โดนัลด์
ฮอฟฟ์แมน - อะไรคือจิตสำนึก/วิญญาณขันธ์/ตัวรู้-ธาตุรู้?
Donald Hoffman - What is Consciousness?
พิธีกร: โรเบิร์ต ลอว์เรนซ์ คูห์น(เกิด
1944) เป็นนักยุทธศาสตร์ความร่วมมือนานาชาติ, ปัญญาชนสาธารณะ และที่ปรึกษาทางการเงิน(a public
intellectual, international corporate strategist and investment).
เขาสำเร็จปริญญาเอกด้านประสาทวิทยา(neuroscience)และเป็นนักประพันธ์และบรรณาธิการของหนังสือกว่า
25 เล่ม. เขาได้รับ เหรียญมิตรภาพการปฏิรูปประเทศจีน(a China Reform
Friendship Medal), รางวัลสูงสุดของจีน;
เขาเป็นที่ปรึกษาอย่างยาวนานให้กับผู้นำจีนและรัฐบาลจีน, ต่อความร่วมมือหลากหลายระหว่างประเทศ(to
multinational corporations)บนยุทธศาสตร์และการดำเนินการทั้งหลายของจีน,
และเป็นผู้วิจารณ์(a commentator)บ่อยครั้งทางด้านการเมือง,
เศรษฐกิจ, ธุรกิจ, การคลัง, ปรัชญาและวิทยาศาสตร์กับประเทศจีน. ฯลฯ
1
https://en.wikipedia.org/wiki/Robert_Lawrence_Kuhn
ผู้ร่วมสนทนา: โดนัลด์ ดี. ฮอฟฟ์แมน(เกิ ด
ธันวาคม 29, 1955) เป็นนักจิตวิทยาด้านพัฒนาการสติปัญญาชาวอเมริกัน(an American
cognitive psychologist)และนักประพันธ์เรื่องวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง.
เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ คณะพัฒนาการสติปัญญาศาสตร์(the Department of
Cognitive Sciences)ที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย, เออร์ไวนิ์,
ด้วยการเป็นอาจารย์สหคณะวิชา(joint appointments)ในคณะปรัชญา(the
Department of Philosophy), คณะตรรกะศาสตร์และปรัชญาวิทยาศาสตร์(the
Department of Logic and Philosophy Science), และในแผนกสาขาวิชา
วิทยาการคอมพิวเตอร์(the School of Computer Science). ฯลฯ
2
https://en.wikipedia.org/wiki/Donald_D._Hoffman
พิธีกร ร. ล. คูห์น: ดอน,
ในปี 1979-1980 คุณกับผมต่างทั้งคู่อยู่ที่ MIT,
ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสมองและจิตสำนึกทั้งหลาย(getting
involved in brains and consciousness), ใช่,
ดังนั้นภายหลังช่วงเวลานั้นทั้งหมดแล้ว, คุณบอกผมทีคุณคิดว่าจิตสำนึกคืออะไร(what
consciousness is).
โดนัลด์
ฮอฟแมน: เอาละ,
มุมมองทั้งหลายของผมเป็นอะไรที่ผิดธรรมสักเล็กน้อย(a bit
unusual)ผมคิดว่าจิตสำนึก(the consciousness - วิญญาณขันธ์)คือรากฐานของจักรวาล(is
fundamental in the universe). ผมคิดว่ามันไม่ใช่ผลผลิตของ อวกาศและเวลา(a
product of space and time)หรืออะไรเลยที่อยู่ข้างในอวกาศและเวลา(anything
inside space and time).
ผมคิดว่าความพยายามที่จะสืบทอดจิตสำนึก(efforts
to derive consciousness)จาก อวกาศและเวลา(from
space and time), ไม่ว่าจะโดยทฤษฎีอัตลักษณ์/ความเหมือนกันทั้งหลาย(either
by identity theories)หรือโดยทฤษฎีความบังเอิญ(by
casual theories)ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้การไม่ได้(have
proven ineffective).
และผมได้ถูกบังคับให้ยอมรับเอามุมมองนั้นที่ว่าจิตสำนึก(consciousness
- วิญญาณขันธ์/ตัวรู้/ธาตุรู้)คือรากฐานในจักรวาลอย่างแท้จริง(is
actually fundamental in the universe).
