หน้าเว็บ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ. ปยุตฺโต) - "ความรู้สึก.สำคัญ"

 

"ความรู้สึก.สำคัญ" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ป.อ.ปยุตโต

วัดญาณเวศกวัน สามพราน นครปฐม ธรรมบรรยายเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ หมวด โอวาสในพรรษา ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง ความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญ

         https://youtu.be/1jZWl9SDQoc

อ้าว พูดมากก็เพื่อ ทรุด กลับจากนี่ทรุดทุกที บอกตามตรง บางทีก็ทรุดไปหลายวันแหละ เพราะพูดแล้วก็ได้เรื่อง แต่มันก็จำเป็นต้องพูด ก็เลยไม่ได้คุยกับพระใหม่ซะ มีอะไรก็อยากจะคุยเหมือนกันแหละ ก็คุยกันนิดๆหน่อยๆ.

แต่ก่อนก็เน้นเรื่องความรู้ไว้ นี่ก็พูดเป็นความรู้ ความรู้สึกมาเยอะ แล้วก็น่าเบื่อ แต่ว่ามันก็มีแง่มุมบางอย่างที่น่าจะพูดไว้อีกหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็จะว่าพูดเรื่องความรู้ว่าความรู้สำคัญๆ ก็เลยความรู้สึกไม่สำคัญ ความรู้สึกก็สำคัญ.

มนุษย์เราหรือสัตว์ทั้งหลายเนี่ยะ ขั้นแรกก็อยู่ด้วยความรู้สึกหมด คอนที่ยังไม่มีความรู้ก็อาศัยความรู้สึก ได้ยินเสียงดังน่ากลัว เมื่อรู้สึกเป็นอันตราย หนีไว้ก่อนหรือหลบไว้ก่อน เรียกว่าเห็นแสงจ้า โอ้ ไม่น่า...ไม่น่าไว้วางใจ หนีก่อนละ หรือได้กลิ่นไม่ดีอะไรเนี๊ยะ ความรู้สึกมาช่วย พื้นฐานก็ยังงั้น ก็มนุษย์ก็อยู่ได้ด้วยความรู้สึกยังงั้น เป็นพื้นฐาน แต่นี้ถ้าเราอยู่แค่ความรู้สึก มันไม่พอ ความรู้สึกอย่างเดียว ไม่พอ เพราะบางทีมันไม่ได้เป็นอย่างที่รู้สึก.

อ้า รู้สึกอร่อย เอ้อ...ชอบใจอยากกิน แค่มันกลายเป็นพิษก็มี ใช่มั๊ย? รู้สึกไม่ดีไม่อร่อย รู้สึกขม แต่กลายเป็นยาก็ที เพราะฉะนั้นจะเอาความรู้สึกตัดสินไม่พอ ก็ต้องอาศัยความรู้มาช่วย ก็มีความรู้สึกอย่างที่ว่า ได้ยินเสียงดัง กลัวแล้วก็หนีไป แล้วก็จบ อย่างนี้ก็หนีอยู่นั่นแหละ ได้ยินเสียง นี้ ก้าวต่อไปสู่ความรู้ก็ไปค้นว่า อะไรมันเป็นแหล่งของเสียงนี้ เอ้อ ได้ความรู้แหละ พอได้ความรู้ว่า มันจริงไม่จริงเป็นต้น อะไรเป็นอะไรนี่ ได้ความรู้ขั้นแรก ต่อไปก็ก้าวไปสู่การแก้ปัญหา.

พอรู้แล้วว่ามันเป็นอะไร ก็เสียงนั้น สิ่งที่ก่อให้เกิดเสียงดังนั้น มันควรจะแก้ไข เรารู้แล้วเป็นอะไร แก้ได้มั๊ย? รู้เหตุปัจจัยก็ไปจัดการ แก้ไข เพราะฉะนั้นความรู้เป็นเรื่องของปัญญา ก็ทำให้แก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นความรู้สึก ไม่พอ ถ้าเราอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างเดียว มันก็เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายทั่วไป ก็อยู่ในขั้นสัญชาตญาณ แล้วถ้าเราเอาแต่ความรู้สึก เอาแค่สัญชาตญาณ เราก็แพ้สัตว์อื่นอีก เพราะว่าสัตว์ทั่วไป เค้ามีสัญชาตญาณดีกว่าพวกมนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้าเอาแค่ความรู้สึก มนุษย์จะแย่ที่สุด ก็เลยต้องก้าวไปสู่ความรู้.

รู้ว่าจริงไม่จริง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็ก้าวไปสู่การรู้จักแก้ปัญหา อันนี้ตอนนี้แหละที่สำคัญ มันก็ไม่ได้จบแค่นั้นหรอก ที่สำคัญก็คือ มันมาพัฒนาตัวเองนี่แหละ สำคัญมาก ความรู้หรือปัญญา แต่ว่ามันก็คู่กัน คือพอเราได้ความรู้มา มันก็แก้ความรู้สึกไปด้วย ที่เคยรู้สึกไม่ชอบใจ พอรู้สึกทุกข์ไม่สบาย ก็มีปฏิกิริยาไม่ชอบ แต่ทั้งๆที่รู้สึกว่า ไม่สบาย แต่รู้มันเป็นคุณขึ้นมา กลายเป็นชอบเสียนี่ เอ้อ เปลี่ยน เพราะฉะนั้นความรู้เนี่ยะ มันปรับความรู้สึก มันเปลี่ยนความรู้สึกไปได้เลย.

