พุทธทาสตอบปัญหา
สัจธรรมทางโลก หรือทางธรรม
สิ่งไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน?
ตอบปัญหาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กลุ่มพุทธศาสตร์และประเพณี ส.จ.ม.
ที่วัดปทุมคงคา
ครั้งที่ 2
27 ธันวาคม 2503
ปัญหาข้อที่
1 สิ่งที่เป็นสัจจะทั้งทางโลกและทางธรรม
สองอย่างนั้นเป็นอย่างไร? อันไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน? เช่นที่เรียกว่า
อะไรเป็นความต้องการอันแท้จริงของโลกในทางวัตถุ
เป็นงานของมนุษยชาติ
เป็นความเจริญของมนุษยชาติ หรืออะไร?
สัจธรรมทางโลกกับสัจธรรมนั้นอันไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน?
ตอบ ในเมื่อซักถามจนตกลงกันแล้วว่า สิ่งที่ยอมรับกันว่าเป็นยอดปรารถนาของชาวโลกนั้น ก็คือความสุขของโลก หรือความสุขของมนุษย์ในโลก
สำหรับวิทยาศาสตร์นั้นค้นคว้าไปในทางหาความรู้จากวัตถุตามสภาพเป็นจริง หรือเป็นศาสตร์ทางวัตถุ มีการเจริญขึ้นอยู่เรื่อยๆ ความรู้นี้มากขึ้นๆ
และเป็นจริงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นับว่าไม่เป็นที่ยุติของความรู้ คือยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมาก
วิทยาศาสตร์ก็เป็นการค้นคว้าหาสิ่งที่เป็นจริงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้เพื่ออะไร ผู้ถามย่อมไปคิดเอาเองได้
สำหรับเรื่องความดับทุกข์นี้ ทุกศาสนาส่วนมากตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาแล้ว เสนอวิธีการดับทุกข์ มีการโฆษณาความดับแห่งทุกข์โดยเรียกกันอย่างภาคภูมิที่สุดว่า
นิพพาน
อันเป็นจุดหมายปลายทางสูงสุดที่มนุษย์พึงจะได้รับ
ความจริงการดับไม่เหลือแห่งทุกข์ทั้งปวงนั้นเป็นประโยชน์อย่างสูง มันหมายถึงทั้งงานเพื่อสังคม มนุษยชาติและตนเองอย่างแท้จริง ซึ่งนับว่าเป็นยอดสุดของงาน ตอนนี้ยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนต้องการความสุข และความสุขนั้นจำเป็นต่อชีวิตอย่างหนึ่ง จะขาดเสียมิได้
ปัญหาข้อที่
2 ความสุขคืออะไร? มีการให้คำจำกัดความอย่างโลกๆของคำว่า ความสุข
เป็น 2 อย่าง คือ pleasure และ peace ความสุขก็คือความพอใจในชีวิตในโลก ทั้งทางกายและทางใจ เป็นpleasure หรือ peaceไม่มีคำว่า
happiness
ส่วนมากคงจะชอบความร่าเริงมากกว่าสันติ peace อันหมายถึง
สันติภาพของโลก ส่วนความร่าเริงpleasure นั้นหมายถึงของส่วนบุคคล หรือ individual
ตอบ ความจริงนั้นสองอย่างนี้เป็นอันเดียวกัน
เมื่อเป็นความสุขในขั้นสุดท้ายจริงๆแล้วเป็นอันเดียวกัน ความสุขบนโลกตามความต้องการของมนุษย์นั้น ส่วนมากเป็นความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง
และสัมผัส ซึ่งไม่ใช่ความสุขสุดยอด เพราะเป็นเพียงความพอใจในรสนั้นๆ ชั่วครู่ชั่วยาม และก็ไม่ใช่สุขจริองๆ;
ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธองค์ท่านมองเห็นถึงความทุกข์และความโง่งมงายของมนุษย์โลกจึงได้มาค้นคว้าและวิจัยการดับทุกข์อันแท้จริงขึ้น
