บรมธรรม กับระบบการเมือง
วันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่อง บรมธรรม กับระบบการเมืองในโลกปัจจุบันซึ่งบางคนอาจจะคิดว่า
บรมธรรม กับระบบการเมืองนี้มันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร มันเป็นคนละเรื่อง. เมื่อกล่าวโดยแท้แล้วไม่ใช่อย่างนั้น
มันเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันอย่างยิ่ง, ถ้าระบบการเมืองในโลกไม่ดี
โลกนี้ก็ไม่มีหวังที่จะได้รับบรมธรรม แม้ที่จะเป็นอย่างจริยธรรมสากล.
ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า
บรมธรรมอย่างจริยธรรมสากล เขาเล็งถึงปรากฏ ลักษณะ และมูลเหตุ จึงแจกเป็นว่า : อยู่เป็นสุข, มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์, มีหน้าที่เพื่อหน้าที่,
และความรักสากล.
ส่วนคำว่าบรมธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา หรือวัฒนธรรมอินเดียทั้งหมด
เล็งถึงความไม่เบียดเบียนกันแต่อย่างเดียว คำเดียวคือไม่เบียดเบียนตนเอง
มีความสุขอย่างที่เรียกว่า มีนิพพานเป็นสิ่งสูงสุด
หรืออย่างน้อยก็เป็นนิพพานชั่วคราว; สำหรับผู้อื่นนั้น
ก็คือไม่มีการกระทบกระทั่งกันเลย.
บรมธรรมตามหลักจริยธรรมสากลใหม่ๆหยกๆนี้ก็ดี บรมธรรมตามความหมายดั้งเดิมในประเทศอินเดียก็ดี
ไม่มีแก่โลก ที่มีระบบการเมืองอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน.
สำหรับระบบการเมืองในโลก เวลานี้
เป็นอย่างไร ก็เห็นๆกันอยู่แต่จะดูไม่มีใครสนใจว่าโดยส่วนลึก หรือทั้งหมด ตามที่ธรรมชาติต้องการนั้น
ระบบการเมืองของโลกเราสมัยนี้เป็นอยู่ในลักษณะเช่นไร,
ข้อนี้รู้ได้ยากเพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าความจริง
นั้นมันมีเท่าที่บุคคลนั้นจะรู้สึกได้เท่านั้น
ที่เหนือหรือลึกไปกว่านั้นมันรู้ไม่ได้.
ฉะนั้นเรากำลังบูชาระบบการเมืองในระบบไหนกัน ก็รู้แค่เท่านั้น
นี่อาจจะมีลักษณะเหมือนกับกบ ในหนองเล็กๆ หรือในรอยเท้าควายก็ได้
คือมันรู้เท่านั้น เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องมนุษย์กันในแง่อื่นในทุกด้านทุกมุม
มัวแต่ศึกษากันสำหรับแสวงหาประโยชน์อย่างเดียว เอาการเมืองเป็นเครื่องมือหาประโยชน์อย่างเดียว
ไม่ใช่การเมืองเพื่ออะไร ที่สูงไปถึงเรื่องจิตใจของมนุษย์ที่อยู่เป็นผาสุก
ซึ่งเป็นประโยชน์อันสูงสุด.
แปลว่าไม่รู้จักประโยชน์สูงสุด
รู้จักหาประโยชน์ทางวัตถุทางเนื้อหนังกันไปเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการเมืองของโลกสมัยนี้ มันจึงเป็นแต่เรื่องอย่างนี้ คือ
เพื่อประโยชน์สุขทางวัตถุ หรือทางเนื้อหนัง.
ทีนี้เมื่อพูดถึงการเมือง-การเมือง
ก็อยากจะพูดถึง เรื่องอธิปไตยในทางธรรม ให้เป็นที่เข้าใจกันสักหน่อย
เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราก็ใช้คำว่าอธิปไตย เช่น ประชาธิปไตย ราชาธิปไตย อัตตาธิปไตย
คณาธิปไตย อะไรก็ตาม มีคำว่า อธิปไตยมาใช้.
ทีนี้ควรจะรู้ว่า คำว่า “อธิปไตย” ในทางหลักธรรมที่เก่าแก่
บรมโบราณเป็นพันๆปีนั้น มีอะไรบ้าง. อธิปไตยตามหลักธรรมมีอยู่
3 อย่าง;
อัตตาธิปไตย เอาประโยชน์หรือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่
โลกาธิปไตย เอาประโยชน์หรือความคิดเห็นจของสังคมรวมๆกันเป็นใหญ่
คือเอาโลกเป็นใหญ่
ธรรมธิปไตย เอาความถูกต้องของธรรมชาติเป็นใหญ่
คุณลองเปรียบเทียบกันดูว่า
มันอยู่กันอย่างไร และมันต่างกันอย่างไร.
การเอาความคิดหรือประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ กับการเอาความคิดหรือประโยชน์ของสังคมทั้งหมด
เช่น โลกเป็นต้นนี้เป็นใหญ่ กับเอาความถุกต้องของธรรมชาติเป็นใหญ่ นี่เรียกว่าอธิปไตย
มีอยู่ 3 อย่างตามหลักธรรม.
เดี๋ยวนี้ระบบการปกครอง
เรามีอธิปไตยอะไรกันบ้าง แต่ก่อนก็มีราชาธิปไตยแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์. เดี๋ยวนี้ก็มีราชาธิปไตยแบบจำกัดอำนาจ ที่เขาเคยเรียกกันว่า ปรมิตาญา-สิทธิราชย์
แล้วเราก็มาเรียกกันเสียใหม่ว่า ประชาธิปไตยแบบมีพระราชาหรือแบบมีกษัตริย์.
แล้วก็มีแบบประชาธิปไตยล้วนๆที่ไม่มีกษัตริย์. แต่แล้วในอธิปไตยทั้งหมดนี้
มันมีลักษณะเป็นอย่างไร เป็นอัตตาธิปไตยจริงๆหรือเป็นโลกาธิปไตยจริงๆ
เป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือกระทั่งว่าเป็นธรรมาธิปไตยจริงๆกันหรือไม่ที่ตรงไหน; เขาถือหลักที่จะใช้ระบบการปกครองการเมืองนี้กันอย่างไร; ดูก็แตกต่างกันไปมากในโลกนี้,
เพราะฉะนั้น ชื่อที่ใช้เรียกนั้น ดูจะเป็นแต่เพียงชื่อเสียงมากกว่า เพราะว่าจุดที่เขาเพ่งเล็งนั้น
มันอยู่ที่ประโยชน์เขาจะใช้ระบบการปกครองระบบไหนกัน ในสมัยนี้ก็เพ่งเล็งอยู่ที่ประโยชน์ประเทศไหนใช้อธิปไตยแบบไหน
ก็เพ่งเล็งอยู่ที่ประโยชน์อย่างเดียว นี่ตรงกันหมดเลย. โดยเนื้อแท้มันเป็นประโยชน์อธิปไตย
หรือประโยชนาธิปไตย แล้วก็ยักไปเรียกเสียว่าประชาธิปไตย แล้วก็ให้คำจำกัดความ
หรือว่าคำขวัญว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน. แต่แล้วมันก็มีปัญหาตรงที่ว่า
ประชาชนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าประชาชนเป็นวัตถุนิยม ประโยชน์นั้นก็เป็นวัตถุนิยม
ถ้าประชาชนเป็นธรรมนิยม เป็นมโนธรรม หรือเป็นอย่างที่เรียกว่า วิญญาณนิยม
อะไรก็แล้วแต่ ประโยชน์นั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมนิยม.
