หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

"มันจะทำได้อย่างไรกันโว้ย!"



วัตถุนิยม มโนนิยมความเสมอภาค

          เรามีไก่ 2 ตัว มันเพิ่งเกิดมา เป็นหนุ่มอยู่ที่กุฏิ เมื่อเล็กๆก็อยู่กันมาได้ดีไม่มีอะไร; พอเป็นหนุ่มขึ้นมา มันสอนขัน ตัวนั้นก็ขันตัวนี้ก็ขัน,  ขันๆขึ้นมาเลยตีกัน. นี่ดูซิ มันเลยตีกันอยู่หลายวัน เดี๋ยวตี-เดี๋ยวตี จนต้องจับไปแช่น้ำ หยุดตี: แล้วปล่อยอีก ก็ตีกันอีก.
                   ทีนี้พอมาหลายวันเข้า ไอ้ตัวหนึ่งซึ่งมันมีท่าไม่เก่งในการตี มันก็สู้ไม่ได้ มันก็ยอมแพ้วิ่งหนี; แต่พอเลี้ยวไปกุฏิฝ่ายโน้น มันขันขึ้นมาอีก; เอ้า, ไอ้ตัวนี้วิ่งตามไปตีอีก, พอตัวนั้นขันขึ้นมาอีก ตัวนี้วิ่งตามไปตีอีก.  พอครั้งสุดท้ายนี้ไอ้ตัวนั้นมันไม่ขันแล้ว มันกระต๊ากๆๆ; ไอ้ตัวนี้ก็ไม่วิ่งตามไปตี.  ไอ้ตัวชนะมันไม่วิ่งตามไปตี.  มันคล้ายๆกับมันจะบอกว่า : กระต๊ากซิ, อย่าขันท้าซิ; ไอ้ตัวนั้นมันก็ไม่วิ่งตามไปตี เพราะมันกระต๊ากเสีย.  ไอ้คำว่า กระต๊ากนี้ มันก็หมายความว่า “ยอมแพ้” หรือว่า “ขอความช่วยเหลือ””.
                    อาตมาสังเกตเห็นว่า ไก่กระต๊ากนั่นคือไก่ที่ขอความช่วยเหลือ, ไม่ต้องหมายถึงการแพ้ก็ได้ แต่ขอความช่วยเหลือ พอกระต๊ากก็หยุดตี; แต่ถ้าขัน; ไม่ได้, วิ่งไปตีอีก.  นี่มันอยู่เสมอกัน มันไม่ลงกันมันก็อย่างนี้.  แต่ที่นี้ความหมายมันกว้างกว่านี้ ว่าเสมอกันนั้น คือพูดกันไม่ได้; ลองในครอบครัวของคุณทองนี่ เอ้า, พ่อ แม่ ลูก หลาน เหลน อะไร มันว่ากล่าวกันไม่ได้ มันเสมอกันนี้ จะเป็นอย่างไร; มันจะเป็นทุกข์หรือว่าจะเป็นสุข.
                   นั่นหลักใหญ่ก็มีอย่างนี้ก่อน : มันต้องลงกันเป็นลดหลั่น ในโลกนี้ในบ้านเมืองนี้ มันก็ต้องมีการลดหลั่นกัน ตามสติปัญญาสามารถตามอำนาจ สุดแท้แต่มันจะจำเป็นอย่างไร.  ฉะนั้น ศาสนาจึงไม่สอนความเสมอภาคแบบัน้น คือแบบที่ว่าใครทำอะไรก็ได้.  ศาสนาต้องการที่จะให้ยกเอาพระเจ้าขึ้นเป็นเอก เป็นเอกอุตม์เลย ใครเสมอไม่ได้, ต้องเชื่อฟังพระเจ้า ให้พระเจ้าเผด็จการ, นี่ไม่ต้องเสมอกัน, แล้วก็มีรองพระเจ้า ผู้ช่วยพระเจ้า อะไรเป็นลดหลั่นลงมา; ทุกคนต้องเชื่อฟัง.
ทีนี้พอมาถึงประชาชนของพระเจ้านี้ มันก็ยังเสมอกันไม่ได้อีกแหละ; เพราะมันมีสติปัญญาไม่เท่ากัน ต้องมีกีรบังคับบัญชากันเรื่อยไป, หรือว่ามันเกิดก่อนเกิดหลังกัน.  เพราะฉะนั้นให้พ่อแม่นี้บับงคับลูกได้, ฉะนั้น อบรมลูกให้มันเข้าใจถูกต้องเสียในเรื่องนี้ : ว่าอย่ามีประชาธิปไตยบ้าๆบอๆเหมือนที่เขากำลังมีอยู่ในเวลานี้เลย.  ให้มีการบังคับกันได้, ว่ากล่าวกันได้โดยธรรม.  อย่าลืมนะต้องโดยธรรมเสมอนะ, คำว่า “โดยธรรม” ทิ้งไม่ได้.
