หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

พุทธทาสภิกขุ _ตอบปัญหา "ปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าทุกวัน"



ปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าทุกวัน
ตอบปัญหาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กลุ่มพุทธศาสตร์และประเพณี  ส.จ.ม.
ที่คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
14  มกราคม  2504


          ปัญหาข้อที่ 1  ในเมื่อเราทุกคนจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อยังชีพ จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่  เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ  ทำอย่างไรจิตของเราจึงจะว่างได้  ไม่ได้หมายความถึงขั้นนิพพาน  เพียงแต่ปลีกตนให้พ้นอันตรายจากสิ่งที่มากระทบใจเท่านั้น
          ตอบ              ปัญหาข้อนี้  หมายถึงการที่เรามีจิตว่าง  เพื่อให้ได้เปรียบในสังคม  ในการที่จะไม่ให้เขาทำอันตรายได้โดยทางจิตใจ  นี่มันเรื่องเดียวกันกับที่ได้บรรยายตั้งแต่ครั้งก่อนว่า  เราจะต้องฝึกฝนในการที่จะปลดเปลื้องความรู้สึกที่เป็นตัวเราหรือของเรา  ที่เรียกว่า  อหังการ หรือ มมังการ  ให้ออกไปเสียก่อน  ได้ทุกคราวที่เราต้องการ ให้มันเป็นจิตใจว่างจากความยึดถือว่าเป็นตัวกูของกูก่อน  มันไม่อาจจะทำเดี๋ยวนี้ได้  ต้องอาศัยการศึกษาและการฝึกฝนมาพอสมควรในทุกๆแห่ง  ทุกอิริยาบถ  ทุกๆเวลามาพอสมควรก่อนแล้ว  และพอมาถึงโอกาสที่เราเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้นในทางสังคม  เราสามารถที่จะมีสติ  ระลึกถึงความรู้ที่แท้จริงที่เราเคยฝึกมาแล้วนี้ได้  หรือว่าถ้าจะเรียกว่าเป็นเคล็ดลับกะทันหันก็คือ  เราสามารถสำรวมจิตใจเพื่อลืมเรื่องราวต่างๆที่เป็นไปในทางอหังการ มมังการ นั้นเสียก่อน  ให้มีจิตเป็นกลางที่เรียกว่าเป็นอิสระจากความโกรธและความเกลียด  หรือความรักก็ตามเสียก่อน  พอมีจิตใจว่างพอสมควรอย่างนี้แล้วย  เราก็สามารถจะพูด หรือทำ หรือคิดในทางที่ผิดได้ยาก  จึงไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบผู้อื่น  ตอบได้สั้นๆแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องซึ่งยืดยาว  แต่ใจความสำคัญก็มีเพียงเท่านี้

          ปัญหาข้อที่ 2  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ  ถ้าหากเรามีความทุกข์เราจะทำเป็นว่าไม่เดือดร้อน  เราไม่แคร์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  การกระทำเช่นนี้อาจจะทำให้ใจสบายได้  ในความสบายำนี้ทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทำให้เหตุดับ  เมื่อตัวเราพ้นทุกข์  แต่เหตุแห่งทุกข์นั้นยังบมีอยู่ในโลกให้เพื่อนมนุษย์อื่นๆเสวย  เราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน  เราจะมีอุดมการณ์เพียงทำให้ตัวเราสบาย  หรือมีอุดมการณ์เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์นั้น  เพื่อความเป็นสุขของมวลชน
          ตอบ              ดับทุกข์  โดยไม่ต้องไปดับที่ต้นเหตุอย่างนี้  เขาเรียกว่าเป็นการกลบเกลื่อนทุกข์  ไม่ใช่ดับทุกข์หรือตัดทุกข์;  มันก็ดีอยู่เหมือนกัน  และเป็นประโยชน์ในข้อที่ว่า  กลบเกลื่อนเพื่อช่วยตัวเองให้ตั้งสติหรือตั้งตัวได้  เช่นว่า  แค่นหัวเราะออกมา  หรืออะไรอย่างนี้ก็ยังเป็นประโยชน์  ไม่ใช่ไม่เป็นประโยชน์;  มันจะได้เป็นการประวิงเวลาเพื่อให้ตั้งตัวได้  ในการที่ตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นโดยตรง  การกลบเกลื่อนไว้ชั่วคราวอย่างนี้  ก็จัดไว้ในฐานะเป็นอุปกรณ์ของการตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์ด้วยเหมือนกัน เช่น เมื่อถูกอะไรเข้าเป็นการเจ็บปวด  ก็หัดหัวเราะเข้าไว้ก่อน  มันเป็นสิ่งที่ทำได้  แล้วมันจะทำให้จิตตั้งตัวได้  และสอดส่องไปถึงมูลเหตุและต้นเหตุได้  ฉะนั้นอย่าไปแยกกัน  และขอตอบว่า  เราไม่สามารถดับทุกข์ได้โดยไม่ตัดต้นเหตุของความทุกข์  จะทำได้ก็เป็นเพียงกลบเกลื่อนชั่วคราว เป็นความฉลาดที่ยังน้อยอยู่  ยังไม่สมบูรณ์  ต้องทำต่อไปจนถึงกับตัดตัวต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นเสีย  ซึ่งตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว  เราไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้;  และยังขอท้าว่า  แม้ตามหลักของศาสนาอื่น  หรือวิธีอื่น  ก็ยังไปในทำนองที่ว่า  ต้องตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้น  เราไม่อาจจะกลบเกลื่อนได้โดยเอาสิ่งสวยงามมากลบเกลื่อนให้หายไปได้  มันจะได้ชั่วครู่ชั่วคราว  และบางบทีมันเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป  จึงไม่ใช่วิธีที่จะใช้เป็นที่พึ่งได้  หรือถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้  เรามีอุดมการณ์ที่จะดับทุกข์ของมวลชนอยู่ด้วยเสมอไป  แต่เราจะต้องมีความรู้ความสามารถในการดับทุกข์ส่วนตัวของเราโดยถูกต้องและสมบูรณ์เสียก่อน  เพราะมันมีหลักใหญ่อย่างเดียวกัน  คือต้องตัดต้นเหตุของมันโดยตรง  ไม่ใช่กลบเกลื่อนไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

          ปัญหาข้อที่ 3  ในเวลาที่จิตใจมีความทุกข์  มีความกังวล จะใช้ธรรมะข้อใดแก้ความทุกข์ ความกังวลเหล่านั้น และจะมีวิธีปฏิบัติตามนั้นอย่างไรจึงจะได้ผล?
          ตอบ              ความทุกข์ร้อน  ความวิตกกังวลนี้  ก็รวมอยู่ในความทุกข์  ไม่แยกจากกัน  ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องค้นหาต้นเหตุ  มูลเหตุของความทุกข์  โดยสรุปก็คือ  การเข้าไปยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นตัวเป็นตนหรือของของตน  วิชาความรู้ในพุทธศาสนานั้นสอนให้ปฏิบัติให้เห็นแจ้งว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวตนหรือของตน  ข้อนี้ไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งต่างๆไม่มี  มันมีมากมาย  แต่ว่าไม่มีส่วนไหนที่ควรจะเข้าไปยึดถือยึดมั่น  สำคัญว่าเป็นตัวตนของตน  ถ้าเข้าถึงความจริงข้อนี้แล้ว  จิตจะไม่ยึดถืออะไรเป็นตัวตน  แล้วก็ไม่มีทางที่จะเกิดความเศร้า  ความทุกข์เดือดร้อนอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้เลย  หลักตายตัวมีอยู่อย่างนั้น  ไม่ต้องแยกกัน

          ปัญหาข้อที่ 4  ที่พระคุณเจ้าพูดว่า  ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ควรเคารพเป็นที่พึ่งได้นอกจากธรรมะ  สงสัยว่าบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  มิได้เป็นที่เคารพที่พึ่งได้ดอกหรือ?
          ตอบ              นี่เป็นคำถามที่ดี  คือเป็นคำถามที่ควรจะถาม  การเคารพบิดามารดานั้นก็ถือว่าเป็นการเคารพธรรรมะ  เพราะถ้าไม่เคารพธรรมะแล้ว  ก็ไม่เคารพบิดามารดา  เหตุที่ทำให้เคารพบิดามารดาก็เพราะความเคารพในธรรมะ  กฏระเบียบ ฯลฯ ต่างๆเป็นธรรมดา  ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆเป็นธรรมะ  ถ้าเราทำตามกฏตามขนบธรรมเนียมประเพณี  ตามคำสั่งสอนของบิดามารดานั้นเอง  ชื่อว่าเราเคารพธรรมะ  และการเคารพบิดามารดาและสิ่งที่ควรเคารพอย่างอื่น  ในการเคารพสิ่งอื่นๆ หรือทำอย่างอื่นด้วยความเคารพที่ถูกต้อง  ก็เหมือนกัน  ขอให้ถือหลักอย่างเดียวกัน

          ปัญหาข้อที่ 5  ถ้าหากว่าบิดามารดานั้นมิได้ประพฤติอยู่ในทำนองคลองธรรมแล้ว  บุตรธิดาจะควรมีความเคารพเหมือนกับบิดามารดาที่ปฏิบัติตนตามทำนองคลองธรรมดังนั้นหรือ?
          ตอบ              นี่เป็นปัญหาที่ควรถือว่าเป็นปัญหา  เมื่อในบางรายหรือบางกรณีที่บิดามารดาขาดการศึกษา  ตั้งอยู่ในฐานะที่ไม่ควรเคารพก็มี  แต่ต้องพิจารณาดูให้ละเอียดว่า  บางส่วนก็ยังมีที่ควรเคารพ;  ดังนั้นจึงต้องจัดให้ดี  แยกให้ดี  ที่เราจะไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนที่ผิดๆนั้น  ก็ถูกอยู่  แต่เราก็ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการเคารพบิดามารดาในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดเรามา  นี่เราจะต้องใช้ปฏิภาณของเราเอง  ความจริงนั้นมีอยู่ว่า  บิดามารดาที่แท้จริงก็คือผู้ที่มีคุรธรรม  สำหรับบิดามารดาจะต้องมี  ถ้าไม่มีคุณธรรมสำหรับบิดามารดาจะต้องมีแล้ว  คนนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นบิดามารดา  แม้เราจะไม่เคารพในข้อนั้นก็ไม่เรียกว่าไม่เคารพบิดามารดา  เพราะไม่ได้ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นบิดามารดา  แต่อย่าลืมอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า  อย่างน้อยท่านก็ให้กำเนิดเรามา  ฉะนั้นเราจะเคารพอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ตามใจ  ในส่วนที่เป็นบิดามารดาเพราะคลอดเรามา  ส่วนที่เราไม่เคารพคำแนะนำของท่าน  จะไม่ประพฤติตามคำขอร้องที่ไม่ถูกไม่ควรของท่าน  นั้น เป็นเรื่องของสติปัญญาซึ่งจะต้องใช้ปฏิภาณให้เหมาะ  แยกแยะลงไปให้เหมาะสมด้วยความไม่ประมาท  ไม่ทะนง

          ปัญหาข้อที่ 6  การปฏิบัติในทางพุทธศาสนานั้น  ควรจะอนุโลมให้เข้ากับวิธีการที่สังคมใช้อยู่แค่ไหน  เช่น  ทำบุญจะต้องทำด้วงยวิธีที่สังคมกำหนดไว้เป็นบรรทัดฐานขึ้น  หรือทำบุญในลักษณะที่ตนเห็นว่าตามศรัทธา  แลตามหลักธรรมะ  การอุปสมบทเพื่อจะทำให้เป็นไปตามประเพณีหรือเพื่อศรัทธานั้น  เราควรจะทำมากน้อยในด้านหนึ่งด้านใดอย่างไร?
          ตอบ              การทำอะไรตามประเพณี  และทำอะไรให้ถุกต้องตามหลักเกณฑ์ของความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ขัดกันอยู่บ่อยๆและทั่วๆไปในที่ทุกหนทุกแห่ง  ฉะนั้นเราจะต้องถือหลักธรรมะเหมือนกัน  แม้ว่าเป็นหลักที่ต่ำๆลงมาที่เรียกว่า  ความเป็นผู้รู้จักเหตุ  รู้จักผล  รู้จักบุคคล  รู้จักสถานที่  รู้จักเวลา  เหล่านี้เป็นต้น  คำพูดประโยคที่ว่า “เข้าไหนเข้าได้” นั้นก็เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนาเหมือนกัน  แต่มิได้หมายความว่า  ไปร่วมกันทำผิดหรือทำเสีย  ในบางคราวเพื่ออนุโลมตามความนิยมของสังคมได้  เราจะต้องทำเหมือนกัน  ถ้าเราไปเกี่ยวข้องแล้ว  มันมีอยู่ว่าเราจะยอมเกี่ยวข้องหรือไม่  ถ้าเราจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องในบางคราว  เราต้องอนุโลมตามเท่าที่ควร  แต่ที่มันผิดหรือยอมรับไม่ไหวจริงๆนั้น  เราถอนตัวออกเสียก็ได้  แต่ในกรณีที่มันจะเป็นผลดีแก่สังคมนั้นเราก็อนุโลมตามไปได้  โดยเราถือหลักว่า  ในโลกนี้คนโง่มีมาก  ฉะนั้นเขาจะต้องมีระเบียบขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรบางอย่างเป็นส่วนใหญ่ไว้สำหรับคนพวกนี้  เพราะสำหรับคนพวกนี้มันมีหลักอยู่ว่า  จะต้องล้อมคอกไว้ก่อน  มันเป็นเหมือนกับลูกสัตว์เล็กๆเพิ่งคลอดออกมา  เช่นลูกเป็ดลูกไก่นี้  มันยังบินไม่ได้  มันจำงต้องขังคอกไว้ก่อนเพื่อให้มันปลอดภัย  ให้มันเจริญเติบโตบินเก่ง  วิ่งเก่ง  เราจึงเลิกคอก  ความจริงในการรู้สัจธรรมนั้นเหมือนกับเลิกคอกปล่อยเป็นอิสระ  แต่ก็ยังไม่ควรใช้กับคนที่โง่งมงายยังต่ำอยู่  จึงต้องสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  ชนิดที่ไม่เป็นอันตรายขึ้นไว้ก่อน  และขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน  ฉะนั้นถ้าเราจะอนุโลมตามขนบธรรมเนียมประเพณีให้เข้ากับคนทั่วๆไป  หรือกับคนที่ไร้การศึกษาตามบ้านนอกคอกนานี้  ก็ต้องใช้ปฏิภาณเลือกใหเหมาะ  ให้เป็นเรื่องเข้าไหนเข้าได้ และก็ให้สำเร็จประโยชน์โดยไม่มีการเสียหายแต่อย่างใด  นั่นแหละ คือการประพฤติถุกหลักธรรมะของพระพุทธศาสนา  อย่าได้กล่าวยืนยันชนิดกระต่ายขาเดียว  หรืออะไรทำนองนั้นว่า  ต้องอย่างนี้เด็ดขาด  ต้องอย่างโน้นเด็ดขาด  เช่นต้องความจริงเด็ดขาด  หรือต้องประเพณีเด็ดขาด  นี้มันไม่ได้  บางทีก็ต้องเจือกัน  บางเวลาก็เปลี่ยนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  โดยนึกถึงอกเขาอกเรา  และนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีไว้สำหรับสังคมทั่วไปเป็นส่วนใหญ่  เรื่องทั้งหมดนี้ระบุให้ชัดไม่ได้  เพราระมีอยู่มาก  วางได้แต่เพียงเป็นหลักกลางๆว่า  เราจะต้องมีหลักอย่างนี้ในการเกี่ยวข้องกับสังคม
          การบวชตามประเพณี  ก็ยังเป็นสิ่งที่จะต้องรักษาไว้เหมือนกัน  เพราะว่าคนโง่ที่ยังไม่มีทางจะฉลาดโดยวิธีอื่นก็ยังมีอยู่มากนั่นเอง  แต่เมื่อบวชเข้ามาแล้วมันก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องควบคุมให้ดี  มันก็ยังมีประโยชน์  และบางทีการบวชตามประเพณีเมื่อทำไปๆมันก็กลายเป็นการบวชตามความจริง  คือมีความศรัทธาเลื่อมใสเห็นจริงก็ได้  แล้วก็บวชไปตลอด  ถ้าจะบวชตามประแพณีเราก็ต้องรู้ว่า  ปู่ย่าตายายของเราฉลาด  เหมาะสมกับกาลสมัยที่วางประเพณีไว้ให้ว่า  ก่อนที่จะไปเป็นคนโดยสมบูรณ์นั้น ควรศึกษาธรรมะเสียก่อน  ไม่ศึกษาแต่เรื่องวัตถุหรือร่างกายอย่างเดียว  ท่านจัดให้การบวชตามประเพณีนี้เป็นโอกาสเข้ามาศึกษาธรรมะ  หาความรู้ในเรื่องทางจิตทางวิญญาณ  เพื่อไปเพิ่มให้แก่ทางฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวัตถุ  แล้วกลับสึกออกไปจะต้องดีกว่าเก่าแน่  เมื่อเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ก็ไม่เสียหายอะไร  สรุปคำตอบก็ว่า ดูให้เหมาะแก่เรื่อง เวลา สถานะ เหตุการณ์ บุคคล สถานที่ ก็แล้วกัน

