หน้าเว็บ

หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (44)

 

         และมวดดิบยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา, และเขาพูด: “แม้ว่าเราจะเข้าใจคิดว่าผู้ถูกจับกุมตาย, กระนั้นก็ยังที่เธอมีชีวิตอยู่. เพราะเมล็ดพันธุ์ของเธอก็คือเมล็ดพันธุ์ของข้าและวจนะของเธอก็คือวจนะของข้า. และเธอเห็นไปสู่อย่างไกลที่สุดเอื้อมของความเป็นไปได้. เย้, ไปสู่หุบเขาแห่งความไม่อาจรู้ได้ที่เธอได้เห็นก็เพราะข้า.”

---จาก “การตื่นขึ้น ของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน.

 

         บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนน ยืนอยู่ด้วยดวงตาหลุบต่ำในโรงประชุมของจักรพรรดิ, โถงซีลามิค(selamik* - ท้องพระโรง)รูปไข่ภายในหอกระโจมของจักรพรรดิ ปาดิชาห์, ด้วยการแอบ

         * https://dune.fandom.com/wiki/Selamik

ชำเลืองมองอย่างซ่อนเร้น, บารอนได้ศึกษาห้องผนัง-โลหะนี้และผู้ที่อยู่ข้างในมัน---พวกนูคเคอร์(noukkers* - ข้าราชบริพารในองค์จักรพรรดิที่เป็นพระญาติ), มหาดเล็ก, องครักษ์, กองกำลัง

         * https://dune.fandom.com/wiki/Noukkers

แห่งราชสำนัก ซาร์เดาการ์ตั้งแถวเรียงรายอยู่ที่ผนังโดยรอบ, ยืนตามสบายที่นั้นอยู่ใต้ริ้วธงศึกเปื้อนเลือดและขาดรุ่งริ่งจากการออกรบที่เป็นสิ่งปรับประดาเพียงอย่างเดียวของห้อง.

         เสียงทั้งหลายดังมาจากทางด้านขวามือของห้องโถง, ก้องสะท้อนออกจากช่องทางเดินสูง: “เปิดทาง! เปิดทางให้กับราชพระองค์!

         จักรพรรดิ ปาดิชาห์ ชัดดัมที่ ๔ ก้าวออกมาจากช่องทางเดินเข้าไปในโถงชุมนุมนั้นตามติดมาโดยคณะผู้ติดตามของตน. เขายืนรอคอยขณะที่บัลลังก์ของเขากำลังถูกนำมา, ไม่สนใจต่อบารอน, ดูเหมือนจะไม่สนใจในทุกบุคคลใดที่อยู่ในห้องนั้น.

         บารอนพบว่าเขาสามารถที่จะไม่ทำเป็นเมินเฉยต่อราชพระองค์นั้นได้, และศึกษาดูจักรพรรดิเพื่อหาสัญญาณใด, เบาะแสใดต่อเจตจำนงพระประสงค์ของการชุมนุมนี้. จักพรรรดิยืนวางท่า, รอคอย---ร่างผอมเรียว, ระหงนั้นอยู่ในชุดเครื่องแบบซาร์เดาการ์สีเทาด้วยขลิบชายเงินและทอง. ใบหน้าเรียวผอมและดวงตาเย็นชาเตือนให้บารอนถึง ดยุค ลีโต ที่ตายไปนานแล้ว.  มีท่าทางดูเหมือนกันของนกล่าเนื้อ. แต่ผมของจักรพรรดินั้นเป็นสีแดง, ไม่ใช่ดำ, และผมส่วนใหญ่ถูกปิดบังไว้ด้วยหมวกเกราะยศเบอร์เส็จ(Burseg*)มีเข็มกลัดตราจักรพรรดิทองคำประดับเหนือมงกุฏของมัน.

         * https://dune.fandom.com/wiki/Burseg

         มหาดเล็กนำบัลลังก์เข้ามา. มันเป็นเก้าอี้หนาหนักแกะสลักจากหินควอทซ์ฮากัล(Hagal quartz)ชิ้นเดียว---สีห้า-เขียวโปร่งใสแทงทะลุผ่านด้วยริ้วเส้นสีเหลืองไฟ. พวกเขาวางมันลงบนยกพื้นเวทีและจักรพรรดิขึ้นไปแล้วนั่งตนเองลง.

         หญิงชราผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำอะบา(aba - เสื้อคลุมทอจากขนสัตว์/ไม่มีแขน)พร้อมด้วยหมวดดุงลงมาคลุมเหนือหน้าผากแยกตนเองออกมาจากคณะผู้ติดตามของจักรพรรดิ, ขึ้นไปประจำตำแหน่งที่เบื้องหลังของบัลลังก์, มือแห้งกรอดข้างหนึ่งวางพักอยู่บนด้านหลังหินควอทซ์นั้น. ใบหน้าของเธอมองจ้องลอดออกมาจากหมวกคลุมนั้นเหมือนแม่มดในนิทานล้อเลียน---ตอบลึกทั้งแก้มและดวงตา, จมูกที่ยาวเกินไป, ผิวหนังด่างดวงและด้วยเส้นเลือดปูดโปน.

         บารอนข่มกดความสั่นเทาจากภาพทัศน์ของเธอ. การปรากฏตัวของแม่อธิการ ไกอัส เฮเลน โมฮิยัม, ผู้สอบสัจวจนะแห่งองค์จักรพรรดิ, ทรยศขัดกับความสำคัญของที่ประชุมนี้. บารอนหันมองหนีไปจากเธอ, ศึกษาถึงคณะติดตามนั้นเพื่อหาเบาะแส. มีสองรายของตัวแทนของกิลด์, หนึ่งร่างสูงและอ้วน, หนึ่งเตี้ยและอ้วน, ทั้งสองด้วยดวงตาประจบปอปั้นสีเทา. และในหมู่มหาดเล็กทั้งหลายยืนอยู่ด้วยหนึ่งในธิดาขององค์จักรพรรดิ, เจ้าหญิง อีร์อูลาน, สตรีผู้พวกเขาพูดกันว่าถูกฝึกฝนมาอย่างลึกที่สุดด้วยวิถีทั้งหลายแห่งเบเน เกสเสอริต, วางอนาคตไว้เป็นแม่อธิการ. เอร่างสูง, ผมบลอนดิ์, ใบหน้าของความงามเยี่ยงเจ้าเล่ห์, ดวงตาสีเขียวที่มองถึงอดีตและทะลุผ่านเขาไป.