แต่เดี๋ยวนี้ ในโลกนี้ ไปดูเถอะ
วัตถุนิยมเข้าตา ที่เรียกว่าเลือดเข้าตา เป็นเลือดของวัตถุนิยมเข้าตา
เพราะฉะนั้นการเมืองแม้จะเรียกว่า ประชาธิปไตยมันก็เพื่อวัตถุนิยม
เพราะคนทุกคนมันเป็นวัตถุนิยม โลกนี้มันกำลังตกอยู่ในอำนาจของวัตถุนิยม
ของปีศาจแห่งวัตถุนิยม เพราะฉะนั้น ที่ว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนนั้น
มันก็ของวัตถุนิยมเป็นแน่นอน ไม่เกี่ยวกันเลยกับธรรมนิยมหรือธรรมธิปไตย; มันไม่เกี่ยวกันเลย
เพราะนั่นมันเป็นเรื่องทางมโนธรรม.
ทีนี้ นักศึกษา หรือคนสมัยนี้
เขาเอาวัตถุนิยมมาเป็นมโนธรรม ที่ว่าเลือดเข้าตา นั้นมันหมายอย่างนี้
คือมองไม่เห็นอะไร จนเอาวัตถุนิยมเนื้อหนังนี้เป็นมโนธรรม. มันก็พูดถึงมโนธรรม ถึงธรรมะ ถึงอะไรกันอยู่มาก
แต่มันไม่ใช่ มันไม่ตรงกับคำว่าธรรมาธิปไตย ความถูกต้องของธรรมชาติเป็นหลัก.
ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเพียงโลกาธิปไตยเอาความคิด ความเห็น
ความต้องการของประชาชนนั้นเป็นหลัก แล้วในที่สุดมันก็อวดดีไปไม่ได้ คือจะเอาคนดี
คนจริง คนยุติธรรมมาจากไหนเป็นฝูงๆ มันไม่ใช่วัวควายที่จะหามาได้เป็นฝูงๆ. มันก็ต้องมอบอำนาจให้คนใดคนหนึ่ง
ให้ประธานาธิบดี หรือให้ใครก็ตาม ในที่สุดมันก็เป็นอัตตาธิปไตย
หรือเอกาธิปไตยไปโดยไม่รู้สึกตัว.
ทั้งที่ปิดฉลากว่าประชาธิปไตย มันก็คืออัตตาธิปไตย ตามความคิดหรือสติปัญญา
ของบุคคลคนใดคนหนึ่งเป็นหลัก ตามที่เขามอบอำนาจให้ใครชั่วเวลากี่ปี
หรือตลอดกาลก็ตาม. เพราะฉะนั้น
ระบบการเมืองหรือการปกครองในโลกมันจึงสับสนชนิดพูไม่ได้ว่ามันเป็นอะไรแน่
นอกจากจะพูดได้เป็นอย่างเดียวว่า มันเป็นกิเลสาธิปไตย
คืออธิปไตยของกิเลสของคนทุกคนในโลกรวมกัน.
อย่างนี้เราเรียกว่า ที่แท้จริงนั้นคือ กิเลสธิปไตย.
ถ้าพูดถึงกิเลส มันก็คือซาตาน
หรือพญามาร ไม่มีอะไรอื่น ฉะนั้น โลกทุกวันนี้ถูกปกครองด้วยซาตาน เป็นซาตานอธิปไตย
หรือมาราธิปไตย มันจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เดือดร้อนทางกาย
ก็เดือดร้อนทางจิต ไม่เดือดร้อนทางจิต ก็เดือดร้อนทางวิญญาณ
มันมีผลเป็นความนอนไม่หลับ แก่บุคคลธรรมดา คือบุคคลที่ยังปล่อยวางไม่ได้;
หรือที่เรียกล้อๆกันอยู่เดี๋ยวนี้ว่า ทำจิตว่างไม่ได้
มันก็นอนไม่ค่อยหลับกันอยู่ทุกหย่อมหญ้า เพราะว่าการปกครองเป็นระบอบมาราธิปไตย
ซาตานอธิปไตย ในเมื่อพูดโดยบุคคลาธิษฐาน; ถ้าพูดโดยธรรมาธิษฐาน มันก็เป็น
กิเลสาธิปไตย-อธิปไตยของกิเลส ของทุกคนในโลกรวมกัน.
ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมชาติอย่างนักวิทยาศาสตร์สักหน่อยก็พูดว่า
“วัตถุนิยมาธิปไตย” คือมีวัตถุนิยม materialism
นั่นแหละเป็นอธิปไตย. วัตถุนิย-มาธิปไตย
หรือวัตถุอธิปไตยก็แล้วแต่จะเรียก.
ลองเปรียบเทียบกันดู
จะเห็นได้ว่า มันไกลกันเท่าใด กับธรรมาธิปไตยตามหลักของพุทธศาสนา
ซึ่งเอาธรรมหรือพระธรรมเป็นหลัก เอาความจริงความถูกต้องตามธรรม
คือตามกฏเกณฑ์อันลึกซึ้งของธรรมชาติเป็นหลักซึ่งเราเรียกได้อย่างหนึ่งว่าพระเจ้า. ถ้ามีพระเจ้าเป็นอธิปไตยกัน โลกนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน
เดี๋ยวมีพระเจ้ากันแต่ปาก ในกองทัพออกชื่อพระเจ้ากันแต่ปาก
ที่บ้านก็ออกชื่อพระเจ้ากันแต่ปาก ในโบสถ์ก็ออกชื่อพระเจ้ากันแต่ปาก
ไม่รู้ว่าพระเจ้าที่แท้จริงคืออะไร อยู่ในภาพอย่างไร.
พุทธศาสตร์เราก็เรียกว่า
ธรรม หรือพระธรรม แต่ส่วนใหญ่พุทธบริษัทก็ออกชื่อกันแต่ปาก ก็พลอยตามก้นพวกฝรั่ง
ซึ่งเป็นเจ้าตำรับตำราเรื่องประชาธิปไตย เรื่องอะไรไปโน่น
มันจึงสับสนวุ่นวายกันไปหมด ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่.
สำหรับคำว่าธรรมาธิปไตยนี้
มันเล็งถึงความดี ความสงบ ความจริง ความยุติธรรม เรียกสั้นๆว่าความดี ก็แล้วกัน
แล้วคุณจะต้องพิจารณากันแง่ที่ว่าเดี่ยวนี้มันขาดคนดี มันขาดความดีในโลก
คือขาดคนดี มีแต่คนวัตถุนิยม มีแต่คนต้องการประโยชน์ส่วนตัวและพวกของตัว,
ถ้าว่ามีความดีหรือมีคนดีแล้ว ระบบการปกครองชนิดไหนก็เป็นเรื่องถูกต้องไปหมด
มันเป็นธรรมาธิปไตยไปหมด.