พิธีกร ร. ล. คูห์น: เอาละ,
ทุกคนผู้ที่เราได้ทำงานด้วยกับทุกนักประสาทวิทยาศาสตร์(with every
neuroscientist)ที่ MIT
ตอนนั้นแล้วก็มาถึงตอนนี้, จะเชื่อว่าจิตสำนึกเป็นผลผลิตจากสมองของเรา(that
consciousness is a product of our brain). สมองของเราคือ
ผลผลิตโดยอุบัติบังเอิญของวิวัฒนาการ (an accidental product of
evolution). แล้วเราก็โผล่พรวดออกมาที่จะมีจิตสำนึกขึ้น(emerge
to have consciousness)ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างที่ลงตัว(for
some fitness reason)และ, ทั้งหมดก็แค่นนั้น,
มันอาจจะไม่ได้เป็นความจำเป็นอะไร(may not have been necessary)และเราก็มีมัน(have it)และเหตุผลที่เราคิดว่ามันเป็นความสำคัญ(it’s
important)ก็เพราะว่าเรามีมันและใครที่กำลังถามนั่นกันล่ะ(who
are asking)?
โดนัลด์ ฮอฟแมน: เอาละ,
ผมคิดว่าหลักฐานในเรื่องวิวัฒนาการนั้นค่อนข้างแข็งแรง(the
evidence for evolution is quite strong),
ดังนั้นผมจึงไม่ถามในเรื่องของวิวัฒนาการ(don’t question evolution).
แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะให้ทฤษฎีเกี่ยวกับการที่ว่า จิตสำนึกสามารถโผล่พรวดออกมาจากการทำงานของสมองได้อย่างไร(about
how consciousness could emerge from brain activity). และผม, คุณก็รู้, ผมต้องยอมรับว่าผมได้พยายามด้วยตนเองมาเป็นเวลานาน(have
to admit that I’ve tried for a long time)ที่จะเข้าใจว่าการกระทำของสมองสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างไร(how
activity brain could cause)…
พิธีกร ร. ล. คูห์น: อะไรที่มันเกี่ยวกับจิตสำนึก(what
is it about consciousness)ที่เป็นเหตุให้คุณทำการแยกต่างอย่างรุนแรงเช่นนั้นจากปกติของทุกคน(make
such a radical departure from everyone normal)?
โดนัลด์ ฮอฟแมน: เอาละ,
แน่นอน, ผมไม่ใช่คนเดียวเท่านั้นในสาขานี้ที่คิดหนักในปัญหานี้(think
the problem’s hard). ดังนั้นมันค่อนข้างจะเป็นปกติที่จะคิดว่าปัญหานี้ยากมากๆและ
ความแตกต่างของผม(my departure)จากการพยายามของนักฟิสิกส์(from
physicist attempt)คือส่วนหนึ่งที่มีอยู่สองสามเหตุผล.
หนึ่งนั้นคือมันเป็นกลยุทธการค้นหาที่ดี(one
is it’s a good search strategy),
ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะแก้ปัญหาหนึ่ง(you’re
trying to solve a problem)และทุกคนกำลังค้นหาในส่วนหนึ่งของพื้นที่ค้นหา(searching in a part of a search space). ถ้า 99 ของนักค้นคว้า/ค้นหาทั้งหลายไปรวมอยู่กันในที่หนึ่งเดียวของพื้นที่ค้นหา(are in one part of the search
space), นั่นก็ไม่ใช่กลยุทธที่ได้ผล(not an effective strategy).
เราจำเป็นต้องการนักค้นคว้า/ค้นหาสักหนึ่งหรือสองคนที่กำลังค้นหาไปในอีกส่วนหนึ่งของพื้นที่ค้นหา.
และดังนั้นผมก็ตัดสินใจที่จะกระโดดออกมา(jump out)และมองตรวจหาในพื้นที่จิตสำนึกที่เป็นรากนั้น(look over in the consciousness
fundamental space).
พิธีกร ร. ล. คูห์น: ต้องได้ครองตำแหน่ง(tenure)เป็นรายแรก.