บังคับโดยธรรม ก็คือ เมตตา กรุณา หวังดี, ถ้าบังคับโดยกิเลสนี่ มันทำนาบนหลังคนอื่น นี้ใช้ไม่ได้; ต้องโดยธรรม ไม่ใช่โดยกิเลส.  เพราะฉะนั้นเราต้องมีการว่ากล่าวกันได้ บังัคบกันได้ แต่โดยธรรม; ตามหลักของพระศาสนามีอย่างนี้.  อาตมาก็ศึกษาไปศึกษามา ก็รู้สึกอย่างนี้; ถ้าไม่อย่างนี้รู้สึกว่ามันเป็นความบ้าบออะไรชนิดหนึ่ง คือ หลับหูหลับตาเสมอภาคกัน มันผิดหลักธรรมชาติ; ธรรมชาติมันก็จัดให้ลดหลั่นกันมาตามลำดับ ของสิ่งที่มันมีอะไรเหนือกว่า.
ทีนี้เมื่อมีการบังคับแล้วก็ต้องให้สำเร็จประโยชน์ในการบังคับหรือการว่ากล่าวกันได้.  อย่างในวัดหนึ่งนี้ ต้องมีการบังคับบัญชาว่ากล่าวกันได้ แล้วก็ต้องสำเร็จประโยชน์ ในการว่ากล่าวบังคับบัญชาด้วย.
ในคณะสงห์ทั้งหมดนี้ก็เหมือนกันล ในประเทศไทยนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น; หรือคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้าทั้งโลกเลย.  โลกชาวพุทธทั้งโลกนี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้น; ฉะนั้นท่านจึงเน้นหนักว่า ในการเคารพพระเถระผู้รัตตัญญูรู้ราตรีนาน คือคนแก่นั่นแหละ; ให้เคารพเชื่อฟังคนแก่ที่รู้อะไรมากกว่า.
ส่วนเสมอภาคโดยสิทธิอะไรบางอย่าง ในทางการเมืองก็ดี ทางคณะสงฆ์ก็ดี นั่นมันอยู่ในวงแคบนะ มันไม่ใช่โดยธรรมชาติ.  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่จะเป็นอย่างนั้นได้ทุกคน : เช่น สิทธิที่จะเลือกผู้แทนนี้ มันมีทุกคนเมื่อไหร่; คนที่เลือกไม่ได้มันก็มี.  หรือว่าเข้าไปเป็นผู้แทน อะไรเสมอกันแล้ว มันก็ยังต้องแบ่งหน้าที่ ที่มันยังลดหลั่นกันอยู่เรื่อยไป.
สงฆ์มีสิทธิบางอย่างเสมอกัน : เรื่องฉันทะ เรื่องปวารณา เรื่องอุโบสถ ปวารณาปาริสุทธินี้เสมอกัน; แต่เรื่องอื่นมันก็ยังมี ที่จะบังคับว่ากล่าวตักเตือนกัน.  ฉะนั้น ส่วนที่ว่าเสมอภาคกันนั้น อยู่ในขอบเขตจำกัดที่สุด.  ส่วนที่ว่ากล่าวบังคับกันได้ โดยลดหลั่นกันลงไป นี้คือทั้งหมด, คือตัวที่จะรอดอยู่ได้.
นี้พุทธบริษัทมีลักษณะอย่างนี้อยู่แล้ว เป็นอุปกรณ์การเมืองที่ดีอยู่แล้ว ในความเป็นพุทธบริษัท.  ถ้าจะมีระบบการเมืองอะไรมาให้พุทธบริษัท; มันก็ต้องเป็นระบบการเมืองที่ว่ากล่าวบังคับกันได้; ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตยบ้าๆบอๆ มือใครยาวสาวเอา, หรือว่า ใครว่าไม่ได้ใครค้านไม่ได้.1








1              ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  ธรรมะกับการเมือง, ลำดับที่ 18.จ  บนแถบพื้นสีแดง, เรื่องที่ 10 องค์ประกอบเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพุทธบริษัท.  บรรยายวันที่ 18 กันยายน 2519, หน้า 515-518.