พระพุทธองค์เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก พระองค์ได้ทดลองค้นคว้าหาความจริงอันสูงสุดบนโลก
และมีประโยชน์มหาศาลที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับทุกคน;
สิ่งสิ่งนั้นเป็นความสุขที่มนุษย์ธรรมดาไม่เคยพบมาก่อนเลย เพราระมันเป็นยอดของความสุข ไม่ถูกพัวพันหรือรบกวนด้วยความทุกข์ เราเรียกความไม่มีทุกข์นั้นว่า “นิพพาน” ความจริงเรื่องนิพพานนี้เป็นของที่คู่มากับชีวิต
และชีวิตทุกชีวิตจะต้องพบไม่วันใดก็วันหนึ่งในกาลข้างหน้า
เมื่อนั้นเองสันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นบนโลก และสำหรับส่วนบุคคลก็จะถึงซึ่งสิ่งเป็นสัจจธรรมอันสูงสุดที่มนุษย์จะพบได้ การเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ได้รับหรือได้พบกับสิ่งที่สูงที่ให้ประโยชน์ที่สุด คือนิพพาน
หรือความดับสนิทแห่งทุกข์
มนุษย์ผู้นั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก
และน่าเสียดายในโอกาสซึ่งมีได้ยากนักหนา
ปัญหาข้อที่
3 ความดับสนิทแห่งทุกข์นั้น จะเป็นความสุขจริงหรือไม่?
ซึ่งมนุษย์ชาวโลกทั้งหลายหวาดกลัวเมื่อตัวเองจะต้องพรากไปเสียจากกิเลส หรือละห่างไปเสียจากความพอใจที่ได้รูป รส กลิ่น
เสียง เรื่องการเกิดการตาย
การเวียนว่ายในวัฏสงสาร นั้นมีจริงหรือไม่?
ตอบ สำหรับเรื่องนี้เรายังเข้าใจผิด เรื่องการเกิดการตายผู้เกิดผู้ตาย;
แต่ถ้าบุคคลนั้นรู้เรื่องนิพพาน
แม้โดยทางหลักวิชาแล้ว เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา
ชีวิตของมนุษย์ประกอบขึ้นด้วยธาตุ
6 ธาตุด้วยกันมารวมกันเข้าพอดีก็เป็นชีวิต
ธาตุเหล่านั้นคือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ วิญญาณธาตุ และอากาศธาตุ
ธาตุเหล่านี้กำลังเลื่อนไหลไป หรือเกิดๆดับๆตลอดเวลา ซึ่งจะหาสิ่งที่เป็น”ตัวเรา” “ของเรา” ไม่พบเลย
เกี่ยวกับเรื่องธาตุต่างๆตรงกับธาตุในวิทยาศาสตร์ แต่เรียกชื่อผิดกันไป เช่นคำว่า ธาตุดิน
หมายถึงคุณสมบัติแห่งความเป็นของแข็ง
คำว่า ธาตุน้ำ หมายถึงสิ่งซึ่งเป็นคุณสมบัติของการไหล ธาตุลม
หมายถึงคุณสมบัติของสิ่งซึ่งเป็นการระเหยลอยตัว ธาตุไฟ หมายถึงอุณหภูมิในหลักวิทยาศาสตร์ ธาตุทั้งสี่นี้ตามศัพท์เรียกว่า รูปธาตุ ส่วนวิญญาณธาตุนั้น
แปลว่า ธาตุที่สามารถรับรู้อารมณ์ภายนอก ที่เป็นรูปธาตุทั้งหลายเหล่านั้นและตัวมันเอง จัดเป็นนามธาตุ ซึ่งในวิทยาศาสตร์ไม่มี; และเช่นเดียวกัน อากาศธาตุในทีนี้หมายถึงที่ว่าง ไม่มีอะไรเลย
ซึ่งเราก็เรียกว่าที่ว่างนั้นมีอยู่
คือที่ที่ซึ่งร่างกายเราแทนที่อยู่เดี๋ยวนี้ เราก็นับไปอีกธาตุหนึ่ง; ในทางวิทยาศาสตร์เรียกสุญญากาศ vacuum ไม่เรียกว่าเป็นธาตุตามความหมายทางวัตถุ
ปัญหาข้อที่
4 คำว่านิพพานนั้นมีความหมายอย่างไร ไม่เป็นการเหลือวิสัยหรือที่มนุษย์จะเข้าใจ?