คนเรา ก็เนี่ยะต้องพัฒนา ตัวความรู้เนี่ยะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้พัฒนา มันจะเกิดมาใหม่ๆ ก้เด้กก็อยู่ด้วยความรู้สึกก่อน เอาทองมาเอาขนมมา เลือกอันไหน? ก็เอาขนมสินะ อร่อย เด็กอยู่ด้วยความรู้สึกนี่ อ้า ก็เอาขนมอร่อย พอโตขึ้นมา คนเก่าก็สอนให้ความรู้ ทองมันดียังงั้น สวยงาม นอกจากสวยงาม มีค่ามีราคาแพง แล้วแถมความโลภก็เกิดขึ้นจากเหตุอื่นๆอีก แล้วอันนี้ก็เลยมาล่อไปให้ยิ่งโลภใหญ่ อยากได้ คราวนี้ พอเห็นทองแล้วมีความรู้สึกโลภ อยากได้ เนี่ยะความโลภมาแล้ว อยากได้มากๆ มากขึ้นๆ มากเหลือเกิน ทีนี้ต่อมามีเหตุการณ์แทรก เช่นว่า มีคนหนึ่งเอาสิ่งหนึ่งมาให้ จะมาขายให้ถูกๆ ก็คือทองนั่นแหละ เห็นเข้าก็ชอบใจ โอ แล้วก็ขายถูกจังนี่ อยากได้ โอ้ย กระวนกระวายหาทางที่จะได้เงินมาซื้อ มีคนหนึ่งมาข้างหลังมาบอกมาอธิบายให้ฟัง ไอ้นี่มันทองเก๊ไม่ใช่ทองจริง ทองปลอม พอรู้ยังงั้นเป็นไง? รู้ยังงั้น หมดเลยความรู้สึกอยากต่อทองอันนั้น สิ่งที่เรียกว่าทอง แต่นี้ก็ยังอยากทองจริงอยู่ แต่ว่าความรู้มันมาช่วยปรับความรู้สึก ทีนี้ไอ้ทองจริงนั่นแหละที่ยังอยาก.

ต่อมาเกิดมีความรู้ทางธรรมะ มีพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญผู้ฉลาด หรือพระพุทธเจ้า ตรัสเทศนาสอนว่า เนี่ยะ ทองมันไม่ได้มีค่ามีสาระจริงจังต่อชีวิต และกินก็ไม่ได้ ไปติดเกาะกันอยู่นี่ มีข้าวกับมีทอง ก็ไม่มีทางไปไหน จะขายก้ไม่ได้ ทำไง? และข้าวจานเดียวดีกว่าทองตั้งมากมายหลายบาท หรือหลายชั่ง ใช่มั๊ย? ยังงี้เป็นต้น ก็ แต่ในที่สุดมันก็ไม่ใช่เนื้อแท้ของชีวิต ตายไปก็เอาไปไม่ได้เป็นต้น ท่านก็พรรณนาไปต่างๆ ในที่สุดด้วยความรู้นั้นก็เลย เลิกอยากทองเลย เนี่นะ ความรู้มันปรับความรู้สึกได้หมด.

นั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่จะต้องมีความรู้คือปัญญาเนี่ยะ ไม่งั้นคนก็ไปตามความรู้สึก แล้วไปตามความรู้สึกบางทีก็คิดไปตามความรู้สึก และทำให้เกิดความผิดพลาดเสียหาย คงเคยได้ยินเรื่องกระต่ายตื่นตูม ก็เป็นชาดก(เป็น นิทานอีสป1- ผู้ถอดความ) ผมก็จำอาจจะไม่แม่นและข้อมูล

