หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

พุทธทาสภิกขุ _ตอบปัญหา "ปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าทุกวัน"



ปัญหาที่ต้องเผชิญหน้าทุกวัน
ตอบปัญหาแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กลุ่มพุทธศาสตร์และประเพณี  ส.จ.ม.
ที่คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
14  มกราคม  2504


          ปัญหาข้อที่ 1  ในเมื่อเราทุกคนจะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อยังชีพ จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่  เพื่อผลประโยชน์ต่างๆ  ทำอย่างไรจิตของเราจึงจะว่างได้  ไม่ได้หมายความถึงขั้นนิพพาน  เพียงแต่ปลีกตนให้พ้นอันตรายจากสิ่งที่มากระทบใจเท่านั้น
          ตอบ              ปัญหาข้อนี้  หมายถึงการที่เรามีจิตว่าง  เพื่อให้ได้เปรียบในสังคม  ในการที่จะไม่ให้เขาทำอันตรายได้โดยทางจิตใจ  นี่มันเรื่องเดียวกันกับที่ได้บรรยายตั้งแต่ครั้งก่อนว่า  เราจะต้องฝึกฝนในการที่จะปลดเปลื้องความรู้สึกที่เป็นตัวเราหรือของเรา  ที่เรียกว่า  อหังการ หรือ มมังการ  ให้ออกไปเสียก่อน  ได้ทุกคราวที่เราต้องการ ให้มันเป็นจิตใจว่างจากความยึดถือว่าเป็นตัวกูของกูก่อน  มันไม่อาจจะทำเดี๋ยวนี้ได้  ต้องอาศัยการศึกษาและการฝึกฝนมาพอสมควรในทุกๆแห่ง  ทุกอิริยาบถ  ทุกๆเวลามาพอสมควรก่อนแล้ว  และพอมาถึงโอกาสที่เราเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้นในทางสังคม  เราสามารถที่จะมีสติ  ระลึกถึงความรู้ที่แท้จริงที่เราเคยฝึกมาแล้วนี้ได้  หรือว่าถ้าจะเรียกว่าเป็นเคล็ดลับกะทันหันก็คือ  เราสามารถสำรวมจิตใจเพื่อลืมเรื่องราวต่างๆที่เป็นไปในทางอหังการ มมังการ นั้นเสียก่อน  ให้มีจิตเป็นกลางที่เรียกว่าเป็นอิสระจากความโกรธและความเกลียด  หรือความรักก็ตามเสียก่อน  พอมีจิตใจว่างพอสมควรอย่างนี้แล้วย  เราก็สามารถจะพูด หรือทำ หรือคิดในทางที่ผิดได้ยาก  จึงไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบผู้อื่น  ตอบได้สั้นๆแต่เพียงเท่านี้ เพราะมันเป็นเรื่องซึ่งยืดยาว  แต่ใจความสำคัญก็มีเพียงเท่านี้

