หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ดร ริชาร์ด ดีเซนโซ – “ความแตกต่างระหว่าง สมอง และ จิต”

 

ดร ริชาร์ด ดีเซนโซ – ความแตกต่างระหว่าง สมอง และ จิต”

"Difference Between the Brain and Mind"

 

ดร.ริชาร์ด ดีเซนโซ: (จากบรรณาธิการของหนังสือ “BEYOND MEDICINE” เขียนถึงไว้ว่า)เป็นนักประพันธ์, นักพูดระดับนานาชาติ, ผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพ(care expert), มีประสบการณ์มากว่าสามสิบปีในการบำบัดรักษาอาการเรื้อรังจากเส้นเสียงอัมพาต(the  chronic symptom of VCD)ด้วยการใช้ชุดเงื่อนไข/ข้อแม้ทั้งหลายที่จะแปลความหมายเป็นผลที่ได้รับทั้งหลายจาก Matrix Assessment Profile (M.A.P.)ของเขา. ด้วยประสบการณ์ทางคลินิกอย่างกว้างขวางของเขา, เขาจึงเป็นผู้นำในกลุ่มผู้มีอำนาจใน"Whole Person Therapy." ใช้ภูมิหลังการพิจารณาตัดสินใจในชีวเคมีของมนุษย์(human biochemistry)และโภชนาการโมเลกุลบำบัด(Orthomolecular Nutrition), เขายังได้ช่วยเหลือผู้คนหลายพันทั่วโลกที่ป่วยด้วยโรคซึ่งไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ทั้งหลาย(undiagnosable symptoms)ในกาที่จะฟื้นฟูสุขภาพของพวกเขาโดยปราศจากการใช้บาหรือการผ่าตัด.





สวัสดีทุกคน, ผม ดร ริชาร์ด ดีเซนโซ วันนี้ผมต้องการที่จะตอบสนองต่อหนึ่งในคำถามที่ผมถูกถามกันมาบ่อยครั้งมากที่สุด(get asked most frequently)ในการเกี่ยวพันกับ(in dealing with)การแปลความหมายของเค้าโครงการประเมินแบบmatrix(the interpretation of the matrix assessment profile). เพราะว่าดังที่คุณได้ทราบดี, สามอิทธิพลหลัก(three major influences)ที่จะบงการความสมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียวของสภาพแวดล้อมทางชีวภาพของคุณ(dictate the integrity of your biological environment)ก็คือ โครงสร้างของคุณ(your structure), ชีวเคมีวิทยาของคุณ(your biochemistry)และ ชุดความคิดของคุณ(your mindset – ผังความคิด). โลกเสมือนจริง(the virtual realm), ทัศนคติทางจิตศาสตร์, ทางอารมณ์รู้สึก, กระทั้งทางจิตวิญญาณ/ศาสนา(the psychological the emotional even spiritual aspect)ในประสบการณ์รับรู้วันต่อวันของคุณ(of your day-to-day experience).

และในการถามคำถามทั้งหลายนั้นได้เชื่อมโยงไปยังแนวความคิดนี้(related to this concept). หนึ่งในพวกนั้นที่ขึ้นมาถี่ๆมากที่สุด(comes up most frequently)คือ, เอ้อ, อะไรคือความแตกต่างระหว่าง สมองกับจิตใจ? และมีความแตกต่างนั้นหรือไม่?

เอาละ, ที่จริงแล้ว, มันมี. เพราะว่า สมองนั้นที่จริงแล้วเป็นแค่โครงสร้าง(the brain is actually a structure). มันเป็นเครื่องแปลงไฟ/เครื่องแปลงสัญญาณ(a transformer), ถ้าคุณประสงค์. และจิตนั้น(the mind)โดยพื้นฐานแล้วคือ ประสบการณ์รับรู้(the mind is basically an experience), ฐานรากสำหรับประสบการณ์รับรู้ของคุณ(a fundamental for your experience).

ดังนั้น, ความรู้สึกทั้งหลาย(the feelings), อารมณ์ทั้งหลาย(the emotions), ความคิดทั้งหลาย(the thoughts), พฤติกรรมทั้งหลาย(the behaviors), การกระทำทั้งหลาย(the activities)ที่คุณจินตนาการ(imagine)ที่คุณอยากจะเข้าไปถูกผูกพันด้วย(would like to be engaged in), หรือชีวิตที่คุณปรารถนาที่จะสามารถได้มีชีวิตอยู่แต่คุณไม่ได้เป็น(the life that you wish that you could be living that you’re not). แต่คุณก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร, คุณไม่รู้ว่าทำไม, และเช่นนั้นคุณถูกนำไปตามลำดับบนการเดินทางอันฟั่นเฟือนวุ่นวาย(subsequently you are led on a frantic journey)ผ่านมืออาชีพทั้งหลายในการดูแลสุขภาพอย่างมากมายมหาศาล(a myriad of health care professionals), ผู้อย่างสมบูรณ์สุด(who ultimately)จบลงด้วยการบอกกับคุณด้วยหนึ่งในความหลากหลายของสิ่งทั้งหลาย(one of a variety of things).

บอกว่า, เราไม่สามารถค้นพบว่ามีอะไรผิดปกติอต่อย่างใด(we can’t find anything wrong), อาการโรคทั้งหลายนั้นเป็นปกติสำหรับวัยของคุณ(the symptoms are normal for your age), เราต้องรอดูว่าจะพบอะไร(have to wait and see). เราต้องดำเนินการทดสอบทั้งหลายอีกgot to run more tests).

หรือไม่ก็, อาการโรคทั้งหลาย(the symptoms)นั้นทั้งหมดอยู่ในหัวของคุณ(all in your head). และกับขอบเขตนั้น(to extent).

บางทีนี่อาจะเป็นความจริง(probably true)เมื่อคุณพิจารณาตัดสินเอาว่า ความจริงนั้น(the fact)คือว่าสมอง(the brain)คือที่จริงแล้วรับเอาความน่าประทับใจทั้งหลายของข้อมูลเข้ามา(actually taking in information impressions)ผ่านห้าประสาทสัมผัส(through five senses)และพลิกเปลี่ยนมันไปเป็นรูปของ(converting it into a form of experience). ที่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของคุณ(part of your personality), และกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณลักษณะของคุณ(part of your character), ในขณะที่คุณดำเนินต่อไปที่จะมีอายุเพิ่มขึ้น(continue to age).