1  https://baby.kapook.com/view45953.html

ถ้าผิดพลาด ตรวจสอบก็ช่วยแก้ให้ด้วย แต่ว่าเอาตัวประเด็น เพราะเป็นเชิงนิทาน ก็ถือว่า เจ้ากระต่ายหนึ่งนั้น ไปนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล นี้ที่ใต้ต้นตาลนั้นมันก็มีใบตาลแก่ๆร่วงลงมา แล้วก็มาซ้อนมาทับกันอยู่ มันแห้งมันก็จะกรอบแกรบ แล้วถ้ามีอะไรมาลงก็จะเสียงดังมาก นี้เจ้ากระต่ายนอนหลับอยู่ใต้ต้นตาล เกิดมีลูกตาลลูกหนึ่งหล่นลงมาใต้ต้นตาล ก็มาลงที่ใบตาลที่ซ้อนกันอยู่นั้น เสียงมันดังมาก แล้วเจ้ากระต่ายหลับเสียด้วย ก็ฝัน ฝันว่าโลกแตก ตกใจมาก ตื่นก็ไม่คิดชีวิตละว่าโลกแตกนะ วิ่ง แต่ไม่วิ่งเปล่าก็ตะโกนไปด้วย ว่าโลกแตก ไอ้เจ้าสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่มันก็ ไม่มีโอกาสได้ซักถามอะไร ก็วิ่ง อย่างน้อยบางตัวก็จะวิ่งเพราะตกใจด้วย บางตัวก็วิ่งไปอย่างอยากจะถาม อะไรเนี่ยะ วิ่งก็ไปเป็นขบวน ไปๆก็ไอ้เจ้าพวกที่หลังได้ยิน ก็ยิ่งตกใจใหญ่ ใช่มั๊ย? พอเห็นขบวนใหญ่ ว่าโลกแตกๆ ไอ้เจ้าพวกข้างหลังก็ช่วยตะโกนอีก ไปกันใหญ่ จนกระทั่งว่าไปถึงราชสีห์ ราชสีห์ได้ยินเข้า เอ๊ะ มันอะไรกัน ต้องหาความรู้นั่นน่ะ สาระก็คือต้องให้รู้มันเรื่องอะไร ไปถลัก เพราะราชสีห์นี้มีเดชมีอำนาจมาก ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็หยุด ก็...สมัยนี้ก็เรียกว่าเบรกพรืด ว่างั้นนะ หยุดกันหมดเลย เจ้าราชสีห์ก็ถามว่า อะไร? บอกว่าโลกแตก อ้าว แล้วใครเป็นคน...แล้วแกได้ยินจากใคร? ก็บอกเจ้าตัวนั้น เจ้าตัวนั้นก็บอกจากตัวโน้น ถามตัวโน้นก็บอกจากตัวโน้น ตกลง เอ๊ะ ใคร? ตกลงนี่ว่าตามกันใช่มั๊ย? ไม่รู้มาจากแหล่งไหน ไม่ได้สืบสวน ก็ เจ้าราชสีห์ก็ค่อยๆถามจนกระทั่งว่า หาต้นตอได้ก็คือว่าเจ้ากระต่าย เอ้า ยังงั้นเราไปตรวจสอบกันดู ยังไงกันแน่ แกไปอยู่ที่ไหน อะไรต่ออะไรก็บอกว่าอยู่ที่ต้นตาลนั้น ยังงั้นเราก็พากันไปดู พวกกระต่ายพวกสัตว์เหล่านั้นก็กลัวมาก แต่ก็เพราะเดชราชสีห์เป็นสัตว์ที่มีอำนาจ แล้วก็ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมา อ้ะ พอไปช่วยกันดูได้ ก็ไปตรวจสอบดู ในที่สุดก็สืบค้นได้ความว่า ก็เป็นลูกตาลหล่นลงมาบนใบตาลแห้ง แล้วเจ้านั่นหลับ ก็คิดฝันไป.

คิดจากความรู้สึกนี่อันตรายมาก ก็ต้องตรวจสอบหาความรู้ให้แน่ชัด แล้วมาตรวจสอบหาความรู้ว่า เอ้อ เจ้าลูกตาลมันหล่นลงมา มันลงมาบนใบตาลที่แห้ง เสียงมันก็ดัง ไอ้เจ้านี่ก็ได้ยิน แล้วก็เพราะหลับอยู่ ฝันไปอะไรก็หมดเรื่องกันไปอ่ะนะ ก็แก้ปัญหาได้.

ฉะนั้นเรื่องความรู้สึกนี้ไม่พอ ก็ต้องใช้ความรู้เป็นสำคัญ เรื่องความรู้นี้ก็เลยเป็นเรื่องใหญ่ ที่พุทธศาสนาให้ความสำคัญอย่างมาก ทีนี้ก็ความรู้เนี่ยะมาพัฒนาตัว ในขันธ์ ที่จริงปัญญาก็ เป็นเพียงสังขารตัวหนึ่ง อยู่ในสังขารในเจตสิก 50 อย่าง แต่ว่าท่านแยกเวลาจัดเป็นไตรสิกขาเนี่ยะ ไปจัดเป็นหมวดหนึ่งเลย เป็นอธิปัญญาสักขา แยกจากจิตไปเลย ไอ้ส่วนที่เหลือในจิตมันก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกอะไร? ความรู้สึกสบาย ไม่สบาย ความรู้สึกสุขทุกข์ ความรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจ รู้สึกเกลียดรู้สึกจะเอาอยากได้ รู้สึกอยากจะทำลาย แล้วก็รู้สึกว่าสดชื่นเบิกบานผ่องใส รู้สึกหดหู่ท้อแท้ รู้สึกขลาดรู้สึกกลัว รู้สึกว่ากล้าหาญแกร้วกล้า มีกำลังใจกระตือรือร้น รู้สึกว่าท้อแท้หดหู่เซื่องซึม หงอยเหงาว้าเหว่ อะไรต่างๆเหล่าเนี๊ยะ จนกระทั่งว่าก็ ในที่สุดก็รวมแล้วก็เป็นจิตของเรานี่แหละ เป็นด้านจิต เป็นตัวประกอบสำคัญของจิต พวกเจตสิก ก็รวมเข้า เอาละ ก็เป็นฝ่ายจิต.

เพราะฉะนั้นเรื่องเจตสิกด้านความรู้สึกทั้งหลายเนี่ยะสำคัญมาก จะเป็นความรู้สึกด้านสุขทุกข์ก็ตาม ความรู้สึกด้านที่เป็นคุณธรรมอย่างอยากจะช่วยเค้า อยากจะให้ อะไรอย่างงี้ หรือเป็นความรู้สึกในเชิงสมรรถภาพของจิตใจ เรื่องความรู้สึกเข้ม กระตือรือร้น ความรู้สึกขยันขันแข็ง ความรู้สึกหดหู่ท้อแท้ ไม่อยากทำอะไรต่างๆ เนี่ยะเป็นเรื่องความรู้สึกของจิตใจ.

