หน้าเว็บ

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2565

พุทธทาสภิกขุ - การร่วมมือกันต่อต้านและแก้ไข ความวิปริต

 

การร่วมมือกันต่อต้านและแก้ไข ความวิปริต พระธรรมโกศาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ สวนโมกขพลาราม

 

: ล้ออายุครั้งที่3 ที่โค้งหินวันที่ 27 พฤษภาคม 2519

 

         ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในการบำเพ็ญกุศลในวันเกิดในแบบของการล้ออายุ ทั้งหลาย การบรรยายเป็นครั้งที่ 3 นี้ จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “การร่วมมือกันต่อต้านและแก้ไขความวิปริต”.

         ในการบรรยายครั้งแรกได้พูดกันถึง “ความวิปริต” และ “เหตุของความวิปริต” เพื่อให้รู้ว่ามันมีความวิปริตอยู่ในโลกนี้อย่างไร. ครั้งที่ 2 ที่ตอนบ่ายก็พูดกันถึงข้อที่ว่า “เราจะอยู่ในโลกอันวิปริตนี้ได้อย่างไร” จึงจะไม่กระทบกันเข้ากับความวิปริต. นี้ก็แปลว่า ส่วนบุคคลนั้นมันก็มีลู่ทางที่อยู่ได้ในโลกอันวิปริต.

         ทีนี้ในครั้งนี้ ก็จะพูดกันถึงวิธีการ ที่จะร่วมมือกันทุกฝ่ายหรือทุกคน เพื่อจะต่อต้านความวิปริต แก้ไขความวิปริตนี้ ให้หมดไป จึงเป็นเรื่องที่มีขอบเขตกว้างออกไป กว่าที่เอกชนคนหนึ่งๆจะทำ. ดังนั้นการบรรยายในครั้งนี้ จึงเสมือนกับการบรรยายต่อจากการบรรยายที่ได้บรรยายไปแล้ว.

         สำหรับการร่วมมือกันต่อต้านและแก้ไข ในชั้นแรกนี้ต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งกันและกันทุกฝ่าย. ถ้าในคนแต่ละฝ่ายนี้ ไม่มีความเข้าใจ หรือไม่เห็นโทษอันเลวร้ายของความวิปริต และไม่รู้ในข้อที่แต่ละคน แต่ละหมู่คณะนี่ก็มีความรับผิดชอบในข้อนี้ และมีหน้าที่โดย”ธรรม” ที่จะต้องช่วยกันแก้ไข.

ไม่ได้อ้างหน้าที่ตามกฎหมายหรือหน้าที่อะไรทำนองนั้น แต่อ้างหน้าที่โดย”ธรรม” เที่ยวเป็นคนที่อยู่ในโลก เมื่อโลกมีปัญหาอะไร ก็ต้องรับเอาเป็นหน้าที่ ที่ควรจะพึงกระทำ จึงจะมีสิทธิมีชอบธรรม หรือสมควรที่จะอยู่ในโลกนี้.

ท่านทั้งหลายทุกคนก็ต้องพิจารณาข้อนี้กันด้วย การที่ใครจะพูดว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา นี้ก็ไม่ถูก เพราะว่าเป็นชาวโลกอยู่ในโลก ได้รับประโยชน์จากโลก แม้อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าเป็นชาวโลก นี้ก็มีความผูกพันพอสมควรแล้ว ที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาของโลกนี้.

ถ้าเป็นพุทธบริษัท ก็ยิ่งมีความรับผิดชอบในส่วนนี้ คือกระทำตามพุทธประสงค์ ในทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น หรือว่าทั้งสองฝ่ายอย่างสัมพันธ์กันไปทีเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่เพื่อบุคคลใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ.

และการยอมรับภาระช่วยกันแก้ไขความทุกข์ของผู้อื่นนั้น มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัวเอง คือมันทำลายความเห็นแก่ตัว. คนที่ไม่เอาใจใส่ในปัญหาของผู้อื่น ก็เพราะเห็นแก่ตัว กลัวลำบากบ้าง หรือว่ามีข้ออ้างแก้ตัวว่า เราไม่ไปหาเรื่อง เราไม่ไปแส่หาเรื่อง อย่างนี้ก็มี.

แต่อีกทางหนึ่ง ผู้ที่มีความคิดนึก ความเข้าใจถูกต้อง ก็ถือเป็นการบุญการกุศล ที่จะต้องทำ เพราะเห็นว่าประโยชน์ของผู้อื่นนั้นมันก็มาก ควรจะถือว่าประโยชน์ตัว เป็นเรื่องธรรมดาสามัญกัน.

นี่ไม่ได้พูดถึงการบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่พูดถึงการทำประโยชน์เกื้อกูลอย่างโลกๆแล้วก็จะต้องถือว่า ส่วนรวมมีน้ำหนักหรือมีความหมายมากกว่าส่วนตัว จึงได้พยายามที่จะทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และร่วมมือกันแก้ไข สิ่งซึ่งเป็น”อุปัทวะ” ในโลกนี้.

การต่อต้าน มันอยู่ในรูปของการป้องกัน เมื่อเรามีการป้องกันไม่ให้เกิดและมีการแก้ไขในส่วนที่มันเกิดแล้ว ขอให้ทุกคนพิจารณาเรื่องนี้ เป็นพิเศษอีกเรื่องหนึ่ง นอกไปจากการแก้ปัญหาของตัวโดยเฉพาะ.

คำว่าร่วมมือกัน มันก็หมายถึงหลายฝ่ายอยู่แล้ว ถ้าทำความเข้าใจกันไม่ได้ ความร่วมมือกันมันก็มีไม่ได้ ทีนี้เมื่อต้องการความร่วมมือก็ต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นเบื้องต้นเสียก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด.

การทำความเข้าใจดีต่อกันนี้มันก็ต้อง อย่างน้อยมีกันสองฝ่าย หลายฝ่าย แล้วแต่เรื่องนั้นๆ. ในชั้นแรกก็จะนึกถึงเอกชนคนหนึ่งๆที่จะต้องร่วมมือกัน เพื่อความอยู่รอดของกันและกัน เพราะว่ามันอยู่คนเดียวไม่ได้ หรือปัญหาต่างๆจะแก้ไขโดยลำพังคนเดียวไม่ได้ มันจึงต้องร่วมมือกัน เพื่ออยู่รอดด้วยกัน ทุกชนชั้น ทั้งที่...คนที่จัดตัวเองไว้เป็นอีกชั้นหนึ่ง แล้วก็ไม่ร่วมมือกับอีกชั้นหนึ่ง โดยถือเสียว่ามันคนละชั้น ประโยชน์มันขัดกัน จึงได้แบ่งชั้น อย่างนี้แล้วก็ไม่ร่วมมือกัน นี่มันเป็นอะไรล่ะ ความเข้าใจผิดต่อธรรมชาติเป็นอย่างมากทีเดียว.

ความมีชนชั้นนั้นมันก็เป็นของธรรมดา มันก็ต้องมี และชนชั้นโดยกำเนิด วรรณะโดยกำเนิดนี้ ดูจะยกเลิกกันไปแล้ว ตามหลักพุทธศาสนา แต่ชนชั้นที่ว่าแบ่งได้โดยการกระทำ หรือการงานที่กระทำ กำลังความสามารถสติปัญญามันต่างกัน มันก็ย่อมเกิดชนชั้นเป็นธรรมดา ไปตามการกระทำนั้น ส่วนนั้นมันจะต่างกันก็สุดแท้แต่ว่าส่วนที่เป็นธรรมชาตินั้นน่ะ มันยังคงเหมือนกัน. และถ้ามองกว้างไกลไปทั้งโลก มันก็มีทางที่จะผูกพันกัน รับผิดชอบร่วมกัน อย่างไม่น้อยทีเดียว.

ในชั้นแรกนี้ เอกชนแต่ละคนต้องทำความเข้าใจ ในเหตุผลที่ว่าเราจะต้องร่วมมือกัน ยิ่งเป็นผู้นับถือศาสนา ก็ยิ่งได้รับคำสั่งสอน อบรม ในลักษณะที่ให้ช่วยกัน การเห็นแก่ผู้อื่นหรือช่วยผู้อื่นนั้นมันไม่เกิดกิเลส และการเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งของกิเลส จึงถือเอาการช่วยผู้อื่นนั้นเป็นบทเรียนไปเสียเลย เป็นการปฏิบัติธรรมไปเสียเลย. ผู้ที่มีสัมมาทิฐิ เพราะว่าถือศาสนาอย่างถูกต้อง และก็มีความคิดรู้สึกอย่างนี้ทั้งนั้น.

ศาสนาเป็นประโยชน์ รู้ว่ามีศาสนาอยู่ก็ยังหวังว่า จะมีความปลอดภัยยิ่งกว่าที่จะไม่มีใครนับถือศาสนา แต่แล้วก้ดุให้ดีเถิดว่า ถ้านับถือศาสนาอย่างถูกต้อง มันก็ไม่มีความเห็นแก่ตัว แต่ทีนี้มีคนนับถือศาสนาแบบเห็นแก่ตัว มันขัดกันอยู่กับเจตนารมณ์ ของสิ่งเรียกว่าศาสนา ยิ่งรู้อะไรมากยิ่งปฏิบัติอะไรได้ เป็นเก็บซ่อนไว้เฉพาะตัว เผยเข้ามา ก็ยกตนข่มท่าน ดูหมิ่นคนอื่นไปเสียยังงี้ อย่างนี้ก็ไม่เรียกว่า ถือศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนาอะไร. เราไม่ต้องการให้คนถือศาสนากันในลักษณะเช่นนั้น แต่ต้องการให้ถือศาสนากันตรงกับเจตนารมณ์ของสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา หรือของศาสดา หรือว่าของ พระเจ้า สำหรับศาสนาที่เค้ามีพระเจ้า เขาถือความประสงค์ของพระเจ้าเป็นหลักใหญ่ เอาความประสงค์ของพระเจ้าเป็นหลักจากใหญ่นั้น มีบทบัญญัติไว้ชัดเจนว่า รับใช้ผู้อื่น ก็คือรับใช้พระเจ้า รับใช้ตัวเองคือรับใช้กิเลส ตัณหา ซาตาน.

จะมีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า มันก็หลีกไม่พ้นที่ผู้นับถือศาสนานั้นๆจะต้องปฏิบัติในลักษณะที่ช่วยเหลือผู้อื่น ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของส่วนรวม จึงขอแต่ละคนทำความเข้าใจกันในข้อนี้ดีๆ ก็จะเกิดความพอใจและความสนุกสนาน ในการร่วมมือในการกระทำที่แท้จริงมันทำได้ยาก. แต่ถ้ามีความเข้าใจในข้อนี้แล้วมันก็จะทำได้ง่าย และบางทีมันก็สนุกสนาน เพราะความรู้สึกว่าได้ปฏิบัติตรงตามพระธรรมคำสอนแห่งศาสนานั้นๆ.

ทีนี้ต่อไปก็ถึงใน...มวลชนที่เรียกกันว่าสังคม ก็ได้แก่เอกชน ที่มีอุดมคติหรือประโยชน์ตรงกันก็จับกลุ่มกันเป็นหน่วยๆ เรียกว่าสังคมหนึ่ง ข้อนี้มันก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่า มันมีประโยชน์เหมือนกัน จึงจะจับกลุ่มกันได้เป็นสังคมหนึ่งๆ. ถ้าประโยชน์หรืออุดมคติขัดกัน มันก็รวมกันไม่ได้.

การที่จะให้สังคม แต่ละสังคม เข้าใจกัน ยินดีร่วมมือกันทั้งที่มีอุดมคติต่างกันนี้ มันก็ยาก แต่ถ้าได้อาศัยบารมีของศาสนาอีก เค้าก็จะได้ยกเรื่องส่วนตัวไปไว้เสียทางหนึ่ง เห็นแก่ศาสนา ซึ่งยกเหตุผลมาเรียกร้องความร่วมมือนี้ในฐานะที่ว่า เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ในโลก มันจะพึงกระทำ มาพูดกันถึงเรื่องนี้ก็แล้วกันว่า ในการที่จะช่วยกันให้โลกนี้มันยังคงอยู่นี้เป็นหน้าที่ของทุกคน เมื่ออยู่ได้แล้ว แต่ละคนหรือแต่ละพวกก็แสวงหาประโยชน์ไปตามความประสงค์ของตนก็ได้ ต่ออย่าให้โลกมันหมดไปเสีย ให้มีโลกเป็นพื้นฐานสำหรับยืนอยู่ เป็นที่อยู่อาศัยของคนในโลก สำหรับจะประกอบกิจกรรมไปตามความต้องการของตัว พอเราทำความเข้าใจกันในระหว่างสังคมได้ในลักษณะนี้ นี้ก็พอจะร่วมมือกันได้ เดี๋ยวนี้ไม่ยอมรับฟังในส่วนนี้ กลับหาความมาว่า มติศาสนานี่ ครึคระ งุ่มง่ามงมงาย มันจึงร่วมมือกันไม่ได้.

