เวลา, ที่ว่าง/อวกาศ และ จิต -
พูดคุยโดย คุรุเทพ
Time, Space and Mind -
A Talk by Sri Sri
ผู้ถาม: ...ที่คุรุเทพหมายถึงว่า
ใครก็ไม่สามารถติดตามคำสอนของปรมาจารย์ผู้อื่นทั้งหลายได้,
ใครคนใดจะสามารถมีมากกว่าหนึ่งคุรุได้ไหมครับ?
คุรุเทพ: โอ. มันยากเหลือเกินที่จะจัดการกับหนึ่งคุรุ(so
hard to manage one guru)โอเค?
มันไม่ง่ายนะ.
เคารพนับถือได้ทุกท่านแต่จงติดตามแค่หนึ่งมรรคา(respect
everybody but follow one path).
ให้เกียรติทุกท่าน(honor everyone)แล้วคุณจะมองเห็นปรมาจารย์ทั้งหลายทั้งหมดนั้นได้พูดในสิ่งเดียวกัน(all
that masters have said the same thing).
มีได้เพียงหนึ่งความสัจจริงเดียว(there
only one truth), ดังนั้นพวกเขาก็ต้องพูดในสิ่งเดียวกัน(so
they have said the same thing).
แต่วิธีการทั้งหลายนั้นแตกต่างกัน(the methods are different).
และอย่าได้มีข้อขัดแย้ง(conflict)เมื่อคุณอยู่บนมรรคา/เส้นทางนี้(on
this path), เพราะไม่ว่าเมื่อใดมรรควิถีใดก็ตาม(whenever
whichever path)ที่คุณอยู่ที่นั้นและพวกเขาได้มอบพรแก่คุณ(they
have blessed you)และเช่นนั้นเองที่คุณมาที่นี่และได้รับใช้มรรควิถีนั้นให้(you
have served those paths), คุณได้รับใช้ครูทั้งหลายเหล่านั้น(serve
those teachers), ปรมาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้น(those
masters)และการให้พรของพวกเขา(their blessing)ได้นำคุณมายังที่นี่(brought
you here)ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้านี้(with this conviction)คุณก็เคลื่อนไปข้างหน้า(move
forward).
โอเค. เพราะว่ามีมรรควิถีอยู่มากมาย(many
paths), ผู้หนึ่งอาจจะพูดว่า ทำไมท่านต้องพูดhumเหลือเกิน(why do
you say so hum)แล้วพูดว่า humza-humza นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องขั้นที่สี่(the
correct thing fourth)จะบอกว่าhumzaนั่นไม่ได้ถูกต้องดังนั้นhumก็ไม่โอเค.
ดังนั้น da so hum
da so hum คุณพูดว่า da so
hum da so hum และคุณก็ได้สับสนเหลือเกิน(get
so confused)ว่า da so hum so hum sohumza
อันไหนแน่.
ดังนั้นฉันควรจะพูดว่า มองเห็นหนึ่งในทั้งหมด
และทั้งหมดในหนึ่งเดียว เป็นดุจหลักใหญ่(as a principle),
ให้เกียรติเคารพทุกคนและติดตามเพียงหนึ่งมรรควิถี(honor
everyone and follow one path). และฉันบอกคุณได้ว่า ไม่มีใครจะโกรธคุณ,
แน่นอนที่สุดเลยว่าไม่.
ผู้ถาม: ท่านจะทำอย่างไรถ้าคุรุของท่านไม่พอใจกับคุณ(your guru is displeased with you)?
ท่านจะทำอย่างไรถ้าคุรุของท่านไม่ชอบใจในคุณ?
คุรุเทพ: คุณทำความก้าวหน้าได้เร็วไป(you
make fast progress).
ท่านคุรุ(guru)ไม่พอใจอย่างเข้มงวดเคร่งครัด(is
displeased rigor)กับความก้าวหน้าของคุณ(your
progress), ดังนั้นในตอนนี้คุณก็ต้องรีบลุกขึ้น(big get
up)และก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น(progress
more), วิ่งให้เร็วเลย(run fast).
หุหุหุ.