          ปัญหาข้อที่ 7  เรื่องทศชาติในพระไตรปิฎกนั้น เป็นอย่างไร  มีความจริงแค่ไหน  การระลึกชาติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีความจริงแค่ไหน  และมีเหตุผลอย่างไรบ้าง?
          ตอบ              นี่มันเป็นปัญหาทางวรรณคดีและทางโบราณคดีเสียแล้ว  ถ้าถามอย่างนี้ไม่ใช่เป็นปัญหาทางธรรมะหรือทางศาสนาโดยตรง  ที่ว่าเป็นปัญหาทางวรรณคดีหรือหน้าที่ของโบราณคดีนี้  หมายความว่า  พระคัมภีร์ส่วนที่ชาดกนี้ได้ถุกเขียนขึ้นเรื่อยๆ และดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขกันมาเรื่อยๆ จนเป็นภาคอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เรื่องชาดกทั้งหลายเท่าที่มีอยู่ในพระบาลีนั้นมันมีแต่คำพูดที่สำคัญๆ ที่อาศัยใช้เป็นหลักปฏิบัติได้  ท้องเรื่องที่เล่าเป็นนิทานนั้นไม่มีในพระไตรปิฎก  คือในตัวพระไตรปิฎกไม่มีท้องนิทาน  มีแต่คำพูดสำคัญๆที่มาอยู่ในตัวนิทานชั้นหลังเหล่านั้น  เป็นประโยคๆไป  ดูราวกับว่า quote เอามา  คนชั้นหลังต่างหากที่เอาคำเหล่านั้นมาใส่ “ภาชนะ” ทำเป็นนิทานชาดกไป  คือแต่งนิทานชาดกขึ้นเพื่อให้เป็นภาชนะแจกจ่ายข้อความธรรมะเหล่านั้น  ตามทางโบราณคดีที่สอบสวนปรากฏว่า  แต่งขยายเป็นท้องเรื่องนิทานนี้ก็ยุคหนึ่ง;  และต่อมาก็อีกยุคหนึ่ง  ก็แต่งเติมเรื่องการกลับชาติว่าคนนนั้นกลับชาติเป็นคนนั้น  คนนี้กลับชาติเป็นคนนี้  นี้ก็เป็นเรื่องยุคหลังอีก  ถ้าศึกษาในแง่โบราณคดีอย่างนี้กลับจะไม่เกิดปัญหาอย่างที่ว่านี้  คือว่าเขาทำไปตามที่เห็นว่าเหมาะสม  ในทางที่จะดึงดูดความสนใจของคนทั่วไปซึ่งยังไม่ใช่คนฉลาด  เพราะมองเห็นว่าในโ,กนี้มีคนไม่ฉลาดมากกว่า คนที่ฉลาดดังที่กล่าวแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็มุ่งหมายความไพเราะทางวรรณคดี  ฉะนั้นเราอย่าไปว่าเขาเลย และเราอย่าไปเสียเวลาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้  ถ้าเราอ่านชาดกเราควรจะได้ประโยชน์ในความไพเราะทางวรรณคดีบ้าง  เราเก็บเอาข้อความที่เป็นธรรมะเข้ามาใช้อย่างธรรมะบ้าง  เราก็ได้ประโยชน์ ไม่เสียประโยชน์ ที่เราไปดูหมิ่นดูถูกว่าไม่ควรอ่านเสียเลยนั้นกลับจะเสียประโยชน์  ขอให้ไปเกี่ยวข้องกับนิทานหรือชาดกทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ก็แล้วกัน  ก็จะปลอดภัย  ไม่น่าติเตียนที่ตรงไหน  การกลับชาติท้ายชาดกนั้นไม่ใช่การระลึกชาติของพระพุทธเจ้าแล้วตรัสไว้อย่างนั้น

          ปัญหาข้อที่ 8  วิญญาณของคนหมายถึงอะไร  ที่เขากล่าวมีคนสามารถถ่ายภาพวิญญาณของคนที่ตายแล้วได้นั้น  จริงหรือไม่?
          ตอบ              วิญญาณของคนคืออะไร  นี่มันเป็นปัญหาที่ต้องการคำตอบมากมาย  เพราะภาษาบาลีเกี่ยวกับคำว่าวิญญาณนี้มีหลายความหมายหลายคำด้วยกัน  แต่ถ้าจะตอบโดยที่เรียก “ทั่วไป” ความหมายทั่วไปก็ตอบได้ว่า  วิญญาณนี้เป็นแต่เพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ตา หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่ผิวกาย และที่ใจเอง  ในเมื่อได้กระทบรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ครั้นทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ดับไป  กลายเป็นจิตใจตามธรรมดา  เป็นจิตใจที่ประจำก็แล้วกัน
          คำว่า  ทำหน้าที่เป็นวิญญาณ  ก็คืออำนาจที่รู้เรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จิตใจ นั้นมันจะเกิดขึ้นทำหน้าที่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นคราวๆทุกคราวที่มีอะไรมากระทบ  ฉะนั้นจึงเกิดมีการเกิดดับ  เกิดดับของวิญญาณนี้อยู่ตลอดเวลาตลอดชีวิต  นี่เรียกว่าวิญญาณในความหมายทั่วไป  ส่วนที่เขาพูดกันว่า “จิต” ที่ทำหน้าที่เป็นวิญญาณอยู่เป็นระยะๆ  เมื่อร่างกายแตกตายแล้วจิตไปหาร่างใหม่นั้น เป็นเรื่องที่เขากล่าวกันอยู่ทั่วไปก่อนพุทธกาลนี้ เราไม่ยอมรับว่าเป็นหลักพุทธศาสนา และไม่ควรจะไปเสียเวลาที่จะถกเถียงเรื่องนั้น  เราต้องการเพียงจะให้รู้จักควบคุมวิญญาณที่มารู้เรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี้  เมื่อเกิดผัสสะขึ้นแล้ว  อย่าให้เกิดเป็นเวทนา หรืออย่าให้เป็นตัรหาในที่สุด  ให้จัดการควบคุมการเกิดของวิญญาณ  ในทำนองไม่ให้เกิดเป็นเวทนาตัณหา; โดยทั่วไปย่อมตอบได้ดังนี้ ขอให้จำเอาไว้ก่อน
          ทีนี้ขอบอกกล่าวไว้ด้วยว่า  วิญญาณในความหมายอื่นมีอีกเยอะแยะ  อธิบายกันไม่ไหวด้วยเวลาเพียงเท่านี้  อย่างว่า คำว่า “วิญญาณ” หมายถึงพระนิพพานก็มี  มีอยู่ที่บางแห่งในพระไตรปิฎกเหมือนกัน  คำว่าวิญญาณแท้ๆหมายถึงพระนิพพานเลยก็มี  เช่นเดียวกับคำว่า อายตนะ หมายถึงพระนิพพานไปก็มี  นั่นเป็นกรณีพิเศษ อย่าต้องเอามาวินิจฉัยเลย  ขอบอกว่ามีอีกมาก ส่วนที่ควรวินิจฉัยจริงๆมีอยู่ว่า  วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย  ที่เป็นตัวเรื่องให้เกิดเรื่องร้องไห้หรือหัวเราะ  นี่ระวังให้ดีๆ  ส่วนที่ถามว่า  มีการถ่ายรูปวิญญาณได้  จริงหรือไม่นั้น  ไม่ใช่ปัญหา  สำหรับอาตมานี่  อาตมาไม่เคยสนใจเรื่องนี้ และอาตมาไม่เชื่อแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว

          ปัญหาข้อที่ 9 อยากเรียนถามว่า  เท่าที่ทราบมาพระพุทธศาสนาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนรกหรือสวรรค์  นอกจากให้รู้ถึงความดับทุกข์  เพราะเหตุใดเรื่องของพระมาลัยเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย  จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องของนรกและสวรรค์  ถึงกับมีการลงไปในนรกและขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย?
          ตอบ              เรื่องราวที่บอกว่าเป็นเรื่องของพระมาลัยนั้นเป็นเรื่องแต่งขึ้นในชั้นหลังในประเทศำลังกา  แต่เราก็ยอมรับว่ามีเจตนาดีที่จะ ทำให้คนส่วนใหญ่  คือมวลชนนี้เกิดความกลัวในเรื่องของความทุกข์  และตั้งหน้าตั้งตาประพฤติดี  คำว่านรกสวรรค์นั้นเป็นชื่อของความทุกข์ทั้งนั้น  พระพุทธเจ้าก็ได้กล่าวถึงความทุกข์ไว้มากมายในลักษณะต่างๆกัน
          สัตว์นรก        หมายถึงสัตว์ที่ทนทุกข์เพราะถุกลงโทษ
          เปรต             หมายถึงสัตว์ที่ทนทุกข์ตามธรรมชาติแล้วไม่มีใครลงโทษ แต่เป็นการเจ็บป่วยพิกลพิการของเขาเอง  ไม่มีใครลงโทษต่างกับสัตว์นรกที่ว่าทนทุกข์เพราะถูกลงโทษ   
          สัตว์เดรัจฉาน  นี้ทนทุกข์เพราะยังต่ำเกินไปในทางสติปัญญา  ก็ต้องทนทุกข์เพราะต่ำด้วยสติปัญญา  แม้จะฟรี  เป็นอิสระ  ก็ต้องทนทุกข์ด้วยสติปัญญาต่ำ
          อสุรกาย         หมายถึงพวกที่ไม่มีตัวแสดงปรากฏชัด  ก็คือเป็นคนล่อลวง  ก็ต้องทนทุกข์เพราะความกลัวและความฉลาดแกมโกงของตนเอง
          รวมความแล้ว  ผู้ที่ทนทุกข์อยู่ 4 ประเภท นี้เรียกว่า “นิริย” หรือ นรก  เป็นเพียงบุคคลาธิษฐานของคำว่าความทุกข์  ในแบบต่างๆกัน  เมื่อพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงความทุกข์ทุกๆแบบแล้ว ก้หมายความว่า  เรื่องนรกก็มีในหลักของพระพุทธศาสนา  คือเป็นเรื่องความทุกข์นั่นเอง  ส่วนที่กล่าวให้เป็นบุคคล เป็น personficate เป็นรูปสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกายขึ้นมาก็เพื่อให้เข้าใจง่าย  ถ้าเราเข้าใจเจตนาดีของผู้แต่งคัมภีร์พระมาลัยแล้วเราก็ใช้ไปในทางที่จะช่วยให้คนบางพวก  ไม่ใช่ทุกพวกให้เกิดความกลัวบาปอยากทำความดี  แต่คงใช้ไม่ได้กับนักศึกษา และไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาใช้กับพวกที่ไม่คิดจะทำบาปอีกต่อไป

          ปัญหาข้อที่ 10          มนุษย์ทำการสืบพันธุ์ต่อไปหลาย generation เพื่อที่จะให้มนุษย์ใน generation หนึ่งต่อไปได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือนิพพาน  ถ้ามนุษย์ถึงนิพพานแล้วจะไม่สืบพันธุ์ต่อไปอีกหรือ?  และถ้าสืบพันธุ์ต่อไปมนุษย์จะมีความบริสุทธิ์พอที่จะถึงนิพพานได้อีกหรือ?
          ตอบ              ตอบได้ง่ายๆว่า  มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนๆกัน  หรือพร้อมกันทั้ง generation แต่จะต้องมีคนใดคนหนึ่งใน generation ใดที่ลุถึงนิพพานและบริสุทธิ์  จนอยู่เหนือการมีตัวตนสำหรับการสืบพันธุ์เสมอไป

          ปัญหาข้อที่ 11          วิปัสสนาเป็นแขนงหนึ่งในพระพุทธศาสนาหรือไม่?
          ตอบ              วิปัสสนา = วิ แปลว่า  แจ่มแจ้ง  ปัสสนา แปลว่าเห็น  วิปัสสนา แปลว่า การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง  จะใช้ในเรื่องอะไร  ถ้าเห็นอะไรลงไปอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งตามที่เป็นจริง  ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว  ก็จัดว่าเป็นวิปัสสนาทั้งนั้น  แม้ในเรื่องความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมาเองของคนในกรณีธรรมดาสามัญก็เรียกว่าวิปัสสนาได้  เช่นเด็กทารกคนหนึ่งไปจับที่ไฟแล้วร้อน  ก็มี realization เอง  โดยไม่ต้องเชื่อคนอื่นว่ามันร้อน  หรือไฟเป็นอย่างไร  ทีแรกแม่บอกว่าไฟร้อนไม่ยักเชื่อ เพราะยังไม่มีวิปัสสนา  ทีเมื่อไปจับเข้าเองก็มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้ง  นี้เรียกว่า วิปัสสนาได้
          ในกรณีพุทธศาสนานั้นเราหมายถึง เห็นแจ่มแจ้งในตัวทุกข์ที่ไม่ใช่ในแง่ทางวัตถุ  แต่เป็นทุกข์เพราะกิเลส  ความโลภ ความโกรธ ความหลง และเป็นทุกข์อยู่อย่างลึกซึ้งในความหมายที่คนธรรมดาเข้าใจไม่ได้  เช่นว่า  สุขก็คือทุกข์  สุขเวทนาก็คือทุกข์  ทุกข์อย่างนี้เข้าใจไม่ได้  ก็ต้องใช้วิปัสสนาที่สูงๆ  การที่หัวเราะนี่ก็เป็นทุกข์  ร้องไห้ก็เป็นทุกข์  แต่คนละแบบ ให้ไปคิดดู  ถ้าใครเห็นว่าการหัวเราะก็เป็นทุกข์นั่นแหละจะเริ่มขึ้นสู่ขั้นวิปัสสนาในพระพุทธศาสนา  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์  สุขเวทนาก้เป็นทุกข์  ทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์  คนดีก็เป็นทุกข์ตามแบบคนดี  คนชั่วก็เป็นทุกข์ตามแบบคนชั่ว  คนรวยทุกข์ตามแบบคนรวย  คนจนทุกข์ตามแบบคนจน  คนมีบุญทุกข์ตามแบบคนมีบุญ  คนมีบาปก็ทุกข์ตามแบบคนมีบาป  เมื่อเห็นว่ามันเป็นทุกข์แท้จริงอย่างไรและระงับดับให้ได้  จึงจะเป็นวิปัสสนาในพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์  ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า  วิปัสสนา นั้นคือ ระเบียบ การกระทำ ซึ่งเป็นกรรมวิธีทางใจอันหนึ่งที่จะทำให้เราเห็นแจ่มแจ้งจนความรู้จี่มแจ้งนั้นมันทำลายกิเลสตัรหาให้หมดไป  ไม่เป็นบ่อเกิดของความทุกข์  นี้เราเรียกว่า “วิปัสสนา”  แต่ไม่ใช่หมายว่าไปนั่งภาวนาอะไรพึมๆพำๆ หรือว่าทำอะไรตัวแข็งทื่อในทำนองนั้น  มันต้องเป็นเรื่องเห็นด้วยสติปัญญาหรือญาณอย่างแจ่มแจ้ง  จนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในใจ  ในสันดาน  หรือในอุปนิสัยอย่างใหญ่หลวง  จนสิ่งที่เราเรียกว่ากิเลสนั้นตั้งขึ้นไม่ติด;  เป็นจิตใจหรือเป็นสันดานที่บริสุทธิ์สะอาดขึ้นมา  เพราะการชำระล้างของวิปัสสนาที่ทำให้ใจสะอาด  อย่างนี้จึงจะเรียกว่า วิปัสสนาของพระพุทธเจ้า  คือเห็นแจ่มแจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ สุญญตา ในสิ่งทั้งปวง  แล้วจิตเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็เรียกว่า “วิราคะ” คลายกำหนัด  แล้วจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ;  สิ่งต่างๆก็ไม่มาทำให้จิตนั้นเป็นทุกข์ได้  นี่เป็นผลของวิปัสสนา  ขอให้เข้าใจว่ามันเป็นตัวการปฏิบัติ  ซึ่งเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนาส่วนสำคัญทีเดียว  แต่ความหมายของมันนั้น เอามาใช้ได้ในที่ทั่วไปว่า “เห็นอย่างแจ่มแจ้ง” ก็แล้วกัน

