมุกร่วงในราตรี

นี้ให้กับเรา!

ปีติรมย์รื่นวิ่งไปอะไรเล่า, แล้ว---

สดใสจรัสในดวงตาของเจ้า---

กลิ่นหอมต้องใจของดอกไม้อะไรหรือ

ที่ดึงรั้งอยู่ที่หัวใจของเรา

กลิ่นหอมต้องใจของดอกไม้อะไรหรือ

ที่เติมเต็มความปรารถนาแห่งเรา.”

และ เจสสิกา ได้ยินความนิ่งสงัดตามหลังมาเสียงฮัมนั้นในอากาศด้วยโน้ตตัวสุดท้าย. ทำไมบุตรชายของข้าถึงร้องเพลงรักให้กับเด็ก-สาวนั้น? เธอถามตนเองง เธอรู้สึกได้ถึงความกลัวพวยพุ่งขึ้นมา. เธอสามารถสัมผัสรู้ได้ถึงชีวิตไหลวนไปรอบเธอและเธอไม่อาจตะครุบคว้าสายธารของมันได้. ทำไมเขาถึงเลือกเพลงนั้น? เธอกังขาในใจ. ปฐมญาณทั้งหลายนั้นเป็นจริงในบางครั้ง. ทำไมเขาถึงทำเช่นนี้?

พอล นั่งเงียบอยู่ในความมืด, ความคิดหนึ่งเดียวสิ้นเชิงกำลังครอบงำความตื่นรู้ของเขา. แม่ของข้าคือศัตรูของข้า. เธอไม่ได้รู้ถึงมัน, แต่เธอเป็น. เธอกำลังนำมาซึ่งจิฮัด. เธอให้กำเนิดข้า; เธอฝึกฝนข้า. เธอเป็นศัตรูของข้า.

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น