ถ้าเรามีคนดีจริงเพียงคนเดียวเท่านั้น มันหาง่ายกว่าหาตั้งฝูง
แม้ให้เป็นเผด็จการ เขาก้เป็นเผด็จการไปอย่างดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด
ระบอบเผด็จการมันก้ดี เป็นของดี; หากเราหาคนดีมาได้ตั้งฝูง มาเป็นประชาธิปไตย
มันก็ดีได้เท่านั้น และดีเท่ากันนั่นแหละ จะดีมากไปกว่านั้นไม่ได้. ถ้าเรามีคนดีอย่างเดียวเท่านั้น
มันก็เป็นการปกครองระบอบธรรมาธิปไตยขึ้นมาทันที
แม้จะให้คนดีคนเดียวปกครองหรือจะให้คนดีตั้งฝูงปกครองก็ตาม.
เรื่องนี้คุณพิจารณาดูเถอะ คนดีหาทำยายามก จนเกือบจะเรียกว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
มันมีอยู่บ้างแต่ก้ไม่ปรากฏ หรือมันมีขึ้นมาอย่างมีอำนาจไม่ได้
มันต้องว่อนเร้นต้องมุดอยู่ เพราะฉะนั้นที่มาทำหน้าที่ปกครองคนทั้งโลกอยู่นี้
คือกิเลส กิเลสรวมหมดของคนทั้งโลก ไม่แหวกโอกาส ไม่เปิดโอกาสให้คนดีหรือความดี
เพราะฉะนั้นเราต้องถือว่า มันเป็นระบอบเผด็จการทารุณ เป็นประชาธิปไตย
ที่อาจจะสร้างโลกนี้ให้เป็นนรกไปได้ในพริบตาเดียว. คนทั้งโลกเป็นวัตถุนิยม เห็นแก่เนื้อหนัง
แล้วเอาทั้งหมดนั้นมาเป็นรัฐสภา เป็นอะไรก็ตาม เป้นผู้ปกครองโลก
มันก็พลิกโลกนี้ให้กลับเป็นนรกได้ทันที คือเป็นโลกแห่งการแข่งขันแย่งชิง
เบียดเบียนบูชาวัตถุนิยมเป็นพระเจ้า แล้วก็ไม่เห็นแก่หน้าใคร
ฉะนั้นจึงทำอะไรได้อย่างนี้ไม่น่าทำ
อย่างเดี๋ยวนี้ปัญหาทางศีลธรรม
เกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่ามันจะเหลือทนอยู่แล้ว; ปัญหาทางความสงบเรียบร้อย
มันเกิดขึ้นอย่างที่ว่าเหลือทนอยู่แล้ว; จนจะทำให้นึกไปว่า
คนดีสูญพันธุ์ไปแล้วจากโลกหรืออย่างไร.
ถ้าคนดีสูญพันธุ์ไป
มันก็หมายความว่าธรรมะไม่มีในโลก
ธรรมาธิปไตยไม่อาจจะมีได้ในโลก
มันก็มีแต่อัตตาธิปไตย
โลกาธิปไตยตามแบบของวัตถุนิยมไป
สรุปอยู่ที่วัตถุเป็นใหญ่
เป็นเหยื่อของกิเลส ซึ่งเป็นผู้ต้องการวัตถุ
มันก็เป็นกิเลสาธิปไตย มาราธิปไตย ซาตานอธิปไตยไป ดังที่กล่าว.
ทีนี้เราลองนึกดูกันใหม่ว่า
ครั้งพุทธกาลโบราณจริงนั้น มีระบบการเมืองหรือระบบการปกครองเป็นอย่างไร. เราจะเห็นได้ว่า พ้องๆสมัยกัน ในโลกเวลานั้น
ทางฝ่ายอินเดียชมภูทวีปนี้ก็ดี ทางฝ่ายตะวันตกพวกกรีกอะไรก็ดี เขามีระบบการปกครองอะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจ
คือไม่เหมือนสมัยนี้.
ในอินเดียมีระบบวรรณะ คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร แบ่งกันมีวรรณะ 4 ชั้น แบ่งคนเป็น 4 วรรณะ วรรณะกษัตริย์มาหน้า
มีความหมายเป็นกษัตริย์อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ เพราะว่ามีหน้าที่ที่จะปกครองหรือคุ้มครอง. ยามปกติมีหน้าที่ปกครอง
คือวรรณะที่เป็นใหญ่ในการปกครอง หรือระบบการเมือง
มีการปกครองโดยวรรณะกษัตริย์.
ส่วนวรรณะพราหมณ์นั้น คือเจ้าตำรับตำรา เจ้าวิชา ครูบาอาจารย์
ตั้งแต่เบื้องต่ำขึ้นไปจนถึงขั้นทางจิตทางวิญญาณ ทางศาสนาเหล่านี้ ตกอยู่ในกำมือของวรรณะพราหมณ์ ทีนี้การทำมาหากินต่างๆเป็น artificer หรือผู้มี craftsmanship นี้
ในทุกแขนงของวิชาเทคนิคอย่างที่เรียกกันเดี๋ยวนี้ทุกแขนง รวมกระทั่งการค้า
การเศรษฐกิจ อะไรก็ตาม มันอยู่ในวรรณะแพศย์ หรือแต่เดิมเขาเรียกกันว่า ไวศยะ
แปลมาเป็นไทย เป็น แพศย์ คือพลเมืองที่มีฝีไม้ลายมือ
มีสิลปะตามหน้าที่การงานของตนๆ วรรณะอันที่สี่คือวรรณะศูทร วรรณะสุดท้าย
ได้แก่พวกไม่มีสติปัญญา พวกไม่มีฝีไม้ลายมือ จึงเป็นกรรมกรกระทั่งเป็นผู้รับใช้
หรือเป็นบ่าวเป็นทาส ทำงานต่ำๆโดยไม่ต้องมีสติปัญญา. นี่เขาแบ่งเป็น 4 วรรณะอย่างนี้.
ที่เขามีการแบ่งวรรณะทั้งสี่อย่างนี้
เขาก็อยู่กันได้ ในเมื่อมันแบ่งวรรณะกันโดยหน้าที่การงาน. ต่อมามันเหลวแหลก ไม่แบ่งวรรณะกันโดยหน้าที่การงาน
เกิดไปแบ่งวรรณะกันโดยชาติหรือกำเนิด
เกิดมาอย่างไรในวรรณะไหน
ก็จะเป็นวรรณะนั้นไป จนยกตัวเหนือผู้อื่นเหนือวรรณะอื่น; ผลมันต่างกัน คุณต้องเข้าใจให้ดี ว่าระบบวรรณะ caste system มันมี 2 ความหมาย
อนัหนึ่งเลวร้ายที่สุด
ก็คือถือเอาชาติกำเนิดเป็นหลัก
อีกอันหนึ่งถุกต้องตามธรรมชาติที่สุด
ก็คือเอาหน้าที่การงานเป็นหลัก.
อย่างหลังนี้ ธรรมชาติจัดสรร เอาหน้าที่การงานเป็นหลัก; ถ้ามนุษย์ผู้มีกิเลสจัดสรร
ก้เอาชาติกำเนิดเป็นหลัก.
วรรณะที่เอาชาติกำเนิดเป็นหลักนี้ พระพุทธเจ้าท่านติเตียน ท่านสอนให้เลิก
แล้วท่านตรัสเรื่องกรรม ว่ากรรมเป็นผู้จำแนกสัตว์ให้เป็นประเภทๆหรือเป็นพวกๆไป.