ต้องรู้จักขอบเขต

...ถ้าวันไหนบ้านเมืองไม่น่าดู พระอริยสาวกในเมืองนั้น จะส่งข่าวไปยังพระพุทธเจ้าว่า อย่าออกไปบิณฑบาต จะส่งอาหารบิณฑบาตไปถวายที่วัด.  นี่คิดดู, พระอริยสาวกเหล่านั้น ไม่ต้องการให้พระพุทธเจ้าเสด็จไปเห็นสิ่งต่างๆที่มันไม่น่าดู.  ในเรื่องนี้ก็มีว่า ในเมืองสาวัตถีอีกนั่นแหละ ถึงวันหนึ่ง เขาเล่นนักขัตฤกษ์ เขาเรียกกันว่า พาลนกขตฺต พาลนักษัตร จะเป็นชื่อที่เรียกทับถมทีหลังก้ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้ารูป.  พาลแปลว่า คนโง่, คนพาลคือคนโง่, พาลนักษัตร คือนักษัตรของคนโง่.  คนโง่เขาก็เล่นนักษัตรกันอย่างสนุกเต็มบ้านเต็มเมือง ตลอดเวลา 7 วัน.
ทีนี้พวกที่เป็นอริยสาวก อุบาสก อุบาสิกา นี้ ก็ส่งข่าวไปยังพระพุทธเจ้าว่าอย่าเสด็จบิณฑบาต 7 วัน จะขนอาหารไปถวายที่วัด เพราะเขากำลังเล่นพาลนักษัตรกัน เต็มไปทั้งเมืองทุกหนทุกแห่ง, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระสงฆ์ทั้งหลาย ไม่ควรจะได้เห็นเลย.
ขอให้คิดดูว่า นี่เป็นโอกาสอันยากที่พระพุทธเจ้าท่านจะได้มาเกี่ยวข้องกับพวกคนพาลเหล่านี้ เมื่อท่านได้รับทราบข่าวนี้ที่วัด ท่านก็ได้ตรัสคาถานี้ว่า : ปมาทมนุยุญฺชนฺติ พาลาทุมฺเมธิโ ชนา – พวกคนพาล คนโง่ คนไร้ปัญญานี่ ย่อมประกอบอยู่แต่ความประมาท, อปฺมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฐํ ว รกฺขติ – ส่วนคนที่มีปัญญานั้น เขารักษาไว้แต่ความไม่ประมาท ในฐานะที่เป็นทรัพย์อันประเสริฐ.  คนพาลมัวแต่ประกอบความประมาท; คือพวกเล่นนักษัตร, พาลนักษัตรนี้.  ทีนี้พวกมีปัญญาก็รักษาความไม่ประมาทไว้ในฐานะเป็นพระที่ประเสริฐ, มา ปมาทมนุยุญฺเชถ – เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลาย จงอย่าประกอบในความประมาท, มา กามารติ สนฺถวํ – อย่าประกอบความนิยมชมชอบ ด้วยความยินดีในทางกาม อปฺปมตฺโตหิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ – เพราะว่า ผู้ไม่ประมาทแล้วเพ่งพินิจอยู่ ย่อมจะได้ซึ่งความสุขอันไพบูลย์.  คนพาลไม่มีปัญญา นี้แสดงว่ามันโง่ไปตามประสาคนโง่ กระทำไปตามประสาคนโง่ หมดเปลืองไปตามประสาคนโง่; เรื่องที่ไม่ต้องทำก็ไปทำ ทั้งเงินก็เสีย; ทั้งต้องยุ่งยากลำบากไปหมด จนพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาในเมืองไม่ได้.
อย่างคนสมัยนี้ ทำอะไรที่ไม่ควรทำ ที่พระไม่ควรจะไปดูไปเห็น มันมีอยู่หรือไปทำอะไรอย่างโง่เขลานั้น มันยังมีเหลืออยู่ เรื่องเมามายที่เรียกว่า กามรติ สนฺถวํ ทุกอย่าง.  ทำไปเพื่อประโยชน์แก่ความเพลิดเพลินในทางกาม ทางกามารมณ์ เงินก็เสีย เวลาก็เสีย กิริยาอาการก็”ม่น่าดู จขนพระอริยสาวกสั่งไปทูลห้ามว่า พระพุทธเจ้าอย่าเสด็จเข้ามาในเมืองในระหว่างเวลา 7 วันนี้ เขาจะกินเหล้าเมามายกัน อจะทำอะไรอย่างที่เรียกว่าเป็นอนาจารนั้น, หรือแต่ที่สุดเขาจะเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันอย่างเลวที่สุด; พระพุทธเจ้าก็ไม่ควรจะเข้ามาในเมือง.
