หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ. ปยุตฺโต) - อิสรภาพ

 

อิสรภาพ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

https://youtu.be/xkGSmhXS5DI

-          ธรรมบรรยาย ณ ลุมพินี ในประเทศเนปาล เสาร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ : ๐๘.๒๕ น.

ขอเจริญพร บัดนี้คณะบุญจาริกก็ได้ เดินทางมาถึงสังเวชนียสถาน แห่งที่สี่ เป็นที่สุดท้ายในการเดินทางของเรา แต่ว่าเป็นลำดับแรกในเหตุการณ์แห่งพุทธประวัติ สถานที่ประสูตินี้ก็มีเครื่องหมายแสดงให้ทราบ ด้วยศิลาจารึกของพระเจ้าอโศก ที่ได้จารึกไว้มีข้อความเพียงสั้นๆว่า พระเจ้าอยู่หัว ปิยทัสสี ผู้เป็นที่รักแห่งทวยเทพ เมื่ออภิเษกได้ 20 ปี(หรือ 20 พรรษา) ได้เสด็จมา ณ สถานที่นี้ และก็ได้ประดิษฐานเสาศิลาจารึกนี้ไว้ เป็นเครื่องหมายว่า พระพุทธเจ้าศากยมุณีได้ประสูติ ณ ที่นี้ แล้วก็มีข้อความต่อไปอีกเล็กน้อย อันนี้ก็เป็นหลักฐานสำคัญที่สุด ส่วนหลักฐานอื่นๆก็เป็นเครื่อง...เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาภายหลังเป็นส่วนมาก ตัวอิฐต่างๆนี้ก็ อาจเป็นพวกสถูปบ้าง พวกซากของกุฏิพระบ้าง อีกอย่างหนึ่งก็คือวิหารมายาเทวี อยู่ในวงล้อมผ้าเหลืองที่เขากำลังจัดการขุดแต่ง เมื่ออาตมามาครั้งก่อนนู้นก็ เค้ายังไม่ได้รื้อ ยังเข้าไปนมัสการได้ แต่ก็วิหารที่ไม่ใช่ของชาวพุทธเอง คือเป็นของชาวฮินดูสร้างขึ้น เท่าที่ทราบ แล้วก็เป็นของภายหลัง.

ที่จริงนั้น สถานที่ประสูติ เราควรจะได้ให้ความสำคัญมาก หมายถึงว่ารัฐบาลหรือชาวพุทธทั้งหมด ทางสหประชาติในสมัยท่านเลขาธิการอูถั่น ได้วางโครงการที่จะพัฒนาลุมพินีไว้ตั้งแต่ประมาณ 35 ปีมาแล้ว แต่เวลาล่วงมายาวนาน ท่านอูถั่นได้สิ้นชีวิตไป งานก็ไม่คืบหน้าอะไรเลย และเมื่ออาตมามาครั้งแรก ปี 2528 ก็ไม่มีอะไรที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มาอีกครั้งหนึ่งประมาณ พ.ศ. 2533 ก็อยู่อย่างเดิม เพิ่งจะมาครั้งนี้แหละที่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง มีการเริ่มต้น ก็นับว่าเป็นที่น่าอนุโมทนา แต่นับว่าช้ามาก เพราะว่าที่จริงนั้นควรจะได้มีการปรับปรุงกันมานานแล้ว ควรจะเป็นสถานที่ที่รื่นรมย์ เป็นรมณียสถานด้วยและปูชนียสถานด้วย มิฉะนั้นแล้ว ชาวพุทธมาเราก็ เห็นเป็นที่น่าสังเวช แต่เป็นสังเวชในภาษาไทยไม่ใช่ในภาษาบาลี สังเวชในภาษาไทยหมายความว่า เห็นแล้วก็สลดหดหู่ใจ. มาบัดนี้ถ้าหากว่ามีการปฏิสังขรณ์ และก็มีการฟื้นฟู มีการสร้างทำตามแปลนที่วางไว้ ที่เรียกว่า master plan สมัยท่านอูถั่น ต่อไปก็เป็นที่ที่รมณียสถาน แล้วก็เป็นปูชนียสถานที่ ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างดี.

นี้ก็เป็นเรื่องของสถานที่ ซึ่งก็มีความสำคัญอยู่ เพราะว่าเราต้องการให้เกิดผลในทางจิตใจ คือให้เป็นสังเวชนียสถานที่แท้จริง สังเวช ในความหมายว่าเป็นเครื่องกระตุ้นเตือนใจให้เกิดศรัทธาและปัญญา. เพราะว่าสิ่งสำคัญที่เรามาในสถานที่เรียกว่าสังเวชนียสถาน และสถานที่สำคัญในทางพุทธศาสนาทุกแห่ง สิ่งที่เราควรจะได้ โดยสรุปก็มี 2 อย่าง คือ ศรัทธากับปัญญา บางท่านก็อาจจะได้เฉพาะศรัทธา มีความเลื่อมใส มีความปีติ มีความปลาบปลื้มใจที่เป็นผลจากศรัทธานั้น ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งบางทีไม่ได้ คือปัญญา ก็ได้ศรัทธาไป ก็เรียกว่าได้ผลบ้าง แต่ว่าไม่สมบูรณ์ ถ้าจะให้ดีก็ควรจะได้ปัญญาด้วย. อย่างทีอาตมาได้กล่าวแล้วว่าปัญญาที่เกิดขึ้นนี่ก็ หมายถึงปัญญา ที่ 1 คือความรู้เข้าใจ วัตถุธรรมดาของสังขาร ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ตามหลักพระไตรลักษณ์ นี้ทำให้เราเห็นความจริง แล้วโน้มธรรมะมาปฏิบัติในใจ ประการที่ 2 ก็คือ เชื่อมโยงต่อไปถึงการที่ว่า จะได้รำลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนเหล่านั้นที่มีความหมายเกี่ยวเนื่องกับสถานที่แต่ละแห่ง ตลอดจนกระทั่งพระธรรมเทศนาต่างๆที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ในโอกาสนั้นๆ. อันนี้ก็เป็นเรื่องทางปัญญาซึ่งจะได้มากได้น้อยก็อยู่ที่การรู้จักโยนิโสมนสิการ คือการรู้จักพิจารณา.

อย่างเราเดินทางมาครบสี่แห่งนี้ ความหมายของสังเวชนียสถานแต่แห่งนั้นก็มีต่างๆกัน แต่ถ้าจะประมวลสรุปแล้ว เราได้แง่คิดหลายแบบ อาตมาจะยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างหนึ่งก็คือว่า เรื่องสังเวชนียสถานสี่นั้นเราเห็นชัดว่า แห่งที่หนึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสูติ ก็คือการเกิด แล้วต่อไปสุดท้ายเลย ลงท้ายก็คือที่ปรินิพพาน ก็คือที่ตาย สองอย่างเกิด-ตายนี้เป็นของสามัญสำหรับทุกคน ไม่เฉพาะพระพุทธเจ้า ใครก็ตาม มีชีวิตก็ต้องเริ่มต้นก็ด้วยการเกิด แล้วก็ต้องสิ้นสุดด้วยการตาย แต่เราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีเพิ่มมาอีก 2 อย่างคือ ในระหว่างนั้น ระหว่างการประสูติกับปรินิพพาน มีตรัสรู้กับแสดงปฐมเทศนา สองอย่างนี้มีความหมายอย่างไร อันนี้แหละเป็นส่วนพิเศษที่ทำให้ พระชนมชีพหรือชีวิตของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ประเสริฐต่างจากคนทั้งหลาย.

การตรัสรู้นั้นถ้ามองความหมาย ถ้ามาเอาไปใช้ประโยชน์สำหรับคนทั่วไป ก็คือการที่ว่า การเข้าถึงสิ่งที่ประเสริฐ การทำชีวิตให้ดีงาม แล้วก็ต่อไปการแสดงปฐมเทศนา ในสังเวชนียสถานที่สาม ก็หมายถึงการที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ เริ่มต้นประกาศพระศาสนา การบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น ตามหลักพระศาสนานั้น สองอย่างนี้เรียกว่า การทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมอย่างหนึ่ง และการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นอย่างหนึ่ง. พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญทั้งสอง อย่างนี้.

การตรัสรู้นั้นเรียกว่า การเข้าถึงประโยชน์ตนหรือทำประโยชน์ตนให้สมบูรณ์ หมายความว่า พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญ ได้พัฒนาพระองค์เองเนี่ยะ สมบูรณ์แล้วด้วยการตรัสรู้นั้น ประโยชน์ของพระองค์เองได้บรรลุแล้วจนกระทั่งเรากล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีก ซึ่งเป็นหลัก หรือเป็นลักษณะของพระอรหันต์ทั้งหลายทั่วไป พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น ท่านเรียกว่าเป็นผู้บรรลุประโยชน์ตนแล้ว จนไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองอีก การตรัสรู้เป็นเครื่องหมายอันนี้ ชีวิตที่ดีงาม ความดีงาม ความประเสริฐ พระองค์ได้ทำให้เกิดแก่พระชนม์ชีพของพระองค์แล้ว.

ทีนี้ต่อมา การแสดงปฐมเทศนา ก็คือ การบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น คือการที่พระองค์ได้มีอะไรมอบไว้ให้แก่ชาวโลก สองประการนี้เรียกว่าหลักอัตตัตถะปรัตถะ1 การตรัสรู้นั้นเป็นการบรรลุ

         1 https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CD%D1%B5%B6%D0

ความสมบูรณ์ของอัตตัตถะหรืออัตตะหิตะหรือประโยชน์ตน แล้วการแสดงปฐมเทศนาคือจุดเริ่มต้นของการบำเพ็ญปะรัตถะ หรือปะระหิตะ ประโยชน์เพื่อผู้อื่น หลักธรรมคู่นี้ก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน การปฏิบัติ ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงย้ำบ่อยๆ ว่าให้บำเพ็ญอัตตัตถะประโยชน์ตน แล้วก็ปะรัตถะประโยชน์ผู้อื่น ทั้งสองอย่างอันนี้ก็เนื่องกัน ผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นได้อย่างดี ก็ต้องพัฒนาตน บรรลุประโยชน์ตนมากขึ้น ยิ่งเราบรรลุประโยชน์ตนมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสามารถทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้มากเท่านั้น ความดีงาม ความสามารถ ความมีสติปัญญา การพัฒนาตนของเรานี่แหละ อันนี้เป็นประโยชน์ตนที่แท้จริง ถ้าเราได้พัฒนาตนเอง บรรลุประโยชน์ตน เราได้มีสติปัญญาความสามารถมากขึ้น ก็มีความดีในชีวิตของเราด้วย แล้วพร้อมกันนั้นเราก็สามารถบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้ดีขึ้นด้วย เพราะว่าบุคคลผู้มีสติปัญญา มีความสามารถ มีความสุข มีชีวิตที่สงบแล้วนี่ สามารถบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่น เผื่อแผ่ความดีงามสติปัญญาความรู้ เผื่อแผ่ความสุขไปให้แก่คนอื่นได้ เพราะเช่นนั้น ประโยชน์ตนจึงเป็นฐานของการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น.

ที่จริงเป็นลักษณะของพระอรหันต์ ว่าต้องเป็นผู้ที่บรรลุประโยชน์ตน แต่ว่าบรรลุจนกระทั่งไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองอีก มีความสมบูรณ์ในตัว สติปัญญา ทั้งความสุข ความสงบ ความเป็นอิสระ เมื่อมีพร้อมในตัวแล้วก็ นำเอาความสุขความเป็นอิสระเป็นต้นนี้ ไปเผื่อแผ่แจกจ่ายแก่ผู้อื่นด้วยเมตตา. สถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และประกาศปฐมเทศนาก็เป็นเครื่องหมายของการที่พระองค์ได้บรรลุแล้วซึ่งความสมบูรณ์แห่งอัตตัตถะการบำเพ็ญประโยชน์ตน พัฒนาตนเองสมบูรณ์ และการที่ได้ทรงทำประโยชน์แก่ชาวโลก บำเพ็ญปะรัตถะดังที่กล่าวมาแล้ว. เพราะฉะนั้นสังเวช-นียสถาน 4 นี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจชาวพุทธว่า ในคติแห่งธรรมดาแห่งชีวิตที่เราเกิดมาจนกระทั่งตายไปนี้ เราก็ควรจะได้ทำ 2 อย่างนี้ให้เกิดขึ้นด้วย ก็คือชีวิตตัวเอง เราก็ควรจะเข้าถึงสิ่งที่ดีงามประเสริฐ พัฒนาตัวเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้นเราก็ควรจะมีอะไรให้แก่โลกด้วย บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่สังคมนี้ด้วย นี้ก็เป็นคติธรรมประการหนึ่งที่ได้จากเรื่องสังเวชนียสถาน 4 อัน

นี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ นอกจากนั้นยังมีความหมายที่ลึกซึ้งขึ้นไป อย่างที่อาตมาได้กล่าวแล้ว ต่อไปนี้จะพูดถึงอีกอย่างหนึ่ง ความหมายอย่างหนึ่งที่อาตมาได้พูดอ้างอิงไปแล้วก็คือ ได้กล่าวถึงเรื่อง รูปกาย และ ธรรมกาย. พระพุทธเจ้าประสูติ ณ สถานที่นี้ ที่ลุมพินีวัน ก็คือการปรากฏขึ้นแห่งรูปกาย ร่างกายของพระพุทธเจ้าที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ รูปกายของเจ้าชายสิทธัตถะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะได้อาศัยรูปกายนี้แหละ ความเป็นพระพุทธเจ้าจึงได้เกิดขึ้นได้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ไปบำเพ็ญเพียร อาศัยร่างกายนี้เองบำเพ็ญเพียร แล้วต่อจากนั้นก็ได้อาศัยร่างกายนี้จนได้บรรลุธรรมะ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมายความว่า ได้อาศัยรูปกายนี้ ทำธรรมกายให้ปรากฏขึ้น ธรรมกายก็ได้ปรากฏขึ้นที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิที่พุทคยา นั่นคือการตรัสรู้ เป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 2 สังเวชนียสถานแห่งที่ 1 คือที่ประสูติก็เป็นที่ปรากฏขึ้นแห่งพระรูปกาย และส่วนสังเวชนียสถานที่ 2 ที่ตรัสรู้ ก็เป็นที่ปรากฏขึ้นแห่งพระธรรมกาย. ธรรมกายก็คือชุมนุมหรือกองแห่งธรรมะ ดั่งที่อาตภาพได้เคยอธิบายไปครั้งหนึ่งแล้ว ทีนี้เมื่อพระพุทธเจ้าได้อาศัยพระรูปกาย ทำพระธรรมกายให้ปรากฏแล้ว ก็เป็นส่วนพระองค์เอง.

ต่อจากนั้นพระองค์ก็เสด็จจาริกไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่เป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 และในสถานที่นี้พระองค์ก็ได้ประกาศเผื่อแผ่ธรรมกายนี้ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นด้วย โดยมีประจักษ์พยานบุคคลแรกก็คือ อัญญาโกญทัญญะ ซึ่งได้ดวงตาเห็นธรรม ก็คือเข้าถึงธรรมกายเป็นท่านแรกถัดจากพระพุทธเจ้า นี่ก็คือการที่พระพุทธเจ้าได้ทำธรรมกายให้ปรากฏขึ้นแก่โลก เผื่อแผ่ออกไปยังผู้อื่น เมื่อธรรมกายปรากฏแล้ว รูปกายนี้ก็ได้ทำหน้าที่จนกระทั่งสมบูรณ์ ทำธรรมกายให้ปรากฏไว้ในโลกพอสมควรแล้ว รูปกายนั้นก็ไปสิ้นสุดลง ณ สังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ก็คือที่ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา รูปกายทำหน้าที่ให้ธรรมกายปรากฏแก่ชาวโลกแล้ว รูปกายก็ดับไป แต่ว่าทิ้งธรรมกายไว้ให้เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกต่อไป ธรรมกายนี้ไม่พลอยสูญสิ้นไปด้วย อันนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างของรูปกายกับธรรมกาย ก็เป็นอันว่า 4 สถานนี้คือ 1 รูปกายปรากฏที่ประสูติ อาศัยรูปกายนี้ไปทำธรรมกายปรากฏขึ้นที่ต้นโพธิตรัสรู้ที่พุทธคยา แล้วก็ทำธรรมกายนั้นให้แผ่ขยายออกไปเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นสังเวชนียสถานที่ 3 และเมื่อทำหน้าที่จบครบถ้วนแล้ว รูปกายก็ไปดับลงที่กุสินารา แล้วธรรมกายก็คงอยู่ต่อไป อันนี้ก็ เป็นคติความหมายอีกอย่างหนึ่งของสังเวชนียสถาน 4 ประการ 4 แห่ง.

ก็ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของธรรมกายนิดหน่อย ขอย้ำว่า ธรรมกายนั้น ในภาษาบาลีแปลว่า กองหรือที่ชุมนุมหรือที่ประชุม รูปกายก็เป็นที่ประชุมหรือกองแห่งรูปธรรม ได้แก่ ดินน้ำลมไฟ มาประชุมกันเข้า มีการประชุมอย่างเป็นระบบ จึงได้เป็นรูปกายขึ้น ทีนี้ในด้านธรรมกายก็เช่นเดียวกัน ธรรมะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมดาธรรมชาติ แต่มาเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ เมื่อมามีการประชุมขึ้น โดยการรู้เข้าใจและประพฤติปฏิบัติ เมื่อเรารู้เข้าใจธรรมะ ธรรมะก็มาเป็นกายของเรา ด้วยการที่ว่า มาประกอบกันขึ้นทีละอย่างละอย่าง เราก็มี ชุมนุมหรือกองแห่งธรรมเกิดขึ้นในตัวเรานี้มากขึ้น เราประพฤติปฏิบัติตามหลักเมตตา เราก็มีเมตตาเข้ามาอย่างหนึ่ง เราบำเพ็ญกรุณาก็เข้ามาอีกอย่างหนึ่ง มุทิตาก็เข้ามาอีกอย่างหนึ่ง อุเบกขาก็เข้ามาอีกอย่างหนึ่ง เมื่อบำเพ็ญอินทรีย์เราก็มีศรัทธาเข้ามาองค์หนึ่งละ ธรรมะข้อหนึ่ง มีวิริยะก็เข้ามาอีกอย่างหนึ่ง มีสติก็เข้ามาอีกอย่างหนึ่ง มีสมาธิก็เข้ามาอีกอย่างหนึ่ง มีปัญญาก็เข้ามาอย่างหนึ่ง ก็เป็นธรรมกาย ธรรมกายก็ปรากฏขึ้นมีมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเป็นธรรมกายที่มั่นคง ก็คือ มรรคผลนิพพาน. ถ้าเป็นธรรมกายในตอนแรกแล้วยังไม่มั่นคง เพราะว่า ธรรมะที่เราประพฤติปฏิบัติที่เรารู้เข้าใจเนี่ยะ เป็นสิ่งที่สามารถเสื่อมได้ หมายความว่าบางทีเราได้ธรรมะข้อนี้แล้ว ต่อมาเราก็เสื่อมไปจากธรรมะข้อนั้น ขึ้นๆลงๆไม่แน่นอน จนกว่าเมื่อไรจะได้มรรคผลนิพพาน ธรรมกายนั้นก็แน่นอน แต่ธรรมกายนี้ไม่มีรูปร่าง เพราะถ้าเป็นรูปร่างแล้วกลายเป็นรูปกาย รูปกายเท่านั้นเป็นรูปร่าง เพราะกายก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นรูป ประชุมแห่งรูปธรรม ส่วนธรรมกายนี้เป็น ประชุมแห่งธรรมะ ธรรมะในที่นี้เป็นนาม เพราะเช่นนั้นก็คือนามกายนั่นเอง แต่นามกายนี้เป็นศัพท์ที่กว้าง นามกายนั้นอาจจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ได้ แต่ธรรมกายนั้นในทีนี้เราหมายถึงว่า ส่วนที่เป็นกุศล ส่วนที่เป็นสัจธรรม แล้วก็ไม่มีรูปร่างให้ปรากฏ ก็คือตัวธรรมะต่างๆนั่นเองที่ เข้ามาประชุมกันขึ้น อยู่ด้วยการรู้เข้าใจและประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญของเรา ดังที่กล่าวมา ดังนั้นโยมก็ต้องทำความเข้าใจธรรมกายนี้ให้ชัดเจนด้วย เดี๋ยวจะหลงไปเป็นรูปเป็นร่างอย่างโน้นอย่างนี้ไป.