         บารอนที่รักของข้า.”

         จักรพรรดิได้ทรงพระกรุณาที่จะสังเกตเห็นเขา. เสียงนั้นทุ้มต่ำระดับบาริโทนและด้วยการควบคุมอย่างเป็นเลิศ. มันจัดการที่จะเมินเฉยต่อเขาในขณะที่ทักทายเขา.

         บารอนโค้งต่ำ, ไปข้างหน้ายังตำแหน่งที่ถูกต้องการสิบก้าวจากเวทียกพื้นนั้น. “ข้าพระองค์มาตามราชโองการหมายเรียกของพระองค์, ฝ่าบาท.”

         “หมายเรียก!” แม่มดชรานั้นร้องกระต๊าก.

         “บัดนี้, ท่านแม่อธิการ,” จักรพรรดิดุ, แต่เขายิ้มแย้มในอาการกระอักกระอ่วนของบารอน, ตรัส: “อย่างแรก, เจ้าจะบอกกับข้าว่าเจ้าได้ส่งสมุนรับใช้ของเจ้า, ธูเฟอร์ ฮาวัต, ไปไว้ที่ไหน.”

         บารอนพุ่งสายตาของตนไล่ไปทางซ้ายและขวา, ต่อว่าตัวเองที่ได้มายังที่นี่โดยปราศจากองครักษ์ของตนเองเลย, ถึงจะไม่มีประโยชน์อะไรมากนักกับการต้านทานซาร์เดาการ์. กระนั้นก็ยัง.....

         “ว่าไง?” จักรพรรดิตรัส.

         “เขาได้ไปจากเหล่านี้ห้าวันแล้ว, ฝ่าบาท.” บารอนยิงสายตาเหลือบไปที่ตัวแทนของกิลด์นั้น, กลับมายังจักรพรรดิ. “เขาต้องลงสู่พื้นที่ฐานของพวกลักลอบขนของเถื่อนและพยายามที่จะทะลวงผ่านเข้าไปยังค่ายพักของฟรีเมนผู้คลั่งใคล้, มวดดิบ นี้.”

         “เหลือเชื่อ!จักรพรรดิตรัส.

         หนึ่งในมือเหี่ยวแห้งกรอดของแม่มดนั้นแตะลงบนบ่าของจักรพรรดิ. นางเอนกายไปข้างหน้า, กระซิบต่อพระกรรณของพระองค์.

         จักรพรรดิพยักหน้ารับ, ตรัส: “ห้าวัน, บารอน. บอกข้าทีสิ, ทำไมเจ้าไม่กังวลต่อการหายตัวไปของเขาเลย.”

         “แต่ข้าพระองค์ได้กังวลอยู่, ฝ่าบาท.”

         จักรพรรดิจ้องมองอยู่ต่อไปยังเขา, รอ. แม่อธิการปล่อยเสียงหัวร่อคิกคักกระต๊ากออกมาก.

         “ที่ข้าพระองค์หมายถึงก็, ฝ่าบาท,” บารอนพูด, “ว่าฮาวัตจะตายไปหรือไม่ภายในอีกสองสามชั่วโมงถัดจากนั้น, ไปแล้ว.” และเขาอธิบายเกี่ยวกับยาพิษที่วางแฝงไว้และจำเป็นต้องมายาแก้พิษเป็นระยะ.

         “เจ้าช่างฉลาดเลยนะ, บารอน,” จักพรรดิตรัส. “และหลานของเจ้าไปอยู่ที่ไหน. แร็บบานและเจ้าหนุ่มฟียด์-เราธา?”

         “พายุนั้นมา, ฝ่าบาท. ข้าพระองค์ได้ส่งพวกเขาออกไปเพื่อตรวจดูเหตุปัจจัยของเราเผื่อพวกฟรีเมนบุกโจมตีภายใต้กำบังจากทราย.”

         “เหตุปัจจัย,” จักพรรดิตรัส. คำพูดออกมาราวกับว่ามันยับย่นปากของตน. “พายุนี้จะไม่เป็นอะไรมากนักในแอ่งลุ่มนี้, และพวกไพร่ฟรีเมนก่อกวนนั่นจะไม่บุกโจมตีขณะที่ข้าอยู่ที่นี่ด้วยห้ากองกำลังซาร์เดาการ์.”

         “แน่นอนว่าไม่, ฝ่าบาท,” บารอนพูด. “แต่ความเผลอเรอในกับด้านการระมัดระวังภัยก็ไม่สามารถอ้างพ้นการถูกตำหนิได้.”

         “อา-ห-ห-ห,” จักรพรรดิตรัส. “คำตำหนิ. งั้นข้าไม่ต้องพูดอีกหรือว่ามากกี่ครั้งแล้วที่ความไร้สาระของอาร์ราคิสนี้ได้รับจากข้าไปแล้ว? หรือไม่ก็ผลกำไรของโชอัม กัมปะนีที่ไหลลงไปในรูหนูนี้? หรือไม่ก็หน้าที่การงานและกิจการทั้งหลายของราชสำนักแห่งรัฐข้าได้ถูกเลื่อนช้าไป---กระทั้งยกเลิก---เพราะเรื่องราวโง่เขลานี้?”

         บารอนลดสายตาลงต่ำ, ตกใจกลัวกับความโกรธของจักรพรรดิ. ความบอบบางแห่งตำแหน่งของเขาในที่นี้, ตามลำพังและพึ่งพาอาศัยอยู่บนมหาประชุมและกฏมณฑียรบาล(dictum familia*) แห่ง มหาราชสำนักฺทั้งหลาย, ทำให้ทุกข์ใจต่อเขายิ่ง. พระองค์กมายที่จะฆ่าข้ารึ? บารอนถามตนเอง. เขาไม่สามารถ! ไม่ด้วยการที่มหาราชสำนักอื่นกำลังรอคอยอยู่ข้างบนนั้น, ปรารถนาที่จะได้ข้อแก้ตัวใดที่จะฉกฉวยเอาจากความวุ่นวายบนอาร์ราคิสนี้.

         “เจ้าจับกุมเชลยประกันทั้งหลายมาได้ไหม?” จักรพรรดิถาม.

         “มันไร้ประโยชน์, ฝ่าบาท,” บารอนพูด. “พวกฟรีเมนบ้าเหล่านี้จัดพิธีกรรมศพต่อทุกรายที่ถูกจับกุมและกระทำราวกับว่าผู้นั้นเป็นเยี่ยงคนที่ตายไปแล้ว.”