เรื่องเล่นโง่ๆประสาคนพาลนี้ มันยังเหลืออยู่มาก.  นี่แสดงให้เห็นว่าในเมืองสาวัตถีสมัยโน้เน ก็มีประชาธิปไตยเหมือนกัน.  ทำไมบ้านเมืองจึงยอมให้เล่นพาลนักษัตรไม่น่าดูกันแบบนี้ ก็คงจะมีประชาธิปไตยเหมือนกัน; แต่มันเป็นประชาธิปไตยของคนโง่ ที่จะได้ทำอะไรไปตามประสาคนโง่, แล้วก็ทำกันเต็มบ้านเต็มเมือง จนพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาในเมืองไม่ได้.
นี่ขอให้เราระลึกถึงข้อนี้ไว้ ถ้าจะเล่นอะไรกันให้สนุกสนาน ก็อย่าให้มันเป็นอย่างนี้.  ให้ระลึกถึงอริยวินัย จะเล่นจะหัว ก็ให้เล่นหัว อยู่ในระบอบระเบียบของอริยวินัย พอที่จะให้พระพุทธเจ้าท่านเสด็จผ่านมาได้ แม้จะไปบิณฑบาต.  นี่จะเล่นแบบพาลนักษัตรกัน จนแม้แต่ว่าพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตในเมืองก็ไม่ได้, นี่ไม่สมควร.  นี่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นพาล ประชาธิปไตยของคนพาล สีสิทธิเสรีภาพดที่จะทำกันอย่างนั้น ที่จะเล่นกันอย่างนั้น.
นี่ถ้าถือตามอรรถกถานี้ ก็หมายความว่า ในเมืองสาวัตถี ในสมัยพุทธกาล มันก็มีประชาธิปไตยอันธพาล อย่างนี้แล้วด้วย.  ควรจะเข้าใจกันไว้ว่า ประชาธิปไตยๆนั่นมันหมายความว่าอย่างไร?  แล้วเมื่อไรมันเป็นโทษ?  เมื่อไรมันเป็นคุณ?  ถ้ามันไม่ประกอบไปด้วยธรรมแล้ว มันก็เป็นโทษ.  มันลำบากถึงขนาดว่าพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปโปรดสัตว์ถึงในเมืองไม่ได้.  นี่ตามถนนหนทาง มันมีอะไรอย่างนี้ จนถึงว่าพระพุทธเจ้าไม่ควรไป, เพราะฉะนั้น ในวันนั้นจึงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น.  ถ้าสมมติว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงทราบ และเสด็จเข้าไปในเมืองในวันนั้น คงจะสนุกกันใหญ่ มันจะยิ่งกว่าเด็กเอาทรายใส่บาตร หรือจะยิ่งกว่าตีงูอะไร หลายอย่างหลายประการทีเดียว.1










1              ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  พุทธจริยา  ตอนที่ 12, ลำดับที่ 11 บนแถบพื้นสีแดง,  เรื่องที่ 12 พระพุทธเจ้าท่านเป็นอะไรต่อผู้ที่พบตามถนนหนทาง.  บรรยายวันที่ 17 มิถุนายน 2515, หน้า 405-407.

วัตถุนิยม

เราก็มีปัญหาต่อไปว่า มีความทุกข์ชนิดไหนบ้าง ที่ทางวัตถุนี้เอาชนะไม่ได้ คำว่า “ทางวัตถุ”นั้น อาตมาหมายถึงมีเงิน มีทอง มีอำนาจวาสนาและมีวัตถุ มีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ มีความรู้สึกทางวัตถุนี้ กระทั่งมีเงินมากมีทรัพย์สมบัติมาก มีอำนาจวาสนามาก มีเครื่องมือสารพัดอย่างนี้แล้ว ยังมีความทุกข์ชนิดไหนอยู่อีก ที่อำนาจทางวัตถุเช่นนี้ เอาชนะมันไม่ได้ ลองคิดดูต่อไป.