อันนี้อาตมาก็ยกขึ้นมาพูดเป็นความหมาย ที่เกี่ยวเนื่องกับสังเวชนียสถาน 4 ประการ อย่างที่อาตมาได้กล่าวแล้วบอกว่า เรื่องของการหาประโยชน์หรือทำความเข้าใจถึงความหมายของสังเวชนียสถานนี้ อยู่ที่โยนิโสมนสิการ การรู้จักพินิจพิจารณา ถ้าเรามีโยนิโสมนสิการเราก็สามารถได้ประโยชน์ได้ความหมายเพิ่มจากนี้อีก ก็ทั้งหมดนั้น ก็อยู่ในหลัก 2 ประการที่กล่าวมา ก็คือว่าเน้นที่ศรัทธาอย่างหนึ่ง กับปัญญาอย่างหนึ่ง วันนี้อาตมาก็ขอสรุปเรื่องสังเวชนียสถาน 4 ประการให้โยมฟังไว้ โดยเป็นแบบอย่างหรือเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะครอบคลุมทั้งหมด อย่างน้อยก็หวังว่า โยมทุกท่านนี้ได้ประโยชน์จากสังเวชนียสถาน 4 ได้คติที่จะนำไปเป็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะให้เกิดผลดีงามแก่ชีวิตของตนเอง ด้วยการดำเนินตามพุทธปฏิปทา ถ้าเราได้คติอย่างที่อาตมากล่าวไว้เพียง 2 ประการดังที่พูดไปแล้วนี้ก็คิดว่า เราก็คงจะได้ผลดีมากพอสมควร.

เมื่อได้กล่าวถึงเรื่องความหมายของสังเวชนียสถาน 4 ประการแล้ว อาตมาก็อยากจะพูดย้อนกลับไปถึง เรื่องราวต่างๆที่เป็นหลักธรรมะ อันเกี่ยวเนื่องกับสังเวชนียสถาน 4 ประการ ที่ควรจะพูดถึงในโอกาสก่อนๆแต่ว่า เราไม่มีเวลาเนื่องด้วยการเดินทาง แล้วก็มีเหตุบางอย่างขัดข้องเข้ามา เพราะฉะนั้นก็จะขอย้อนกลับไปพูดเมื่อ 3 วันก่อนหรือ 4 วันก่อนนู้น ย้อนไปตั้งแต่ที่พุทธคยานั้นเลย ตอนนั้นก็มีเหตุการณ์ที่น่าเห็นใจญาติโยม คือการเดินไปที่ดงคสิริ ที่เขาที่ถ้ำ ที่ถือกันว่าเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าตอนเป็นพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญทุกขกิริยา อันนั้นที่เห็นใจโยมก็เพราะว่า เดินกันเหน็ดเหนื่อยมาก ก็ บางท่านก็ถึงกับได้รับทุกขเวทนา มีความเจ็บปวด. แต่ว่าที่จริงอาตมาก็เป็นเพื่อนโยมเหมือนกันนะ ก็เจ็บปวดเหมือนกัน อย่างที่บอกโยมแล้วว่า เราถวายเป็นพุทธบูชา อาตมาก็เลยถือโอกาสเล่าแทรกเป็นเกร็ดนิดหน่อย พอทำให้บรรยากาศเบาลง ว่าที่โยมเจ็บปวด ความจริงอาตมาก็เจ็บปวดเหมือนกัน ที่เดินมานั้นน่ะอาตมาก็เท้าแตกตั้งแต่ตอนเดินนั่นแหละ แล้วก็ระบมเจ็บ ตลอดเวลาที่เดินช่วงปลายๆ ก็เจ็บตลอดตั้งแต่วันนั้น ก็จนกระทั่งมาวันนี้ก็เดินกะย่องกะแย่งอยู่ เพราะว่าเท้ายังระบมอยู่ ยังพองอยู่ ก็เป็นการอักเสบที่ต่อเนื่องหลายวันทีเดียว...

อันนี้ เมื่อเดินทางมา โยมหลายท่านก็ยังมีความลำบากมากขึ้นอีก ก็ยังมาท้องเสียท้องเดินกันเมื่อวานนี้ ที่ท้องเดินท้องเสียนี่ อาตมาก็บอกว่า อ้า, อันนี้ก็, เราได้บำเพ็ญ, อะไร, จะเรียกว่า วิริยะบารมี อุทิศต่อพระพุทธเจ้า จะว่าไปแล้ว การที่เป็นโรคท้องร่วงนี่ก็ คล้ายกับพระพุทธเจ้าเหมือนกัน พระพุทธเจ้าที่เสด็จไปยังสถานที่ปรินิพพาน และนิพพานนั้นก็ด้วยโรคท้องนั้นแหละ ก็เรียกว่า ปักขันธิกาพาธ พระองคทรงท้องร่วงท้องเดิน ถึงกับเป็นพระโลหิตทีเดียว ลงพระโลหิตเลยทีเดียว หนักกว่าเรามาก ที่โยมท้องเดินท้องเสียกันเนี่ยะ ไม่ถึงกับนิพพาน แค่หมดแรงเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ได้เป็นอย่างนี้ก็ น่าจะดีใจว่า เราก็ได้เป็นคล้ายๆอย่างพระพุทธเจ้า ได้ทรงอาพาธด้วยโรคนี้มาแล้ว มันก็กลับกลายเป็นดี นึกอย่างนี้แล้วก็สบายใจ หายทุกข์หายร้อน.

แล้วก็สำหรับอาตมาเอง ที่จริงก็มีปัญหาเรื่องคอ ก็เจ็บตั้งแต่วันนั้นแหละ วันที่ไปเดินที่ดงคสิริ เข้าใจว่าเป็นเพราะเครื่องแอร์ เครื่องแอร์ที่เป่าศีรษะตั้งแต่วันแรก หันอย่างไรก็ไม่พ้น ตอนหลังต้องใช้กระดาษปิด แล้วลมเย็นที่ลงมาจากเครื่องแอร์นั้น สงสัยว่าจะทำให้เสียสมดุล ทำให้ดุลยภาพในร่างกายเสีย ในคืนวันที่ไปดงคสิริ กลับมาพักที่วัดไทยพุทธคยา ก็เจ็บคอ เจ็บคอมากหน่อย แล้ววันรุ่งขึ้นก็เจ็บตลอด ตอนที่จะพูดที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น ตอนนั้นก็เจ็บมาก แต่ว่าพอถึงเวลาจะต้องพูดก็ต้องพูด ก็พอดีว่าฝนมาก็เลยหยุดพูด ถ้าหากว่าพูดมากกว่านั้น ก็ต้องพูดเป็นชั่วโมง ซึ่งเวลาก็ไม่เหมาะ แล้วถ้าพูดมากก็ไม่รู้ว่าคืนนั้นจะเป็นยังไง เพราะว่าแม้แต่ยังงั้น คืนนั้นก็เจ็บคอมาก จนกระทั่งว่าพูดลำบาก พูดไม่ถนัด แล้วก็กลืนน้ำลายลำบาก ก็เลยเป็นอันว่า มองในแง่หนึ่งก็ดีไป ก็ แต่ว่าก็หายไว เวลานี้ก็หายแล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง ก็ขอให้ทุกท่านสบายใจ คิดว่าตอนนี้ที่ใครไม่สบาย เป็นโรคโน้นโรคนี้ก็คงดีขึ้นแหละ ก็ถือว่าเราก็ได้บำเพ็ญบารมี ถวายเป็นพุทธบูชาด้วยกันแล้ว มีปีติอุ่นใจ ต่อไปนี้ก็ขอให้มีจิตใจร่าเริงเบิกบานผ่องใส มีความสดชื่น มีความสุขยิ่งๆขึ้นไป.

นี้ก็ขอย้อนกลับไปถึงเรื่องดงคสิริอีกครั้งหนึ่ง ที่เราไปที่ดงคสิรินั้น เค้าบอกว่าเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกขกิริยา แล้วก็เราขึ้นไปแล้ว บนที่นั้นก็เป็นถ้ำ เป็นถ้ำเล็กๆ โยมหลายท่านไม่ได้ขึ้นไป ขึ้นไปได้ก็เพียงซักไม่ถึงครึ่ง เพราะฉะนั้นส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ ไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเป็นยังไง แต่ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องไปเห็น เพราะว่าอาตมาไปดูก็ดีไปอย่าง คือ ให้เห็นว่าที่เขาเชื่อกันว่าอย่างนั้นน่ะ ถ้ำนั้นเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง แต่อาตมาเห็นว่าไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าจะต้องไปประทับอยู่ที่ถ้ำนั้น อาจจะเป็นเพียงแห่งหนึ่ง เพราะว่าพระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในบริเวณนั้นเป็นเวลายาวนานมาก เมื่อเสด็จไปออกบรรพชาแล้ว แล้วก็บำเพ็ญเพียรใช้เวลาตั้ง 6 ปี แล้วสถานที่พระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญเพียรนั้น ตามคำที่พรรณนาไว้ในพุทธประวัติ นี่ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ข้อความทำนองนี้ว่า พระองค์ได้เสด็จไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ ก็คือเนรัญชรา แล้วทอดพระเนตรเห็นว่า ที่นั่นเป็นภูมิภาคอันรื่นรมย์ มีแม่น้ำไหลผ่าน น้ำก็ใสกระจ่างแจ๋ว แล้วก็มีท่าน้ำ ก็คือชายหาดที่ราบเรียบ บนฝั่งก็มีต้นไม้หมู่ไม้ ที่ร่มรื่นเป็นสถานที่ที่น่าบันเทิงใจ พระองค์ก็ตัดสินพระทัยว่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่ควรบำเพ็ญเพียร.

อันนี้ก็จะเห็นได้ว่า ที่พระพุทธเจ้าตัดสินพระทัยบำเพ็ญเพียรนั้น ก็เป็นที่บริเวณฝั่งน้ำ มีป่ามีหมู่ไม้ร่มรื่น อันนี้ก็แสดงว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ที่ถ้ำอะไรแต่อย่างใด อันนี้ก็เป็นหลักฐานอันที่หนึ่ง.

เป็นไปได้ว่า พระพุทธเจ้าก็เสด็จอยู่แถวๆบริเวณนั้นนั่นแหละ ทั่วๆไป แล้วยิ่งกว่านั้นอีกแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสเล่า ถึงการบำเพ็ญเพียรของพระองค์ว่า พระองค์อยู่ในป่าทึบ อยู่ในป่าที่รกชัฏมาก กลางคืนนี้น่ากลัว บางครั้งตอนที่เข้าไปบำเพ็ญเพียรใหม่ๆ พระองค์เคยอยู่แต่ในรั้วในวัง เวลาเข้าไปประทับในป่านั้นก็น่ากลัว พระองค์ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ในตอนนั้น บางครั้งได้ยินเสียงกรอบแกรบ พระองค์ก็สะดุ้งพระทัย เมื่อสะดุ้งพระทัยแล้ว พระองค์ก็ฝึกพระองค์เองว่า เราจะต้องฝึกตนเองให้หายกลัว พระองค์ก็ใช้วิธีการว่า ถ้าเรายังไม่รู้เหตุของสิ่งที่ทำให้เกิดเหตุของความกลัวนี้ เราก็ยังจะไม่ยอมเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี้ นี่วิธีการของพระพุทธเจ้า ก็ค้นหาให้ได้ว่าเสียงกรอบแกรบที่ทำให้กลัวนั้นคือเสียงอะไร เมื่อค้นพบแล้ว พระองค์ก็ค่อยๆหายกลัวไปตามลำดับ แล้วก็ต่อมาพระองค์ก็อยู่ในป่านั้นได้ อันนี้ก็เป็นวิธีการของพระพุทธเจ้า แต่ว่า อันหนึ่งก็คือเป็นเครื่องหมาย เป็นเครื่องแสดงว่า สถานที่บริเวณที่พระพุทธเจ้าได้มาบำเพ็ญเพียรนั้นเป็นป่าทึบ ซึ่งปัจจุบันนี้เราแทบไม่-มองไม่เห็นป่าเลย คือเราเดินกันไปนั้น ไม่มีต้นไม้กี่ต้นเลย เป็นแม้แต่ภูเขา ก็เป็นภูเขาที่แทบจะโล้นเลย มีแต่ก้อนหิน นี่คือความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติแวดล้อม.

แล้วทีนี้ลอง มามองดูแถวๆนี้ และที่นี่ก็เช่นเดียวกัน แต่ก่อนนี้ก็เป็นดงสาละ ตอนสมัยพระพุทธเจ้าประสูติ และในคำพรรณนาในคัมภีร์นั้น พูดถึงเมืองกบิลพัสดุ์ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตอนทรงพระเยาว์ คือเป็นเมืองของพระพุทธบิดา เมืองกบิลพัสดุ์นั้นตามคัมภีร์ก็บรรยายว่า นอกเมืองออกไปนี้เป็นป่าใหญ่ ไปจรดจนถึงเขาหิมพานต์ แล้วเดี๋ยวนี้มีมั้ย? เจริญพร. เมืองกบิลพัสดุ์ออกไปจนถึงเขาหิมาลัย ไม่มีต้นไม้เลย แน่ะ, ในคัมภีร์บอกว่ามีต้นไม้เป็นป่า จรดถึงภูเขาหิมาลัย ว่าอย่างนั้นนะ. เพราะฉะนั้น นี่คือความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติแวดล้อม สถานที่บริเวณนี้เคยร่มรื่น เป็นป่าเป็นพงพีอะไรต่างๆ ก็ไม่มีเหลือ ฉะนั้น สถานที่ที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียร ที่ทำทุกขกิริยา ก็เช่นเดียวกัน.

นี้กล่าวต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญเพียรไปจนกระทั่ง ถึงได้ ในที่สุดแล้ว เห็นว่าไม่ใช่ทางทางการตรัสรู้ พระองค์ได้ทรงมีโยนิโสมนสิการ คือการคิด พระองค์ได้ทรงดำริว่า หนทางอื่นคงจะมีอีก คือทรงตัดสินพระทัยว่า การบำเพ็ญทุกขกิริยาทรมานพระองค์นั้น จะต้องไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง สิ่งเขาบำเพ็ญปฏิบัติกันในการบำเพ็ญทุกขกิริยาทรมานตนเองนั้น พระองค์ก็ทำอย่างเต็มที่ เรียกว่าไม่มีใครทำได้ยิ่งกว่านั้นแล้ว แต่ก็หาทำให้บรรลุผลคือการตรัสรู้ไม่ พระองค์วินิจฉัยด้วยพระทัยแล้ว ก็ทรงพระดำริว่า หนทางอื่นคงจะมีอีก เสร็จแล้วก็ทรงหวนระลึกไปถึงเมื่อครั้งที่ประทับที่พิธีแรกนาขวัญ เท่าที่จำได้ว่ารู้สึกจะเป็นใต้ต้นหว้า และพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญได้ปฐมฌาณ พระองค์คิดว่าอันนั้นอาจจะเป็นหนทางที่เป็นเบื้องต้นในการที่เข้าสู่จุดหมายที่ถูกต้องได้ พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนวิธีการใหม่ เลิกบำเพ็ญทุกขกิริยา แล้วก็ทรงหันมา ใช้วิธีที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ใช้วิธีแห่งปัญญา ใช้วิธีที่เรียกว่าทางสายกลาง. และในการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติในทางสายกลางนั้น เรื่องราวก็ไปปรากฏอยู่ในพระสูตรโน้นบ้าง พระสูตรนี้บ้าง กระจายออกไป เช่นอย่างพระองค์ได้ตรวจสอบพระหฤทัยของพระองค์ การเกิดขึ้นแห่งธรรมะ กุศลธรรมอกุศลธรรม ในพระทัยของพระองค์เองว่า เมื่อพระองค์เองมีสภาพจิตขึ้นมาอย่างนี้ มีใจเศร้าหมองหรือขุ่นมัว มันเกิดจากเหตุอะไร อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือจะแก้ไขให้หมดไปได้อย่างไร หรืออย่างทรงศึกษาว่า สภาพจิตที่เกิดขึ้นเวลานี้ เป็นเวทนา เป็นสุขเวทนา เป็นทุกขเวทนา แล้วพระองค์สืบสาวหาเหตุปัจจัย ค้นหาตั้งคำถามแก่พระองค์เองว่า ที่เวทนานี้เกิดขึ้นนั้น เพราะอะไรมีเวทนานี้จึงมี เมื่อทรงพิจารณาสืบสาวไปก็ทรงเห็นว่า เพราะผัสสะ เวทนาจึงมี แล้วพระองค์ก็ทรงตั้งคำถามแก่พระองค์เองต่อไปอีกว่า แล้วที่ผัสสะนี้มีล่ะ เพราะอะไรผัสสะนี้จึงมี พระองค์ก็ตรวจสอบพระทัยของพระองค์เองสืบสาวต่อไป พระองค์ก็ค้นพบ อันนี้ก็เป็นวิธีการต่างๆ ที่พระองค์ได้ใช้ในการที่จะได้ค้นพบสัจธรรม จนกระทั่งพระองค์ก็ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ.

อันนี้อาตมานำมาเล่าเพื่อจะให้เราเห็นคติ เกี่ยวกับการปฏิบัติและหลักธรรมสัจธรรมต่างๆ สิ่งอาตมาต้องการย้ำในที่นี้ก็คือว่า สิ่งที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ การที่พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ทรงแก้ไขความหวาดกลัวอย่างเสด็จประทับอยู่ในกลางป่า แล้วได้ยินเสียงกรอบแกรบขึ้นเกิดความกลัว แล้วพระองค์ก็ใช้วิธีว่า จะแก้ความกลัวด้วยการที่ต้อง สืบหาให้ได้ก่อนว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดเสียงนั้น หรือทำให้เกิดความกลัวนั้น แล้วพระองค์ก็แก้ไขความกลัวได้ วิธีการอย่างนี้ก็เรียกโยนิโสมนสิการ.

แล้วอย่างที่พระองค์ได้บำเพ็ญทุกขกิริยา จนกระทั่งเต็มที่แล้ว ไม่มีใครทำได้ยิ่งกว่านั้น แล้วพระองค์ทรงวินิจฉัยได้ว่า นี้ไม่ใช่ทางการตรัสรู้ แล้วทรงพระดำริว่าหนทางอื่นคงจะมี หมายความว่า ความเป็นไปได้อย่างอื่นคงจะมี ไม่ติดอยู่แค่นั้น การที่พระองค์ไม่ติดอยู่นั้น คิดหาทางออก ว่าอาจจะมีทางอื่น อย่างนี้เรียกว่าโยนิโสมนสิการเหมือนกัน และการที่ว่าพระองค์ได้ทรงได้พิจารณา เช่นว่าได้ตรวจสอบพระหฤทัยของพระองค์เองว่า เมื่อสภาพจิตอันนี้เกิดขึ้นมานั้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย การคิดพิจารณาอย่างนี้ก็เรียกว่าโยนิโสมนสิการ.