         “เช่นนั้นรึ?” จักรพรรดิตรัส.

         และบารอนก็คอย, ชำเลืองมองไปทางซ้ายและทางขวายังผนังโลหะของโถงซีลามลิคนั้น, คิดถึงเจ้ากระโจมยักษ์เกล็ดโลหะที่ล้อมตัวเขาอยู่. ความมั่งคั่งไร้ที่สิ้นสุดที่มันได้แสดงออกมาให้ประจักษ์ที่แม้กระทั่งบารอนเองก็ตื่นตระหนก. เขานำมหาดเล็กทั้งหลายมา, บารอนคิด, และข้าบริพารราชสำนัก, นางสนมของเขาและสหายทั้งหลาย---คนทำผม, คนออกแบบ, ทุกอย่าง---เหลือบไรกาฝากห้อยโดนแห่งราชสำนัก. ทั้งหมดที่นี่---สอพลอ, วางแผนเล่ห์ลวง, ลงไม้ลงมือกับมันด้วยจักรพรรดิ.....ที่นี่เพื่อเฝ้าดูเขาถูกเอาไปถึงอวสานของเรื่องราวนี้, เพื่อสร้างบทกวีสั้นๆทั้งหลายเหนือการยุทธสงครามและสร้างเทพบูชาในหมู่ผู้บาดเจ็บ.

         “บางที่เจ้าไม่เคยได้เสาะหาเชลยประกันประเภทที่ถูกต้องได้,” จักรพรรดิตรัส.

         เขารู้บางอย่าง, บารอนคิด. ความกลัวนั่งอยู่เหมือนก้อนหินในท้องของเขาจนกระทั่งเขาสามารถยากจะทนรับได้ในความคิดที่จะกินอะไร. กระนั้นก็ยัง, ความรู้สึกเหมือนผู้หิวโหย, และเขาขยับจัดท่าทางตนเองหลายครั้งในเครื่องพยุงแขวนลอยบนจุดของการสั่งอาหารให้นำมาหาเขา. แต่ไม่มีใครในที่นี้เชื่อหังคำเรียกหาของเขาเลย.

         “เจ้ามีความคิดใดเกี่ยวกับเจ้ามวดดิบนี้ว่าสามารถเป็นอะไร?” จักรพรรดิถาม.

         “หนึ่งในอัมมา(Umma* - ผู้พยากรณ์/ผู้นำชวนเชื่อลัทธิศาสน์), อย่างแน่นอน,” บารอนพูด. “พวกฟรีเมนมีเรื่องเพ้อคลั่งเชื่อถือในลัทธิศาสน์ไปทั่ว. พวกมันเก็บเกี่ยวหยิบเอาขึ้นมาจากเศษห้อยแขวนรุ่งริ่งของอารยธรรม. ฝ่าบาทก็ทรงทราบเรื่องนี้ดี.”

         จักรพรรดิชำเลืองไปที่ผู้สอบสัจวจนะของตน, หันกลับมาข่มขู่ใส่บารอน. “และเข้าไม่มีความรู้อื่นใดอีกกับมวดดิบนี้หรือ?”

         “คนบ้าผู้หนึ่ง,” บารอนพูด.”แต่บรรดาฟรีเมนทั้งหมดนั้นบ้าคลั่งเล็กน้อยกันอยู่แล้ว.”

         “บ้า?”

         “ผู้คนของเขากรีดร้องชื่อของเขาขณะที่พวกมันกระโจนเข้ามาในการสู้รบ. พวกผู้หญิงโยนมารกของตนเข้าใส่เราแล้วพุ่งตัวเข้าใส่มีดดาบของพวกเราเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชายของพวกมันเข้าโจมตีเรา. พวกมันไม่มี.....ไม่มี.....มรรยาท!

         “เลวร้ายกันขนาดนั้น,” จักรพรรดิพึมพำ, และน้ำเสียงของเยาะเย้ยถากถางไม่หนีไปจากบารอน. “บอกข้าสิ, ท่านบารอนที่รักกของข้า, เจ้าได้สืบสวนที่ภูมิภาคขั้วโลกตอนใต้ทั้งหลายของอาร์ราคิสบ้างหรือไม่?”

         บารอนจ้องมองขึ้นไปยังจักรพรรดิ, ตื่นตกใจโดยการเปลี่ยนแปลงของเรื่องราว. “แต่.....เอ้อ, ทรงทราบดี, ฝ่าบาท, ภูมิภาคทั้งปวงนั้นไม่สามารถอาศัยอยู่ได้, เปิดโล่งกับสายลมและหนอนทราย. ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องเทศใดๆในพิกัดเหล่านั้น.”

         “เจ้าไม่ได้มีรายงานทั้งหลายจากยานค้นหาเครื่องเทศว่ามีแผ่นผืนหย่อมพืชพันธุ์ปรากฏที่นั้นหรือ?”

         “มีรายงานทั้งหลายเยี่ยงนั้นอยู่เสมอ. บางอันก็ได้ทำการสืบสวน---นานมาแล้ว. พืชพันธุ์เล็กน้อยถูกพบเห็น. ยานธ็อปเปอร์ทั้งหลายทั้งมากมายสูญหายไป. เสียค่าใช้จ่ายมากเกินไป, ฝ่าบาท. มันเป็นสถานที่ซึ่งคนทั้งหลายไม่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้นาน.”

         “ดังนั้น,” จักรพรรดิตรัส. เขาดีดนิ้วมือของตนและประตูหนึ่งเปิดออกที่ด้านซ้ายของเขาด้านหลังบัลลังก์. ผ่านประตูนั้นมาคือสองซาร์เดาการ์ต้อนเด็ก-ผู้หญิงผู้ปรากฏอยู่เป็นราวอายุสี่ขวบ. เธอสวมชุดอะบาสีดำ, หมวกคลุมศีรษะเหวี่ยงไปไว้ทางด้านหลังเพื่อเผยสิ่งแนบรัดร่างของสติลล์สูทห้อยปล่อยไว้ที่ลำคอของเธอ. ดวงตานั้นสีฟ้าเยี่ยงฟรีเมน, จ้องออกมาจากความอ่อนโยน, กลมของใบหน้า. เธอปรากฏอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดทั้งสิ้นและมีทีท่าการจ้องมองมาของเธอที่ทำให้บารอนอึดอัดใจโดยไร้เหตุผลที่เขาสามารถอธิบายได้.