นี่ก็แปลว่าวรรณะตามหน้าที่การงาน
ก็ให้มันยังคงมีอยู่ตามเดิม ใครทำหน้าที่ปกครองและคุ้มครองประเทศชาติ
ก็เป็นพวกวรรณะกษัตริย์, ใครเป็นครูบาอาจารย์ในทุกแขนง ก็เป็นวรรณะพราหมณ์,
ใครประกอบกรรมอันเป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติ
เขาก็เป็นวรรณะแพศย์ คนนอกนั้นไม่มีสติปัญญาเขาก็เป็นวรรณะศูทร. เรื่องนี้พวกกรีกบางพวก บางสมัยเขาก็มีหลักอย่างนี้
คือว่าทำหน้าที่กันเป็นพวกๆไป แล้วก็เตรียมๆ เตรียมให้มันได้อย่างนั้น
มีการเตรียมให้ได้อย่างนั้น วรรณะไหน พวกไหน ก็มีการเตรียม
ให้เขาได้ทำหน้าที่ของเขาโดยสมบูรณ์ ให้พร้อมให้เหมาะ ที่จะทำหน้าที่โดยสมบูรณ์
มันก็มีความสมบูรณ์กันทั้ง 4 วรรณะ ในหน้าที่การงานของตน. ประเทศชาติมันก็เป็นปึกแผ่น
หรือมั่นคงไม่ก้าวก่าย.
นี่เราจะเห็นได้ทันทีว่า
การแบ่งวรรณะก็มีอะไรดี มันไม่ปนกันยุ่งเหมือนอย่างสมัยนี้
วรรณะกัตริย์ก็เตรียมไว้สำหรับการปกครองโดยเฉพาะ แล้วเขาก็รักษาหน้าที่
รักษาเครดิตของตัวไว้ ก็มีแต่คนที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองหรือคุ้มครอง. ยกตัวอย่างเช่นประเทศศากยะ
ที่เป็นประเทศที่พระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิด
แม้จะเป็นประเทศเล็กๆเช่นเดียวกับประเทศลิจฉวี
ที่ว่าเก่งนักในการรบก็เป็นประเทศเล็กๆแล้วยังมีประเทศอื่นๆอีกมาก ที่เป็นประเทสเล็กอย่างนี้ปกครองกันโดยวรรณะกัตริย์. วรรณะกษัตริย์ก็มีจำนวนมากมายเหมือนกัน
เพราะอยู่ในวรรณะกษัตริย์.
วรรณะกษัตริย์ก็มีจำนวนมากมายเหมือนกัน เพราะอยู่ในวรรณะกษัตริย์
อบรมกันอย่างกษัตริย์ เอากัตริย์เท่านั้นมาเป็นสมาชิกแห่งรัฐสภา ไม่มีวรรณะอื่นเข้ามาเลย. รัฐสภาคือที่ประชุมของวรรณะกษัตริย์
มีจำนวนร้อยจำนวนพัน แล้วพระราชาองค์หนึ่งนั้น ก้แล้วแต่จะสมมติ
เช่นประเทศศากยะก็สมมติให้กัตริย์คนใดคนหนึ่ง ที่ได้รับเลือกดีแล้วนี้
หรือตามระบบมณเฑียรบาลหรืออะไรก็ตาม เป็นกษัตริย์จนตลอดชีวิตก็มีอย่างประเทศศากยะ; หรือเป็นกษัตริย์เพียงชั่วกำหนดปี อย่างพวกลิจฉวีอย่างนี้ก็มี; หรือจะผลัดกันเป็นเพียงเดือนๆนี้ก็มีในบางคราว มันก็คล้ายๆกับประธานสภา ประธานรัฐสภา.
ทุกคนเป็นกษัตริย์อบรมมาอย่างกษัตริย์ ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี
ทั้งในการปกครองและการคุ้มครอง เพราะฝึกฝนแต่หน้าที่นั้นโดยเฉพาะ. อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับกัตริย์ลิจฉวีครั้งนั้น
ซึ่งจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ตี 4 ฝึกเพลงอาวุธ
ไม่เห็นแก่นอนเหมือนคนสมัยนี้แล้วก็ให้ความนับถือแก่สตรี
นั่นก็เป็นเรื่องของสุภาพบุรุษที่สุด
และเป็นนักรบที่สุภาพที่สุด
จึงเก่งขนาดรบกับประเทศใหญ่ๆอย่างประเทศมคธได้.
นี่เราดูตรงที่รัฐบาลเป็นกษัตริย์ล้วน
ก็ย่อมทำหน้าที่ได้ดี ตามลักษณะของบุคคล ที่จัดไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
มันเป็นกฏของธรรมชาติที่สุดแล้ว.
เราต้องการนมที่ดีและมาก เราก็ต้องจัดสรรพันธุ์วัวไว้โดยเฉพาะ
เพื่อเป็นวัวนม. ถ้าเราต้องการเนื้อของมัน
เราก็ต้องจัดสรรพันธุ์เนื้อโดยเฉพาะ เพื่อจะให้มันมีเนื้อดีและมาก
ถ้าเราต้องการวัวใช้งาน เราก็จะต้องจัดสรรพันธุ์วัวใช้งาน ไถนาลากเกวียนโดยเฉพาะ
มันจึงดีที่สุด.
ผมไปเห็นวัวที่อินเดียมันมีนมโตกว่าปีปน้ำมันก๊าด เท่าโอ่งเล็กเห็นจะได้
แล้วรีดนมได้ทีหนึ่งก็ปีปหนึ่งก็มี
มันคล้ายๆสัตว์ครึ่งวัวครึ่งความอะไรก็ไม่รู้ วัวชนิดนี้ตัวมันก็โตพอสมควร
ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรนัก แต่นมของมันใหญ่ จนขาหุบไม่ได้
แล้วเป็นวัวชนิดที่เดินไปไนหมาไหนไม่ค่อยได้ ต้องนอนอยู่กะที่เป็นส่วนใหญ่
เพราะมันถุกจัดสรรไว้โดยเฉพาะ จึงได้วัวนมพันธุ์นี้.
ทีนี้คนก็เหมือนกัน ที่ตจะเป็นวรรณะกัตริย์หรือพราหมณ์
แพศย์หรือศูทรก็ต้องเป็นเรื่องจัดไว้เฉพาะ มันจึงจะได้ผลดี. เดี๋ยวนี้ไปเก็บเอาตาสีตาสามาเป็นสมาชิกรัฐสภา
มันเป็นเรื่องบ้าหรือเรื่องดีลองคิดดู แล้วก็ร้องตะโกน
ว่าประชาธิปไตนย-ประชาธิปไตย ให้ทุกคนมีสิทธิ์ มีอะไรเสมอกัน แล้วมันเป็นได้หรือ?