โดนัลด์ ฮอฟแมน: ผมอย่างแน่นอนล่ะว่าได้นั่น. นั่นไม่ใช่อะไรบางอย่างที่คุณทำก่อนที่คุณจะได้
10 ปีมา, ดังนั้นผมจึงเล่นมันแบบปลอดภัยกับเรื่องนั้น, ในการอ้างถึง. แต่คุณก็รู้,
ตอนนี้เมื่อผมได้ครองตำแหน่งนั่นก็คือที่การครองตำแหน่งมีไว้เพื่ออะไรthat’s what tenure is for). การครองตำแหน่งคือเพื่อการยินยอมอนุญาต(allowing)นักค้นคว้าวิจัยได้มีโอกาสเสี่ยงอย่างจริงจัง(researchers to take serious risks), ได้ลองความกล้าได้กล้าเสียทั้งหลาย(try enterprise)ที่อาจจะหรืออาจะไม่ได้ผล.
พิธีกร ร. ล. คูห์น: นั่นยอดเยี่ยมมาก.
โดนัลด์ ฮอฟแมน: และคุณก็รู้, ผมพร้อมที่จะยอมรับว่าบางทีผมอาจจะผิดแต่ผมตั้งใจที่จะอธิบาย.
พิธีกร
ร. ล. คูห์น: แล้วอะไรที่เกี่ยวกับจิตสำนึก(about consciousness)ที่บีบบังคับให้คุณต้องทำการแยกตัว...เอ้อ
กระโดดออกมา(forces you to make
this radical…uh a jump)?
โดนัลด์
ฮอฟแมน: สิ่งที่เกี่ยวกับจิตสำนึก(consciousness)นั้นคือ มันเป็นส่วนหนึ่งของความคิดเห็นส่วนตัวของตนเอง/อัตวิสัย(it’s
first person subjective)แต่ทว่า(whereas)คำอธิบายทั้งหลายของเราในโลกของกายภาพ(our descriptions in the physical world)เป็นที่โน้มเอียงมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของบุคคลที่สาม(tend to be more third person)และอะไรที่เราจะเรียกเอาว่า ภาววิสัย(objectives).
แต่มีช่องว่าอันใหญ่นี้(this big gap)ที่รู้จักกันว่าเป็นดุจหัวใจของปัญหา(as a heart problem)ระหว่างล พูดได้ว่า การกระทำของระบบประสาท(neural
activity)ที่คุณสามารถคิดได้ถึงอย่างหยาบๆว่าเป็น
อิออน(think of crudely as ions)ไหลผ่านรูและเนื้อเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหลาย(flowing through holes and membranes)คร่าวๆว่านั่นคืออะไรที่เกิดขึ้นกับการคาดเดาเป็นอย่างแรก(a first approximation).
พิธีกร
ร. ล. คูห์น: และนั่นทำให้เกิดการกระทำของกระแสไฟฟ้า(causes the electrical activity)ซึ่งคืออะไรซึ่งเรามองเห็นในสมองนั้นของการที่ทำให้เกิดข้อมูลข่าวสาร(see in the brain to cause information)ที่ไหลกลับไปกลับมาระหว่างเซลล์ประสาททั้งหลาย(flow back and forth between neurons).
โดนัลด์ ฮอฟแมน: นั่นถูกต้องแล้ว. ดังนั้นเช่นนั้นทั้งหมดแล้ว,
แต่เมื่อผมได้มีประสบการณ์รับรู้ของแอปเปิ้ลเขียว(have the experience of the green apple), เอ้อ, ถ้าคุณมองที่สมองของผม, ไม่มีอะไรเขียวเลย,
หวังว่านะ(nothing green hopefully)ไม่งั้นผมมีปัญหาอย่างลึกล่ะ.
ไม่มีอะไรเขียวที่นั่นและถ้าคุณมองไปที่การกระทำของสมอง(look
at the activity of the brain)มันก็ไม่ได้มองดูเหมือนแอปเปิ้ลเขียว(doesn’t look like a green apple).
และไม่มีอะไรที่เชื่อมติดต่อโดยตรง(no direct connection)ที่เราสามารถทำการโยงระหว่างการกระทำนั้นกับประสบการณ์รับรู้แท้จริง(can make between that activity and the
actual experience)เป็นเช่นประสบการณ์รับรู้ของแอปเปิลเขียว(as the experience of the green apple). ดังนั้นนั่นคืออะไรที่ถูกเรียกว่าคือปัญหาที่ยาก(the hard problem).