         กระทั่งหญิงชราเบเน เกสเสอริต ผู้สอบสัจวจนะก็ดึงร่างถอยขณะที่เด็กนั้นผ่านมาและทำสัญญาณปกป้องตนในทิศทางของเธอ. แม่มดชรานั้นชัดเจนว่าตัวสั่นจากการปรากฏให้เห็นของเด็กนี้.

         จักรพรรดิกระแอมในคอของเขาเพื่อที่จะตรัส, แต่เด็กนั้นพูดขึ้นมาก่อน---เสียงแหลมบางด้วยร่องรอยทั้งหลายของลิ้นไก่อ่อนเช่นเด็กๆพูดอ้อแอ้, แต่ชัดเจนถ้อยคำ. “แล้วนี่สินะคือเขา,” เธอพูด. เธอก้าวมาข้างหน้ายังขอบของเวทียกพื้น. “เขาไม่ปรากฏมามากนัก, นี่เขา---ชาบอ้วนชราที่หวาดกลัวอ่อนแอเกินกว่าที่จะพยุงเนื้อหนังของตนเองได้โดยปราศจากการช่วยเหลือของเครื่องพยุงลอย.”

         มันเป็นช่างคาดไม่ถึงของประโยคคำพูดจากปากของเด็กเล็กจนบารอนจ้องมองเธอ, พูดไม่ออกแทนที่จะเป็นการบันดาลโทสะของตน. นี่มันเป็นคนแคระหรอกรึ? เขาถามตนเอง.

         “บารอนที่รักของข้า,” จักรพรรดิตรัส, “จงคุ้นเคยไว้กับน้องสาวของมวดดิบนี้.”

         “น้องส.....”บารอนโยกย้ายความสนใจของเขามาที่จักรพรรดิ. “ข้าไม่เข้าใจ.”

         “ข้า, เช่นกัน, บางครั้งคือเผอเรอบนด้านหนึ่งของความระแวดระวังอันตราย,” จักรพรรดิตรัส. “มันได้ถูกรายงานมายังข้าว่าภูมิภาคที่ไม่อาจอยู่อาศัยได้ของเจ้าทางขั้วโ,กตอนใต้นั้นแสดงหลักฐานถึงกิจกรรมของมนุษย์.”

         “แต่นั่นเป็นไปไม่ได้!บารอนประท้วงค้าน. “พวกหนอนทราย.....มีแต่ทะเลทรายเปิดโล่งไปยัง.....”

         “ผู้คนเหล่านี้ดูเหมือนจะสามารถหลีกหลบหนอนทะเลทรายพวกนั้นได้,” จักรพรรดิตรัส.

         เด็กนั้นนั่งลงบนแท่นเวทีข้างบัลลังก์, แกว่งเท้าของเธออยู่กับขอบของมัน, เตะพวกมัน. มีอากาศกลิ่นอายของของความมั่นใจในตนเองในวิธีที่เธอมองประเมินมายังสิ่งรายล้อมรอบเธอนั้น.

         ท่านบารอนจ้องมองเท้าที่เตะแกว่งอยู่, วิธีที่พวกมันเคลื่อนไวเสื้อคลุม, วอบแวบของรองเท้าแตะภายใต้ผ้าคลุมอยู่นั้น.

         “โชคไม่ดี,” จักรพรรดิตรัส, “ข้าเพียงแค่ส่งห้ายานลำเลียงพร้อมกำลังพลจู่โจมขนาดเบาไปเพื่อเก็บเอานักโทษเชลยมาเพื่อสอบปากคำ. เราแทบจะหลบออกมาได้แค่กับสามนักโทษและหนึ่งยานลำเลียง. เตือนเจ้าเอาไว้ด้วย, บารอน, ซาร์เดาการ์ของข้านั้นส่วนใหญ่พ่ายแพ้อย่างท่วมท้นต่อกองกำลังที่ประกอบด้วยส่วนใหญ่คือผู้หญิง, เด็ก, และชายชรา. เด็กนี้ที่นี่เป็นผู้บัญชาการของกลุ่มต่อสู้ทั้งหลาย.”

         “ท่านเห็นไหม, ฝ่าบาท,” บารอนพูด. “พระองค์เห็นไหมว่าพวกมันเป็นอย่างไร!

         “ข้าได้ยอมให้ตนเองถูกจับกุมตัวมา,” เด็กนั้นพูด. “ข้าไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับพี่ชายของข้าและต้องบอกกับเขาว่าบุตรชายของเขาได้ถูกฆ่า.”

         “มีเพียงคนของเราแค่กำมือที่ออกมาได้,” จักรพรรดิพูด. “ออกมาได้! เจ้าได้ยินนั่นไหม?”

         “เราก็ได้ตัวพวกเขาไว้, ด้วยเช่นกัน,” เด็กนั้นพูด, “นอกจากที่ไฟลุกไหม้.”

         ซาร์เดาการ์ใช้เครื่องเพิ่มไอพ่นบนยานลำเลียงของพวกนั้นเพื่อเป็นเหมือนเครื่องพ่นไฟ(flame-thrower),” จักพรรดิพูด. “การเคลื่อนย้ายอย่างสิ้นหวังและสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาหนีออกมาได้คือนักโทษเชลยสามคนนี้. บันทึกลงไปไว้เลยว่า, บารอนที่รักของข้า: ซาร์เดาการ์ถูกบีบบังคับให้ล่าถอยอย่างชุลมุนโดยผู้หญิงและเด็กๆและชายชรา!

         “เราต้องโจมตีอย่างเต็มกำลัง,” บารอนพูดเสียบแหบพร่า. “เราต้องทำลายทุกร่องรอยสุดท้ายของ---”

         “เงียบเถอะ!จักรพรรดิคำราม. เขาดันตนเองไปข้างหน้าบนบัลลังก์ของเขา. “อย่าได้บิดเบือนเชาวน์ปัญญาของข้าอีกต่อไป. เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นอยู่กับความโง่เขลาไร้เดียงสาและ---”

         ฝ่าบาท,” แม่เฒ่าผู้สอบสัจวจนะพูด.

         เขาโบกมือให้เธอเงียบ. “เจ้าพูดว่าเจ้าไม่รู้เกี่ยวกับกิจกรรมที่เราได้ค้นพบ, หรือไม่ก็คุณภาพการต่อสู้ทั้งหลายของผู้คนที่ล้ำเลิศเหล่านี้!จักรพรรดิยกตัวเองขึ้นครึ่งหนึ่งของการนั่งบัลลังก์. “เจ้านำข้ามาเพื่ออะไร, บารอน?”