เพราะฉะนั้น โยนิโสมนสิการนี่แหละ เป็นปัจจัยสำคัญในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งพระองค์ได้ตรัสไว้บอกว่า ปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐินั้นมี 2 ประการคือ 1) ปรโตโฆสะ2 คือ

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%86%E0%B8%AA%E0%B8%B0

เสียงจากผู้อื่น เสียงบอกเล่า เสียงจากกัลยาณมิตร และประการที่ 2) ปัจจัยภายใน คือ โยนิโสมนสิการ แล้วก็มีหลักอยู่ด้วยบอกว่า สำหรับคนทั่วไปนั้น ต้องอาศัยปรโตโฆสะเป็นสำคัญ คนทั่วไปที่จะโยนิโสมนสิการขึ้นมาเองนั้น เป็นไปได้ยาก ส่วนมากแล้วต้องอาศัยการบอกเล่าแนะนำสั่งสอนจากคนอื่น ก็มีบุคคลพิเศษ ก็พระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้านี้เป็นแบบอย่าง ที่ว่ามีโยนิโสมนสิการ.

เริ่มตั้งแต่ก่อนที่จะเสด็จออกบรรพชา พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาก็อยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวกับคนอื่น เจ้านายในวัง ประชาราษฎรเกิดมาอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับพระองค์ เค้าก็เห็นความเป็นไปในโลก ความเป็นไปของสิ่งทั้งหลาย ความเป็นไปของชีวิตผู้คน เค้าก็ไม่เห็นอะไรแปลก เค้าก็อยู่กันมาอย่างนั้น แต่เจ้าชายสิทธัตถะนี่ มองเห็นสิ่งเดียวกับที่คนอื่นเห็น มองเห็นความเป็นไปในชีวิตของคนต่างๆในสังคมนี้ อย่างเดียวกับที่คนอื่นเค้าประสบ แต่พระองค์มีความคิดที่แปลกกว่าคนอื่น ความคิดที่แปลกกว่าพระองค์อื่นนี่แหละ ทำให้พระองค์เสด็จออกบรรพชา คิดเช่นนี้ก็เรียกว่าโยนิโสมนสิการ ท่านบอกว่า คนที่จะมีโยนิโสมนสิการขึ้นมาอย่างนี้ ต้องเป็นคนพิเศษ เช่นอย่างพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า การตรัสรู้จึงเกิดขึ้นได้.

แต่ว่า คนทั่วไปเมื่อได้อาศัยปรโตโฆสะ เสียงแนะนำชักจูงจากคนอื่นแล้ว ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดโยนิโสมนสิการขึ้นมาในตนเอง เมื่อเราได้รับคำแนะนำสั่งสอนแล้ว เรารู้จักคิดพิจารณาต่อไปนั้น เราเอาคำแนะนำสั่งสอนของท่านผู้อื่น เช่นของพระพุทธเจ้า มาพิจารณาไตร่ตรอง เราก็โยนิโสมนสิการของตนเอง และเราก็สามารถที่จะบรรลุธรรม เข้าใจสัจธรรมได้.

เพราะฉะนั้นตัวปัจจัยสำคัญก็คือเรื่องโยนิโสมนสิการนี้ ทีนี้ในบรรดาโยนิโสมนสิการนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือเรื่องความคิด การรู้จักคิดรู้จักพิจารณา บางทีเราไปสอนกันว่า ในทางพุทธศาสนา ในการปฏิบัติธรรม เช่นอย่างวิปัสสนาเนี่ยะ ไม่ให้คิด อันนี้อาจจะพลาดได้.

พระพุทธเจ้านี่ ที่ตรัสรู้นี้ด้วยการคิดนะ แต่รู้จักคิด อยู่ที่คิดเป็น อย่างที่อาตมายกตัวอย่างเมื่อกี้เนี่ยะ พระพุทธเจ้าทรงคิดตลอดเลย เช่นอย่างสภาพจิตของพระองค์เองนี้ อันนี้มันเกิดขึ้น เป็นกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม มันเกิดขึ้นแล้ว มันมีผลดีหรือผลร้าย แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะอะไรเป็นปัจจัย เพราะอะไรสภาพจิตนี้จึงเกิดขึ้น พระองค์คิดทั้งนั้นเลย แต่คิดจากของจริงคือมีการตรวจสอบ. เพราะเช่นนั้นต้องแยกว่าความคิดมี 2 อย่าง คือความคิดปรุงแต่ง กับความคิดที่เป็นความคิดเชิงปัญญา ที่เรียกว่าสืบสาวหาเหตุปัจจัยเป็นต้น ความคิดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงแนะนำให้เราคิด ทรงแนะนำให้เราละเสีย ก็คือความคิดปรุงแต่ง ความคิดปรุงแต่งเป็นความคิดอะไร คือความคิดด้วยอำนาจความยินดียินร้ายชอบชัง หมายความว่า คนเราเนี่ยะ ได้ประสบอารมณ์ต่างๆที่เข้ามา ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เวลาประสบอารมณ์นั้น นอกจากการรับรู้แล้ว ก็จะมีสิ่งหนึ่งคือความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา สิ่งใดที่เข้ามาแล้วเป็นที่สบาย เราก็เรียกว่า เกิดสุขเวทนา อันใดที่ไม่สบายเราเรียกว่าเกิดทุกขเวทนา สิ่งทั้งหลายที่เรารับรู้ ทุกอย่างจะมีความรู้สึกประกอบอยู่ด้วย เวลาเราเห็นเราไม่ใช่เฉพาะว่า รูปร่างสีเขียวสีขาวสีดำสีแดง รูปร่างกลมยาวเหลี่ยมเท่านั้น เราไม่ใช่แค่นั้น ทุกครั้งที่เราได้ดูได้เห็นนั้นเรามีความรู้สึกด้วย คือมีความรู้สึกสบายไม่สบาย อันนี้แหละเป็นจุดสำคัญ.

ฉะนั้นความรู้สึกตัวนี้ ที่เรียกว่าเวทนา จะทำให้เราเกิดปฏิกิริยา ที่เรียกว่าความชอบหรือไม่ชอบ หรือยินดียินร้าย ภาษาพระเก่าเค้าเรียกว่ายินดียินร้าย. ถ้าเป็นสุขเวทนา สบาย เราก็มักจะชอบใจหรือยินดี ถ้าหากว่าเป็นทุกขเวทนา เราก็ไม่ชอบใจแล้วก็ยินร้าย โยมต้องแยกให้ได้ 2 ตอน ที่เรียกว่าสบายกับยินดี ที่ว่าสบายแล้วชอบใจเนี่ยะ คนละตอนกัน ตอนสบายเป็นเวทนา เป็นฝ่ายรับ ยังไม่ดีไม่ชั่วไม่กุศลไม่อกุศล สบายไม่สบายสุขทุกข์อันนี้ไม่เป็นกุศลอกุศล ยังเป็นกลางๆ เป็นเวทนา แต่เมื่อไรเกิดปฏิกิริยาว่าชอบหรือไม่ชอบ อันนี้เกิดตัณหาแล้ว ตัณหาอันนี้เป็นปฏิกิริยา เป็นสภาพจิตที่เป็นสังขารแล้ว ถ้าจากเวทนาเป็นสังขารแล้ว เวทนาสุขทุกข์สบายไม่สบาย เป็นเวทนา แต่ชอบใจไม่ชอบใจเป็นสังขาร พอเราเกิดสังขารชอบใจไม่ชอบใจก็เกิดตัณหาขึ้นมา ตัณหานี่เป็นสังขารด้วย ตอนนี้แหละ จากนี้แหละเราจะคิด ถ้าชอบใจเราก็จะคิดตามอำนาจความชอบใจ ถ้าไม่ชอบใจเราก็คิดตามอำนาจความไม่ชอบใจ ความคิดอย่างนี้เรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง จะเกิดความเอนเอียง จะเกิดปัญหากับจิตใจ จะมีตัวตนที่รับกระทบอย่างนั้นอย่างนี้.

แต่ถ้าเราคิดเชิงปัญญา คือพิจารณาว่า อะไรเกิดขึ้นจึงเป็นอย่างนี้ อันนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร สืบสาวหาเหตุปัจจัย อันนี้ไม่ใช่คิดปรุงแต่ง อันนี้เป็นการคิดเชิงปัญญา เป็นคิดสืบสาวตามหลักปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงคิดตอนที่ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นโยมต้องแยกให้ถูกว่าความคิดมี 2 แบบ เราไม่ควรจะคิดเชิงปรุงแต่ง เพราะว่าทำให้ 1) ไม่เกิดปัญญา ไม่เห็นตามเป็นจริง เห็นตามอำนาจการยินดียินร้าย เกิดความลำเอียงไปตามความชอบชัง 2) เกิดโทษต่อชีวิตจิตใจ ทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมองคับแคบบีบคั้นอะไรต่างๆ เป็นต้น อาตมายกมาพูดเพราะว่าเป็นคติที่เกี่ยวเนื่องกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า.

ทีนี้ ขอย้อนมาเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี่ ก็เข้าถึงสัจธรรมความจริง ที่อาตมาได้เคยพูดไปแล้ว บอกว่าในพุทธศาสนานี้ เรายึดถือตัวธรรม  คือว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่อะไร? ตรัสรู้อะไร? บอกแล้ว ตรัสรู้ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมดา คือ ธรรมะเป็นความจริงของสิ่งทั้งหลายตามธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้น สิ่งทั้งหลายก็ดำรงอยู่อย่างนั้นเอง พรพุทธเจ้าของเรานี้พระองค์มีปัญญา แล้วก็มารู้ค้นพบความจริงนั้น แล้วก็มาประกาศทำให้ปรากฏขึ้น อันนี้ที่จริงถือเป็นการปฏิวัติ เพราะโลกสมัยก่อน ความเชื่อถือของคนในยุคพุทธกาล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นนั้น ไม่ได้ถืออย่างนี้ เขาไม่ได้ถือตัวธรรมะ เขาไม่ได้ถือว่าสิ่งทั้งหลายนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เป็นกฎธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมดาของมัน แต่เขาถือว่า มันเป็นไปตามการดลบันดาลของเทพเจ้า มีเทพเจ้าอยู่เบื้องหลัง มีพระพรหมเป็นผู้ปรุงแต่ง ผู้สร้าง เรื่องนี้ก็เลยโยงมาหาเรื่องการประสูติด้วย.

เรื่องการประสูติกับการตรัสรู้นี้ มีความเกี่ยวเนื่องกันในตอนนี้ด้วย ก็ขอพูดย้อนมาถึงการประสูติอีกครั้งหนึ่ง วันนี้จะพูดโยงกันไปโยงกันมา เรื่องประสูติบ้างเรื่องตรัสรู้บ้าง ถ้ามีเวลาก็พูดไปถึงเรื่องประกาศปฐมเทศนาแล้วก็ปรินิพพาน เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูตินั้น มีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่ง ก็คือการที่ ตำนานเล่าว่า เจ้าชายสิทธัตถะองค์น้อยประสูติแล้วก็ ดำเนินไป 7 ก้าว บนดอกบัว แล้วก็ได้เปล่งอาสภิวาจา3 ว่า  “อัคโคหะมัสสะมิโลกัสสะ เชฏโฐหะมัสสะมิ โลกัสสะ เสฏโฐหะมัสสะมิโลกัสสะ” - แปลว่า เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นพี่ใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก

         3 https://dhamtara.com/?p=15386

อันนี้เรียกว่าวาจาอาจหาญ ภาษาบาลีเรียกว่า อาภิสวาจา วาจานี้มีความหมายอย่างไร? การประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ หมายถึงการเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าต่อไป ถ้าไม่มีเจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้น ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า การเกิดขึ้นของเจ้าชายสิทธัตถะนี้ เป็นเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ผู้นี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้า.

การเปล่งอาสภิวาจานี้ มีความหมายที่อาตมาถือว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของมนุษย์ ดเพราะอะไร? เพราะว่าก่อนหน้านี้ เพราะว่าก่อนหน้านี้ชาวชมพูทวีปนั้น ฝากโชคชะตาชีวิตไว้กับพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหลาย อย่างที่เคยเล่าให้โยมฟังแล้ว บอกว่า ชาวอินเดียนี้ เขาเชื่อมในพระพรหมว่าเป็นผู้สร้างโลก ปรุงแต่งทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตสังคมมนุษย์นี้แล้วแต่พระพรหมจะบันดาล ดเพราะฉะนั้นคนเกิดมาก็ต้องตกอยู่วรรณะ 4 ล่ะ เพราะว่าผู้เป็นเจ้าคือพระพรหมนี้จัดสรรสังคมมนุษย์ไว้เสร็จแล้วนี่ แบ่งมนุษย์ไว้ว่า พระองค์สร้างมนุษย์จำพวกหนึ่งขึ้นมา จากพระโอษฐ์คือปากของพระองค์ มนุษย์จำพวกนี้เกิดมาเรียกว่าพราหมณ์ สร้างมาจากปากพระพรหม แล้วพระองค์ก็สร้างมนุษย์จำพวกหนึ่งจากพระพาหาคือแขนของพระองค์ พวกนี้เกิดมาแล้วเป็นนักรบ เรียกว่าพวกกษัตริย์ แล้วพระองค์ก็สร้างมนุษย์จำพวกหนึ่งมาจากตะโพกของพระองค์ พวกนี้เดินเก่ง มาเป็นพ่อค้าพานิชย์ เที่ยวนำกองเกวียนไปค้าขายในที่ต่างๆ นี้เรียกว่าวรรณะแพทย์ แล้วพระองค์ก็สร้างมนุษย์จำพวกหนึ่งขึ้นมาจากพระบาทของพระองค์ เกิดมาเป็นพวกรับใช้เค้า เรียกว่าวรรณะศูทร.

เนี่ยะ พระผู้เป็นเจ้าสร้างมาเรียบร้อย กำหนดมาคนเกิดมาต้องอยู่ในวรรณะ 4 แล้วเกิดมาแล้วทุกคนก็ต้องอ้อนวอนเทพเจ้า ขอฝน เอาอกเอาใจ ให้พ้นภัยหรือให้ได้ลาภสักการะสิ่งที่ต้องการ เพราะฉะนั้นคนต่างๆก็เอาใจเทพเจ้า บวงสรวงอ้อนวอนกันไปกันมาไม่รู้จะทำไงให้เทพเจ้าพอใจเนี่ยะ คืออย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว มันไม่มีจุดกำหนดว่าแค่ไหนเทพเจ้าจะพอใจ เลยปรุงแต่งวิธีเอาอกเอาใจเทพเจ้าจนเป็นวิธีบูชายัญ บูชายัญกันไปกันมาพิธีบูชายัญก็ใหญ่โตขึ้น แล้วพราหมณ์เค้าเป็นเจ้าพิธีนี่ เค้าถือว่าเค้าเป็นผู้ติดต่อกับพระเจ้า เพราะว่าเป็นบุคคลพิเศษชั้นสูงสุดสร้างมาจากปากพระพรหม ว่ามีหน้าที่ที่จะมากล่าวสอนคนอื่น แล้วพระพรหมก็จะได้ถ่ายทอด ความรู้ สิ่งที่ต้องการ มาทางพวกพราหมณ์นี้ พราหมณ์พวกนี้ก็มาเที่ยวกำหนดให้ชาวบ้านทำพิธีต่างๆ ว่าจะต้องทำพิธีบูชายัญอย่างนู้นอย่างนี้ ประดิดประดอยพิธีบูชายัญจนกระทั่งว่า ในที่สุดก็ต้องฆ่าสัตว์ฆ่ามนุษย์บูชายัญ เอาอกเอาใจกันขนาดนั้น.

นี่แหละก็เป็นสภาพของมนุษย์ ในยุคพุทธกาล ตามอำนาจครอบงำของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีอิทธิพลมาในสังคมอินเดียมาจนกระทั่งบัดนี้ สังคมที่มอบความไว้วางใจไว้กับเทพเจ้า ฝากความหวังไว้กับการดลบันดาลของเทพเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ให้ดูงสังคมอินเดียเป็นตัวอย่าง ก็พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาก็มองเห็นสภาพอันนี้ พระองค์ก็เห็นว่าสังคมอย่างนี้ไปไม่รอด ชีวิตก็ไปไม่รอด คือคนมองแต่ไปข้างนอก คิดแต่ว่า เอ้อ พระเจ้าท่านจะว่ายังไง จะเอาอกเอาใจท่านยังไงดี แทนที่จะคิดว่าตัวเราจะต้องทำอะไร และเราจะต้องทำอะไรกับตัวเรา 2 อย่างนี้น่ะไม่คิดนะ เราจะต้องทำอะไร และเราจะต้องทำอะไรกับตัวเรา คนไม่คิดเลย คิดแต่ว่า เราจะไปเอาใจพระเจ้าอย่างไร เราจะไปขอท่านอย่างไร.

พระพุทธเจ้าก็เลยเสด็จอุบัติขึ้นมา แล้วที่อย่างอาตมาได้เล่าให้โยมฟังแล้ว พระพุทธเจ้าก็ดึงจากเทพสู่ธรรม คือชี้ให้มนุษย์ดูว่า นี่นะท่านทั้งหลาย อย่ามัวไปมองข้างนอก มองไปที่เทพเจ้า สิ่งทั้งหลายนั้นมันเป็นไปตามธรรมดา เหตุปัจจัยของมัน ผลเกิดจากเหตุ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการผลอะไร ที่เราต้องการ เราก็ทำเหตุเอา ศึกษาเหตุให้เข้าใจแล้วปฏิบัติตามเหตุนั้น ก็ให้ดูความจริง เมื่อดูความจริงตามเหตุปัจจัยแล้ว ก็เล็งมาที่ตัวเองว่าจะต้องทำอะไร เพราะว่าเราจะต้องทำเหตุเพื่อให้ได้ผลที่เราต้องการ เราจะต้องถามว่า เราจะต้องทำอะไร นอกจากทำอะไรแล้ว เพื่อให้เรารู้ เหตุปัจจัยที่จะต้องทำให้ถูกต้อง เราจะต้องทำอะไรกับตัวเราด้วย เราจะต้องทำตัวเองด้วยการพัฒนาตัวเอง ให้มีความสามารถมีสติปัญญา เพราะฉะนั้น หลักการของพระพุทธศาสนาจึงขอย้ำอีกทีว่า พระพุทธเจ้าจึงได้ชี้ไปที่ตัวธรรมะ คือความจริงของเหตุปัจจัย ของกฎธรรมชาติ แล้วในความจริงของกฏธรรมชาตินี้ ที่สัมพันธ์กับตัวมนุษย์ เหตุปัจจัยนั้นก็คือ การกระทำของเราเอง การกระทำเหตุปัจจัยของมนุษย์นั้นเรียกว่า กรรม จึงได้บอกว่า ภายในธรรมะนั้นก็จะมีกรรมะ ธรรมะนั้นเป็นกฎใหญ่ คือความจริงของกฎธรรมชาติ ความเป็นไปของเหตุปัจจัยทั้งหมด ส่วนกรรมนั้นก็คือ กฏเกณฑ์ในเหตุปัจจัย ในส่วนที่สัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์ที่มนุษย์จะต้องทำ.

แล้วก็กรรมนั้นต่างจากเรื่องของการดลบันดาล ถ้าเป็นการดลบันดาลของเทพเจ้า สิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือการอ้อนวอน น่ะคู่กัน การดลบันดาลของเทพเจ้าคู่กับการอ้อนวอน แต่การกระทำของมนุษย์ คู่กับการเพียรพยายาม การกระทำของมนุษย์คู่กับความเพียร เมื่อมนุษย์จะทำ มนุษย์ต้องเพียรพยายาม 2 อันนี้ หลักมันไปคนละทาง เทพก็ไปสู่การดลบันดาล และโยงมาหาการกระทำของมนุษย์คือการอ้อนวอน ส่วนหลักธรรมะนั้น โยงมาหามนุษย์คือกรรม และหลักกรรมก็โยงมาหาความเพียร.

เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนานั้น มีชื่อว่า กรรมะวาทะ และ วิริยาวาทะ พระพุทธเจ้านั้นได้พระนามว่า กรรมะวาที วิริยะวาที 2 อันนี้คู่กันเลย กรรมะวาที ผู้ประกาศหลักรรม และวิริยะวาที ผู้ประกาศหลักความเพียร 2 อย่างนี้คู่กันเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า ในคัมภีร์จะพูดไว้อย่างนี้ หลักกรรมต้องมากับความเพียร เพราะมนุษย์จะทำเหตุให้ได้ผล มนุษย์ต้องมีความเพียรพยายาม แต่ว่าการที่มนุษย์จะทำความเพียรได้สำเร็จผล มนุษย์จะต้องรู้เหตุปัจจัย เพราะว่าไอ้ตัวที่จะสำเร็จผลก็คือ กฎธรรมชาติคือตัวธรรม ฉะนั้นมนุษย์จะทำการได้ผลดี มนุษย์ต้องมีปัญญารู้ธรรม เมื่อปัญญามนุษย์จะรู้ธรรม มนุษย์ก็ต้องพัฒนาตน จึงบอกว่า ก็ต้องมีสิกขา การฝึกฝนพัฒนาที่ว่ามาแล้ว แต่ว่าพอว่ามนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่ฝึกได้พัฒนาได้ เป็นทัมมะ เป็น ท ทหาร อาตมาก็ทวนอีกครั้ง ก็เลยเป็นสัตว์ที่ว่า ฝึกได้เป็นทัมมะ จนกระทั่งเป็นธรรมะ ที่เป็น ธ ธง.

เราจะ ระลึกได้ว่าในพระนามพุทธคุณของพระพุทธเจ้า พระนามหนึ่งว่า อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ4  โยมสังเกตมั้ยว่าในอนุตตโร ปุริสทัมมสารถินั้น มีคำว่าทัมมะ ท ทหารอยู่ อันนี้คนไม่ค่อยดู

4https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CD%B9%D8%B5%DA%B5%E2%C3_%BB%D8%C3%D4%CA%B7%C1%DA%C1%CA%D2%C3%B6%D4&detail=on

ทัมมะ ท ทหาร นี้ล่ะตัวสำคัญแหละ พวกเราได้เป็น ทัมมะ ท ทหารด้วยทั้งนั้น เป็นสัตว์ที่จะต้องฝึกและฝึกได้ด้วย ความเก่งกล้าของเราอยู่นี่ ความประเสริฐของเราอยู่นี่ ในทัมมะ ท ทหาร ในพุทธคุณข้อว่า อนุตตโร ปรุสทัมมสารถิ พระพุทธเจ้าเป็นสารถี ฝึกคนที่จะต้องฝึก ไม่มีใครยิ่งกว่า หรือยอดเยี่ยม ก็คือ ฝึกมนุษย์ทั้งหลายนี่เอง เป็นสารถีก็คือว่า ฝึกให้เขาเดินทางที่ถูกต้อง สารถีนี้ฝึกให้สัตว์เดินทางไปทางที่ถูกต้อง นี้เราก็เป็น ทัมมะ ท ทหารนี้ ก็เราก็ฝึกตนเองไปจนกระทั่งว่าเราเข้าถึงธรรมะ ธ ธง ชีวิตก็สมบูรณ์ ธรรมะตัวนี้ก็กลายเป็นพุทธะ อย่างที่เคยพูดไว้แล้วในวันที่อยู่ที่พุทธคยานู่น อันนี้ก็ขอมาทวนย้ำอีกที.

         นี้ก็เป็นอันว่าที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตอนแรกเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้นเปล่งอาสภิวาจา ก็คือประกาศอิสรภาพของมนุษย์ ว่ามนุษย์นี่ อย่าไปมัวขึ้นต่อพระพรหม ไปหวังอำนาจดลบันดาล มัวแต่บูชายัญอยู่ ให้มามัวที่ตัวธรรมะ ตัวความจริง สัจธรรม ธรรมชาตินี้ ให้พัฒนาปัญญาของตนขึ้นมา พอพัฒนาปัญญาของตนขึ้นมา มนุษย์เข้าถึงธรรมะ หรือตัวความจริง มนุษย์ก็กลายเป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นพุทธะได้ ก็กลายเป็นผู้ที่แม้แต่เทวดาและพระพรหมจะเคารพบูชา อย่างที่เราได้เห็นพุทธพจน์อยู่บ่อยๆว่า อย่าง “มนุสฺสะภูตัง สัมพุทธัง อัตตะทันตัง สมาหิตัง เทวาปิ นัง นมัสสันติ” อาตมายกบ่อยคาถานี้ บอกว่า “พระสัมพุทธเจ้านี้ ทั้งที่เป็นมนุษย์นี่แหละ แต่ได้ฝึกฝนพัฒนาพระองค์แล้ว มีพระทัยอบรมถึงที่แล้ว แม้เทพทั้งหลายก็น้อมนมัสการ” อันนี้แหละเป็นคาถาที่จะมีบ่อยๆ คือให้กำลังใจมนุษย์ว่าเราเป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ถ้าเราฝึกแล้ว เราก็จะเป็นพุทธะ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ คืออย่าไปมัวหวังการอ้อนวอนบันดาลแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่ได้พิจารณาว่าตนเองจะต้องทำอะไร แล้วต้องทำอะไรกับตนเอง ถ้าเราทำตามหลักธรรมะนี้ เราก็จะได้มาคิดมาพิจารณาเหตุผลว่าเราต้องทำอะไร.

เรื่องของมนุษย์นี้ มันมีความเข้าใจอ่อนแออย่างหนึ่ง คือมีใจโน้มเอียงไปในทางที่จะไม่อยากที่จะเพียรพยายาม อยากจะพึ่งพาปัจจัยภายนอก มันง่ายดี อ้อนวอนมันง่ายดีกว่าจะทำความเพียรด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าหากไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ไม่มีหลักที่ให้กำลังเนี่ยะ เราจะเขวเรื่อยนะโยม ดังนั้นเราต้องมีพระรัตนตรัยไว้น่ะ ไม่งั้นคนทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องมีศรัทธาในพระพุทธเจ้าหรอก แต่มีศรัทธาก็เพื่อจะได้มีกำลังใจนี้ เราจะอยู่ในหลักได้ อย่างน้อยก็ดึงไว้อย่าให้เขวออกไป มิฉะนั้นแล้วเดี๋ยวก็เอาตามความอ่อนแอ เอาตามง่ายๆของตัวเองซะ หันไปหาการพึ่งพาปัจจัยภายนอก อำนาจดลบันดาลอยู่เรื่อย มันง่ายดี หลักพุทธศาสนาก็เป็นหลักให้มนุษย์เนี่ยะ ได้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ถ้าเรารู้จักใช้หลักคำสอนพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามอยู่เสมอแล้ว เราจะก้าวหน้า พัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักหยุดหย่อน ก็จะเป็นพุทธะได้เช่นเดียวกับพระองค์.

นี้ก็ขอพูดไปนิดหนึ่งว่า ที่ว่ามนุษย์เราเนี่ยะ มีความโน้มเอียงที่ ชอบที่จะหาสิ่งมาพึ่งพา ไม่ชอบพึ่งตนเอง อันนี้ สิ่งที่จะพึ่งพาให้เราอย่างน้อยก็สบายใจอยู่ง่ายๆ ไม่ต้องทำความเพียรน่ะ ก็ได้สิ่งกล่อมทั้งหลาย เวลาลำบากมีความทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่อยากจะเพียรพยายาม ก็ใช้สิ่งกล่อม คนเรานี้มีความโน้มเอียงที่จะอาศัยสิ่งกล่อม สิ่งกล่อมนี้อย่างเลวก็มีอย่างดีก็มี สิ่งกล่อมที่ร้ายก็เช่น สุรายาเมา สิ่งเสพติด ใช่มั๊ย? คนที่ไปเอาสิ่งกล่อมสุราเมรัยสิ่งเสพติดก็เพราะว่า ใจไม่เข้มแข็งพอ ไม่อยากสู้ชีวิต ไม่อยากเพียรพยายาม หาทางออกด้วยการเอาสิ่งกล่อมมาช่วย มันก็ทำให้เพลินๆไป ก็อยู่ไปได้ แต่ว่ามีจุดอ่อน ในสิ่งกล่อมทั้งหลายนี้มีจุดอ่อนสำคัญ คือมันจะทำให้มนุษย์หยุดชะงักไม่พัฒนาตนเอง ขอให้ดูเหอะ สิ่งกล่อมไม่ว่าอย่างใดทั้งสิ้นเนี่ยะ ทำให้มนุษย์หยุดการพัฒนาตัวเอง เพลินอยู่กับจุดนั้น จมอยู่ในสิ่งที่กล่อม อยู่ในจุดนั้น สบายพออยู่ได้.

อันที่หนึ่งก็คือเครื่องกล่อม อ้อ แล้วลักษณะที่สองก็คือไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่มีความสว่างแห่งปัญญา ไม่มีปัญญาและไม่พัฒนาตนต่อไป เขาก็เพลินอยู่กับสิ่งนั้น ฉะนั้นสิ่งกล่อมที่ร้ายก็คือพวกยาเสพติดสุรายาเมา อันนี้โยมเห็นชัด ใช่มั๊ย? เขาก็สบายเพลินไปพอว่า พ้นเวลานั้นไปทีหนึ่ง ให้อยู่กับ อย่างน้อยก็มากลบความทุกข์ไว้ แต่ว่าไม่แก้ปัญหาให้มันหมดสิ้นไป ทีนี้สิ่งกล่อมที่ดีกว่านั้นก็อย่างพวกดนตรี วรรณคดีอะไรต่างๆพอให้มันเพลินๆ พวกสิ่งเหล่านี้มันประณีตขึ้นมา ถ้ารู้จักใช้ก็อาจจะเป็นประโยชน์ อย่างในทางพุทธศาสนา ดนตรีนี่ท่านใช้เหมือนกันนะโยม แต่ขออย่างเดียวต้องมีสติ คือในระดับศีล 5 จะไม่ว่าอะไรเลย เพราะว่าอย่างน้อยถ้ามันกล่อมแล้วช่วยดึงไว้ ไม่ให้หลงไปในสิ่งเลวร้าย ยังหลงอยู่ในสิ่งที่ดีก็ยังดีกว่าหลงไปในสิ่งที่ร้าย หลงในกุศลก็ยังดีกว่าหลงในอกุศล หลงในบุญก็ยังดีกว่าหลงในบาป เพราะเช่นนั้นพวกดนตรีวรรณคดีนี่ ก็อาจจะกล่อมคนไว้ในสิ่งที่ดีในบุญในกุศล แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า พอกล่อมไว้แล้วก็รีบหาสิ่งที่ดีมาให้ในระหว่างนั้น ในขณะที่ใจของเขาเนี่ยะ พอจะสงบความกระวนกระวายลงได้ ก็รีบเอาสิ่งที่ดีมาให้ เช่นอย่างในวรรณคดีนี่อ่านเพลินๆ แล้วเราเอาคติธรรมเป็นกำลัง ใส่เข้าไปเขาก็ได้ประโยชน์.

ดนตรีนี่ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าเคยแต่งดนตรีให้มานพนะ เจริญพร เอาไปร้อง เอาไปเกี้ยวสาว และดนตรีเป็นพระสูตรหนึ่งก็มี พระสูตรในพระไตรปิฎกนั้นเป็นพระสูตรดนตรีเลย เป็นเทพบุตร แกก็เอาดนตรีนี้ไปเกี้ยวแฟนแก ในดนตรีนี้ก็พรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วยความซาบซึ้ง อะไรต่างๆ ดนตรีที่กล่อมนี้ถ้าเราใช้สิ่งที่ดีงามเข้ามา เช่นธรรมะ ก็เป็นเครื่องดึงจิตใจของคนเนี่ยะ ให้มาสู่สิ่งที่ประณีตงดงามยิ่งขึ้น เป็นจุดเชื่อมต่อ ดึงจากสิ่งร้ายมาสู่สิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นก็ใช้ประโยชน์ได้.

เพราะฉะนั้นสิ่งที่กล่อมนี้ ก็ขออย่างเดียว อย่าให้ตัวหลงปนอยู่ เพราะผู้ที่ใช้ต้องมีอุบาย คือมีสติปัญญา แล้วก็ใช้เป็นเครื่องมือดึงเขาขึ้นมาสู่สิ่งที่ดีงาม.

ทีนี้สิ่งที่กล่อมต่อไปก็คือ นี่แหละ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้า อำนาจดลบันดาล นั้นคนเรานี่ก็เกิดทุกข์ภัยพิบัติ มีความเดือดร้อน ก็หวังพี่งเทพเจ้า ว่าวันนั้นท่านจะมาช่วย ก็สบายไปใช่มั๊ยโยม? นะ มันก็กล่อมใจตัวเองได้ แต่ทีนี้มันจะมีพิษมีภัยยังไง? ถ้าตัวเองมัวแต่เชื่อยังงั้น ก็นอนงอมืองอเท้าสิ ใช่มั๊ย? อะไรต่อมิอะไรที่ควรจะแก้จะไขก็ไม่ต้องทำ ก็เลยแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็อยู่สบายไปวันๆหนึ่ง มนุษย์จำนวนมากก็อยู่ในสิ่งกล่อมพวกนี้ คืออยู่ด้วยความหวัง ว่าวันหนึ่งเทพเจ้าท่านจะมาช่วย อย่างของอินเดียเนี่ยะ เทพเจ้าเยอะแยะหมดเลย แล้วก็เทพนิยายว่าเทพเจ้านี้ท่านเก่ง แหมองค์นั้นท่านเก่งอย่างงี้อย่างงั้น ยกทัพไป มีอิทธิฤทธิ์แผลงฤทธิ์ได้อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างน้อยพวกประชาชนที่ฟังเทพนิยายเหล่านี้ มีความตื่นเต้นในฤทธิ์ของเทพเจ้า ก็ชื่นบานสบายใจไปทีหนึ่งนะ พอจะให้ลืมสภาพแวดล้อมที่มาบีบคั้นตัวเองไปได้ ใช่มั๊ย? เป็นอย่างงั้น แล้วเขาก็ตื่นเต้นไปกับเรื่องฤทธิ์ของเทพเจ้า ก็กล่อมใจตัวเองสบายไปทีหนึ่ง.

อย่างพวกฝรั่ง อย่างลัทธิคอมมิวนิสต์เนี่ยะ มาเห็นศาสนาแบบนี้ก็เลยเรียกว่าเป็นยาฝิ่นไป แต่พุทธศาสนาไม่ใช่อย่างนั้น พวกคอมมิวนิสต์นี้ไม่รู้จักพุทธศาสนา ก็เลยไปเห็นแต่ศาสนาแบบนี้ก็เลยไปหาว่าเป็นฝิ่นไป ก็กล่อมกันแบบนี้แกก็ไม่ต้องทำอะไรล่ะ ไม่ต้องเพียรพยายาม ปัญหาก็หมักหมมเข้าไปทุกที เรื่องของการกล่อมนี่ก็ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ทีเดียว เรื่องการกล่อมด้วยเรื่องการเชื่อในอิทธิฤทธิ์การดลบันดาลของเทพเจ้า.

ทีนี้บางศาสนาก็ต้องเอาสิ่งเหล่านี้มากล่อมแล้วใช้อุบายเข้าไปช่วย ใช้อุบายยังไง บอกว่าให้แกหวังไว้ เทพเจ้าจะมาช่วย เช่นบอกว่า จะให้แผ่นดินแห่งสัญญานะ แต่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร ระหว่างนี้แกต้องช่วยตัวเองไปก่อน ว่างั้นนะ กล่อมแบบนี้ก็หมายความว่า เอ้อ ให้มีความหวังไว้ แล้วต่อไปวันหน้าจะมาช่วยนะ ตอนนี้ต้องช่วยตัวเองไปก่อน แล้วอย่างบางศาสนาก็สอนว่า พระเจ้าจะช่วยแต่คนที่ช่วยตัวเอง ใช่มั๊ย? อา เสร็จแล้วก็กล่อมไว้ส่วนหนึ่ง แต่ว่าเสร็จแล้วก็ต้องมาบังคับเอาว่า พวกเธอต้องช่วยตัวเอง ก็มันก็เป็นอุบายไป ก็ทำให้คน ในที่สุดก็หนีไม่พ้น ก็คือคนต้องเพียรพยายามด้วยตนเอง นี้ก็คือการกล่อม.

แต่นี้การกล่อมอีกอย่างหนึ่ง ชาวพุทธเองนี่ต้องระวัง ชาวพุทธไปปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมไป บางทีก็มากล่อมตัวเองด้วยธรรมะที่ลึกซึ้งลงไปอีก คือสมาธินี่แหละ เจริญพร ปฏิบัติธรรมไปเราบอกว่าทำให้เกิดสมาธิ สมาธินี่ เป็นธรรมะระดับปรุงแต่งนะโยมนะ คือพระพุทธเจ้าไม่ห้ามในการปรุงแต่งเนี่ยะ ปรุงแต่งเป็นนี้ก็ดีเป็นประโยชน์ มนุษย์เราอยู่ด้วยการปรุงแต่งนี้มาก แต่ว่าให้ปรุงแต่งให้ดี.

เมื่อกี้นี้อาตมาได้พูดแล้วว่า การคิดมี 2 อย่าง คือการคิดปรุงแต่งกับการคิดเชิงปัญญา เช่น สืบสาวหาเหตุปัจจัย ทีนี้ในการคิดแบบปรุงแต่งนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเสียอย่างเดียว ที่ดีก็มี คือการคิดปรุงแต่งกุศลขึ้นมา การคิดเชิงปัญญานั้นเป็นเรื่องวิปัสสนา แต่การคิดเชิงปรุงแต่งที่เป็นตัวร้าย ท่านเรียกเป็นภาษาพระว่า อปุญญาภิสังขาร5 ปรุงแต่งใจให้เป็นทุกข์ บีบคั้นใจตัวเอง ปรุงแต่ง

         5https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%BB%D8%AD%AD%D2%C0%D4%CA%D1%A7%A2%D2%C3

ความโลภ ความโกรธ เห็นอารมณ์ที่ไม่สบายตาแล้วเกิดความชัง เกิดความยินร้าย เกิดความไม่สบายใจ เก็บเอาสิ่งโน้น ถ้อยคำคนนี้ มาคิดมาปรุงแต่ง ทำให้ใจเองมีความทุกข์ ปรุงแต่งความกลุ้มความกังวลอะไรต่างๆเหล่านี้ เรียกว่าปรุงแต่อกุศล เป็น อปุญญาภิสังขาร.

ทีนี้ปรุงแต่งดี ปรุงแต่งเป็นบุญ ปรุงแต่งเป็นความสุข ทำให้ใจสบาย เค้าเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร มนุษย์เรานี่อยู่ในระดับของปุถุชน หนีไม่พันการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปติเตียนการปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง ให้ปรุงแต่งดีเถิด ปรุงแต่งเป็นบุญเป็นกุศล ทำใจให้มีสุข ปรุงแต่งให้สบาย ปรุงแต่งความดี ท่านไม่ว่า เป็นปุญญาภิสังขาร แม้กระทั่งเจริญสมาธิได้ ก็ยังเป็นอภิสังขารปรุงแต่งอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งถึงอรูปฌาน6ยังเป็นอเนญชาภิสังขาร7 ไม่พ้นการปรุงแต่ง.