คนไทยเราก็มาใช้คำว่าอารมณ์ โดยเอาศัพท์ธรรมะไปใช้ผิด แล้วก็หาทางแก้ แก้กันได้ก็ดี อารมณ์มันแปลว่า สิ่งที่เรารับรู้ มันเป็นฝ่ายของความรู้มากกว่า มันกลายเป็นว่าเอาไอ้คำว่าอารมณ์ที่เป็นสิ่งที่จิตรับรู้เนี่ยะ ไปเป็นเรื่องความรู้สึกไปหมด นี้ก็สับสน ความจริงก็ความรู้สึกนี่แหละเป็นเรื่องของจิตใจ อันนี้พุทธศาสนาก็ให้ความสำคัญมาก ในเรื่องจิตใจอันเนี๊ยะ.

เรามีด้านปัญญา ก็อย่างที่บอก เรื่องรู้นั้นเป็นเรื่องที่ว่า รู้ตามที่มันเป็น เป็นยังไงก็รู้ตรงตามนั้น อยู่ที่มัน รู้มันตามที่มันเป็น แต่ความรู้สึกนี่เป็นของเรา เป็นเนื้อหาของชีวิตจิตใจของเรา ความรู้สึกเป็นเรื่องที่ต้องจัดการให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น ถ้าความรู้สึกมันไม่ดี รู้สึกโกรธรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกเกลียด การรับรู้อาจจะถูกบิดเบือน คิดก็บิดเบือน ความรู้สึกชอบ เข้าข้าง อ้าว ไอ้ความรู้ก็ถูกบิดเบือนอีก ฉะนั้น ความรู้สึกเนี่ยะ จะต้องจัดการให้มันบริสุทธิ์สะอาดเป็นต้น ให้มันเป็นความรู้สึกที่เป็นกุศลนั่นเอง พูดง่ายๆ.

ฉะนั้นก็เป็นคู่กันอยู่อย่างนี้ เราพัฒนาปัญญา มีความรู้ขึ้นมา ก็จะมาดูที่จิตของเรา ความรู้สึกว่ามันเป็นยังไง มันทำงานเกื้อกูลต่อกันหรือเปล่า? หรือมันทำลายกัน ขัดแย้งกันทำให้เสียหาย อย่างน้อยก็ตรวจสอบในแง่นี้ แล้วก็ ในแง่ของการพัฒนา เอาความรู้มาพัฒนาความรู้สึก ให้ความรู้สึกดีขึ้น ไปเห็นสิ่งที่ไม่ชอบก็ มีความรู้สึกปฏิกิริยา อ้อ ขอใหม่ ไปเจอสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม เช่น ไปเห็นเด็กยากจน นุ่งผ้านุ่งผ่อนสกปรก เป็นภาพที่ไม่น่าดู ไม่น่าพอใจ เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจ เป็นความรู้สึกไม่สบายก่อนแล้วก็ไม่ชอบใจ ก็เป็นอกุศล ทีนี้พัฒนาขึ้นไป ความรู้สึกนี้ก็เปลี่ยน เรียนรู้ว่าเอ้อเนี่ยะ คนเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นต้น เหตุที่เค้าเกิดมายากจน พ่อแม่ไม่มีเงินเลี้ยงดูน่าสงสาร เขาขาดแคลนควรจะช่วยเหลือ ความรู้ที่มาเข้าสู่ความคิดเนี่ยะ ความรู้นี่ก็เปลี่ยนความรู้สึก.

การที่จากการที่จะรู้สึกรังเกียจ ดูถูกเหยียดหยาม ไม่พอใจ ก็กลายเป็นรู้สึกสงสาร อยากจะช่วยเหลือ ความรู้ปัญญามาปรับความรู้สึก ฉะนั้นท่านจึงให้พัฒนาปัญญา จะเอามาแก้กันอีก ปัญญาคือตัวทำงาน แต่เวลาผลออกมา มันมาออกที่จิต ให้ดูเถอะ ปัญญาเป็นตัวทำงานไปจนกระทั่งเป็นโพธิญาณ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และตรัสรู้ เรียกว่าเป็นโพธิญาณ ก็เป็นปัญญานั่นแหละ ปัญญาในระดับสูงสุด ก็รู้ พอรู้แล้ว ก็ทำไงได้ความรู้สึก ก็มาออกผลที่จิต ความรู้นั้นออกผลโพธิญาณแก่จิต เป็นไง จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย ใช่มั๊ย? หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ก็เพราะปัญญาถึง รู้ถึงตัวความจริงสภาวะ รู้ถึงปรมัตถธรรม อันเนี๊ยะ ความรู้นี้เป็นตัวทำงาน และผลมาออกในด้านจิตใจหรือความรู้สึก แล้วเราจะไปดูถูกความรู้สึก? มันไปด้วยกัน แล้วก็ไอ้ตัวความรู้สึกนี่ล่ะเป็นเนื้อตัวของเรา ส่วนปัญญานั้นเราเอามาช่วยพัฒนาตัวเรา โดยเฉพาะพัฒนาจิตใจ พัฒนาความรู้สึกอะไรพวกนี้.

ฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมก็ตรวจสอบ ทั้งด้านความรู้และปัญญา แล้วก็ดูว่ามันออกผลที่จิต จิตเราได้รับผลจริงหรือเปล่า ก็ปัญญาทำงานไป รู้ๆๆๆเสร็จแล้วจิตเป็นไง ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไหม? ดีขึ้นหรือเปล่า? มาออกผลที่จิตแล้วมันไม่ออกผล กลายเป็นว่าบางทีไปออกผลตรงข้าม ปฏิบัติธรรมไป จิตไม่สบายเป็นทุกข์ อะไรต่างๆ เอ๊ ต้องสงสัยแล้วถ้าจะผิด ฉะนั้นด้านความรู้สึกนี่สำคัญ ตรวจสอบ เป็นอันว่าตรวจสอบทั้งด้านความรู้หรือปัญญา ว่าเรารู้ตรงตามความเป็นจริงมั๊ย? รู้ตามที่มันเป็นมั้ย? ยถาภูตะ2 หรือรู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น รู้ตามที่คิดให้มันเป็นนี่ใช้ไม่ได้ ก็รู้

         2 https://www.dhammahome.com/webboard/topic8951.html

ตามที่มันเป็น ก็รู้ไปตลอด อย่างที่ว่า จนถึงโพธิญาณ แต่พร้อมกันนั้นตัวเองก็มาดูว่า ผลที่มาออกที่จิตใจ ความรู้สึกพวกเนี๊ยะ เป็นยังไง? เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสเน้น บางทีก็มองข้ามกันไป พระพุทธเจ้าตรัสถึงผู้ปฏิบัติธรรม ที่ก้าวไปในการปฏิบัติ จะมีด้านความรู้สึกเนี่ยะพัฒนา ที่เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่ท่านเรียกว่าธรรมะสมาธิ ที่แยกเป็น 5 ประการ ว่ามีปราโมทย์ปีติปัสสัทธิสุขสมาธิ.

         ตัวแรกก็คือ ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกบานใจ อันนี้เป็นพื้นฐานอันที่หนึ่งเลย แล้วก็ปีติ อิ่มใจปลาบปลื้มใจ แล้วก็ปัสสัทธิ ความสงบเย็นผ่อนคลาย ผ่อนคลายไม่เครียด แล้วก็สุข ความสุขคือความฉ่ำชื่นใจ แล้วก็สมาธิ พอสุขมา สมาธิก็ได้โอกาสเกิดขึ้นง่าย สุขนี่เป็นประทัดฐานของสมาธิ ถ้าหากว่าเป็นทุกข์มันก็บีบคั้น จิตก็ดิ้น ก็เป็นสมาธิได้ยาก แต่ถ้าเป็นสุข ก็ทำให้จิตสงบ ไม่ต้องดิ้นรน ก็เป็นสมาธิได้ง่าย แต่ถ้าหากว่า ไม่เป็นสมาธิก็หลับไปเลย หมายความว่าก็ไม่...ไม่เอามาใช้ประโยชน์ซะ นี้ก็เลยสมาธิท่านให้ระวัง สมาธิเนี่ยะเป็นพวกเดียวกับความเกียจคร้าน ใช่มั๊ย?

คัมภีร์ท่านก็บอกไว้ บอกว่าสมาธิเป็น โกสัชชะ ขัต ชิกะ แปลว่าเป็นพวกเดียวกับความเกียจคร้าน เพราะฉะนั้นพวกว่าเป็นสมาธินี่ ถ้าไม่รู้จักฝึกตนให้ดี ปฏิบัติไม่ถูก ก็จะโน้มไปทางขี้เกียจ ท่านจึงให้มีคู่ ในอินทรีย์ 5 น่ะ ให้มีคู่ที่ อินทรียะสมะตา ความสม่ำเสมอของอินทรีย์ ให้มีเป็นคู่กันน่ะ เรียกว่าศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา ศรัทธาคู่กับปัญญาต้องให้เสมอกัน ปรับอินทรีย์ แล้ววิริยะกับสมาธิ วิริยะความเพียรกับสมาธิความแน่วแน่สงบเนี่ยะ ก็ให้คู่กัน ถ้าไม่มีวิริยะมาช่วย มาดุนไว้ ไอ้เจ้าสมาธิจะไปทางขี้เกียจ วิริยะความเพียรมันจะมาช่วยให้ก้าวต่อไป อย่างแน่วแน่มั่นคง ถ้าหากมีแต่วิริยะก็จะพุ่งพล่าน แล้วก็ให้มีคู่ วิริยะมากับสมาธิ นี่แหละ.

ก็ตามรวมแล้วในชุดที่ว่านี้ เป็นพื้นฐานของจิตใจ ในด้านความรู้สึก ก็มีปราโมทย์ ร่าเริงเบิกบานใจ แล้วก็ปีติ อิ่มใจปลาบปลื้ม ปัสสัทธิ สงบเย็นผ่อนคลายไม่เครียด สุขก็ฉ่ำชื่นใจ แล้วก็สมาธิมา พอสมาธิมาก้เป็นฐานให้เรื่องปัญญา ก็ก้าวไปสู่ปัญญาได้ดี ปัญญาทำงาน ท่านเปรียบสมาธินี้เหมือนหินลับมีด ถ้าได้หินลับมีดดี คือสมาธินี่ ปัญญาก็จะคมชัด.