ตอบ ความดับสนิท หรือ extinction คือ นิพพานเป็นอสังขตธรรม
เป็นขั้นที่ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยอะไร เป็นสัจธรรม
เป็นสันติภาพทั้งแก่จิตใจมนุษย์และสันติภาพของสังคม สรุปว่า ขอให้เข้าใจพุทธศาสนาในแง่นี้ คือการกระทำให้ความทุกข์หมดไป การบวชนั้นคือการปฏิบัติให้สะดวกขึ้นเท่านั้นเอง ทุกศาสนาตั้งจุดหมายปลายทางไว้เช่นเดียวกัน; แต่มีปัญหา
อยู่ว่า
ของใครจะจริงจังขนาดไหน
มีเหตุมีผลทนทานต่อการพิสูจน์อย่างไร
พุทธศาสนิกชนควรจะเข้าใจไปเสียก่อนจึงเชื่อ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางให้เท่านั้น; เรื่องจะไปหรือไม่ไป เชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นเรื่องของบุคคล ใครจะบังคับไม่ได้
เกี่ยวกับวัตถุที่มนุษย์หลงเชื่อว่าจริงว่าจังนั้น บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามันประกอบด้วยนิวตรอน อิเล้กตรอนและโปรตรอน คือไฟลบและไฟบวก และเรารู้ต่อไปอีกว่า
วัตถุคือรูปหนึ่งของพลังงานเท่านั้น มันสลายตัว
ประมาณหนึ่งพันปีจึงจะกลายเป็นตะกั่ว
ขณะที่มันสลายตัวนั้นให้รังสีหรือพลังงานออกมา เรื่องนี้เป็นไปตามสูตรของไอน์สไตน์ E = mc2
Eเป็นพลังงานมีหน่วยเป็นเอิร์ก, m เป็นมวลของสารที่สลายตัว,
มีหน่วยเป็นร กรัม, c เป็นความเร็วของแสง มีค่าเท่ากับ 3+1010
เซนติเมตรต่อวินาที
ดังนั้นชีวิตมนุษย์หรือร่างมนุษย์เราเรียกได้ว่าเป็นรูปหนึ่งของพลังงาน เราเป็นวัตถุซึ่งเกิดๆดับๆ
หรือสลายตัวอยู่ตลอดเวลา ตามหลักพุทธศาสนาเรียกว่า
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องน้เป็นเรื่องรูปธรรม พระพุทธศาสนาก้าวไกลไปกว่านี้ คือถึงเรื่องนามธรรม เรื่องวิญญาณ
ซึ่งเป็นอนัตตาเช่นเดียวกัน
วิญญาณ
แปลว่า consciousness
เป็นธาตุที่รับรู้อารมณ์ภายนอกได้
ตัวมันเองก็เป็นธาตุที่เกิดดับๆตลอดเวลา
เปลี่ยนแปลงแปรผัน มีประสิทธิภาพเจริญหรือเสื่อมได้
ขึ้นอยู่กับภูมิธรรมของจิตหรือปัญญาว่าจะมีขนาดไหน โอกาสที่จิตใจหรือวิญญาณจะเป็นไปได้สูงสุด
คือมีปัญญาเต็มเปี่ยมและจิตใจหรือวิญญาณตกต่ำหรือเสื่อม คือเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ตรงตามสภาพที่เป็นจริง หลงรักหลงเกลียดเป็นตัณหา คือมีจิตที่มีอวิชชา –
ความไม่รู้แจ้งในสภาพที่เป็นจริงของโลกหรือชีวิต
ปัญหาข้อที่
5 เกี่ยวกับนิกายเซน หรือนิกายฉับพลัน
ซึ่งมีอยู่ในเมืองจีนเป็นอย่างไร?