ในที่สุดเราก็จะย้อนมาพบว่า ความทุกข์ที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตัวตน คือตัวกู ที่ปรุงแต่งขึ้นมานี้แหละ เป็นสิ่งที่วัตถุแก้ไม่ได้ ชนะไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นแหละ มันปรุงวัตถุขึ้นมา หรือวัตถุไปตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งนั้น ถูกสร้างขึ้นมาโดยสิ่งนั้น; ฉะนั้น วัตถุแม้จะมีมาก มีอิทธิพลสูงอย่างไรก็จะแก้ความทุกข์ชนิดนี้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยสิ่งอื่นที่ดีกว่า ที่ประเสริฐกว่า มากมายทีเดียว.  นั่นแหละ คือ ธรรมะ! ธรรมะจะเข้ารมาที่ตรงนี้ มีช่องทางที่ธรรมะจะต้องเข้ามาตรงนี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เรา; เราจึงรับเอาธรรมะเข้ามาในฐานะเป็นเครื่องมือ สำหรับเอาชนะความทุกข์ประเภทที่วัตถุช่วยแก้ให้ไม่ได้นั่นเอง.
ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ลองคิดดูให้ดีว่า เรากำลังมีสิ่งที่ว่านี้ มีเครื่องมืออันนี้แล้วหรือยัง; หรือว่าสิ่งที่เรากำลังเรียน กำลังทำ กำลังศึกษา กำลังมุ่งมาดปรารถนานั้น มันออกไปจากขอบวงของวัตถุแล้วหรือยัง; หรือว่ายังตกอยู่ในวงของวัตถุ ยังเป็นเรื่องมัวเมามาทางวัตถุ; ถ้าอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ธรรมะ เราจะต้องอยู่เหนือนั้นไปอีก จะต้องมีจิตใจ มีความรู้สึก ที่อยู่เหนือวัตถุ จึงจะเป็นธรรมะ จึงจะมาควบคุมวัตถุ ที่เป็นปัญหายุ่งยากในชีวิตประจำวันได้.  ปัญหายุ่งยากในชีวิตประจำวัน หรือชีวิตประจำวันที่เป็นปัญหายุ่งยากนั้น ไม่มีอะไรเลย ล้วนแต่เนื่องมาจากวัตถุทั้งนั้น.  ความยุ่งยากเหล่านี้ไม่อาจจะเกิดมาจากธรรมะ หรือจากเรื่องทางฝ่ายธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจได้เลย.  แต่เมื่อจิตใจตกมาเป็นบ่าวของวัตถุ เป็นทางของวัตถุ หมดอิสรภาพแล้ว วัตถุก็สร้างปัญหาขึ้นแก่จิตใจในชีวิตประจำวัน.  เราจะแก้อย่างไร เราต้องมี สิ่งที่เหนือกว่าคือ ธรรมะที่สามารถจะครอบงำอำนาจของวัตถุได้ นั่นเอง.  นี่แหละเราจะพบว่ามีความทุกข์อยู่อีกแบบหนึ่ง ซึ่งวัตถุไม่อาจจะเอาชนะได้ แต่จะต้องเอาชนะด้วยสิ่งซึ่งมีอำนาจเหนือวัตถุ คือ “ธรรมะ”ในฝ่ายทางจิตใจ หรือทางฝ่ายวิญญาณ ที่หลายๆคนไม่ชอบให้เอ่ยชื่อถึงนั่นเอง เมื่อเป็นดังนี้ก็แปลว่า ธรรมะนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในส่วนนี้ คือในชีวิตประจำวันนี้เอง.
ปัญหาควรจะดำเนินต่อไปมีว่า เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อะไรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ เป็นประจำวสัน? คือได้แก่เรื่องทางวัตถุ หรือเรื่องทางจิตใจกันแน่ ที่เราควรจะได้ในฐานะเป็นสิ่งที่ดำที่สุดเป็นประจำวันหรือตลอดชีวิต? ข้อนี้พุทธศาสนาไม่ได้เป็นเอามากๆ จนถึงกับรังเกียจฝ่ายโน้น รักฝ่ายนี้โดยส่วนเดียว; เพราะว่าถ้าทำดังนั้นก็ไม่เป็นสายกลาง ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา.  เราไม่รังเกียจอะไรหมด แต่แล้วเราก็ใม่หลงรักอะไรหมด; แต่ว่า เรายังมีสติปัญญาที่จะควบคุมมันทุกอย่างทีเดียว.  สำหรับวัตถุนั้น เราต้องใช้ เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเสมอ แต่เราทำไปด้วยสติปัญญาหรือด้วยธรรมะที่ควบคุมมันได้; เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นวัตถุหน้าใหม่เข้ามา คือเป็นวัตถุที่ถูกควบคุมแล้ว ที่ควบคุมได้เป็นอย่างดีแล้ว และ อยู่ในอำนาจของเรา.