เพราะฉะนั้นก็เอา เราก็เนี่ยะ อย่าลืม ไว้ตรวจสอบตัวเองว่า ก้าวไปในการปฏิบัติ มีมั๊ย? 5 ข้อนี้ ข้อแรกก็คือปราโมทย์ ปราโมทย์ท่านให้เป็นพื้นใจเลยนะ ตลอดเวลาเลย ดูในกถาธรรมบท

ปราโมชชะพะหุโลภิกขุ ปะสันโน พุทธะสาสะเน

อะธิคะจะเฉ ปะทัง สันตัง  สังขารูปะสะมัง สุขัง.3

         3 https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=11

บอกว่าภิกษุผู้มากด้วยปราโมทย์ นี่ขึ้นละ เลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า บรรลุบทอัน...สันตบท4 สันตบทก็คือพระนิพพาน อันเป็นที่สงบระงับสังขาร ก็รวมความก็คือว่าภิกษุที่มากด้วย

         4 https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=25&siri=9

ปราโมทย์เนี่ยะ มีทางมากที่จะได้บรรลุจุดหมายของพระพุทธศาสนา เป็นความรู้สึก เป็นสภาวะของจิต ถ้าเรียกสมัยใหม่เค้าว่าก็เป็นอารมณ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงย้ำมาก ต้องพยายามให้มีเป็นพื้นใจเลย.

อีกบทหนึ่งก็อยู่ในกถาธรรมบทเหมือนกัน บอกว่าภิกษุปฏิบัติยังงั้น แม้แค่เรื่องการทำกิจวัตรประจำวันอะไร ถ้าทำแล้วเนี่ยะ เราได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้แต่ปฏิสันถารญาติโยม พระต่างวัดมาเราได้ต้อนรับด้วยดี เอ้อ เราปฏิบัติถูกต้องเหมาะสม ก็เกิดเป็นคนปราโมทย์ จิตใจปราโมทย์ ร่าเริงเบิกบานใจเนี่ยะ การปฏิบัติต่างๆเนี่ยะ ถ้าปฏิบัติถูกแล้วจะช่วยให้เกิดปราโมทย์แล้วก็ปีติ พอเราปราโมทย์เนี่ยะ ก็บอกว่า ตะโตปราโมชชะ พะหุโล ทุกขัสสันตัง กะริสสะติ5 ว่างั้น

5 https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=7

นะ พอปฏิบัติอย่างที่ว่าแล้ว เช่น รู้จักปฏิสันถาร รู้จักทำกิจวัตรดี แล้วจะเป็นผู้มากด้วยปราโมทย์ แล้วจะทำความจบสิ้นทุกข์ได้ นี่นะ ลองไปดูกถาธรรมบท ท่านเจริญปราโมทย์ให้ดีเถอะ ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานผ่องใส แล้วจิตใจที่ร่าเริงเบิกบานนี้มันเปิดโอกาสแก่กุศล จิตใจมันไม่เบิกบานใช่มั๊ย? มันหดหู่ มันท้อแท้มันไม่สบาย ก้เปิดโอกาสแก่อกุศลเนี่ยะ นี้เจ้าพวกนี้มันตามกันมาใช่มั๊ย? มันพวกเดียวกัน นี้ถ้าเรามีปราโมทย์นี่ มันเปิดมันโล่งมันเบา มันก็เปิดโอกาสกับพวกกุศลธรรมให้เข้ามา ชวนกันมาใหญ่เราก็ยิ่งเจริญพระธรรมนาน เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ยะก็ไปได้ไกล ถ้าเราจะเจริญเน้นเรื่องปัญญา แม้แต่วิปัสสนาก็ให้มีปราโมทย์ไปด้วย ก็จะช่วยให้...แล้วปราโมทย์ก็จะกลายเป็นด้านกำลังของจิตด้วย เพราะว่ามันเป็นอยู่ฝ่ายความรู้สึก พอจิตมีปราโมทย์ก็มีกำลังขึ้นมา มันก็ยิ่งทำให้เดินหน้าในการปฏิบัติ.

เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เลยเอาเรื่องความรู้สึกมาพูดว่า ความรู้สึกก็สำคัญเหมือนกัน อย่าไปดูถูก แต่ว่าให้คู่กันไป และคู่กันอยู่อย่างถูกต้อง ให้เกื้อกูลเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ด้านจิตกับด้านปัญญา หรือด้านความรู้สึกกับด้านความรู้เนี่ยะ ความรู้ไปก้าวหน้าไป ความรู้สึกก็เอาความรู้นั้นก็มาปรับให้ดีด้วย แล้วก็เอาความรู้สึกนี้ ที่ดีนั้นไปเป็นฐาน ไปเป็นตัวกำลังเกื้อหนุนการเจริญปัญญาต่อไป ช่วยกันเราก็ยิ่งก้าวหน้าไป บรรลุจุดหมาย นี่แหละ แต่ว่าถอยหลังไปท่านก็บอกเอาศีลมาเป็นพื้นของมัน ตอนนี้เราไม่พูดละ เรามาขั้นของนามธรรม ก็มาเรื่องจิตเรื่องปัญญา ไปด้วยกันนี่แหละ.

