หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

คุรุเทพ - เวลา, ที่ว่าง/อวกาศ และ จิต

 

เวลา, ที่ว่าง/อวกาศ และ จิต - พูดคุยโดย คุรุเทพ

Time, Space and Mind - A Talk by Sri Sri

         https://youtu.be/6i298ZsmvO4

 

ผู้ถาม: ...ที่คุรุเทพหมายถึงว่า ใครก็ไม่สามารถติดตามคำสอนของปรมาจารย์ผู้อื่นทั้งหลายได้, ใครคนใดจะสามารถมีมากกว่าหนึ่งคุรุได้ไหมครับ?

คุรุเทพ:  โอ. มันยากเหลือเกินที่จะจัดการกับหนึ่งคุรุ(so hard to manage one guru)โอเค?

         มันไม่ง่ายนะ.

         เคารพนับถือได้ทุกท่านแต่จงติดตามแค่หนึ่งมรรคา(respect everybody but follow one path).

ให้เกียรติทุกท่าน(honor everyone)แล้วคุณจะมองเห็นปรมาจารย์ทั้งหลายทั้งหมดนั้นได้พูดในสิ่งเดียวกัน(all that masters have said the same thing).

มีได้เพียงหนึ่งความสัจจริงเดียว(there only one truth), ดังนั้นพวกเขาก็ต้องพูดในสิ่งเดียวกัน(so they have said the same thing). แต่วิธีการทั้งหลายนั้นแตกต่างกัน(the methods are different).

และอย่าได้มีข้อขัดแย้ง(conflict)เมื่อคุณอยู่บนมรรคา/เส้นทางนี้(on this path), เพราะไม่ว่าเมื่อใดมรรควิถีใดก็ตาม(whenever whichever path)ที่คุณอยู่ที่นั้นและพวกเขาได้มอบพรแก่คุณ(they have blessed you)และเช่นนั้นเองที่คุณมาที่นี่และได้รับใช้มรรควิถีนั้นให้(you have served those paths), คุณได้รับใช้ครูทั้งหลายเหล่านั้น(serve those teachers), ปรมาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น(those masters)และการให้พรของพวกเขา(their blessing)ได้นำคุณมายังที่นี่(brought you here)ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้านี้(with this conviction)คุณก็เคลื่อนไปข้างหน้า(move forward).

โอเค. เพราะว่ามีมรรควิถีอยู่มากมาย(many paths), ผู้หนึ่งอาจจะพูดว่า ทำไมท่านต้องพูดhumเหลือเกิน(why do you say so hum)แล้วพูดว่า humza-humza นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องขั้นที่สี่(the correct thing fourth)จะบอกว่าhumzaนั่นไม่ได้ถูกต้องดังนั้นhumก็ไม่โอเค. ดังนั้น da so hum  da so hum คุณพูดว่า da so hum da so hum และคุณก็ได้สับสนเหลือเกิน(get so confused)ว่า da so hum so hum sohumza อันไหนแน่.

ดังนั้นฉันควรจะพูดว่า มองเห็นหนึ่งในทั้งหมด และทั้งหมดในหนึ่งเดียว เป็นดุจหลักใหญ่(as a principle), ให้เกียรติเคารพทุกคนและติดตามเพียงหนึ่งมรรควิถี(honor everyone and follow one path). และฉันบอกคุณได้ว่า ไม่มีใครจะโกรธคุณ, แน่นอนที่สุดเลยว่าไม่.

ผู้ถาม: ท่านจะทำอย่างไรถ้าคุรุของท่านไม่พอใจกับคุณ(your guru is displeased with you)? ท่านจะทำอย่างไรถ้าคุรุของท่านไม่ชอบใจในคุณ?

คุรุเทพ:  คุณทำความก้าวหน้าได้เร็วไป(you make fast progress).

         ท่านคุรุ(guru)ไม่พอใจอย่างเข้มงวดเคร่งครัด(is displeased rigor)กับความก้าวหน้าของคุณ(your progress), ดังนั้นในตอนนี้คุณก็ต้องรีบลุกขึ้น(big get up)และก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น(progress more), วิ่งให้เร็วเลย(run fast). หุหุหุ.