สังคมที่ใหญ่หลวงในเวลานี้ก็คือสังคมที่ขวาจัด สังคมที่ซ้ายจัด พูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะมันต้องการแต่ประโยชน์อย่างเดียว ไม่มองเห็นในข้อที่ว่า เราอยู่ในโลกต้องเอาโลกไว้ให้ได้ก่อน อย่าให้เราเผลอไปทำลายโลกเสีย. ข้อที่ความเห็นมันขัดกันในการจัดโลกนั่น มันต้องไม่ทำไปในลักษณะที่ทำลายโลกเสียเลย และถ้าเมื่อหวังความสงบสุขและสันติแล้ว วิธีที่จะจัดโลกนั้น มันต้องเป็นในทางของสันติ และเป็นไปในลักษณะที่ผู้อื่นพอจะรับได้ หรือกลืนลงคอได้. นี่เรียกว่ามันเป็นเหตุผล ที่ควรจะถือเป็นประมาณ ไม่เอาแต่ตามใจของตน ก็คนถ้าอวิชชาหรือโมหะครอบงำแล้ว มันก็มุทะลุดุดัน ถือเอาแต่ตามทิฏฐิหรือความคิดเห็น ที่ตนได้เสพคบมานาน หรือว่าอย่างเหนียวแน่น. เรื่องทิฏฐิความคิดเห็นนี่ถ้าไปเสพคบในลักษณะใดนาน มันเหนียวแน่น และมันยากที่จะละได้ หรือมันยากที่จะยอมมองในแง่อื่น แม้ที่ดีกว่า.

เราศึกษาปัญหาของสังคมกันให้พอสมควร ในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของสังคมใดก็ตาม พังจะพยายามให้สังคมนั้นๆ ทำอะไรเป็นไปอย่างที่เรียกว่า เป็นมนุษย์ อย่าให้เป็นยักษ์ มาร ภูติผีปีศาจอันร้ายกาจใดเลย. เอาความเป็นมนุษย์เนี่ยะเป็นพื้นฐาน สำหรับทั้งหมด จะแบ่งแยกกันเพื่อประโยชน์ที่แตกต่างกันนั้นมันก็ทำได้ การที่ถือหลักว่าอยู่ร่วมกันโดยสันติ แม้มีอุดมคติในบางอย่างต่างกันนั้น เป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุด ขอให้มันจริงอย่างนั้น มันจริงอย่างปากว่าอย่างนั้น และเราก็จะอยู่ร่วมกันได้.

ในครอบครัวหนึ่งถ้าสามีและภรรยาจะมีอุดมคติบางอย่างต่างกัน แต่เมื่อถือรากฐานของครอบครัว ทั้งครอบครัวมันจะอยู่ได้อย่างไร ที่เป็นหลักแล้วมันก็อยู่กันได้ มันก็พูดกันรู้เรื่อง. ในสังคมที่ใหญ่ออกไปเช่นในวัดๆหนึ่ง มีพระมากมีเณรมากมีอะไรหลายๆคน ไม่ควรจะทะเลาะกันด้วยความคิดเห็นที่มันแตกต่างกัน จนถึงกับว่าทำอันตรายแก่กันและกัน หรือถึงกับว่าทำให้ส่วนรวมทั้งคณะนั้นแตกสลายไป.

ขอให้มองเห็นหรือถือเป็นหลักแน่นอนว่า ความเห็นที่แตกต่างกันนั้น ไม่ควรจะเอามาเป็นสาเหตุสำหรับทำลายล้างกัน มันเป็นเพียงวิธีของคนๆหนึ่งที่เค้าจะแสวงหาประโยชน์เพื่อตัวเองอย่างไร แม้ว่ามันจะขัดกันบ้าง มันก็มีทางออกอย่างอื่น ชนิดที่ไม่ต้องทำลายกัน แล้วแต่ละฝ่ายก็ยังได้รับประโยชน์ตามสมควรที่ตนจะพึงได้รับ ถ้าถือกันอย่างนี้ ก็อยู่ร่วมกันได้ แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะถือหลักธรรมะอย่างหนึ่ง อีกฝ่ายก็จะถืออีกอย่างหนึ่ง. อย่างพวกหนึ่งถือว่ามีอัตตา พวกหนึ่งถือไม่มีอัตตา พวกหนึ่งถือว่าตายแล้วเกิด พวกหนึ่งถือว่าตายแล้วไม่เกิด อย่างนี้มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทะเลาะกัน เมื่อตนชอบใจอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น เพื่อได้รับประโยชน์ตามที่ต้องการ นี่ มันควรจะเป็นอย่างนี้.แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนี้ เพียงทิฏฐิขัดกันเล็กน้อย หรือแม้ว่าไม่สามัคคีกัน แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำลายล้างกัน อยู่กันในโลกนี้ก็ควรจะมีหลักอย่างนี้.

จึงขอให้สังคมแต่ละสังคม มองกันในรูปนี้ เพราะว่าพื้นฐานส่วนใหญ่ที่ว่ามนุษย์จะต้องอยู่นี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่ออยู่แล้วก็จะอยู่กันอย่างแตกต่างกันบ้าง โดยประโยชน์หรือโดยอุดมคตินี้ มันก็ได้. สำหรับในกรณีของโลกในปัจจุบันนี้ ยิ่งก็ต้องเป็นอย่างนี้มากขึ้น คืออยู่ร่วมกันโดยสันติได้ ทั้งที่อุดมคติหรือประโยชน์มันไม่ตรงกัน ถือเสียว่าเคารพพระเจ้าแล้วก็ไม่รบราฆ่าฟันกัน ต่างกันตั้งหน้าทำมาหากิน หรือหาประโยชน์ของตนตามที่ต้องการ โลกนี้ก็จะไม่วิปริตมาก จะไม่มีวิกฤตการณ์มาก เหมือนกับว่า อยู่รวมๆกันแล้วก็ทำมาหากินต่างกัน มันจะดีเสียอีกที่จะไม่ไปกระทบกระทั่งกัน.

แต่ที่ไม่เป็นอย่างนั้นก็เพราะมันเห็นแก่ตัว เลยก้าวก่ายเข้าไปในประโยชน์ของผู้อื่น แย่งชิงประโยชน์ของผู้อื่นหรือลักล้วงประโยชน์ของเขา อย่างแยบคายอย่างนี้ ก็เป็นการช่วย...เป็นการทำลายโลกมากกว่า ไม่ควรที่จะมีอยู่ในโลก.  นี้เรียกว่าเป็นการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันในระหว่างสังคม แต่ละสังคม แม้ที่สุดแต่พวกขวาจัดซ้ายจัด ถ้าถือหลักอย่างนี้แล้วก็ ยังจะทำความเข้าใจกันได้ ไม่ต้องมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น.

ทีนี้ต่อไปอีกก็มาถึงสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ในฐานะที่เป็นสถาบันหรือองค์การหรือเป็นอะไรก็ตาม มันมีอยู่หลายศาสนา ในโลกนี้จะมีถึง 10 ศาสนาเลยด้วยซ้ำไป ที่ว่ามีอิทธิพลเหนือประชาชนในโลก. แต่แล้วศาสนาเหล่านี้ก็กำลังไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน เห็นฝ่ายหนึ่งเป็นคู่แข่งขัน เกิดความคิดที่จะทำลายล้างกัน แม้ว่า สุภาพสักหน่อยในภายนอก แต่ภายในใจนั้นมันเป็นความอาฆาตมาดร้าย ศาสนาเป็นเสียเองอย่างนี้ แล้วมันจะมีอะไรที่ไหนมาช่วยทำให้คน มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน.

ไอ้ศาสนาเนี่ยะมันเป็นสิ่งที่แต่ละคนยึดมั่น และถือเป็นหลัก แม้อย่างงมงาย และส่วนมากก็เป็นไปอย่างงมงายด้วย เกิดยึดมั่นในศาสนา ในฐานะเป็นของตน เพื่อประโยชน์แก่ตน ยิ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทางศาสนาในศาสนานั้นชั้นสูง มีหน้าที่ดำเนินงานอะไรต่างๆด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีความสำคัญมาก เพราะเค้าอาจจะดำเนินงานไปในลักษณะที่ อิจฉาริษยาศาสนาอื่น เพราะว่ามีศาสนาด้วยกิเลสตัณหา กระทั่งว่าเผยแผ่ศาสนานี้ก็เผยแผ่ด้วยกิเลสตัณหา อย่างน้อยมันก็จะยกตนข่มท่าน ว่าศาสนานี้ดีกว่าศาสนาอื่น ถ้ามากไปกว่านั้นอีกมันก็ใช้ศาสนานั้นแหละ เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ เป็นเครื่องมือทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ แล้วก็เป็นมาแล้วในประวัติศาสตร์.

เราไม่ควรจะเรียกไอ้การกระทำอันนี้ ว่าทำไปในลักษณะที่เป็นศาสนา หรือโดยเจ้าหน้าที่ของศาสนา มันไม่มีความเป็นศาสนาเหลืออยู่เลย และเจ้าหน้าที่อันนั้นก็ไม่มีอะไรที่เหลืออยู่ สำหรับคนที่รับใช้พระเจ้า รับใช้พระธรรม ทันทำไปด้วยกิเลสตัณหา มากกว่าคนธรรมดาเสียอีก. วัตถุพยานมันก็มีปรากฏอยู่แล้ว มาแต่หลักแต่หนหลัง ในประวัติศาสตร์นั้นมันก็มีการล้างผลาญกัน ด้วยอาศัยศาสนา ที่ตั้งมันก็มี กระทั่งเดี๋ยวนี้มันก็มี แต่มันมีในลักษณะที่เร้นลับยิ่งขึ้น.

ถึงควรจะทำความเข้าใจกันเสียใหม่เถิดว่า ศาสนานั้นเป็นที่พึ่งของมนุษย์ด้วยกันทุกศาสนา แม้ว่าจะมีคำสอนต่างกัน ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นศัตรูกัน ให้ถือเสียว่าแต่ละศาสนามีอุบาย มีวิธี ที่ได้คัดเลือกแล้วเหมาะแล้วสำหรับประชาชนในในถิ่นนั้นๆ และในยุคนั้นๆ อย่างอื่นไม่เหมาะ จึงเกิดมีศาสนาที่วางรูปคำสอน หรือหลักปฏิบัติไว้หลายรูปแบบที่ต่างกัน เช่นมีพระเจ้า ไม่มีพระเจ้า หรือว่าศาสนาที่รับเอาความเชื่อเป็นหลัก หรือว่าศาสนาที่เอาสติปัญญาเป็นหลัก หรือว่าศาสนาบางศาสนาก็เอากันทื่อๆ คือเอากำลังจิตที่เข้มแข็งเนี่ยะ เป็นหลัก ไปบังคับมันอย่างนั้นอย่างนี้ ให้จิตมันคิดนึกแต่อย่างนี้ มันก็มีทางรอดได้เหมือนกัน. โดยจะเป็นหลักมาแต่โบราณก่อนพุทธกาลเสียอีก ในหลักศาสนาหนึ่งๆนั้น มันมีวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่าง คือเอาศรัทธาเป็นหลักก็มี เอาปัญญาเป็นหลักก็มี เอากำลังจิตบังคับเป็นหลักนั้นก็มี ไม่มีผิด ใช้ได้กันทั้งนั้น.

พระศาสดาองค์ไหนจะสอนโดยหลักไหนที่ไหน มันก็ถูกทั้งนั้น เพราะว่าเพื่อให้มนุษย์มันอยู่ด้วยความเป็นสุข ในยุคหรือในถิ่นที่คนไม่ฉลาดก็ต้องใช้ความเชื่อเป็นหลัก ถ้าใช้ปัญญาเป็นหลักมันทำไม่ได้. ในบางแห่งก็ต้องใช้ไอ้กำลังจิตเป็นหลัก เพราะคนมันถนัดที่จะกระทำกันในทางนั้น หรือว่าบางทีในประเทศเดียวกันแท้ๆ เช่น ประเทศอินเดีย มันกว้างใหญ่ มีศาสนาได้หลายศาสนา มีคนหลายชนิด หลายระดับ เค้าก็มีหลักศาสนาให้เลือก จะเป็นพวกศรัทธาก็ได้ จะเป็นพวกปัญญาก็ได้ เป็นพวกใช้กำลังจิตเข้มแข็งนี้ก็ได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทะเลาะอะไรกัน.

เหมือนอย่างว่า พ่อค้าขายสินค้าต่างๆกัน มันก็ไม่ควรจะทะเลาะกัน เพราะเราไม่ได้ขายสินค้าเหมือนกัน เว้นไว้แต่จะอันธพาลมากเกินไป จะบีบให้เค้าไม่ซื้อสินค้าอย่างนั้นอย่างอื่น ให้มาซื้อสินค้าอย่างของเราที่เรามี อย่างนี้เป็นอันธพาลมากไปแล้ว เรื่องของศาสนาก็เป็นอย่างนี้ อย่าไปเป็นอันธพาลมากขนาดนั้น ให้เค้ามีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกเอา ให้ตรงกับพื้นเพแห่งนิสัยสันดานดวงจิจดวงวิญญาณของเขาเสียเอง และอยู่ร่วมกันโดยผาสุก 1(หมายถึง สบาย สงบ ร่มเย็น)หรือโดยสันติ.