          ปัญหาข้อที่ 12          ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักเรียนแพทย์  ได้มีโอกาสเข้าไปในโบสถ์ของวัดแห่งหนึ่ง  ซึ่งกำลังทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณของพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น  ในขณะหนึ่งซึ่งทุกๆคนก็บอกว่าได้เห็นรูปร่างของพระพุทธเจ้ามาปรากฏอยู่แล้ว  ส่วนมากก็เป็นคนเฒ่าชรา  แต่เพื่อนของผมคนนั้นบอกว่า “ผมไม่ยักเห็น” พอดีมีคนที่อยู่แถวๆนั้นบอกว่า  “คุณไม่มีบุญจึงมองไม่เห็น”  ใคร่เรียนถามว่า เราสามารถจะอัญเชิญดวงวิญญาณของพระพุทธเจ้าได้จริงหรือไม่?
          ตอบ              ปัญหาอย่างนี้จัดไว้ในปัญหาที่ไม่จำเป็น  ไปถามพระพุทธเจ้าท่านก็ตอบว่าอย่างนี้  คือไม่เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์อย่างว่ามาแล้ว  และเราไม่ควรจะไปวิจารณ์มาก  เพราะมันจะไปกระทบกระเทือนขึ้น และเป็นเพราะว่าคนที่เชื่อมั่นในหลักการหรืออะไรของการกระทำนั้น  แล้วเขาสร้าง imagination ได้ง่าย  เขาอาจจะเห็นอะไรมากกว่าพระพุทธเจ้าก็ได้  ทีนี้เพื่อนของคุณไม่มีความเชื่อเลย  ไม่มีพื้นฐานสำหรับสร้าง imagination  เพราะฉะนั้นให้เขาไปทำเสียใหม่ซิ

          ประธานกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี ได้กล่าวในตอนท้ายว่า  กระผมในนามของกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี รู้สึกซาบซึ้งในคติธรรมครั้งสุดท้ายที่พระคุณเจ้าได้แสดงแก่สมาชิก  ก่อนที่ท่านจะกลับไปไชยาจากการแสดงธรรมปแฐกถาครั้งนี้  ทุกท่านย่อมทราบแล้วว่า  พระพุทธศาสนานี้จำเป็นหรือยังที่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะได้มีการศึกษากันอย่างจริงจัง  จากความเห็นนี้กระผมได้เสนอให้แก่มหาวิทยาลัย 2 ข้อ คือ
          (1)     จุฬาลงกรณ์สมควรแล้วที่จะมีห้องพุทธศาสตร์และประเพณี  เพื่อจะให้นิสิตไปค้นคว้าหาความรู้ทางพุทธศาสนาและประเพณี  ซึ่งปรากฏว่าท่านเลขาฯได้อนุมัติตั้งห้องสมุดกลาง 1 ห้อง
          (2) ให้ทุกคณะได้ศึกษาวิชาพุทธปรัชญา  คือหลักสูตรพุทธศาสนาควรจะเป็นหลักสูตรของทุกคณะ  ซึ่งข้อนี้ทางมหาวิทยาลัยก็ยินดีรับไว้ในปีต่อไป  ทุกคณะอาจจะมีวิชาพุทธศาสนาเข้าสอนด้วย  ฉะนั้นในฐานะที่กระผมจะพ้นตำแหน่งประธานกลุ่มกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี  หรือที่เรียกทั่วๆไปว่า “มหา” ในฐานะซึ่งท่านก็เป็นเจ้าของกลุ่มที่จะต้องรับงานด้านนี้ต่อไป  ก็ขอให้ช่วยกันรักษางานด้านนี้ให้ดีสืบไป  เป็นของคู่จุฬาฯ  ถึงแม้ว่าจะเป็นกิจกรรมก็ให้เป็นแบบอย่างหรือเป็นมาตรฐานของมหาวิทืยาลัยอื่น  ซึ่งจะดำเนินงานตามแบบของเราต่อไป  เพราะว่าขณะนี้ก็ได้มีมหาวิทยาลัยอื่นๆกำลังเพ่งดูการทำงานของเราซึ่งรุดหน้าไปไกลมาก  และเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้กลุ่มศึกษาพุทธศาสนาและประเพณีก็อาจจะมีทุกกรมกอง  หรือทุกมหาวิทยาลัยก็ได้  ถ้าหากว่าเราทำงานกันเข้มแข็งสืบต่อไป  ขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจในกิจการ  ในโอกาสนี้ผมขอขอบคุณต่อคณะครุศาสตร์ ที่ได้อนุมัติให้ใช้ห้องประชุมเป็นสถานที่จัดงานของกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์  และผมขอขอบคุณต่อ คุณณรงค์ เทียนส่ง ผู้แทนคณะครุศาสตร์ ซึ่งได้ช่วยจัดให้มีการแสดงธรรมปาฐกถาครั้งนี้เรียบร้อยเป็นอย่างดี ขอขอบคุณทุกท่าน.

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

วิกฤติในพระพุทธศาสนา - ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช



ปาฐกถาพิเศษ
เรื่อง
วิกฤติในพระพุทธศาสนา
โดย  พล.ต. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช

เนื่องในงานครบรอบ 5 ปี มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในพระบรมราชูปถัมภ์  วิทยาเขตเชียงใหม่
ณ วัดสวนดอก  อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงใหม่
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2532


          ขอกราบนมัสการหลวงพ่อปัญญานันทะ  พระเดชพระคุณทั้งหลาย  และพระภิกุทั้งหลาย ตลอดถึงผู้มีเกียรติทั้งหลาย
          หัวข้อที่จะมาพูดกันวันนี้ คือเรื่อง วิกฤติในพระพุทธศาสนา  สมัยนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ใช้วิกฤตการณ์กันแล้ว เขาใช้วิกฤติเฉยๆ แล้วก็เวลากระผมอาละวาดอะไรขึ้นมาไปว่าให้ใครเขาไม่ถูกใจ กระผมก็ปลื้มใจ ว่าตัวเองเป็นปราชญ์วิกฤติมาจนบัดนี้
          ความหมายของวิกฤติ
          ความจริง คำว่า วิกฤติ นั้นมาจากภาษาฝรั่งว่า crisis ในทางวิทยาศาสตร์นั้น ไม่ใช่ของเสียหายอะไรหรอก เราเอามาใช้ในทางโลก ฟังดูแล้วมันก็ตื่นเต้นดี
          แต่ความจริงแล้ว วิกฤตินั้นมันเกิดได้กับทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างเอาน้ำตาลเคี่ยวไฟจนถึงที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า น้ำตาลมันกลับตัวนั่นแหละ
          นั่นแหละคือวิกฤติของน้ำตาล
          แล้วมันก้กลับตัว ต้องรีบ จะฉาบ จะแช่อิ่ม จะทำอะไรต้องรีบเอาลงเสียตอนนั้น ตอนที่มันวิกฤติ เสร็จแล้วมันก็กลับคืนตัว มันก็หมดวิกฤติ
          อันนี้ก็เป็นลักษณะความหมายของคำว่า วิกฤติ
         
          สถานภาพของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
          ทีนี้เรื่องวิกฤติของพระพุทธศาสนานั้น ก่อนที่จะพูดอะไรต่อไปกระผมใคร่ขอเตือนความจำของท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้เสียก่อนว่า พระพุทธศาสนาในเมืองไทยนั้นไม่เหมือนกับพระพุทธศาสนาในประเทศอื่น
          คือว่า พระพุทธศาสนาในเมืองไทยสถาบัน มีผู้ที่มีตำแหน่งปกครองชั้นสูงสุด แล้วเรียงกันลงมาตามลำดับ จนถึงระดับตำบล ไปจนถึงหมู่บ้าน เรียกได้ว่าเป็นผู้ปกครองสงฆ์ ปกครองพระศาสนาอยู่
          ที่เรียกว่า สถาบัน ในที่นี้ มันตรงกับคำที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Church ศาสนาคริสต์เท่านั้นที่เขามี Church ที่เขาเรียกว่าคริสตจักร  ของเราก็ควรจะเรียกได้ว่าเป็นพุทธจักร แต่ผมว่ามันไม่ค่อยสะดวกใจ เพราะเราไม่เคยเอาอย่างภาษาของใคร มีแต่คนอื่นเขามาเอาอย่างภาษาของเรา
          จะเรียกว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ ชั่วแต่ว่า พระพุทธศาสนาในเมืองไทยนั้นเป็นองค์กร เป็นสถาบัน มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขปกครองตามลำดับชั้นลงมา ถึงสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่ต่างๆกัน
          ไม่ใช่สักแต่ว่า วัดใดวัดหนึ่งก็เป็นเอกราช ปกครองกันเอาตามใจสมภารตามใจเจ้าอาวาส อย่างที่เคยเห็นมาในศาสนาอื่นๆในประเทศอื่นๆ
          ในศาสนาพุทธนี้ อย่างที่ลังกาก็ดี ที่ไหนก็ดี รู้สึกมันหลวมย่อหย่อนอยู่มากในการปกครอง ของเรารู้สึกว่ามีระเบียบวินัยแข็งกว่า
         
          วิกฤติในอดีตและปัจจุบัน
          เมื่อจะพูดถึงวิกฤติในศาสนาพุทธ  กระผมก็อยากจะขอเรียนว่า ความจริงศาสนาพุทธในเมืองไทยนี้ได้ประสบวิกฤตการณ์มาหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่ก็สามารถลุล่วงก้าวข้ามวิกฤตินั้นมาตนกระทั่งกลายเป็นปึกเป็นแผ่น เป็นที่นับถือของเราทั้งปวงได้จนทุกวันนี้ ไม่มีอะไรเสียหาย
          ก่อนนั้นกระผมไม่ทราบ แต่เท่าที่กระผมทราบนั้น วิกฤติอันแรกใหญ่ที่สุดแทบจะตั้งตัวไม่ติด คือเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พระศาสนาได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง วัดวาอารมสูญเสีย ตำรับตำราสูญหายไปหมด พระเจ้าพระสงฆ์ก็ต้องกระจัดกระจายหนีภัยสงคราม ไปอยู่ตามป่าตามดง จนในที่สุด เมื่อตั้งกรุงธนบุรีจึงได้สามารถรวบรวมกันเข้ามาอยู่ที่พระนครธนบุรี
          พอจะรวบรวมกันได้ ว่าเป็นสงฆ์ เป็นศาสนา หรือเป็นสถาบันขึ้นมา เกิดวิกฤติอีก พระเจ้าแผ่นดินสำเร็จโสดาบันปัตติผล
          เรื่องโสดาปัตติผลนี่มันแปลกครับ ใครอย่าไปสำเร็จเข้า สำเร็จทีไรเกิดวิกฤติทุกที
          พระเจ้าแผ่นดินสำเร็จมาองค์หนึ่งแล้ว วิกฤติใหญ่โต เร็วๆนี้สำเร็จอีกองค์หนึ่ง กระผมชักเกรงๆอยู่ กลัวใครจะสำเร็จขึ้นมาอีก มันก็เป็นวิกฤติอยู่สมัยนั้น แทบจะตั้งตัวไม่ติดอีกเหมือนกัน เอาพระไปเฆี่ยนหลัง พระต้องเข้าเฝ้าอีก หมอบคลานอย่างกะขุนนาง เหล่านี้มันก็เป็นเรื่องที่น่าอนาถใจและเป็นวิกฤติ
          แต่อย่างไรก็ตาม ท่านก็แก้ของท่านมาได้
          จนในที่สุดก็มาถึงกรุงรัตนโกสินทร์
          ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ปรับปรุงระเบียบวินัยต่างๆในระหว่างนั้น มาตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ กระผมก็ยังไม่ทราบเหตุที่แท้จริง แต่เข้าใจว่า คงจะเนื่องมาจากเหตุระส่ำระสายเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ทำให้การปกครองพระสงฆ์สมัยนั้นบกพร่อง
          คือพระไม่สามารถปกครองพระได้
          พระผู้ใหญ่ไม่สามารถจะปกครองพระผู้น้อยได้ และในการปกครองแผ่กว้างไปทั่วประเทศนั้น ยังไม่มีใครทำได้
          ทางราชการสมัยรัชกาลที่ 1  จึงต้องเข้ามาแทรกแซง ให้ราชการนั้นเองปกครองพระ เพราะมีอำนาจมากกว่าพระด้วยกัน ทางราชการมีคุก มีตะราง มีหวาย มีดาบลงโทษคนได้ ถ้าพระไม่ฟังก็เล่นเอาพระเข้าเหมือนกัน
          มีกรมหนึ่งที่ปกครองสงฆ์โดยทั่วไป เรียกว่า กรมสังฆการี ข้าราชการในกรมสังฆการีนั้นดูราชทินนามก็จะเห็นว่า เขามีหน้าที่ปกครองสงฆ์ ไม่สงฆ์ปกครองกันเอง
          ราชทินนามของข้าราชการของข้าราชการในคณะสังฆการีบางท่าน ก็เช่น ขุนอธิกรณ์วิจัย หลวงวินัยวิจารณ์ เหล่านี้เป็นเรื่องบอกลักษณะว่า เขาปกครองสงฆ์ทั้งนั้น
          เมื่อเป็นเช่นนี้จะถือว่าเดือดร้อนก็เดือดร้อน แต่จะหาว่าเป็นความผิดของใครก็ไม่ได้ เพราะสมัยนั้นบ้านแตกเมืองแตก พระสงฆ์ท่านก็ยังรวบรวมกันไม่ติด
          ก็ปกครองกันอย่างนั้นเรื่อยมา เกิดความเรียบร้อยขึ้นได้
          แต่ในทางสงฆ์นั้นเองก็มีตำแหน่งต่างๆ ซึ่งเป็นตำแหน่งปกครอง สมัยนั้นทางโลกปกครองกันโดยแบ่งประเทศไทยออกเป็น 2 ส่วน มหาดไทยปกครองภาคเหนือ กลาโหมปกครองภาคใต้  เป็นอัครมหาเสนาบดี 2 คน
          ทางสงฆ์นั้นเองก็อนุโลมตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา ให้มีสมเด็จพระวันรัต เป็นเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นเจ้าคณะใหญ่หนใต้ มี 2 องค์ ทำหน้าที่เหมือนกับมหาดไทยและกลาโหม
          สมเด็จพระวันรัตครองฝ่ายเหนือ  เป็นเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ จนกระทั่งเกือบจะถึงสมัยปัจจุบันนี้
          จนถึงทุกวันนี้แหละครับ พระภาคเหนือ พระเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน ไปกรุงเทพฯ ไปขึ้นวัดเบ็ญจฯทั้งนั้น เพราะสมเด็จพระวันรัตท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดเบญจฯ
          จนเดี๋ยวนี้ เจ้าคุณพุทธิวงศ์เป็นคนเหนือขึ้นมาอีก กระผมอยู่บ้านว่างๆ ทำบุญขี้เกียจฟังจำเจ นิมนต์พระวัดเบญจฯมาสวดเมืองสบายอกสบายใจดี และได้ผลอยู่ตรงนี้
          พระส่วนภาคใต้ก็เป็นเรื่องของสมเด็จพระพุทธโฆษาตารย์
          การณ์ก็เป็นมาอย่างนี้ ถึงแม้จะมีตำแหน่ง แต่เอาจริงพระก็ไม่ได้ปกครองกันเอง เป็นหน้าที่ของข้าราชการของทางรัฐบาลคือ กรมสังฆการี เขาปกครอง เมื่อเกิดอธิกรณ์ขึ้นเขาชำระเสร็จ ไม่ใช่พระชำระอธิกรณ์
          เรียกว่า อยู่ในฐานะที่อ่อนแอมาก