ผู้ถาม: คุรุจีครับ, มีการเชื่อมโยงติดต่อใดๆบ้างไหมของอารมณ์ท่าน(your mood)กับจังหวะเวลาของวัน(with the timing of the day) ทำไมเราถึงได้รู้สึกแตกต่างกันในจังหวะเวลาที่แตกต่างกันทั้งหลาย(feel different in different timing of the days) เหมือนเช่น คนหนึ่งรู้สึกจิตตก(feel low)ในเวลากลางคืน.

คุรุเทพ:  หือ?

ผู้ถาม: คุรุจีครับ, มีการเชื่อมโยงติดต่อใดๆบ้างไหมครับ ของอารมณ์กับจังหวะเวลาของวัน(is there any connection with mood with the timing of the day)? ทำไมเรารู้สึกแตกต่างกันไปในจังหวะเวลาที่แตกต่างกันทั้งหลาย เหมือนเช่นผมรู้สึกจิตตก(feel low)ในเวลากลางคืน.

คุรุเทพ:  ช่าย, ช่าย เวลาและจิตนั้นเชื่อมต่อกัน(time and mind are connected), คุณควรรู้ในเรื่องนี้. เวลาและจิตมีความหมายพ้องกัน(time and mind are synonymous). สิ่งเหล่านี้มีแปดแก่นแท้(these there are eight substances)............

ทั้งหมดเหล่านี้ผู้คนได้พูดว่า...........พวกเขาได้แบ่งปัน(share)ที่ว่าง(space), กาล(kala)/เวลา(time)และจิต(mind). พวกเขาทั้งหมดคือทัตวาหลัก(Tatwas principles1- ธาตุ/หลักการ)และธาตุ/หลักทั้งหมดเหล่านี้(all these principles)ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are connected).

1 https://en.wikipedia.org/wiki/Tattva

1 https://hmong.in.th/wiki/Tattvas

         เดชา(Desha)และกาละ(Kala)ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are connected), ที่ว่าง/อากาสะ(space)และเวลา/กาละ(time)ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are connected).

         หนึ่งวันบนดาวเคราะห์โลกนี้(one day on this planet earth)ได้เป็นหกวันอื่นไปแล้วในดวงจันทร์นั่น(is already six days in another moon). ถ้าคุณอยู่ในดวงจันทร์มันแตกต่างไป. ดังนั้นถ้าคุณอยู่ในดาวพฤหัสบดี(Jupiter), หนึ่งปีของมนุษย์โลก(one human year)ก็เป็นแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น(only one month). ดาวพฤหัสบดี(Jupiter)ก็คือจูปิเตอร์, ถ้าคุณต้องมีประสบการณ์รับรู้(have to experience)หนึ่งปีที่นั่นคือออกไปกว่า 12 ปีของเวลาอย่างที่บนโลก(earthly time). เพราะว่าดาวพฤหัสบดี(Jupiter)ใช้เวลา 12 ปีในการโคจรรอบดวงอาทิตย์(Sun).

         ถ้าคุณอยู่บนดาวเสาร์(planet Saturn) 30 ปีก็คือ 1 ปี. เช่นเดียวกันกับพลูโต(Pluto), ผู้คนผู้ที่ได้ตาย, หนึ่งปีของมนุษย์เราคือหนึ่งวันสำหรับพวกเขา. ดังนั้นหกเดือนของเราก็เป็นแค่หนึ่งคืนเท่านั้นและอีกหกเดือนก็เป็นแค่กลางวันเดียว. ดังนั้นทั้งหนึ่งปี(one whole year)นั้นเป็นสำหรับจิตวิญญาณ/ตัวตน(for a soul)ที่ถูกแยกสิ้นอายุขัย(is departed)เป็นเพียงแค่หนึ่งปีไกลออกไปเท่านั้น.

         ดังนั้นจึงมีเวลาที่แตกต่างกัน(different time)ในที่ว่าง/เทศะที่แตกต่างกัน(in different space)ในมิติที่แตกต่างกัน(in different dimensions).

         ดังนั้นเวลาและอวกาศ/ที่ว่างจึงถูกเชื่อมติดต่อกัน(time and space are connected)มันจึงถูกเรียกว่าเวลา อวกาศ/กาลเทศะ(time space)โยงเข้ากัน. เป็นหนทางเดียวกันที่เป็นมิติที่3(the third dimension)นั่นก็คือจิต(mind).