6 https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=207

7https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%BB%D8%AD%AD%D2%C0%D4%CA%D1%A7%A2%D2%C3

เพราะฉะนั้น สมาธิ ที่เราบำเพ็ญกันเนี่ยะ อย่าว่าสมาธิธรรมดาเล็กน้อยเลย สมาธิขนาดอรูปฌาน ได้สมาบัติสมบูรณ์แล้ว ก็ยังเป็นปรุงแต่งอยู่ เป็นอเนญชาภิสังขาร ในการปรุงแต่งอย่างนี้ก้ทำให้จิตพัฒนาไปด้วยดี แต่ว่าก็ต้องระวัง ต้องมีสติอยู่เสมอ ถ้ามิฉะนั้นแล้ว มันก็เป็นการกล่อม สมาธินี้ในเมื่อมันเป็นการปรุงแต่ง เราก็มาใช้เป็นเครื่องกล่อมจิตใจได้ ฉะนั้นคนที่บำเพ็ญสมาธิไปได้เนี่ยะ อาจจะเพลินในสมาธินั้นบ่อยๆ เพลินที่นี้พอได้สมาธิเค้าก็สบาย ก็ติดเพลินแล้ว หายทุกข์หายร้อน หลบปัญหา มีปัญหาอะไรต่ออะไรขึ้นเราก็มานั่งสมาธิใจสบาย มีความสุขเพลิดเพลินติดในความสุขนั้น นี่กล่อมเหมือนกันนะ กล่อมด้วยสมาธิ เป็นโยคีแบบพวกฤาษีดาบสก่อนพุทธกาลนั้น ได้ฌานสมาบัติแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วย เขาได้สมาธิกันสูงแล้วนะก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติเนี่ยะ

โยคีในอินเดียนี่ เราก็เรียนพุทธประวัติมาแล้ว อาฬารดาบสกามาโคตรได้อรูปฌานถึงขั้น อากิญจัญญายตนะ8 แล้วท่านอุทกกดาบสลามบุตร สูงกว่านั้น ได้อรูปฌานถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ9 จบสมาบัติ 8 เลย พระพุทธเจ้าไปเรียนกับเขาจนกระทั่ง ทำได้จบ เขาเชิญให้เป็น

8https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CD%D2%A1%D4%AD%A8%D1%AD%AD%D2%C2%B5%B9&detail=on

9 https://www.dhammahome.com/webboard/topic7948.html

อาจารย์ร่วมสำนัก พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่ทาง ใช่มั๊ย? ก็เสด็จหลีกไป นี่แหละ เราอย่าไปเพลินว่าสมาธินี่ดีนะ ดีนั้นดีแน่ ต้องใช้ให้ถูก ถ้าใช้ไม่เป็นก็ได้แค่เป็นสิ่งกล่อม แล้วเราก็จะหนีปัญหา กิเลสก็ไม่หมดไป ปัญหาก็ไม่หมดไป ทุกข์ก็ไม่หมดไป ตราบใดอยู่ในสมาธิก็สบายไป นั่นก็เพราะเป็นสิ่งกล่อม ก็กล่อมใจตัวเองด้วยสมาธิ.

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายนี้ต้องพิจารณาให้ดี มีทั้งคุณและโทษ

สมาธินี้ท่านยังบอกไว้ มีอัสสาทะ10 คือมีส่วนดีอย่างไร มีอาทีนวะ11 โทษส่วนเสียอย่างไร แล้วก็มี   

         10https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%D1%CA%CA%D2%B7%D0&detail=on

         11http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=58850&view=unread

นิสรณะ12ทางออกอย่างไร อาทีนวะโทษของสมาธิ คือทำให้เกิดโกสัชชะ13 ความเกียจคร้าน สมาธิ

         12 http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=58860

         13 http://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=666

นั้น เป็นธรรมสำคัญมาก ตัวมันเองเป็นกุศล แต่มันสามารถเป็นปัจจัยแก่อกุศลได้ ปัจจัยตัวร้ายคือทำให้เกิดโกสัชชะ ความเกียจคร้าน แล้วก็กล่อมใจตัวเองสบาย ปัญหาที่แท้จริงไม่แก้ เพราะฉะนั้นกิเลสไม่หมด ทุกข์ไม่หมด ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลีกไปจากสำนักของพวกดาบส อาฬดาบส อุทกกดาบส เพราะว่าอันนี้ยังไม่ใช่ วิธีปฏิบัติที่สมบูรณ์ แต่พระองค์ก็ใช้สมาธิ คือใช้เป็นบาท เพราะสภาพจิตที่เป็นสมาธินั้น หนึ่งมีกำลัง สองทำให้จิตใส สามทำให้จิตสงบ อันที่สามเนี่ยะ ทำให้คนติดมาก คือคุณสมบัติของจิตที่เป็นสมาธิสามอย่าง อาตมาทวนอีกที หนึ่งเป็นทำให้เกิดพลัง คือพระพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า เหมือนคนที่ขึ้นไปยอดเขา เอาน้ำไปถังใหญ่หนึ่ง สาดโครมลงไป ไม่มีทิศมีทาง น้ำกระจายทั้งถังก็หายเรียบหมด ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเทน้ำถังเดียวกันนั้นลงในร่องในราง น้ำไหลไปทางเดียวมีกำลังมาก สามารถพัดพาสิ่งที่ขวางหน้าเช่น กิ่งไม้ ไปได้ เหมือนกับจิตผู้ทำสมาธิพุ่งไปทางเดียว มีกำลัง แน่วแน่ ก็มีพลังมาก คุณสมบัติของจิตที่เป็นสมาธิประการที่หนึ่ง.

         สอง จิตที่เป็นสมาธินั้นใส เหมือนอย่างน้ำที่เอามาจากบ่อจากสระ มีฝุ่นมีละอองมีดินละลายปนอยู่ ก็ข้นก็คลั่ก มองไม่เห็นอะไรเลย เอาไปตั้งไว้ในที่ที่นิ่งสนิท ไม่มีลมพัดไหว สถานที่นั้นก็มั่นคง ตั้งไว้ไม่นาน ตะกอนก็ตกอยู่ก้นหมด น้ำก็ใสแจ๋ว มีอะไรในน้ำก็มองเห็น เหมือนกับจิตของเรา มันพล่านอยู่ด้วยอารมณ์ต่างๆมากมาย มันก็บังกันเอง พอเราทำเป็นสมาธิ มันเหลืออารมณ์เดียว ไอ้เจ้าตัวอื่นตกตะกอนหมด มันไม่มีตัวอะไรบัง เราก็มองเห็นสิ่งนั้นชัดเจน เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นสมาธิก็เอื้อต่อปัญญา ทำให้มองเห็นตามเป็นจริงที่บอกว่า สมาธิโต ยถาภูตํ ปชานาติ แปลว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมมีปัญญารู้เห็นตามเป็นจริง แต่ไม่ใช่ว่าเกิดสมาธิแล้วเกิดปัญญาเองนะ หลายคนเข้าใจผิด ไม่ยังงั้นแล้วอาฬารดาบส อุทกกดาบส แกก็รู้แจ้งสัจธรรมหมดสิ ก็แกได้ฌานสมาธิถึงอรูปฌาน ไปเข้าใจว่า ได้สมาธิแล้วจะเกิดปัญญาเอง จิตที่เป็นสมาธิเอื้อต่อการเกิดปัญญา ไม่ใช่หมายความว่าทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาเอง.

ปัญญาเกิดจากสมาธิได้เพราะ หนึ่ง เราคิดอยู่แล้ว เราคิดปัญหาต่างๆ มองพยายาม มองเพ่งพินิจมัน แต่ว่ามันบังกันอารมณ์นู้นอารมณ์นี้ ไม่เห็นซักทีพอสมาธิมา ไอ้สิ่งที่เราคิดอยู่นั้นมันก็เลยชัดขึ้นมา เป็นเพราะเราคิดใช้ปัญญาอยู่แล้ว

สองก็คือว่า เราใช้จิตที่ใสเป็นสมาธินั้นไปพิจารณาธรรมะ ไปมองสิ่งต่างๆที่เรา สิ่งที่เรามองก็เห็น เหมือนกับน้ำที่ใส มันเอื้อต่อการเห็นแต่เราไม่มองก็ไม่เห็นนะโยม น้ำที่ใสนั้นเอื้อต่อการเห็น ไม่ได้หมายความว่ามันจะเห็นขึ้นมา มันต้องมองอีกทีหนึ่ง ต้องใช้ตาปัญญามองจึงเห็น เพราะเช่นนั้น นี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสมาธิกับปัญญา อันนี้ก็สอง คือว่าสภาพจิตที่เป็นสมาธิแล้วมันใสเอื้อต่อการเห็นด้วยปัญญา.

         ทีนี้ต่อไปประการที่สาม จิตที่เป็นสมาธินั้น อารมณ์ต่างๆที่เข้ากระทบกระทั่งรบกวนมันสงบหมด เพราะฉะนั้นจิตมันสบาย ไม่มีอะไรพลุ่งพล่าน ไม่มีอะไรรบกวน ไม่ทุรนทุราย ไม่กระวนกระวาย เมื่อไม่มีอะไรกวนจิตมันก็สงบ มันก็มีความสุข อันที่สามเนี่ยะ ถ้าใช้ไม่เป็น ติดเลย แล้วใช้เป็นเครื่องกล่อม.

ทีนี้สิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการใช้มากที่สุด จากประโยชน์ของสมาธิ คืออันที่สอง อันที่สองคือจิตที่ใส เป็นสมาธิ เอื้อต่อการใช้ปัญญา เอื้อต่อการมองเห็นด้วยปัญญา แล้วเอาอันที่หนึ่งกับอันที่สามมาช่วย ทำให้จิตนั้นมีกำลังอีก ก็ใช้ปัญญาแล้วจิตมีกำลังด้วย ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปใหญ่ แล้วมันสงบด้วย ไม่มีอะไรมากวน การใช้ปัญญานั้นก็ยิ่งได้ผล.

เพราะฉะนั้นลักษณะสมาธิสามอย่างนี้ จะต้องใช้ให้ถูกต้อง เมื่อใดเรารู้ธรรมะแจ้งแล้ว เราใช้ประโยชน์จากอันที่สามได้เต็มที่ อย่างพระพุทธเจ้า ตรัสรู้สมบูรณ์แล้ว พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์ จากสมาธิในแง่ที่สองที่ต้องใช้ปัญญา เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เพราะเช่นนั้นพระพุทธเจ้าเสด็จไปบำเพ็ญพุทธกิจมา เสร็จพระองค์ก็มาพักผ่อนด้วย ทิฏฐธรรมสุขวิหาร14 การ

         14 https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=184

เข้าฌาน ฌานทั้ง 4 นั้นเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร แปลว่า ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน สำหกรับพักผ่อน ก็ใช้ในความหมายที่สาม.

แต่พระพุทธเจ้าทรงหลุดพ้นจากกิเลสหมดแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงติดเพลินสมาธินั้น และไม่มีทางที่ทรงประมาท สำหรับเราทั่วไปยังต้องระวัง ถ้าติดเพลิน ใช้สมาธิเป็นตัวกล่อม ก็จะกลายเป็นเครื่องฉุดดึงตัวเองไว้ ทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรม ขัดขวางต่อการพัฒนา อาตมาก็บอกแต่ต้นแล้วว่า ตัวกล่อมนี้ ข้อเสียของมันก็คือ มันทำให้หยุดการพัฒนา มันทำให้เราหยุดอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไป ฉะนั้นชาวพุทธหยุดไม่ได้ ต้องก้าวต่อไปตลอด อันนี้ก็เป็นอันหนึ่ง.

ทีนี้ขอย้อนกลับมาถึงพูดถึงเรื่องของการกล่อมด้วยการอ้อนวอนเทพเจ้า เมื่อกี้นี้เราบอกว่าเป็นการกล่อมนะ คนจำนวนมากก็กล่อมใจตัวเองด้วยเรื่องนี้ จนกระทั่งศาสนาที่ มนุษย์เห็นว่ามนุษย์อยู่ในระดับการพัฒนาแค่นี้ก็ต้องใช้อุบาย ที่ว่าทำยังไงที่ให้มนุษย์นี่ต้องเพียรทำความพยายามเองบ้าง ไม่ใช่รอคอยเทพเจ้า นั่งงอมืองอเท้าอย่างเดียว อันนั้นก็แล้วแต่วิธีการของศาสนานั้นๆ แต่พุทธศาสนานี้ท่านไม่ให้มัวหวังอ้อนวอน นอนรอคอยการดลบันดาลอย่างนั้น.

อันนี้มันมีแง่คิดแทรกเข้ามาตอนหนึ่งก็คือว่า บางทีการอ้อนวอนไม่ใช่ไร้ผลเลยนะโยม เอาล่ะสิ เอ้ เดี๋ยวโยมก็จะบอกว่า เอ้ ชักจะมาหนุนให้อ้อนวอนละ อันนี้มันเป็นเรื่องของสัจธรรม เรื่องของกฎธรรมชาติ เรามาวิเคราะหก์กัน คือการอ้อนวอนนี้ไม่ใช่ไร้ผลทีเดียว แต่ว่ามันมีอะไรแฝงอยู่ การอ้อนวอนนั้น โดยตัวมันเองนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ให้ผลหรอก แต่ในการอ้อนวอนนั้นมันได้ทำให้เกิดสภาพจิตอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นผลพลอยได้โดยไม่รู้ตัว พวกที่อ้อนวอนนั้นทำไปโดยไม่รู้ตัว แต่มันได้ผลอันนี้ ทำไมเราถึงบอกว่าบางครั้งมันได้ผล สิ่งที่มันแฝงมาโดยไม่รู้ตัวก็คือ สภาพจิต  เมื่อมีการอ้อนวอนนั้นมันทำให้เกิดแรงความมุ่งหวัง แรงความมุ่งหวังนั้นทำให้จิตแน่วมุ่งไป แล้วมีพลังขึ้นมาในแนวของสมาธินั่นเอง จิตเมื่ออ้อนวอนนั้น เมื่อความตั้งใจความปรารถนามันเล็ง มันก็พุ่งดิ่งไปทางเดียว จิตก็ตั้งมั่น จิตที่ตั้งมั่นอันนี้แหละมันเป็นคุณประโยชน์ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จักอ้อนวอนซะเลย บางทีบอกว่าตัวเองมีปัญญา แต่เป็นคนที่พร่า จิตนี้ไม่เอาไหน คือจับจด คนบ้างคนนี่เป็นคนที่บอกว่าตัวเองใช้ปัญญามาก ใช้ปัญญามาก แต่จิตจับจด เมื่อจิตจับจดไม่เอาอะไรลงแน่นอนแล้ว ทำอะไรก็ไม่ได้ผล.

แล้วเรื่องความแน่วแน่มั่นคงของจิตใจนี้สำคัญมากนะ มันลงในระดับจิตที่ไม่รู้ตัวของเราเลย จิตที่ทำงานสำคัญส่วนใหญ่ของเรานี้ เป็นจิตส่วนที่ไม่รู้ตัว ภวังคจิตนี้เป็นตัวแห่งภพนะ ความสำเร็จแห่งกรรมนี่ ไม่ได้อยู่ในระดับจิตสำนึกนะ มันอยู่ระดับภวังค์นั้นเลย กรรมของเรานี้สั่งสมสำเร็จขึ้นมาในจิตที่เป็นภวังค์ จิตที่เป็นภวังค์นี้เราไม่รู้ตัวเลย เพราะฉะนั้นการกระทำหลายนี้มันเป็นไปเนี่ยะ เราไม่รู้ตัวหรอก เราได้กระทำมันไปเอง โดยการดำเนินชีวิตประจำวันบ้าง โดยความเชื่อบ้าง โดยอะไรต่างๆ ชักพาให้เป็นไป แต่ถ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องของมนุษย์ที่อยู่ในอวิชชา อยู่ในโมหะ ทำการต่างๆได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง มันเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ขึ้นมาบ้าง เรียกว่า มันเป็นไปโดยไม่รู้ตัว คือว่ามันพอดี มันจะจำเพาะมันไปถูกจังหวะเข้า มันไปถูกจุดเข้า มันเลยได้ผล.

ทีนี้พระพุทธเจ้าให้คนเราพัฒนาเนี่ยะ ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อทำการต่างๆได้ผลด้วยปัญญา ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยการเห็นจริง บังคับบัญชามันได้ ไม่ใช่ว่าไปทำไปพอดีตรงเข้ามันก็เลยได้ผลขึ้นมา นี้สำหรับการอ้อนวอนนี้เป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีอวิชชา แต่ว่าสภาพจิตนี้มันได้อันหนึ่งก็คือว่า สภาพจิตที่เกิดแรงความมุ่งหวัง ที่ทำให้เกิดความแน่วแน่และความพุ่งดิ่ง แล้วก็ทำให้จิตนี้ ในระดับของความไม่รู้ตัว ที่เป็นภวังค์เนี่ยะ มันมุ่ง มันทำงานมุ่งไปในสิ่งเหล่านั้น มันจับมุ่งอยู่กับอันนั้นน่ะ แล้วมันก็นำไปสู่ผลที่ต้องการ แม้แต่ตนเองไม่รู้ตัว ฉะนั้นการอ้อนวอนในบางกรณีจึงได้ผล.

ในทางพุทธศาสนาท่านเราหลักนี้ มาแยกออก แล้วเอาสิ่งที่ใช้ประโยชน์ ที่จะสัมพันธ์กับการพัฒนามนุษย์ ในทางของหลักกรรมขึ้นมา พุทธศาสนิกชนเมื่อยังอยู่ในระดับนี้ ยังไม่ถึงกับตรัสรู้ เรายังยอมรับความเป็นปุถุชนอยู่ อย่างน้อยก็ควรจะใช้หลักนี้ให้เป็นประโยชน์ พระพุทธศาสนาท่านแยกอันนี้ออกมาให้เราแล้ว แต่บางทีเราก็แยกไม่ออก เราก็ยังวุ่นอยู่.

จากระบบการอ้อนวอนที่บางทีมันได้ผลนั่นน่ะ มันมีแก่นแท้ อันนั้นก็คือ ตัวความมุ่งหวัง ใฝ่ปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่ทำให้จิตมันรวมเป็นพุ่งดิ่งลงมา อันนี้ท่านเอาออกมาใช้ ท่านเรียกว่าอธิษฐาน ในทางพุทธศาสนานั้นเอาอันนี้ออกมา และให้ชาวพุทธใช้ได้ ท่านเรียกว่าอธิษฐาน แต่ชาวพุทธแยกไม่ออกอีกแหละ ทั้งๆที่ให้แล้วว่า อธิษฐานนี้นะ กลับเอาอธิษฐานนี่ไปปนความหมายของอ้อนวอนอีกตามเคย แยกไม่ออกนะ หลายท่านแยกไม่ออกว่า อธิษฐานต่างจากอ้อนวอนอย่างไร? (ผู้ฟังถาม) สัตยาธิษฐาน ก็เป็นอธิษฐานแบบหนึ่ง เป็นวิทยาธิษฐาน แต่ทีนี้คำว่าอธิษฐานนี้กว้างกว่า.

เอาละ ทีนี้มาดูคำว่าอธิษฐานอีกที แต่ตอนนี้อาตมาต้องการจะพูดให้แยกออกได้ก่อน ว่าในทางพุทธศาสนานั้น ท่านเอาตัวแกนที่มันจะใช้ได้ออกมา คือตัวอธิษฐาน และให้ชาวพุทธนำไปใช้ได้. อธิษฐานนี้แปลว่า ความตั้งมั่น หมายถึงว่า ตั้งใจเด็ดเดี่ยว คนเราจะทำอะไรต้องมีจุดหมาย แม้แต่กุศลธรรมนี้ สิ่งที่ดีงามนั้น ไม่ใช่ว่าเราทำได้ทีเดียวทั้งหมด เราทำทั้งปีทั้งชาติเราทำไม่ไหว ใช่มั๊ยโยม? อย่าว่าแต่ปีสองปีหรือเดือนสองเดือนเลย ตลอดชาตินี่เราจะทำกุศลหรือความดีทุกอย่างนี้มันทำไม่ไหว ไม่ต้องพวกเราหรอก แม้แต่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี่จะบำเพ็ญความดีนี้บางทีทั้งชาติทำได้ข้อเดียวนะที่ถึง ไม่ใช่ว่าข้ออื่นไม่ทำ ข้ออื่นก็ทำเหมือนกันแต่ว่าต้องมีข้อเด่น ซักข้อสองข้อ. เพราะฉะนั้นในการเป็นพระโพธิสัตว์ ชาติหนึ่งๆจะต้องมีจุดสำคัญ การทำดีต้องมีเป้าหมาย ว่าจะทำความดีอันไหนให้เป็นพิเศษ เราต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาก่อน ว่าอันนี้นะควรจะทำ อันนี้ดีแน่เราควรจะทำอันนี้ เมื่อมั่นใจกับตัวเองแล้วก็อธิษฐานจิต อธิษฐานจิตก็คือตั้งใจเด็ดเดี่ยวมั่นลงไปว่าจะเอาอันนี้.