1http://legacy.orst.go.th/?knowledges=%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B8%9C%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81-%E0%B9%92-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%90

 

ในประเทศอินเดีย ถ้าถือเอาตามพระบาลีพระไตรปิฎกนะ ขอให้ช่วยฟังให้ดีนะ ว่าถือเอาตามพระบาลีที่อยู่ในพระไตรปิฎกนี่ ดูจะไม่มีการกระทบกระทั่งในระหว่างศาสนาเลย แต่ถ้าไปอ่านเรื่องราวในชั้นอรรถกถาแล้วดูจะฟังไม่ได้ ช่างเลวร้ายเสียเหลือเกิน การเบียดเบียนกัน การแกล้งกันอะไร ระหว่างเดียรถีย์2(นักบวช)ต่างๆ คือระหว่างลัทธิต่างๆ คือพุทธศาสนาก็เป็นเดียรถีย์หนึ่ง

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C

ศาสนาอื่นก็เป็นเดียรถีย์หนึ่งๆๆทั้งนั้น มีการทะเลาะวิวาท อาฆาตมาดร้าย อิจฉาริษยากันอย่างที่ไม่ควรเป็นไปได้ขนาดนั้น อรรถกถามันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเรื่องราวในบาลีแล้ว จะไม่พบอย่างนั้น อย่างมากก็จะเป็นเพียงสงครามปาก หรือสงครามทิฏฐิ ไม่มีการลงมือกระทำ อย่างที่เรียกว่าอันธพาล.

         ครั้นมาถึงยุคนี้ ในโลกปัจจุบันนี้ ก็ยังมีปัญหาอย่างนี้เหลืออยู่ จะคิดทำลายล้างกันอยู่ในใจ ได้โอกาสเมื่อใดก็ทำเมื่อนั้น นี้ก็เป็นอุปสรรคอันใหญ่ยิ่ง หรือเป็นตัวเสนียดจัญไรใหญ่ยิ่ง ของโลกนี้ หรือศาสนาชนิดนั้นนั่นเอง. พวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลาย ขอได้ช่วยกันระมัดระวังอย่าให้พุทธศาสนาของเราเป็นไปอย่างนั้น เป็นไปในลักษณะอย่างนั้น. แม้ว่าพุทธศาสนาจะมีลักษณะเฉพาะ เป็นไปในทาง อาศัยปัญญาเป็นที่พึ่ง ก็มิใช่ว่าจะไม่อาศัยศรัทธา หรือสมาธิ เอาเสียเลย ก็ยังต้องการการศรัทธา การเชื่อในลักษณะหนึ่ง แก่คนพวกหนึ่ง หรือใน...ในระดับหนึ่ง มันก็นิยมการใช้กำลังจิต คือสมาธิ ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่า อาศัยเรื่องปัญญาเป็นส่วนสำคัญหรือออกหน้า ตรงตามคำว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.

         ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องไป ดูหมิ่น พวกที่เค้าจะใช้ศรัทธา และก็จะใช้กำลังจิต คนนู้น นี่จะต้องเข้าใจกันไว้ ขอให้ทุกๆฝ่ายมุ่งหมายผลที่จะพึงได้แก่โลกนี้ ที่คือสันติสุข หรือความสงบ ของโลกเป็นส่วนรวม. ใครจะใช้ศรัทธา ใครจะใช้ปัญญา ใครจะใช้กำลังจิต มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าทำให้โลกนี้มันสงบได้ ก็เป็นการถูกต้อง ก็มีให้เลือกเพียงพอ เพราะคนโลกมันต่างกันอยู่เป็นหลายระดับ หลายขนาดเหลือเกิน.

เดี๋ยวเรื่องศรัทธานี้จะเอาไว้พิจารณากันทีหลัง ให้ละเอียด.

ในที่นี้ต้องการจะพิจารณากันแต่ในข้อที่ว่า ทุกศาสนาไม่จำเป็นที่จะต้องมีอะไรขัดแย้งกัน เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ก็คือศาสนาเดียวกัน แบ่งแยกเป็นนิกายแล้ว ก็ยังมุ่งร้ายต่อกันและกัน ยิ่งเลวไปกว่า ความเบียดเบียนกันในระหว่างศาสนา เพราะว่าในศาสนาเดียวกันก็ยังแตกแยกกันเพื่อจะทำลายล้างกัน.

ทีนี้เมื่อมองกว้างเป็นเรื่องของโลกในส่วนรวม ก็จะมาพบปัญหาอยู่ที่ประเทศหลายๆประเทศ แล้วประเทศทั้งหลายที่รวมกันเป็นโลก ประเทศเหล่านี้ก็ทำความเข้าใจกันไม่ได้ ในลักษณะที่เป็นธรรม เป็นความยุติธรรม ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะว่าต่างฝ่ายต่างมุ่งประโยชน์ของตน ในแง่ของการเมือง ในแง่ของเศรษฐกิจ ในแง่ของอะไรก็ตาม เขาก็ต้องการประโยชน์เพื่อประเทศของตน มีการแข่งขัน มีการแย่งชิง การกลุ่มพวกเพื่อแย่งชิง เรียกกันว่าสงครามเย็น เมื่อทนไม่ได้ก็เกิดเป็นสงครามร้อน ที่ทำให้คนตายทีละมากๆ มันเข้าใจกันไม่ได้ ในข้อที่มนุษย์เราจะอยู่ในโลก ร่วมโลก กันอย่างไร มันไม่รู้กระทั่งว่ามันเกิดมาทำไม ก็เลยเอาประโยชน์เป็นหลัก ว่าเกิดมาเพื่อประโยชน์ ไม่มีความถูกต้องและผิดชอบชั่วดีอะไรเป็นหลัก นี้คงจะมีปัญหาไปอีกนาน เพราะว่ามันมีแต่สิ่งที่ทำให้หลงใหลในประโยชน์ ไม่หลงใหลในความจริง ความดีความงามความถูกต้อง ความยุติธรรม เป็นของยากมากที่จะแก้ไขในส่วนนี้ แต่ก็ไม่ควรจะท้อใจ เพราะว่าสิ่งต่างๆมันเปลี่ยนได้ ถ้ามีเหตุปัจจัยถูกต้องมันเข้ามา มันก็เปลี่ยนไปในทางที่ถูกต้องได้.

ดังนั้นขอให้หวังกันไว้ว่า ไอ้ความขัดแย้งกันนั้น มันคงจะไม่ตายตัว มันคงจะเปลี่ยนได้ ตามกาลตามเวลาตามเหตุตามปัจจัย ที่จะค่อยๆมีเข้ามา และเหตุปัจจัยนั้นก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า พวกเรานี่เอง ที่จะช่วยกันทำความเข้าใจ ช่วยกันระดมเผยแผ่ ความเข้าใจถูกต้อง ในระหว่างกันและกันให้มากขึ้น ก็ต้องเป็นคนดีไม่น้อยทีเดียว.

ทีนี้ดูต่อไปอีกไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี ก็จะเรียกว่าวิทยาการในแขนงต่างๆที่มีอยู่มากมายในโลกนี้ นั้นควรจะร่วมมือกันได้ เช่น ศาสนา กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ นี้มันควรจะร่วมมือกันได้ ไม่ควรจะหลับตาเดินกันคนละทาง พูดถึงกันว่าขัดแย้งกันนั้น มันเลวเกินไป มันควรจะไม่มีอะไรขัดแย้ง แล้วก็มาร่วมมือกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้มนุษย์ดีรับผลดี.

เดี๋ยวนี้ทางฝ่ายวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า มันก็ไม่คำนึงถึงศาสนา ไม่คำนึงถึงธรรมะในจิตใจของมนุษย์ มุ่งแต่ความก้าวหน้าของตัวเพียงอย่างเดียว เพียงแต่ว่าต้องการจะอวดดี อวดเด่นในวิชาความรู้ มันก็ไม่สนใจที่จะประนีประนอมกับศาสนาเสียแล้ว ก็ยิ่งต้อง...ยิ่งทำไปเพื่อต้องการจะเป็นการค้า จะกอบโกยประโยชน์แล้ว มันก็ยิ่งไม่มองหน้าใคร วิทยาการฝ่ายวิทยาศาสตร์ มันดึงดันไปเสียอย่างนี้.

คือทางฝ่ายศาสนาก็เหมือนกัน ถ้ามันงมงายแล้วมันก็จะพะลาดผิดเป็นอย่างยิ่ง กับวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ที่เราเรียกว่ามันหลับตาทำร้ายกัน หรือว่ามองเห็นแต่ประโยชน์ของฝ่ายตัว ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ที่จะเห็นกันง่ายๆก็เช่นว่า ในการ...ไอ้ความก้าวหน้าหรือการพัฒนานี่ กับเรื่องศีลธรรม หรือวัฒนธรรมด้วยก็ได้ มีการพัฒนาอย่างไม่คำนึงถึงศีลธรรม หรือวัฒนธรรมประจำชาติ มันก้าวหน้าอย่างนี้ มันจะต้องก้าวลงไปในนรก อย่างแน่นอน.

วิทยาการหรือวิชาการ หรือหลักเทคนิคอะไร มันควรจะมองดูกันบ้าง แล้วก็ทำให้มันเกิดการประสมประสานกลมเกลียวกันไป โดยไม่ต้องทำความเสียหายให้แก่ทั้งสองฝ่าย นั่นแหละ แล้วมันก็เสียหายแก่ส่วนรวม คือโลกนี่เอง.

เดี๋ยวนี้ก็พิจารณาดูเถิดว่า วิทยาการในโลกนี้มีหลายแขนงหลายสิบแขนง และนักวิทยาการเหล่านั้นไม่เคยจะปรองดองกัน ในการที่จะให้ผสมผสานกลมกลืนกัน เพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษย์ ต่างฝ่ายต่างจะอวดดีของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างจะกอบโกยประโยชน์ที่เป็นของตัวเอง. ที่วิทยาการอย่างนี้ยิ่งมีมากขึ้นในโลก ก็ยิ่งทำโลกให้แตกเป็นเสี่ยงๆๆๆ มากขึ้น แล้วโลกนี้มันก็วินาศเร็วขึ้นเท่านั้น เพราะนักวิทยาการทั้งหลายไม่มองดู หน้าของนักวิทยาการพวกอื่นเสียเลย.

สิ่งสุดท้ายก็อยากจะพูดถึง อุดมคติ คือสิ่งที่เรียกว่าอุดมคติ มันกำลังไม่กลมกลืนกัน มันมีแต่จะแยกกันไปสุดเหวี่ยง และสุดโต่ง ไปทางใดทางหนึ่งเท่านั้น มันจึงจะเรียกว่าอุดมคติสำหรับคนสมัยนี้ ซึ่งมีเลือดร้อน มีการศึกษาที่ทำให้เห็นแก่ตัว ตัวอย่างอุดมคติ ฝ่ายหนึ่งก็เป็นวัตถุนิยมสุดโต่ง ฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นมโนนิยมสุดโต่ง ไม่มีความสมดุล แก่กันและกัน ที่จะอยู่ในโลกนี้.

วัตถุนิยมสุดโต่งนี้ เกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว เพราะเห็นๆกันอยู่ และยิ่งสุดโต่งมากขึ้น มุ่งหมายแต่เรื่องทางวัตถุ ประโยชน์ทางวัตถุ ก้าวหน้าทางวัตถุ อะไรก็เรื่องของเนื้อหนังไปหมด.

อีกทางหนึ่งก็เหลือแต่พวกที่งมงายในเรื่องจิตในเรื่องมโนนิยมอะไรอย่างหลับหูหลับตา มันก็ยังมีอยู่ มัดจะเป็นเรื่องของศาสนา ที่ไม่เต็มเต็ง เป็นเรื่องงมงายหรือเป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่น.

มันไม่มีความสมดุลอย่างนี้ละก็ โลกนี้ก็ไม่มีความผาสุก.

พุทธศาสนานี้ กล้าจะอวดตัวเองว่า มีหลักเกณฑ์ คือความสมดุลกันระหว่างวัตถุกับจิตใจ ที่จะเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็ได้ ที่จะเรียกว่า สัมมัตตะ3 คือความถูกต้อง ในหลายๆประการนั้น

         3https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%D1%C1%C1%D1%B5%B5%D0&detail=on

ก็ได้. มีความสมดุล คือพอดี ในระหว่างเรื่องวัตถุกับเรื่องของจิตใจ. ไม่ได้หกมายความว่าคนละ 50 ไม่จำเป็นหรอก ความสมดุลนี้มันสมดุลตามที่มันควรจะต้องการอะไรสักเท่าไร แต่มันมีทั้งสองอย่าง อย่างถูกฝาถูกตัว อย่างสมดุลแก่กันและกันที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ อันนี้เรียกว่าเป็นอุดมคติแท้ นอกนั้นเป้นอุมคติสุดโต่ง เหวี่ยงไปทางทิศเหนือบ้าง ทิศใต้บ้าง ทิศตะวันออกบ้าง ทิศตะวันตกบ้าง หรืออย่างที่เป็นขวาเป็นซ้ายอยู่ในโลกในปัจจุบันนี้ มันก็สุดโต่ง ความโง่ของคนเหล่านั้นมันก็สุดโต่ง. ควรอยู่ในความพอดีที่ตรงกลางกันเสียบ้าง.