         บารอนถอยหลังไปสองก้าว, คิด:มันเป็นแร็บบาน. เขาได้ทำเรื่องนี้กับข้า. แร็บบานมี.....

         “และการแสร้งลวงโต้เถียงกับดยุค ลีโตนี้,” จักรพรรดิบ่นพึม, จมตัวเองลงอบ่างเดิมกลับยังบังลังก์ของเขา. “ช่างงดงามในกลยุทธที่เจ้าได้ทำมันยิ่งนัก.”

         ฝ่าบาท,” บารอนออดอ้อน. “อะไรที่ท่านจะ---”

         “เงียบเถอะ!

         แม่เฒ่าเบเ เกสเสอริตวางมือลงบนบ่าข้างหนึ่งของจักรพรรดิ, เอนเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบที่ข้างพระกรรณของพระองค์.

         เด็กหญิงที่ได้นั่งอยู่บนพื้นเวทีหยุดเตะเท้าของเธอ, พูด: “ทำให้เขาหวาดกลัวอีกหน่อย, ชัดดัม. ข้าไม่ได้รื่นรมย์กับเรื่องนี้, แต่ข้าพบความพึงใจเป็นไปไม่ได้ที่จะข่มกดเอาไว้ได้.”

         “เงียบเถิด, หนู,” จักรพรรดิตรัส. เขาเอนกายไปข้างหน้า, วางมือลงบนศีรษะของเธอ, จ้องมองที่บารอน. “มันเป็นไปได้ไหม, บารอน? เจ้าจะสามารถเป็นเช่นผู้ไร้เดียงสาอย่างที่ผู้สอบสัจวจนะของข้าชี้แนะหรือ? เจ้าไม่ได้จดจำเด็กหญิงนี้ได้หรอกหรือ, ธิดาของญาติพันธมิตรของเจ้า, ดยุค ลีโต?”

         “บิดาของข้าไม่เคยเป็นพันธมิตรของเขา,” เด็กนั้นพูด. “บิดาของข้านั้นตายไปแล้วและเจ้าสัตว์ร้ายฮาร์คอนเนนนี้ไม่เคยได้เห็นข้ามาก่อน.”

         บารอนได้ลดสายตาจ้องมองอย่างตลึงงันลง. เมื่อเขาพบเสียงของตนกลับคืนมาแต่ก็ด้วยความแหบพร่าสำลักออกมา: “ใครรึ?”

         “ข้าคือ อาเลีย, ธิดาแห่งดยุค ลีโตและท่านผู้หญิง เจสสิกา, น้องสาวของ ดยุค พอล-มวดดิบ,” เด็กหญิงนั้นพูด. เธอดันตัวเองออกจากพื้นเวที, ทิ้งตนเองยืนลงที่พื้นห้องโถงประชุม. “พี่ชายของข้าได้สัญญาไว้ว่าจะเอาหัวของเจ้าเสียบอยู่ยอดธงรบของเขาและข้าคิดว่าเขาจะทำได้.”

         “หยุดไว้เถอะ, นังหนู,” จักรพรรดิตรัส, และเขาจมตัวกลับลงไปยังบัลลังก์ของตน, มือยกเท้าคาง, ศึกษายังที่บารอน.

         “ข้าไม่ได้รับทำตามบัญชาทั้งหลายของจักรพรรดิ,” อาเลียพูด. เธอหันไป, เงยขึ้นไปยังหญิงชราแม่อธิการ. “เธอรู้ดี.”

         จักรพรรดิเหลือบเงยขึ้นยังผู้สอบสัจวจนะของเขา. “เธอมายความถึงอะไรหรือ?”

         “เด็กนั่นเป็นตัวน่าขยะแขยง!” หญิงชราพูด. “มารดาของเธอสมควรถูกลงโทษใหญ่หลวงยิ่งกว่าสิ่งใดในประวัติศาสตร์. ตาย! มันไม่สามารถมาถึงอย่างรวดเร็วนักด้วยเพราะเด็กนี้คือหนึ่งในไข่พันธุ์ของหล่อน!” หญิงชราชี้นิ้วหนึ่งมาที่อาเลีย.

         ท.พ.?” จักรพรรดิกระซิบ. เขาตวัดความสนใจของตนกลับมาที่อาเลีย. “มหามารดาเถิด!

         “ท่านไม่เข้าใจ, ฝ่าบาท,” หญิงชราพูด. “ไม่ใช่โทรจิต. เธออยู่ในจิตของข้า. เธอเหมือนผู้ทั้งหลายที่มาก่อนข้า, ผู้ทั้งหลายนั้นที่ให้ความทรงจำทั้งหลายนี้แก่ข้า. เธอยืนอยู่ในจิตของข้า! เธอไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้, แต่เธอก็เป็น.”

         “ผู้อื่นทั้งหลายอะไร?” จักรพรรดิถามบัญชา. “นี่ไร้สาระอะไรกัน?”

         หญิงชราหยัดร่างขึ้น, ลดมือที่ชี้นั้นลง. “ข้าพูดมากเกินไปแล้ว, แต่ความสัจยังคงดำรงอยู่ว่าเด็กนี้ผู้ที่ไม่ใช่เด็ก, ต้องถูกทำลายไป. นานแล้วที่เราได้ถูกเตือนระวังต่อผู้เป็นเช่นนี้และจะป้องกันได้อย่างไรในการให้กำเนิดเช่นนี้, แต่หนึ่งในพวกเราเองได้ทรยศต่อเรา.”

         “เจ้าพร่ำเพ้อเจ้อแล้ว, ยัยเฒ่า,” อาเลียพูด. “เจ้าไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอะไร, กระนั้นเจ้าก็ยังมาเขย่ารัวเล่นเหมือนเด็กทารกตาบอดโง่เขลา.” อาเลียหลับตาของเธอลง, สูดหายใจเข้ลึก, แล้วกลั้นมันไว้.

         หญิงชราแม่อธิการนั้นครางและโซเซทรุดลง.

         อาเลียเปิดตาของเธอ. “นี่คือที่มันเป็นเช่นไร,” เธอพูด. “อุบัติแห่งเอกภพ.....ที่เจ้าได้เล่นอยู่ในบทบาทนี้ในมัน.”