          มหานิกายและธรรมยุต
          ต่อมา ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ได้ตั้งคณะในพระพุทธศาสนานี้ ท่านไม่ได้แยกสงฆ์ออกไปเป็นอื่น แต่ว่าลูกศิษย์ลูกหาท่านได้ปฏิบัติตามพระวินัยในลักษณะที่ท่านถือว่ามันถูกต้อง ก็ไม่กี่ข้อหรอกครับ จนในที่สุดก็มาเกิดเป็นคณะธรรมยุตขึ้น
          พระสงฆ์ไทยแยกออกเป็น 2 คณะ คือ คณะมหานิกายนั่นเป็นเสียงส่วนใหญ่ มีมากมาย ล้นฟ้าล้นดิน เต็มประเทศ และคณะธณรมยุตไม่กี่องค์
          ก็อยู่กันมาอย่างนั้น ไม่เป็นอริบาดหมางกัน
          ต่อมา สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเป็นพระธรรมยุต ได้เป็นประมุขสงฆ์ ก็ทรงเอื้ออารีต่อพระมหานิกาย จนปรากฏว่าเป็นที่นับถือของพระมหานิกายเป็นส่วนมาก หรือเกือบจะแทบทั้งหมด ไม่มีใครตำหนิติฉิน
          ในสมัยสมเด็จพระมหาสมณะเจ้านั้นเอง การปกครองคณะธรรมยุตเรียบร้อยเป็นที่ปรากฏแก่พระเจ้าแผ่นดินและรัฐบาล คณะธรรมยุตก็จึงได้ถอนออกมาปกครองตนเองได้โดยที่ไม่ให้ฆราวาสปกครอง ไม่ขึ้นต่อกรมสังฆการีอีกต่อไป
          ส่วนพระมหานิกายนั้นยังขึ้นอยู่
          ธรรมยุตปกครองตนเองได้ อันนี้เรียกว่า พรวิเศษ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็คงจะลืมๆกันไปแล้ว
          ในสมัยนั้นก็ไม่มีใครถามว่าอะไร
          แล้วต่อมา พระมหานิกายเองแหละที่ท่านรู้สึกว่าไม่สบายใจนักที่ถุกฆราวาสปกครอง ก็ไปขอจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
          ขอว่า ให้มาอยู่ใต้การปกครองของธรรมยุต ยังดีกว่าที่ฆราวาสปกครอง
          อันนี้ ก็เกิดเป็นพรพิเศษขึ้นมา
          ในที่สุด พระธรรมยุตปกครองมหานิกาย เจ้าคณะทั้งหลายเป็นธรรมยุต มหานิกายก็เป็นผู้อยู่ใต้ปกครอง  ดูไปเหมือนแอฟริกาใต้ มีคนส่วนน้อยคือผิวขาวปกครองคนส่วนใหญ่ คือผิวดำ มันก็ไม่ค่อยจะเข้าที
          ในตอนนั้นกระผมรู้สึกว่า พระมหานิกายท่านก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ภายหลังเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 แล้ว ความรู้สึกในลัทธิเสรีภาพ ความรู้สึกต้องการที่จะปกครองตนเองมันเกิดขึ้น ก็ได้เกิดมีการต่อต้านพระธรรมยุตกันเป็นขานใหญ่ในบรรดาพระมหานิกาย
          ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในที่นี้ท่านก็คงจำได้
          ก็เพื่อจะได้ดึงเอาพระนิกายออกมาจากใต้การปกครองของคณะธรรมยุต มีการต่อต้านหนาหูและหนักด้วย
          วัดไหนก็อย่าให้พูดเถอะ เดี๋ยวท่านก็มาเตะกระผมเข้า
          เดี๋ยวก็จะเข้าวัดนั้นไม่ได้เสียอีก
         
          วิกฤติสมัยประชาธิปไตย
          อย่างไรก็ตาม หลักจากการปกครองแผ่นดิน พ.ศ.2475แล้ว ก็ได้มีพระราชบัญญัติปกครองสงฆ์ออกมาใหม่ ใช้ระบอบประชาธิปไตยกับพระ คือให้มีสังฆสภา พระเลือกผู้แทนเข้าไปนั่งในสังฆสภาเพื่อพระด้วยกัน สังฆสภาตั้งสังฆมนตรี มีสังฆมนตรีว่าการ อะไรต่ออะไรต่างๆสารพัด
          แล้วก็มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุข  แต่ไม่มีอำนาจ คนที่มีอำนาจปกครองสงฆ์ก็คือสังฆนายก ซึ่งสังฆสภาก็เลือกขึ้นไปอีก
          นี่ก็จะเห็นได้ว่า การปกครองสงฆ์ในขณะนั้นจะเรียกว่ามันเริ่มวิกฤติก็ได้
          เริ่มวิกฤติแล้ว
          เพราะเราเอาการปกครองของฆราวาสในระบบประชาธิปไตยมาใช้ในการปกครองสงฆ์ ซึ่งพระสงฆ์นั้นท่านไม่มีอะไรเหมือนฆราวาสเลย  ท่านมีชีวิตของท่านต่างหาก เป็นชีวิตที่ดึงออกหรือหนีออกจากชีวิตฆราวาสแล้ว แล้วกลับเข้าไปใช้ระบบการปกครองของฆราวาสอีก มันก็ไม่สู้จะดีนัก
          แต่มันมีผลดีอะไรอย่างหนึ่งว่า  ในระหว่างนั้นพระมหานิกายกับพระธรรมยุตท่านตกลงกันได้ เรื่องต้องบอกด้วยว่า พระมหานิกายท่านมีเสียงข้างมากก็จริง แต่ท่านไม่มีอคตินิกาย ท่านขออย่างเดียวว่า ไหนๆก้เป็นพระด้วยกันมาแล้ว ท่านก็ขอให้ท่านปกครองตัวท่านเอง
          อย่าให้พระนิกายอื่นมาปกครอง
          ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่า คณะธรรมยุตก็ดูแลเฉพาะพระคณะธรรมยุต ท่านมหานิกายทั้งหลายก็ดูแลปกครองของท่านเอง มีเจ้าหน้าที่ในการปกครองต่างๆอยู่ในวงการมหานิกายนั้น
          อันนี้ก็เป็นที่ตกลงกัน เป็นที่สะดวกสบาย ไม่มีอริต่อกันตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ว่าได้

          พ.ร.บ.2505 กับมหาเถรสมาคม
          ต่อมา หลังจากสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  ก็ได้มีการเลิกกฎหมายปกครองสงฆ์ฉบับที่ออกในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มาใช้พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พุทธสักราช 2505
          ความจริงกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ใช้ได้ และถ้าเราจะใช้กฎหมายนี้จริงๆแล้ว บางทีเราก็จะตัดปัญหาต่างๆและป้องกันวิกฤติต่างๆได้มาก
          ปัญหามันก็มีอยู่ในทางปฏิบัติ ว่าเราจะปฏิบัติตามกฎหมายนั้นกันหรือไม่ หรือเราจะหลีกเลี่ยง เราทำไม่เต็มที่กันอย่างไร ทำให้เกิดวิกฤติเกิดผลเสียหายขึ้น
          เพราะฉะนั้น ทางแก้ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติและเปลี่ยนโครงสร้างคณะสงฆ์ให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ปัจจุบัน
          เป็นการแก้วิกฤติไปในตัว
          โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ปัจจุบัน มีอยู่ว่า มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสงฆ์ไทยที่สูงสุด แต่การปกครองคณะสงฆ์ทุกวันนี้ดูจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการปฏิบัติของมหาเถรสมาคมออกจะเพี้ยนไป ผิดไป ขึ้นอยู่กับท่านที่เป็นบุคคลที่อยู่ในมหาเถรสมาคม
          ขึ้นต้นก็จะต้องกลายเป็นว่า มาถึงก็มาซัดมหาเถระเข้าเลย
          ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น
          ที่พูดนี่ด้วยความเคารพที่สุด
          แต่พระมหาเถระที่ท่านเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีบารมีมากล้น มีลูกศิษย์ลูกหามาก และก็เป็นที่เคารพนับถือกันเองในหมู่สงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกายในสมัยนี้
          เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ท่านจะกระทำอะไร ตัดสินใจทำอะไรลงไปมันก็เกิดความยากลำบาก
          ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติของมหาเถรสมาคมที่ผ่านๆมาจึงมีคนว่าไม่ได้ผล มีจุดอ่อนหลายอย่าง
          และจุดอ่อนที่สำคัญนี้ ขึ้นต้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับมหาเถรสมาคม

          กรมการศาสนากับมหาเถรสมาคม
          โดยตำแหน่งแล้ว อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม กระผมเข้าใจว่า ระเบียบหรือความเข้าใจในเรื่องอะไรหลายอย่างมันแตกต่างกันอยู่
          อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการ  มีเรื่องอะไรก็ต้องเสนอมหาเถรสมาคม ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านเห็นด้วยท่านก็นิ่งเฉย นี่เป็นประเพณีของพระ เป็นวิสัยของพระ ท่านไม่ต้องไปยกมือเห็นด้วย ท่านไม่ต้องไปกระโดดโลดเต้น
          ท่านนั่งนิ่งเฉย ดุษณีเท่านั้น มันก็ตกลงไปแล้ว
          แต่ถ้ากรมการศาสนาซึ่งเป็นฆราวาสไม่ยอมเข้าใจถึงเรื่องนี้ กลับไปหาว่าพระไม่พูด พระไม่เล่น พระไม่ทำอะไร ถือว่าเรื่องที่เสนอเข้าไป เมื่อพระท่านไม่พูดเลยเป็นเรื่องค้าง
          ในที่สุดเรื่องค้างก็เต็มกรมการศาสนา
          แล้วก็มาว่าพระ ว่าส่งอะไรเข้าไปก็ไม่รู้จักตัดสิน ไม่เห็นทำอะไร ดีแต่นิ่งเฉย
          ก็นิ่งเฉยนั่นแหละ อนุมัติแล้ว
          กระผมก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เรื่องระเบียบข้าราชการของฆราวาส และเรื่องวินัยสงฆ์ เรื่องวิธีปฏิบัติของสงฆ์ มันแยกออกไปคนละทางอย่างนี้ พระท่านจะพูดเฉพาะที่ท่านค้านเท่านั้น
          อย่างเมื่อเร็วๆนี้  เกิดมีการถวายกฐินกัน  ก็มีการสวดญัตติเสนอองค์กฐินว่า  ผ้าพระกฐินนั้นควรจะตกแก่พระภิกษุรูปใด  พระสงฆ์ที่มาชุมนุมกันอยู่ท่านนิ่งแสดงว่าท่านอนุมัติ  ถ้าท่านโวยวายค้านบอกว่าผมไม่เอาด้วย  เอ  นั่นแหละค้านแล้ว  องค์กฐินพังไปแล้วจะต้องทำยังไงกันใหม่  กระผมก็ยังไม่ทราบ
          เพราะฉะนั้น  ในเรื่องนี้กระผมคิดว่า เป็นความผิดของทางราชการที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
          ทางราชการนั้น  ขอเรียนว่า ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะพระไม่มีอำนาจในทางโลก  การที่จะปกครองคนเป็นจำนวนมากนั้นต้องมีอำนาจ  ก็อย่างที่ตำรวจปกครองมนุษย์ ปกครองฆราวาส ก็ต้องมีอำนาจที่จะไปจับไปขัง ไปเข้าตะราง ไปทำอะไรสารพัด มันปลอบทางหนึ่ง ขุ่ทางหนึ่งกันอยู่อย่างนี้ แต่พระท่านไม่มีอำนาจเหล่านี้ ท่านไม่มีอำนาจทางโลกเลย
          ศาสนาพุทธอยู่มาได้กี่ร้อยกี่พันปีในเมืองไทย  ก็ด้วยพระบรมราชูปถัมภ์  คือพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานความอุปถัมภ์ด้วยพระราชอำนาจ   ใครมาเล่นรังแกพุทธศาสนาท่านป้องกันให้ หรือศาสนาพุทธเกิดคนไม่ดีขึ้นมา  ที่จะทำให้เสียศาสนา  พระเจ้าแผ่นดินเข้ามาป้องกันให้  มาจับสึกเอาตัวเข้าตะราง  หรือทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ  ซึ่งพระเองท่านทำไม่ได้
          การที่จำเป็นจะต้องมีกระทรวงศึกษาธิการ  จำเป็นต้องมีกรมการศาสนา  ก็เพราะเหตุว่า  ท่านเหล่านี้เปรียบเสมือนกับพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์
          เมื่อพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์แก่ศาสนาพุทธแล้ว เป็นหน้าที่ของข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว จะต้องมาดูแลกิจการงานทั้งหลายให้เรียบร้อยไป
          ถึงคราวจะต้องใช้อำนาจก็ต้องใช้  ถึงคราวจะต้องประสานประโยชน์อย่างไรก็ต้องทำ
          ทีนี้  ก็มีเสียงพูดอีกนั่นแหละครับ  ว่ามหาเถรสมาคมนั้นรวบอำนาจไว้มากมาย  พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505  ไม่ได้ห้ามมหาเถรสมาคมที่จะกระจายงาน  กระจายอำนาจ  และความรับผิดชอบออกไปสู่สงฆ์กลุ่มอื่นคณะอื่น  ที่ไม่ใช่มหาเถรสมาคม
          เรื่องนี้เราก็เห็นกันเมื่อเร็วๆนี้  ก็ได้มีการแต่งตั้งการกสงฆ์ขึ้น  กระปผมก็ไม่เคยได้ยิน  รับตรงๆไม่เคย  เพิ่งมาเห็นครั้งนี้  เกิดมาบุญ  จะเรียกเป็นภาษาฆราวาสว่าอะไร  จะว่าเป็นกรรมาธิการก็ไม่ใช่  จะเรียกว่าอะไรก็ไม่ใช่  ต้องเรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า working party แปลเป็นไทยว่า  คณะทำงาน  บาลีเรียกว่า  การกสงฆ์
          เรื่องนี้ท่านก็ทำงานได้เรียบร้อยทุกอย่าง  เป็นการรับอำนาจจากมหาเถรสมาคมลงมาอีกที
          งานที่การกสงฆ์ทำไปคราวที่แล้วนี้  มหาเถระทำไม่ได้  ก็ทุกอลค์ท่านก็สูงด้วยอายุ  สูงด้วยฐานะ  สูงด้วยอื่นๆอีก  เรียกง่ายๆว่ามีอำนาจบาตรใหญ่  ว่างัน้เถอะ  มันลุกไม่ค่อยจะขึ้น  หนักบาตร  แล้วจะให้ทำยังไง  ก็ต้องมีการแต่งตั้ง  มอบหมายใครต่อใครต่อไป  ให้ท่านไปทำหน้าที่แทนกันภายใต้การควบคุมของมหาเถระนั่นเอง  กิจการนั้นก็สำเร็จไปได้
          กระผมยกเรื่องขึ้นมาพูดเพื่อจะให้ได้คิดว่า  มหาเถรสมาคมซึ่งเป็นสถาบันที่สูงสุดในการปกครองสงฆ์  มีอำนาจสูงสุดขณะเดียวกันก็เป็นที่นับถือสูงสุดของบรรดาสงฆ์ทั้งหลายด้วย  จะลงมาทำกิจการงานบางอย่างเห็นจะไม่ได้  มันจะต่ำไป  มันจะหนักไป
          และในที่สุด  มันจะไม่มีผลสำเร็จ
          ทางที่ดีนั้น  มหาเถระจึงควรจะมอบหมายอำนาจ  กระจายอำนาจในการปกครองเป็นเรื่องๆไป  หรือตามท้องที่  ท้องถิ่นตามภูมิศาสตร์ก็ได้  ให้คนอื่นมีอำนาจที่จะตัดสินใจด้วยกัน  ภายใต้การมอบหมายของมหาเถระนั่นเอง
          ถ้าอย่างนี้  กระผมคิดว่าจะป้องกันวิกฤติที่จะเกิดขึ้นได้มาก
          วิกฤติทุกวันนี้โดยมากเกิดขึ้นจากการปกครอง  คือการปกครองย่อหย่อน  สมภารไปแจกไอ้ขิกก้ไม่มีใครว่า  เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ  ก็ดูเฉยๆกันหมด
          ไม่ได้เป็นการกสงฆ์
          ใครทำอะไรก็ทำไป
          จะไปว่าแกก็ไม่ได้  จะให้ใครใครควบคุมแกก็ไม่ได้  แกเป็นสมภารเสียเอง  เอาละซี  เรื่องมันก็อย่างนี้  จนในที่สุดก็ได้ไปพูดจากันอย่างไร  เรื่องมันก็เรียบร้อยไป
          หลายอย่างครับที่มีอย่างนี้  ซึ่งกระผมรู้สึกว่า  ถ้าหากว่ามหาเถระท่านได้มอบอำนาจเด็ดขาดลงมาให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง  ให้มีอำนาจหน้าที่ในการนั้นๆ  วิกฤติต่างๆความเสียหฟายต่างๆ อาจจะไม่เกิดขึ้นในพระศาสนา  อย่างที่มีอยู่ทุกวันนี้