ตอนนี้, มีอยู่มากมายของส่วนที่เคลื่อนไหว(a lot of moving parts)กับสมอง(to the brain), สมองเชิงกายภาพ(the  physical brain), และระบบประสาทของมันเอง(and nervous system itself)และมันน่าจับใจมากที่จะไปผ่าน(fascinating to go through). และมันก็ใช้เวลาของผมอย่างมากมายที่โรงยิม(the gym)เมื่อผมไม่ได้เอาใจใส่ที่จะออกกำลังกาย(not pay attention to working out). แต่ผมก็พยายามที่จะแยกตนเองจากการกระทำด้านกายภาพที่แท้จริง(to distract myself from the actual physical activity)ของการยกน้ำหนักทั้งหลาย(of lifting weights).

ผมจะฟังอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเปลือกสมองส่วนหน้า(the prefrontal cortex)หรือกลีบสมองด้านหน้าส่วนเจริญสติ(the anterior cingulate gyrus1- ส่วนหน้าของเปลือกสมองเป็นส่วนของระบบประสาทอิสระ)หรือกลุ่มนิวเคลียสอะมิกดาลาของสมองกลีบขมับส่วนกลาง(the amygdala2)หรือใดๆของส่วนที่มีชื่อเสียงทั้งหลายของสมองที่เป็นสิ่งสำคัญ.

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2

แต่มีมากมายเหลือเกินของพวกเขาและในตัวของพวกเขาเอง(in and of themselves)ได้มีลักษณะสำคัญเพียงน้อยนิดอื่นใดไปกว่า(have very little significance other than)ความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งหมดมีสัมพันธภาพด้วย(they all have a relationship). ดังนั้น, สำหรับทุกกิริยาเคลื่อนไหว(every action)ก็จะมีปฏิกิริยา(a reaction).

 และตรงกันข้ามกับความเชื่ออันโด่งดัง(contrary to popular belief), มันอาจจะไม่เป็นถึงปฏิกิริยาที่เสมอภาคและตรงกันข้ามกันสิ้นเชิง(an equal and opposite reaction), เพราะว่ามันชนกระทบพื้นที่อิทธิพลที่หลากหลายทั้งหมด(impacts all the various areas of influence)ที่ประกอบกันด้วยสภาพแวดล้อมเชิงชีวภาพ(comprise the biological environment). และพวกเขาประกอบประสบการณ์รับรู้วันต่อวันของคุณเข้าด้วยกัน(comprise your day-to-day experience of).

ดังนั้นแล้ว, สำหรับตัวอย่างก็เช่น, เอาสถิติอย่างง่ายๆแบบว่าค่าเฉลี่ยบุคคล(the average person)สูญเสียการเพ่งความสนใจ(loses focus), พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ, พวกเขาเลิกให้ความสนใจ(they quit pay attention)ในอะไรก็ตามที่พวกเขากำลังทำอยู่, เป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่เจ็ดส่วนสิบครั้งต่อนาที(on average seven to ten times a minute). นั่นเป็นเวลาล่าช้าที่มากมาย(a lot of lag time)ในประเด็นของสุขภาพดี.

เพราะว่าพลังงานไหลไปยังที่ซึ่งความสนใจไปจับอยู่(energy flows where attention goes). ถ้าความสนใจของผมเลื่อนออกไปเจ็ดส่วนสิบครั้ง(drift off seven to ten times)ทุกหนึ่งนาที, นั่นก็คือมีห้องมากมายทั้งหมดสำหรับคุณที่จะไม่สนใจต่ออะไรที่มันเป็น(there’s a whole lot of room for you not to pay attention to what it is), ที่คุณสามารถที่จะได้ทำหรือที่ควรจะได้ทำเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันเป็นที่คุณไม่ชอบเกี่ยวกับชีวิตของคุณ.

ตอนนี้สิ่งนี้ได้ถูกเชื่อมโยงโดยตรงกับแนวความคิดอีกอันหนึ่ง(directly linked to another concept). และแนวความคิดนั่นก็คือ ภายในอาณาจักรเสมือนจริงที่เราได้มีความคิดทั้งหลาย(within the virtual realm we have thoughts)และความคิดทั้งหลายเหล่านี้กำเนิดเริ่มต้นขึ้น(originate)ผ่านระบบกลไกของสมอง(through the mechanism of the brain), พลิกเปลี่ยนความประทับใจทั้งหลายที่เข้ามาข้างในผ่านประสาทรับรู้ทั้งหลายนั้น(converting impressions coming in through the senses)ไปเป็นประสบการณ์รับรู้ที่แท้จริง (into actual experience).

ทีนี้, ขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ไปปรึกษา(depending on who you consult), เราถูกบอกว่าโดยค่าเฉลี่ยแล้ว(on average), ปัจเจกบุคคล(an individual)จะมีห้าสิบถึงเจ็ดสิบพันความคิดต่อวัน(will have fifty to seventy thousand thoughts per day).

ตอนนี้, นี่แหละที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาก็คือว่า, เมื่อคุณนำมารวมเข้าด้วยกันนั้นกับองค์ประกอบของความสนใจซึ่งขาดพร่องอยู่(combine that with the attention deficit factor). และความจริงที่ว่าคุณกำลังมีห้าสิบถึงเจ็ดสิบพันความคิดต่อวันอยู่, แต่ 90 เปอร์เซ็นต์ของห้าสิบถึงเจ็ดสิบพันความคิดต่อวันเหล่านั้นคืออันเดียวกัน(the same ones)กับที่คุณมีเมื่อวานนี้. แล้วถ้าพลังงานไหลไปยังที่ซึ่งความสนใจได้ไปยังที่ซึ่งคุณไม่ได้ใส่ใจ(do not pay attention)เจ็ดถึงสิบครั้งทุกนาที, คุณก็จะมีอันเดียวกันของห้าสิบถึงเจ็ดสิบพันความคิดทั้งหลายในวันนี้กับที่คุณมีเมื่อวานนี้.