         แม่อธิการยกมือขึ้นยื่นออกมาทั้งสองข้าง, ฝ่ามือดันอากาศมายังอาเลีย.

         “เกิดอะไรขึ้นที่นี่?” จักรพรรดิร้องถาม. “นังหนู, เจ้าสามารถเล็งยิงความคิดของเจ้าเข้าไปในจิตของคนอื่นได้จริงๆหรือ?”

         “นั่นไม่ใช่เป็นเช่นนั้นทั้งหมดหรอก,” อาเลียพูด. “นอกเสียจากว่าข้าได้เกิดมาเช่นเจ้า, ข้าไม่สามารถคิดเช่นเจ้าได้.”

         “ฆ่าเธอ,” หญิงชราบ่นพึมพัม, และบีบเค้นด้านหลังของบัลลังก์แน่นเพื่อพยุ่งร่างไว้. “ฆ่าเธอ!” ดวงตาชราในเบ้าลึกจ้องจับอยู่ที่อาเลีย.

         “เงียบเถอะ!จักรพรรดิ, และเขาศึกษาอาเลีย. “ยัยหนู, เจ้าติดต่อสื่อสารกับพี่ชายของเจ้าหรือ?”

         “พี่ชายของข้ารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่,” อาเลียพูด.

         “เจ้าสามารถบอกกับเขาให้ยอมจำนนเป็นราคาค่าของชีวิตเจ้าได้ไหม?”

         อาเลียยิ้มขึ้นไปหาเขาด้วยความไร้เดียงสาอย่างชัดแจ้ง. “ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น,” เธอพูด.

         บารอนเซทรุดมาข้างหน้ายังเวทีข้างอาเลีย. “ฝ่าบาท,” เขาอ้อนวอน. “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยถึง----”

         “แทรกสอดข้าอีกครั้งนะ, บารอน,” จักรพรรดิพูด, “และเจ้าจะสูญเสียงพลังอำนาจทั้งหลายใดในการสอดแทรกขัด.....ไปตลอดกาล.” เขารักษาความสนใจเพ่งจับมาที่อาเลีย, ศึกษาเธอผ่านเปลือกหรี่ลง. “เจ้าจะไม่, เอ๋? เจ้าสามารถอ่านในจิตใจของข้าว่าข้าจะทำอะไรถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังข้าได้ไหม?”

         “ข้าได้พูดไปแล้วว่าข้าไม่สามารถอ่านจิตทั้งหลายได้,” เธอพูด, “แต่ผู้ใดก็ไม่จำเป็นต้องมีโทรจิตที่จะอ่านความตั้งใจทำของเจ้าหรอก.”

         จักรพรรดิก่นคำราม. “นังหนู, เหตุของเจ้านั้นไร้ซึ่งความหวัง. ข้ามีแต่ต้องกรีฑาทัพของข้าลงมือและปราบปรามพิภพนี้ให้---”

         “มันไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก,” อาเลียพูด. เธอมองไปที่สองคนของกิลด์. “ถามพวกเขาสิ.”

         “มันไม่ฉลาดนักที่จะต่อต้านความปรารถนาของข้า,” จักรพรรดิพูด. “เจ้าควรจะไม่ปฏิเสธข้าในที่สุดของสิ่งใด.”

         “พี่ชายของข้ามาแล้วในตอนนี้,” อาเลียพูด. “กระทั่งองค์จักรพรรดิก็อาจตัวสั่นเทาเบื้องหน้าของมวดดิบ, เพราะเขามีกำลังเข้มแข็งของคุณธรรมความถูกต้องและสวรรค์แย้มยิ้มอยู่เหนือเขา.”

         จักรพรรดิกระตุกพรวดขึ้นยืนบนเท้าของตน. “ละครฉากนี้ได้ไปไกลเกินพอแล้ว. ข้าจะจัดการพี่ชายของเจ้าและดาวเคราะห์นี้และบดขยี้พวกมันเป็น---”

         ห้องนั้นสั่นสะเทือนและเขย่าไปทั่วรอบพวกเขา. มีมาด้วยน้ำตกของทรายพรั่งพรูทะลักด้านหลังของบัลลังก์ที่ซึ่งเสาหอกระท่อมได้ถูกจับคู่ยึดกับยานเรือของจักรพรรดิเอาไว้. ผิดหนังรัดตัวแน่นขึ้นยิบยับขึ้นฉับพลันบ่งบอกถึงโล่ห์พลังในระดับกว้างได้ถูกเปิดใช้งานขึ้น.

         “ข้าได้บอกกับเจ้าแล้ว,” อาเลียพูด. “พี่ชายของขาได้มาแล้ว.”

         จักรพรรดิยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์ของตน, มือขวากดอยู่ที่พระกรรณข้างขวา, ตัวรับสัญญาณเซอร์โวที่นั้นดังแกรกกรากรายงานของมันกับสถานการณ์. บารอนเคลื่อนอีกสองก้าวไปยังด้านหลังของอาเลีย. ซาร์เดาการ์กระโจนเข้าระจำตำแหน่งที่ประตูทั้งหลาย.

         “เราจะถอยกลับขึ้นไปในอวกาศและฟื้นฟูตั้งขบวนกันใหม่,” จักรพรรดิตรัสบอก. “บารอน,ข้าขออภัยด้วย. พวกคนบ้าเหล่านี้ได้กำลังบุกโจมตีภายใต้การบดบังใของพายุ. เราจะแสดงให้พวกมันเห็นความพิโรธของจักรพรรดิกันในภายหลัง.” เขาชี้ไปยังอาเลีย. “เอาตัวของเธอไปยังพายุนั้น.”

         ขณะที่เขาพูด, อาเลียก็บินหนีกลับหลังไป, เสแสร้งตื่นตระหนก. “จงปล่อยพายุได้อะไรที่มันสามารถไปเถิด!” เธอกรีดร้อง. และเธอก็ถอยหลังเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของบารอน.

         “ข้าได้ตัวเธอแล้ว, ฝ่าบาท!บารอนตะโกน. “ให้ข้าจัดการเธอเดี๋ยวนี้เลย-อี๊ยยยยยยยยยยยย!” เขาเหวี่ยงร่างเธอลงกับพื้น้อง, บีบเค้นที่แขนซ้ายของตน.

         “ข้าเสียใจ, ท่านตาทวด,” อาเลียพูด. “ท่านได้เจอกับอะไทรดิสก็อม จับบารร์ไปแล้ว.” เธอลุกขึ้นยืนบนเท้าของตน, ทิ้งเข็มสีคล้ำเข้มหนึ่งจากมือของเธอ.