          มหาเถรสมาคมกับอธิกรณ์
          การพิจารณาเรื่องต่างๆของมหาเถรสมาคม  กระผมกล่าวก็ต้องยกมือนมัสการเสียก่อน  ใจกระผมเองก็รู้สึกว่าท่านอาศัยหลักนิติศาสตร์มากไป  ท่านดูในเรื่องกฎหมาย  ท่านมีอำนาจหน้าที่แค่ไหน  ไม่มีแค่ไหน  ท่านนั่งเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องกฎหมายอยู่อย่างนี้  จนในที่สุดก็เลยทำอะไรม่ค่อยได้
          ท่านถุกกฎหมายมัดตัวท่านเอง  ท่านนั่งอยู่  แล้วกฎหมายมัด  กลายเป็นพระพุพทธรูป  กลายเป็นพระประธานไป  กระดิกกระเดี้ยไม่ได้  เพราะแรงกฎหมายบังคับ
          ถ้าท่านจะไม่สนใจกฎหมายเท่าใด  ท่านนึกว่าท่านเป็นสงฆ์ เป็นผู้ปกครองสงฆ์  เป็นผู้ที่จะต้องอุปการะสงฆ์ในทางเมตตากรุณาและจะต้องลงทัณฆ์แก่สงฆ์  ทำนิคหกรรมแก่สงฆ์ที่ประพฤติผิดนอกรีตนอกรอย  ท่านนึกเสียอย่างนั้น  แล้วก็ไม่ระแวงกฎหมาย ไม่พยายามระมัดระวังในแง่กฎหมายจนเกินไปแล้ว  กระผมคิดว่าอุปสรรคต่างๆ และวิกฤติต่างๆในพระพุทธศาสนาก็คงจะเบาบางลงไปได้
          การกระจายอำนาจของมหาเถรสมาคมนั้น  จะเป็นด้วยการทำงาน  หรือด้วยบังคับอื่นใดก็ตามที  ก็น่าจะป้องกันอะไรได้หลายอย่าง  คือถ้าเรามีเจ้าหน้าที่รับมอบหมายมา  มาคอยดูแลเรื่องอะไรมันจะเกิด  ใครจะไปสำเร็จโสดาปัตติผลที่ไหน  ก็ให้เจ้าหน้าที่นั่นแหละเขาคอยดูกัน  ไม่ต้องให้ถึงมหาเถรสมาคม
          เกิดเรื่องพระอริยบุคคล  จะให้พระเถระท่านทำอะไร  ถ้ามีอะไรอยู่ใกล้ๆคอยระงับปราบปรามได้  มนก็พอพูดกัน
          เรื่องเล็กมันก็ไม่น่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
เรื่องที่น่าหัวเราะ  มันก็จะไม่กลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาแก้
อุปสรรคทั้งหลายตลอดจนวิกฤตการณ์ต่างๆ  ก็น่าที่จะเบาบางลงไปได้
เพราะฉะนั้น  การปกครองสงฆ์นั้น  นอกจากจะมีการผ่อนหนักผ่อนเบา  ทางด้านกฎหมาย  ทางด้านระมัดระวังหรือระแวงจนเกินไปแล้ว  กระผมก็คิดเห็นว่า  จะต้องเคร่งครัดและเข้ามงวดทางด้านพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง
คือ  ความจริงระเบียบอะไรก็ตาม  กฏอะไรก็ตามทีที่จะใช้ปกครองสงฆ์นั้น  ควรจะตรงกับพระธรรมวินัยทุกข้อ  ไม่ควรจะคลาดเคลื่อน  หรือไม่ควรว่าจะเป็นการอนุโลม หรืออะไรอย่างนั้น  ไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
กระผมคิดว่า  เรารักษาพระธรรมวินัยกันไว้ให้เคร่งครัดแล้ววิกฤติต่างๆก็ไม่เกิด
เพราะพระธรรมวินัยนั้นเองเป็นเครื่องป้องกันวิกฤติในคณะสงฆ์อยู่แล้ว
พระภิกษุในสมัยพุทธกดาลที่ไปก่อเหตุจนพระพุทธเจ้าต้องบัญญัติพระวินัยออกมาแต่ละข้อนั้น เป็นพระภิกษุที่ทำวิกฤติให้เกิดขึ้น
ไปทำอะไรจนชาวบ้านยเขาเดือดร้อน  เขามาร้องนั่นวิกฤติอล้ว
พระพุทธเจ้าก็ออกกฏข้อบังคับเป็นพระวินัย  เป็นการแก้วิกฤติตลอดมา
ถ้าถึงสมัยนี้เราไม่ยึดพระวินัยแล้ว  วิกฤติจะประเดประดังเข้ามา  จนเราไม่สามารถจุแก้ด้  พระธรรมวินัยจึงเรียกได้ว่า เป็นของสำคัญเหลือเกินในการที่ป้องกันวิกฤตินั้นเองที่จะเกิดขึ้นแก่พระศาสนา
เพราะฉะนั้น  ในเรื่องเหล่านี้  คือในเรื่องกระจายอำนาจ ในเรื่องรักษาพระธรรมวินัยเหล่านี้  การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสงฆ์  จะเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคระตำบลลงไป  ตลอดจนพระที่มีหน้าที่อื่นๆจะต้องอาศัยพระธรรมวินัย
คือดูว่า  ท่านผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งนั้นท่านเป็นอยบ่างไรในพระธรรมวินัย  ท่านประพฤติดี ประพฤติชอบ เคร่งครัดดีอยู่หรือ หรือว่าท่านเป็นคนย่อหย่อนเอายังไงก็ได้  ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าจะแต่งตั้ง  แต่งตั้งพระที่เคร่งครัดพระวินัยไว้เห็นจะดีกว่า
ที่สำคัญที่สุดก็คือ  พระผู้ใหญ่เห็นจะต้องสนใจในการตั้งพระหน้าที่ต่างๆ เช่น เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เป็นต้น ให้มากกว่าแต่ก่อน
ไม่ใช่ว่าปแล่อยเลยตามเลย  ปล่อยตามยถากรรม  แล้วก็เกรงใจกัน  ไม่อยากจะให้เดือดร้อนกับใคร
ถ้าอย่างนั้น  วิกฤติเกิด
ไม่มีทางแก้ได้
เราก็จะได้เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลออกมา  ซึ่งก็อาจจะเป็นเหตุให้เกิดวิกฤติขึ้นได้  เป็นเหตุให้เกิดขึ้นในระหว่างสงฆ์เอง  หรือในระหว่างชาวบ้าน  ทำสิ่งที่เขาไม่ต้อวการ
เรื่องนิกายอีกอย่าง  กระผมเรียนมาแล้วเรื่องคณะธรรมยุตกับมหานิกาย  ถึงเวลาแล้วหรือยังบที่เราจะลืมเรื่องนี้กันเสียที  ไม่จำเป็นต้องไปรวมนิกาย  ให้ท่านผู้ใดที่ท่านเคร่งครัดเดือดร้อน
ความจริงข้อแตกต่างกมันไม่มีอะไรหนักหนาเลย  ไม่ต้องไปรวมให้เสียเวลา  แต่เราเฉยเสีย  เรานิ่งเสีย เราทำงานด้วยกันโดยไม่รังเกียจ  ไม่มีอคตินิกาย  ถ้าอย่างนี้กระผมคิดว่าจะดีกว่า  คิดถึงอนาคต  เพราะต่อไปถ้ามันยังมีความรู้สึกว่ามีพระธรรมยุต  มีพระมหานิกาย  แก่งแย่งแข่งดีกันอยี่แล้ว  จะมีคนนอกเดินเข้ามาบอก  “เอ๊ะ  ผมตั้งนิกายที่ 3 ได้ไหม”
ก็ท่านมี 2 นิกายแล้ว  มีนิกายที่ 3 ตจะตั้งนิกายที่ 4 จนในที่สุดไม่รู้ว่าจะทำอะไรกัน
การที่อยู่ด้วยกันด้วยความผาสุขระหว่าง 2 นิกายนั้น  ก็มีคนพูดว่า  ท่านแข่งขันกันในทางทำความดี  กระผมสงสัยเสียแล้วครับตรงนี้  ได้ดูกันมาหลายเรื่องแล้ว  ก็ขอเรียนกันตรงๆล่ะ  ท่านแข่งกันในทางความดี  หรือท่านแข่งกันในทางปิดความชั่วของพวกพ้อง
พระธรรมยุตต้องอธิกรณ์ขึ้นมา  จะต้เองเก็บไว้ก่อนไหม  จนกว่าพระมหานิกายจะไปพลาดต้องอธิกรณ์เดียวกัน  มีพร้อมกันโดยทั้งธรรมยุตและมหานิกาย  ไม่มีใครเสียหน้า
นี่เคยเห็นมาแล้ว  ไม่ได้มาโกหกมดเท็จพูดเลย  ทำอย่างนี้มาหลายทีกันแล้วด้วย
นี่แหละครับ  วิกฤติล่ะ  ทำอย่างนี้แหละ
จะลืมกันเสียทีได้ไหมเรื่องนิกาย  พระองค์ไหนผิดก็ว่าไปตามผิด  ว่าไปตามพระธรรมวินัย  ว่าไปตามศีล  ตั้งอธิกรณ์ขึ้น  พระมหานิกายผิด  พระมหานิกายก็ตั้งอธิกรณ์  ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่าจะต้องตั้ง  ว่าจะต้องผิดพร้อมกัน  ไม่ให้เสียหน้า  มหานิกายผิด  ปาราชิกวันนี้  อีกไม่กี่เดือนพระธรรมยุตก็ปาราชิกเอง  ไม่ต้องไปห่วงว่าจะขายหน้าขายตากันหรอก  ไม่ต้องไปคอยกันหรอก  ไปคอยว่าเราปาราชิกปิดไว้ก่อน  เขาปาราชิกเราถึงจะเปิดให้พร้อมๆกัน
มันไม่จำเป็นน่ะครับ
อันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ในทางศาสนาพุทธอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งมีอยู่ในเมืองไทยในทุกวันนี้

