๏ รัฐบาลแทบทุกรัฐบาลในโลก มัว
แต่มัวแก้ไขนั่นนิด
นี่หน่อยนับ
ร้อยเรื่อง พันเรื่อง
ที่นั่นนิดนี่
หน่อย ไม่ใคร่มุ่งระดมแก้ไข
ปัญหาทางศีลธรรม ซึ่งเป็นที่
รวมแห่งปัญหาทั้งปวง.๛
ชนชั้นปกครอง
เราจะดู ชนชั้นปกครอง กันบ้าง: จะเรียกว่ารัฐบาลหรือเรียกอะไรก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจเรียกได้เลย
แต่เรียกรวมๆก็ต้องเรียกว่า ชนชั้นปกครองจัดเป็นรูปรัฐบาล หรือหลังฉากรัฐบาล
หรือหน้าฉากรัฐบาล อะไรก็สุดแท้: ชนชั้นปกครองนี้
กำลังให้ความหมายแก่ศีลธรรมอย่างไร?
ชนชั้นปกครองในโลก กำลังให้คุณค่าทางศีลธรรมอย่างไร?
ถ้าชนชั้นปกครองเหล่านี้
เขารู้จักศีลธรรมดี ให้ความหมายแก่ศีลธรรมดี
ก็ต้องจัดศีลธรรมในรูปที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ คือสันติภาพให้แก่มนุษย์เป็นแน่.
เดี๋ยวนี้เราจะดูว่าชนชั้นปกครองทั้งหลาย
ที่คุมอำนาจการปกครองไว้นี้ เขามีจิตใจเป็นอย่างไร? คนเหล่านี้รู้จักบาปบุญคุณโทษเท่าไร?
รู้จักบิดามารดา ครูบาอาจารย์อย่างไร? รู้จักศีลธรรม วัฒนธรรม
ศาสนาพระเจ้าพระสงฆ์อย่างไร? รู้จักการเสียชาติ หรือสูญชาติกันในลักษณะไหน?
เขารู้จักหรือไม่ว่าประชาธิปไตยนั้นมันเหมาะแก่ผู้มีศีลธรรมเท่านั้น
ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้ว ประชาธิปไตยอยู่ไม่ได้.
ประชาธิปไตยอยู่ได้ ก็เพราะว่ามันมีศีลธรรมเป็นรากฐาน: นี้เขาไปหลงกันแต่ในส่วนประชาธิปไตย แล้วก็ไม่มองในส่วนศีลธรรม
มันก็มีประชาธิปไตยที่เป็นที่พึ่งไม่ได้ ส่วนใหญ่มันจึงเป็นพิษ
คือมันผิดต่อความจริง ต่อข้อเท็จจริง ของธรรมชาติของอะไรต่างๆ.
มีภาษิตอยู่ข้อหนึ่งดีมาก
ซึ่งควรจะจำไว้ว่า เนสา สภา ยตฺถ น สนฺติ สนฺโต : เนสา สภา
ว่านั้นมิใช่สภา, ยตฺถ น สนฺติ สนฺโต คือ ในที่ใดไม่มีสัตบุรุษ
ที่นั่นไม่ใช่สภา.
ในสภาผู้แทนราษฎรของชาติทั้งหลายต่างๆในโลกนี้ มีสัตบุรุษหรือไม่: ถ้าไม่มีสัตบุรุษนั่นไม่ควรเรียกว่าสภา, มันเป็นเพียงกลุ่มของคนบ้า
ประชุมกันถกเถียงอะไรต่างๆนานา ไปตามแบบของคนบ้า.
ถ้าจะเป็นสภาตามความหมายของพระบาลีนี้ ของภาษานี้มันต้องประกอบไปด้วยสันโต
สันตบุคคล คือสัตบุรุษ: นั่นมิใช่สภา ถ้าที่ใดไม่มีสัตบุรุษ,
ในที่ใดไม่มีสัตบุรุษ ในที่นั้นไม่ใช่สภา.
นี่เดี๋ยวนี้เขามีสภา
เป็นสภาสำหรับปกครองประเทศชาติ, แล้วมาดูกันหรือเปล่าว่า
ในสภานั้นมีสัตบุรุษหรือไม่? ถ้าไม่มีสัตบุรุษมันก็เป็นที่รวมกลุ่มของคนบ้าคนเมา
ครึ่งบ้าครึ่งเมา หลงใหลอะไรต่างๆนานา:
ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมกันเสียเลย จะพาบ้านเมืองไปไม่ได้ หรือพาโลกนี้ไปไม่ได้. นี่ความรู้จักบาปบุญคุณโทษ
มีในสภาเหล่านั้นหรือเปล่า? ยิ่งกว่านั้น มีสัตบุรุษหรือเปล่า?
แล้วคำว่า “สูญชาติ, เสียชาติ” นี้
มันเป็นคำที่สำคัญที่สุด.