         บารอนร่วงลงไปทางด้านหลัง. ดวงตาของเขาโปนออกขณะที่เขาจ้องที่รอยแดงเปื้อนบนฝ่ามือซ้ายของตน. “เจ้า.....เจ้า.....” เขากลิ้งไปทางด้านข้างในเครื่องพยุงแขวนทั้งหลาย,อ ก้อนมวลห้อยย้อยของเนื้อหนังค้ำยันอยู่เหนือพื้นห้องหลายนิ้วด้วยศีรษะที่หมุนกลิ้งและปากอ้าค้าง.

         “คนพวกนี้มันบ้า,” จักรพรรดิก่นคำราม. “เร็วเข้า! เข้าไปในเรือยาน. เราจะกำจัดกวาดล้างพิภพนี้ของทุก.....”

         บางอย่างประกายวาบขึ้นที่ด้านซ้ายมือของเขา. ลูกกลมของสายฟ้าผ่าเด้งกระดอนออกมาจากผนังตรงนั้น, แตกประทุขณะที่มันสัมผัสพื้นโลหะ. กลิ่นของฉนวนไหม้กวาดไกลไปทั่วโถงประชุมซีลาลิคนี้.

         “โล่ห์พลัง!” หนี่งในเจ้าหน้าที่ซาร์เดาการ์ตะโกน. “โล่ห์พลังด้านนอกพังลงมาแล้ว! พวกมัน.....”

         คำพูดทั้งหลายของเขาถูกจมหายไปในเสียงคำรามลั่นของโลหะขณะที่ผนังยานเรือด้านหลังของจักรพรรดิสั่นระรัวและเต้นโยก.

         “พวกมันยิงจมูกของยานเรือของเรา!” ใครบางคนร้องตะโกน.

         ฝุ่นเดือดพล่านผ่านไปทั่วห้อง. ใต้การปิดคลุมบังของมัน, อาเลียกระโจนขึ้น, วิ่งตรงไปยังประตูออกด้านนอก.

         จักรพรรดิหมุนร่าง, ส่งสัญญาณให้คนของตนเข้าไปในประตูห้องฉุกเฉินที่เหวี่ยงเปิดในทางด้านข้างของยานเรือด้านหลังบัลลังก์. เขาสะบัดมือวาบสัญญาณไปยังเจ้าหน้าที่ซาร์เดาการ์ผู้หนึ่งที่กำลังโจนผ่านหมอกฝุ่นเข้ามา. “เราจะตั้งที่มั่นของเราที่นี่!จักรพรรดิบัญชาการ.

         เสียงแตกลั่นอีกอันหนึ่งเขย่าหอกระท่อม. ประตูคู่เหวี่ยงเปิดดังปังออกที่ด้านไกลของโถงประชุมยอมให้ทรายในลมพัดพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงตะโกน. ร่างเล็ก, ในเสื้อคลุม-สีดำสามารถถูกเห็นได้ในชั่วขณะนั้นเมื่อตัดกับแสงสว่าง---อาเลียพุ่งออกไปเพื่อพบกับมีดเล่มหนึ่งและ, ดังที่เหมาะเจาะสอดคล้องกับการที่ได้ฝึกฝนของเธอมาเยี่ยงฟรีเมน, เพื่อฆ่าฮาร์คอนเนนและซาร์เดาการ์บาดเจ็บ. ราชสำนัก ซาร์เดาการ์พุ่งผ่านหมอกสีเขียวเหลืองตรงไปยังที่เปิดออกนั้น, อาวุธพร้อม, ตั้งรูปแถวโค้งที่นั้นเพื่อปกป้องการล่าถอยขององค์จักรพรรดิ.

         “รักษาพระองค์เอาไว้, พะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ซาร์เดาการ์ผู้หนึ่งตะโกน. “เข้าไปข้างในยานเรือ!

แต่จักรพรรดิยืนตระหง่านตามลำพังบนแท่นเวทีของเขาชี้ไปยังประตูทั้งหลายนั้น. สี่สิบเมตรของส่วนหอกระท่อมได้ถูกระเบิดออกไปจากตรงนั้นและประตูทั้งหลายของโถงเซลามลิคได้เปิดออกแล้วในตอนนี้สู่ทรายฟุ้งกระจาย. เมฆฝุ่นแขวนลอยต่ำเหนือโลกด้านนอกพัดผ่านมาจากระยะไกล. สายฟ้าประจุไฟฟ้าสถิตแลบครืนลั่นจากเมฆนั้นและประกายวาบเข้าใส่โล่ห์พลังทั้งหลายที่ถูกลัดวงจรดับไปจากการพุ่งปะทะของพายุสามารถทะลุมองเห็นได้ในหมอกนั้น. ทุ่งราบปั่นป่วนอยู่ด้วยร่างที่ปะทะต่อสู้กันชุลมุนในระยะประชิด---ซาร์เดาการ์และชายในชุดคลุมกระโจนกมุนวนที่ดูเหมือนหลั่งไหลลงมาจากพายุนั้น.

ทั้งหมดเป็นเพียงอยู่ในกรอบช่องสำหรับเป้าของการชี้มือของจักพรรดิ.

ออกจากหมอกทรายมาคือขบวนมวลก้อนพุ่งประกายวาบขึ้นรูป---ขอบโค้งมหึมาผุดขึ้นด้วยซี่แก้วผลึกขาวน้ำนมทั้งหลายที่แยกออกไปเป็นปากช่องว่างของหนอนทรายทั้งหลาย, ผนังผิวก้อนมหึมาของพวกมัน, แต่ละอันมีกองกำลังทั้งหลายของฟรีเมนกำลังขี่มันเข้ามาโจมตี. พวกเขามาในเสียงซีดซี่ดเสียดสีตอกลิ่มอัด, เสื้อคลุมฟาดสะบัดในสายลมขณะที่พวกเขาตัดทะลุความชุลมุนของทุ่งราบนั้นเข้ามา.

มาข้างน้าผงาดง้ำตรงเข้าหาหอกระท่อมของจักรพรรดิพวกเขามาขณะที่ราชสำนัก ซาร์เดาการ์ยื่นตื่นตระหนกเพราะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขากำลังถูกกดข่มเข่นฆ่าต่อหน้าจนจิตใจของพวกเขายากที่จะยอมรับรับ.