และอีกอย่างหนึ่ง, คุณก็รู้,
แนวคิดที่ว่านี่คือปัญหาที่ยาก(the notion that this is a hard problem)เอ้อ, ได้ถูกรู้จักกันมาเป็นหลายศตวรรษ, ถูกไหม,
ดังนั้น โธมัส ฮักซ์ลีย์(Thomas
Huxley)ในศตวรรษที่ 19 ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าเป็นดุจปัญหาที่ยากมากๆที่สุด(very, very hard problem). เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งลี้ลับเท่าๆกับ(as mysterious as)การเทเหล้ายินออกมาจากขวด(having a gin pop out of a bottle). และ จอห์น ล็อค(John
Locke)พูดคุยถึงปัญหานี้เอาไว้ในปี 1960
ไว้ว่า
เขาไม่มีความคิดเลยว่าจะสร้างการติดต่อเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายด้านจิตสำนึกของเรากับการกระทำเชิงกายภาพใดๆของร่างกายของเรา(how to make a connection between our
conscious experiences and any physical activity of our body).
พิธีกร ร. ล. คูห์น: เย้, แต่ทุกวันนี้ถ้าจะให้ยุติธรรม(to be fair), ได้มีความมากมายของการเข้าใจ(a great deal of understanding)ถึงอะไรที่เรียกว่า เซลล์ประสาทที่เล็กที่สุดประกอบกันให้เกิดอารมณ์การรับรู้(the neural correlates of consciousness
– ประสาทสัมพันธ์ของการรับรู้อารมณ์3),
ที่คุณสามารถแสดงให้เห็นว่าอยู่ที่ไหนและในสาขาของคุณในเรื่องการรับรู้ทาง
3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C
สายตา(in your field in visual perception4). มีสิ่งจำเพาะพิเศษอย่างยิ่งทั้งหลาย(very specific things)ที่อุบัติขึ้นในเปลือกสมอง(occur in the cortex)ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละส่วนของ
4 https://www.manarom.com/blog/Visual_perception.html
สมอง(different
part of the brain)เมื่อคุณมองเห็นภาพวัตถุทั้งหลาย(when you see visual things). คุณเห็นริมขอบทั้งหลาย(edges), คุณเห็นเส้นสายทั้งหลาย(lines), คุณมองเห็นตำแหน่งทิศทางทั้งหลายที่แตกต่างกัน(different orientations), เซลล์ประจุที่แตกต่างกัน(different cell fire), และความถี่ที่แตกต่างกัน(different frequencies), และหนทางทั้งหลายที่แตกต่างกัน,
ถูกเชื่อมโยงตรงไปยัง(directly
related to)อะไรที่คุณเห็นในสภาวะแวดล้อมนั้น(in the environment).
ดังนั้นคุณจึงเห็นความสัมพันธ์ทั้งหลายอันมากมายนั่น(see a lot of correlates).
โดนัลด์ ฮอฟแมน: แน่นอนที่สุดเลย. และนี่คือข้อมูล(data)ที่ล็อค(Locke)และ ฮักซ์ลีย์(Huxley)ไม่ได้มี,
ซึ่งเราเพิ่งได้มีกันในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง(the last couple three decades). และมันน่าประทับใจมาก(very
impressive)ในอะไรที่เราได้ค้นพบ.
ผมหมายถึงว่าเราได้คันพบความสัมพันธ์ทางเซลล์ประสาทจำเพาะพิเศษ(specific neural correlates)ของการรับรู้ทางสี(color
perception), การรับรู้ทางการกิริยาเคลื่อนไหว(motion perception), และเรารู้ว่าถ้าคุณได้ทำความเสียหายต่อพื้นที่ mt หรือ v5(have
damage to area mt or v5), คุณก็สามารถสูญเสียการรับรู้กิริยาเคลื่อนไหว(can lose motion perception). เอ้อ, v4 คุณสามารถสูญเสียการรับรู้ทางสี(can lose color perception).
ดังนั้นเรารู้ว่ามีเซลล์ประสาทสัมพันธ์ของจิตสำนึก(these very very strong neural
correlates of consciousness)ที่แข็งแรงอย่างมากๆเหล่านี้.