จะเอาวัวนมชนิดนี้ไปลากเกวียน มันจะทำได้หรือ? จะเอาวัวลากเกวียนมารีดนม
มันจะพอกินหรือ? เพราะฉะนั้นผมจึงบูชาระบบวรรณะกษัตริย์
ซึ่งมีไว้เฉพาะเพื่อการคุ้มครองและการปกครองอยู่ในใจ ว่าถ้าได้จัดสรรให้ดีโดยเฉพาะ
ให้มีกลุ่มหนึ่งไว้สำหรับเป็นนักการเมือง มันก็ดีเท่านั้น. วรรณะกษัตริย์นั่นแหละ
คือนักการเมืองของสมัยพุทธกาลอย่างที่ว่านี้
เพราะว่ารัฐสภานั้นมีแต่วรรณะกษัตริย์ล้วนจัดไว้เฉพาะเพื่อการนั้น. ก็มีเหมือนกัน
ที่เกิดเหลวไหลกันขึ้นในวรรณะกัตริย์บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างนี้ก็มี แต่มันเป็นเรื่องทำผิดหลักการ
เป็นไปนอกหลักการ. ถ้าไปตามหลักการแล้ว
มันก็จะดี, แล้วมันก็ควรจะมีการเข้มงวดจัดสรรกันให้ดี เหมือนพวกสะปาตาร์
เอากันอย่างรุนแรงขนาดนั้นมันก็ยังดี แต่ว่าถ้าจะเกินไปบ้าง ก็ลดลงมาเสีย
เรื่องอย่างนี้ พวกกรีกพวกโรมันสมัยหนึ่งจึงวเจริญด้วยการรบหรือการปกครองเป็นต้น
เพราะเขามีการจัดสรรเฉพาะ.
เดี๋ยวนี้ตาสีตาสาก็ไปเป็นสมาชิกรัฐสภา
นายทุนก็เป็นสมาชิกรัฐสภา กรรมกรก็เป็นรัฐสภา มันก็ปนกันยุ่งไปหมด
มันก็เป็นที่ทะเลาะวิวาท.
ทีนี้ก็”ปเกิดระบบพรรค ก้าวหน้าไปในระบบพรรค
มันก็คือการด่ากันอย่างที่สุนัขก็ไม่ฟัง
เหมือนเมื่อเร็วๆนี้ มีการโฆษณาระหว่างพรรค
มีการคุ้ยอะไรมาด่ากันอย่างที่ถ้าพูดตามภาษาพุทธบริษัทแล้ว
เรียกว่าคำพูดอย่างนั้นแม้สุนัขก็จะไม่ฟัง.
นี่คือความก้าวหน้าของระบบการเมืองอย่างแบบวัตถุนิยม หรือประโยชนาธิปไตย,
มาราธิปไตย. แล้วใช้เงิน ใช้อะไรไปเป็นเครื่องมือหาอำนาจทางการเมือง
อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมาธิปไตยได้ มือใครยาวก็สาวเอา ใครดีใครได้
ใช้เงินเพื่อมีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง เพื่อจะเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วยกันทุกๆวรรณะ
แม้แต่วรรณะศูทรซึ่งมีหน้าที่เทขยะ กวาดถนนก็ต้องการจะเป็นสมาชิกรัฐสภา
มันก็เลือกไปตามอารมณ์ ตามใจชอบ ตามประโยชน์อีกนั่นเอง
ฉะนั้นมันก็เป็นลัทธิประโยชนาธิปไตยอยู่เรื่อยไป ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น.
ย้อนกลับไปดูระบบการเมืองครั้งพุทธกาลอีกนิดหนึ่งว่า
วรรณะกษัตริย์อันมหาศาล คือมีมาก และอบรมมาโดยเฉพาะ ประชุมกันเป็นรัฐสภา
แล้วก็มอบอำนาจเผด็จการให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในขอบเขตจำกัด หรือชั่วเวลาจำกัด
เป็นประธานรัฐสภา. คุณมองดูเถอะ
ว่าความถูกต้องหรือความสะอาดบริสุทธิ์ มันมีได้ง่าย หรือมีได้ยากเพียงไร
ผิดกันอย่างไร; แล้วไม่ปรากฏการทะเลาะวิวาทในรัฐสภา
ซึ่งเดี๋ยวนี้มีการด่ากัน มีการขว้างกันด้วยขวดหมึก ขว้างกันด้วยรองเท้า
ชักปืนยิงกันท่ามกลางรัฐสภามันก็มาราธิปไตย คือเอาอำนาจเป็นใหญ่. ผมจึงกล้าพูดด้วยใจจริงว่า
ชอบระบบเผด็จการโดยคนดี เผด็จการโดยธรรม โดยคนดีมีธรรม โดยเห็นว่าพระพุทธเจ้า
ท่านทำถูกแล้ว คือพระพุทธเจ้าท่านเป็นเผด็จการ.
ครั้งพระองค์ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านปกครองคณะสงฆ์โดยวิธีเผด็จการ 100
เปอร์เซ็นต์ทั้งทางวินัยและทั้งทางธรรม.
ทางระเบียบวินัย พระพุทธเจ้าอยู่เหนือวินัย เป็นเผด็จการ
ท่านว่าอะไรเป็นนั่น ถอนก็ได้ เพิ่มก็ได้ แล้วอาบัติที่ภิกษุต้อง พระองค์ไม่ต้อง
คือว่าทรงเป็นเผด็จการทางวินัยอย่างนี้.
ส่วนเผด็จการทางธรรม คือบัญญัติหลักธรรมตามความตรัสรู้
ที่ยืนยันความถูกต้อง เรียกพระองค์เองว่าเป็นธรรมราชา.
พระพุทธเจ้าเป็นเผด็จการเต็มเนื้อเต็มตัว
ทั้งเนื้อตัว ผมมองแล้วก็รู้สึกชอบเผด็จการโดยคนดี. ทีนี้เดี๋ยวนี้เขามาแก้ตัวว่า คนดีมันหาไม่ได้; ก็แน่ละซิ จะเอาทั้งฝูงมาเผด็จการ แล้วมันจะดีได้อย่างไร
ในเมื่อคนดีคนเดียวก็ยังหาไม่ได้ แล้วจะหาคนดีเป็นฝูงๆได้อย่างไร
มันก็เปะปะไปหมด. ฉะนั้นมันจึงควรจะเตรียม
มีการเตรียมสมาชิกของประเทศไว้เป็นพวกๆโดยถือธรรมเป็นหลัก ให้ผู้มีธรรมเป็นผู้ปกครองประเทศ
เป็นธรรมาธิปไตยขึ้นมา.
เมื่อพระพุทธเจ้าจะนิพพานแล้ว ท่านตรัสว่า “ธรรมวินัยอันใด
ที่เราตถาคตบัญญัติไว้ แสดงไว้ อันนั้นจะอยู่เป็นศาสดาแก่พวกเธอ
หลังจากตถาคตล่วงลับไปแล้ว” นี่ลองคิดดู พระองค์ให้เอาธรรมวินัยเป็นศาสดา
มีธรรมวินัยเป็นพระศาสดา คือถ้าระบบการปกครองให้ถือเอาวินัยเป็นหลัก,
ถ้าระบบปฏิบัติดับทุกข์ ให้เอาธรรมเป็นหลัก.
เอาวินัยเป็นหลัก คือเป็นไปในรูปคณะสงฆ์
มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่เอาวินัยนั้นเป็นหลัก คือเป็นไปในรูปคณะสงฆ์
มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่เอาวินัยนั้นเป็นหลัก ไม่ใช่เอามติเอาเสียงคนเป็นหลัก. ถึงแม้ว่าจะมอบให้คณะสงฆ์เป็นใหญ่
ยังทรงกำชับว่า ให้ฟังเสียงพระเถระ ผู้รู้มาก ผู้มีอายุมาก, คือผู้มีอายุมาก
ผู้มีราตรียาวนาน นั้นหมายความว่าท่านเป็นผู้มี experience มาก
ให้เชื่อฟังหรือปรึกษาคนอย่างนั้น.