การตั้งใจเด็ดเดี่ยวนี้ หนึ่งต่อคุณธรรมความดีหรือกุศลธรรมบางอย่างที่ต้องการจะทำ อีกอย่างหนึ่งคือความตั้งใจเด็ดเดี่ยวต่อจุดมุ่งหมายนั้นๆ สองอย่างนะเจริญพร หนึ่งตั้งใจเด็ดเดี่ยวต่อกุศลธรรมบางอย่างที่จะทำ นี้ส่วนที่ต้องทำ อีกอย่างหนึ่งคือ ต่อจุดมุ่งหมาย หมายความว่าเรามีจุดมุ่งหมายที่ดีงามว่า เราจะต้องไปให้ถึงสิ่งนั้นให้ได้ แล้วเราก็อธิษฐานจิต. การอธิษฐานจิตนี้เป็นการทำให้จิตของเราพุ่งตรงดิ่งไปสู่เป้าหมายอันนั้น มันจะเป็นตัวสะสมลงไปแม้กระทั่งในภวังคจิตเลย แล้วภวังคจิตมันก็จะทำงานให้เรา ที่จะชักจูงเรา วิถีชีวิตของเรา แม้แต่ไม่รู้ตัวให้หันเหเข้าไปหาสิ่งนั้น.

สิ่งแวดล้อมที่เราเกี่ยวข้องเนี่ยะ เวลาเราเข้าไปสัมพันธ์เนี่ยะ เราจะมีความโน้มเอียงที่จะเข้าหาสิ่งโน้นสิ่งนี้ แล้วมีความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านั้นไม่เหมือนกัน ชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน ก้เพราะว่า เวลาเราไปรับรู้ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายของเรา  สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเนี่ยะ คนเรานี่จะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเหล่านั้นไม่เหมือนกัน จากจุดที่มีความรู้สึกหันเหโน้มเอียงกับสิ่งเหล่านั้นแหละ วิถีชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปตามนั้นเลย. เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งสำคัญแม้แต่ตัวเราบางทีก็ไม่รู้ตัว.

คนหนึ่งมองสิ่งหนึ่งแล้วก็เข้าใจอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งถ้ามองแล้วก็รู้สึกอีกอย่างหนึ่ง แล้วจากเริ่มต้นที่รู้สึกอย่างไรนั้น ก็จะทำให้เขามีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้น แม้แต่การที่ว่าเขาจะทำความเพียรพยายาม เขาจะหกันเหไปหาเขาจะมุ่งไปในทิศทางเหล่านั้นเลย อย่างนี้เป็นต้น.

นี้การอธิษฐานจิตนี้ก็ เป็นการตั้งเป้าให้กับจิตใจ ฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่อธิษฐานนี้ต่างจากการอ้อนวอน คือมันเป็นตัวเนื้อแท้ที่เป็นสาระในการอ้อนวอนนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลื่อนลอย การอ้อนวอนนั้นอยู่กับสิ่งที่เลื่อนลอย ฝันเพ้อไป เลื่อนลอย แต่อธิษฐานนี่เป็นสิ่งโยงกับความจริง เป็นสิ่ที่งมองเห็นได้ด้วยปัญญา และอธิษฐานนั้นไม่โยงไปสู่การกระทำของตนเอง แต่การอ้อนวอนไม่โยงไปสู่การกระทำ แต่การอธิษฐานนำไปสู่การกระทำ ไปสู่กรรมที่ถูกต้อง แล้วก็การอ้อนวอนไม่โยงไปหาการพัฒนาตนเอง. ฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกับการพัฒนาเพราะว่า ไปฝากความหวังไว้กับสิ่งภายนอก ให้ปัจจัยภายนอกเช่นเทพเจ้ามาช่วย แต่การอธิษฐานนี้เป็นการพัฒนาตนเอง เป็นการที่ทำให้เรา พัฒนาก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจึงต่างกัน.

แม้แต่พระโพธิสัตว์ก็มีอธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์จะต้องมีปณิธาน เวลาจะทำความดีอะไรอย่างหนึ่งก็มีปณิธานว่าจะทำอะไร และด้วยปณิธานนั้นก็ทำให้พระองค์ทำตามสำเร็จ. อย่างที่อาตมาบอกแล้วว่า มนุษย์เราทุกคนนี้ เราไม่สามารถทำความดีและทำจุดเป้าหมายทุกอย่างให้สำเร็จได้ อย่าว่าแต่เราเลย พระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ ความดีต่างๆมันมากมายเหลือเกิน เราต้องเลือกต้องทำ แล้วถ้าเราทำไปเรื่อยๆเปื่อยๆ ก็จับจด แล้วก็ไม่ได้ผลเป็นชิ้นเป็นอัน. เพราะฉะนั้นวิธีการทำความดี ถ้าเราเอาพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง พระองค์เมื่อก่อนที่จะตรัสรู้ก็เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ใช้ปณิธาน แล้วก็ ในการมีปณิธานนั้น การอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก อธิษฐานจิตตั้งใจเด็ดเดี่ยว จะต้องทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ จะต้องทำความดีงามนี้ให้สำเร็จ แล้วอันนี้จะเป็นทางของความสำเร็จที่แท้จริง เพราะจะเป็นอุบายรวมจุดเข้าไป ดังที่อาตมาได้กล่าวไปแล้ว.

อันนี้ก็ เป็นเรื่องของบทแทรกเข้ามา เพื่อจะให้โยมได้ประโยชน์ จากเรื่องของการอธิษฐาน คือว่าอย่าให้เลยไปเป็นการอ้อนวอน เพราะการอ้อนวอนนั้น เป็นการฝากความหวัง ฝากชีวิตไว้กับปัจจัยภายนอก แล้วก็นำไปสู่ความลุ่มหลง การไม่พัฒนาตน ความเป็นอยู่อย่างเลื่อนลอย การที่กล่อมใจไปวันๆหนึ่ง งอมืองอเท้า ถ้าเป็นสังคมแล้ว ต่อไปสังคมนั้นก็เสื่อม เพราะว่ามองในแง่สังคมแล้ว อย่างศาสนาพราหมณ์ก่อนที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ที่ว่ามนุษย์นั้นฝากความหวังไว้ ในความสำเร็จและในโชคชะตาชีวิตนั้น ฝากไว้กับการดลบันดาลของเทพเจ้า ก็หนึ่งผลสำเร็จที่เกิดกับชีวิตของตนเอง ก็หวังพึ่งเทพเจ้า สองความเป็นไปอะไรในสังคมก็ไม่คิดจะแก้ไข ปัญหาต่างๆเกิดขึ้น แต่ละคนก็หวังแต่ประโยชน์ส่วนตัว ทำไงฉันจะได้นั่นได้นี่กับเทพเจ้าบันดาลให้ ปัญหาต่างๆก็ถูกทิ้งไว้.

พระพุทธเจ้ามาประกาศในทางตรงกันข้าม พระองค์ก็มาสอนว่า เอ้อ มนุษย์เรานะ ทำการให้สำเร็จได้ด้วยความเพียรพยายามของตนเอง แต่เราต้องรู้เหกตุปัจจัย ต้องรู้ธรรม ต้องรู้ความจริงของกฏธรรมชาติ แล้วพัฒนาปัญญาขึ้นมา ด้วยการฝึกฝน ด้วยสิกขา มีปัญญารู้สัจธรรม รู้ธรรม รู้เหตุปัจจัย ทำการด้วยกรรมให้ตรงตามเหตุปัจจัยนั้น ก็ได้ผลดี สังคมของเรา เราก็มาช่วยกันสร้างสรรค์ แก้ไขให้ดีได้ ชีวิตของเรา เราก็ปรับปรุงให้ดีได้ เราแก้ไขปัญหาชีวิตสังคมของเราให้ดีได้ และสังคมของเรานี้เราต้องช่วยกันสร้างสรรค์ ถ้าเราไปหวังพึ่งปัจจัยภายนอกก็จบ. ชีวิตของเราก็ไม่เพียรพยายามทำดี แล้วเราก็มาหวังประโยชน์ส่วนตัวด้วยการอ้อนวอน แต่ละคนก็จะเอาเพื่อตน ตกลงสังคมก็ย่ำแย่ลงไปตามลำดับ.

นี้ก็เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนให้กับเราแล้ว เพราะฉะนั้นก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ อาตมาก็ขอนำเรื่องนี้มาพูด เพราะว่าธรรมะนี้มันมีแง่มุมต่างๆ ต้องพิจารณาเยอะ ถ้าไปมองชั้นเยวแล้วบางทีพลาด อย่างเรื่องสมาธิเป็นต้นเนี่ยะ มันต้องมีข้อดีข้อเสีย อย่างน้อยพระพุทธเจ้านี่ทรงสั่งสอนไว้เนี่ยะ ให้เรารู้ คือมองทุกสิ่งทุกอย่าง หลายแง่หลายมุม เขาเรียกว่า วิภัชชวาท แปลว่า แยกแยะ รู้จักพิจารณาอย่างแยกแยะ และการแยกแยะนี้มีหลายแบบ คือสิ่งทั้งหลายนี้มีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย. แม้แต่กุศลธรรมสิ่งที่เราว่าดีแล้ว มันก็มีแง่ที่เป็นคุณ และแง่ที่เป็นโทษ อย่างสมาธิเป็นต้น ที่อาตมาได้กล่าวไปแล้ว ไม่ได้มองแง่เดียว ด้านดีอย่างเดียว ด้านชั่วด้านร้ายอย่างเดียว.

อันนี้การที่มันดีมันร้าย อย่างหนึ่งก็คือว่า การที่มันเป็นปัจจัยแก่กันและกันได้ อกุศลธรรมก็เป็นปัจจัยแก่กุศลได้ กุศลธรรมก็เป็นปัจจัยแก่อกุศลได้ อันนี้ล่ะสำคัญมาก. เพราะฉะนั้นจากสิ่งที่ไม่ดี พอใช้เป็น เราก็เอาสิ่งที่ไม่ดีมาใช้เป็นประโยชน์ได้ เอาอกุศลมาใช้เป็นประโยชน์แก่กุศลก็ได้ กุศลธรรมถ้าเราใช้ไม่เป็น กลับเป็นปัจจัยแก่อกุศลได้ อย่าไปภูมิใจหลงว่าเรามีดี แล้วก็ ดีนี่แหละจะเป็นตัวร้ายกลับให้เกิดโทษได้ ทีนี้ถ้าเราใช้เป็น ไม่ประมาท ไอ้เจ้าอกุศลเราเอามาใช้เป็น ทำให้เกิดผลดีขึ้นมาก็ได้.

อย่างตัณหา พระพุทธเจ้าเอามาใช้ กับพระอะไร? พระนันทะใช่มั๊ยโยม? น่ะ เป็นอุบายชักจูงพระนันทะให้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ได้ แต่ว่าโยมที่มีศรัทธา หรือว่าพระโสดาบัน แม้แต่พระอริยะบุคคลเป็นโสดาบันแล้ว เกิดไปสันโดษขึ้นมา สันโดษตัวนี้กลายเป็นทำให้พระโสดาบันประมาทเสีย เกิดเป็นอกุศลขึ้นมาแล้ว ใช่มั๊ยโยม? ความสันโดษทำให้เกิดความประมาท พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าบอกว่า ปมาทะวิหารี ตั้งอยู่ในความประมาท เป็นอยู่ในความประมาท เป็นผู้เสื่อม.

ฉะนั้นธรรมะนี้ต้องมองกันหลายๆแง่ อันนี้อาตมาจึงขอโยงมาสู่ธรรมะสำคัญ คือเรื่องความไม่ประมาท อันนี้ถ้ามีเวลาก็พูดกันต่อไปอีก ยังมีเวลาที่จะพูดกันต่อไป ก็ขอพูดเรื่องธรรมะ ที่โยงไปถึงตอนที่แสดงธรรมจักร ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน. นั่นแสดงทางสายกลาง แล้วก็มาถึงที่ปรินิพพานกุสินารา เรื่องความไม่ประมาท ธรรมเหล่านี้โยงกันหมดเลย ก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ก็ขอยกตุ๊กตาขึ้นมาก่อน.

นี้อย่างเรามาประเทศอินเดีย โยมก็ได้เห็นแล้วว่าประเทศอินเดียนี้  รกรุงรังสกปรกไม่เป็นระเบียบแค่ไหน แต่ว่าท่านมหาสุทินบอกว่า คนอินเดียนี่ไม่เป็นโรคเส้นประสาท แล้วอยู่สุขสบายดี (โยมแสดงความเห็นว่ามีดนตรี) ก็คงไม่ใช่เท่านั้นน่ะ มันก็วิถีชีวิตอย่างหนึ่ง ทีนี้ อันนี้หันไปอีกด้านหนึ่ง ฝรั่ง ฝรั่งนี้มีความเจริญ มีความเป็นระเบียบ สังคมมีความก้าวหน้า เทคโนโลยีดี อะไรต่างๆ จัดสรรเรียกว่า สิ่งทั้งหลายสังคมนี้ให้เรียบร้อยได้พอสมควร แต่พร้อมกันนั้น ก็มีปัญหาโรคจิตโรคประสาทอะไรต่างๆนี้มาก ทั้ง 2 สังคมมีทั้งข้อดีข้อเสียของตนเอง 2 อย่างนี้เป็นทางเลือกว่าอันไหนดีกว่ากันหรือยังไง? หมายความว่า เป็นทางเลือกที่เราควรจะเอาอย่างไหนหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออย่างไร?

นี่คือ พุทธศาสนาบอกว่า มันไม่ใช่ทางเลือกที่จะต้องเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถทำสิ่งที่ดีกว่านี้ 2 อย่างนี้น่าจะเป็นสุดโต่ง 2 ทางมากกว่า มันเป็นสุด 2 อย่างมากกว่าจะเป็นทางเลือก ในแง่ของชาวพุทธแล้วเราจะไม่ยอม ถ้ามันยังมีส่วนเสียอยู่ ในส่วนอินเดียมีส่วนสุขสบายอย่างนี้ แต่ว่ามันสกปรกรกรุงรัง นี้เราคงไม่เอาเหมือนกัน เรายังไม่ยอม แต่ว่า แล้วฝรั่งที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นต้น แต่จิตใจคร่ำเครียด มีทุกข์อะไรต่ออะไรมาก เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ชาวเราถือว่าเราพัฒนาได้ ต้องมีดีกว่านี้ แสดงว่าเจ้า 2 ทางนี้ผิด มันมีอะไรที่มันผิดพลาดไป ก็ต้องถามว่า แล้วอะไรคือความพอดี อะไรคือความพอดี?

นี้แหละคือสิ่งที่พุทธศาสนาท่านสอนไว้ เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง ทางสายกลางก็คือว่า ทางแห่งความพอดี พอดี มีความหมายอย่างไร? หรือทางสายกลางมีความหมายอย่างไร? ทางสายกลางไม่ใช่หมายความว่า เขาอยู่กัน 2 ฝ่าย เราก็ไปอยู่กึ่งกลางระหว่างสองฝ่ายนั้น ยังงั้นเรียกว่าสายกลาง บางคนคิดว่ายังงั้นนะ มีอยู่ 2 ฝ่าย เราก็อยู่ตรงกลางเรียกว่าสายกลาง พวกหนึ่งกินเหล้ามากๆ พวกหนึ่งกินน้อยๆ เราก็กินกลางๆ อย่างนี้หรือเรียกว่าทางสายกลาง ใช่มั๊ย(อวยพร-ชื่อโยม)? ก็ถ้าหากดว่ามีแต่คนทำชั่ว พวกหนึ่งทำชั่วมาก พวกหนึ่งทำชั่วน้อย เราก็เลยทำชั่วกลางๆ อย่างนี้ไม่เรียก คงไม่ใช่ทางสายกลางในพุทธศาสนา.

ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจกันให้ชัด ว่าทางสายกลางนั้น ไม่ใช่ไปอยู่กึ่งกลางระหว่าง 2 ฝ่าย แต่ต้องมีหลักการ ทางสายกลางมีหลักการอย่างไร? อันนี้แหละเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ว่ามันมีหกลักอยู่อันหนึ่งนะ ก่อนที่พูดถึงหลักอื่นๆก็คือว่า ในทางสายกลางเนี่ยะเราจะเห็นว่า ข้อสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ หรือปัญญาเห็นชอบเนี่ยะ เป็นข้อต้นใช่มั้ยโยม? อันนี้สำคัญ เป็นตัวให้หลักพื้นฐาน คือต้องมีปัญญา ต้องมีความรู้เข้าใจ ความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่ว่ามันมีข้อปลีกย่อย องค์ประกอบอื่นๆอีกที่เป็นทางสายกลาง แต่ตอนนี้อาตมาจะให้ไว้เป็นข้อสังเกตเบื้องต้นก่อน ว่าปัญญาเห็นชอบ ความเข้าใจถูกต้องเนี่ยะ เป็น...เป็นพื้นฐาน หรือเป็นตัวกำหนดสำคัญของทางสายกลางนี้.

นี้ก่อนที่จะพูดไปให้ชัดขึ้นนี่ จะขอยกตัวอย่างอันหนึ่งเรื่องทางสายกลาง เป็นตัวอย่างที่อาจจะพูดมาแล้ว โยมอาจจะได้ยินมาแล้ว แต่ว่าวันนี้ก็อาจจะมาพูดซ้ำ. ในชีวิตประจำวันเนี่ยะ เช่นเรื่องการกินอาหาร การกินอาหารนี้ก็มีเรื่องทางสายกลางเหมือนกัน คือการกินพอดี การพอดีเราจะวัดได้อย่างไร? กินพอดีที่เป็นทางสายกลางนั้น วัดได้อย่างไร? เอาอะไรเป็นเกณฑ์วัด? ถ้าโยมเห็นอันนี้แล้วอาตมาว่าเป็นตัวอย่างทางสายกลางแบบง่ายๆเลยนะ กินพอดี คนจำนวนมากนี่เอาอะไรเป็นเกณฑ์ในการกิน? เค้าจะใช้ความอร่อย คนที่ยังไม่มีการศึกษา ยังไม่ได้ฝึกฝนพัฒนา ไม่มีโยนิโสมนสิการ ไม่รู้จักคิดพิจารณา ก็จะกินตามอร่อยเพราะว่า เมื่อกินนั้น ลิ้นเป็นผู้เสพรส เป็นผู้รับสัมผัส ก็จะได้เวทนา คือความอร่อยหรือไม่อร่อย ฉะนั้นความอร่อยหรือไม่อร่อย จะเป็นเกณฑ์วินิจฉัยในการกิน ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่กิน ถ้าอร่อยก็กิน ยิ่งอร่อยก็ยิ่งกิน เพราะฉะนั้นอร่อยมากก็กินให้มาก.