แล้วคุณก็สงสัยไปว่าทำไมอะไรที่คุณต้องการจะได้เปลี่ยนในชีวิตของคุณถึงไม่ได้กำลังเปลี่ยนไปในหนทางที่คุณต้องการ(why what you want changed in your life is not changing in the way that you want).

และแล้วเราก็เห็นว่าแกนของฐานราก(the core foundation)สำหรับสภาวะลำบากนี้(this dilemma). และดังนั้นเพื่อที่จะคลี่คลายแก้ปัญหาสภาวะลำบากนี้(in order to solve this dilemma),หนึ่งในกลยุทธทั้งหลายดีที่สุด(one of the best strategies)ก็คือปรับเปลี่ยน(alter)สิ่งที่ป้อนเข้ามานั้น(the input), พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ, เปลี่ยนแปลงอะไรที่มันเป็นที่เรากำลังคิดเกี่ยวกับมัน(change what it is that we’re thinking about), แนะนำถึงสิ่งที่ป้อนเข้ามาใหม่และแตกต่างออกไป(introduce new and different input).

เพ่งความสนใจไปที่สิ่งที่ป้อนเข้า(focus on that input), พูดอีกอย่างก็คือ, ให้ความสนใจที่มัน(pay attention to it).

และในฐานะที่เป็นผลสืบเนื่องสำคัญ(a consequence), แนวความคิดของความยืดหยุ่นของสมอง(the concept of neuroplasticity3- กระบวนการเปลี่ยนแปลงข้ามระบบประสาท)

         3 https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97

กลายมาเป็นความหมายที่เป็นจริง(becomes a reality meaning)ว่าสมองนั้นเต็มไปด้วยความสามารถของการที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีที่คุณมีประสบการณ์รับรู้กับสิ่งทั้งหลาย(the brain is fully capable of changing the way you experience things)เป็นเช่นผลลัพธ์ของทักษะความสามารถของมัน(as a result of its ability)ที่จะปรับเปลี่ยนเส้นทางข้ามระบบประสาทที่ยืดหยุ่นในการสมาคมกัน(alter the neuroplasticity pathways associated), สมาคมกันด้วยความเชื่อทั้งหลาย(beliefs)กับพฤติกรรมทั้งหลาย(behaviors)และทัศนคติทั้งหลาย(attitudes)และอารมณ์รู้สึกทั้งหลาย(feelings – เวทนาขันธ์)และความคิดทั้งหลาย(thoughts).

และจากนั้นเมื่อคุณจัดประกอบของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดเข้ามาด้วยกัน(factor all these things in together), อย่างสัมบูรณ์สุด(ultimately), อะไรที่บังเกิดขึ้นภายใน(what happen within)คือในช่วงเวลาราว 21 ถึง 46 วัน(a 21 to 46 days period of time), ถ้าคุณให้ความสนใจต่อกระบวนการ(pay attention to the process), คุณก็กำลังจะได้เห็นว่าคุณได้มีประสบการณ์รับรู้ที่โดดเด่นหนึ่งเดียวและแตกต่างออกไป(that you’re having a unique and different experience). บนพื้นฐานในแต่ละวันซึ่งสอดคล้องกันยิ่งขึ้นและคงเส้นคงวายิ่งขึ้น(on day to day basis that’s more congruent and more consistent)กับอะไรก็ตามที่คุณต้องการจริงๆที่จะมีประสบการณ์รับรู้(what it is that you really want to experience).

ดังนั้น, เราได้มีข้อมูลอีกมากมายที่จะแบ่งปันให้กับพวกคุณเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้. มีข้อมูลอีกอย่างมากที่มีประโยชน์กับsiteส่วนสมาชิกภาพของเรา, และมีกองพะเนินมากมายของภาพและเสียงใหม่ๆที่ได้อยู่ในกระบวนการของการพัฒนาการติดต่อสัมพันธ์อยู่, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, ในประเด็นเรื่องนี้. จนถึงตอนนั้น, ผม ดร ริชาร์ด ดีเซนโซ และขอขอบคุณสำหรับการรับฟัง.

https://youtu.be/lss3dsDmW7U



วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

โดนัลด์ ฮอฟฟ์แมน - อะไรคือจิตสำนึก/วิญญาณขันธ์/ตัวรู้-ธาตุรู้?

โดนัลด์ ฮอฟฟ์แมน - อะไรคือจิตสำนึก/วิญญาณขันธ์/ตัวรู้-ธาตุรู้?

Donald Hoffman - What is Consciousness?

 

พิธีกร:   โรเบิร์ต ลอว์เรนซ์ คูห์น(เกิด 1944) เป็นนักยุทธศาสตร์ความร่วมมือนานาชาติ, ปัญญาชนสาธารณะ และที่ปรึกษาทางการเงิน(a public intellectual, international corporate strategist and  investment). เขาสำเร็จปริญญาเอกด้านประสาทวิทยา(neuroscience)และเป็นนักประพันธ์และบรรณาธิการของหนังสือกว่า 25 เล่ม. เขาได้รับ เหรียญมิตรภาพการปฏิรูปประเทศจีน(a China Reform Friendship Medal), รางวัลสูงสุดของจีน; เขาเป็นที่ปรึกษาอย่างยาวนานให้กับผู้นำจีนและรัฐบาลจีน, ต่อความร่วมมือหลากหลายระหว่างประเทศ(to multinational corporations)บนยุทธศาสตร์และการดำเนินการทั้งหลายของจีน, และเป็นผู้วิจารณ์(a commentator)บ่อยครั้งทางด้านการเมือง, เศรษฐกิจ, ธุรกิจ, การคลัง, ปรัชญาและวิทยาศาสตร์กับประเทศจีน. ฯลฯ

          1 https://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Lawrence_Kuhn



ผู้ร่วมสนทนา:   โดนัลด์ ดี. ฮอฟฟ์แมน(เกิ ด ธันวาคม 29, 1955) เป็นนักจิตวิทยาด้านพัฒนาการสติปัญญาชาวอเมริกัน(an American cognitive psychologist)และนักประพันธ์เรื่องวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง. เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ คณะพัฒนาการสติปัญญาศาสตร์(the Department of Cognitive Sciences)ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย, เออร์ไวนิ์, ด้วยการเป็นอาจารย์สหคณะวิชา(joint appointments)ในคณะปรัชญา(the Department of Philosophy), คณะตรรกะศาสตร์และปรัชญาวิทยาศาสตร์(the Department of Logic and Philosophy Science), และในแผนกสาขาวิชา วิทยาการคอมพิวเตอร์(the School of Computer Science). ฯลฯ

          2  https://en.wikipedia.org/wiki/Donald_D._Hoffman



พิธีกร ร. ล. คูห์น:      ดอน, ในปี 1979-1980 คุณกับผมต่างทั้งคู่อยู่ที่ MIT, ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสมองและจิตสำนึกทั้งหลาย(getting involved in brains and consciousness), ใช่, ดังนั้นภายหลังช่วงเวลานั้นทั้งหมดแล้ว, คุณบอกผมทีคุณคิดว่าจิตสำนึกคืออะไร(what consciousness is).