ให้เอาวินัยเป็นหลักให้ถือว่าพระศาสดายังมีชีวิตอยู่ โดยธรรมวินัย. นี่กล่าวให้ถุกต้องที่สุดแล้วก็คือ ธรรมาธิปไตย
มีธรรมเป็นหลักอยู่เสมอไป แล้วก็ให้ธรรมวินัยนั่นแหละเผด็จการ. ในก็มีวิญญาณแห่งเผด็จการอยู่เรื่อย ฉะนั้น
พุทธบริษัทเราจึงมีการปกครองอย่างเผด็จการโดยธรรมของธรรมอยู่เรื่อยไป
เป็นธรรมาธิปไตยทั้งเนื้อทั้งตัว โดยประการทั้งปวงเลย.
เดี๋ยวนี้
ระวังให้ดี แม้พุทธบริษัทนี้ก็กำลังทิ้งพระบรมธรรม กำลังทิ้งพระวินัย มีธรรม
มีวินัยกันแต่ปากเสียโดยมาก มันก็รวนเร แล้วก็เผลอไปเดินตามก้นชาวบ้าน
เกิดจะมีรัฐสภาแบบชาวบ้าน จะมีสมาชิกสังฆสภาแบบชาวบ้าน
แล้วก็จะมีอะไรกันตามก้นฝรั่ง ก็เลยทำให้น่าสงสารที่สุด.
มีอยู่คราวหนึ่งซึ่งเกิดเมาประชาธิปไตยขึ้นมาในหมู่คณะสงฆ์
ไปเอาแบบชาวบ้านมาใช้ มันก็”ปไม่รอด คือมันเป็นธรรมาธิปไตยยากขึ้นทุกที
เพราะไปเมาแบบชาวบ้าน ก็เลยเป็นธรรมาธิปไตยยากขึ้นทุกที;
มันต้องเป็นตัวเอง ตัวเองเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นตัวเอง จึงจะมีธรรมาธิปไตยเหลืออยู่. เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องนี้
ก็จะต้องนึกถึงสปิริตดัง้เดิมของพุทธบริษัท มีธรรมะ มีวินัย นี่แหละเป็นหลัก
เป็นเผด็จการ.
เมื่อเป็นไปอย่างว่านี้
การบริหาร จะบริหารไปโดยบุคคลก็ได้ โดยหมู่คณะก็ได้ หากว่ามันเป็นธรรมาธิปไตย
คือมีธรรมเป็นหลัก และมีคนดี.
บุคคลเผด็จการก็ดี หมู่คณะเผด็จการก็ดี
หรือว่าถ้าทำได้ก็เอาทั้งหมดเผด็จการก็ดี แต่มันเป็นไปไม่ได้
จะเอาคนดีที่ไหนมาเป็นฝูงๆ เหมือนที่ว่าแล้ว.
แล้วยิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้ เป็นประชาธิปไตยถึงขนาดที่ว่า
ไม่ยอมใครให้ใครมีอะไรพิเศษตามแบบของตัว
มีแต่จะให้มันเหมือนกันไปหมด เลยกลายเป็นหลับตาทำ หลับตาคิด หลับตาพูด : วรรณะกษัตริย์ก็ไม่ได้รับโอกาสที่จะเป็นวรรณะกษัตริย์,
วรรณะครูบาอาจารย์ก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นครูบาอาจารย์เต็มตัว,
วรรณะช่างเทคนิคผู้ประกอบการงาน ก็ไปเป็นนักการเมือง ไม่มีการทำอะไรตามหน้าที่ของตนๆ,
วรรณะศูทรก็มีสิทธิที่จะตะโกนด่า ซึ่งเมื่อก่อนเขาเจียมตัว
มัธยัสถ์ไม่อ้าปาก.
เดี๋ยวนี้วรรณะชนกรรมาชีพอะไรก็ตาม
มีสิทธิที่จะตะโกนด่าและจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ไม่รู้ว่าเป็นระบบการเมืองประเภทไหน
ผมจึงเรียกว่า ปีศาจอธิปไตย มาราธิปไตย ซาตานอธิปไตย ถูกหรือไม่ถูก
คุณไปคิดกันดู.
แล้วก็โฆษณาในนามประชาธิปไตยอย่างหรูหรา อย่างไพเราะที่สุดว่าของประชาชน
เพื่อประชาชน โดยประชาชน
แล้วประชาชนแต่ละคนอยู่ใต้อำนาจของกิเลสหรือซาตานเลยดูไม่ออก ว่าเป็นอะไรกันแน่.
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้
บรมธรรม เข้ามาไม่จุ ไม่มีใครทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ไม่มีใครมความรักสากล
ไม่มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ไม่มีความสงบสุขตามที่มนุษย์ควรจะได้รับ
นี่คือผลของระบบการเมืองที่สับสน จนไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า
นิพพาน จึงหายาก แม้แต่นิพพานชั่วขณะจิตหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งๆ. นี้มันเลวกว่าธรรมชาติ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ
มันก็ยังมีนิพพานชั่วคราวมากพอที่จะดูได้ มีความสงบเย็นไปตามธรรมชาติ
ตามความบังเอิญ ตามความประจวบเหมาะ นี้ก็ยังมีให้ดูอยู่มาก. ฉะนั้นควรจะตะโกนกันใหม่ว่า
ธรรมาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย ใครมีสติปัญญาก็ควรที่จะตะโกนหาธรรมาธิปไตย
อย่าตะโกนหาประชาธิปไตย เพราะว่ามันกำกวมไม่รู้ว่าประชานั้นยเป็นประชาของซาตาน
หรือว่าประชาชนของธรรมะ ของพระเจ้า.
ถ้าเป็นประชาชนของพระเจ้า ก็วิเศษ ถ้าเป็นประชาชนของซาตาน ก็ฉิบหายหมดเลย. ซาตานนั้นเป็นภาวะทดสอบของพระเจ้า
มายั่วให้คนแสดงการประพฤติ หรือกระทำออกมาผิดจะได้ลงโทษให้สาสม ถุกจะให้รางวัล; พระเจ้าส่งซาตานมาทดสอบมนุษย์อย่างนี้.
เดี๋ยวนี้มนุษย์ตกหลุมพรางของซาตาน มีประโยชน์เป็นใหญ่ มีเนื้อหนังเป็นใหญ่
พระเจ้าก็หัวเราะอยู่ แล้วก็ลงโทษมนุษย์เรื่อยไป ให้มีวิกฤตกาลถาวรนานาชนิด. นี่เราจะต้องตะโกนกันใหม่ เรียกหาธรรมาธิปไตย
เรียกหาพระเจ้าที่ถูกต้อง มให้พ้นอำนาจซาตานกันเสียที. เรียกหาธรรมะที่ถูกต้อง
แล้วมันก็จะมีบรมธรรมงอกงามขึ้นมาๆมีความสุข มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์
ทุกคนทำหน้าที่ของมนุษย์เพื่อหน้าที่ ไม่เรียกร้องสิทธิอะไร
เรียกร้องสิทธิเพื่อจะทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างเดียว.