         ดังนั้น, จิต(the mind), จิตสำนึกที่ล่วงพ้นไร้ซึ่งเหตจุผล(the mindless transcendental consciousness)ได้ถูกเรียกว่า มหากาล(Mahakala). ศิวะ(the Shiva)สภาวะที่สี่ของจิตสำนึก(the fourth state of consciousness)มันถูกเรียกว่า มหากาลัม(Mahakalum), มันคือเวลาอันยิ่งใหญ่(a great time).

         และการไม่มีจิตมันก็คือไม่มีจิต(the no mind it is no mind). การไม่มีจิตนั้นคือเวลาอันยิ่งใหญ่(the no mind is great time).

         ดังนั้นในตอนเช้า(morning)จาก 4:30 ถึง 6:30, แค่ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น(just before sunrise), ก่อนรุ่งอรุณ(before dawn), ถูกเรียกว่าเป็นเวลาของการสร้างสรรค์มากที่สุด(the most creative time)……

         หลังจากนั้นแล้ว, ทุกสองชั่วโมงมันถูกเรียกว่า ลัคนา(lagna)หมายถึง หนึ่งหน่วยเวลา(one unit of time), และหน่วยของเวลานี้สัมพันธ์กันกับสภาวะของจิติ(corresponds to the state of mind). และอีกครั้งที่สิ่งนี้ถูกเชื่อมติดต่อกันกับ(is connected with)ตำแหน่งของดวงจันทร์(the moon’s position), กับตำแหน่งของดวงอาทิตย์(with the sun’s position).

ทั้งหมดนั้นมีหลายรูปลักษณ์เหลือเกิน(so many aspects)ราวสิบรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน(about ten aspects)ที่มีอิทธิพลต่อจิต(influence the mind).

ดังนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เวลา(the time)หรือขั่วโมงของวัน(hour of the day)ที่ส่งผลกระทบต่อจิต(that affects the mind), รวมทั้งคุณภาพของวันทั้งหลาย(the quality of the days)ที่มีผลกระทบต่อจิต(affect the mind).

ทุกๆสองวันครึ่ง(every two and a half day)จิตจะเปลี่ยนแปลง(the mind changes). อารมณ์ของจิต(the mood of the mind).

ดังนั้นถ้าคุณวิตกกังวล(upset)ในวิถีโดยพิเศษเฉพาะ(particular mode), มันจะดำเนินไปสองวันครึ่งเป็นอย่างมากที่สุดที่จะจบสิ้นลง(will continue for two and a half maximum to end up). มันไม่จำเป็นต้องเป็นสองวันครึ่ง(two and a half days), มันลุกขึ้นไปจนถึงยอดสุดแล้วก็ร่วงลง(rises to a peak and drops). แต่หลังจากสองวันครึ่ง, คุณไม่สามารถจะมีอารมณ์รู้สึกอันเดียวกันกับความเข้มข้นรุนแรงเช่นเดิมได้(cannot have the same emotion with same intensity), เป็นไปไม่ได้. มันสับสวิทช์เปลี่ยน.

มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง(the great great science)ว่า จิต(mind), อารมณ์รู้สึก(mood)และเวลา(time)ได้ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are connected)ได้อย่างไร? คุณรู้ไหท, โยคีศาสตร์(yogishastra)มีอะไรมากมายของความเข้าใจลึกซึ้งทั้งหลายในเรื่องนี้(lots of insight things into it). คุณรู้ไหม, โหราจารย์ทั้งหลาย(astrologers)ทั้งหมดเหล่านี้มักจะคอยรักษากาละอยู่เป็นคอลัมน์ทั้งหลายรายสัปดาห์(weekly column)ของนักโหราพยากรณ์บอกว่า, โอ เป็นเวลาที่ดีสำหรับสัมพันธภาพ(good foe relationship), ดีสำหรับทำเงิน(good for making money)อย่างนี้อย่างนั้น, พวกเขาเขียนสิ่งเหล่านี้. คุณรู้ไหม, พวกเขาสรุปเกณฑ์(generalize)สิ่งเหล่านี้จาที่ว่าถ้าคุณเกิดในช่วงเวลานี้, แล้วนี้ก็จะเป็นเวลาที่ดีสำหรับคุณและคุณก็ทำสิ่งนี้.