          ปัญหาข้อที่ 2  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ  ถ้าหากเรามีความทุกข์เราจะทำเป็นว่าไม่เดือดร้อน  เราไม่แคร์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  การกระทำเช่นนี้อาจจะทำให้ใจสบายได้  ในความสบายำนี้ทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทำให้เหตุดับ  เมื่อตัวเราพ้นทุกข์  แต่เหตุแห่งทุกข์นั้นยังบมีอยู่ในโลกให้เพื่อนมนุษย์อื่นๆเสวย  เราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน  เราจะมีอุดมการณ์เพียงทำให้ตัวเราสบาย  หรือมีอุดมการณ์เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์นั้น  เพื่อความเป็นสุขของมวลชน
          ตอบ              ดับทุกข์  โดยไม่ต้องไปดับที่ต้นเหตุอย่างนี้  เขาเรียกว่าเป็นการกลบเกลื่อนทุกข์  ไม่ใช่ดับทุกข์หรือตัดทุกข์;  มันก็ดีอยู่เหมือนกัน  และเป็นประโยชน์ในข้อที่ว่า  กลบเกลื่อนเพื่อช่วยตัวเองให้ตั้งสติหรือตั้งตัวได้  เช่นว่า  แค่นหัวเราะออกมา  หรืออะไรอย่างนี้ก็ยังเป็นประโยชน์  ไม่ใช่ไม่เป็นประโยชน์;  มันจะได้เป็นการประวิงเวลาเพื่อให้ตั้งตัวได้  ในการที่ตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นโดยตรง  การกลบเกลื่อนไว้ชั่วคราวอย่างนี้  ก็จัดไว้ในฐานะเป็นอุปกรณ์ของการตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์ด้วยเหมือนกัน เช่น เมื่อถูกอะไรเข้าเป็นการเจ็บปวด  ก็หัดหัวเราะเข้าไว้ก่อน  มันเป็นสิ่งที่ทำได้  แล้วมันจะทำให้จิตตั้งตัวได้  และสอดส่องไปถึงมูลเหตุและต้นเหตุได้  ฉะนั้นอย่าไปแยกกัน  และขอตอบว่า  เราไม่สามารถดับทุกข์ได้โดยไม่ตัดต้นเหตุของความทุกข์  จะทำได้ก็เป็นเพียงกลบเกลื่อนชั่วคราว เป็นความฉลาดที่ยังน้อยอยู่  ยังไม่สมบูรณ์  ต้องทำต่อไปจนถึงกับตัดตัวต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้นเสีย  ซึ่งตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว  เราไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้;  และยังขอท้าว่า  แม้ตามหลักของศาสนาอื่น  หรือวิธีอื่น  ก็ยังไปในทำนองที่ว่า  ต้องตัดต้นเหตุแห่งความทุกข์นั้น  เราไม่อาจจะกลบเกลื่อนได้โดยเอาสิ่งสวยงามมากลบเกลื่อนให้หายไปได้  มันจะได้ชั่วครู่ชั่วคราว  และบางบทีมันเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไป  จึงไม่ใช่วิธีที่จะใช้เป็นที่พึ่งได้  หรือถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้  เรามีอุดมการณ์ที่จะดับทุกข์ของมวลชนอยู่ด้วยเสมอไป  แต่เราจะต้องมีความรู้ความสามารถในการดับทุกข์ส่วนตัวของเราโดยถูกต้องและสมบูรณ์เสียก่อน  เพราะมันมีหลักใหญ่อย่างเดียวกัน  คือต้องตัดต้นเหตุของมันโดยตรง  ไม่ใช่กลบเกลื่อนไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

          ปัญหาข้อที่ 3  ในเวลาที่จิตใจมีความทุกข์  มีความกังวล จะใช้ธรรมะข้อใดแก้ความทุกข์ ความกังวลเหล่านั้น และจะมีวิธีปฏิบัติตามนั้นอย่างไรจึงจะได้ผล?
          ตอบ              ความทุกข์ร้อน  ความวิตกกังวลนี้  ก็รวมอยู่ในความทุกข์  ไม่แยกจากกัน  ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องค้นหาต้นเหตุ  มูลเหตุของความทุกข์  โดยสรุปก็คือ  การเข้าไปยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นตัวเป็นตนหรือของของตน  วิชาความรู้ในพุทธศาสนานั้นสอนให้ปฏิบัติให้เห็นแจ้งว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวตนหรือของตน  ข้อนี้ไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งต่างๆไม่มี  มันมีมากมาย  แต่ว่าไม่มีส่วนไหนที่ควรจะเข้าไปยึดถือยึดมั่น  สำคัญว่าเป็นตัวตนของตน  ถ้าเข้าถึงความจริงข้อนี้แล้ว  จิตจะไม่ยึดถืออะไรเป็นตัวตน  แล้วก็ไม่มีทางที่จะเกิดความเศร้า  ความทุกข์เดือดร้อนอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้เลย  หลักตายตัวมีอยู่อย่างนั้น  ไม่ต้องแยกกัน

          ปัญหาข้อที่ 4  ที่พระคุณเจ้าพูดว่า  ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ควรเคารพเป็นที่พึ่งได้นอกจากธรรมะ  สงสัยว่าบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  มิได้เป็นที่เคารพที่พึ่งได้ดอกหรือ?
          ตอบ              นี่เป็นคำถามที่ดี  คือเป็นคำถามที่ควรจะถาม  การเคารพบิดามารดานั้นก็ถือว่าเป็นการเคารพธรรรมะ  เพราะถ้าไม่เคารพธรรมะแล้ว  ก็ไม่เคารพบิดามารดา  เหตุที่ทำให้เคารพบิดามารดาก็เพราะความเคารพในธรรมะ  กฏระเบียบ ฯลฯ ต่างๆเป็นธรรมดา  ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆเป็นธรรมะ  ถ้าเราทำตามกฏตามขนบธรรมเนียมประเพณี  ตามคำสั่งสอนของบิดามารดานั้นเอง  ชื่อว่าเราเคารพธรรมะ  และการเคารพบิดามารดาและสิ่งที่ควรเคารพอย่างอื่น  ในการเคารพสิ่งอื่นๆ หรือทำอย่างอื่นด้วยความเคารพที่ถูกต้อง  ก็เหมือนกัน  ขอให้ถือหลักอย่างเดียวกัน