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      เอาละ, มุมมองทั้งหลายของผมเป็นอะไรที่ผิดธรรมสักเล็กน้อย(a bit unusual)ผมคิดว่าจิตสำนึก(the consciousness - วิญญาณขันธ์)คือรากฐานของจักรวาล(is fundamental in the universe). ผมคิดว่ามันไม่ใช่ผลผลิตของ อวกาศและเวลา(a product of space and time)หรืออะไรเลยที่อยู่ข้างในอวกาศและเวลา(anything inside space and time).

         ผมคิดว่าความพยายามที่จะสืบทอดจิตสำนึก(efforts to derive consciousness)จาก อวกาศและเวลา(from space and time), ไม่ว่าจะโดยทฤษฎีอัตลักษณ์/ความเหมือนกันทั้งหลาย(either by identity theories)หรือโดยทฤษฎีความบังเอิญ(by casual theories)ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้การไม่ได้(have proven ineffective).

และผมได้ถูกบังคับให้ยอมรับเอามุมมองนั้นที่ว่าจิตสำนึก(consciousness - วิญญาณขันธ์/ตัวรู้/ธาตุรู้)คือรากฐานในจักรวาลอย่างแท้จริง(is actually fundamental in the universe).

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      เอาละ, ทุกคนผู้ที่เราได้ทำงานด้วยกับทุกนักประสาทวิทยาศาสตร์(with every neuroscientist)ที่ MIT ตอนนั้นแล้วก็มาถึงตอนนี้, จะเชื่อว่าจิตสำนึกเป็นผลผลิตจากสมองของเรา(that consciousness is a product of our brain). สมองของเราคือ ผลผลิตโดยอุบัติบังเอิญของวิวัฒนาการ (an accidental product of evolution). แล้วเราก็โผล่พรวดออกมาที่จะมีจิตสำนึกขึ้น(emerge to have consciousness)ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ลงตัว(for some fitness reason)และ, ทั้งหมดก็แค่นนั้น, มันอาจจะไม่ได้เป็นความจำเป็นอะไร(may not have been necessary)และเราก็มีมัน(have it)และเหตุผลที่เราคิดว่ามันเป็นความสำคัญ(it’s important)ก็เพราะว่าเรามีมันและใครที่กำลังถามนั่นกันล่ะ(who are asking)?

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      เอาละ, ผมคิดว่าหลักฐานในเรื่องวิวัฒนาการนั้นค่อนข้างแข็งแรง(the evidence for evolution is quite strong), ดังนั้นผมจึงไม่ถามในเรื่องของวิวัฒนาการ(don’t question evolution). แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้ทฤษฎีเกี่ยวกับการที่ว่า จิตสำนึกสามารถโผล่พรวดออกมาจากการทำงานของสมองได้อย่างไร(about how consciousness could emerge from brain activity). และผม, คุณก็รู้, ผมต้องยอมรับว่าผมได้พยายามด้วยตนเองมาเป็นเวลานาน(have to admit that I’ve tried for a long time)ที่จะเข้าใจว่าการกระทำของสมองสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร(how activity brain could cause)

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      อะไรที่มันเกี่ยวกับจิตสำนึก(what is it about consciousness)ที่เป็นเหตุให้คุณทำการแยกต่างอย่างรุนแรงเช่นนั้นจากปกติของทุกคน(make such a radical departure from everyone normal)?

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      เอาละ, แน่นอน, ผมไม่ใช่คนเดียวเท่านั้นในสาขานี้ที่คิดหนักในปัญหานี้(think the problem’s hard). ดังนั้นมันค่อนข้างจะเป็นปกติที่จะคิดว่าปัญหานี้ยากมากๆและ ความแตกต่างของผม(my departure)จากการพยายามของนักฟิสิกส์(from physicist attempt)คือส่วนหนึ่งที่มีอยู่สองสามเหตุผล. หนึ่งนั้นคือมันเป็นกลยุทธการค้นหาที่ดี(one is it’s a good search strategy), ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะแก้ปัญหาหนึ่ง(you’re trying to solve a problem)และทุกคนกำลังค้นหาในส่วนหนึ่งของพื้นที่ค้นหา(searching in a part of a search space). ถ้า 99 ของนักค้นคว้า/ค้นหาทั้งหลายไปรวมอยู่กันในที่หนึ่งเดียวของพื้นที่ค้นหา(are in one part of the search space), นั่นก็ไม่ใช่กลยุทธที่ได้ผล(not an effective strategy). เราจำเป็นต้องการนักค้นคว้า/ค้นหาสักหนึ่งหรือสองคนที่กำลังค้นหาไปในอีกส่วนหนึ่งของพื้นที่ค้นหา.

         และดังนั้นผมก็ตัดสินใจที่จะกระโดดออกมา(jump out)และมองตรวจหาในพื้นที่จิตสำนึกที่เป็นรากนั้น(look over in the consciousness fundamental space).

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      ต้องได้ครองตำแหน่ง(tenure)เป็นรายแรก.

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      ผมอย่างแน่นอนล่ะว่าได้นั่น. นั่นไม่ใช่อะไรบางอย่างที่คุณทำก่อนที่คุณจะได้ 10 ปีมา, ดังนั้นผมจึงเล่นมันแบบปลอดภัยกับเรื่องนั้น, ในการอ้างถึง. แต่คุณก็รู้, ตอนนี้เมื่อผมได้ครองตำแหน่งนั่นก็คือที่การครองตำแหน่งมีไว้เพื่ออะไรthat’s what tenure is for). การครองตำแหน่งคือเพื่อการยินยอมอนุญาต(allowing)นักค้นคว้าวิจัยได้มีโอกาสเสี่ยงอย่างจริงจัง(researchers to take serious risks), ได้ลองความกล้าได้กล้าเสียทั้งหลาย(try enterprise)ที่อาจจะหรืออาจะไม่ได้ผล.