คำถามก็คือ
คุณไปต่ออย่างไรจากเซลล์ประสาทสัมพันธ์เหล่านั้น(how do
you go from those neural correlates)ไปสู่ไม่ว่า
ทฤษฎีมูลเหตุ(a causal theory)ที่ว่าการกระทำของเซลล์ประสาทนั้นเป็นเหตุให้เกิดประสบการณ์รับรู้ให้บังเกิดขึ้น(how
does that neural activity cause the experience to happen)”
หรือว่าอะไรบางอย่างของทฤษฎีอัตลักษณ์(some kind of identity theory). ผมหมายถึงว่า, เราสามารถพูดได้ไหมว่า ประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายเชิงจิตสำนึกของแอปเปิ้ลเขียว(can
we say that conscious experiences of green apple)นั้นเป็นแบบเดียวกันกับการกระทำของเซลล์ประสาท(is identical to neural activity). แต่เมื่อคุณมองดูทีมัน, ไม่มีใครที่คิดออกมาเป็นทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์ได้เลย(come up with a scientific theory).
นั่นจะยิ่งทำให้เป็นการพยากรณ์ขั้นพื้นฐานมากที่สุด(make even the most basic prediction)ที่บอกได้ว่า อะไรที่เรียกว่าการกระทำของเซลล์ประสาทนี้(this
kind of neural activity)จะต้องเป็นแค่กลิ่นของดอกกุหลาบ(the smell of rose)มันไม่สามารถเป็นสีแดง(color
red)สำหรับเหตุผลทั้งหลายเชิงคณิตศาสตร์ที่แน่ชัดเหล่านี้ได้(these
mathematically precise reasons).
และถ้าคุณทำการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ในการกระทำของเซลล์ประสาท(make this small change in the neural
activity),
คุณก็จะจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนรสชาติต่อช็อคโกเลต(will
necessarily change to the taste of chocolate).
พิธีกร ร. ล. คูห์น: และนั่นก็จะสามารถเป็นได้กับหนึ่งเซลล์ประสาท(could be with one neuron)หรือวงแหวนของเซลล์ประสาททั้งหลาย. อย่างไรก็ตาม,
คุณต้องการทำมันคุณก็มีอิสระที่จะเลือก, ยังงั้นถูกไหม? (ใช่แล้ว - ฮอฟแมน) ไม่มีใครได้มีความคิดนี้,
ไม่เพียงแต่เท่านั้น, แต่ไม่มีใครคนใดเลยที่มีความคิดว่าอะไรควรจะเป็นความคิด.
โดนัลด์ ฮอฟแมน: นั่นก็ถูกต้อง. ไม่มีเลย.
พิธีกร ร. ล. คูห์น: มันไม่ใช่เหมือนที่คุณไม่รู้ว่าอันไหนกันที่ถูกต้อง,
หรือเราจะวินิจฉัยอย่างไร(how do
we adjudicate)ระหว่างทางเลือกที่แตกต่างกัน(between different options). คุณกระทั่งไม่รู้ว่าคุณไม่ได้มีทางเลือกใด(don’t have any option)ที่สามารถทำเช่นนั้นอย่างเข้าใจได้(could conceivably do that).
โดนัลด์
ฮอฟแมน: นั่นก็ถูกต้อง. แล้วก็มีของ ล็อค(Locke)ที่ตรงกับเราในปี 1960, เขาบอกว่า
มันยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ(inconceivable)แม้กระทั่งกับข้อมูลทั้งหมดนั้น(all the data)ที่เราได้มีในทุกวันนี้ก็ยังคงเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจได้(still inconceivable).
มันไม่ใช่แค่ที่ว่าเราไม่มีทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งหลายนั้น(don’t have scientific theories), เราไม่มีความคิดทั้งหลายที่ไปได้ไกลพอฟังขึ้น(remotely plausible ideas)เกี่ยวกับว่าเราทำมันได้อย่างไร.
สมมติว่า(suppose)นี่เป็นแค่ความคิดนะ(just
an idea),
แต่มันก็ไม่ใช่สมมติเชิงวิทยาศาสตร์แท้จริง(not
the real scientific suppose),
ว่าเราได้ค้นพบอย่างแน่ชัดว่าคุณมีประสบการณ์รับรู้ถึงสีพิเศษจำเพาะของแดง(you experience a particular color of
red), พูดเอาว่าเป็น แดง 31, ก็ต่อเมื่อ(if
and only if)กับเซลล์ประสาทจำเพาะพิเศษนี้(this particular neuron)และเราสามารถตั้งชื่อเรียกมันได้.