          ปัญหาข้อที่ 5  ถ้าหากว่าบิดามารดานั้นมิได้ประพฤติอยู่ในทำนองคลองธรรมแล้ว  บุตรธิดาจะควรมีความเคารพเหมือนกับบิดามารดาที่ปฏิบัติตนตามทำนองคลองธรรมดังนั้นหรือ?
          ตอบ              นี่เป็นปัญหาที่ควรถือว่าเป็นปัญหา  เมื่อในบางรายหรือบางกรณีที่บิดามารดาขาดการศึกษา  ตั้งอยู่ในฐานะที่ไม่ควรเคารพก็มี  แต่ต้องพิจารณาดูให้ละเอียดว่า  บางส่วนก็ยังมีที่ควรเคารพ;  ดังนั้นจึงต้องจัดให้ดี  แยกให้ดี  ที่เราจะไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนที่ผิดๆนั้น  ก็ถูกอยู่  แต่เราก็ควรทำอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการเคารพบิดามารดาในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดเรามา  นี่เราจะต้องใช้ปฏิภาณของเราเอง  ความจริงนั้นมีอยู่ว่า  บิดามารดาที่แท้จริงก็คือผู้ที่มีคุรธรรม  สำหรับบิดามารดาจะต้องมี  ถ้าไม่มีคุณธรรมสำหรับบิดามารดาจะต้องมีแล้ว  คนนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นบิดามารดา  แม้เราจะไม่เคารพในข้อนั้นก็ไม่เรียกว่าไม่เคารพบิดามารดา  เพราะไม่ได้ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นบิดามารดา  แต่อย่าลืมอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า  อย่างน้อยท่านก็ให้กำเนิดเรามา  ฉะนั้นเราจะเคารพอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ก็ตามใจ  ในส่วนที่เป็นบิดามารดาเพราะคลอดเรามา  ส่วนที่เราไม่เคารพคำแนะนำของท่าน  จะไม่ประพฤติตามคำขอร้องที่ไม่ถูกไม่ควรของท่าน  นั้น เป็นเรื่องของสติปัญญาซึ่งจะต้องใช้ปฏิภาณให้เหมาะ  แยกแยะลงไปให้เหมาะสมด้วยความไม่ประมาท  ไม่ทะนง