ผู้ถาม: คุรุจีครับ,
มีการเชื่อมโยงติดต่อใดๆบ้างไหมของอารมณ์ท่าน(your
mood)กับจังหวะเวลาของวัน(with the timing of the day)
ทำไมเราถึงได้รู้สึกแตกต่างกันในจังหวะเวลาที่แตกต่างกันทั้งหลาย(feel
different in different timing of the days)
เหมือนเช่น คนหนึ่งรู้สึกจิตตก(feel low)ในเวลากลางคืน.
คุรุเทพ: หือ?
ผู้ถาม: คุรุจีครับ,
มีการเชื่อมโยงติดต่อใดๆบ้างไหมครับ ของอารมณ์กับจังหวะเวลาของวัน(is
there any connection with mood with the timing of the day)?
ทำไมเรารู้สึกแตกต่างกันไปในจังหวะเวลาที่แตกต่างกันทั้งหลาย เหมือนเช่นผมรู้สึกจิตตก(feel
low)ในเวลากลางคืน.
คุรุเทพ: ช่าย, ช่าย เวลาและจิตนั้นเชื่อมต่อกัน(time
and mind are connected), คุณควรรู้ในเรื่องนี้. เวลาและจิตมีความหมายพ้องกัน(time
and mind are synonymous). สิ่งเหล่านี้มีแปดแก่นแท้(these
there are eight substances)............
ทั้งหมดเหล่านี้ผู้คนได้พูดว่า...........พวกเขาได้แบ่งปัน(share)ที่ว่าง(space),
กาล(kala)/เวลา(time)และจิต(mind).
พวกเขาทั้งหมดคือทัตวาหลัก(Tatwas principles1- ธาตุ/หลักการ)และธาตุ/หลักทั้งหมดเหล่านี้(all
these principles)ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are
connected).
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Tattva
1 https://hmong.in.th/wiki/Tattvas
เดชา(Desha)และกาละ(Kala)ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are
connected), ที่ว่าง/อากาสะ(space)และเวลา/กาละ(time)ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are
connected).
หนึ่งวันบนดาวเคราะห์โลกนี้(one
day on this planet earth)ได้เป็นหกวันอื่นไปแล้วในดวงจันทร์นั่น(is
already six days in another moon). ถ้าคุณอยู่ในดวงจันทร์มันแตกต่างไป.
ดังนั้นถ้าคุณอยู่ในดาวพฤหัสบดี(Jupiter),
หนึ่งปีของมนุษย์โลก(one human year)ก็เป็นแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น(only one
month). ดาวพฤหัสบดี(Jupiter)ก็คือจูปิเตอร์,
ถ้าคุณต้องมีประสบการณ์รับรู้(have to experience)หนึ่งปีที่นั่นคือออกไปกว่า
12 ปีของเวลาอย่างที่บนโลก(earthly time). เพราะว่าดาวพฤหัสบดี(Jupiter)ใช้เวลา
12 ปีในการโคจรรอบดวงอาทิตย์(Sun).
ถ้าคุณอยู่บนดาวเสาร์(planet
Saturn) 30 ปีก็คือ 1 ปี. เช่นเดียวกันกับพลูโต(Pluto),
ผู้คนผู้ที่ได้ตาย, หนึ่งปีของมนุษย์เราคือหนึ่งวันสำหรับพวกเขา. ดังนั้นหกเดือนของเราก็เป็นแค่หนึ่งคืนเท่านั้นและอีกหกเดือนก็เป็นแค่กลางวันเดียว.
ดังนั้นทั้งหนึ่งปี(one whole year)นั้นเป็นสำหรับจิตวิญญาณ/ตัวตน(for a
soul)ที่ถูกแยกสิ้นอายุขัย(is departed)เป็นเพียงแค่หนึ่งปีไกลออกไปเท่านั้น.
ดังนั้นจึงมีเวลาที่แตกต่างกัน(different
time)ในที่ว่าง/เทศะที่แตกต่างกัน(in
different space)ในมิติที่แตกต่างกัน(in
different dimensions).
ดังนั้นเวลาและอวกาศ/ที่ว่างจึงถูกเชื่อมติดต่อกัน(time
and space are connected)มันจึงถูกเรียกว่าเวลา อวกาศ/กาลเทศะ(time
space)โยงเข้ากัน. เป็นหนทางเดียวกันที่เป็นมิติที่3(the
third dimension)นั่นก็คือจิต(mind).