คุณก็รู้ว่า เซลล์ประสาท 6 พันล้าน
55 ประจุที่ 30 เฮิร์ตซ์(neuron
6 billion 55 fires at 30 hertz),
และเราและมันเป็นการค้นพบที่น่าทึ่งนี้ซึ่งอยู่ในสมองของทุกคน(it’s this amazing discovery that in
everybody’s brain).
เซลล์ประสาท 1 พันล้านกับ 55
ตรงนั้นเมื่อมันยิงประจุ(fire)ที่ความถี่ 30 เฮิร์ตซ์(it
fires at 30 hertz),
คุณประสบรับรู้ถึง สีแดง
31(you experience red 31). เอาละ, คุณได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบอันน่าทึ่งนั่น(amazing discovery).
แต่นั่นได้คลี่คลายปัญหาที่(solve the problem that)เรากำลังคุยกันถึงในที่นี้, เกี่ยวกับว่า การกระทำของเซลล์ประสาทเป็นเหตุให้เกิดประสบการณ์รับรู้ถึงสีแดงนั้นได้อย่างไร(how does neural activity cause the experience
of red). ไม่เลยทั้งสิ้น.
ทีนี้ความลี้ลับถูกทำให้เข้มข้นขึ้น(the mystery is intensified). มันสามารถเป็นได้อย่างไรที่ว่าอิออน(ions)ของ โซเดียม(sodium)และโปแตสเซี่ยม(potassium)และแคลเซี่ยม(calcium) ผ่านทะลุรูทั้งหลายในเนื้อเยื่อทั้งหลายของเซลล์ประสาทพิเศษนี้(go through holes in membranes of this
particular neuron)แล้วทำให้เกิดประสบการณ์รับรู้ของผมในสีแดง
31(cause my experience of red 31).
ตอนนี้ความลี้ลับก็ยิ่งถูกทำให้กระทั่งเข้มข้นยิ่งขึ้น(is even more intensified).
ดังนั้นความสัมพันธ์ของเซลล์ประสาทกับจิตสำนึก(the neural correlates of consciousness)ไม่ได้คลี่คลายปัญหานั้น(don’t
solve the problem).
พวกมันทำให้มันยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกว่าทำไมมันควรจะเป็นเช่นนั้นที่ จิตสำนึก(consciousness)ดูเหมือนว่าถูกสัมพันธ์แนบแน่นอย่างยิ่ง(so
tightly correlates with)กับการกระทำ(the activity)ซึ่งแตกต่างอย่างที่สุดในธรรมชาติ(that is utterly different in nature)ยิ่งกว่าประสบการรับรู้จิตสำนึก(than conscious experience).
พิธีกร ร. ล. คูห์น: และซึ่งคุณไปจากตรงนั้นยังที่ไหน?
โดนัลด์
ฮอฟแมน: เอ้อ, ทิศทางหนึ่ง(one
direction)ที่ผมไปก็คือ, ผมใช้เวลาอย่างมากในการลองพยายาม(a lot of time trying)เหมือนทุกคนอื่น, ในการที่จะคิดในเรื่องการเข้าไปถึงทั้งหลายแบบนักฟิสิกซ์(to think
of physicist approaches)ยังเรื่องนี้หรือการเข้าถึงทั้งหลายแบบนักทฤษฎีหน้าที่การทำงาน(functionalist approaches).
บางทีจิตสำนึก(consciousness)ไม่ใช่อะไรที่เหมือนกับหรือลุกขึ้นมา(isn’t identical or arise)จาก ประสาทชีววิทยา โดยตรง(from
neurobiology5 per se). แต่บางทีเป็นอะไรบางอย่างของคุณสมบัติทั้งหลายของหน้าที่การทำงานแห่งทางประสาทชีววิทยา(some kind of functional properties of
the neurobiology).
5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2
และอีกครั้ง, มันกำลังยั่วยวน(it’s tempting)ต่อวุฒิการศึกษาที่ได้จบมาในสาขาปัญญาประดิษฐ์(my degree was in artificial
intelligence)ที่ MIT. ผมหมายถึงว่า, เราทำเรื่องตัวจำลองหน้าที่การทำงานทั้งหลาย(doing functional models). และกระนั้น,
ผมก็ยังไม่สามารถทำได้และไม่มีใครทำได้ล
ที่จะสามารถหาหนทางที่จะไปจากตัวจำลองประโยชน์หน้าที่ทั้งหลายเหล่านั้น(to find a way to go from those functional
models)ไปสู่ทฤษฎีหนึ่งที่จะได้จิตสำนึกออกมาโดยปราศจากปาฏิหารย์บังเกิดขึ้น(to a theory that gets conscious coming
out without a miracle occurring ).