เมื่อเป็นอย่างนี้
ประโยชน์หรืออาหาร หรืออะไรก็ตาม เครื่องอุปโภคบริโภคอะไรก็ตาม มันก็เหลือ
คือเหลือกิน เหลือใช้ เพราะไม่มีใครอยากกิน อยากใช้ที่เกินกว่าจำเป็น
มันก็เหลือกิน-เหลือใช้.
เดี๋ยวนี้เอาไปพล่าเป็นเหยื่อทางกามารมณ์ ยกตัวอย่างสักอย่างหนึ่ง
ในหลายร้อยหลายพันอย่าง เช่นน้ำมันรถยนต์ที่เอามาเผากัน วันหนึ่งๆนั้น
มันเพื่ออะไร เพื่อความจำเป็นแก่ชีวิตมนุษย์นั้นไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์
นอกนั้นก็เพื่อกามารมณ์ความสนุกสนานในการไปเที่ยวกับเพื่อนระหว่างเพศ
หรือว่าไปสนุกสนานอย่างอื่น และที่มากที่สุดก็คือเผาไปในการรบราฆ่าฟัน
หรือการทำสงครามเพื่อล้างผลาญมนุษย์เพื่อประโยชน์เป็นวัตถุของตนเอง
เพื่อกามารมณ์ในที่สุดอีกเหมือนกัน.
คุณต้องมองสงครามนี้ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและทำไปเพื่อผลสุดท้ายคือกามารมณ์. เขาต้องการได้รับชัยชนะเพื่อได้อะไรมามากๆเพื่ออยู่ดี-กินดีของตัว
เลยระดับธรรมชาติ ไปเป็นระบบกามารมณ์ทั้งนั้น ก็เหมือนกับพวกชฎิลบูชายัญ
บอกว่าทั้งหมดนี้เพื่อผล คือสตรี.
มนุษย์ในโลกดิ้นรนนานาชนิด ทุกวันนี้ เพื่อผลทางวัตถุหรือเนื้อหนัง
เพราะฉะนั้นน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด จึงถูกเผาไปเพื่อซาตานเพื่อพญามารตั้ง 99
เปอร์เซ็นต์ เพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ที่ใช้ไปเพื่อความจำเป็นของมนุษย์ที่แท้จริง.
แล้วคุณต้องรู้จักคำนวณว่า ที่มันขยายอะไรออกไปให้มากนั้น
มันขยายเพื่อกามารมณ์ เพื่อความฟุ้งเฟ้อเกินจำเป็นทั้งนั้น ขยายนั่น ขยายนี่
ที่จริงคนก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องบินไปไหน-มาไหนในโลกนี้ก็ได้
ก็ยังทำความผาสุกได้.
นี้มันเหมือนกับแกล้ง แกล้งขยายเรื่องให้มันมากออกไป จนต้องบินไปนั่น-มานี่
ต้องวิ่งไปนั่น-มานี่ ต้องใช้น้ำมัน แต่ความจริงไม่ต้องไปก็ได้ คุณไปคิดดูเองที่คุณอยากจะไปเมืองนอกเมืองนานั้นไปคิดดูเอง
ความจริงไม่ต้องไปก็ได้ ธรรมชาติไม่ได้ต้องการอะไรมากถึงขนาดนั้น
อยู่กันได้เป็นสงบสุขตามเดิม โดยไม่ต้องมีอะไรมากถึงขนาดนั้น. เดี๋ยวนี้ทำเรื่องให้เป็นเรื่องของเปรต
คือหิวไม่มีสิ้นสุดเสียแล้ว ฉะนั้นจึงต้องมีอะไรมาก จนไม่พออยู่เรื่อยไป. น้ำมันก็ไม่พอใช้ อะไรก็ไม่พอใช้
กระทั่งข้าวสารก็ไม่พอใช้
นี้เพราะขยายระบบวัตถุนิยมออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการเป็นอยู่
การครองชีพ อะไรๆมันก็ไม่พออยู่เรื่อยไป เพิ่มเงิน เพิ่มเงินเดือน เพิ่มรายได้
กันอีกสักเท่าไร มันก็จะไม่พออยู่เรื่อยไป เพราะมันเป็นระบบเปรต คือหิวไม่มีที่สิ้นสุด.
ระบบการเมืองนี้
ถ้าตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้ว มีนก็เป็นการหิวไม่มีที่สิ้นสุด
เรียกว่าพลเมืองเป็นเปรตทั้งนั้น เพราะหิวไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นระบบการปกครองก็คือกิเลสาธิปไตย คือทำให้หิวไม่มีสิ้นสุด. จะแก้ได้ก็โดยตะโกนกันเสียใหม่ ตะโกนหาธรรมาธิปไตย
หาพระเจ้า หาธรรมะ หาบรมธรรมก็ยิ่งดี.
คำเหล่านี้ก็เข้าใจกันแล้ว ในการบรรยายครั้งก่อนๆ.
เดี๋ยวนี้
เราดูกันให้ดี ว่าระบบการเมือง การปกครองที่แท้จริง เป็นอย่างไร. คนรู้จักบางคน เพื่อนฝูงบางคน กำลังเสียผลเลิศ
เขียนเล่ามาถึงผมก็มี ว่าเดี๋ยวนี้การเมืองกำลังจะเป็นธรรมะ
กำลังจะหมุนกลับไปเป็นธรรมะ แล้วยังคุยอีกว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรก
และเป็นต้นกำเนิดที่การเมืองจะกลับไปเป็นธรรม ผมก็อนุโมทนาสาธุด้วย
ยินดีด้วยภาวนาอย่างยิ่ง ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ.
ให้ระบบการเมืองนี้ กลับไปเป็นธรรม ประกอบไปด้วยธรรม ให้ประเทศไทยนี้เป็นจุดแรก
ประเทศแรกเป็นที่ก่อกำเนิดของการเมืองระบอบใหม่ที่เป็นธรรม. การเมืองทั้งโลกมันเป็นระบอบกิเลสาธิปไตย
เป็นอธรรมอธิปไตยไปหมดแล้ว ให้ประเทศไทยเป็นจุดกำเนิดของการเมืองที่เป็นธรรม
ก็ขอโมทนาสาธุ ขออธิษฐาน ขอภาวนาแป็นอย่างยิ่ง ถ้าคุณเห็นด้วย ก็ให้ช่วยกันภาวนาให้เป็นอย่างนั้น
ให้การเมืองเป็นธรรม ให้ธรรมปกครองโลก แล้วบรมธรรมอันเป็นอย่างวิเศษนี้
ก็จะเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง ไม่มีความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเหมือนเดี๋ยวนี้.
แต่ดูแล้วยังหวังยาก
เพราะระบบการเมืองได้ก้าวหน้ามาถึงระบบพรรคที่สาวไส้มาด่ากันจนสุนัขไม่ฟังแล้ว
เหมือนอย่างที่ว่าแล้ว มันจะเป็นไปได้หรือไม่ คุณก็คอยดูกันต่อไป.