ดังนั้น, จิต(the
mind), จิตสำนึกที่ล่วงพ้นไร้ซึ่งเหตจุผล(the
mindless transcendental consciousness)ได้ถูกเรียกว่า มหากาล(Mahakala). ศิวะ(the Shiva)สภาวะที่สี่ของจิตสำนึก(the fourth state of consciousness)มันถูกเรียกว่า มหากาลัม(Mahakalum), มันคือเวลาอันยิ่งใหญ่(a
great time).
และการไม่มีจิตมันก็คือไม่มีจิต(the no
mind it is no mind). การไม่มีจิตนั้นคือเวลาอันยิ่งใหญ่(the
no mind is great time).
ดังนั้นในตอนเช้า(morning)จาก
4:30 ถึง 6:30, แค่ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น(just
before sunrise), ก่อนรุ่งอรุณ(before dawn), ถูกเรียกว่าเป็นเวลาของการสร้างสรรค์มากที่สุด(the
most creative time)……
หลังจากนั้นแล้ว,
ทุกสองชั่วโมงมันถูกเรียกว่า ลัคนา(lagna)หมายถึง
หนึ่งหน่วยเวลา(one unit of time),
และหน่วยของเวลานี้สัมพันธ์กันกับสภาวะของจิติ(corresponds
to the state of mind).
และอีกครั้งที่สิ่งนี้ถูกเชื่อมติดต่อกันกับ(is connected with)ตำแหน่งของดวงจันทร์(the moon’s position), กับตำแหน่งของดวงอาทิตย์(with the sun’s position).
ทั้งหมดนั้นมีหลายรูปลักษณ์เหลือเกิน(so
many aspects)ราวสิบรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน(about
ten aspects)ที่มีอิทธิพลต่อจิต(influence
the mind).
ดังนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เวลา(the
time)หรือขั่วโมงของวัน(hour of the day)ที่ส่งผลกระทบต่อจิต(that
affects the mind), รวมทั้งคุณภาพของวันทั้งหลาย(the
quality of the days)ที่มีผลกระทบต่อจิต(affect
the mind).
ทุกๆสองวันครึ่ง(every two and a half day)จิตจะเปลี่ยนแปลง(the
mind changes). อารมณ์ของจิต(the
mood of the mind).
ดังนั้นถ้าคุณวิตกกังวล(upset)ในวิถีโดยพิเศษเฉพาะ(particular
mode), มันจะดำเนินไปสองวันครึ่งเป็นอย่างมากที่สุดที่จะจบสิ้นลง(will
continue for two and a half maximum to end up).
มันไม่จำเป็นต้องเป็นสองวันครึ่ง(two and a half days),
มันลุกขึ้นไปจนถึงยอดสุดแล้วก็ร่วงลง(rises to a peak and drops). แต่หลังจากสองวันครึ่ง, คุณไม่สามารถจะมีอารมณ์รู้สึกอันเดียวกันกับความเข้มข้นรุนแรงเช่นเดิมได้(cannot
have the same emotion with same intensity), เป็นไปไม่ได้.
มันสับสวิทช์เปลี่ยน.
มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง(the
great great science)ว่า จิต(mind),
อารมณ์รู้สึก(mood)และเวลา(time)ได้ถูกเชื่อมติดต่อกัน(are
connected)ได้อย่างไร? คุณรู้ไหท, โยคีศาสตร์(yogishastra)มีอะไรมากมายของความเข้าใจลึกซึ้งทั้งหลายในเรื่องนี้(lots
of insight things into it). คุณรู้ไหม, โหราจารย์ทั้งหลาย(astrologers)ทั้งหมดเหล่านี้มักจะคอยรักษากาละอยู่เป็นคอลัมน์ทั้งหลายรายสัปดาห์(weekly
column)ของนักโหราพยากรณ์บอกว่า, โอ เป็นเวลาที่ดีสำหรับสัมพันธภาพ(good
foe relationship), ดีสำหรับทำเงิน(good
for making money)อย่างนี้อย่างนั้น,
พวกเขาเขียนสิ่งเหล่านี้. คุณรู้ไหม, พวกเขาสรุปเกณฑ์(generalize)สิ่งเหล่านี้จาที่ว่าถ้าคุณเกิดในช่วงเวลานี้,
แล้วนี้ก็จะเป็นเวลาที่ดีสำหรับคุณและคุณก็ทำสิ่งนี้.