          ปัญหาข้อที่ 6  การปฏิบัติในทางพุทธศาสนานั้น  ควรจะอนุโลมให้เข้ากับวิธีการที่สังคมใช้อยู่แค่ไหน  เช่น  ทำบุญจะต้องทำด้วงยวิธีที่สังคมกำหนดไว้เป็นบรรทัดฐานขึ้น  หรือทำบุญในลักษณะที่ตนเห็นว่าตามศรัทธา  แลตามหลักธรรมะ  การอุปสมบทเพื่อจะทำให้เป็นไปตามประเพณีหรือเพื่อศรัทธานั้น  เราควรจะทำมากน้อยในด้านหนึ่งด้านใดอย่างไร?
          ตอบ              การทำอะไรตามประเพณี  และทำอะไรให้ถุกต้องตามหลักเกณฑ์ของความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ขัดกันอยู่บ่อยๆและทั่วๆไปในที่ทุกหนทุกแห่ง  ฉะนั้นเราจะต้องถือหลักธรรมะเหมือนกัน  แม้ว่าเป็นหลักที่ต่ำๆลงมาที่เรียกว่า  ความเป็นผู้รู้จักเหตุ  รู้จักผล  รู้จักบุคคล  รู้จักสถานที่  รู้จักเวลา  เหล่านี้เป็นต้น  คำพูดประโยคที่ว่า “เข้าไหนเข้าได้” นั้นก็เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนาเหมือนกัน  แต่มิได้หมายความว่า  ไปร่วมกันทำผิดหรือทำเสีย  ในบางคราวเพื่ออนุโลมตามความนิยมของสังคมได้  เราจะต้องทำเหมือนกัน  ถ้าเราไปเกี่ยวข้องแล้ว  มันมีอยู่ว่าเราจะยอมเกี่ยวข้องหรือไม่  ถ้าเราจำเป็นจะต้องเกี่ยวข้องในบางคราว  เราต้องอนุโลมตามเท่าที่ควร  แต่ที่มันผิดหรือยอมรับไม่ไหวจริงๆนั้น  เราถอนตัวออกเสียก็ได้  แต่ในกรณีที่มันจะเป็นผลดีแก่สังคมนั้นเราก็อนุโลมตามไปได้  โดยเราถือหลักว่า  ในโลกนี้คนโง่มีมาก  ฉะนั้นเขาจะต้องมีระเบียบขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรบางอย่างเป็นส่วนใหญ่ไว้สำหรับคนพวกนี้  เพราะสำหรับคนพวกนี้มันมีหลักอยู่ว่า  จะต้องล้อมคอกไว้ก่อน  มันเป็นเหมือนกับลูกสัตว์เล็กๆเพิ่งคลอดออกมา  เช่นลูกเป็ดลูกไก่นี้  มันยังบินไม่ได้  มันจำงต้องขังคอกไว้ก่อนเพื่อให้มันปลอดภัย  ให้มันเจริญเติบโตบินเก่ง  วิ่งเก่ง  เราจึงเลิกคอก  ความจริงในการรู้สัจธรรมนั้นเหมือนกับเลิกคอกปล่อยเป็นอิสระ  แต่ก็ยังไม่ควรใช้กับคนที่โง่งมงายยังต่ำอยู่  จึงต้องสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น  ชนิดที่ไม่เป็นอันตรายขึ้นไว้ก่อน  และขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน  ฉะนั้นถ้าเราจะอนุโลมตามขนบธรรมเนียมประเพณีให้เข้ากับคนทั่วๆไป  หรือกับคนที่ไร้การศึกษาตามบ้านนอกคอกนานี้  ก็ต้องใช้ปฏิภาณเลือกใหเหมาะ  ให้เป็นเรื่องเข้าไหนเข้าได้ และก็ให้สำเร็จประโยชน์โดยไม่มีการเสียหายแต่อย่างใด  นั่นแหละ คือการประพฤติถุกหลักธรรมะของพระพุทธศาสนา  อย่าได้กล่าวยืนยันชนิดกระต่ายขาเดียว  หรืออะไรทำนองนั้นว่า  ต้องอย่างนี้เด็ดขาด  ต้องอย่างโน้นเด็ดขาด  เช่นต้องความจริงเด็ดขาด  หรือต้องประเพณีเด็ดขาด  นี้มันไม่ได้  บางทีก็ต้องเจือกัน  บางเวลาก็เปลี่ยนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  โดยนึกถึงอกเขาอกเรา  และนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีไว้สำหรับสังคมทั่วไปเป็นส่วนใหญ่  เรื่องทั้งหมดนี้ระบุให้ชัดไม่ได้  เพราระมีอยู่มาก  วางได้แต่เพียงเป็นหลักกลางๆว่า  เราจะต้องมีหลักอย่างนี้ในการเกี่ยวข้องกับสังคม
          การบวชตามประเพณี  ก็ยังเป็นสิ่งที่จะต้องรักษาไว้เหมือนกัน  เพราะว่าคนโง่ที่ยังไม่มีทางจะฉลาดโดยวิธีอื่นก็ยังมีอยู่มากนั่นเอง  แต่เมื่อบวชเข้ามาแล้วมันก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องควบคุมให้ดี  มันก็ยังมีประโยชน์  และบางทีการบวชตามประเพณีเมื่อทำไปๆมันก็กลายเป็นการบวชตามความจริง  คือมีความศรัทธาเลื่อมใสเห็นจริงก็ได้  แล้วก็บวชไปตลอด  ถ้าจะบวชตามประแพณีเราก็ต้องรู้ว่า  ปู่ย่าตายายของเราฉลาด  เหมาะสมกับกาลสมัยที่วางประเพณีไว้ให้ว่า  ก่อนที่จะไปเป็นคนโดยสมบูรณ์นั้น ควรศึกษาธรรมะเสียก่อน  ไม่ศึกษาแต่เรื่องวัตถุหรือร่างกายอย่างเดียว  ท่านจัดให้การบวชตามประเพณีนี้เป็นโอกาสเข้ามาศึกษาธรรมะ  หาความรู้ในเรื่องทางจิตทางวิญญาณ  เพื่อไปเพิ่มให้แก่ทางฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวัตถุ  แล้วกลับสึกออกไปจะต้องดีกว่าเก่าแน่  เมื่อเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ก็ไม่เสียหายอะไร  สรุปคำตอบก็ว่า ดูให้เหมาะแก่เรื่อง เวลา สถานะ เหตุการณ์ บุคคล สถานที่ ก็แล้วกัน