เขาจะรู้กันหรือเปล่า ว่าเสียชาติ สูญชาติทางวัฒนธรรม นั่นมันร้ายกาจ
ยิ่งกว่าเสียชาติ สูญชาติ สูญชาติทางวัฒนธรรม นั่นมันร้ายกาจ ยิ่งกว่าเสียชาติ
สูญชาติ ทางการเมือง? ถ้าสมมติเราต้องพ่ายแพ้ ตกไปเป็นข้าเขาเป็นเมืองขึ้นเขา
แต่ยังคงมีศีลธรรม วัฒนธรรมของคนไทย พุทธบริษัทอยู่ได้ ก็ไม่เรียกว่าเสียชาติไทย
ไม่เรียกว่าสูญชาติไทย: แม้ว่าโดยภูมิศาสตร์ หรือโดยการเมือง
มันไปรวมอยู่กับประเทศอื่น ชาติไทยยังอยู่ที่ตัวบุคคลนั้น, วัฒนธรรมไทย
ศีลธรรมไทยยังอยู่.
แต่เดี๋ยวนี้ถ้าเราละทิ้งศีลธรรม
วัฒนธรรมไทยอย่างพุทธบริษัทเสียแต่เดี๋ยวนี้ที่นี่แล้ว:
มันสูญชาติเสียแล้ว. มันสูญชาติอยู่ในสภา
ที่เขาประชุมกันเพื่อบริหารประเทศนั่นเอง, ไม่มีความเป็นคนไทยแล้ว สูญชาติไทยแล้ว
ทั้งที่แผ่นดินนี้ยังไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร.
เดี๋ยวนี้แผ่นดินไทยยังไม่เป็นเมืองขึ้นของใคร: แต่ว่าชาติไทยสูญไปเสียแล้วก็ได้
คือไม่มีวัฒนธรรมไทย ไม่มีศีลธรรมไทย ไม่มีความเป็นพุทธบริษัทอย่างไทยๆ
อย่างที่สัตบุรุษ บรรพบุรุษ พุทธบริษัท ปู่ ย่า ตา ยายของเรา
เคยมีมาแต่กาลก่อน. เดี๋ยวนี้เรียกว่าชาติไทยในทางวัฒนธรรมมันสูญไปแล้ว: ถ้าเป็นอย่างนี้ สูญชาติแล้ว.
แม้ว่าแผ่นดินยังไม่เป็นคนอื่น.
เดี๋ยวนี้เขามาหลับตามองเห็นแต่
แผ่นดินนี้ๆอย่างเป็นความบ้าหลัง มุทะลุ มุมานะ อย่างเดียว ด้านเดียว ข้างเดียว
ไม่มองความเสียชาติ สูญชาติทางนามธรรม ทางจิตใจ ทางมโนธรรมกันเสียเลย: เพราะฉะนั้นจึงสูญชาติในส่วนจิตใจ หรือส่วนวัฒนธรรม, แล้วไม่เท่าไร ความสูญชาติอันนี้จะนำไปสู่ความสูญชาติ
ทางเนื้อหนัง ทางแผ่นดิน ทางวัตถุอะไรหมด.
เดี๋ยวนี้เมื่อเราไปตามก้นเขา ทุกอย่างทุกประการ ในการกินการอยู่
การทุกๆอย่างทุกประการ ไปตามก้นเขาหมด จนไม่มีความเป็นไทยเหลือ: ไม่เท่าไรก็สมัครที่จะเป็นทาส เป็นข้าเขา เท่านั้นแหละ. ปากก็พูดไปอีกอย่างหนึ่ง,
แต่น้ำใจนั้นไปหมดแล้ว. นี่เรียกว่า
ความสูญชาติไทย ที่น่ากลัวที่สุด.
ที่นี้ประเทศอื่นก็เหมือนกันอีก
ไม่เฉพาะแต่ประเทศนี้ นี้มันขึ้นอยู่ที่ว่าชนชั้นปกครอง
จะเป็นรัฐบาลหรือเป็นรัฐสภา เป็นอะไรที่ไหนกันอีกก็สุดแท้
ที่ว่ารวมกันเป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มครองประเทศชาตินั้น มีศีลธรรมกันเพียงไหน? ถ้ามีศีลธรรมมากพอ ความเป็นชาติเป็นไทยเป็นอะไรก็อยู่ได้
ความเป็นมนุษย์ก็อยู่ได้:
ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วก็หมดไปๆในทางจิตใจก่อน แล้วในที่สุดก็จะหมดไปทั้งทางร่างกาย
ทางวัตถุ. 1
1 ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส
เรื่องอริยศีลธรรม, ลำดับที่ 18.ค บนแถบพื้นสีแดง, เรื่อง ที่ 6
ความรู้สึกของมนุษย์ต่อปัญหาทางศีลธรรม (ต่อ).
บรรยายวันที่ 10 สิงหาคม 2517, หน้า 188-191.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น