พระพุทธศาสนากับการศึกษา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่แปลกกว่าศาสนาอื่น  ท่านจะเผยแพร่ไปถึงไหน  ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด  กันดารขาดน้ำขาดท่า  มีแต่ป่าแต่เขาอย่างไร  ถ้าท่านไปตั้งวัดแล้วต้องตั้งโรงเรียนด้วย
คือเป็นศาสนาที่ส่งเสริมการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ก็คงจะเป็นเพราะเหตุว่า  คัมภีร์ศาสนาพุทธไม่ใช่คัมภีร์เล่มเดียว  มีพระไตรปิฎก  คนจะรู้ศาสนาพุทธต้องเรียนหนังสือ  ต้องรู้หนังสือ  ถึงจะมาอ่านคัมภีร์พระไตรปิฎกได้
ความจำเป็นมีอยู่อย่างบนี้  ท่านไปถึงไหนท่านก็”ปสร้างโรงเรียนที่นั่น  และนอกจากจะเป็นพระแล้วท่านก็ฌป็นครูสอนคนตลอดมา
ในเมืองไทยนี้  แต่ก่อนพระภิกษุอยู่ในฐานะเช่นนั้น  พระสอนหนังสือเปิดขุนช้างขุนแผนอ่าน  พบว่า  พระสอนเวทย์มนตร์ คาถาล่องหนหายตัว  ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก  เรียนจบแล้วไปเป็นทหารก็”ด้  พระสอนวิชาช่างทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นวิจิตรศิลป์  ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรม  ปั้นรูป  เขียนรูป  ขรัวอินโข่งมีชื่อเสียงที่สุดในกระบวนศิลปินไทย  ท่านก็ฌป็นพระ  พระอาจารย์นาคก็เป็นพระ  เขียนรูปใครสู้ได้จนทุกวันนี้  ท่านก็สอนศิษย์กันต่อมาตลอดไปจนถึงวิชาอะไร  เกร็ดฝอยต่างๆ ทำบ้องไฟ ดอกไม้ไฟไปจากพระ  พระเป็นคนสอนทั้งนั้น
และวันดีคืนดี  เกิดอะไรขึ้น  รัฐบาลไทยตั้งโรงเรียน  สอนหนังสือ  พระก็”ม่มีใครไปเรียนหนังสือด้วย  เพราะไปเข้าโณงเรียนหมด  โรงเรียนก็ไปตั้งอยู่ข้างวัดนั่นแหละ  บางทีตั้งในวัดเสียอีก  แต่พระไม่ต้องสอนแล้ว  ก็อาจจะมีชื่อขอ ให้ไปสอนเป็นน้ำใจองค์สององค์  ในที่สุดก็หายไป  ก็เป็นเรื่องอขงทางราชการ
ในทางศิลปะ  ทางราชการตั้งโรงเรียนเพาะช่าง  ตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร  พระก็ไม่ต้องสอน
ในทางการรบพุ่ง  ตั้งโรงเรียนนายร้อย จปร.  แล้วพระจะไปสอน  บอกคาถาอะไรล่ะให้เก่งกาจกันอย่างนั้น
ก็นี่แหละครับ  ในที่สุดก็หมด  ออกจากวัดไปแล้วใครก็ไม่รู้มาว่า  ว่าพระทุกวันนี้นั่งแต่ใบ้หวย  แล้วจะให้ทำอะไรเล่า  นั่งกันอยู่เฉยๆมันก็เหงา  นี่ขอให้เห้นใจกันหน่อยเถอะครับ
มันมาอย่างนี้แล้ว  กระผมก็นึกว่า  การศึกษาซึ่งทางรัฐบาลเกี่ยวข้องอยู่  กระทรวงศึกษาฯนั้นน่าจะได้ปรับปรุงการศึกษาของสงฆ์กันบ้างไหม
คือ  ขั้นต้น  เมื่อศาสนาพุทธมีลักษณะเกี่ยวข้องกับการศึกษาอย่างผูกพันชนิดแก้ไม่ออกอย่างนั้น  ทางผู้ปกครองแผ่นดินน่าที่จะต้องทำนุงบำรุงรักษาการศึกษาและประสิทธิภาพในการศึกษาของพระศาสนาไว้ให้คงอยู่ถาวร  ไม่ให้เปลี่ยนแปลงและลดน้อยลงได้
การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา  เป็นการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักสูตรขึ้นให้ภิกษุสามเณรศึกษาตามแบบการศึกษาในโณงเรียนปกติ  คือมีวิชาปริยัติธรรมส่วนหนึ่งและวิชาสามัญตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาฯอีกส่วนหนึ่ง  ซึ่งภิกษุสามเณรเรียนได้โดยไม่ขัดต่อพระธณรมวินัย  วิชาที่ขัดต่อพระธรรมวินัยก็ไม่ให้เรียน
เนื้อหาวิชาปริยัติธรรมในหลักสูตรนี้  ชั้น ป.6น้อยกว่านักธรรมตรี  ชั้น ม.3 น้อยกว่านักธรรมโท  และบาลีประโยต 1-2 ชั้น ม.6 น้อยกว่านักธรรมเอก  และบาลีประโยค 4
นี่เป็นตัวเลขที่มองเห็นกันอยู่  เขายอมรับกันอย่างนี้
การศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น  เป็นสิ่งที่เราได้ทำกันมานานแล้ว  คนที่สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตมาแล้วมากต่อมาก  ไม่จำเป็นที่จะต้องไปบวชจนตาย  ออกมาเป็นเสนาบดี  มาเป็นอะไรมากมาย  ไม่ต้องศึกษาสูงถึงเปรียญ 8 หรอก  แค่เปรียญ 4 เปรียญ 6 ก็รับราชการได้ดิบได้ดี  มีประโยชน์แก่ประเทศชาติมามาก
เราจะไปดูถูกว่า  การศึกษาแบบนี้เป็นการศึกษาโบราณคร่ำครึ  ไม่มีประโยชน์อันใดนั้นไม่ได้  เราจำเป็นต้องเทิดทูนไว้เสมอ
ในการเทียบปริญญาทางโลกกับเปรียญธรรมนั้น  เขาก็เทียบมา  รู้สึกว่าจะต่ำ  ตอนนั้นกระผมเป็นนักการเมือง  ก็สู้เต็มเหนี่ยว
กระผมเห็นว่า  เปรียญ 9 นั้น ควรจะเท่ากับปริญญาเอก
ก็ไม่มีใครเขายอมกระผม
กระผมก็เป็นบ้าไปคนเดียว  แพ้ไป
ในที่สุดก็เป็รมาอย่างนี้  แค่ปริญญาตรี
ก็มีเสียงในระหว่างที่ถกเถียงกันอยู่นั้น  มีเสียงพูดขึ้นว่า  การสอนวิชาโลกและการให้ปริญญาแก่พระนั้น  ในที่สุดจะไม่มีพระเหลือ  ทำไมล่ะ  เพราะได้ปริญญาท่านก็สึกไปทำงาน  ไปหางานทำกันหมด  เขาว่ากระผมอย่างนี้
กระผมก็ว่าสึกไป  ศาสนาพุทธไม่ห้าม
ถ้าท่านได้ปริญญาทางสงฆ์แล้ว  ท่านจะมาสึกมาหางานทำทางฆราวาสท่านก็จะพบว่าไม่มีใครเขารับท่านอยู่นั่นเอง  จะรับอยู่ก็เฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ  กรมการศาสนา  กอง
ทัพบก กองทัพอากาศ ทางด้านอนุศาสนาจารย์ เข้าไปแต่งทหารแล้วจีวรไม่หลุดตัว  พูดอะไรก็บ๊องๆชอบกล
ก็เอา  ถ้าจะทำอย่างนั้นได้ก้เอา
ในที่สุด  ท่านก็คงจะไม่สึก
พระที่ท่านต้องการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการเป้นสงฆ์  ในการจะสั่งสอนชาวบ้านต่อไป  ก็มีเป้นก่ายเป็นกอง  ทำไมจะไปประมาทพระว่าถ้าได้รับปริญญาแล้วจะสึกกันหมด  อันนี้กระผมไม่เห็นด้วย
แต่ก็นั่นแหละครับ  เรื่องแล้วมาแล้ว  ก็มีคนเขาฟัง  ไม่ใช่เขาไม่ฟังหรอก  แต่ก็เป็นมาอย่างนี้
มหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยที่นี่แหละ  และมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น  น่าจะต้อบทะนุบำรุงให้มีมาตรฐานและคุรภาพการศึกษาในระดับดุดมศึกษาของคณะสงฆ์อย่างแท้จริงเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว  ก็ขอว่าท่านอย่าลืมว่าท่านเป็นพระด้วย
ท่านเป็นมหาวิทยาลัย  การทงานของมหาวิทยาลัยนั้น  จะทำอย่างมหาวิทยาลัยฆราวาสเขาไม่ได้  จะต้องทำไหปในทาง ที่เกี่ยบวกับพระศาสนาตลอด  จะต้องให้ความรู้แก่นิสิตนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์
อย่าไปลืมเป็นอันขาดในข้อนี้
อย่างกิจกรรมวันนี้  กระผมขออนุโมทนาสาธุการว่าเป็นการกระทำที่ถุกที่ชอบ  อย่างนี้ก็ช่วยกันรักษาพระศาสนาไว้ได้  และก็จะป้องกันวิกฤติต่างๆที่จะเกิดขึ้นในพระศาสนาได้ต่อไปอย่างดีที่สุด
ก็มีปัญหาบางอย่างนะครับ  ที่พระภิกษุไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ  กลับมาแล้วก็มาเกิดความคิดว่า พระภิกษุในต่างประเทศนั้นเขาไปเรียนร่วมกับนักศึกษอื่นในมหาวิทยาลัยฆราวาสได้  ไปนั่งฟังเลกเชอร์เก้าอี้ติดกับนิสิตสาวๆว่างั้นเถอะ
ท่านก็จะเอาอย่างนั้นบ้างๆ
อันนี้  ขอกราบเรียนจริงๆ กระผมไม่เห็นด้วยเป็นอันขาด
ตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์  เอาเท่าไรก็เอาไป  แต่ว่าเอาพระไปเรียนจุฬาฯไปเรียนธรรมศาสตร์นี่  แล้วทำยังไง  ถึงเวลาแล้วท่านก็มิไปนั่งเชียร์ฟุตบอลกับเขาด้วยหรือ  เพรระท่านเป็นนิสิตนักศึกษาเข้าไปเต็มตัวแล้ว  ท่านจะไปหลีกไปเลี่ยงได้อย่างไร  กิจการของมหาวิทยาลัยก็จะเป็นที่เคารพของนักศึกดษา ก็ต้องทำอยู่ในสปิริตของเขา ไปอยู่จุฬาฯนั้น  นอกจากพระธณรมวินัยแล้วก็จะต้องไปมีอะไรล่ะ
โซตัสแน่ะ
อะไรของมันก็ไม่รู้
สปิริต ซีเนียริตี้ อะไรน่ะ  มันนอกไปหมด
แล้วจะไปทำอย่างไรได้ครับ  มันก็ไม่มีทางอยู่ดี
ข้อนี้  กระผมเห็นว่าเป็นวิกฤติทางความคิดเช่นนี้  เป็นวิกฤติจริงๆ

ภาวะสมองไหลในวงการสงฆ์
และอีกอย่างหนึ่ง  ความรู้สมัยใหม่ต่างๆเหล่านี้ พระที่มีสติปัญญา  มีความรู้สูงๆ มักจะไม่อยู่คงทนในพระพุทธศาสนา  มักจะสึกหาลาเพศไป  ไปหางานเท่าที่อยู่ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยำไปเป็นอะไรก็ตามที  ที่เขาต้องการใช้สติปัญญาของท่าน
นี่ไม่ใช่ต้องจบปริญญาแล้วออก  ไม่ต้องจบก็ได้  ท่านเป็นเปรียญ 9 ประโยค ก็สึกเพราะเหตุว่า ฆราวาสมานิมนต์ให้ไปทำงาน ถมไป
อย่างนี้จะเรียกว่าสมองไหลได้ไหม  ตามภาษาสมัยใหม่
ถ้าเรียกว่าสมองไหลได้  ก็ต้องหาทางอุดล่ะครับ
นี่เราวิกฤติแล้ว
พระมีปัญญา  พระมีสมอง  สึกหมด  โรคสมองไหลมาถึงวัดวาอารามแล้ว  แล้วจะทำอย่างไรกัน
กระผมว่า  เราที่เป็นพุทธศาสนิกชนทั้งพระทั้งฆราวาสจะต้องหาทาง  จะต้องสัมมนากันอีกยกใหญ่เลย  เพื่อป้องกันการเริ่มสมองไหลจากวัด  จะทำอย่างไรกันดี
ก็มีพระไปเรียนนอกเรียนนา  ท่านก็มาแสดงความคิดใหม่ๆ ก็เกิดสติปัญญาขึ้น
ทุกวันนี้ครับ  จะบาปกรรมก็เห็นจะต้องพูดถึง  มีพระวินัยเกิดขึ้นแล้ว
ภิกษุใดไม่เคยไปเที่ยวเมืองนอก  ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์
อย่างนี้ครับ  ก็ไปได้รับความรู้ใหกม่ๆเข้ามา  อะไรต่ออะไรนี่แหละ  เกิดโรคสมองไหลขึ้น  เพราะท่านอยู่ในวัดน่ะ  ท่านเห็นว่าไม่สมกับวิชาความรู้ของท่านที่เรียนมา  จะเทศน์  จะทำอะไร  คนมาฟังเทศน์ก็น้อย  ส่วนมากคนเฒ่าคนแก่  ท่านมีปัญญาปราดเปรื่อง  ท่านรู้ของท่าน  ท่านก็อยากจะทำให้มันสมกับฐานะคุณวุฒิ
ท่านก็ไหลไป
ทางแก้อีกทางหนึ่งกระผมก็เห็นว่า  ต้องเป็นรัฐบาลอีกแหละ  เวลานี้เราแก้ปัยหาสมองไหลจากมหาวิทยาลัยด้วยการเพิ่มเงินเดือนให้อาจารย์  ด้วยการเพิ่มความสะดวกสบายแก่อาจารย์ ทางแพทย์ก็เช่นเดียวกัน
ก็ทำไมเราไม่เพิ่มนิตยภัตกันบ้าง
ซึ่งก็ไม่มากมายเท่าฆราวาส  แต่ก็จะเป็นกำลังใจ  ไม่ใช่เป็นกำลังใจให้พระท่านอยู่เพราะความโลภ  แต่เป็นกำลังใจให้พระท่านรู้สึกในใจของท่าน  ว่าการที่บวชเป็นพระอยู่ในวัดนี้  ยังมีคนเขาต้องการอยู่  อย่างน้อยก็รัฐบาลไทย  รัฐบาลพระเจ้าอยู่หัวนี่แหละต้องการให้เราเป็นพระต่อไป  จึงได้มาเพิ่มความสะดวกสบาย  เพิ่มนิตยภัตให้  และอะไรอื่นๆใกห้  เหล่านี้ก็น่าจะคิดได้นะครับ  ถ้าหากว่าจะป้องกันวิกฤติซึ่งกำลังเกิดขึ้นทุกวันในขณะนี้
โรคสมองไหลจากวัดนี้  อย่านึกว่าไม่มี  ไหลไปอยู่ตามองค์กการเอกชน  องค์การราฃการ  ก็”ปอยู่มากกว่าอีก
ซึ่ไปมากจนกระทั่งสามารถตั้งเปรียญธรรมสมาคมขึ้นได้ใหญ่โตมาก
ลเขียนลงสยามรัฐทุกวัน  คอลัมภ์ข้างวัดไปดูสิ  โฆษณาสมาคมนี้กันอยู่เรื่อยๆ
แต่ไหนๆก็จะพูดกันแล้ว  ก็ขอพูดสักทีเถอะ
สมาคมนี้กระผมเคยเลื่อมใสมาก  เคยนึกว่าจะทำประโยชน์ให้แก่พระศาสนา  ดูไปดูมานั้นไม่เห็นมีอะไรครับ  เป็นสมาคมแจกวัวแจกควายแก่ชาวบ้าน  ก็เห็นเท่านั้น  ทางปัญญากระผมก็มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่น  อยากจะพึ่งอะไรท่านก็ไม่ค่อยเห็นจะได้ความ  แล้วก็เข้าไปเกาะแกะมากไปท่านก็เขม่นๆเอาด้วย  กระผมก็เลยไม่กล้า  ก็ปล่อยท่านแจกควายไป