แน่นอนว่ามันธรรมดาสามัญเกินไป(too generic), และกับพวกเขามันเป็นเพียงแค่สิ่งทำเงิน(money-making things)ที่พวกเขากำลังพูดถึง. แต่มันไม่ใช่การหลอกลวง(hoax), มีจำนวนเล็กน้อยมากของความสัจจริงอยู่ในมัน(iota of the truth in it). มีจำนวนน้อยนิดอยู่ภายหลังที่ความสัจจริงคือแก่นหลัก(the principle)นั้นเป็นถูกต้อง. ความสัจจริง(the truth)ก็คือเวลาและจิตนั้นได้เชื่อมติดต่อกัน(time and mind are connected).

จิต/ใจ(mind)หมายถึงอารมณ์รู้สึกของความคิดทั้งหลาย(means moods of thoughts), ความคิดเห็นทั้งหลาย(opinions), ความนึกคิด/มุมมองทั้งหลาย(ideas), สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เราสะสมรวบรวมไว้(collect).

และไม่มิจิตใดที่เป็นฌานสมาธิ(no mind is meditation). ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่คุณทำฌานสมาธิ(meditate), นั่นคือทำไมมันถึงได้พูดว่าในตอนรุ่งเช้าและตอนเย็นก่อนค่ำที่คุณทำสมาธิ(dawn and dusk you meditate)หรือเมื่อใดก็ตามที่เป็นเวลาเลวร้าย(whenever the bad time)นั่นที่คุณทำสมาธิ, คุณทำสมาธิคุณออกไปจากอิทธิพลนั้นของจิต(go off the influence of the mind)และเข้าไปในตัวตน/อัตตา(go into the self). และตัวตน/อัตตา(the self)นั้นก็คือ ศิวะ ทัตวา(shiva tattwa).

ศิวะ(shiva)หมายถึง เมตตากรุณาอยู่เสมอ(always benevolent), ห่วงใย(caring), รัก(loving), ยกจิตให้สูงขึ้น/ยินดีปรีดา(uplifting). จิตสำนึกนั่นที่ลึกอยู่ภายในคุณซึ่ง(that consciousness deep within you which)ห่วงใย, รัก, ยกจิตขึ้น/ยินดีปรีดา(caring, loving, uplifting)และเมตตากรุณา(and benevolent), จะทำให้อิทธิพลเชิงลบทั้งหลายของจิตและเวลา(negative influences of the  mind and time)นั้นไม่ได้ผล/ไร้ค่า(nullify).

ดังนั้นในอินเดียมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก(very common)ที่เชื่อว่า, เมื่อใดก็ตามที่มีเวลาเลวร้าย(whenever is bad time)ก็แค่พูดว่า โอม นะมะหะ ศิวายะ(om nama shivaya)แล้วมันก็จากไป, ทั้งหมดของเวลาเลวร้ายนั้นก็จากไป(all that time is gone). เพราะว่า นะมะหะ ศิวายะ(nama shivaya)ได้พูด, จิต(the mind) มะนะหะ(manaha)หมายถึง จิต(mind)เมื่อมันผันกลับ(reverse), ถ้าคุณอ่านมันบนอีกด้านอื่น(read the other side)มันก็จะกลายเป็น นะมะหะ(namaha).

มะนะหะ(manaha)คือเมื่อจิตสำนึก(consciousness)ออกไปที่ในโลกภายนอก(goes outside in the world)นั่นคือ จิต(that is mind). นะมะหะ(namaha)คือเมื่อจิตสำนึกกลับไปด้านใน(consciousness goes inward).

ศิวายะ(shivaya), ไปสู่หลักแก่นของศิวะ(towards the shiva principle). สภาวะที่สี่ของจิตสำนึก(the fourth state of consciousness). รูปลักษณ์อันละเอียดที่สุดของการมีชีวิตอยู่(the subtlest aspect of the existence).

แต่ นะมะ ศิวายะ, เมื่อจิตไปสู่ชั้นรากฐานเบื้องต้นของการสร้างสรรค์(the mind goes towards the basic substratum of creation), แล้วมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด(it can change all), ทั้งหมดนั้น, เข้าไปสู่ประสบการณ์รับรู้ถึงความเมตตากรุณายิ่งขึ้น(into more benevolent experience).

โอเคมั๊ย?

 

 

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

พัชระบูรณ์ - ผมชี้ทางไปให้พระภิกษุ จะบาปมั๊ยเนี่ยะ?