          ปัญหาข้อที่ 7  เรื่องทศชาติในพระไตรปิฎกนั้น เป็นอย่างไร  มีความจริงแค่ไหน  การระลึกชาติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีความจริงแค่ไหน  และมีเหตุผลอย่างไรบ้าง?
          ตอบ              นี่มันเป็นปัญหาทางวรรณคดีและทางโบราณคดีเสียแล้ว  ถ้าถามอย่างนี้ไม่ใช่เป็นปัญหาทางธรรมะหรือทางศาสนาโดยตรง  ที่ว่าเป็นปัญหาทางวรรณคดีหรือหน้าที่ของโบราณคดีนี้  หมายความว่า  พระคัมภีร์ส่วนที่ชาดกนี้ได้ถุกเขียนขึ้นเรื่อยๆ และดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขกันมาเรื่อยๆ จนเป็นภาคอรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา เรื่องชาดกทั้งหลายเท่าที่มีอยู่ในพระบาลีนั้นมันมีแต่คำพูดที่สำคัญๆ ที่อาศัยใช้เป็นหลักปฏิบัติได้  ท้องเรื่องที่เล่าเป็นนิทานนั้นไม่มีในพระไตรปิฎก  คือในตัวพระไตรปิฎกไม่มีท้องนิทาน  มีแต่คำพูดสำคัญๆที่มาอยู่ในตัวนิทานชั้นหลังเหล่านั้น  เป็นประโยคๆไป  ดูราวกับว่า quote เอามา  คนชั้นหลังต่างหากที่เอาคำเหล่านั้นมาใส่ “ภาชนะ” ทำเป็นนิทานชาดกไป  คือแต่งนิทานชาดกขึ้นเพื่อให้เป็นภาชนะแจกจ่ายข้อความธรรมะเหล่านั้น  ตามทางโบราณคดีที่สอบสวนปรากฏว่า  แต่งขยายเป็นท้องเรื่องนิทานนี้ก็ยุคหนึ่ง;  และต่อมาก็อีกยุคหนึ่ง  ก็แต่งเติมเรื่องการกลับชาติว่าคนนนั้นกลับชาติเป็นคนนั้น  คนนี้กลับชาติเป็นคนนี้  นี้ก็เป็นเรื่องยุคหลังอีก  ถ้าศึกษาในแง่โบราณคดีอย่างนี้กลับจะไม่เกิดปัญหาอย่างที่ว่านี้  คือว่าเขาทำไปตามที่เห็นว่าเหมาะสม  ในทางที่จะดึงดูดความสนใจของคนทั่วไปซึ่งยังไม่ใช่คนฉลาด  เพราะมองเห็นว่าในโ,กนี้มีคนไม่ฉลาดมากกว่า คนที่ฉลาดดังที่กล่าวแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็มุ่งหมายความไพเราะทางวรรณคดี  ฉะนั้นเราอย่าไปว่าเขาเลย และเราอย่าไปเสียเวลาวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้  ถ้าเราอ่านชาดกเราควรจะได้ประโยชน์ในความไพเราะทางวรรณคดีบ้าง  เราเก็บเอาข้อความที่เป็นธรรมะเข้ามาใช้อย่างธรรมะบ้าง  เราก็ได้ประโยชน์ ไม่เสียประโยชน์ ที่เราไปดูหมิ่นดูถูกว่าไม่ควรอ่านเสียเลยนั้นกลับจะเสียประโยชน์  ขอให้ไปเกี่ยวข้องกับนิทานหรือชาดกทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ก็แล้วกัน  ก็จะปลอดภัย  ไม่น่าติเตียนที่ตรงไหน  การกลับชาติท้ายชาดกนั้นไม่ใช่การระลึกชาติของพระพุทธเจ้าแล้วตรัสไว้อย่างนั้น