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      นั่นยอดเยี่ยมมาก.

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      และคุณก็รู้, ผมพร้อมที่จะยอมรับว่าบางทีผมอาจจะผิดแต่ผมตั้งใจที่จะอธิบาย.

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      แล้วอะไรที่เกี่ยวกับจิตสำนึก(about consciousness)ที่บีบบังคับให้คุณต้องทำการแยกตัว...เอ้อ กระโดดออกมา(forces you to make this radical…uh a jump)?

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      สิ่งที่เกี่ยวกับจิตสำนึก(consciousness)นั้นคือ มันเป็นส่วนหนึ่งของความคิดเห็นส่วนตัวของตนเอง/อัตวิสัย(it’s first person subjective)แต่ทว่า(whereas)คำอธิบายทั้งหลายของเราในโลกของกายภาพ(our descriptions in the physical world)เป็นที่โน้มเอียงมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของบุคคลที่สาม(tend to be more third person)และอะไรที่เราจะเรียกเอาว่า ภาววิสัย(objectives).

         แต่มีช่องว่าอันใหญ่นี้(this big gap)ที่รู้จักกันว่าเป็นดุจหัวใจของปัญหา(as a heart problem)ระหว่างล พูดได้ว่า การกระทำของระบบประสาท(neural activity)ที่คุณสามารถคิดได้ถึงอย่างหยาบๆว่าเป็น อิออน(think of crudely as ions)ไหลผ่านรูและเนื้อเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหลาย(flowing through holes and membranes)คร่าวๆว่านั่นคืออะไรที่เกิดขึ้นกับการคาดเดาเป็นอย่างแรก(a first approximation).

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      และนั่นทำให้เกิดการกระทำของกระแสไฟฟ้า(causes the electrical activity)ซึ่งคืออะไรซึ่งเรามองเห็นในสมองนั้นของการที่ทำให้เกิดข้อมูลข่าวสาร(see in the brain to cause information)ที่ไหลกลับไปกลับมาระหว่างเซลล์ประสาททั้งหลาย(flow back and forth between neurons).

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      นั่นถูกต้องแล้ว. ดังนั้นเช่นนั้นทั้งหมดแล้ว, แต่เมื่อผมได้มีประสบการณ์รับรู้ของแอปเปิ้ลเขียว(have the experience of the green apple), เอ้อ, ถ้าคุณมองที่สมองของผม, ไม่มีอะไรเขียวเลย, หวังว่านะ(nothing green hopefully)ไม่งั้นผมมีปัญหาอย่างลึกล่ะ. ไม่มีอะไรเขียวที่นั่นและถ้าคุณมองไปที่การกระทำของสมอง(look at the activity of the brain)มันก็ไม่ได้มองดูเหมือนแอปเปิ้ลเขียว(doesn’t look like a green apple).

และไม่มีอะไรที่เชื่อมติดต่อโดยตรง(no direct connection)ที่เราสามารถทำการโยงระหว่างการกระทำนั้นกับประสบการณ์รับรู้แท้จริง(can make between that activity and the actual experience)เป็นเช่นประสบการณ์รับรู้ของแอปเปิลเขียว(as the experience of the green apple). ดังนั้นนั่นคืออะไรที่ถูกเรียกว่าคือปัญหาที่ยาก(the hard problem).

และอีกอย่างหนึ่ง, คุณก็รู้, แนวคิดที่ว่านี่คือปัญหาที่ยาก(the notion that this is a hard problem)เอ้อ, ได้ถูกรู้จักกันมาเป็นหลายศตวรรษ, ถูกไหม, ดังนั้น โธมัส ฮักซ์ลีย์(Thomas Huxley)ในศตวรรษที่ 19 ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นดุจปัญหาที่ยากมากๆที่สุด(very, very hard problem). เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งลี้ลับเท่าๆกับ(as mysterious as)การเทเหล้ายินออกมาจากขวด(having a gin pop out of a bottle). และ จอห์น ล็อค(John Locke)พูดคุยถึงปัญหานี้เอาไว้ในปี 1960 ไว้ว่า เขาไม่มีความคิดเลยว่าจะสร้างการติดต่อเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายด้านจิตสำนึกของเรากับการกระทำเชิงกายภาพใดๆของร่างกายของเรา(how to make a connection between our conscious experiences and any physical activity of our body).

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      เย้, แต่ทุกวันนี้ถ้าจะให้ยุติธรรม(to be fair), ได้มีความมากมายของการเข้าใจ(a great deal of understanding)ถึงอะไรที่เรียกว่า เซลล์ประสาทที่เล็กที่สุดประกอบกันให้เกิดอารมณ์การรับรู้(the neural correlates of consciousness – ประสาทสัมพันธ์ของการรับรู้อารมณ์3), ที่คุณสามารถแสดงให้เห็นว่าอยู่ที่ไหนและในสาขาของคุณในเรื่องการรับรู้ทาง

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C

สายตา(in your field in visual perception4). มีสิ่งจำเพาะพิเศษอย่างยิ่งทั้งหลาย(very specific things)ที่อุบัติขึ้นในเปลือกสมอง(occur in the cortex)ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละส่วนของ

         4 https://www.manarom.com/blog/Visual_perception.html

สมอง(different part of the brain)เมื่อคุณมองเห็นภาพวัตถุทั้งหลาย(when you see visual things). คุณเห็นริมขอบทั้งหลาย(edges), คุณเห็นเส้นสายทั้งหลาย(lines), คุณมองเห็นตำแหน่งทิศทางทั้งหลายที่แตกต่างกัน(different orientations), เซลล์ประจุที่แตกต่างกัน(different cell fire), และความถี่ที่แตกต่างกัน(different frequencies), และหนทางทั้งหลายที่แตกต่างกัน, ถูกเชื่อมโยงตรงไปยัง(directly related to)อะไรที่คุณเห็นในสภาวะแวดล้อมนั้น(in the environment).