อะไรที่ผมไม่ต้องการก็คือปาฏิหารย์ที่ขั้นวิกฤตนั้น(a miracle at the critical stage). ที่ตรงนั้นคือคุณสมบัติด้านหน้าที่การทำงานทั้งหลายของเซลล์ประสาททั้งหลาย(these functional properties of neurons)และจิตสำนึกก็ผุดขึ้นมา(consciousness comes out), แต่ผมไม่ต้องการมีสิ่งปาฏิหารย์บังเกิดขึ้นตรงนั้นซึ่งเป็นจุดกุญแจสำคัญ(that key point).
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต้องยกเอาปาฏิหารย์ทั้งหลายของพวกเขาออกมาข้างหน้า(have to put their miracles up front), ถูกไหม, นั่นคือสมมติฐานทั้งหลายของพวกเรา(our assumptions). เราแค่เอาพวกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะ, เหล่านี้คือปาฏิหาริย์ทั้งหลายของเรา,
สมมติฐานทั้งหลายของเรา. หลังจากนั้นมันก็ไม่ยุติธรรม(no
fair). ก็ไม่ยุติธรรมที่จะเอาปาฏิหารย์ใดๆไปไว้ยังที่อื่นอีก,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ตรงที่จุดกุญแจสำคัญ(at the key point)ที่ซึ่งจิตสำนึกผุดขึ้นมา(where consciousness emerges).
และมันเช่นนั้นก็เพราะผมไม่ต้องการจะเอาปาฏิหาริย์ไปวางที่ตรงนั้น,
และผมก็ไม่สามารถคิดออกได้ว่าจะทำมันอย่างไร, เริ่มต้นด้วยด้านกายภาพ(physical)หรือด้านหน้าที่การทำงาน(functional). สมมติฐานทั้งหลายแบบดึกดำบรรพ์ทั้งหลาย(primitives assumptions)ที่ผมพูดว่าโอเค, เรามาถอยหลังกันออกมา(let’s back off).
เรามีจิตสำนึกของจิตและร่างกาย(mind and body consciousness)และสมองกายภาพ(the
physical brain).
เราได้พยายามที่จะคลี่คลายปัญหานั้น(trying
to solve the problem)เริ่มต้นด้วยด้านกายภาพและหน้าที่การทำงาน(starting with physical and functional)และแล้วก็เข้าไปสู่จิตสำนึก(and getting to consciousness). อะไรจะบังเกิดขึ้นถ้าเราเริ่มตันจากอีกทิศทางอื่น(start from the other direction)? เป็นดุจการเข้าถึงอย่างวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์และเคร่งครัด(as a purely scientific and rigorous
approach).
ดังนั้นเราไม่ได้กำลังพูดถึงเกี่ยวกับลัทธิลี้ลับไสยศาสตร์(about mysticism)หรืออะไรบางอย่างเช่นนั้นง ผมกำลังพูดถึงว่า,
เราสามารถที่จะเอาตัวจำลองเชิงคณิตศาสตร์เที่ยงตรง(get a mathematically precise model)ของจิตสำนึก(of
consciousness)มาใช้กับเรื่องทั้งหลายของมันเอง,
ได้ไหม?
ที่ซึ่งเราต้องทำ, เอาละคุณก็รู้,
ก็คือวางโครงสร้างทั้งหลายเชิงคณิตศาสตร์ลงไป(put
down mathematical structure),
ไม่ใช่เพราะว่าพวกมันถูกต้อง(they’re
right)แต่เพราะว่าเราทำอย่างชัดเจนเที่ยงตรง(we’re precise)ฅ ดังนั้นแล้วเราก็จะสามารถค้นหาว่าทำไมเราถึงได้ผิดอย่างชัดเจน(why we’re precisely wrong).
ดังนั้นความคิดก็คือว่า, เรามาวางตัวจำลองเชิงคณิตศาสตร์ของจิตสำนึกลงไปกัน(let’s
put down a mathematical model of consciousness). แน่นอนละว่า, มันอาจจะไม่เป็นการถูกต้อง(it’s not going to be right), นั่นคืออะไรที่วิทยาศาสตร์มักจะเป็น(that’s what science always does). แต่คุณได้ลงไปที่นั่นล อย่างน้อยที่สุดมันก็อย่างถูกต้อง(at least it’s rigorous).