วิกฤติในยุคเปลี่ยนแปลง
เวลานี้ครับ  ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย  ประเทศไทยเรากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและทางสังคมอย่างมาก
อันนี้  คือวิกฤติของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนานั้น  อยู่มาเป็นเวลาถึงสองพันห้าร้อยปี  ท่านปรับตัวท่านเข้ากับเวลาเข้ากับโอกาส  เข้ากับความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมาได้  ถึงตอนนี้เป็นปัญหาว่า  ท่านจะเปลี่ยนได้ไหม  ท่านจะปรับได้ไหม  ให้เข้ากับสังคมไทย  ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วที่สุด
บางคนบอกว่าจะเป็นนิกส์บ้าง  อะไรบ้าง  ศาสนาพุทธจะเป็นนิกส์กับเขาได้อย่างไร
นี่วิกฤติไหม
พระควรทำอะไรในสังคมที่เป็นนิกส์  ขับรถยนต์เองได้ไหม  ก็ไม่เห็นผิดตรงไหน  จะได้ไปสอนศาสนาเร็วๆ ถีบจักรยานรับบาตรได้ไหม  เอาบาตรใส่ตะกร้าข้างหน้า  พูดกันมันก็เกินเลยไป  แต่ลองคิดดูครับ  ปัยหาเหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัยหาเล็กน้อย สังคมกำลังเปลี่ยนแปลงไปเหลือเกิน  อย่าว่าแต่พระเลยครับ  ฆราวาสอย่างกระผมยังประสบ  ยังรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค  เป็นปัญหาในการที่กระผมจะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเองให้เข้ากับสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปโดยรวดเร็วนี้
คนที่เป็นลูกหลานของเรา  เป็นคนสมัยใหม่  โตๆกันแล้ว มาหามาพบ  พูดกันเกือบจะไม่เข้าใจกันแล้ว  ความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับการเชื่อถือ  ความเชื่อถือ  อะไรต่ออะไร  เขาเปลี่ยนไปหมด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่นับถือพระรัตนตรัย  เขานับถือ  แต่เขาพูดของเขาอย่างไรเรามันคล้ายๆคนนั่งฟังอยู่นอกห้อง  มันไม่ถึงบอกถึงใจเขา
นอกจากนั้นแล้ว  ก็มีอิทธิพลจากต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง  ศาสนาพุทธเวลานี้ได้แพร่หลายไปในประเทศต่างๆเป็นอันมากทีเดียว  อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาแต่ก่อน
แล้วใครมานับถือ
ฝรั่งมานับถือศาสนาพุทธ  เข้ามาบวชมาเรียนในเมืองไทย  เข้ามาด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของเรา  เข้ามามอบกายถวายชีวิตบวชพระสละโลก  และบางท่านก็ออกไปสอนศาสนา ไปตั้งวัดในหลายประเทศที่เป็นพระฝรั่ง  พระไทยไม่พูดล่ะ  ท่านก็ไปของท่าน
ฝรั่งนะครับ  กระผมเป็นคนรู้จักฝรั่ง  กระผมก็อยากจะขอเรียนท่านว่า  ฝรั่งแกไม่เหมือนคนไทยอยู่อย่างหนึ่ง  แกเป็นคนใจเร็ว  แกทำอะไรจะต้องให้เสร็จทันตาเห็น  แกคอยไม่ได้
ถ้าจะว่ากันตรงๆ  ฝรั่งแกไม่เชื่อชาติหน้า  ทำอะไรแกอยากจะได้เห็นผลในชาตินี้  เพราะฉะนั้นฝรั่งบวชแกจะบรรลุพระนิพพานในชาตินี้ให้ได้  ถ้าไม่ได้แล้วแกเดือดร้อน  แกวุ่นวาย  บำเพ็ญเพื่อจะให้สำเร็จมรรคผล  เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้แหละ  เพราะแกไม่เชื่อชาติหน้า
อย่างกระผมเอง  กระผมคิดว่าตัวเองจะเป็นพระอรหันต์สักวันหนึ่ง  แต่ชาตินี้ไม่ได้  กระผมก็สบายใจ  ชาติหน้าชาติโน้นมันก็ยังมี  ค่อยๆทำไป  ค่อยๆบำเพ็ยไป
สลัดแกะกิเลสออกเหมือนสะเก็ด  ทีละแผ่นสองแผ่นชาตินี้มันก็คงหมดวันหนึ่ง
แต่ฝรั่งแกไม่ยังงั้น
อิทธิพลอันนี้  กำลังจะเข้าสู่ศาสนาพุทธ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เมื่อมีสตรีฝรั่งเข้ามานับถือด้วย  เข้ามานับถือในศาสนาพุทธ  จะทำอย่างไรกัน  ลัทธิความคิดของแหม่มมันก็เข้ามา
ความคิดนี้คือเรื่องเสรีภาพ  เรื่องการทัดเทียมกับบุรุษ
ประชุมที่พม่าเมื่อสัก 2 ปีมาแล้วมั๊ง  ทั้งผู้หญิงผู้ชายนับถือศาสนาพุทธ  ฝ่ายผู้หญิงนับถือศาสนาพุทธนั้นเรียกร้องมีเดียวว่าต้องมีภิกษุณี  ไม่งั้นไม่เท่ากันระหว่างบุรากับสตรี  แกไม่รู้เรื่องเลยว่าภิกษุณีวงศ์นั้นสาบสูญไปเมื่อไร  ยังไงบวชไม่ได้แล้วแกไม่เอา  แกเอาเสรีภาพเท่าเทียมท่าเดียว  เอาความทัดเทียมกับผู้ชายเท่านั้น  เรียกร้องว่าจะเป็นภิกษุณี
และบางคนที่ไปประชุม  ใก้เข้าไปกว่านั้นอีก  ไม่ใช่สีกา ไม่ใช่อุบาสิกา  เป็นสิกขมาต  เข้าไปแล้วบวชตัวเอง
เหล่านี้แหละครับ  มันจะมาอย่างไรไปอย่างไรต่อไปศาสนาพุทธในเมืองไทย
คนรุ่นใหม่  คนรับการศึกษาแบบใหม่  นับถือศาสนาพุทธ  แต่ว่ามาเห็นศาสนาพุทธอย่างที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายนับถือกันมาอย่างกระผมนี่แหละ  เขาไม่พอใจ
เขาไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่  ทำไมต้องไปวัด ทำไมฟังเทศน์แล้วได้บุญ  รู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็ช่าง  แต่ได้บุญแหละ
เพราะฉะนั้น  อย่างหลวงพ่อมาปฐกถาธรรมนี่  กระผมฟังไม่ค่อยพอใจ  กระผมฟังรู้เรื่องมากมาย  แต่กระผมไม่ได้บุญ  ท่านไม่ได้เทศน์  ท่านไม่ได้ขึ้นนิกเขปบทอะไร  ไม่ได้บอกศักราชอะไร
ตามคติธรรมเนียมไทยนั้น  คนแก่ๆมักจะถือว่า  อาการที่ฟังนั้นได้บุญไปแล้ว
เหล่านี้  คนสมัยใหม่เขาไม่เข้าใจ
อย่างท่านนี้ (หันไปทางหลวงพ่อปัญญานันทะ) ท่านเป็นพระทันสมัย  ท่านเทศน์เอาเนื้อความ  เทศน์ให้รู้เรื่อง  ฟังทีไรจิตใจแจ่มใส  มีความรู้ขึ้นทุกที  กระผมเป็นลูกศิษย์  วันพระวันอาทิตย์ฟังทางโทรทัศน์  เป็นคนฉลาดอยู่ได้ก็เพราะท่าน
แต่ว่าคนอื่น  ชวนเขาฟังโทรทัศน์  เขาบอกไม่ฟัง  เขาจะต้องไปเล่นกอล์ฟเล่นอะไรของเขาตอนเช้า  พาเข้าวัดไปฟังพระเทศน์ไม่ฟังอีก  หาว่าล้าสมัย  มานั่งเยิ่นเย้ออะไรกันอยู่  ในที่สุดก็ไม่รู้จะพูดกันว่าอย่างไรครับ
รู้แต่ว่า  คนเหล่านี้เขากำลังนำวิกฤติเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา
อย่านึกว่าเขาออกนอกพระศาสนา  อย่านึกว่าเขาไปห่างไกล เขาก็คนไทย  นับถือศาสนานี้เองแหละ  เขาได้การศึกษาอบรมมาอีกอย่างหนึ่ง  ไม่เหมือนกับที่พ่อแม่เราเคยทำกันมา  มาถึงแล้วเขาอยากนับถือพระพุทธศาสนา  จะเรียกว่า  คนทุกวันนี้หิวพระพุทธศาสนาก็”ด้  แต่ว่าเหมือนกับคนหิวข้าว  เปิดสำรับขึ้นมาไม่ถูกใจ  อยากจะกินอย่างอื่นแก้หิว  พระศาสนาก็น้อยเหลือเกินที่จะมีอย่างอื่นให้ได้
ท่านที่ปาฐกถาธรรมอย่างหลวงพ่อปัญญานันทะนี้  กระผปมขอแสดงความเคารพนับถือจริงๆ  ท่านทำให้คนหายหิวได้ในเรื่องนี้  คนสมัยใหม่นี่แหละฟังท่านปาฐกถาธรรมแล้วเข้าใจ  แล้วรู้สึกมีความอิ่ม  มีความพอทุกครั้ง
องค์อื่นท่านขึ้นเทศน์  ก็ดี  ท่านขึ้นเทศน์ตามธรรมเนียมประเพณี  แต่ท่าน (ปัญญานันทะ) ก็ลงไปเทศน์อย่างคนธรรมดาเหมือนกับปาฐกถาธรรมอย่างนี้ก็น่าฟัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  สมเด็จพระสังฆราชท่านเทศนาจับใจเหลือเกิน  ได้ความรู้  ได้สติปัญญาทุกครั้ง
นี่มีเรื่องจะต้องพูดในสิ่งเหล่านี้
สมควรหรือยังที่คณะสงฆ์และผู้ที่นับถือพระศาสนาไม่ว่าจะเป็นในวงการใด  จะต้องค้นคิดหาวิธีที่จะทำให้คนรุ่นใหม่นี้เข้าถึงพระพุทธศาสนาตามที่เขาสมัครใจอยู่แล้ว
มีวิธีใดไหม  มีอะไรต้างๆไหม  ที่จะช่วยให้เขาได้เข้าใจพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้งขึ้นกว่าเดิม  หรือเข้าใจพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
เวลานี้เขาก็บอกว่า  เข้าไปวัดก็มีแต่แจกตะกรุดใบ้หวย  ก็อย่างว่า  กระผมก็เถียงมาหนักแล้ว  ก็ไม่ให้ทำอะไรอีกแล้ว  มึงจะให้ทำอะไร  มันก็ต้องใบ้หวยอยู่ดี  สอนหนังสือก็ไม่เรียน  อะไรก็ไม่ฟังกันแล้ว  ก็นี่แหละครับ
ในคณะสงฆ์ทุกวันนี้ก็ยังมีพระภิกษุที่มีความสามารถในการที่จะแสดงธรรมและสั่งสอนพระศาสนาอยู่มากมายเหลือเกิน  ไม่ใช่องคฺสององค์นะครับ  มีมาก  มีทุกวัด  แต่ว่าขาดความกระตุ้น ขาดกำลังใจจากฝ่ายอื่น  แม้แต่ในบรรดาสงฆ์ด้วยกัน  ทำอย่างไรจะกระตุ้นให้ท่านเหล่านี้ออกมาแสดงตัวของท่านในฐานะที่เป็นพระธรรมกถึก  ที่ทันกาลทันสมัย  สอนให้คนรู้เรื่อง  และสอนให้คนสมัยใหม่  คนปัจจุบันเข้าใจ  และเกิดความเลื่อมใส
นอกจากพระภิกษุแล้ว  กระผมคิดว่าควรจะมีองค์การอื่นอีกมากมายทีเดียว  อย่างพุทธสมาคม  อย่างยุวกพุทธิกสมาคม  อย่างเปรียญธรรมสมาคม  เหล่านี้  ควรจะหนักไปในทางเผยแพร่พระศาสนา  ให้คนที่เขาต้องการจะรู้ได้รู้  ตามภาษาที่เขาต้องการจะได้ยิน
ก็อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย  ท่านก็ผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น พุทธสมาคมเวลานี้กระผมเห็นว่าท่านเกี่ยวกับเรื่องฝรั่งมังค่า  ชอบไปนอกกันมากมาย  ไปประชุมอะไรกัน  โอ๊ย  ดีอกดีใจ  ฝรั่งมันสรรเสริญ
ยุวพุทธิกสมาคมทำอะไรผมก็ไม่รู้
เปรียญสมาคมก็ทำบุญแต่แจกควายอย่างว่า
ไม่เห็นว่าใครออกมาทำหน้าที่พูดภาษาชาวบ้านในเรื่องพระพุทธศาสนาให้ชาวบ้านเข้าใจให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้
กระผมทำหนังสือพิมพ์สยามรัฐขึ้นมา  เปิดคอลัมน์ข้างวัดขึ้นมาเพื่อเหตุนี้  ได้ไปขอร้องเรียนเชิญคนที่สุกมาเป็นเปรียญ  ให้ท่านมาช่วยคุมคอลัมน์  โดยบอกกับท่านว่า  ให้พยายามอิงเข้าไปในพระศาสนาในภาษาของชาวบ้าน  มันอาจจะมีเรื่องอื่นแทรกได้อะไรได้  เดี๋ยวนี้ก็ยังทำอยู่  อย่างท่านที่ทำอยู่ทุกวันนี้  ท่านก็มีธรรมะที่จะเผยแพร่  พูดไปก็ไม่จริงหรอกที่ว่าดีแต่มานั่งขายควาย  ท่านก็มีอะไรของท่านอยู่เสมอ เช่น แปลพระบาลี เขียนอะไรออกมาเป็นภาษาที่น่าอ่าน น่ารู้ น่าเห็น พอจะเป็นที่ถุกใจของคนไทยปัจจุบันได้
อย่างการสอนพระพุทธศาสนา  ทางอื่นที่จะให้เข้าถึงชาวบ้านเป็นการแก้วิกฤติ  ที่กระผปมเลื่อมในมากคือ  โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่ท่านมีความรักต่างๆ  เป็นของบที่มีประโยชน์เหลือเกิน  เพราะได้สอนตั้งแต่เด็กแต่เล็ก  ให้เข้าใจในพระพุทธศาสนา
แต่ของเราไม่มีองค์การใดที่จะรวบรวม  ที่จะให้ความเห็น  ที่จะควบคุม  แล้วก็สนับสนุน  หรือพยายามตัดตอนสิ่งที่ไม่ถุกไม่มี
ปล่อยให้ต่างวัดต่างทำกันไป  แล้วแต่เจ้าอาวาส  แล้วแต่ครูบาอาจารย์ในวัดนั้น  บางทีก็ถึงขนาด  บางทีก็ไม่ถึง  บางทีก็ปล่อยกันไปตามเรื่องตามราว  ก็เป็นอย่างนี้แหละ
อันนี้ก้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะเสนอแนะ  ว่าพระศาสนาควรจะเข้าดูแลโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ได้แล้ว  จะหาว่าเอาอย่างฝรั่งเป็นซันเดย์สกูลอะไรก็ช่างเถอะ  แต่เราได้ประโยชน์  ได้ผลจริงๆถ้าควบคุมให้ดี  ถ้าคอยดูแลป้อนวิชาความรู้ให้ถูกกับลักษณะที่เด็กต้องการ  แล้วก็จะได้บุญได้กุศลเป็นอย่างยิ่ง

การบริหารศาสนสมบัติ
อีกเรื่องที่จำเป็นจะต้องพูดถึง  ก็คือเรื่องทุนรอน  เรื่องเงินทองของพระศาสนา
มักจะมีเสียงพูดอยู่เสมอว่า พระพุทธศาสนานั้นขาดการอุดหนุนทางการเงินจากรัฐบาล  จากทางราชการ  จึงทำอะไรไม่ค่อยจะได้
เรื่องนี้ไม่จริงหรอกครับ
ไปดูตัวเลขเอาเถอะ  พระพุทธศาสนาในเมืองไทยนี้รวยมากมายเหลือเกินหวิดๆวาติกันเข้าไป  รวยมากจริงๆทีเดียว  แต่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้  คนอื่นเข้ามาหยิบมาฉวยใช้สอยโดยไม่เกิดประโยชน์แก่พระศาสนา
ก็อย่างนี้แหละครับ  เรื่องที่ค่อนข้างจะหลงกันเร็วๆนี้ พลเอกมานะ รัตนโกเศศ(อดีต)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ท่านเกิดอะไรขึ้นมาก้ไม่รู้  ท่านจะให้พิมพ์พระพุทธภาษิตไปไว้ตามห้องนอนในโรงแรมต่างๆ
ผู้แทนหญิง กทม. คุณเย็นจิตต์  รพีพัฒน์  ท่านก็ต่อต้านทันที บอกว่าไปทำทำไม  คนขึ้นโรงแรมเขาไม่อ่านคัมภีร์กันหรอก
กระผมก็บอกเห็นด้วยทุกอย่าง  แต่คุณพี่จะไปรู้ได้อย่างไร การลึกซึ้งอย่างนี  ว่าเขาอ่านหรือไม่อ่านคัมภีร์...ก็แล้วกันไป
แต่ว่าโครงการอย่างนี้แหละ  อย่างที่เจ้าคุณพระโสภณคณาภรณ์ (ปัจจุบันเป็นพระราชธรรมนิเทศ) วัดบวรนิเวศ  ท่านบอกว่า  เมื่อรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการฯดำริจะให้มีการจัดพิมพ์พระพุทธภาษิตไปไว้ในห้องพักโรงแรมต่างๆ  พระศาสนาไม่มีสตางค์จะสร้าง
แต่ความจริงพระพุทธศาสนาในบ้านเรานั้น  มีพลังการเงินอย่างมหาศาล  ดูได้ที่ศาสนสมบัติกลาง  โอ้โฮ  มหาศาลเท่าไรคำนวณไม่ถูก  เพราะสั่งสมกันมาเป็นร้อยปีสองร้อยปีสามร้อยปีกันมาแล้ว  เงินทองที่ทางก็ยังอยู่ที่นั่น
นอกจากนั้น  ศาสนสมบัติทางวัดอีก  ที่พระท่านปกครองของท่านเองอยู่ในวัดแต่ละวัดก็มีมากมีน้อย  แต่รวมกันก็มากอีกนั่นแหละ
แต่ว่าศาสนสมบัติกลางนั้นอยู่มือใคร
ก็สุดแล้วแต่จะขี้ฉ้อตอแหลเอาไปกินไปใช้ตามสะดวกสบาย  พระท่านไม่รู้ไม่เห็น  ก็ไปอยู่ในกระทรวงนี่จะให้ท่านทำอย่างไร
เจ้ากระทรวงก็ไม่ได้ดูแล  บางทีก็เกรงใจกัน  อะไรกัน  มันก็อีลุ่มฉุยแฉกรั่วไหลไปอย่างนั้นแหละครับ
ศาสนสมบัติของวัด  ก็อย่างว่าแหละ  มันดี  “วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง”  กฌ็สุดแต่ที่เขาร้องกัน  ก็ว่ากันไป  หรือขะให้ทำอย่างไร
แต่ขณะเดียวกัน  ที่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีในพระศาสนานี้ยังมี  ผมก็ไม่ทราบว่าเอาไปทำอะไร