         ดังนั้นคุณจึงเห็นความสัมพันธ์ทั้งหลายอันมากมายนั่น(see a lot of correlates).

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      แน่นอนที่สุดเลย. และนี่คือข้อมูล(data)ที่ล็อค(Locke)และ ฮักซ์ลีย์(Huxley)ไม่ได้มี, ซึ่งเราเพิ่งได้มีกันในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง(the last couple three decades). และมันน่าประทับใจมาก(very impressive)ในอะไรที่เราได้ค้นพบ.

         ผมหมายถึงว่าเราได้คันพบความสัมพันธ์ทางเซลล์ประสาทจำเพาะพิเศษ(specific neural correlates)ของการรับรู้ทางสี(color perception), การรับรู้ทางการกิริยาเคลื่อนไหว(motion perception), และเรารู้ว่าถ้าคุณได้ทำความเสียหายต่อพื้นที่ mt หรือ v5(have damage to area mt or v5), คุณก็สามารถสูญเสียการรับรู้กิริยาเคลื่อนไหว(can lose motion perception). เอ้อ, v4 คุณสามารถสูญเสียการรับรู้ทางสี(can lose color perception).

         ดังนั้นเรารู้ว่ามีเซลล์ประสาทสัมพันธ์ของจิตสำนึก(these very very strong neural correlates of consciousness)ที่แข็งแรงอย่างมากๆเหล่านี้.

         คำถามก็คือ คุณไปต่ออย่างไรจากเซลล์ประสาทสัมพันธ์เหล่านั้น(how do you go from those neural correlates)ไปสู่ไม่ว่า ทฤษฎีมูลเหตุ(a causal theory)ที่ว่าการกระทำของเซลล์ประสาทนั้นเป็นเหตุให้เกิดประสบการณ์รับรู้ให้บังเกิดขึ้น(how does that neural activity cause the experience to happen)”

         หรือว่าอะไรบางอย่างของทฤษฎีอัตลักษณ์(some kind of identity theory). ผมหมายถึงว่า, เราสามารถพูดได้ไหมว่า ประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายเชิงจิตสำนึกของแอปเปิ้ลเขียว(can we say that conscious experiences of green apple)นั้นเป็นแบบเดียวกันกับการกระทำของเซลล์ประสาท(is identical to neural activity). แต่เมื่อคุณมองดูทีมัน, ไม่มีใครที่คิดออกมาเป็นทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์ได้เลย(come up with a scientific theory).

         นั่นจะยิ่งทำให้เป็นการพยากรณ์ขั้นพื้นฐานมากที่สุด(make even the most basic prediction)ที่บอกได้ว่า อะไรที่เรียกว่าการกระทำของเซลล์ประสาทนี้(this kind of neural activity)จะต้องเป็นแค่กลิ่นของดอกกุหลาบ(the smell of rose)มันไม่สามารถเป็นสีแดง(color red)สำหรับเหตุผลทั้งหลายเชิงคณิตศาสตร์ที่แน่ชัดเหล่านี้ได้(these mathematically precise reasons).

         และถ้าคุณทำการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ในการกระทำของเซลล์ประสาท(make this small change in the neural activity), คุณก็จะจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนรสชาติต่อช็อคโกเลต(will necessarily change to the taste of chocolate).

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      และนั่นก็จะสามารถเป็นได้กับหนึ่งเซลล์ประสาท(could be with one neuron)หรือวงแหวนของเซลล์ประสาททั้งหลาย. อย่างไรก็ตาม, คุณต้องการทำมันคุณก็มีอิสระที่จะเลือก, ยังงั้นถูกไหม? (ใช่แล้ว - ฮอฟแมน) ไม่มีใครได้มีความคิดนี้, ไม่เพียงแต่เท่านั้น, แต่ไม่มีใครคนใดเลยที่มีความคิดว่าอะไรควรจะเป็นความคิด.

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      นั่นก็ถูกต้อง. ไม่มีเลย.

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      มันไม่ใช่เหมือนที่คุณไม่รู้ว่าอันไหนกันที่ถูกต้อง, หรือเราจะวินิจฉัยอย่างไร(how do we adjudicate)ระหว่างทางเลือกที่แตกต่างกัน(between different options). คุณกระทั่งไม่รู้ว่าคุณไม่ได้มีทางเลือกใด(don’t have any option)ที่สามารถทำเช่นนั้นอย่างเข้าใจได้(could conceivably do that).

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      นั่นก็ถูกต้อง. แล้วก็มีของ ล็อค(Locke)ที่ตรงกับเราในปี 1960, เขาบอกว่า มันยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ(inconceivable)แม้กระทั่งกับข้อมูลทั้งหมดนั้น(all the data)ที่เราได้มีในทุกวันนี้ก็ยังคงเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้(still inconceivable).

         มันไม่ใช่แค่ที่ว่าเราไม่มีทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนั้น(don’t have scientific theories), เราไม่มีความคิดทั้งหลายที่ไปได้ไกลพอฟังขึ้น(remotely plausible ideas)เกี่ยวกับว่าเราทำมันได้อย่างไร.

สมมติว่า(suppose)นี่เป็นแค่ความคิดนะ(just an idea), แต่มันก็ไม่ใช่สมมติเชิงวิทยาศาสตร์แท้จริง(not the real scientific suppose), ว่าเราได้ค้นพบอย่างแน่ชัดว่าคุณมีประสบการณ์รับรู้ถึงสีพิเศษจำเพาะของแดง(you experience a particular color of red), พูดเอาว่าเป็น แดง 31, ก็ต่อเมื่อ(if and only if)กับเซลล์ประสาทจำเพาะพิเศษนี้(this particular neuron)และเราสามารถตั้งชื่อเรียกมันได้.

คุณก็รู้ว่า เซลล์ประสาท 6 พันล้าน 55 ประจุที่ 30 เฮิร์ตซ์(neuron 6 billion 55 fires at 30 hertz), และเราและมันเป็นการค้นพบที่น่าทึ่งนี้ซึ่งอยู่ในสมองของทุกคน(it’s this amazing discovery that in everybody’s brain).