เมื่อเราความอร่อยในการกินแล้ว จะเกิดผลอะไรขึ้น คือยิ่งอร่อยมากก็กินมาก ฉะนั้นเมื่อมันอร่อยมากกินมาก มันก็จะมีผลคือว่า กินอาหารที่อร่อยมากจนกระทั่งว่า ในเฉพาะหน้าปัจจุบัน กินจนกระทั่งว่าอาหารไม่ย่อยลุกไม่ขึ้น. ทีนี้ระยะยาว ก็คือว่ากินจนกระทั่งเสียสุขภาพ เป็นโรคไขมันในเส้นเลือด หรือว่าอะไร เป็นโรคต่างๆ หลายอย่าง ซึ่งคุณหมอทราบดีว่า กินอาหารที่เอารสอร่อยเป็นเกณฑ์นี่ จะมีผลร้ายอย่างไร หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือว่า กินเพราะรสอร่อยก็เลยไม่คำนึงว่ามันมีโทษหรือมีคุณแค่ไหน ไม่คำนึงถึงคุณค่าของอาหาร ว่าอาหารนี้ จะเป็นโทษต่อร่างกายมั้ย? อาหารนี้มีสารพิษมีสารเคมีปนมั้ย ปรุงแต่งกลิ่นสีรสหรือเปล่า? อะไรต่างๆ ไม่ได้คำนึงถึงโทษภัย.

เพราะฉะนั้นการใช้รสอร่อยเป็นเกณฑ์ในการกินนี่ ไม่ถูกต้อง ใช่มั้ย? อันนี้คือการกินตามชอบใจไม่ชอบใจ นี่แหละคือหลักเดียวกัน คือหลักที่ว่า ประสบการณ์ที่เข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นกาย เอาเวทนาเป็นตัวตัดสิน คือความรู้สึก ความรู้สึกเวทนา สบายไม่สบาย เป็นสุขเวทนาคืออร่อย อร่อยก็ชอบใจ ชอบใจก็กิน นี้เรียกกินด้วยตัณหา.

ทีนี้มันมีวิธีกินอีกอย่างหนึ่ง วิธีกินอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า อย่างน้อยคนที่มีการศึกษาจะเริ่มถามว่า ที่เรากินนี่เพื่ออะไร? อะไรเป็นวัตถุประสงค์ของการกินอาหาร? เราใช้ปัญญาไปพิจารณาใคร่ครวญ จะเริ่มรู้ว่า อ้อ ที่กินนี้เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ร่างกายนี้มีกำลัง แข็งแรงดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งคำตอบรวบรัดก็คือว่า เพื่อสุขภาพนั่นเอง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี.

แล้วต่อจากนั้นก็จะเป็นอื่นอีก เช่นว่า ของพระบอกว่า พรฺหมฺจริยา นุคฺคหายะ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ หมายความว่า เพื่อจะดำเนินชีวิตที่ดีงามประเสริฐได้ เพื่อปฏิบัติตามมรรคได้ ก็คือเมื่อ...เพื่อว่าเราจะได้อาศัยร่างกายนี้ ไปดำเนินชีวิตที่ดีงาม เราจะได้อาศัยร่างกายนี้ทำคุณประโยชน์ ทำสิ่งที่ดีงาม สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามต่อไป.

แต่ว่า ตัวที่สำคัญก็คือว่า เพื่อร่างกายนี้มีแข็งแรงมีสุขภาพดี นี้พอเรา หาเป้าหมายจุดหมายของการกินอยู่ที่ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพดี อันนี้คือความต้องการที่แท้จริงของชีวิต พอเรากำหนดตัวนี้ได้ นี่คือเรารู้เราเข้าใจ ใช่มั้ย? นี่คือปัญญา พอเกิดตัวปัญญา เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ รู้เข้าใจความมุ่งหมายของการกินแล้ว ความเข้าใจในจุดมุ่งหมายนี้ จะเป็นตัวปรับให้เกิดความพอดีในการกินได้ทันทีเลย คือกินตามความต้องการของร่างกาย กินเพื่อสนองความต้องการของชีวิตให้มีสุขภาพดี หนึ่งในขณะปัจจุบันมันจะจำกัดปริมาณในการกิน กินไม่ทำลายสุขภาพ ถ้าเรากินมากไป อาหารมันอร่อยก็จริง แต่มันจะทำให้อาหารไม่ย่อย เป็นโทษต่อร่างกาย เราก็ไม่กินเกินปริมาณนั้น เราก็จำกัดปริมาณในการกิน ปริมาณก็พอดีขึ้นมา.

อันนี้สอง สิ่งที่กิน ไอ้ตัวปัญญาที่รู้ความมุ่งหมายของการกินก็จะมาเป็นตัวปรับตัวจัด ให้เราเลือกกินสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ เราก็เลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย การกินให้พอดีก็เกิดขึ้น ด้วยปัญญาที่รู้ เข้าใจความมุ่งหมายของการกิน เพราะฉะนั้น ตัวนี้จึงเป็น โยนิโส-มนสิการที่สำคัญ ในการฝึก หลักปฏิบัติเบื้องต้นในพุทธศาสนา มีอะไร? โภชเนมัตตัญญุตา ใช่มั้ย? พระนี่ท่านถือเป็นเรื่องสำคัญเลย พอบวชเข้ามาในพุทธศาสนาก็จะต้องมีการหลักปฏิบัติเบื้องต้น โภชเนมัตตัญญุตา ด้วยการ ปฏิสังขา-โย รับประทานอาหาร ใช้ปัจจัย 4 บริโภคปัจจัย 4 ด้วยการพิจารณาเรียกว่า ปัจจะเวกขะนะ ปัจจะเวกขะณะนี้ก็ว่า ปฺฏิสังขาโย นิโส ปิณฑะปาตัง เป็นต้น เวลาจะฉันข้าวนี่ พระในสมัยโบราณก่อนจะบวชนี่ต้องท่องตั้งแต่ก่อนบวช เวลามาอยู่วัดนะ ยังไม่ทันบวชต้องท่องบทปฏิสังขา-โย บทปฏิสังขา-โยนั้น แปลว่าอะไร? ก็บอกว่า พิจารณาแล้วโดยแยบคายได้ โดยโยนิโส โยนิโสก็คือโยนิโสมนสิการนี่แหละ จึงบริโภคอาหารว่า เราบริโภคอาหารนี้ มิใช่เพื่อมุ่งสนุกสนาน มัวเมา โก้เก๋ อะไรต่างๆ แต่รับประทานเพื่อยังชีวิตให้เป็นไป เพื่อร่างกายอยู่ได้ เพื่อให้อยู่ผาสุก เพื่อให้อนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์ เพื่อให้การดำรงชีวิตที่ดีงามประเสริฐ เราก็อาศัยร่างกายนี้ ดำเนินชีวิตดีงามได้.

อันนี้ ฝึกพระตั้งแต่ต้น ก็คือต้องใช้ปัญญา กินด้วยปัญญา ต่างกับกินด้วยตัณหา กินเพื่อหวังรสอร่อยอย่างเดียว เป็นตัณหา กินด้วยปัญญาพิจารณาเพื่อให้บรรลุจุดหมายของการกินที่แท้ อันนี้เป็น การกินด้วยปัญญาเรียกว่า โยนิโสมนสิการ.

สำหรับมนุษย์ปุถุชน เรายอมรับว่าเขายังต้องมีตัณหาอยู่ การกินเพื่อรสอร่อยต่ออะไรก็ยังต้องมี แต่ขอให้เอาหลักโภชเนมัตตัญญุตามาช่วยบ้าง เพื่อจะได้ปรับ อย่างน้อยก็มีสติควบคุมการกินจะได้ไม่เกิดโทษ หนึ่งไม่เกิดโทษต่อชีวิตของตนเอง ไม่เสียสุขภาพ สองเมื่อเรากินโดยมีโภช-เนมัตตัญญุตาอยู่ก็ จะทำให้เราประหยัดไปได้ในตัว

คือหนึ่งสุขภาพร่างกายของเราก็ดี สองในด้านของเศรษฐกิจก็ดีขึ้นด้วย สามก็ทำให้การเบียดเบียนกันในทางสังคมก็ลดลง สี่การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติก็ลดไปด้วย ก็ทำให้ได้ผลดีขึ้น แต่อย่างน้อยก็คือว่า นี่คือตัวอย่างของการที่เรียกว่า เป็นทางสายกลาง เริ่มตั้งแต่การกินพอดี.

นี้โยมจะเห็นแล้วใช่มั๊ย? ว่า ทางสายกลาง หรือการดำเนินชีวิตที่พอดีนั้น มีตัวอย่างจากการกินนั้นต้องมีปัญญา ปัญญาเห็นชอบ คือปัญญาเห็นชอบว่ากินเพื่ออะไร พอเข้าใจแค่นี้ก็ การปรับให้พอดีก็เกิดขึ้น ทางสายกลางเกิดขึ้น เพราะปัญญาที่รู้เข้าใจความจริงเนี่ยะ มันเป็นตัวปรับพฤติกรรม พฤติกรรมของเราจะพอดีได้ก็เพราะมีปัญญาเป็นตัวปรับ ให้มันเข้ากับจุดมุ่งหมาย.

เพราะฉะนั้นทางสายกลางนี่เป็นทางที่พอดี ที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ถูกต้อง ที่จะทำให้ชีวิตดีงาม ไร้โทษไร้ทุกข์นั่นเอง นี้คือทางาสายกลางในความหมายง่ายๆ.

ทีนี้ทางสายกลางอย่างนี้โยมพอเห็นแนวแล้วแหละ ทีนี้อาตมาก็ขอพูดต่อไป นี้ทางสายกลางอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของ ดุลยภาพ. ในทางสายกลางนี้มันความพอดีก็บอกไว้แล้ว ในความพอดีนี้ก็คือความพอเหมาะ ความพอเหมาะก็คือความได้สัดส่วน ความได้สัดส่วนขององค์ประกอบทั้งหลายที่มาทำงานร่วมกัน ในระบบปัจจุบันเขาเรียกว่าองค์รวม (holistic ผู้ถอดความ). สิ่งทั้งหลายนั้นมันต้องเกิดจากส่วนประกอบทั้งนั้นแหละ พอส่วนประกอบมันไม่พอดีกัน มันเลยยุ่ง เกิดปัญหา แต่ถ้าส่วนประกอบต่างๆมันพอดีกันแล้ว ทุกอย่างก็ลงตัว แล้วจะได้ผลดีด้วย.

อันนี้อาตมาก็เคยพูดมาแล้ว พรหมวิหารมี 4 ข้อ แต่ต้องมีดุลยภาพ ถ้าเราไปม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้พรหมวิหาร 4 นี่เสียดุลไป แม้ว่าพรหมวิหารแต่ละข้อนั้นเป็นกุศลธรรม ก็เกิดผลร้ายได้ ทั้งๆที่มีเมตตากรุณา ก็เป็นกุศลธรรม แต่เมตตากรุณาทำให้เกิดผลร้าย แล้วเราก็ไม่ค่อยคิดกันนะ พรหมวิหาร 4 ต้องปฏิบัติได้สัดได้ส่วนกัน ได้พอดี ถ้าผิดสถานการณ์ไป สถานการณ์ที่ควรจะใช้อุเบกขา กลับไปใช้เมตตากรุณา สถานการณ์ที่ควรจะใช้เมตตากรุณากลับไปใช้อุเบกขา ก็ยุ่งสิ ใช่มั๊ย?

ทั้งๆที่เป็นกุศลธรรมนั่นแหละ เสียนั่นแหละ ชีวิตก็เสีย สังคมก็เสีย ทีนี้ในเมืองไทยเรานี่ ตอนหลังเรามีแนวโน้มที่จะเที่ยวดึงธรรมะ ออกมาแยกเป็นข้อๆ จนกระทั่งแบบเรียน หลักสูตรของเด็กนักเรียน ในโรงเรียนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาน่ะ ตอนหลังๆไปเที่ยวดึงธรรมะมา บอกว่าเราจะเรียนธรรมะ สอนเด็กให้มีธรรมะข้อไหน เอ้อ เมตตาดีนะ เอามาสอน กรุณาดีนะ เอามาสอน แล้วก็ขันติดีนะ เอามาสอน เอามาเป็นข้อๆข้อๆ เนี่ยะเป็นไปด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ จะทำให้วุ่น สังคมจะปั่นป่วน เพราะไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านวางหลักธรรมะเป็นชุดๆทำไม.

พรหมวิหาร 4 ต้องมาทั้งชุด ผิดชุดเสียหลัก ก็หมดเลย เนี่ยะที่มันเป็นปัญหา แม้แต่ในสังคมไทยที่ผ่านมา เราก็ปฏิบัติธรรมไม่ค่อยครบชุดอยู่แล้ว อย่างพ่อแม่เนี่ยะ เอาก็บอกแล้ว ถ้าพรหมวิหาร 4 พ่อแม่ถ้าทำไม่ครบก็ลูกก็เสียเหมือนกัน รักลูกระยะสั้น บางทีก็ทำ...ทำให้ลูกเสียระยะยาว ลูกไม่รู้จักโต มีแต่เมตตากรุณามุทิตา อุเบกขาไม่มี ลูกโตไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ บางทีต้องใช้วิธีว่า พ่อแม่เรามีความโน้มเอียงที่จะลำเอียงเข้าข้างลูก สมัยโบราณต้องใช้วิธีว่า ให้ห่างพ่อแม่ซะบ้าง เท่ากับว่าพ่อแม่ได้ใช้อุเบกขาโดยไม่รู้ตัว คือว่าเอาลูกไปฝากวัด หรือเอาไปอยู่ห่างๆอย่างพ่อแม่สมัยโบราณ ให้ลูกไปเรียนที่เมืองตักสิลาโน่น ไปอยู่กับทิศาปาโมกข์ เค้าจะได้หกัด พอไปอยู่กับอาจารย์แล้ว อาจารย์ท่าน ท่านไม่คำนึงแล้ว ท่านใช้หลักพรหมวิหาร แต่ท่านมีอุเบกขาด้วย ท่านต้องหัดให้เรียนให้ทำ ให้รับผิดชอบต่างๆเป็น เด็กก็รู้จักรับผิดชอบตัวเอง.

หรืออย่างพ่อแม่สมัยนี้บางที อยู่กับพ่อแม่นี่ โตทำอะไรไม่เป็น ต้องส่งไปเรียนต่างประเทศ พอไปอยู่ต่างประเทศ หัดรับผิดชอบตัวเองได้ ทำอะไรต่ออะไรเป็นขึ้นมาเนี่ยะ คืออุเบกขาที่ว่า ส่งไปเรียนต่างประเทศ คือพ่อแม่จะได้ไม่ต้องมีเมตตากรุณาตลอดเวลา ทีนี้ถ้าพ่อแม่มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาได้สัดส่วนกันแล้ว ลูกก็โต มีความเจริญเติบโตอย่างถูกต้อง แบบพระพรหมสร้างโลกได้ถูกต้อง พระพรหมทำหน้าที่สมบูรณ์ ต้องมีดุลยภาพแห่งเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา.

โดยเฉพาะอาตมาก็ได้แยกไปแล้วว่า 4 ข้อนี้แยกได้เป็น 2 ชุด คือเมตตากรุณามุทิตานั้นเป็นธรรมะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หรือมนุษย์ต่อมนุษย์ ส่วนอุเบกขานั้นเป็นธรรมะสำหรับรักษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับตัวธรรมะ ตัวกฎธรรมชาติ หรือตัวความจริงของธรรมชาติที่มันรองรับโลกมนุษย์อีกชั้นหนึ่ง นี้ถ้าเราเอาแต่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์แล้ว เราไม่คำนึงถึงความจริงของธรรมชาติ ชีวิตก็เสียดุลยภาพ มนุษย์จะอยู่ด้วยลำพังโลกมนุษย์เองไม่ได้ มนุษย์เราโลกทั้งโลกนี้ต้องตั้งอยู่บนฐานของธรรมะ ธรรมะนี้รักษาโลกไว้อีกชั้นหนึ่ง น่าจะไปให้ถึงอุเบกขา อุเบกขาก็เป็นตัวรักษาธรรมะไว้ รักษาตัวหลักการไว้ ทีนี้พ่อแม่ถ้าหากว่า มีอุเบกขาก็ช่วยให้ลูกนี้ เติบโต รู้จักรับผิดชอบตัวเอง รู้จักทำอะไรต่ออะไรเป็น อย่างที่อาตมาได้พูดไปแล้วบอกว่า พ่อแม่ต้องรักษาอุเบกขาต่อลูกใน 3 สถานการณ์ พูดไปแล้ว วันนี้ไม่ต้องทวนอีก.

นี้ในสังคมก็เช่นเดียวกัน สังคมใดที่มนุษย์เอาแต่เมตตากรุณา ก็จะช่วยกันจนกระทั่งว่า ลืมหกลักการมองข้ามกฏเกณฑ์กติกา เสียความชอบธรรมในสังคม หรือว่าอีกด้านหนึ่งที่เสียก็คือว่า จะทำให้คนเนี่ยะ หวังพึ่งกันเกินไป คนที่ไม่รู้จักรับผิดชอบตัวเองเลย ก็หวังพึ่งแต่คนอื่น แล้วไม่กระตือรือร้นขวนขวาย กลายเป็นคนอ่อนแอ และก็เสียต่อสังคมนั้นไม่เจริญก้าวหน้า. ทีนี้สังคมที่มีอุเบกขามาก ก้จะไม่เอาใจใส่กันในระหว่างบุคคล ก็ขาดความอบอุ่น ขาดความอบอุ่นแล้ว ก็ทำให้ชีวิตนี้เคร่งเครียด มีความทุกข์ เป็นโรคเส้นประสาทมาก แต่ทุกคนนี้จะกระตือรือร้นขวนขวายดิ้นรนมาก มีความเข้มแข็ง.

ก็ได้เสียอย่างกันอยู่อย่างนี้ โลกมนุษย์เราเนี่ยะมักจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ อยู่ในสภาพของความที่ว่า ตึงไปหย่อนไป ไปสุดโต่งข้างนู้นข้างนี้ พระพุทธเจ้าจึงต้องให้เราพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย เพื่อจะปรับให้พอดี อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ 2 แล้วนะ เจริญพร.

หนึ่งก็ให้เห็นว่าทางสายกลางนี้ต้องอาศัยปัญญา ถ้าเรารู้ เข้าใจจุดมุ่งหมาย มันก็จะเป็นตัวปรับพฤติกรรมให้พอดีเช่นการกินอาหาร เป็นต้น และสองก็คือดุลยภาพในโลกขององค์ธรรมต่างๆ ที่เป็นองค์รวมนั้น จะต้องได้สัดส่วนกันให้พอดี ก็จะเป็นทางสายกลาง แล้วก็สามก็คือความสัมพันธ์ระหว่างองค์ธรรมต่างๆ ที่เป็นปัจจัยแก่กัน เช่น กุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศลได้ อกุศลเป็นปัจจัยแก่กุศลได้ อันนี้ก็สำคัญเหมือนกันในเรื่องของทางสายกลาง.