 

  •          ...เผอิญเม้นท์ไว้ในเฟซของตัวเองซะยืดยาว....เห็นว่าน่าจะเอามาแปะโม้เก็บไว้ที่บล็อกนี้ เพื่อให้หากลับมาอ่านอีกได้ง่าย...เลยเพิ่มตัวตนในนี้ซะเลย...แค่อ่านกันสนุกๆนะครับ...
  • ...คือผมคิดว่า "จิต" คือพลังงาน/คลื่น(เหมือนคลืิ่นวิทยุ/แม่เหล้กไฟฟ้า)...ที่เชื่อมติดต่อกันเป็นเครือข่ายทั้งจักรวาล...เหมือนTRUE, AIS, DTAC...ระดับ 9G...เพียงแต่ว่า"มือถือ"/เครื่องรับ/ตัวเรา....นั้นมี"จิตสำนึก"อยู่ในระดับใดและมีความสามารถในการเชื่อมติดต่อได้แค่ไหน? ถ้า 84,000 เซลล์สมอง-ก็คงแค่ 2G/ทรานซิสเตอร์ อ่ะนะ...หุหุหุ... ...ปัญหาคือ พอศึกษาในทางพุทธศาสน์แล้ว...ปัญญาระดับกระบือของผม-เข้าใจภาษากัมมัฏฐานยาก...คือยังนึกภาพออกมาเป็นภาษาโลกียะ-ลำบาก...ก็เลยต้องหันกลับไปหา-"ราก"...ทางสภาวะจิต จากบรรดา"โยคี"ฮินดูอารยันที่สอนคนทั่วไป และปราชญ์ทางพุทธที่เทศน์ลดระดับกับคนทั่วไปแอย่างเช่น พุทธทาสภิกษุ/ท่าน ปอ.ปยุตโต และหลวงปู่ธรรมยุตทั้งหลาย...รวมทั้งท่านทะไลดามะองค์ปัจจุบันด้วย... ...ที่ตลกคือ แปลคำ"ธรรม"จากภาษาอังกฤษนี้ - กลับเข้าใจได้ง่ายตามปัญญากระบือ - กว่าภาษา"ไทย"ซะอีก...หุหุหุ...เอางี้ เช่น เชื่อ/ศรัทธา...ภาษาอังกฤษใช้ 3 คำ 3 ระดับ คือ belief/faith/confidence ....ทีนี้ ถ้าเป้น "สติ" ก็ mindfulness ถ้า สัมปชัญญะ ก็ awareness...เห็นมั๊ย? ผมว่า ฟังรู้เรื่องง่ายกว่า -ไทยปนบาลี อ่ะนะ...
  • Patcharaboon Somnuek
    ทีนี้เรื่อง"จิต/mind" กับ "กาย/body"...คือ "นาม" กับ "รูป"เนี่ยะ...ก็เลยต้องเข้าไปหา...ว่า "สมอง" นั้นทำงานกับ "วิญญาณขันธ์/consciousness" ขึ้นมาได้อย่างไร? เพราะ "กาย" หรือ "สมอง" นั้นก็คือ"มือถือ/เครื่องจับ - พลังงานจิต" ของจักรวาลไง... ...ทีนี้ก็เลย...ต้องเข้าไปถึงอีกว่า...แล้ว"ชีวิต" - มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แบบว่า...อะไรคือ แบต/battery ของ"มือถือ/body"...คือถ้าวนไปทางพุทธ -ก็ต้อง "อิทัปปัจจยตา/ปฏิจสมุปบาท" แหะแหะแหะถ้าจะละเอียดอ่อนมากไปสำหรับปัญญากระบือ...ก็เลยวกไปทางตะวันตก...เพราะตะวันตกคือ วิทยาศาสตร์...และวิทยาศาสตร์ คือ เหตุผลเชิงรูปธรรม/เชิงวัตถุ...งายกว่า...หนังสือเดิมในบ้านก็ซื้อมาอ่านนานแล้วไว้เยอะ...เช่น ของท่านCarl Sagan, ท่าน Frank Cappa(อันนี้ฉบับแปล) คือ ชีวอินทรีย์ คืออะไร? อะไรทำให้เกิด สารอินทรีย์ ที่มีการเคลื่อนไหว/เจริญเติบโต/ขยายพันธุ์ได้...