         บางทีเราจะใช้คำโบราณปนสักหน่อยว่า อารยธรรม กับ ภูมิธรรม มันไม่สมดุลกัน. อารยธรรมเป็นเรื่องทางวัตถุมากกว่า ภูมิธรรมเป็นเรื่องทางจิตใจ มันสมดุลกันยาก เพราะมนุษย์มันหนักไปแต่ในทางอารยธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของวัตถุ แล้วเลยเป็นเรื่องของเนื้อหนังคือกิเลส. ส่วนเรื่องทางภูมิธรรมเนี่ย มันกลายเป็นซบเซา มันไม่มีเขียวๆแดงๆ ไม่มีสิ่งยั่วยวนประเล้าประโลม มันเลยพ่ายแพ้ไป เดี๋ยวนี้เกือบจะไม่ต้องพูดกันถึงเรื่องภูมิธรรมทางจิตใจกันไปแล้ว หรือพูดกันแต่เรื่องอารยธรรมฝ่ายวัตถุ. ไม่มีความสมดุลกัน แยกตัวออกจากกัน ยิ่งขึ้นทุกทีด้วย แล้วมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร? มันมีแต่เรื่องทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง มันไม่มีเรื่องของจิตใจ.

เมื่อจิตใจมันก็ หมดกำลังหมดอำนาจ มันก็ปล่อยไปตามเรื่องของเนื้อหนังคือกิเลสตัณหา คนก็ได้เลวกว่าสัตว์. เรื่องนี้ก็ต้องดูดีๆ ว่าสัตว์มันไม่ได้เลวมาก  มันเลว...มันเกือบจะไม่เลว แม้ว่ามันจะโง่อยู่ตามธรรมชาติ เพราะว่ามันไม่ได้มีความคดความโกงด้วยกิเลสตัณหาเหมือนมนุษย์ มนุษย์มีความคดโกงของกิเลสตัณหา ดังนั้นจะทำอะไรไปในลักษณะที่ควรจะจัดว่ามันเลวกว่าสัตว์ อันความเห็นแก่ตัวมันก็มีมากกว่าสัตว์ การเบียดเบียนทำร้ายร่างกายมันก็รุนแรง ยิ่งไปกว่าสัตว์ ขอให้คิดดูในเรื่องนี้ เพราะมันขาดภูมิธรรมในจิตใจ เพราะมนุษย์มันเป็นทาสของอารยธรรมเนื้อหนังมากเกินไป.

นี้ก็เป็นตัวอย่างสำหรับเปรียบเทียบกันเป็นคู่ อยู่เป็นคู่กันมาหลายๆคู่แล้ว ยังเหลือแต่ว่าเราจะทำอย่างไร? ให้สิ่งที่เป็นคู่ๆและก็เป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกันอย่างนี้ มันเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ ถ้าเราทำไม่สำเร็จในเรื่องนี้ มันไม่มีหวังหรอก ที่จะแก้ไขวิกฤตการณ์ในโลกนี้ ความเลวร้ายในโลกนี้ หรือที่เรียกว่าความวิปริต ที่เรากำลังพิจารณากันดูอย่างละเอียด จึงขอให้พยายามกันหน่อย เพื่อให้ทำความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน ในระหว่างสิ่งที่กำลังไม่เข้าใจกันยิ่งขึ้น.

อาตมาคิดว่า การลงทุนลงแรงในเรื่องนี้ จะได้บุญได้กุศลกว่าเรื่องอื่น คือลงทุนลงแรงเพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในระหว่างสิ่งที่มันกำลังไม่เข้าใจแก่กันและกันยิ่งขึ้น ใครจะไปคิดว่าจะไปสร้างโบสถ์สร้างวัด สร้างวิหาร สร้างอะไรก็ตาม ก็ได้บุญแหละ แต่อาตมาคิดว่าไม่ได้บุญและได้กุศลเท่ากับเรื่องที่เค้าจะทำความเข้าใจกัน ในระหว่างสิ่งที่มันไม่เข้าใจกัน ในโลกนี้มันจะรอดอยู่ได้เพราะความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างถูกต้องของคนที่อยู่ในโลก ที่กำลังแบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นคู่ปฏิปักษ์ต่อกันและกันอย่างนี้ นับตั้งแต่เอกชนคนหนึ่งๆ มาถึงสังคม สังคมหนึ่งๆ ถึงศาสนาหนึ่งๆ ถึงประเทศหนึ่งๆ ถึงวิทยาการทั้งหลาย ถึงอุดมคติในที่สุด. มันล้วนแต่จะสร้างความขัดแย้งให้เขตนั้น ไม่มีอะไรจะเลวร้ายยิ่งไปกว่าความขัดแย้ง.

อุบัทวหรือเรียกเป็นไทยๆว่าอุบาทว์ ไม่มีอะไรมากเท่ากับความขัดแย้ง ไปคิดดูเถอะ ไปพิจารณาดูเถอะ ไม่มีอะไรเป็นอุปัทวะ4 ยิ่งไปกว่าความขัดแย้ง ที่มันจะทำลายครอบครัวหรือมันจะทำลายประเทศชาติ กระทั่งว่ามันจะทำลายโลก.

ทีนี้ในบรรดาสิ่งเหล่านี้ เราควรจะเหลือบมองดูไปยังทิศใดทิศหนึ่ง เพื่อว่าอาจจะเป็นผู้นำในทางฝ่ายวิญญาณได้ ที่จะนำหมู่ในด้านจิตใจได้ ก็น่าจะมองไปยังสิ่งที่เรียกว่า ศาสนานั่นเอง แม้ว่าคนจะไม่ปฏิบัติต่อศาสนาอย่างถูกต้อง แต่คนก็ยังเคารพต่อศาสนาอยู่ นี่มันก็แปลกดี แม้ว่าจะเหลือแต่พิธีรีตองแล้วคนก็ยังเคารพศาสนาอยู่. ศาสนาจะเป็นสื่อกลางการที่จะดึงเข้าใจถูกต้องระหว่างเอกชน ระหว่างสังคม ระหว่างประเทศ หรือระหว่างวิทยาการระหว่างอุดมคติ ให้มันปรับกลายไปในทางเป็นมิตรกันได้. ข้อนี้ก็เพราะว่าไอ้ศาสนานี้มันเป็นเรื่องของการปั้นดวงวิญญาณ ขอให้ถือว่าไอ้เรื่องศาสนานี่ปั้นดวงวิญญาณของมนุษย์ยิ่งกว่าการศึกษา หรือยิ่งกว่าสิ่งใดเสียอีก ถ้าเราจัดการกับเรื่องศาสนาถูกต้อง วิญญาณของมนุษย์มันก็จะดีขึ้น.

ถ้าเห็นด้วยในข้อนี้เราก็มาพิจารณากันต่อไป ถึงข้อที่ว่าทุกคนจะต้องทำความเข้าใจในศาสนาของตนของตน อย่างถูกต้องเสียก่อน เมื่อแต่ละพวกเข้าใจในศาสนาของตนอย่างถูกต้องแล้ว มันก็จะเข้าใจศาสนาอื่นอย่างถูกต้องได้ มีความมุ่งหมายเจตนารมณ์เหมือนกันหมด เดี๋ยวนี้มันเกิดแตกต่างกันเพราะมันต่างคนต่างตีความหมายศาสนาของตนผิดแผกออกไป หรือพูดอีกทางหนึ่งมันก็สร้างเนื้องอก เป็นเปลือกมาครอบศาสนาของตนจนเปลี่ยนรูป จนจำไม่ได้ สำหรับพระศาสดาที่ประดิษฐานศาสนานั้นๆ.

มีคนพูด และอาตมาก็เห็นด้วย ว่าพระพุทธเจ้าเกิดเสด็จมาในโลกนี้ ในปัจจุบันนี้ ในประเทศอินเดียก็ตาม ในประเทศไทยก็ตาม พระองค์จะไม่รู้จักในสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนา หรือว่าเป็นศาสนาของพระองค์. หากสมมติว่า พระมหากษัตริย์องค์แรกของกรุงเทพที่สร้างกรุงเทพ มาดูในเวลานี้คงจะจำไม่ได้ ว่านี้คือกรุงเทพที่เราสร้างขึ้นมา เพราะมันเปลี่ยนมาก นี้พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ถ้าหากมาดูพุทธศาสนาในประเทศไทยนี้ ท่านจะจำไม่ได้ว่านี้คือพุทธศาสนาของเรา เพราะมันมีอะไรเปลี่ยนมากเหลือเกิน พระเยซูก็เหมือนกัน พระโมฮัมหมัดก็เหมือนกัน ก็จำศาสนาของตนไม่ได้ มันมีอะไรพอกหุ้มเหมือนเปลือก กาฝาก เหมือนเนื้องอก เหมือนมีโคลนพอกอะไรเข้าไป ไม่เห็นรูปเดิม เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะให้คนแต่ละคนเข้าใจศาสนาของตนของตน ได้ถูกต้องได้อย่างไร มันไม่รู้ว่าอยู่ที่ตรงไหน ไม่รู้ลักษณะอะไร ที่เป็นหัวใจ...เอ้อ...ของศาสนานั้นๆ มันจะต้องเอาไอ้ของที่พอกเข้ามาใหม่นี้ ออกไปเสียก่อน ทุกคนต้องศึกษาจนถึงขนาดว่า รู้จักแยกของใหม่ๆที่ครอบคลุมเข้ามาเนี่ยะ ออกไปเสียก่อน จึงจะพบว่าศาสนาของตนนั้น เป็นอย่างไร แล้วจะเข้าใจอย่างถูกต้องได้ แล้วในที่สุดก็จะไปเหมือนกันได้ คืออย่างน้อยก็เข้ารูปเข้ารอย ผสมผสานกันไปได้ ในระหว่างศาสนาทั้งหลาย ที่ต้องการจะให้มนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัว.

ใครพิสูจน์ได้บ้าง อาตมาอยากจะฟัง ว่าศาสนาไหนบ้างที่สอนให้คนเห็นแก่ตัว ศาสนาที่มีอยู่ในโลกนี้น่ะ หรือที่แล้วมาแต่หนหลังในอดีตก็ตาม ว่าศาสนาไหนบ้างที่มันสอนให้คนเห็นแก่ตัว?มันมีแต่สอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ในรูปแบบใดแบบหนึ่ง ตามความเหมาะสมทั้งนั้น. ถ้าเอาศาสนาอย่างแท้จริงออกมาได้ มันจะพบการสอนให้ทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น. เมื่อทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วก็ ง่ายนิดเดียว ต่อไปนี้มันจะดำเนินไปได้ ในทางที่จะ สันติสุข สันติภาพ ขึ้นมาในโลกนี้.

ปัญหาแรก มันก็จะต้องล้างโคลน อะไรที่มันแปดเปื้อน แล้วก็เฉือนเอาเนื้องอกของพอกกาฝาก ตัดทิ้งออกไปเสียก่อน แล้วเอาศาสนานั้นมาดูเสียใหม่ว่ามันมีอะไรเป็นอะไร เป้นชั้นนอกชั้นในเป็นอย่างไร. เดี๋ยวนี้เรามองเห็นแล้วว่า แต่ละคน หรือว่าทุกคนในประเทศหนึ่งๆนั้นมันก็ ยึดมั่นอยู่ศาสนา ศาสนามีอิทธิพล เหนือจิตใจคนเหล่านั้น ไอ้ความยึดมั่นนี้เป็นตัวจะเป็นอุปสรรคแก่การที่จะ ที่เค้าเรียกกันเมื่อเร็วๆนี้ คือการผ่าตัดศาสนา การชำแหละผ่าตัดศาสนา เพื่อจะเอาเนื้องอกของศาสนาออกไปเสีย. ก็คนมันยึดมั่นในศาสนาอย่างหลงใหล มันก็ไม่ยอมทำอย่างนี้ ยิ่งไม่ตรงกับประโยชน์ที่เขาต้องการอยู่ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ยอมทำใหญ่ ก็ต้องมีความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง มีเหคุผลที่เพียงพอ ที่จะทำการชำแหละศาสนา โดยตัดไอ้ส่วนที่ผิด ที่เลวร้ายออกไปเสีย. ถ้าตกลงกันว่าจะทำอย่างนี้ แล้วก็ดูกันต่อไป ว่าจะทำอย่างไรบ้าง.

อาตมาคิดว่าอันแรกที่สุดก็ต้องมีการศึกษาที่ถูกต้อง ทำความเข้าใจกันได้ ว่าหัวใจของศาสนาทุกศาสนา มุ่งจะทำลายความเห็นแก่ตัว ทำความเข้าใจในข้อนี้ให้ได้เสียก่อน ในระหว่างศาสนา และในศาสนาของตนโดยเฉพาะ ว่าศาสนาของเราก็มุ่งหมายอย่างนี้แท้ๆ ทำลายความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทำได้หมดก็เป็นพระอรหันต์ไปเลย ทำได้ตามสมควรก็อยู่กันอย่างผาสุก อย่างชาวโลก ไม่มี...ไม่มีทางอื่นนอกจากการทำลายความเห็นแก่ตัว พึงศึกษาให้พบหัวใจของศาสนาอย่างนี้ แล้วก็จะพบวิธีที่จะแยกในสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาออกไป เพราะว่าได้ชำแหละดูถึงส่วนลึก และพบว่าหัวใจแท้ๆนั้นเป็นอย่างไร ในส่วนเนื้อร้ายทั้งหลายนี้ก็ตัดออกได้ง่าย แยกของปนปลอมออกไปเสีย เหมือนว่าทองปนหรือปลอมด้วยอะไรก็ตาม หลายแบบ หลายรูปแบบ คือไปแยกของปลอมเหล่านั้นออกไปเสียได้แล้ว ก็เป็นทองอันบริสุทธิ์ซึ่งเหมือนกันหมด เข้ากันได้ เป็นทองแท้เหมือนกันหมด.