นี้ก็จะมาถึงเรื่องหนึ่ง ที่สัมพันธ์กับเรื่องที่พูดไปเมื่อกี้นี้ ที่อาตมายกตัวอย่างว่า ที่คนอินเดียนี้ ก็อยู่กันสกปรกรกรุงรัง แต่ก็มีความสุขดีเหมือนกัน แล้วก็ฝรั่งก็ เอ๊ะ มีความเจริญก้าวหน้าจัดสรรสังคมเรียบร้อย แต่เคร่งเครียดมีทุกข์ เป็นโรคจิตโรคประสาท มันเป็นยังไง นี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์ธรรม องค์ธรรมต่างๆอย่ามองโดดเดี่ยว เราจะมองธรรมะข้อนั้นว่ามันดีมันร้ายทันทีไม่ได้ มันต้องไปสัมพันธ์กันว่าธรรมะตัวไหนประกอบเข้ามา. วันนั้นอาตมาคุยกับอาจารย์ดอกเตอร์อุดม และให้ท่านไปหาตัวอย่าง ไม่ทราบว่าท่านหาให้รึยัง แต่มันก็คล้ายๆกันกับเรื่องวิทยาศาสตร์ คือขอยกตัวอย่าเท่าที่นึกได้ตอนนี้นะ คือว่าวันนั้นคุยกันอาตมาก็พูดถึงเช่นว่า ออกซิเยน ไฮโดรเยน 2 อะตอม บวกออกซิเยน 1 เป็น H2O แล้วก็เป็นน้ำ ใช่มั๊ย? สำหรับมนุษย์เราก็ดีสิ ใช่มั๊ย? เป็นน้ำมันก็ดี แต่ถ้าหากว่าเอาออกซิเยนเกิดไปบวกกับคาร์บอนเข้าไป เป็นCO2 คาร์บอน 1 ออกซิเยน 2 เท่านั้นเอง แล้วก็กลายเป็นคาร์บอน(ไดออกไซด์) ก้เป็นพิษต่อมนุษย์ ใช่มั๊ยล่ะโยม? ไม่ดี คาร์บอนไดออกไซด์น่ะ คาร์บอน 1 ออกซิเยน 2 เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ไม่ดี อย่างนี้เป็นตัวอย่าง หมายความว่า ออกซิเยนเราจะวินิจฉัยว่าดีหรือร้าย มันต้องไปดูว่ามันประกอบกับอะไร องค์ธรรมะก็เช่นเดียวกัน อย่าไปบอกว่ามันดีมันร้ายทันที มันเป็นคุณเป็นโทษ มันต้องดูตัวประกอบด้วย เช่นความสันโดษอะไรต่างๆเป็นต้นเนี่ยะ ไม่ใช่ว่าจะเอาทันทีว่าดีหรือร้าย สันโดษนั้นมีทั้งคุณและโทษนะ แล้วก็อยู่ที่ไปประกอบกับอะไร ความง่ายเราบอกว่าความเป็นอยู่เรียบง่ายดี ต้องระวัง ยกตัวอย่างเช่นความเป็นอยู่ง่าย ถ้าไม่มากับความเพียรเพื่อเข้าถึงจุดหมายอันประเสริฐ อาจจะร้ายก็ได้ ที่ท่านให้มีความเป็นอยู่ง่าย มันต้องควบมากับความเพียรเพื่อเข้าถึงจุดหมายอันประเสริฐ ที่ท่านให้เป็นอยู่ง่ายเพื่ออะไร? เพื่อจะได้สะดวก เป็นสภาพแวดล้อมที่เอื้อ เป็นตัวเอื้อตัวเกื้อหนุนแก่การเพียรพยายามเพื่อจุดหมายอันประเสริฐ เรามีจุดหมายอันประเสริฐที่จะเข้าถึงอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มีการเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เราจะไม่มีโอกาส เราจะหาโอกาสที่จะมาเพียรพยายามเพื่อเข้าถึงจุดหมายนั้นได้ยาก.

แต่ทีนี้ถ้าเรามีความเป็นอยู่ง่ายเฉยๆ แล้วไม่มีเจ้าตัวความเพียรเพื่อเข้าถึงจุดหมายอันประเสริฐ มันจะมีความโน้มเอียงมาเป็นตัวกล่อมที่ว่าเนี่ยะ เราก็อยู่ง่ายๆ เป็นไงก็ได้เอายังไงก็ได้ ยังไงก็ได้ยังไงก็ได้ ต่อไปมันจะโน้มไปสู่ความมักง่าย พอมักง่ายทีนี้ก็ไม่ดีแล้วนะโยม ทีนี้อะไรที่ควรจะทำก็ไม่ทำ ไม่กระตือรือร้นขวนขวาย อยู่ยังไงก็ได้ทั้งนั้น ใช่มั๊ย? เสื้อผ้าวันนี้ไม่ต้องซักก็ได้ เราก็อยู่ได้ทั้งนั้น อะไรๆก็อยู่ได้ บ้านยังไงก็อยู่ได้ ง่ายไปง่ายมาก็มักง่าย ต่อไปสกปรกยังไงก็ได้ ใช่มั๊ย? ไม่ต้องซักก็ได้ สกปรกอยู่ยังงี้ก็ได้ ไม่มีระเบียบก็อยู่ได้ ยังไงก็ได้ทั้งนั้น นี่แหละ ยังไงๆก้ได้มันจะเป็นโทษน่ะ ต้องระวัง.

เพราะฉะนั้นต้องระวัง เรื่องธรรมะนี่ ต้องมองหลายแง่หลายมุม ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ธรรมต่างๆนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นความง่ายในพุทธศาสนาจึงต้องมากับความเพียรเพื่อเข้าถึงจุดหมายอันประเสริฐ พระพุทธเจ้าท่านอยู่ง่ายเพราะอะไร เพราะท่านทำจิตเพื่อจุดหมายประเสริฐตลอดเวลา แล้วท่านทำความเพียรอย่างยิ่งเลยนะ ไม่เช่นนั้นความง่ายมันจะมากับความขี้เกียจ.

อ้าว ทีนี้ก็ความสันโดษ อาตมาจะยกตัวอย่างความสันโดษ ความสันโดษเพื่ออะไร? ถ้าเรามองธรรมะแบบความสัมพันธ์นะ เราต้องถามว่าเพื่ออะไร? สันโดษเพื่ออะไร? หลายคนบอกว่าสันโดษจะได้มีความสุข ถ้าอย่างนี้อันตราย นี่แหละนำไปสู่ความมักง่าย พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าสันโดษเพื่อความสุข แต่สันโดษแล้วเป็นสุข อันนั้นเป็นถูกต้อง สันโดษแล้วเป็นสุข แต่ไม่ใช่เพื่อความสุข ความสุขเป็นผลตามมาของความสันโดษ เพราะว่าปกติคนเรานี้ ความสุขอยู่ที่ความพอใจ สันโดษเป็นความพอใจ เมื่อพอใจมันก็สุข นี้เราไม่พอใจไม่มีความสันโดษ เราก็เร่าร้อนกระวนกระวาย เราก็ทะเยอทยานหา สิ่งที่มีอยู่ก็ไม่ให้ความสุขแก่เรา ความสุขของเราก็อยู่เบื้องหน้าตลอดไป ในแง่นี้ความสันโดษก็เป็นสุข แต่ว่ามันไม่ใช่วัตถุประสงค์.

ขอให้สังเกตว่า ในธรรมะที่เป็นหมวดนะ ที่อาตมาบอกว่าธรรมะเป็นหมวดเพราะว่าพระพุทธเจ้าบางทีตรัสธรรมะไว้เป็นคาถา ในคาถานี้เป็นเพียงคติธรรม จะเอาความสมบูรณ์ไม่ได้ เวลาตรัสในคาถานี้มันจะเป็นจำเพาะๆไป มันไม่บอกองค์ธรรมที่เกี่ยวข้อง แต่เวลาตรัวมาเป็นข้อความ เป็นคำสอนยาวๆ เป็นร้อยแก้วเนี่ยะ จะมีชุดเลย สันโดษนั้นจะมากับความเพียรให้สังเกต พระพุทธเจ้าตรัสที่ไหน จะตรัสความเพียรไว้ที่นั่น ตรัสศรัทธาไว้ที่ไหนจะตรัสปัญญาไว้ที่นั่น จริงมั๊ย? นี่คือธรรมะที่มันโยงกันน่ะ ที่มันต้องมาประกอบกันเข้า.

นอกจากว่าจะเป็นระบบดุลยภาพแล้ว มันก็เป็นความสัมพันธ์ในเชิงจุดหมายด้วย อย่างศรัทธานี้เพื่ออะไร? เพื่อปัญญา ศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา แล้วต้องเพื่อปัญญา ถ้ามิเช่นนั้นศรัทธาก็เหลวไหลได้ ศรัทธาเหลวไหลเยอะแยะไป งมงายไปเลย เพราะฉะนั้นศรัทธามาลำพังอย่าไปไว้ใจ สันโดษก็มาลำพังไว้ใจไม่ได้ ต้องดูมากับอะไร มากับความเพียร พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว บอกภิกษุ หนึ่งสันโดษในจีวรตามมีตามได้ สองภิกษุสันโดษในบินฑบาตรตามมีตามได้ สามภิกษุสันโดษในเสนาสนะตามีตามได้ สี่ภิกษุเป็นผู้ยินดีในภาวนา เพียรพยายามบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ อันนี้สำคัญใช่มั๊ย? เนี่ยะ ต้องมาอันนี้เลย สันโดษมา 3 ข้อ พอข้อที่ 4 ความเพียรเลย เพราะอะไร? เพราะว่าสันโดษนี้ เป็นตัวช่วยสงวนเวลา แรงงานและความคิดไว้ ใช่หรือเปล่า?

ถ้าภิกษุไม่สันโดษในจีวรบินฑบาตเสนาสนะปัจจัย 4 ไม่สันโดษในวัตถุ บำรุงบำเรอความสุข เที่ยวแสวงหาอาหารดีๆฉัน วุ่นวายอยู่กับเรื่องวัตถุ บำเรอความสุข หนึ่งเวลาหมดไปอยู่กับเรื่องเหล่านี้ สองแรงงานวุ่นวายอยู่กับเรื่องเหล่านี้ หมดไป สามความคิด ครุ่นคิดอยู่แต่ว่าทำไงจะได้สิ่งเหล่านี้ ไม่เป็นอันได้เพียรพยายามทำหน้าที่ พอภิกษุสันโดษในตามมีตามได้ เวลาเหลือแล้ว แรงงานเหลือแล้ว ความคิดเหลืออยู่ เอามาระดมทำกิจหน้าที่ของตนเอง ใช่มั๊ย เจริญพร? ตอนนี้ล่ะสันโดษก็มีผลเลย เพราะฉะนั้นสันโดษจึงต้องมาคู่กับความเพียร ความเพียรในการทำกิจหน้าที่ของตน แม้เป็นคฤหัสถ์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเรามัวไปวุ่นวายอยู่กับการแสวงหาสิ่งบำรุงบำเรอความสุขส่วนตัว เราก็ไม่มีเวลา แรงงานความคิดของเราก็ไม่มี ในการที่จะบำเพ็ญปฏิบัติ เราก็จะวุ่นวายไปในการที่ว่า จะแสวงหาความสุขส่วนตัว แล้วก็หมดเวลาหมดแรงงานความคิดไปกับเรื่องเหล่านั้น กิจหน้าที่ไม่เป็นอันทำ การทำความดีประโยชน์อะไรต่ออะไรสูงส่งนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าคนไม่สันโดษ.

แต่ว่าถ้าสันโดษอย่างเดียวเพื่อความสุข ก็จบเหมือนกัน ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย สันโดษก็พอใจสบายสุขเข้ากับหลักที่ว่าขี้เกียจ เพราะฉะนั้นสันโดษก็ทำให้คนขี้เกียจได้ เพราะเช่นนั้นสันโดษก็ทำให้คนขี้เกียจได้ ถ้าไม่มาผนวกกับธรรมะที่มันเป็นคู่กัน แล้วสันโดษพระพุทธเจ้าก็ไม่ตรัสไว้ลอยๆ สันโดษจะต้องมีต่อว่าสันโดษในอะไร พระพุทธเจ้าจะตรัสสันโดษไว้กับปัจจัย 4 สำหรับภิกษุ เพราะฉะนั้นสำหรับชาวบ้านก็คือสันโดษต้องมากับตัวต่อว่า สันโดษในวัตถุบำรุงบำเรอความสุขส่วนตัว.

ทีนี้มันมีอีกอันหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ให้สันโดษ คือความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย ถ้าเป็นกุศลธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยให้สันโดษเลย แล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ที่เราได้ตรัสรู้นี้ เห็นคุณค่าของธรรมะสองประการ คือหนึ่งความไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย สองการทำความเพียรไม่ระย่อ นี่ 2 อัน เรียกว่าอุปัญญาตธรรม15 ธรรมะที่พระพุทธเจ้าก็เห็นคุณ ธรรมะ 2 ข้อนี้

15 https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=65

เป็นหลักทั้งในพระสูตรและอภิธรรม ในพระอภิธรรมนั้นมีมาติกา16 ในมาติกาอภิธรรมชุดที่เป็น

         16https://www.facebook.com/permalink.php?id=806428996079323&story_fbid=806873459368210&paipv=0&eav=AfaZYuFZCQPL4C1bj1nYBvfXACtMjHu2LTM2RlD-f3Uhfk5hO5dpCivHTeoYfq0J69o&_rdr

หมวด 2 นั้นมีธรรมะคู่นี้ด้วย คือหนึ่งความไม่สันโดษในกุศลธรรม สองความเพียรไม่ระย่อ.

         เพราะฉะนั้นชาวพุทธนี่ถ้าใครมาถามว่า พระพุทธเจ้าสอนให้สันโดษใช่มั๊ย? อย่าเพิ่งรีบตอบ ต้องตอบไปว่า ให้สันโดษในวัตถุบำเรอความสุข แต่ไม่ให้สันโดษในกุศลธรรม ในสิ่งที่ดีงาม การสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์แล้ว ไม่ยอมให้สันโดษเลย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้บอกว่า ภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญแม้แต่ความตั้งอยู่ได้ในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ต้องพูดถึงความเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย เราสรรเสริญอย่างเดียวคือ ความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปในกุศลธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าสรรเสริญอย่างเดียว ไม่ยอมให้หยุดเลยในเรื่องกุศลธรรม แล้วมีคาถาในธรรมบทมาอ้างอีกที พระพุทธเจ้าตรัสลงท้ายว่า “วิสฺสาสมาปาทิ อัปปัตโต อาสวักขยัง” แปลว่า ภิกษุจะได้เป็นพหูสูต ภิกษุจะได้ฌานได้สมาธิ ภิกษุจะได้ความสุขจากเนกขัมมะ เป็นอนาคามี จะอะไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอาสวะ อย่าได้ถึงความวางใจ ว่ายังงั้น นี่ พระพุทธเจ้าตรัสยังงั้น ขนาดเป็นอนาคามีแล้ว บรรลุธรรมเบื้องสูงแล้ว อย่าได้ถึงความวางใจ ตราบใดที่ยังไม่บรรลุความสิ้นอาสวะ อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสสำคัญมาก.

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงได้บอกเมื่อกี้ ในพระสูตรๆหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระอริยบุคคล เป็นโสดาบันเป็นต้น ได้บรรลุธรรมเบื้องสูงแล้วเกิดความสันโดษ เกิดความพอใจในธรรมที่บรรลุแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า นี่ปมาทวิหารี อยู่ด้วยความประมาท ว่าเลยนะ พระอริยบุคคล อริยบุคคลบรรลุธรรมเบื้องสูงแล้วเกิดความสันโดษพอใจขึ้นเป็นปมาทวิหารี อยู่ด้วยความประมาท.

เพราะฉะนั้น เรื่องคุณธรรมกุศลธรรมแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ให้เราหยุดเลย จึงเข้ากับหลักของการพัฒนาตนนะ ต้องก้าวหน้าเรื่อยไป ถ้าเราเข้าใจหลักเรื่องนี้แล้ว ความพอเป็นทางายกลางก็จะเกิดขึ้น เป็นทางที่นำไปสู่จุดหมายที่ถูกต้อง มิฉะนั้นธรรมะต่างๆนี้จะคลาดเคลื่อน วุ่นวายไปหมด แล้วจะทำให้เกิดทาด้วย แม้แต่กุศลธรรม อย่างที่กล่าวแล้วว่า แม้แต่กุศลธรรมก็เป็นปัจจัยแก่อกุศลได้ อกุศลธรรมก็เป็นปัจจัยแก่กุศลได้ ต้องรู้จักใช้และปฏิบัติให้ถูกต้อง

อันนี้แลหะจะเข้าหลักที่เรียกว่า ธรรมานุธรรมะปฏิบัติ คือปฏิบัติธรรมสมควรจะทำ เดี๋ยวจะ เอ้ ปฏิบัติธรรมยังไงสมควรจะทำ ไม่รู้จะเอายัง สมควรจะทำ ธรรมะสมควรจะทำ ท่านอธิบายว่า ปฏิบัติธรรมน้อยคล้อยกับธรรมใหญ่ หมายความว่า ธรรมานุธรรมะปฏิบัติ ธรรมะคือตัวธรรมะหลักการใหญ่ อนุธรรมคือธรรมะข้อย่อย ธรรมะข้อย่อยนี่ต้องสอดคล้องกับธรรมะที่เป็นหลักการใหญ่ ธรรมะข้อย่อยความสันโดษ ความเพียร ความอะไรต่างๆเหล่านี้ ต้องสอดคล้องกับธรรมะข้อใหญ่ เช่นการบรรลุโพธิญาณ การบรรลุสัจธรรม การเข้าถึงนิพพาน นี้หลักธรรมใหญ่ ธรรมะเหล่านี้ต้องเป็นไปเพื่อจุดหมายนั้น ถ้าสันโดษไม่เป็นไปเพื่อจุดหมายนี้ก็แสดงว่าไม่เป็น ธรรมานุธรรมะปฏิบัติ. และธรรมานุธรรมะปฏิบัติจะเกิดขึ้นก็เพราะมันได้สัดได้ส่วนอย่างที่ว่า ทีความสัมพันธ์ระหว่างในธรรม เป็นทางที่พอดี.

วันนี้อาตมาก็ยกตัวอย่างเรื่องทางสายกลางมา แต่ว่ายังไม่ถึงเรื่องความไม่ประมาท ความไม่ประมาทจะมาเป็นตัวปรับอีกทีหนึ่ง ให้ความพอดีที่เป็นทางสายกลางนี้ มันดำรงอยู่ได้ไม่คลาดเคลื่อน แต่ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาถึงสิบเอ็ดโมงเจ็ดนาทีแล้ว เพราะฉะนั้นจึงจะขอยกเรื่องความไม่ประมาทไว้พูดในครั้งต่อไป แล้วก็ในตอนที่อาตมาพูดไว้เยอะแยะวันนี้ โยมมีข้อสงสัยอะไร โยมก็บันทึกไว้ด้วย แล้วก็จะมาคุยกันต่อไป.

เอาวันนี้ก็ คิดว่าพอสมควรแก่เวลา ก็ขออนุโมทนาที่โยมได้มา ณ ที่นี้ และก็ฟังธรรม โดย สิ่งที่นำเรามาคือศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะได้มานมัสการสังเวชนียสถาน มาเฝ้าองค์พระพุทธเจ้า ในสถานที่พระรูปกายพระองค์เคยปรากฏอยู่ แม้ว่าพระรูปกายจะล่วงลับดับสูญไปแล้ว แต่ก็ได้กล่าวแล้วว่าพระธรรมกายยังอยู่ แล้วก็ธรรมกายนี้สามารถเกิดขึ้นแก่เราทุกคน ถ้าเราปฏิบัติแล้วธรรมกายเกิดขึ้นกับเรา นั้นคือการที่เราได้เห็นองค์พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เราก็ได้เหมือนกับว่า นำองค์พระพุทธเจ้ามาไว้กับตัวเรา เพราะเช่นนั้นก็ขอให้โยมนี้ได้บรรลุผลสำเร็จนี้ คือให้อาศัยการที่เรามาเฝ้าในที่เคยดำรงพระรูปกายของพระองค์นี้ เป็นสื่อนำเราเข้าหาพระธรรมกายอีกที องค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง ขอให้ธรรมกาย คือประชุมแห่งธรรมะในระดับดังกล่าวนั้น ปรากฏเป็นผลขึ้น ในจิตใจของโยมเพื่อความร่วมเย็นเป็นสุข ชีวิตที่ดีงาม สืบต่อไปตลอดกาลนาน เทอญ.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น