ขึ้นบนโลก....แหะแหะแหะ....ความจริงถ้าบอกว่า - "พระเจ้า"ทำขึ้นมา...หรือ"อิทัปปัจจยตา"ทำขึ้นมา....มันก็ง่าย....แต่ก้-ไม่รู้เรื่องอยู่ดีอ่ะเน๊าะ...คือ ตอบว่า มันเป็น "ยังงั้นแหละ/เช่นนั้นเอง/suchness"...ก็จบง่ายๆดิ่...แล้วชีวิตหลับเกษียณที่ไม่ต้องทำงานให้ใคร-กินบุญเก่าที่สะสมเอาไว้...ที่เหลืออยู่อีกตั้ง 35 ปี...มันก็จืดชืด...สมองฝ่อ/จิตเหี่ยว-ไปตามส่วนอื่นๆเลยอ่ะดิ่...ไปนะั่งหลับตาอยู่คนเดียวในที่วิเวก - ก้เสียดายที่ไม่ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่น....ให้มี 5Gกะเค้ามั่งอ่ะดิ่...
  • Patcharaboon Somnuek
    ...นึกถึงสมัยเรียน-อยากรู้อะไร...ก็ต้องไปห้องสมุด...ต้องอดข้าวไปซื้อหนังสือมาอ่าน...ลำบากยากเข็ญแท้ๆ...ถามใครๆไเค้าก็ตอบไปงั้นๆ...รู้แต่รำคาญที่เด็กๆอย่างเราชอบไปถามไม่เลิกแล้วยังเถียงได้ด้วยอีกตั่งหาก...พอมาตอนนี้ 5G มีเน็ต/มีกูเกิ้ล....อยากรู้อะไรๆก้… 
    See more
    • Like
    • Reply
    • 9m
    • Edited
  • Patcharaboon Somnuek
    ...มะวานไปซื้อข้างแกง/กาแฟ/ขนมหน้าห้างแฟชั่นไอส์แลนด์...รอห้างเปิดแปีบนึง...เจอพระภิกษุเดินหลบคนสวนมาบนทางเท้า...เลยนิมนต์เบี่ยงหลบผู้คนไปข้างๆเพื่อถวาบปัจจัย...ให้ไปร้อยนึง...ท่านให้ศีลให้พรบอกว่ากำลังจะไปรังสิต/เดือดร้อนค่าเดินทางอยู่พอดี...ผมก็เลยว่า...หลวงพ่อมาผิดทางแล้วอ่ะนะ...ถ้าไปรถเมล์/รถตู้ต้องข้ามถนนรามอินทราไปฝั่งโน้น/เพราะทางนี้ไปมีนบุรี-มันอ้อม...ที่โน้นเพราะถนนรามอินทรามันกว้างและต้องเดินข้ามตะพานข้ามสูง 5 เมตรอีกตั่งหาก...ทีนี้-ตามสันดานเชอร์ล็อค โฮล์ม...เห็นแต่แรกแล้วว่า หลวงพ่อท่าเดินกระเผลก/ขาพิการข้างหนึ่ง...เลยบอกว่า...เอางี้-นั่งแท๊กซี่ไปเลยดีกว่า...แต่หลวงพ่อเอาเงินร้อยนึงมาคืนผมก่อน/แล้วเอาแบ๊งค์ห้าร้อยที่เหลืออยู่อีกใบเดียวของผมนี้ไปแทน...จะได้พอ ค่ารถ...แบบว่าตังค์ผมเหมิ่ดกระเป๋าพอดี...เด่วจะไปซื้อข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือกไส้กล้วยขาประจำตรงโน้น/กับพวงมาลัยไหว้พระพรหม-ชาประจำอีกอ่ะแหละ...ส่วนสาวยาคูลท์เอาไว้วันหลังก้ได้(10 ขวด 70 บาท)เพราะมีลุกแล้ว...หุหุหุ...เดป็นอันว่า - มะวานผมดัน...ชี้ทางไปให้พระภิกาุแหล่ว...แถมช่วยให้ไปสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีก....ไม่รู๊ว่าจะบาปหรือไปทำร้ายใครเค้าได้อีก - ก็ชั่งหัวมัน(ยี่ปุ่นต้ม)แหละ...เน๊าะ.