ทีนี้คุณก็เริ่มต้นที่จะทำการคาดคะเนพยากรณ์ทั้งหลาย(start to make predictions), คุณได้กลศาสตร์ของจิตสำนึก(get a dynamics of consciousness).
การทดลอง(the test)จะเป็นสิ่งสามารถทำให้คุณกำเนิดเริ่มต้นจากฟิสิกซ์ควอนตัม(derive quantum physics)ได้ไหม? จากมันคุณก็สามารถได้สมการคลื่นของอนุภาคอิสระไหม?(the wave equation of a free particle), คุณสามารถได้ตัวปั่นทอทั้งหลายไหม?(spinners), คุณสามารถได้เครือข่ายทั้งหลายที่หมุนปั่นทอไหม?(get a spin networks), คุณสามารถได้ทฤษฎีจากสาขาวิชาของควอนตัมออกมาจากมันไหม?(quantum field theory out of it).
เพราะว่าถ้าคุณสามารถทำได้แล้ว, ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดคุณก็มีทางออกคลี่คลายปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ที่เที่ยงตรง(a mathematically precise solution)ของปัญหาเรื่องจิต กาย(of the mind and body problem), เริ่มต้นจากในทิศทางอันอื่น(starting in the other direction).
ดังนั้นผมไม่ต้องการมีการโบกมือให้(a hand wave). ที่ผมต้องการก็คือตัวจำลองเชิงคณิตศาสตร์ของจิตสำนึก(a mathematically model of
consciousness)ที่นักคณิตศาสตร์รายใดจะรู้จักกันดีได้เป็นการจำเพาะพิเศษ(any mathematician would recognize is
well recognized)ว่านักวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ใดก็ตาม(any empirical scientist), คุณก็รู้, ในสาขาวิชานี้ก็จะบอกว่า, ไม่ได้เชื่อได้ยากเลยทั้งสิ้น(is not completely implausible)ในฐานะตัวจำลองการทดลองเชิงประจักษ์(as an empirical model), คุณรู้ไหม, จากข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับจิตสำนึก(of the empirical data about consciousness).
และแล้ว,
การทดลองจริงของการคลี่คลายปัญหาเรื่องจิต-กาย(the real test of solving the mind-body
problem)ก็คือว่า ผมสามารถได้ตัวจำลอง(can take that model)หรือไม่? และโดยปราศจากมือโบกทั้งหลาย(without any hand waves), ไม่มีปาฏิหาริย์ทั้งหลาย(no miracles)พูดได้ว่าทฤษฎีสาขาควอนตัม(quantum field theory)โผล่ขั้นออกมาจากมัน.
นั่นก็จะเป็นสะพานใหญ่อันหนึ่ง(a big bridge)ไปยังการคลี่คลายในแนวปัญหาด้านร่างกาย(towards solving the line of body
problem)จากอีกทิศทางอื่น(from the other direction). นั่นจะเป็นเรือท้องแบนลำแรก(the first pontoon)ที่ลอยไปเหนือน้ำและแล้วคุณก็ต้องการที่จะยึดครองอาณานิคมมันและทำอะไรต่อไปอีกมากมายอื่นที่เราเข้าใจ(colonize and do lots lots of other we
understand),
ทั้งหมดของจิตวิทยามนุษย์(all
human psychology)และการที่วิทยาศาสตร์ด้านสมองเชื่อมโยงสัมพันธ์กันกับรูปลักษณ์ทั้งหมดของการรับรู้และการจำได้หมายรู้ของมนุษย์(all aspects of human perception and cognition)ได้อย่างไร?
แต่ถ้าเราได้สะพานนั้น(get the bridge)จากตัวจำลองขั้นต้นของจิตสำนึก(from a basic model of consciousness)ไปยัง, เอ้อ, พูดได้ว่า ทฤษฎีสาขาวิชาควอนตัม(a
quantum field theory),
ทีนี้เราก็มีอะไรบางอย่างที่จะสร้างบนมันนั้น. และนั่นคือโครงการของผม(be my project).
https://youtu.be/ynTqCFBhRmw