นี่พุทธศาสนามีทองอยู่ข้างใน แต่มีของปนห่อหุ้มอยู่ข้างนอก ก็เอาออกเสีย ที่อะไรเป็นของปน พูดอย่างชาวพุทธเรา นี่ก็ต้องพูดว่า โมหะในรูปแบบที่ต่างๆกัน ความโง่ ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ ความงมงาย ความมัวเมา ความหลงใหล แล้วก็ไปรวมเรียกว่า โมหะ ในรูปแบบที่ต่างๆกัน คือในรูปแบบของสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ซึ่งเป็นสังโยชน์4เบื้องต้น 3 ประการที่พระ

         4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C

โสดาบันจะพึงละนั่นเอง. ไปๆมาๆมันครบกันอยู่ที่นี่ มันไม่มีอะไรไกลไปกว่านี้ กิเลสประเภทโมหะที่ปุถุชนจะพึงละเพื่อความเป็นพระโสดาบัน คือมีความหมายกว้างขวางมาก พอที่จะมาเป็นเนื้องอกหรือกาฝากที่หุ้มห่อศาสนาที่เคยถูกต้องหรือบริสุทธิ์นั้น ให้มันเสียรูปไป.

         สักกายทิฏฐิ นี้ก็บอกชัดอยู่แล้วว่า ความเห็นว่า กายของตนเป็นกิเลสประเภทตัวกู-ของกู มันเข้ามาก่อนสำหรับเป็นเบื้องต้น ที่จะหาสิ่งต่างๆที่เป็นประโบชย์แก่ตัวกู เอามาเป็นของกู แต่ละฝ่ายล้วนแต่มีสักกายทิฏฐิ เป็นของรวม ของฝ่าย ของหมู่ แต่ละคนนั้นก็มีสักกายทิฏฐิ แล้วมารวมกันเป็นหมู่มันก็กลายมาเป็นสักกายทิฏฐิของหมู่ไป. ซึ่งศาสนามันกลายเป็นของใครไปเสียแล้ว ไม่ใช่ของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่ของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมเสียแล้ว มันมาเป็นของใครเสียแล้ว เป็นของตัวกูของใครเสียแล้ว.

         ทีนี้ วิจิกิจฉา นั้นน่ะ ความไม่แน่ใจเด็ดขาดตายตัวลงไปจนถึงกับเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันหมายความว่า บริษัทแห่งศาสนานั้นๆ มันได้เกิดความลังเลไม่แน่นอนแล้ว ในศาสนานั่นเอง ในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ก็ได้ ระวังให้ดีๆ พุทธบริษัทเดี๋ยวนี้ก็อาจจะเกิดความลังเลในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นมาได้ หรือในศาสนาอื่น อาจจะลังเลในพระศาสดาในศาสนานั้นๆขึ้นมาก็ได้ ที่มันลังเลในข้อที่ว่า มันจะไม่เป็นประโยชน์แก่เราซะแล้ว ในสมัยนี้ ในสถานการณ์อย่างนี้ของโลก ในปัจจุบันนี้ ว่าสิ่งนั้นมันจะไม่เป็นประโยชน์แก่เราซะแล้ว เพราะลังเลว่าเค้าจะทำมาหากินอย่างไร นี้ก็ยังลังเล ลังเลในการจะครองชีวิตในรูปไหนแบบไหน และจะมีโครงการสำหรับชีวิตของตนอย่างไร ก็เลยพาลไปถึงธรรมะหรือศาสนาหรือระเบียบปฏิบัติ ที่เคยถือกันมาอย่างแน่นแฟ้น คือไม่ลังเล มีความลังเลเกิดขึ้น ไม่รู้จะพึ่งอะไรดี จะพึ่งเงินเป็นพระเจ้า หรือว่าจะพึ่งพระเจ้าเป็นพระเจ้า จะถือพุทธัง สรณัง คัจฉามิ หรือว่าจะถือ สตังค์ สรณัง คัจฉามิ ก็เคยล้อกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้คนถือสตังค์ สรณัง คัจฉามิ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ที่เคยว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ มันก็เลือนรางไป เกิดความไม่แน่ใจ ว่าจะเป็นที่พึ่งได้ เกิดความแน่ใจว่า เงินทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา เกียรติยศชื่อเสียงนี้ มันจะเป็นที่พึ่งได้. ศาสนาทั้งหลายถูกสิ่งนี้ครอบคลุม เปลี่ยนรูปไปหมด อย่างที่ว่า พระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆมา แล้วก็จำไม่ได้

         อย่างที่สามเรียกว่า สีลัพพตปรามาส คือการจับฉวยเอาสิ่งนั้นๆอย่าง ผิดความหมาย นี้เป็นคำบัญญัติที่เอามาบัญญัติขึ้นมาให้ง่ายสำหรับท่านทั้งหลายที่จะจดจำ หรือแม้ภิกษุสามเณรทั้งหลาย ที่ไม่รู้ความหมายของสีลัพพตปรามาสนี้มันคืออะไรแน่ ในแบบเรียนนักธรรมมันก็ไม่ให้ความกระจ่างในข้อนี้ ที่พูดกันอยู่ตามศาลาวัด มันก็พูดไปอย่างอื่น จนจับหลักไม่ได้ แต่ถ้าจะพูดกับแบบจับหลักให้ได้ง่าย ก็คือว่า ถือสิ่งนั้นผิดความหมายถูกต้องของสิ่งนั้น เช่นเรารักษาศีล สมาทานศีล รับเอาศีล แต่รับมาอย่างผิดความมุ่งหมายอันแท้จริง ของสิ่งที่เรียกว่าศีล ซึ่งศีลที่รับเอามาก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาส ถือศีลเพื่อความมุ่งหมายอย่างอื่น          หรือแม้ที่สุดแต่การปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา กัมมัฏฐาน ใดก็ตาม ก็รับมาอย่างผิดความมุ่งหมายอันถูกต้องของสิ่งนั้น ก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาสไป.

เรื่องอื่นๆอีกมากมาย ธรรมะอีกมากมาย ที่รับเอามาอย่างผิดความประสงค์มุ่งหมายมันก้เป็นสีลัพพตปรามาสหมด แม้แต่พิธีรีตอง มันก็เกิดขึ้นเพราะ ถือเอาความมุ่งหมายผิด อย่างพระทำอุโบสถปาติโมกข์ก็ดี ทำปริวาสก็ดี อะไรก็ดี มันเกิดผิดความหมายมากขึ้นทุกที กลายเป็นพิธีรีตองไป การนั่งลงอุโบสถ การทำอุโบสถ นั่งทำอุโบสถนี้ก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาสไปก็ได้ มันอยู่ในศาสนานี้เอง. ตามศาลาวัดเค้าพูดกันว่า สีลัพพตปรามาสนั้น คือศาสนางมงายอย่างอื่น ประพฤติอย่างสุนัข ประพฤติอย่างโค ประพฤติอะไรๆที่เราไม่เคยประพฤติกันเลย นี่รับรองได้ว่าพุทธบริษัทจะไม่ประพฤติอย่างนั้นเลย มันไม่มีประโยชน์อะไร มันก็เลยไม่มองเห็นสีลัพพตปรามาส ที่พุทธบริษัทมีไว้ แบกไว้ หามไว้ อย่างเป็นกระบุงๆทีเดียว ขอให้ดูกันเสียใหม่ เพราะว่ามันมีสีลัพพตปรามาสอะไร อยู่ในวงพุทธบริษัทในสมัยนี้ ที่ทำให้คนแต่ละคนเหล่านั้น เลื่อนชั้นจากปุถุชนขึ้นไปเป็นพระโสดาบัน ไม่ได้.

มันไม่ใช่เรื่องอะไรอื่น มันเรื่องของสีลัพพตปรามาสนั่นเอง ของเดิมเค้าเคยถูกต้อง แล้วตัวเองไปจับมาผิดความหมาย มันก็เปลี่ยนรูป สิ่งนี้ก็มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ทำแล้วก็จะเกิดผลอย่างนี้ ก็คือเอาผิดความหมายหมดเพื่อผลอย่างอื่น มันก็มีเจตนาผิด ไปตั้งแต่ต้น ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ที่เป็นกันอยู่มากก็เช่นว่า การให้ทานนี้ มันช่วยทำลายความเห็นแก่ตัว แล้วคนไม่ยอมทำ ไม่ยอมทำลายความเห็นแก่ตัว คือไม่ยอมให้ทานเพื่อทำลายสักกายทิฏฐิ มันรัก...มันรักตัวของมัน จนเค้าต้องบอกว่า ให้ทานนี้จะได้ไปสวรรค์ เอานางฟ้าสักกี่ร้อยก็ได้ เอาวิมานสักกี่หลังก็ได้ พอได้ยินอย่างนั้นก็ตาขาว ยินดีรับเอาทันที ให้ทานเพื่อแลกเอาวิมานหรือนางฟ้า มันก็เกิดเป็นผิดวัตถุประสงค์ คือเจตนารมณ์อันแท้จริงของการให้ทาน ที่จะให้เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว มันกลายเป็นให้ทานเพื่อจะเอาวิมาน แล้วมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว สมน้ำหน้ามันเลย. มันควรจะทำเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวเนี่ยะ มันกลับไปทำเพิ่มความเห็นแก่ตัว นี่เป็นลักษณะของสีลัพพตปรามาส เสร็จแล้วก็ไม่ได้ชี้กันในลักษณะอย่างนี้ ก็ยิ่งมีสีลัพพตปรามาสมากขึ้น ลามปรามไปถึงเรื่องศีล สมาธิ และวิปัสสนาอะไรต่อไป.

ทำอย่างผิดเจตนารมณ์ก็เป็นสีลัพพตปรามาสไปทั้งนั้น พึงระวังให้ดี พวกที่ชอบกัมมัฏฐาน วิปัสสนา อย่างนั้นอย่างนี้ ระวังให้ดี มันจะเหลือแต่สีลัพพตปรามาส นี้ก็เพิ่มตัวกูด้วย ว่าเป็นอาจารย์วิปัสสนาที่ตัวกูใหญ่โตเบ้อเร่อเบ้อร่า ซึ่งมีอยู่มากมายในเวลานี้ และเพ่นพล่านไปอยู่ทั่วทุกหัวระแหง มันก็อำนาจของสีลัพพตปรามาส.

นี่แต่ละศาสนามันตกอยู่ในปัญหาอย่างนี้ คือโมหะ ไอ้ 3 ตัวนี้ มันเข้ามาครอบงำ ก็เลยเป็นปัญหา นี้จะแก้ไขยาก เหมือนกับว่ามันมีของปนเข้าไปในเนื้อของทองแล้วหลอมออกมายาก แยกออกจากกันยาก ต้องมีสติปัญญาหรือวิชชา มากมายเพียงพอแหละ จึงจะแยกของปนในทองออกจากทองได้. ศาสนานี้ก็เหมือนกัน. แต่คงไม่เหลือวิสัยของผู้ที่ตั้งใจจริง เราตั้งใจศึกษาให้เข้าถึงในหัวใจของพุทธศาสนา ได้อย่างไปพบเองว่าอะไรแปลกปลอมเข้ามา อย่าไปสนใจมันก็แล้วกัน เข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนาไว้ให้มั่นคง. เมื่อแต่ละศาสนาต่างก็ทำกันอย่างนี้ ไม่เท่าไรก็จะสะอาดหมดจดขึ้นมาได้ด้วยกันทุกๆศาสนา ให้ทุกคนเข้าใจศาสนาของตนของตนอย่างถูกต้องแล้วมันเป็นอย่างนี้ สามารถจะแยกของปนออกไปเสียได้ และจะเป็นศาสนาที่เข้ากันได้ ทุกศาสนา.

แต่ทีนี้ทุกคนไม่ยอมมอง ในลักษณะอย่างนี้ น้อยคนที่จะมองเห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ว่าอันนี้แหละคือเสนียดจัญไรของโลก ที่ทั้งโลกนั้นไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพ เพราะว่าไอ้สิ่งเรียกว่าศาสนามันกลายเป็นตัวมารร้ายเสียเอง พอกพูนความเห็นแก่ตัวภายในวงศาสนานั้นๆ อย่างนี้เรียกว่า แยกของปลอมออกจากทองได้ทองแท้แล้ว เป็นศาสนาที่เป็นที่พึ่งได้.

ทีนี้สิ่งที่จะพึงทำต่อไปก็คือการเผยแผ่ศาสนานั้นๆให้ถูกต้องอีกทีหนึ่ง เรื่องการเผยแผ่พระศาสนานี่ ดูเหมือนทุกคนจะพอมองเห็นประโยชน์อยู่แล้ว มันจะช่วยให้เร็วขึ้น ถ้าเราไม่ขวนขวายในการเผยแผ่มันก็ช้า เหมือนสมัยก่อนที่ปล่อยไว้ตามบุญตามกรรม แล้วแต่ว่าใครจะสรรหามาได้อย่างไร มันยากเหลือเกิน เดี่ยวนี้เรานิยมการเผยแผ่ และพยายามให้ถูกต้องยิ่งขึ้นมันก็แพร่หลายยิ่งขึ้น แต่มันก็ยังมีการเผยแผ่ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม เนี่ยะคือข้อที่ต้องปรับปรุง หรือแก้ไข เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาเรา ก็ยังไม่กล่าวได้ว่า เป็นที่เข้าใจกันอย่างถูกต้อง.