เซลล์ประสาท 1 พันล้านกับ 55 ตรงนั้นเมื่อมันยิงประจุ(fire)ที่ความถี่ 30 เฮิร์ตซ์(it fires at 30 hertz), คุณประสบรับรู้ถึง สีแดง 31(you experience red 31). เอาละ, คุณได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบอันน่าทึ่งนั่น(amazing discovery).

แต่นั่นได้คลี่คลายปัญหาที่(solve the problem that)เรากำลังคุยกันถึงในที่นี้, เกี่ยวกับว่า การกระทำของเซลล์ประสาทเป็นเหตุให้เกิดประสบการณ์รับรู้ถึงสีแดงนั้นได้อย่างไร(how does neural activity cause the experience of red). ไม่เลยทั้งสิ้น.

ทีนี้ความลี้ลับถูกทำให้เข้มข้นขึ้น(the mystery is intensified). มันสามารถเป็นได้อย่างไรที่ว่าอิออน(ions)ของ โซเดียม(sodium)และโปแตสเซี่ยม(potassium)และแคลเซี่ยม(calcium) ผ่านทะลุรูทั้งหลายในเนื้อเยื่อทั้งหลายของเซลล์ประสาทพิเศษนี้(go through holes in membranes of this particular neuron)แล้วทำให้เกิดประสบการณ์รับรู้ของผมในสีแดง 31(cause my experience of red 31).

ตอนนี้ความลี้ลับก็ยิ่งถูกทำให้กระทั่งเข้มข้นยิ่งขึ้น(is even more intensified).

ดังนั้นความสัมพันธ์ของเซลล์ประสาทกับจิตสำนึก(the neural correlates of consciousness)ไม่ได้คลี่คลายปัญหานั้น(don’t solve the problem). พวกมันทำให้มันยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกว่าทำไมมันควรจะเป็นเช่นนั้นที่ จิตสำนึก(consciousness)ดูเหมือนว่าถูกสัมพันธ์แนบแน่นอย่างยิ่ง(so tightly correlates with)กับการกระทำ(the activity)ซึ่งแตกต่างอย่างที่สุดในธรรมชาติ(that is utterly different in nature)ยิ่งกว่าประสบการรับรู้จิตสำนึก(than conscious experience).

พิธีกร ร. ล. คูห์น:      และซึ่งคุณไปจากตรงนั้นยังที่ไหน?

โดนัลด์ ฮอฟแมน:      เอ้อ, ทิศทางหนึ่ง(one direction)ที่ผมไปก็คือ, ผมใช้เวลาอย่างมากในการลองพยายาม(a lot of time trying)เหมือนทุกคนอื่น, ในการที่จะคิดในเรื่องการเข้าไปถึงทั้งหลายแบบนักฟิสิกซ์(to think of physicist approaches)ยังเรื่องนี้หรือการเข้าถึงทั้งหลายแบบนักทฤษฎีหน้าที่การทำงาน(functionalist approaches).

บางทีจิตสำนึก(consciousness)ไม่ใช่อะไรที่เหมือนกับหรือลุกขึ้นมา(isn’t identical or arise)จาก ประสาทชีววิทยา โดยตรง(from neurobiology5 per se). แต่บางทีเป็นอะไรบางอย่างของคุณสมบัติทั้งหลายของหน้าที่การทำงานแห่งทางประสาทชีววิทยา(some kind of functional properties of the neurobiology).

5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2

และอีกครั้ง, มันกำลังยั่วยวน(it’s tempting)ต่อวุฒิการศึกษาที่ได้จบมาในสาขาปัญญาประดิษฐ์(my degree was in artificial intelligence)ที่ MIT. ผมหมายถึงว่า, เราทำเรื่องตัวจำลองหน้าที่การทำงานทั้งหลาย(doing functional models). และกระนั้น, ผมก็ยังไม่สามารถทำได้และไม่มีใครทำได้ล ที่จะสามารถหาหนทางที่จะไปจากตัวจำลองประโยชน์หน้าที่ทั้งหลายเหล่านั้น(to find a way to go from those functional models)ไปสู่ทฤษฎีหนึ่งที่จะได้จิตสำนึกออกมาโดยปราศจากปาฏิหารย์บังเกิดขึ้น(to a theory that gets conscious coming out without a miracle occurring ).

อะไรที่ผมไม่ต้องการก็คือปาฏิหารย์ที่ขั้นวิกฤตนั้น(a miracle at the critical stage). ที่ตรงนั้นคือคุณสมบัติด้านหน้าที่การทำงานทั้งหลายของเซลล์ประสาททั้งหลาย(these functional properties of neurons)และจิตสำนึกก็ผุดขึ้นมา(consciousness comes out), แต่ผมไม่ต้องการมีสิ่งปาฏิหารย์บังเกิดขึ้นตรงนั้นซึ่งเป็นจุดกุญแจสำคัญ(that key point).

ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต้องยกเอาปาฏิหารย์ทั้งหลายของพวกเขาออกมาข้างหน้า(have to put their miracles up front), ถูกไหม, นั่นคือสมมติฐานทั้งหลายของพวกเรา(our assumptions). เราแค่เอาพวกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ, เหล่านี้คือปาฏิหาริย์ทั้งหลายของเรา, สมมติฐานทั้งหลายของเรา. หลังจากนั้นมันก็ไม่ยุติธรรม(no fair). ก็ไม่ยุติธรรมที่จะเอาปาฏิหารย์ใดๆไปไว้ยังที่อื่นอีก, โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ตรงที่จุดกุญแจสำคัญ(at the key point)ที่ซึ่งจิตสำนึกผุดขึ้นมา(where consciousness emerges).

และมันเช่นนั้นก็เพราะผมไม่ต้องการจะเอาปาฏิหาริย์ไปวางที่ตรงนั้น, และผมก็ไม่สามารถคิดออกได้ว่าจะทำมันอย่างไร, เริ่มต้นด้วยด้านกายภาพ(physical)หรือด้านหน้าที่การทำงาน(functional). สมมติฐานทั้งหลายแบบดึกดำบรรพ์ทั้งหลาย(primitives assumptions)ที่ผมพูดว่าโอเค, เรามาถอยหลังกันออกมา(let’s back off).