ก็เป็นอันว่า เรื่องความรู้เนี่ยะ สำคัญแน่ ก็เท่ากับย้ำอีกทีบอกว่า เอ้อ ความรู้นี่นะ เป็นเรื่องของสิ่งนั้นที่เราต้องรู้มัน ตามที่มันเป็น รู้ตามที่มันเป็น ไม่รู้ตามที่มันเป็นละก็ยุ่ง มันเสีย ผิด และก็ถ้าเป็นความรู้สึก ก็เป็นเรื่องของตัวเราที่จะต้องจัดการให้มันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น แล้วก็ไปเรื่องที่ว่า เมื่อเราต้องการปัญญาเพราะเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้บรรลุจุดหมาย จนกระทั่งถึงโพธิญาณ จะทำให้หมดกิเลสหมดทุกข์เนี่ยะ ก็ปัญญานี้เป็นตัวทำงาน แล้วก๋ผลก็มาออกที่จิต หรือความรู้สึกนี้ มันด้วยกันอย่างที่ว่าจับจุดนั่นให้ได้ แล้วก็ การปฏิบัติก็จะเจริญไปด้วยดี.

ก็วันนี้ก็จะพูดคุยกันเท่านี้นะ เอาพอเป็นแนวทาง ก็โมทนาทุกท่าน ก็ขอให้ทุกท่านเจริญด้วย ปราโมทย์เป็นพื้นใจไว้ แล้วอื่นๆก็มีปีติในการปฏิบัติ ปฏิบัติก้าวไปนี่มันต้องเกิดปีติ พอเราก้าวไปแล้วนี่ปีติ ปราโมทย์นี่มันเป็นพื้น ร่าเริงเบิกบานใจ พอก้าวไปได้นี่ก็คือมันเดินหน้า เดินหน้าหรือสำเร็จเนี่ยะ เห็นจุดหมายใกล้มาเนี่ยะ ปีติเกิด นี่แหละลักษณะที่ต่างกัน ปีติก็คือสภาวะจิตที่มันเกิดเมื่อเราก้าวเข้าไปสู่จุดหมาย ก้าวหน้าไปกำลังจะสำเร็จ พอสำเร็จก็สุข สุขมา เคยเล่าให้ฟังแล้วมั๊ง? บอกว่าท่านก็เปรียบเทียบไว้ในคัมภีร์หลายบท.

ก็ให้แยกให้เป็นระหว่างปีติกับสุข เหมือนกับคนที่ เดินฝ่าแดดมา หรืออาจจะเอาให้ร้อนจัดก็กลางทะเลทราย ร้อนมาก หิวกระหายเหลือเกิน ร้อนก็อยากจะได้น้ำ น้ำก็ไม่มี ทีนี้ พอดีเห็นคนหนึ่ง เดินมาแต่ไกลสวนมาในทางตรงข้าม ชักดีใจแล้ว ใช่มั๊ย? ว่า เออ เออ อาจจะรู้ว่ามีน้ำที่ไหน ทีนี้พอคนนั้นใกล้เข้า ใกล้เข้ามา ก็ดีใจมากขึ้น อย่างน้อยก็อยากจะได้ถาม เรียกว่าจะได้ถามละ นี้พอคนนั้นมาถึง เอ้อ คุณมา ผ่านมามีน้ำมั่งมั๊ย? เนี่ยะ ผมเดินทางมาร้อนเหลือเกิน หิวกระหายเหลือเกิน ไม่สบายเลย จะแย่แล้ว คนนั้นก็ว่า โอ้เนี่ยะ ท่านเห็นมั๊ยที่ตัวผมเนี่ยะ นี่ผ้ายังเปียกเลยนี่นะ มีนั่นมีนี่อะไรก็ มีประจักษ์หลักฐานให้ดู บอกว่ามี ไม่ไกลหรอก ผมผ่านมาเนี่ยะ แหมพอได้ยินเท่านี้ล่ะ ดีใจ เนี่ยะดีใจแบบนี้แหละท่านเรียกว่าปีติ ดีใจปลื้มใจ เดี๋ยวจะได้ละนะ แล้วเค้าบอกว่านู่น ดูไปข้างหน้าสิคุณ เห็นมั๊ย? ตระคุ่มๆตรงพุ่มไม้นั่นน่ะ นั่นแหละตรงนั้นแหละที่จะมีน้ำ อ้าว ไม่ไกลหรอก จะเท่านั้นๆ ได้ยินพอเท่านี้ก็เอาละ เดินหน้าไป ยิ่งใกล้เข้าไปก็ยิ่งดีใจใหญ่ พอไปถึงที่นั่น ก็ดีใจเต็มที่ไปถึงที่หมู่ไม้แล้วก็เห็นสระน้ำ ท่านเรียกว่าสระโบกขรณี ก็ไปถึงก็ดีใจเต็มที่ ปีติเต็มที่ ก็ไปถึงริมฝั่งน้ำ ก็โจนลงน้ำ ลงน้ำได้ก็เป็นสุข เนี่ยะ ให้แยกระหว่างปีติกับสุข จนกระทั่งลงน้ำตลอดมานั่นแหละ ปีติมากขึ้นเรื่อยตามลำดับ อิ่มใจดีใจปีติสูงสุดตอนที่จะกระโจนลงน้ำ ได้สมใจแล้วนะคราวนี้นะ ปีติ และพอสมใจจริงก็ ปีติก็สงบกลายเป็นสุข ปีตินี่มันมีลักษณะพลุ่ง มันมีกำลังพลุ่งขึ้น แต่ว่าสุขมีลักษระสงบเย็น ท่านลองแยกดูสินะ พอปีติไปฝั่งน่ะ ปีติมาตลอดใช่มั๊ย? ดีใจแรงขึ้นๆน่ะปีติ ปีติมันพลุ่งขึ้น อย่างที่ท่านแยกเป็นปีติตั้ง 5 ชนิดน่ะ ขนลุกขนชัน อะไรต่างๆน่ะมีลักษระพลุ่งขึ้นมา พอลงน้ำได้สมใจหมาย บรรลุจุดหมายแล้ว เป็นสุข สงบ เพราะฉะนั้นสุขจึงมีลักษณะสงบ พอสงบสุขมันสมใจ มันสงบ มันก็ให้โอกาสกายกับสมาธิ สมาธิก็มาได้ ท่านจึงบอกว่าสุขเป็นบรรทัดฐานของสมาธิ.