เวลาของเราจะหมดแล้ว
ผมก็อยากจะพูดนิดหนึ่งว่า ผมพูนี้เป็นการพูดอย่าง emotional หรือเปล่า? มีบางคนมักจะหาว่า ผมด่าคนตามอารมณ์ emotional; ผมยืนยันได้
ว่าผมพูดไปตามความรู้สึก พูดไปตามความจริงที่มองเห็น
ไม่ปล่อยจิตให้เป็นไปตามอารมณ์ หรือเป็นเจ้าอารมณ์ หรือใช้อารมณ์ขัดแค้น
แล้วด่าใคร.
ผมนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
และอยากจะทำอะไรๆให้เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านแนะ ท่านต้องการ
และท่านทำเป็นตัวอย่าง อยากจะให้มีธรรมราชาครองโลก ในลักษณะเผด็จการ
ให้มันเร็วกว่า ดีกว่า ง่ายกว่า; มีคนดีคนเดียว หาได้ง่ายกว่าหาคนดีมาเป็นฝูงๆ
ให้พยายามที่จะมีระบบจัดสรร เหมือนจัดสรรวัวนมเพื่อกินนม
จัดสรรวัวเนื้อเพื่อกินเนื้อ จัดสรรวัวแรงงานเพื่อใช้แรงงาน นั่นแหละดี
มันจะได้ผลเต็มตามความมุ่งหมายให้ระบบการเมืองของเรามีการจัดสรรอย่างนี้
อย่าเอาไปปนกันยุ่งจนไม่รู้ว่าในรัฐสภานั้น มีสมาชิกชนิดไหน
จะได้เป็นสมาชิกของรัฐบาลที่ถูกต้อง.
มีพุทธภาษิตว่า ถ้าไม่มีสัตบุรุษในที่ประชุมนั้นแล้ว นั่นไม่ใช่สภา. สัตบุรุษคือบุคคลที่มีศีละรรมะ มีความสงบ
เขาเรียกว่า “สัตบุรุษ” ถ้าไม่มีในที่ประชุมใดที่ประชุมนั้นไม่เรียกว่าสภา.
ในรัฐสภานั้นถ้าไม่มีสัตบุรุษก็เป็นรัฐสภาไปไม่ได้ มันเป็นกลุ่มคนขี้เมา
คนเห็นแก่ตัว คนเลือดเข้าตาด้วยเอาประโยชน์เป็นใหญ่ไปหมด ไม่มีบรมธรรม. เมื่อไม่มีบรมธรรมในรัฐสภา
ไม่มีบรมธรรมในหมู่คนที่มีอำนาจปกครองและคุ้มครอง
จะมีบรมธรรมในหมู่คนทั้งหลายทั่วประเทศได้อย่างไร ขอให้ไปคิดดู.
ถ้าใครสมัครจะเป็นพลเมืองของประเทศ
พลเมืองของโลกที่ดี ก็ต้องนึกถึงระบบการปกครองหรือระบบการเมืองที่ดี
ที่จะเป็นธรรมาธิปไตยอื่นๆลบออกไปหมดได้ ให้เหลือแต่คำว่า ธรรมาธิปไตยรูปเผด็ตจการก็ได้
ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นดีแล้ว มันก็ใช้ได้ดี.
เดี๋ยวนี้ทั่วไปทุกหนทุกแห่งขาดคนดีเห็นไหม? แผนการหรือหลักการ หรือเทคนิคถุกต้องและดีหมด
แต่แล้วปฏิบัติไปไม่ได้ เพราะขาดคนดี เราจึงยากลำบากอยู่ในการที่จะสร้างความสงบ
และง่ายที่สุดที่จะสร้างความโกลาหลวุ่นวายไปตามๆกัน; ทุกชาติ ทุกประเทศ
สร้างความเจริญแบบรกไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย.
คำว่า
“เจริญ” นี้ แปลว่า รก คุณเป็นถึงนิสิตมหาวิทยาลัยแล้ว คุณอาจจะไม่รู้ก็ได้
ว่าคำว่าวัฑฒนะ นี้ แปลว่า รก รกหนาแน่นขึ้นมา.
ถ้ารกไปในทางที่ดี มันก็ดี ถ้ารกไปในทางไม่ดี มันก็ไม่ไหว.
เผ้าผมรกรุงรังจนต้องตัด นี่ก็ใช้คำว่าวัฑฒนะเหมือนกัน ในภาษาบาลี. เส้นผมขึ้นรกรุงรัง จนต้องไปโกนไปตัด
นี่เรียกว่าผมมันวัฑฒนะ.
หญ้านั้นมันรกจนทำให้ลำบาก ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นั่นก็เรียกว่าวัฑฒนะเหมือนกัน. คำว่า วัฑฒนะ นี้ มันแปลว่า รกมากขึ้น
รกหนามากขึ้น; จึงมีคำว่า “อย่าเป็นโลกวัฑฒนะ” คือ
ย่าเป็นคนรกโลก – น สิยา โลกวฑฺฒโน;
ไปเปิดดูในสมุดพุทธภาษิตนั้น มีคำว่า “อย่าเป็นคนรกโลก” คำนั้นคือ โลกวัฑฒนะ. หนาแน่นรกไปในโลก เป็นคนรกโลก. ถ้าแปลตามตัวหนังสือ ตามความรู้ของคุณแล้ว
มันก็จะได้ความว่า อย่าเป็นคนทำโลกให้เจริญ อย่างนี้ก็บ้าเต็มที่
“อย่าเป็นคนทำโลกให้เจริญ”.
ถ้าแปลให้ถูกก็ต้องว่าเป็นคนรกโลก, วัฑฒนะตัวนี้ แปลว่ารก นั้นถูกแล้ว,
อย่าเป็นรกโลก คือรกรุงรังไม่มีประโยชน์อะไร.
เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่า วัฑฒนะ หรือ พัฒนา เช่น ไปพัฒนานั่น พัฒนานี่
ระวังให้ดี มันจะรกโลก คือรกไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายหาความสงบไม่ได้. ไม่ใช่ว่าเราจะมีกินมีใช้
หรูหราฟุ่มเฟือยกันแล้ว มันจะเป็นความสงบสุข ที่แท้จะโกลาหลวุ่นวายยิ่งไปกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น การพัฒนาทางวัตถุที่ล้ำหน้า ยิ่งกว่าพัฒนาทางจิตใจนี้ มันจะต้องนำมาซึ่งผลร้าย
นี่ผมกล้าท้าอย่างนี้.
ประเทสไหนก็ตาม
จะทำการพัฒนาเป็นการใหญ่โตมโหฬาร ถ้ามันพัฒนาไปจนเกิน
เกินความพัฒนาทางจิตใจแล้ว
จะมีแต่ผลร้ายอย่างเดียว เพราะฉะนั้นผมไม่นับถือ ไม่บูชาการพัฒนา
ที่เขากำลังตื่นตูมกันอยู่ในเวลานี้ นี้ก็เนื่องมาจากระบบการเมืองไม่เป็นธรรมาธิปไตยนั่นเอง
นักการเมืองจึงอนุญาตให้มีการพัฒนากันไปในทางรกโลก
และสร้างความโกลาหลวุ่นวายในโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม.1
1 ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส เรื่องบรมธรรม, ลำดับที่ 19 บนแถบพื้นสีแดง,
เรื่องที่ 9 บรมธรรม
กับระบบการเมือง.
บรรยายวันที่ 14 เมษายน 2512, หน้า 155-172.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น