เรื่องทางฝ่ายกนามธรรมหรือทางฝ่ายจิตใจ เราก็ระบุเอาเฉพาะตรงที่เป็นความรู้อย่างถูกต้อง อย่างพอเพียง อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ต้องเป็นเอามากๆเหมือนกับคนบางพวกที่คิดว่า จะทำลายร่างกายนี้เสีย ให้เหลือแต่จิตใจล้วนๆ ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิพวกหนี่ง ซึ่งบำเพ็ยอัตตกิลมถานุโยค ทำลายร่างกายหรืออะไรยิ่งไปกว่านั้น.  หรืออีกอย่างหนึ่ง ที่มีกล่าวถึงพวกพรหมชนิดหนึ่งที่ไม่มีใจมีแต่ร่างกาย เพราะความคิดของเขารุนแรงมากถึงกับเกลียดใจ ไปโทษใจว่า เพราะมีใจนี่แหละ จึงเกิดความทุกข์ขึ้นอย่างนี้ก็มี.  เรื่องจริงๆจะมีได้อย่างไรนั้นไม่แน่ แต่ความคิดอย่างอุตริวิตถารเช่นนี้นั้น มีได้แน่ มีได้แก่คนที่ชอบคิด หรือตั้งใจคิด และคิดรุนแรงตะพึดตะพือไป.
พระพุทธศาสนาเราจะถือหลักไปในทางที่ว่า จะมีจิตใจที่ควบคุมแล้วจะมีวัตถุที่ควบคุมแล้ว จัดแจงปรับปรุงสร้างสรรค์ให้สัมพันธ์กันเป็นอย่างดีแล้ว คือในสภาพที่เหมาะสมแก่การที่จะไม่เป็นทุกข์นั่นเอง.
ปัญหาที่ว่า แพเป็นสิ่งที่ดี่สุด ที่มนุษย์เราควรจะได้นี้ ขอให้จำเอาไปด้วย:  ถ้าคิดปัญหาข้อนี้ถูกแล้ว การใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันจะง่ายดายที่สุด.  แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องแยกเรื่องวัตถุกับเรื่องทางวิญญาณ หรือจิตใจนี้ ออกเป็น 2 เรื่องได้เสมอไป เพื่อเห็นความแตกต่าง แล้วควบคุมให้ได้นั่นเอง คือเราจะต้องมองให้เห็นว่า พวกที่หลงไปทางวัตถุนิยมนี้ เขาแสวงหาความสุขจากวัตถุ และด้วยการตามใจกิเลส.  นี่ ขอให้จำประโยคนี้ให้ดีๆว่า พวกที่ตกไปฝ่ายวัตถุนั้น จะแสวงหาความสุขจากอะไรกันปแน่:  จากวัตถุต่างๆที่เรามุ่งหมายจะสร้างสม สะสมขึ้นข้างหน้าให้มากมายใช่หรือไม่ หรือมุ่งหมายจะแสวงหาความสุขจากการกระทำต่อจิตใจให้ถุกต้อง และให้เกิดความสงบสุขอย่างประเสริฐขึ้นมาโดยไม่ต้องเกี่ยวกับวัตถุเลย.
ถ้าเรามุ่งหมายทางวัตถุตะพึดตะพือไป โดยถือหลักว่า เมื่อวัตถุสมบูรณ์แล้ว จิตใจก็สมบูรณ์เอง เมื่อวัตถุถึงที่สุดแล้ว จิตใจก็มีความสุขถึงที่สุด; ก็ขอให้ทราบว่า นี่แหละคือ dialectic materialism ซึ่งเป็นต้นกำเนิดและหัวใจของคอมมิวนิสต์ จะเอาหรือไม่เอา ก็ลองคิดดูเอง !
ถ้าหากว่า แสวงหาความสุขทางฝ่ายนามธรรม ซึ่งอยากจะเรียก หรือขอเรียกไปทีว่า มโนนิยม; เพราะไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไร มันเป็นการบัญญัติคำที่ก้าวหน้าเร็วเกินไปก็ได้ ขอเรียกไปทีก่อน เพื่อพอพูดกันได้เท่านั้นเอง; คือถ้าเราไม่เป็นวัตถุนิยม แต่ เป็นมโนนิยม แล้ว ก็แสวงหาสุขจากความเป็นอิสระเหนือวัตถุ ด้วยการแผดเผากิเลสนั้นเสีย; มันตรงกันข้ามอย่างนี้.