วัดพระธรรมกายนี่แหละ  พูดตรงๆเลย
หนังสือพิมพ์ “ผู้จัดการ” เขาไปสอบตัวเลขเอามาลง  มีกิจกรรมทั้งซื้อหุ้นซื้ออะไร  เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม  อะไรสารพัด
คิดเป็นมูลค่าแล้วถึงพันกว่าร้อยล้าน  ราวๆพันสามร้อยล้าน  ไปเอามาจากไหน  นี่ก็อาศัยแรงคนทำบุญทั้งนั้น  แล้วก็มีเงินทั้งนั้น  ท่านก็ไม่เห็นมาทำอะไรแก่ศาสนามากนัก
นอกจากท่านซื้อที่
ไอ้ซื้อที่นั้น  จะซื้อสร้างวัดหรือซื้อที่ไว้เก็งกำไรขายแพงๆต่อไปกระผมก็ไม่ทราบ
ไม่กล้าไปถาม  กลัวท่านจะเตะเอาอีกแหละ  กระผมมันขี้ขลาดอยู่ด้วย
นี่เราก็เห็นมา  ชี้ให้เห็น  เพราะฉะนั้นการที่บอกว่าเราทำอะไรไม่ได้  เราแก้วิกฤติทั้งหลายไม่ได้  เพราะเราขาดกำลังขาดเงินขาดทอง
ไม่จริง
พระพุทธศาสนามีเงินมีทองมาก  มีทรัพย์สมบัติมาก  ชั่วแต่ว่าใช้ไม่ถูก  อยู่ในมือคนที่ไม่สุจริต  หรืออยู่ในมือคนที่ใช้ไม่เป็นประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ก็ย่อมจะไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ถ้าหากว่าเรานำเอาทรัพย์เหล่านี้ออกมาใช้ได้ในทางที่ถูก  มีคนดูแลอย่างที่ควรจะทำแล้ว  กระผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มาก
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 40 กำหนดให้กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ  เป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลาง  แต่มันก็ปรากฏอย่างที่กระผมว่าแหละครับ มันมีรั่วมีไหลอย่างนี้
เราน่าจะแก้กฎหมายนี้ได้หรือไม่ว่า เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาน่ะ  เอาล่ะ  เกิดดูแลศาสนาสมบัติกลางไป  เพราะในฐานะเป็นฆราวาส  พระท่านจับเงินจับทองไม่ได้  แต่ว่าจะเป็นไปได้ไหม ในการใช้จ่าย  ในการทำงาน  การเกี่ยวกับศาสนสมบัติกลางเหล่านี้  ควรจะต้องมีงบประมาณเหมือนกัน  อย่างงบประมาณแผ่นดินจะใช้เท่าไร  รับเท่าไร  ทำให้เป็นงบดุลกันทีเดียว  แล้วก็สอนมหาเถรสมาคม
ทุกวันนี้ พระท่านไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ เอาละ  ไม่จับเงินจับทอง  แต่จะคิดถึงเรื่องเงินเรื่องทองก็ไม่มี  เงินทองก็ไม่ใช่ของท่าน ของศาสนาเอง  ซึ่งท่านมีหน้าที่ทางพระวินัย  จะต้องมีอารักขาสัมปทาต้องรักษาไว้ด้วย  พระท่านไม่รู้เรื่อง  ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็รั่วไหลกันไปอย่างนี้แหละครับ
ซึ่งความจริงไม่น่าจะเป็น  ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย
เพราะเหตุนั้น  ถ้าเราแก้กฎหมายให้มีงบประมาณอย่างนี้ได้  มันก็น่าคิด
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องการเผยแพร่พระศาสนาอีกครั้งหนึ่ง
ผมยังติดใจในเรื่องวิธีการเผยแพร่  วิธีการเผยแพร่ธรรมอย่างที่หลวงพ่อ(ปัญญานันทะ) วัดชลประทานฯท่านทำมาน่ะ ถูกต้องดีแล้ว  แต่มันมีอีกหลายอย่างนะครับที่เริ่มใช้วิธีปาฐกถาธรรม  หรือไม่ใช่วิธีพระธรรมเทศนา  แต่พูดจากับผู้ฟังโดยตรง
สังเกตรู้สึกว่า  มีหลายท่านในขบวนการเหล่านี้  ที่ท่านเทศนาปราดเปรื่อง  แต่ท่านมีลัทธิของท่านที่จะสอน  ท่านไม่เหมือนหลวงพ่อองค์นี้ (หันไปทางหลวงพ่อปัญญานันทะ) ซึ่งท่านสอนจากพระไตรปิฎก  ท่านเหล่านั้นท่านมีลัทธิ  ท่านเกิดเป็นเซนเป็นอะไรของท่านขึ้นมา  เราไม่รู้ตัว  ท่านสอนเก่ง  อะไรเก่ง  บางทีท่านก็สอนวิธีใหม่ของท่าน  ท่านบอกว่าวิธีเก่าไม่ไหวแล้ว  อย่างที่กระผมพูดแหละ  เทศน์อย่างโบราณไม่ใครเขาฟัง  ท่านก็เทศน์เป็นพระพยอม  ผลที่สุดกลายเป็นเทศน์เอาฮา  ไม่ได้เทศน์เอาธรรมะกัน  คนไปฟังก้ไปฮาตึงๆ  ผู้หญิงก็ไปหัวร่อกรี๊ดๆ  หลวงพ่อก็ยังคะนอง  ไปกันใหญ่
ก็จนกระทั่งถึงพระผู้ใหญ่ที่ผมนับถือมากที่สุด  พระเดชพระคุณท่านพุทธทาส  ท่านก็เทศน์ดี  เทศน์อะไรทุกอย่าง  แต่ท่านเกิดมีลัทธิ  ซึ่งท่านยึดของท่านขึ้นมา  เรื่องจิตว่าง เรื่องไม่มีตัวตน  เรื่องไม่มีตัว  เรื่องอะไรหลุดมาท่านสอนเข้าในนั้นหมด
ผมรับว่าผมฟังไปมันก็เบื่อ
ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปถึงไหนเรื่องไม่มีตัว  เรื่องจิตว่างนั้น  มันก็รู้อยู่แล้ว  รู้ว่าตัวไม่เที่ยง  ตื่นขึ้นมามันก็ไม่มีอะไรตักเตือนสติอยู่แล้ว  ตรีทูตมันอยู่เต็มบ้านเต็มช่อง  เต็มป่าเต็มดอย  ไปไหนก็เห็นว่าต้องตาย  ไปไหนก็เห็นว่าต้องเจ็บ  ไปไหนก็เห็นว่าต้องแก่ มันไม่มีทางหนีได้  แต่ก็สอนกันอยู่อย่างนั้น  ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร  จะให้มัน advance กว่านั้น  ให้มันไกลออกไปกว่านั้น  ให้มีอะไรต่อไปอีกได้  จะได้หรือไม่
เหล่านี้แหละครับ  เป็นความในใจของกระผมจริงๆ  พูดไปก้หนักไปเบาไป  ก็อยากจะขออภัยท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้  ได้โปรดอภัยให้กระผมด้วย

บทสรุป
พูดมายืดยาวครับ  มันมากมายหลายเรื่อง  กระผมก้อยากจะขอสรุปก่อนที่จะจบ
ขอสรุปว่า
การแก้วิกฤติ  หรือการรับวิกฤติในพระพุทธศาสนานั้น  ขึ้นต้นทีเดียวเป็นหน้าที่ของสงฆ์  เป็นหน้าที่ขององค์การปกครองสงฆ์สูงสุด คือ มหาเถรสมาคม
ประการที่สอง  หน้าที่ที่จะป้องกันวิกฤติหรือต่อสู้วิกฤติ  ถ้ามันเกิดขึ้น ก็คือรัฐบาลไทย  ผู้เป็นเสมือนพระบรมเดชานุภาพขององค์อุปถัมภกแห่งพระพุทธศาสนา คือ พระมหากษัตริย์  ต้องการที่จะใช้อำนาจอย่างไร  เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนา  ต้องใช้ อย่าไปเกรงใจใคร  ต้องการทรัพย์สินอย่างไรที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา  ต้องกระทำ  อย่างแต่ก่อนท่านก็ทำอย่างนี้  พระพุทธศาสนาก็รุ่งเรือง  เจริญมาได้  จนเราได้สืบทอดกันต่อมา  เป็นหน้าที่ของทางราชการ
ประการที่สาม  ก็คือเราที่เป็นพุทธศาสนิกชน  เราที่เป็นชาวบ้านนี่เอง  จะช่วยกันทำอย่างไรได้อีกบ้างนอกจากทำบุญตามวัฒนธรรม  ซึ่งเป็นของดี  ทำบุญให้กับพระ  ทำบุญให้กับสงฆ์ สร้างวัดวาอาราม  ซ่อมแซมโบสถ์วิหาร  ศาลาการเปรียญ  เหล่านี้เป็นของดีที่ควรจะทำ  เพราะเป็นการรักษาพระพุทธศาสนา  โดยตรงอย่างหนึ่ง  ไม่ให้เสื่อมสูญไปได้
หน้าที่ของฆราวาสเราต้องฟังธรรม  เราต้องเรียนจากพระ  ฆราวาสช่วยกันเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่ฆราวาสด้วยกัน  ให้ฟังด้วยวิธีเขียนหนังสือบ้าง  ด้วยวิธีพูดจาให้เข้าใจหลักพระพุทธศาสนาบ้าง
เหล่านี้  กระผมคิดว่าเป็นการกระทำที่ถูก
ฆราวาสจะต้องมีหน้าที่  และรู้สึกว่าจะต้องมีความห่วงใยในวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา
เหล่านี้แหละครับ  ควรจะต้องสำนึกด  ตระหนักไว้ให้ดีที่สุด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผมติดใจในข้อที่ว่า  ฆราวาสควรจะออกประกาศธรรม  ออกเผยแพร่พระพุทธศาสนา  ต่อฆราวาสด้วยกันเอง  น่าจะมีประโยชน์มาก
คืออย่าไปคิดว่าเราวิเศษกว่าใคร  แต่พยายามที่จะเผยแพร่พระศาสนาเท่าที่เรารู้นี้แก่เพื่อนมนุษย์  เพื่อนบ้านให้เราได้มีความรู้และได้ประโยชน์อย่างเรา
ถ้าเราปฏิบัติธรรมะจนเราเป็นคนที่สมมติว่าไม่กลัวตาย  เราพ้นทุกข์ไปอย่างหนึ่ง  เราก็ควรจะสอนเพื่อนบ้านว่า  ทำอย่างไรถึงจะไม่กลัวตายได้  ธรรมข้อไหนที่จะทำให้เราอุ่นใจในเรื่องนี้  และดูอย่างเรา  เราไม่กลัวตาย  เราทำอะไรก็ทำได้  เราไม่กลัวอื่นๆอีกแยะ  เขาดูตัวเราแล้ว  เขาอาจจะเชื่อฟังก็ได้
นี่แหละครับ  เราต้องการมากเหลือเกิน  ต้องการฆราวาสหรือต้องการผู้สอนธรรม  ที่กระผมกราบเรียนมาแล้วเมื่อตะกี้นี้ว่าสอนธรรมให้คนรุ่นใหม่เขาเข้าใจ  เขาได้ยินได้ฟังแล้วเขาเชื่อถือ เขาเกิดความศรัทธาเลื่อมใส
ได้มีการสำรวจโดยท่านผู้รู้เมื่อเร็วๆนี้เองว่า  ทุกวันนี้ใครเป็นผู้สอนธรรม  เขียนหนังสือสอนธรรมดีที่สุด  ผลของการสำรวจกันปรากฏว่า  พระเดชพระคุณเจ้าคุณพระเทพเวที (พระธรรมปิฎก) เขียนหนังสือเผยแพร่ศาสนาสอนธรรมะดีเด่น  คนที่ 2 ฟังแล้วอย่าหัวเราะนะ คือ พลตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นั่งอยู่นี่เอง เขียนหนังสือเผยแพร่พระศาสนาเก่งมาก  ก็เป็นบุญเป็นกุศลของกระผม  ได้ยินเช่นนี้ก็เห็นจะต้องเขียนต่อไปอีก  ความจริงก็เขียนมาตลอดในชีวิตเขียนหนังสือ  มีอะไรก็แอบก้แฝงเข้าไป  แม้จะเป็นนวนิยายก็แฝงเข้าไปได้  เรื่องสุดท้ายนั้นคือเรื่อง “กาเหว่าที่บางเพลง” ให้ไปหามาอ่านเสียนะ  เพราะสอนธรรมะทั้งเรื่อง  จบลงสมเด็จพระสังฆราชท่านสั่งให้จบอย่างไรด้วยซ้ำ  คือขึ้นต้นว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาเกิดขึ้นในโลก  ไอ้พวกนี้มาเกิดแล้วมันก็ไม่นับถือศาสนาพุทธ  มันบอกว่า โลกของมันไม่มีทุกข์  อริยสัจมันจะไปเชื่ออย่างไร  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  อยู่นอกเรื่อง  มันไม่นับถือ  ทีนี้มันมาอยู่โลกนี้  สมภารเจ้าวัดที่ท่านอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็พยายามสั่งสอนให้นับถือศาสนาพุทธ  พยายามสั่งสอนให้รู้ทุกขอริยสัจ  มันก็ไม่ฟัง  จนในที่สุดมันเกิดป่วยเกิดตายขึ้นมา
สมเด็จพระสังฆราชท่านสั่งกระผมว่า  เรื่องนี้ดี  แต่ตอนจบต้องให้มันนับถือศาสนาพุทธให้ได้นะ  อย่าปล่อยไปโดยที่ไม่นับถือ
ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร  จะจัดการ  มันเกิดมาตายขึ้น  เป็นโรคอย่างชาวบ้านเขา  มันไม่นึกว่ามันจะตาย  พอตายแล้วนี่มันก็เห็น  เห็นทุกขอริยสัจ  เกิดแก่เจ็บตาย  มันกลับนับถือหมด นับถือแล้วมันเหาะกลับไปเลย  กลับไปโลกมัน  มันจะไปเผยแพร่ต่อไปหรือไง  กระผมก็ไม่ทราบ  แต่จบแค่นั้น  ตามบัญชาสมเด็จพระสังฆราช  ไม่เชื่อก็ไปหาอ่านดู
กระผมก็พูดมาช้านานเต็มที  มันคล้ายๆกับว่า  เป็นการปรับทุกข์กันระหว่างท่านกับกระผมซึ่งนับถือพระพุทธศาสนามาด้วยกัน  แล้วก็หวังว่าจะได้เป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย  อาจจะล่วงเกินใครไป  ก็กราบขอประทานอภัยเสีย  ณ ที่นี้.