แน่นอนว่ามันธรรมดาสามัญเกินไป(too
generic), และกับพวกเขามันเป็นเพียงแค่สิ่งทำเงิน(money-making
things)ที่พวกเขากำลังพูดถึง. แต่มันไม่ใช่การหลอกลวง(hoax),
มีจำนวนเล็กน้อยมากของความสัจจริงอยู่ในมัน(iota of the truth in it).
มีจำนวนน้อยนิดอยู่ภายหลังที่ความสัจจริงคือแก่นหลัก(the
principle)นั้นเป็นถูกต้อง. ความสัจจริง(the truth)ก็คือเวลาและจิตนั้นได้เชื่อมติดต่อกัน(time
and mind are connected).
จิต/ใจ(mind)หมายถึงอารมณ์รู้สึกของความคิดทั้งหลาย(means
moods of thoughts), ความคิดเห็นทั้งหลาย(opinions),
ความนึกคิด/มุมมองทั้งหลาย(ideas), สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เราสะสมรวบรวมไว้(collect).
และไม่มิจิตใดที่เป็นฌานสมาธิ(no
mind is meditation). ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่คุณทำฌานสมาธิ(meditate),
นั่นคือทำไมมันถึงได้พูดว่าในตอนรุ่งเช้าและตอนเย็นก่อนค่ำที่คุณทำสมาธิ(dawn
and dusk you meditate)หรือเมื่อใดก็ตามที่เป็นเวลาเลวร้าย(whenever
the bad time)นั่นที่คุณทำสมาธิ,
คุณทำสมาธิคุณออกไปจากอิทธิพลนั้นของจิต(go off the influence of the mind)และเข้าไปในตัวตน/อัตตา(go
into the self). และตัวตน/อัตตา(the
self)นั้นก็คือ ศิวะ ทัตวา(shiva tattwa).
ศิวะ(shiva)หมายถึง
เมตตากรุณาอยู่เสมอ(always benevolent), ห่วงใย(caring),
รัก(loving),
ยกจิตให้สูงขึ้น/ยินดีปรีดา(uplifting).
จิตสำนึกนั่นที่ลึกอยู่ภายในคุณซึ่ง(that consciousness deep within
you which)ห่วงใย, รัก, ยกจิตขึ้น/ยินดีปรีดา(caring,
loving, uplifting)และเมตตากรุณา(and
benevolent), จะทำให้อิทธิพลเชิงลบทั้งหลายของจิตและเวลา(negative
influences of the mind and time)นั้นไม่ได้ผล/ไร้ค่า(nullify).
ดังนั้นในอินเดียมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก(very
common)ที่เชื่อว่า, เมื่อใดก็ตามที่มีเวลาเลวร้าย(whenever
is bad time)ก็แค่พูดว่า โอม นะมะหะ ศิวายะ(om
nama shivaya)แล้วมันก็จากไป,
ทั้งหมดของเวลาเลวร้ายนั้นก็จากไป(all that time is gone).
เพราะว่า นะมะหะ ศิวายะ(nama shivaya)ได้พูด,
จิต(the mind) มะนะหะ(manaha)หมายถึง
จิต(mind)เมื่อมันผันกลับ(reverse),
ถ้าคุณอ่านมันบนอีกด้านอื่น(read the other side)มันก็จะกลายเป็น
นะมะหะ(namaha).
มะนะหะ(manaha)คือเมื่อจิตสำนึก(consciousness)ออกไปที่ในโลกภายนอก(goes
outside in the world)นั่นคือ จิต(that
is mind). นะมะหะ(namaha)คือเมื่อจิตสำนึกกลับไปด้านใน(consciousness
goes inward).
ศิวายะ(shivaya),
ไปสู่หลักแก่นของศิวะ(towards the shiva principle).
สภาวะที่สี่ของจิตสำนึก(the fourth state of consciousness).
รูปลักษณ์อันละเอียดที่สุดของการมีชีวิตอยู่(the subtlest aspect of the
existence).
แต่ นะมะ ศิวายะ, เมื่อจิตไปสู่ชั้นรากฐานเบื้องต้นของการสร้างสรรค์(the
mind goes towards the basic substratum of creation),
แล้วมันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด(it can change all),
ทั้งหมดนั้น, เข้าไปสู่ประสบการณ์รับรู้ถึงความเมตตากรุณายิ่งขึ้น(into
more benevolent experience).
โอเคมั๊ย?