ถ้าเป็นวัตถุนิยม ก็ต้องแสวงหาความสุขจากวัตถุ ด้วยการตามใจกิเลส ปรนเปรอกิเลส; แต่การแสวงหาความสุขทางวิญญาณนี้ เป็นมโนนิยม และแสวงหาความสุขจากความเป็นอิสระอยู่เหนือวัตถุ ไม่ตกเป็นทางของวัตถุและก็ด้วยการเล่นงานกิเลส แผดเผากิเลส ทำลายกิเลส ไม่ตามใจกิเลส; เพราะอ่อนแอ กลัวจะไม่ได้สนุกสนานตามความฝันที่ฝันไว้นานมาแล้ว และที่ฝันมากมายทั้งยังฝันต่อไปอีกข้างหน้า โดยไม่สิ้นสุด.
ถ้ามีคนกล้า กล้านึก กล้าคิด กล้าตัดสินใจกันใหม่ นี่แหละจะค่อยเป็นไปได้ คือมีช่องทางที่เราจะเอาชนะวัตถุได้.  ถ้าเดินมารูปนี้แล้ว ปัญหาในชีวิตประจำวันแทบจะไม่มีอะไรเหลือ คือจะไม่มีปัญหาอะไรเหลือ แต่มันจะราบรื่นไปหมด; จะไม่มีปัยหาชีวิตประจำวันเกิดขึ้นมาก จนยื่นคำถามข้อนี้มาก เพราะคงจะล้วนแต่ประสบปัญหาทางวัตถุทั้งนั้น ซึ่งจะประมวลได้ว่า เพราะสิ่งต่างๆทางวัตถุนี้ หรือที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกนี้ ล้วนแต่เป็นไปตามที่กิเลสต้องการ; ไม่ใช่ที่สติปัญญาต้องการ คือมีกิเลสออกมาแสดเงบทบาทเป็นใหญ่ เป็นประธษนเสียเรื่อย ฉะนั้นจึงมีความปหระสงค์มุ่งหมาย คือมี aim หรือมี goal อยู่ตรงที่จะได้วัตถุเต็มตามความต้องการของกิเลส.  เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ให้ปัยหาประจำวันเกิดขึ้นมทากมายจนสางไม่ไหว อาตมาใช้คำว่า จนสางไม่ไหว มันจนเกิดขึ้นมามากมายจนสางไม่ไหว คือปัญหาประจำวันที่มีอยู่ทุกวันๆ จะเกิดเสียจนสางไม่ไหว.  แต่ถ้ากลับตรงข้ามเสียแล้ว ปัญหาชีวิตประจำวันมันสลายตัวไปเองทันที อย่างนี้เป็นต้น.  เพราะฉะนั้น สิ่งที่พวกเราทุกคนกำลังขาดอยู่อย่างยิ่ง ก็คือ ความมีนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั่นเอง.
ความมีนิพพานเป็น goal เป็น object เป็นวัตถุที่ประสงค์มุ่งหมายอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นสิ่งที่เราทุกคนกำลังขาดกันอยู่ และทำให้ปัญหาประจำวันมีมากขึ้น ในการปฏิบัติหน้าที่การงานของตน, คงจะมีคนบางคึนตะโกนอยู่ในใจว่า “มันจะทำได้อย่างไรกันโว้ย1” ที่อาตมาต้องใช้คำหยาบคายว่า “โว้ย” นี้เพราะมันเป็นความรู้สึกอยู่ในใจท่านอย่างนั้นจริงๆก็ได้.  เพราะเหตุเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นได้ทันที และล้วนแต่มืดมนอยู่ไกลสุดเอื้อมไปเสียทั้งนั้น;  คงจะต้องตะโกนว่าโว้ยแน่; “มันจะทำได้อย่างไรกันโว้ย”;  การที่จะนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ได้ตลอดเวลานั้น จะทำได้อย่างไร?
ที่ว่า ยังขาดอยู่ทุกคน นี้ก็อธิบายอยู่ในตัวแล้วว่า ทุกคนมุ่งหมายวัตถุ มุ่งหมายความสุขทางวัตถุ หรือความสุขทางเนื้อทางหนัง; ไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ว่างจากความรบกวนเหล่านี้ ไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ว่างจากตัวกู ของกู ต้องการจะมีตัวกู ของกู ออกรับวัตถุ บริโภคใช้สอยข้าวของวัตถุ เพลิดเพลินมัวเมาอยู่ด้วยวัตถุ; อย่างนี้เรียกว่า มีวัตถุเป็นอารมณ์ ไม่ใช่มีนิพพานเป็นอารมณ์.