แต่ร่างที่กระโจนลงมาจากหลังของหนอนทรายนั้นคือมนุษย์ทั้งหลาย, และคมมีดวาบแวบในแสงเหลืองอัปมงคลเป็นสิ่งที่ซาร์เดาการ์ได้ถูกฝึกฝนมาให้เผชิญ. พวกเขาเหวี่ยงตนเองเข้าไปปะทะระชิดสู้. และมันเป็นคนต่อคนบนทุ่งแห่งอาร์ราคีนขณะที่องครักษ์ซาร์เดาการ์ที่เลือกสรรดันหลังขององค์จักรพรรดิกลับเข้าไปในยานเรือ, ปิดผนึกตามหลังพระองค์, และเตรียมพร้อมที่จะตายที่ประตู่นั้นดุจคือส่วนหนึ่งของโล่ห์พลังของพระองค์.

ในความตื่นตระหนกของความเงียบสงัดที่เปรียบเทียบกันในทันที---ยานเรือนั้น, จักรพรรดิจ้องมองยังดวงตาเบิกกว้างบนใบหน้าของเหล่าข้าราชบริพารของเขา, มองเห็นธิดาองค์ใหญ่ที่สุดกับเลือดฉีดแดงที่แก้มของเธอจากการออกแรงเร่งรีบ, แม่เฒ่าผู้สอบสัจวจนะกำลังยืนเหมือนเงาดำกับหมวกคลุมศีรษะดึงมาปิดใบหน้าของเธอ, พบในที่สุดในใบหน้าทั้งหลายที่พระองค์เสาะหา---สองคนของกิลด์. พวกเขาสวมเครื่องแบบของกิลด์สีเทา, ไร้สิ่งดึงดูดความสนใจ, และมันดูเหมือนจะเหมาะเจาะกับความสงบนิ่งที่พวกเขาธำรงเอาไว้แทนที่จะเป็นอารมณ์พุ่งขึ้นขีดสุดเช่นที่รายล้อมพวกเขาอยู่.

ผู้สูงกว่าในทั้งสองคน, กระนั้น, กุมมือของตนเข้าที่ดวงตาด้านซ้ายของเขา. ขณะที่จักรพรรดิเฝ้าดู, ใครบางคนกระแทกเข้ากับแขนของชายกิลด์นั้น, มือนั้นเคลื่อนออก, และดวงตาได้ถูกเผยออกมา. ชายนั้นสูญหนึ่งในคอนแท็คเลนส์ที่เป็นหน้ากากปิดบังอยู่, และดวงตานั้นจ้องมองออกมาเป็นสีฟ้าสุดที่แสนมืดมิดราวกับเกือบเป็นสีดำ.

ชายร่างเล็กกว่าของคู่กันใช้ศอกดันแหวกทางเข้ามาใกล้กับองค์จักรพรรดิ, พูด: “เราไม่สามารถรู้ว่ามันจะไปอย่างไร.....” และคู่หูร่างสูงกว่า, มือยังคงยกกลับไปปิดที่ดวงตา, เพิ่มเติมในน้ำเสียงเย็นเยียบ: “แต่มวดดิบผู้นี้ก็ไม่สามารถรู้ได้, ด้วยเช่นกัน.”

คำพูดนั้นสร้างความตื่นตกใจให้กับจักรพรรดิออกมาจากความงวยงงของตน. เขาตรวจสอบความหมิ่นชังบนลิ้นของเขาโดยความพยายามที่สามารถเห็นได้เพราะว่ามันไม่ได้ให้ชายกิลด์ต้องเพ่งจิตเดี่ยวในการนำร่องบนโอกาสหลักเลยที่จะเห็นอนาคตในฉับพลันนี้ออกมาจากทุ่งราบ. สองคนเหล่านี้มีอิสระต่างหากที่อยู่เหนือศักยะอินทรีย์ที่พวกเขาได้สูญเสียการใช้ดวงตาของพวกเขาไปและเหตุผลหรือ? พระองค์กังขาใจ.

แม่อธิการ,” เขาพูด, “เราต้องคิดแผนกันขึ้นมาใหม่.”

เธอดึงหมวกคลุมศีรษะออกจากใบหน้าของตน, พบกับสายตาเขม็งมองมาของพระองค์ด้วยการจ้องไม่กระพริบตา. การมองนั้นได้ผ่านไปในระหว่างเขาทั้งสองแบกเอาความเข้าใจสมบูรณ์สิ้น. พวกเขามีหนึ่งอาวุธที่เหลืออยู่และทั้งคู่ต่างรู้ดีถึงมัน: การทรยศกักหลัง.

“เรียกตัวเคานท์ เฟนริงจากส่วนที่พักของเขามา,” แม่อธิการพูด.

จักรพรรดิ ปาดิชาห์พยักพระพักตร์เห็นด้วย, โบกมือยังผู้รับใช้ของตนทั้งหลายเชื่อฟังคำบัญชาของตนนั้น.

 

 

เขาเป็นนักรบและผู้มีเวทย์, ยักษ์และนักบุญ, จิ้งจอกและผู้ไร้เดียงสา, ผู้เอาใจสตรี, ผู้หยาบคายก้าวร้าว, น้อยกว่าเทพ, มากกว่ามนุษย์. ไม่มีซึ่งการวัดใดได้ต่อแรงกระตุ้นผลักดันของมวดดิบด้วยมาตรฐานทั้งหลายทั่วไปใดๆ. ในชั่วขณะชัยชนะของเขา, เขามองเห็นความตายที่ได้เตรียมไว้แล้วสำหรับเขา, กระนั้นก็ยังที่เขายอมรับต่อการทรยศกักหลังนั้น. ท่านสามารถพูดได้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นนี้ออกมาจากสำนึกแห่งความเที่ยงธรรม? เที่ยงธรรมของใคร, งั้นหรือ? จำไว้ว่า, เราพูดกันในตอนนี้ถึงมวดดิบผู้ซึ่งสั่งเภรีแห่งการศึกที่ทำจากผิวหนังของศัตรูของเขา, มวดดิบผู้ปฏิเสธพันธสัญญาแห่งความเป็นดยุคทั้งหลายในอดีตที่ผ่านมาด้วยเพียงหนึ่งการโบกของมือตน, พูดแค่: ข้าคือ ควิสาตซ์ ฮาเดรัค.อนั่นคือเหตุผลเพียงพอแล้ว.”

            ---จาก “การตื่นขึ้น ของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น