เรามีจิตสำนึกของจิตและร่างกาย(mind and body consciousness)และสมองกายภาพ(the physical brain). เราได้พยายามที่จะคลี่คลายปัญหานั้น(trying to solve the problem)เริ่มต้นด้วยด้านกายภาพและหน้าที่การทำงาน(starting with physical and functional)และแล้วก็เข้าไปสู่จิตสำนึก(and getting to consciousness). อะไรจะบังเกิดขึ้นถ้าเราเริ่มตันจากอีกทิศทางอื่น(start from the other direction)? เป็นดุจการเข้าถึงอย่างวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และเคร่งครัด(as a purely scientific and rigorous approach).

ดังนั้นเราไม่ได้กำลังพูดถึงเกี่ยวกับลัทธิลี้ลับไสยศาสตร์(about mysticism)หรืออะไรบางอย่างเช่นนั้นง ผมกำลังพูดถึงว่า, เราสามารถที่จะเอาตัวจำลองเชิงคณิตศาสตร์เที่ยงตรง(get a mathematically precise model)ของจิตสำนึก(of consciousness)มาใช้กับเรื่องทั้งหลายของมันเอง, ได้ไหม?

ที่ซึ่งเราต้องทำ, เอาละคุณก็รู้, ก็คือวางโครงสร้างทั้งหลายเชิงคณิตศาสตร์ลงไป(put down mathematical structure), ไม่ใช่เพราะว่าพวกมันถูกต้อง(they’re right)แต่เพราะว่าเราทำอย่างชัดเจนเที่ยงตรง(we’re precise)ฅ ดังนั้นแล้วเราก็จะสามารถค้นหาว่าทำไมเราถึงได้ผิดอย่างชัดเจน(why we’re precisely wrong).

ดังนั้นความคิดก็คือว่า, เรามาวางตัวจำลองเชิงคณิตศาสตร์ของจิตสำนึกลงไปกัน(let’s put down a mathematical model of consciousness). แน่นอนละว่า, มันอาจจะไม่เป็นการถูกต้อง(it’s not going to be right), นั่นคืออะไรที่วิทยาศาสตร์มักจะเป็น(that’s what science always does). แต่คุณได้ลงไปที่นั่นล อย่างน้อยที่สุดมันก็อย่างถูกต้อง(at least it’s rigorous).

ทีนี้คุณก็เริ่มต้นที่จะทำการคาดคะเนพยากรณ์ทั้งหลาย(start to make predictions), คุณได้กลศาสตร์ของจิตสำนึก(get a dynamics of consciousness).

การทดลอง(the test)จะเป็นสิ่งสามารถทำให้คุณกำเนิดเริ่มต้นจากฟิสิกซ์ควอนตัม(derive quantum physics)ได้ไหม? จากมันคุณก็สามารถได้สมการคลื่นของอนุภาคอิสระไหม?(the wave equation of a free particle), คุณสามารถได้ตัวปั่นทอทั้งหลายไหม?(spinners), คุณสามารถได้เครือข่ายทั้งหลายที่หมุนปั่นทอไหม?(get a spin networks), คุณสามารถได้ทฤษฎีจากสาขาวิชาของควอนตัมออกมาจากมันไหม?(quantum field theory out of it).

เพราะว่าถ้าคุณสามารถทำได้แล้ว, ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดคุณก็มีทางออกคลี่คลายปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ที่เที่ยงตรง(a mathematically precise solution)ของปัญหาเรื่องจิต กาย(of the mind and body problem), เริ่มต้นจากในทิศทางอันอื่น(starting in the other direction).

ดังนั้นผมไม่ต้องการมีการโบกมือให้(a hand wave). ที่ผมต้องการก็คือตัวจำลองเชิงคณิตศาสตร์ของจิตสำนึก(a mathematically model of consciousness)ที่นักคณิตศาสตร์รายใดจะรู้จักกันดีได้เป็นการจำเพาะพิเศษ(any mathematician would recognize is well recognized)ว่านักวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ใดก็ตาม(any empirical scientist), คุณก็รู้, ในสาขาวิชานี้ก็จะบอกว่า, ไม่ได้เชื่อได้ยากเลยทั้งสิ้น(is not completely implausible)ในฐานะตัวจำลองการทดลองเชิงประจักษ์(as an empirical model), คุณรู้ไหม, จากข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับจิตสำนึก(of the empirical data about consciousness).

และแล้ว, การทดลองจริงของการคลี่คลายปัญหาเรื่องจิต-กาย(the real test of solving the mind-body problem)ก็คือว่า ผมสามารถได้ตัวจำลอง(can take that model)หรือไม่? และโดยปราศจากมือโบกทั้งหลาย(without any hand waves), ไม่มีปาฏิหาริย์ทั้งหลาย(no miracles)พูดได้ว่าทฤษฎีสาขาควอนตัม(quantum field theory)โผล่ขั้นออกมาจากมัน.

นั่นก็จะเป็นสะพานใหญ่อันหนึ่ง(a big bridge)ไปยังการคลี่คลายในแนวปัญหาด้านร่างกาย(towards solving the line of body problem)จากอีกทิศทางอื่น(from the other direction). นั่นจะเป็นเรือท้องแบนลำแรก(the first pontoon)ที่ลอยไปเหนือน้ำและแล้วคุณก็ต้องการที่จะยึดครองอาณานิคมมันและทำอะไรต่อไปอีกมากมายอื่นที่เราเข้าใจ(colonize and do lots lots of other we understand), ทั้งหมดของจิตวิทยามนุษย์(all human psychology)และการที่วิทยาศาสตร์ด้านสมองเชื่อมโยงสัมพันธ์กันกับรูปลักษณ์ทั้งหมดของการรับรู้และการจำได้หมายรู้ของมนุษย์(all aspects of human perception and cognition)ได้อย่างไร?

แต่ถ้าเราได้สะพานนั้น(get the bridge)จากตัวจำลองขั้นต้นของจิตสำนึก(from a basic model of consciousness)ไปยัง, เอ้อ, พูดได้ว่า ทฤษฎีสาขาวิชาควอนตัม(a quantum field theory), ทีนี้เราก็มีอะไรบางอย่างที่จะสร้างบนมันนั้น. และนั่นคือโครงการของผม(be my project).

https://youtu.be/ynTqCFBhRmw