ถ้ามีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็คือมีความว่าง ความสะอาด สว่าง สงบ แห่งจิตเป็นอารมณ์; ไม่มีอะไรรบกวน มุ่งมั่นจะได้สิ่งนั้นอยู่เป็นประจำ นี่เรียกว่านิพพานเป็นอารมณ์ที่มุ่งหมายอยู่ตลอดเวลา.  ถ้าถามว่า “จะทำอย่างไรกันโว้ย” ละก็ ต้องดูให้ดีตรงที่ว่า ชีวิตนี้มันมีสภาพอย่างไร เพราะเหตุไร ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น; จนกระทั่งเห็นชัดประจักษ์ด้วยตนเองนั่นแหละ ว่าเพราะมันมีวัตถุเป็นอารมณ์นั่นแหละ มันจึงยุ่งยากไปหมด ทั้งส้วนบุคคล ส่วนสังคม หรือส่วนโลก ทั่วโลกหรือทุกๆโลก ถ้าหากจะมี นี่แหละคือโลกๆดที่มีวัตถุเป็นอารมณ์!  คอมมิวนิสต์ก็มีวัตถุเป็นอารมณ์! ประชาธิปไตยก็มีวัตถุเป็นอารมณ!  รายไหนก็ล้วนแต่มีวัตถุเป็นอารมณ์!  ไม่เคยมีใครนิพพานเป็นอารมณื; ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นทั่วไปหมด กระทั่งปัญหาจริยธรรม ปัญหาจริยศึกษา ปัญหาศีลธรรมเสื่อม.  ปัยหาที่สิ่งเหล่านี้เสื่อมมันมีมูลมาจากความมีวัตถุเป็นอารมณ์ ในโลกนี้ บรรยากาศกลุ้มไปด้วย ความมีวัตถุเป็นอารมณ์ ในแบบอย่างต่างๆกัน;  แล้วก็”ด้รบกัน เป็นวิกฤตกาลถาวรไม่เคยประสบสันติภาพ.  แต่ถ้าทุกคนเห็นโทษณแห่งความยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น จิตจะน้อมไปเองเพื่อนิพพาน.  คำอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่อาตมาว่า; เป็นพระพุทธภาษิตที่มีอยู่ในหลักบาลีชัดๆ.
ถ้ามองเห็นโทษของความยึดมั่นถือมั่นในวัตถุนั้น จิตจะน้อมไปเองเพื่อนิพพาน และนั่นแหละคือมีนิพพานเป็นอารมณ์; ฉะนั้นถ้าอยากจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็ง่ายนิดเดียว คือ พยายามดูให้เห็นโทษอันร้ายกาจที่ครอบคลุมพวกเราทั้งโดยส่วนรวมและโดยส่วนตัวอยู่นี้ ว่า เพราะมันมีมูลเหตุมาจากความเห็นแก่ตัวเป็นอารมณ์ มีความตกอยู่ในอำนาจของวัตถุเป็นอารมณ์ นั่นเอง.
เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้คราวเดียวกัน เราก็อย่าบูชาวัตถุเป็นสรณะ แต่บูชาธรรม ซึ่งไม่ใช่วัตถุ ซึ่งเป็นเครื่องปราบวัตถุนี้ เป็นสรณะ; มีธรรมเป็นเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้วัตถุมาแผ้วพานเรา.  เลยเกิดมีระเบียบ ประพฤติปฏิบัติชนิดที่เรียบกว่า ธรรม นี้ขึ้น หรือจะเรียกว่า จริยธรรม ก็”ด้.  อาตมากล้ายืนยันว่า คำว่า “จริยธรรม” คำเดียว ก็ใช้ได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนปลาย ใช้ได้ตลอดจนกระทั่งถึงนิพพานได้เหมือนกัน;  ใช้ได้ตั้งแต่เรื่องโลกๆ จนกระทั่งถึงนิพพานทีเดียว.1














1              ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  พุทธิกจริยธรรม,  ลำดับที่ 18 บนแถบพื้นสีแดง,  ปาฐกถาชุด  แนะแนวจริยธรรม ครั้งที่ 7 เรื่อง จริยธรรมในชีวิตประจำวัน บรรยายวันที่ 20 มกราคม 2505, หน้า 219-225.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น