ถ้าคนปฏิบัติได้ทุกข์ ก็อย่าไปเสียใจ ก็ว่า เอ้อ เราเนี่ยะ ใจของเราเนี่ยะไม่พร้อม เราต้องฝึกตัวเอง เอ้า ยอม เมื่อเราไม่พร้อม เจอไอ้การปฏิบัติที่มันยาก เราก็รู้สึกฝืนใจ พอฝืนใจก้เป็นทุกข์ พอเราก็เอาความรู้มากบอกว่า เราต้องฝึกเราจึงจะถึงจุดหมายได้ เอ้อ ฝืนนี่ต้องทำ ฝืนก็กลายเป็นฝึก พอบอกว่าฝีก อ้า คลายทุกข์แล้ว ชักหายทุกข์แล้ว ทุกข์เบาแล้ว ยินดีจะฝึก ก็มีความสุขในการฝึก การฝืนกลายเป็นการฝึก เพราะฉะนั้นต้องทำให้การฝืนกลายเป็นการฝึก พอฝืนกลายเป็นฝึก คราวนี้ได้อย่างเดียวเลย ตอนฝืนนี้เสีย ทุกข์ พอฝึกก็เริ่มได้ ก็สุข ทีนี้ก็ฝึกไปเถิด ยิ่งยากยิ่งได้มาก อย่างที่เคยบอก.

ยากเราก็ได้ฝึกมาก ใช่มั๊ย? เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้มีจิตสำนึกในการฝึกตน เจอสิ่งที่ยาก เตรียมจิตไว้แล้ว เจอสิ่งที่ยากแทนที่จะทุกข์ สุขเลยใช่มั๊ย? สมใจ ปีติว่าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว สิ่งที่ยากจะได้มาฝึกตน นี้ก็พอฝึกตนก็ได้มากยิ่ง จริงๆ เพราะว่าฝึกกับสิ่งที่ยาก มันต้องพัฒนาความสามารถทุกด้าน ทั้งพฤติกรรมจิตใจและปัญญา มาหมด ความสัมพันธ์ทางสังคมอะไรต่ออะไรมาหมด การฝึกก็ช่วยเรา นั้นก็การปฏิบัติธรรมเนี่ยะ มันก็มาอยู่ตลอดเวลาในชีวิตของเราเนี่ยะ ทำอะไรถูกต้องแล้วก็ การทำอะไรถูกต้องก็เรียกว่าปฏิบัติธรรม ก็เท่านั้นเอง ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูก มันก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติไม่เป็นธรรมนั่นเอง ปฏิบัติธรรมกับปฏิบัติไม่เป็นธรรมก็อยู่คู่กันยังเงี๊ยะ ทำอะไรมันถูกหลักถูกทาง ไปด้วยดีได้ผลดี เป็นประโยชน์เป็นคุณ มันก็เป็นปฏิบัติธรรม ปฏิบัติผิด มันก็ไม่เป็นธรรม มันก็เสียหายเกิดทาแก่ตนมั่ง แก่ผู้อื่นมั่ง ชีวิตตัวเองก็ไม่พัฒนา.

นั่นก็เอาแล้วนะครับ เรื่องความรู้กับความรู้สึก ก็คู่กันอย่างนี้แหละ เอ้า ถ้ายังงั้นก็ ไม่มีอะไร นึกได้เท่าเนี๊ยะ ก็เตรียมลาละ ยังดีตอนนี้เค้ายังเปิดโอกาสให้พูดได้ ตอนที่ผมออกจากวัดนี้ไปคือ เค้าไม่เปิดโอกาสให้พูด พูดไปเดี่ยวก็(ไอ)ต้องหยุดพูดละ (ไอ) รุ่นแรงมาก ตอนนี้เค้าเปิดโอกาสให้พูดได้บ้าง แต่ว่าสภาพที่จริงน่ะ ทรุด ไอเบาลงแต่ว่า เหมือนปอดอะไรเป็นต้น ทรุดลงไป อ้าว.       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น