คนวัยรุ่นยังหาว่า ศาสนานี่เป็นของงมงาย ครึคระล้าสมัย ไม่มีประโยชน์อะไร จัดไว้ในพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี เค้าไม่อยากไปสนใจด้วย เพราะคิดว่ามันใช้ไม่ได้ในสมัยวิทยาศาสตร์ เพราะเค้าไม่รู้ว่า เนื้อแท้ของพุทธศาสนานั้นน่ะ ยิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ เหนือวิทยาศาสตร์อื่นใด เพราะคิดว่าไอ้ศาสนานี้มันคือเครื่องขัดขวางความเจริญในโลก หรือว่าของสังคมหนึ่ง หรือว่าของแต่ละบุคคล. ความเข้าใจผิดนี้ยังมีอยู่มาก แม้ในประเทศไทยเรานี้ ยังเห็นว่าศาสนาเป็นเครื่องขัดขวางความก้าวหน้า ของโลก ของประเทศ ของครอบครัว ของแต่ละคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือศาสนาพอเป็นพิธีกันเสียมากกว่า ไม่ว่าศาสนาไหน เหลืออยู่พอเป็นพิธีสำหรับกระทำพิธี ทำไปอย่างพอเป็นพิธี เพราะว่าอาจจะทำอย่างอื่นให้ดีกว่านั้นได้ หรือว่าทำไปพอเป็นพิธี ถ้าปล่อยให้สูญหายไปมันเสียหน้า ก็เลยช่วยกันรักษาหน้าไว้ มีไว้พอเป็นพิธี ผิดจากนี้ก็กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประโยชน์ทางวัตถุต่อไป นั้นไม่ใช่พิธีแล้ว มันเป็นเจตนาอันหนึ่งแล้ว.

ที่อยู่ในแบบเดิมของศาสนานั้น มันเหลือแต่เป็นพิธี เค้าไว้ทำพิธี พวกฝรั่งก็ทำพิธีทางศาสนา แล้วก็ทำแต่สักว่าเป็นพิธี ในสนามรบก็ทำพิธีทางศาสนา แล้วก็ทำพอเป็นพิธี เหลืออยู่แต่ในรูปของพิธี ก็พอแล้ว. คนฉลาดเอาไว้เป็นเครื่องมือตบตา ทีนี้คนโง่ก็รับเอาไว้ในฐานะเป็นหมู่ สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นอันว่าไม่สำเร็จประโยชน์ตามความมุ่งหมายเดิมแท้ ของพระศาสนา.

จงช่วยกันหน่อย ที่มาคิดในเรื่องนี้ แล้วช่วยกันให้สุดความสามารถ ที่จะทำให้ได้สำเร็จประโยชน์ตามที่ได้คิดเห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร บอกกันตรงๆเลยว่า ช่วยกันเผยแผ่ให้ถูกต้อง นี้ให้มันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้สำเร็จประโยชน์ในข้อนั้น. โดยเฉพาะพุทธศาสนาในประเทศไทยเรานี้ก็เถอะ มันมีส่วนที่ต้องขัดสีชะล้าง ไม่น้อยไปกว่าศาสนาอื่น.

ในประเทศไทยเราเนี่ยะ มันก็มีสถิติเอาไว้แสดงอยู่อันน่าละอายที่สุด คือมันไม่สมกับที่เป็นเมืองพุทธ มีพระพุทธศาสนาเจริญที่สุดยิ่งกว่าประเทศใดในโลก หัวใจหรือของแท้จริงของ พระพุทธศาสนานั้นไม่ได้ถูกนำมาสั่งสอนให้ประชาชนรู้ มันเป็นเรื่องเปลือกเรื่องกระพี้เรื่องเพาะอะไรไม่รู้ที่เอามายึดมั่นมาถือมั่นมาสั่งสอน แล้วก็มาถึงสมัยใหม่นี้แล้วก็เปลี่ยนในสิ่งที่เรียกว่าศาสนาเนี่ยะ เป็นปรัชญา เป็นวิทยาการอย่างหนึ่งไปเสีย ไปตามก้นพวกฝรั่ง มันก็เหลือแต่ปรัชญาเพ้อเจ้อ ไม่มีศาสนาที่แท้จริงเหลืออยู่.

เรื่องนี้อาตมาพูดหลายครั้งหลายหนจนเค้าเอือมที่จะฟัง ก็ยังพูด ยังขอพูดต่อไปเรื่อยๆ เพราะไปทำศาสนาให้สูญหายไปหมด คือกลายเป็นปรัชญาไปเสีย เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ มืดมัวสลัวไปหมด ไม่มีการกระทำลงไปตรงๆ อย่างรูปแบบของวิทยาศาสตร์ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนบ่ายนี้ที่ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อย่างไร.

สรุปความว่า ในประเทศไทยเรานี้แหละ มีปัญหาเหลืออยู่มาก ที่จะต้องทำในการขัดสีชะล้างในสิ่งที่มันเข้ามาพอกคลุมพระศาสนา และเข้าใจศาสนาของตนให้มันถูกต้องอย่างนี้ และเมื่อศาสนาเกิดมีแสงสว่างไสวรุ่งเรืองขึ้นมา ก็จะได้นำ นำทาง ในการจะแก้ปัญหา ทุกๆปัญหาต่อไป.

ทีนี้เมื่อตะกี้ก็ได้พูดค้างไว้ว่า เราจะพูดกันถึง ศรัทธา เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าศรัทธานี้จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา. ไม่มีศาสนาไหนจะเหลืออยู่ได้ หรือตั้งอยู่ได้ โดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่าศรัทธา ถึงแม้พุทธศาสนาที่เป็นศาสนาของปัญญานี้ก็เถอะ พอขาดศรัทธาเมื่อไหร่มันก็ล้มโครมเมื่อนั้นเหมือนกัน ศรัทธานี่เป็นของแปลกมาก ที่ต้องมีใช้ด้วยกันทุกศาสนา อย่างน้อยก็ในตัวของศาสนานั่นแหละ. ทีนี้ศรัทธาของคนนี้มันหลายรูปแบบนัก เพราะว่ามันมีศาสนาหลายรูปแบบ สอนเรื่องศรัทธาไว้ ในลักษณะที่มันต่างต่างกัน แล้วพิจารณากันดูจะเห็นว่า มันมีอยู่หลายระดับ ศรัทธาที่มีกันอยู่เป็นส่วนมาก ในขั้นต้นขั้นริเริ่มที่สุด คือมีศรัทธา เชื่อ อย่างมั่นคงว่า จะมีใคร...มีใครซึ่งเป็นผู้ช่วย แล้วจะมาช่วย และจะมีคนจะมาช่วย จะเป็นพระศาสดา หรือจะเป็นพระเจ้า หรือเป็นอะไรก็ตาม เป็นเทวดา เป็นภูตผีปีศาจอะไรก็ตาม มันหวังว่าจะมีใครมาช่วย และมันเชื่อว่าจะมีใครมาช่วย แม้แต่ภูตผีปีศาจมันก็เอา คาดว่ามันจะมาช่วย.

มันมีศรัทธาในเรื่องผู้ที่จะมาช่วยเนี่ยะ หรือทำให้หายหวาดกลัวนี่ ก่อนศรัทธาไหนหมด ที่เป็นบ่อเกิดสิ่งที่เรียกว่าศาสนา  เกิดขึ้นมาได้ เพราะคนมันว้าเหว่และหวาดกลัว ถ้ามีอะไรทำให้หายกลัวมันก็รับเอาทันที ดังนั้นศรัทธาแรกก็คือศรัทธาในสิ่ง หรือในบุคคลที่จะมาช่วย ที่เราต้องการให้มีอะไรมาช่วย เป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง เป็นสัญชาตญาณที่อ่อนแอที่สุด ต้องการให้ช่วย.

ทีนี้ศรัทธาที่จะสูงขึ้นมาอีกนิดหนึ่งน่ะ คือมีความเชื่อว่าจะมีอะไรรับประกันว่าเราจะต้องได้ สิ่งที่เราอยากจะได้ ขอให้สำรวจศรัทธาของตัวเองดูด้วยกันในทุกๆคนเถอะ มันจะมีศรัทธาเชื่อในผู้ หรือในสิ่ง ที่จะมารับประกันเราว่าจะได้ ในสิ่งที่เราต้องการจะได้เป็นแน่นอน เนี่ยะศรัทธามันฝังแน่นอย่างนี้ เพราะมีความเห็นแก่ตัว เป็นปัจจัยสำคัญ.

ทีนี้ว่าศรัทธามันยังเดินต่อไปอีก คือศรัทธาประเภทที่ว่า ถ้าลงได้เชื่ออย่างไร อย่างรุนแรงแล้ว มันระงับไอ้ความรู้สึกอันอื่นได้ เช่นว่าเราเชื่อพระพุทธเจ้าถึงที่สุด ก็ระงับการกลัวผีได้ ทั้งที่แท้จริง พระพุทธเจ้าไม่ได้มาป้องกันผี หรือห้ามผี ให้ได้. แต่ว่าไอ้ศรัทธาที่เราเชื่อมากในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นน่ะ มันทำให้หายกลัวผีได้. ที่ที่ว่าศรัทธาคือความรู้สึกที่รุนแรงมาก พอที่จะระงับอำนาจหรืออิทธิพล ของความรู้สึกอย่างอื่นที่เราไม่ต้องการ ดังนั้นความรู้สึกอะไรที่เราไม่ต้องการ ก็ระงับได้ด้วยกำลังของศรัทธา ที่เชื่ออย่างรุนแรงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.

ทีนี้ก็มีความเชื่อระดับสูงสุดท้าย ก็คือเชื่อในอำนาจของปัญญา เป็นความเชื่อที่มาที่หลังปัญญา เป็นผลิตผลที่ออกมาจากปัญญา รู้แจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอย่างไร แล้วก็ปลงความเชื่อลงไปในสิ่งนั้น ศรัทธาชนิดนี้พิเศษแล้ว ไม่เหมือนไอ้ศรัทธาที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ เพราะว่าเป็นศรัทธาที่มีรากฐานมาจากปัญญา ไม่ใช่ศรัทธาที่มีรากฐานมาจากความต้องการ หรือมาจากความหวาดกลัว หรืออะไรทำนองนั้น ถึงจะมีศรัทธาสูงสุดอยู่ที่ศรัทธาที่คลอดออกมาจากปัญญา หลังจากที่มีปัญญาแล้ว.

นี้ศาสนาทุกศาสนามันต้องมีศรัทธาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญ ศรัทธาอย่างความเชื่อก็ได้ ศรัทธาจะมาจากปัญญาแท้จริงก็ได้ มันเป็นรากฐานของศาสนาในรูปแบบนั้นๆได้. ทีนี้เป็นที่น่าเศร้าสลดว่าพุทธบริษัทเรานี้ทำไมไปมีศรัทธาในขั้นเด็กอมมือกันอีกเล่า ทำไมไม่รักษาไว้ในศรัทธาที่คลอดออกมาจากปัญญา ให้อยู่ในระดับมาตรฐานอันนี้ อย่างคงเส้นคงวากันเสียบ้าง แล้วสอนให้เด็กๆมันถอยหลังไปรับเอากับศรัทธาแบบขั้นริเริ่มหรืองมงาย. มันแต่ถอยหลังแบบที่เรียกว่าไปสู่ความวินาศ ไม่ใช่ถอยหลังไปสู่ความปลอดภัย ระวังการถอยหลังให้ดีๆมันมีอยู่ 2 ความหมาย ถอยหลังไปหาไอ้การงมงายก็คือ ถอยหลังไปหาความวินาศ ถ้าถอยหลังไปหาความถูกต้องเพราะว่าเรากำลังทำผิดอยู่อย่างนี้ มันก็ดี เดี๋ยวนี้เรากำลังทำผิดอยู่แล้วถอยหลังหาความถูกต้อง อย่าถอยลงไปหาไอ้ความผิดพลาด หรือความงมงาย.

เดี๋ยวพุทธศาสนาจะล้าหลังศาสนาที่มีความเชื่อเป็นพื้นฐาน ไปเสียก็ได้ พุทธศาสนามีความเชื่ออย่างปัญญาเป็นพื้นฐาน แต่ทำผิดผมดจนปัญญาหายหมด เหลือแต่ความงมงาย ก็เลยกลายเป็นน่าละอาย คือมันด้อยไปกว่าศาสนาที่เค้ามีความเชื่อล้วนๆ แต่ว่ารักษาอุดมคติอันนั้นไว้ได้ ถ้าศาสนาที่มีพระเป็นเจ้าเนี่ยะ ก็ยังเชื่อพระเป็นเจ้ากันอยู่อย่างคงเส้นคงวา เมื่อเชื่อว่าไปอยู่กับพระเจ้าอย่างแท้จริง มันก็ทำให้ละไอ้โลกนี้ได้ ไม่หลงใหลอยู่ในโลกนี้ ไม่หลงใหลอยู่ในสิ่งสวยงามในโลกนี้ หรือรสอร่อยทางเนื้อหนังในโลกนี้ เพราะว่าเขาเชื่อว่าจะไปอยู่กับพระเจ้า ความเชื่ออย่างนี้มันก็ทำให้ละโลกนี้ ไปได้ ไปสู่เหนือโลกหรือโลกกุตระ ในความหมายของพระเจ้านั้นได้เหมือนกัน แม้ความเชื่อที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา มันก็ยังให้ผลมันมากถึงขนาดนี้ เราสังเกตดูให้ดี.