ตอบ นิกายนี้กล่าวว่า จิตดั้งเดิมแท้ๆนั้นบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ห่อหุ้มกิเลสหรือตัณหา
หรืออวิชชาย้อมเอาไว้
จิตใจหรือวิญญาณจึงแสดงออกมาในรูปของสิ่งที่ถูกย้อมอยู่ตลอดเวลาที่ถุกผูกมัดด้วยอวิชชา ไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นอิสระ; จิตใจเสื่อมลง
จึงเห้นว่าร่างกายวัตถุนี้เป็นจริงเป็นจัง ยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา
ร่างกายเป็นของเรา รวมทั้งเข้าใจว่าชีวิตเป็นของเรา
ซึ่งหมายสูงมากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ
สำหรับการทำให้ทุกข์หมดไป
ขึ้นอยู่ที่จิตใจที่มีปัญหาซึ่งจะต้องมีประจำอยู่ตลอดเวลา ปัญญาแปลว่าการรู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลายตามสภาพความเป็นจริงของมัน นั่นคือจิตใจหมดอวิชชา มีสมรรถภาพสูงสุดปราศจากทุกข์ จิตใจเริ่มสัมผัสกับรสนิพพาน ไม่ถูกพัวพันร้อยรัด
การทำให้รู้แจ้งในสภาพเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายนั้นเรียกว่า “วิปัสสนา” เรื่องการทำวิปัสสนามีอยู่มากดวิธี; แต่อย่างไรก็ตาม
จุดมุ่งหมายก็คือการดับทุกข์ได้จริง
ความจริงวิปัสสนาก็คือการทำให้จิตมีปัญญาเต็มเปี่ยมหลุดพ้นจากอำนาจของวัตถุหรือสิ่งแวดล้อม;
หมายความว่าบุคคลนั้นดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยปัญญาและไม่มีทุกข์เลย หลักวิปัสสนาง่ายๆก็คือ ทำตัวเรา คืออัตตาของเราคืออัตนียาให้เป็นอนัตตา; เมื่อนั้นถึงนิพพาน ความทุกข์มีค่าเป็นศูนย์
นิพพานเป็นสัจธรรมหรือความจริงที่จะค้ำจุนโลก ทำโลกให้มรสันติภาพที่แท้ถาวร มนุษย์จะอยู่เย็นเป็นสุข ความดับทุกข์สำหรับสังคมนั้นไม่สมบูรณ์นัก จะได้ก้เพียงสันติภาพอย่างโลกเท่านั้น สำหรับปัจเจกชนจะสมบูรณ์ คือไม่มีทุกข์อย่างแท้จริง
เรื่องการทำจิตใจให้เห็นจริงต่อสภาพที่เป็นจริงนี้
เปรียบเสมือนการเปลี่ยนทัศนะให้เห็นงูเป็นงู เห็นปลาเป็นปลา ไม่เห็นกลับกันและทั้งสองอย่างนั้นเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
เรื่องการเข้าพิธีบวชนั้น ไม่ควรเป็นปัญหาที่ผู้สนใจจะต้องรีบเร่ง ปัยหาอยู่ที่จิตใจของเราพัวพันอญึ่ หลงผิดอยู่กับความไม่เที่ยงแท้แน่นอน แล้วก่อให้เกิดทุกข์มากน้อยขนาดไหนเท่านั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญา หรือควงามรู้ในด้านพุทธศาสนาขนาดไหน เราต้องรีบทำการเปลื้องสิ่งนี้ และเป็นการบวชไปในตัวเอง.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น