หรือว่าเมื่อมีปัญหาหรือความทุกข์เกิดขึ้นอย่างธรรมดาสามัญ เรื่องเป็นเรื่องตายเรื่องเจ็บเรื่องไข้เรื่องวิบัติเรื่องอุบัติเหตุ ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ในบ้านเมืองนี้ ไอ้คนที่เค้ายังมีศรัทธาอย่างถูกต้องตามแบบเดิมของเขา เค้าก็กำจัดความทุกข์ออกไปได้เหมือนกัน ถ้าจะต้องตายเนี่ยะ เค้าเชื่อว่าเป็นความต้องการของพระเจ้าที่ เชื่อด้วยความสนิทใจ เพราะเป็นความต้องการของพระเจ้า ดังนั้นเขาก็ไม่มีความทุกข์ เนื่องจากความตายนั้น คิดดูให้ดี.

ความทุกข์เนื่องมาจากความตาย แล้วแก้ปัญหาตามแบบของพุทธบริษัทด้วยปัญญา หรือความรู้ในเรื่องนี้ แต่แล้วก็ยังล้มเหลว เพราะไม่ได้เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง ก็เลยสู้ไอ้พวกที่แก้ปัญหานี้ ด้วยอำนาจของศรัทธาก็ไม่ได้ เพราะเค้าถือว่าเป็นความต้องการเรียกร้องของพระเจ้า ที่ทำให้เราต้องตาย เค้าก็เลยไม่มีความทุกข์ เค้ายิ้มเยาะความตายได้เหมือนกัน เพราะทำได้ง่ายกว่าที่จะใช้ปัญญาเสียอีก ซึ่งมันยากสักหน่อยหรือมันยากมาก.

จึงขอให้มองดูในสิ่งที่เรียกว่าศรัทธาในหลายรูปแบบ เรากำลังสูญเสียไปอย่างไร ในเรื่องของศรัทธา ต่อพระศาสนาที่อาศัยปัญญา เป็นหลักสำคัญ. เรื่องพระเจ้าหรือความเชื่ออย่างมีพระเจ้านี่ ก็ยังคงเส้นคงวาอยู่มาก แต่ความเชื่อตามอำนาจของปัญญานี้ชักจะรวนเรเสียแล้ว พุทธบริษัทเราควรจะรู้สึกตัว หรือควรจะเคลื่อนไหวกันบ้างแล้ว ให้รักษาไอ้ความช่วยด้วยปัญญาไว้ได้ และอย่าไปดูถูกพวกอื่นๆที่เค้ากำลังหนักแน่นอยู่ในเรื่องของศรัทธา ขอให้แต่ละพวกแต่ละฝ่ายมีศรัทธา ตามแบบของตนของตน แล้วศาสนาของตนนั้นจะมีที่ตั้ง จะมีที่อาศัย จะผลิตดอกออกผลมาอีกครั้งหนึ่งเป็นแน่นอน เราเคยทำได้และทำได้โดยง่าย ในการที่จะเข้าใจและเข้าถึง ตัวแท้แห่งศาสนาของตนของตน.

ทีนี้เรียกว่ามีศรัทธาเป็นรากฐานด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าพุทธบริษัทนั้นมีศรัทธาที่ตั้งรากฐานอยู่บนปัญญา หรือความรู้อันถูกต้องตามที่เป็นจริงอีกต่อหนึ่ง ฉะนั้นเรามาพิจารณาข้อนี้กันอีกที อีกชั้นหนึ่งต่อไป คือพิจารณาสิ่งที่เรียกว่าปัญญา อันถูกต้องตามที่เป็นจริง หรือที่จะเรียกว่าสัมมาทิฏฐินั่นแหละ จะง่ายขึ้น ก็เลยตั้งข้อสมมติฐานก็ได้ สำหรับเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ว่า เราจะต้องจัดให้สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิครองโลก เหมือนกับที่พระเจ้ากำลังครองโลกตามความเชื่อของคนที่มีพระเจ้า เพราะว่ามีพระเจ้าครองโลก แต่ว่าเราพุทธบริษัทขอให้มีสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้ครองโลก.

เดี๋ยวนี้อวิชชาหรือโมหะ หรือว่าความหลงใหลอะไรก็ตาม มันกำลังครองโลก มีผลออกมาเป็นความวิปริต คือ ความวิปริต กำลังครองโลกฺ. กวาดล้างออกไปให้สัมมาทิฏฐิมาครองโลก อย่างที่พระเจ้าครองโลก พวกที่มีพระเจ้าอย่างบุคคลก็มีพระเจ้าอย่างบุคคลต่อไปตามเดิม มีศรัทธาตามแบบนั้น ยึดมั่นไปตามแบบนั้น เค้าก็ยังรอดตัวได้ เพราะว่าเค้ามีพระเจ้าครองโลก อย่ามีซาตานหรือกิเลสครองโลก. ในพุทธศาสนาก็มีพระเจ้าอย่างเขาได้เหมือนกัน อย่างที่พุดกันแล้ว แต่ตอนบ่ายนี้ว่า เรามีพระเจ้า ที่ชื่อว่า อิทัปปัจจยตา ไม่ใช่บุคคล เป็นพระเจ้าอย่างธรรม ธรรมะหรือธรรมเนี่ยะ คือพระเจ้า คือไม่ใช่บุคคลก็แล้วกัน.

พระเจ้าอิทัปปัจจยตา หมายถึงว่า อำนาจอันเฉียบขาดอันหนึ่ง มันสร้างโลกมันครองโลก ถ้าเรามองเห็นสิ่งนี้โดยแท้จริง เรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ เราไม่ได้อาจเอื้อมไปถึงว่าจะสร้างพระเจ้ากันนะ แต่เราก็มีพระเจ้าได้ พระเจ้าอย่างดี อย่างแท้จริงอย่างถูกต้อง ที่จะเป็นที่พึ่งได้ คือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งมีต่ออิทัปปัจจยตานั่นเอง. เดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจเรื่องปฏิจสมุปบาท เรื่องอิทัปปัจจยตาอะไรเลย ก็คือไม่มีสัมมาทิฏฐินั่นแหละ และสัมมาทิฏฐิกลับมา โลกก็คือสัมมาทิฏฐิในสิ่งที่เป็นความจริง ตามที่เป็นจริงอยู่อย่างไร เห็นสิ่งนั้นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริงอยู่อย่างไร เราเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ.

เราไม่สามารถจะ สร้างพระเจ้า หรือบังคับพระเจ้าได้หรอก คือกฎของอิทัปปัจจยตานั้นแข็งเกินไปกว่าที่เราจะไปบังคับได้ แต่เรายังสามารถจับได้ จัดหรือกระทำให้มันมาเกี่ยวข้อง คือให้คุ้มครองโลกได้ อิทัปปัจจยตาฝ่ายสัมมาทิฏฐินี่ จะมาเป็นที่พึ่ง และกำจัดอิทัปปแจจยตาฝ่ายมิจฉาทิฏฐิออกไป ถ้าเรามีมิจฉาทิฏฐิแล้วก็ไม่อาจมีอิทัปปัจจยตาอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่าลืมเสียว่าพูดแล้วไม่มีอะไรที่ไม่ใช่อิทัปปัจจยตา ยกเว้นพระนิพพาน ไม่มีอะไร อิทัปปัจจยตาฝ่ายที่มันให้ผลชนิดที่เราไม่ต้องการนั้นน่ะ เราไปจับมันเองว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ฝ่ายที่มันให้ผลตามที่เราต้องการนี้ เราต้องการเราก็ชอบ เราก็เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ แต่ตัวอิทัปปัจจยตาแท้ๆก็ไม่เป็นอะไรได้ ไม่เป็นดีเป็นชั่ว ก็ไม่เป็นสัมมา มิจฉาอะไรได้ มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นตายตัวอย่างนั้นเอง ว่าทำมันลงไปอย่างนี้ก็ผลมันจะเกิดขึ้นอย่างนี้ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ไม่รับรู้ในเรื่องดีหรือชั่ว เรื่องสุขหรือทุกข์ เรื่องผิดหรือถูก ตามความหมายของคนในโลก เนี่ยะพระเจ้าเค้าแน่นอนอย่างนั้น และพระเจ้าเค้ายุติธรรมถึงขนาดนั้น.

ดังนั้นปรากฏการณ์ที่เลวร้ายทั้งหลาย ก็เรียกว่ามาจากพระเจ้าได้ ในเมื่อมนุษย์มันทำไปอย่างนั้น หรือแม้ที่เป็นไปตามธรรมชาติ ก็เรียกว่าพระเจ้าได้ ก็เพราะมันเป็นอิทัปปัจจยตาของธรรมชาติ น้ำท่วมบ้าง หรือโรคระบาดบ้างอะไร ที่มนุษย์ไม่ต้องการนั้น ก็มาจากพระเจ้าอิทัปปัจจยตา พุทธศาสนาเราตอบได้อย่างนี้ ไม่มีใครค้านได้.

พอไปถามพวกที่ถือพระเจ้าอย่างบุคคล ก็ไปถามว่าทำไมพระเจ้าปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกมา เค้าก็นิ่งงง อึ้งไปหมด ไม่ตอบ ไม่กล้าตอบ ว่าทำไมพระเจ้าจึงมีจิตมีใจแท้อย่างเลวร้ายปล่อยสิ่งเหล่านี้มาให้แก่มนุษย์ ท่าทางจะเป็นพระเจ้าอย่างไหนกันแน่. ถ้าเรามีพระเจ้าอย่างอิทัปปัจจยตา เราก็บอกได้เลยว่า เพราะมันเป็นอย่างนี้แหละ ไม่แปลกประหลาดอะไรที่จะเกิดอย่าง โรคระบาด หรือน้ำท่วม มีคนตาย แผ่นดินไหว.

อิทัปปัจจยตาจึง ใช้ได้ทั้งฝ่ายที่ทำให้เกิดทุกข์ และทั้งฝ่ายที่จะดับทุกข์ให้สิ้นเชิง แม้ฝ่ายที่ทำให้เกิดทุกข์มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ควรจะรับเอาว่ามันเป็นความจริงด้วยเหมือนกัน เป็นสัจจะ เป็นบรมสัจจะด้วยเหมือนกัน แต่เรามันชอบข้างฝ่ายที่ไม่มีทุกข์ แล้วก็ไปสนใจกันแต่ฝ่ายที่ดับทุกข์ แล้วก็พอใจจะยึดเอาสิ่งนี้ นี้มันไม่ยุติธรรม แก่สิ่งที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นกลางที่สุด. นี้รู้เรื่องอิทัปปัจจยตาให้ทั่วถึง นั่นแหละ จึงจะเรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ ในระดับที่จะแก้ปัญหาต่างๆได้.

มันยังมีสัมมาทิฏฐิในระดับต้น ระดับต่ำ ระดับโลกียะ ที่เรียกว่า นรกมี สวรรค์มี บิดามี มารดามี อะไรมี อุปปาติกะมีเนี่ยะ อย่างมีตัวตนกันไปเลย นี่ก็เป็นสัมมาทิฏฐิแบบหนึ่ง คือแบบที่มีตัวตน เอาไว้เพื่อศีลธรรมในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ระดับที่ว่าจะเป็นความจริงที่แท้อันสูงสุด หรือเป็นสัมมาทิฏฐิอันสูงสุด. ถ้าเราพูดถึงสัมมาทิฏฐิอันสูงสุดแล้วก็ต้องเรื่องของอิทัปปัจจยตา ที่ไม่เข้าใครออกใคร เพราะจะทำให้อยู่เหนือดีเหนือชั่ว ไม่ยึดมั่นทั้งดีและชั่ว ไม่เหมือนกับสัมมาทิฏฐิในระดับริเริ่ม ซึ่งส่งเสริมไปในทางดี ให้ยึดมั่นในทางดี สัมมาทิฏฐิอย่างนี้ไม่ได้รวมอยู่ในอริยมรรค มีองค์ 8. ผู้ที่ได้ศึกษาอริยมรรค มีองค์ 8 แล้วก็จะเห็นชัดว่า ท่านอธิบายสัมมาทิฏฐิว่า ทุกเข ญาณัง ทุกขะสะมุทะเย ญาณัง ทุกขะนิโรเธ ญาณัง ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏิปะทายะ ญาณัง5 ความรู้ในทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับสนิทแห่งทุกข์ ทางถึงความดับสนิทแห่งทุกข์นี้เรียก

         5 https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=12771

สัมมาทิฏฐิ. ได้พูดถึงเรื่องนรกและสวรรค์ตัวตนในที่ไหน? จึงเรียกว่าสัมมาทิฏฐิถึงขนาดที่จะเป็นบรมสัจจะ เป็นสัมมาทิฏฐิเนื่องด้วยอิทัปปัจจยตา ความทุกข์และความดับทุกข์.

เมื่อเราจะให้สัมมาทิฏฐิครองโลก ก็สัมมาทิฏฐิระดับนี้แหละครองโลกฺ จึงจะเป็นที่สุด. แต่แล้วจะอย่างไรก็ดี โลกียะสัมมาทิฏฐิก็พอจะครองโลกได้ ก็เดี๋ยวนี้เราไม่มีสัมมาทิฏฐิกันเสียเลย เอาเป็นอันว่า ให้ยึดมั่นในความดี หวังผลของความดี อยู่กันอย่างดีก็แล้วกัน. แม้ว่าจะไม่ดับความทุกข์สิ้นเชิง อยู่กันอย่างดีไปก่อนก็ได้. ความทุกข์ที่มาจากความดีนั้น ค่อยๆจัดการกันอีกระยะหนึ่ง ต่อเมื่อมีสัมมาทิฏฐิในระดับสูง.

เป็นอันว่าเรามีอิทัปปัจจยตา ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายจะให้ผลเป็นทุกข์ก็ได้ ฝ่ายที่จะให้ผลเป็นการดับทุกข์สิ้นเชิงก็ได้ เราจะมีสัมมาทิฏฐิอย่างไรก็ให้มันสำเร็จประโยชน์ตามนี้ รู้จักทุกข์และรู้จักความดับทุกข์ นี่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ควรจะครองโลก เราคัดเลือกอิทัปปัจจยตาได้ คือคัดที่จะเอาแต่ฝ่ายที่ดับทุกข์ ฝ่ายที่ก่อทุกข์นั้นก็ไม่ ไม่ต้องไปเอามา เรียกว่าเว้นเสีย รู้อยู่แล้วว่าจะดับทุกข์อย่างไร นี่เราเก่งถึงขนาดที่ว่าเราคัดเลือกพระเจ้าได้ตามที่เราชอบใจนะ เนี่ยะพุทธบริษัทจะต้องเก่งถึงขนาดนี้นะ คือสามารถตัดเลือกพระเจ้ามาครองโลก ตรงตามความประสงค์ได้ พวกอื่นเค้าอาจจะไม่ยอมก็ได้ จะหาว่าดูถูกพระเจ้าของเขามากเกินไปก็ได้ แต่พุทธบริษัทเราเป็นอย่างนี้ เราสร้างพระเจ้าได้ เห็นมั๊ย? หรืออย่างน้อยก็คัดเลือกพระเจ้าได้ ว่าพระเจ้าอย่างนี้จะมาครองโลก อย่างอื่นเราไม่เอา นี้เรียกว่าให้สัมมาทิฏฐิครองโลก.

ถ้าดูไปในแง่ของวัตถุธรรมตามธรรมชาติ อิทัปปัจจยตาก็ครองโลกอยู่แล้ว พระเจ้าตัวนี้ก็ครองโลกอยู่แล้ว โลกเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาอยู่แล้ว ในด้านวัตถุ. ทีนี้ในด้านมนุษย์ซึ่งมีจิตมีใจด้วยเนี่ยะ ก้อิทัปปัจจยตาไงล่ะครองโลกมนุษย์ ครองบุคคล พวกกลุ่มบุคคล ครองจิตใจของบุคคล และครองสติปัญญาของบุคคล การที่เรามีสติปัญญาสูงสุดเนี่ยะ มันก็เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา สามารถสร้างสติปัญญาสูงสุดขึ้นมาได้ โดยการประพฤติและกระทำที่ถูกต้อง ตามกฎของอิทัปปัจจยตา. ดังนั้นเราต้องยอมรับให้ว่า พระเจ้าอิทัปปกัจจยตานี่มันครองโลกเสียเหลือเกิน เราก็เลือกเอาแต่เฉพาะฝ่ายที่จะดับทุกข์ มีสติปัญญาฝ่ายที่จะดับทุกข์ สร้างขึ้นมาตามกฎของอิทัปปัจจยตาฝ่ายนี้ ก็ได้สัมมาทิฏฐิมาครองโลก.

ทีนี้เราจะใช้สัมมาทิฏฐิอย่างไรต่อไป?

ในข้อแรกก็มีสัมมาทิฏฐิของบุคคล เพื่อประโยชน์แก่บุคคล ซึ่งเป็นประโยชน์ของบุคคลคนนั้นโดยเฉพาะ ให้เป็นนิพพานก็ได้ นี่ประโยชน์ส่วนบุคคล ที่ได้รับจากสัมมาทิฏฐิ.

เดี๋ยวนี้เราประสงค์จะแก้ปัญหาในโลกที่มีความวิปริต เราก็มีสัมมาทิฏฐิอีกส่วนหนึ่ง คือสัมมาทิฏฐิที่จะเชื่อมหรือประสานบุคคล เป็นสื่อระหว่างบุคคล ที่จะให้บุคคลมีความคิดเห็นอย่างเดียวกัน มีความเข้าใจถูกต้องอย่างเดียวกัน แล้วจัดโลกนี้ให้มันมีสันติสุข นี้มันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิส่วนบุคคลโดยตรง หากแต่ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิระหว่างบุคคล ที่มันจะเชื่อมบุคคล หลายคนหรือหลายฝ่าย เข้ามาร่วมกันทำหน้าที่ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เราต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย เราจึงจะป้องกันแก้ไขไอ้สิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้.

เดี๋ยวนี้เราก็มาพบไอ้สิ่งที่จะช่วยให้เราร่วมมือกันได้คือ สัมมาทิฏฐิ.

เดี๋ยวนี้เรามีมิจฉาทิฏฐิ พูดกันไม่รู้เรื่อง เอาสัมมาทิฏฐิมาช่วยให้พูดกันรู้เรื่อง แม้ในส่วนบุคคลก็ไม่มีการกระทำผิด. ที่แล้วมามิจฉาทิฏฐิแสดงบทบาทมากเกินไป ทำให้หลงความเจริญอะไรก็ไม่รู้ คือชนิดที่ยิ่งเจริญก็ยิ่งเพิ่มปัญหาและยิ่งเพิ่มความทุกข์ เค้าก็เรียกความเจริญ. ไอ้เรื่องนี้ก็พูดกันแล้วพูดกันอีก ว่าความเจริญนี้ระวังให้ดี มันมีความเจริญที่ทำให้รกหนาไปด้วยตัณหา แล้วในที่สุดที่เรียกว่าความทุกข์นั้นมันก็ตามมา แล้วยังเรียกว่าความเจริญ อย่าไปหลงความเจริญชนิดนั้นมาก มันจะทำให้หลงมากขึ้น หลงถึงขนาดที่ไม่รู้จะเรียกว่าหลงอย่างไร มัวหลงจนกระทั่งเข้าโลงก็มี ยิ่งแก่ก็ยิ่งรักสวยรักงาม ยิ่งหลงใหลในกามอารมณ์ มันก็มี เพราะมิจฉาทิฏฐิอันนี้ ยิ่งแก่ยิ่งเป็นผีเสื้อ มีเสื้อสวยๆมีเสื้อผ้ามากๆ ไม่ดีอ่ะ อย่างนี้เราเรียกว่าผีเสื้อ ยิ่งแก่ยิ่งเป็นผีเสื้อ.

แล้วมันหลงอะไรก็ต่อไปอีก จากที่กำลังหลงกันอยู่ในโลกนี้เวลานี้ ซึ่งอาตมามองเห็นแล้วมันก็เข้าใจไม่ได้ แต่เค้าว่ามันดี เรื่องให้ผู้หญิงมีสิทธิเท่ากับบุรุษเนี่ยะ อ้างความเจริญของพวกฝรั่งหรือต่างประเทศ ที่เค้าให้สิทธิสตรีเท่ากับบุรุษ เอามาใช้ในเมืองไทย ให้สตรีมีสิทธิหรือมีอะไรๆเหมือนกับบุรุษ ขอให้เฝ้าดูต่อไป ไม่เท่าไรโลกนี้จะไม่มีแม่ แล้วจะมีแต่บุคคลที่เป็นกระเทย เพราะผู้หญิงก็ไม่ใช่เพราะไม่ได้ทำหน้าที่ผู้หญิง ผู้ชายก็ไม่ใช่ดเพราะทำหน้าที่เหมือนกับผู้หญิง ก็เลยเรียกว่าเป็นกระเทยกันหมด โลกนี้ก็จะไม่มีพ่อ ที่ทำหน้าที่อย่างพ่อ ไม่มีแม่ที่ทำหน้าที่อย่างแม่ แล้วไปทำเหมือนๆกันเสีย แล้วผู้หญิงก็หลงสิทธิอันนี้ ยกหูชูหาง ก็ได้สิทธิอันนี้มาใหม่ๆ พูดอะไรกันประหลาดๆ แล้วผู้หญิงก็เป็นนักการเมืองล้ำหน้าผู้ชาย ที่หนังสือพิมพ์เค้าออกข่าวเมื่อสองสามวันนี้ก็น่าหัวแหละ ที่เรียกร้องทางการเมืองเรื่องเรดาร์เรื่องค่ายรามสูรเนี่ยะ ผู้หญิงทั้งนั้น ทั้งชาวนาก็มี นี่ล้ำหน้าผู้ชาย ออกไปรับหน้าที่ของผู้ชาย ปัญหาของผู้ชาย ลูกก็ไม่มีใครเลี้ยง และลูกนี้แทนที่จะเป็นบุตรของพระธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า ก็เป็นลูกลิงทโมนไปหมด เพราะแม่ไปทำหน้าอย่างผู้ชายเสีย ถ้ามารดาจะเลี้ยงลูกให้ดีเนี่ยะ ให้ลูกที่เกิดมาก็เป็นลูกของพระธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ไม่เป็นลูกของลิงทโมน. ทีนี้แม่เค้าทิ้งเสีย เค้าไปทำอย่างผู้ชายเสีย ไม่มีใครเลี้ยงลูก ลูกมันก็โตขึ้นมาอย่างลูกลิงทโมนเพ่นพล่านอยู่ในกรุงเทพ มันปัญหามากเหลือเกิน ไอ้เด็กๆที่ไม่เป็นลูกของพระเจ้าเป็นลูกของพระธรรมเนี่ยะ กำลังสร้างปัญหา.

จึงขอให้พิจารณาดูตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ได้ยกมาให้เห็นเนี่ยะ เพราะมันเป็นผลที่ขาดสัมมาทิฏฐินั่นเอง มันมีมิจฉาทิฏฐิเข้ามาแทน มันก็มืด มันก็เป็นเหวมืด สำหรับตกไปแล้วขึ้นไม่ได้ คือวิปริตเลวร้ายที่สุด.

ทีนี้เมื่อพูดถึงสัมมาทิฏฐิแล้ว เมื่อได้พูดแล้วก็เลยอยากจะพูดเสียให้หมด ว่าสัมมาทิฏฐินั้นเป็นความสมดุลอย่างยิ่ง อยู่ตรงกลาง ไม่ไปทางซ้ายไม่ไปทางขวาอย่างที่ว่ามาแล้ว จึงรู้จักว่าทุกข์เกิดขึ้นมาอย่างไร ดับลงไปอย่างไร อย่างถูกต้อง โดยกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่ได้เนื่องด้วยโชคชะตาราศีดวงดาวเทวดาภูตผีปีศาจอะไรที่ไหน. นี่เราก็จะได้หวังพึ่งธรรมะ ที่จะแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ สัมมาทิฏฐิเข้ามาแล้วมันจะมีความถูกต้อง ที่ไม่ใช่...ไม่เป็น...มีความถูกต้องที่จะช่วยให้ไม่มีการเถียงกัน ทะเลาะกัน วิวาทกัน เลิกทะเลาะวิวาทกันด้วยอำนาจของมิจฉาทิฏฐิเสียเถิด ทะเลาะวิวาทกันว่ามีตัวตน หรือไม่มีตัวตน ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด หรือพูดว่ามันมี มันมีตัวเราของเรา อยู่ในอำนาจของเรา หรือพวกหนึ่งก็พูดว่าไม่มี ไม่มี สูญเปล่า. มันไม่รู้สัมมา...ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่รู้กฎของอิทัปปัจจยตา มันละเอียดสุขุมลึกซึ้ง ถึงขนาดที่จะพูดไม่ได้ ว่าอันนี้หรืออันอื่น โดยเด็ดขาด พูดไม่ได้ว่า ทำเองหรือผู้อื่นทำ โดยเด็ดขาด เพราะว่ามันไม่มีตัวตน.

สัมมาทิฏฐิสูงสุดเนี่ยะ มันสูงสุดถึงขนาดที่ว่า ไม่มีตัวเองหรือว่าไม่มีผู้อื่น. ฉะนั้นการที่พูดว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ว่าตนเองทำกรรมใดไว้แล้วรับผลกรรมนั้น มันเป็นสัมมาทิฏฐิชั้นรอง ชั้นพื้นฐานระดับต้น สัมมาทิฏฐิสูงสุดแล้วมันไม่มีตัวตน. เมื่อไม่มีตัวตนแล้วก็ไม่มีตนเองหรือว่าไม่มีผู้อื่น มันมีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา. ข้อนี้ดูมันจะไกลเกินไปแล้ว ไกลเกินความต้องการแล้ว แต่ก็มาพูดบ้าง เพื่อให้รู้เค้ารู้แนวรู้หนทางว่า สัมมาทิฏฐินี้มันจะไปถึงไหนกัน ถ้ามันยังมีตัวกู มีตัวสู มีตัวเองมีผู้อื่น นี้แล้วก้ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ. แต่มันก็ไม่เรียกว่ามีตัวตนหรือไม่มีตัวตน มันมีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ...

 

https://youtu.be/2C5aJJrnVzo

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น