          ปัญหาข้อที่ 8  วิญญาณของคนหมายถึงอะไร  ที่เขากล่าวมีคนสามารถถ่ายภาพวิญญาณของคนที่ตายแล้วได้นั้น  จริงหรือไม่?
          ตอบ              วิญญาณของคนคืออะไร  นี่มันเป็นปัญหาที่ต้องการคำตอบมากมาย  เพราะภาษาบาลีเกี่ยวกับคำว่าวิญญาณนี้มีหลายความหมายหลายคำด้วยกัน  แต่ถ้าจะตอบโดยที่เรียก “ทั่วไป” ความหมายทั่วไปก็ตอบได้ว่า  วิญญาณนี้เป็นแต่เพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ตา หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่ผิวกาย และที่ใจเอง  ในเมื่อได้กระทบรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ครั้นทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ดับไป  กลายเป็นจิตใจตามธรรมดา  เป็นจิตใจที่ประจำก็แล้วกัน
          คำว่า  ทำหน้าที่เป็นวิญญาณ  ก็คืออำนาจที่รู้เรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จิตใจ นั้นมันจะเกิดขึ้นทำหน้าที่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นคราวๆทุกคราวที่มีอะไรมากระทบ  ฉะนั้นจึงเกิดมีการเกิดดับ  เกิดดับของวิญญาณนี้อยู่ตลอดเวลาตลอดชีวิต  นี่เรียกว่าวิญญาณในความหมายทั่วไป  ส่วนที่เขาพูดกันว่า “จิต” ที่ทำหน้าที่เป็นวิญญาณอยู่เป็นระยะๆ  เมื่อร่างกายแตกตายแล้วจิตไปหาร่างใหม่นั้น เป็นเรื่องที่เขากล่าวกันอยู่ทั่วไปก่อนพุทธกาลนี้ เราไม่ยอมรับว่าเป็นหลักพุทธศาสนา และไม่ควรจะไปเสียเวลาที่จะถกเถียงเรื่องนั้น  เราต้องการเพียงจะให้รู้จักควบคุมวิญญาณที่มารู้เรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี้  เมื่อเกิดผัสสะขึ้นแล้ว  อย่าให้เกิดเป็นเวทนา หรืออย่าให้เป็นตัรหาในที่สุด  ให้จัดการควบคุมการเกิดของวิญญาณ  ในทำนองไม่ให้เกิดเป็นเวทนาตัณหา; โดยทั่วไปย่อมตอบได้ดังนี้ ขอให้จำเอาไว้ก่อน
          ทีนี้ขอบอกกล่าวไว้ด้วยว่า  วิญญาณในความหมายอื่นมีอีกเยอะแยะ  อธิบายกันไม่ไหวด้วยเวลาเพียงเท่านี้  อย่างว่า คำว่า “วิญญาณ” หมายถึงพระนิพพานก็มี  มีอยู่ที่บางแห่งในพระไตรปิฎกเหมือนกัน  คำว่าวิญญาณแท้ๆหมายถึงพระนิพพานเลยก็มี  เช่นเดียวกับคำว่า อายตนะ หมายถึงพระนิพพานไปก็มี  นั่นเป็นกรณีพิเศษ อย่าต้องเอามาวินิจฉัยเลย  ขอบอกว่ามีอีกมาก ส่วนที่ควรวินิจฉัยจริงๆมีอยู่ว่า  วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย  ที่เป็นตัวเรื่องให้เกิดเรื่องร้องไห้หรือหัวเราะ  นี่ระวังให้ดีๆ  ส่วนที่ถามว่า  มีการถ่ายรูปวิญญาณได้  จริงหรือไม่นั้น  ไม่ใช่ปัญหา  สำหรับอาตมานี่  อาตมาไม่เคยสนใจเรื่องนี้ และอาตมาไม่เชื่อแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว

          ปัญหาข้อที่ 9 อยากเรียนถามว่า  เท่าที่ทราบมาพระพุทธศาสนาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนรกหรือสวรรค์  นอกจากให้รู้ถึงความดับทุกข์  เพราะเหตุใดเรื่องของพระมาลัยเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย  จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องของนรกและสวรรค์  ถึงกับมีการลงไปในนรกและขึ้นไปบนสวรรค์ด้วย?
          ตอบ              เรื่องราวที่บอกว่าเป็นเรื่องของพระมาลัยนั้นเป็นเรื่องแต่งขึ้นในชั้นหลังในประเทศำลังกา  แต่เราก็ยอมรับว่ามีเจตนาดีที่จะ ทำให้คนส่วนใหญ่  คือมวลชนนี้เกิดความกลัวในเรื่องของความทุกข์  และตั้งหน้าตั้งตาประพฤติดี  คำว่านรกสวรรค์นั้นเป็นชื่อของความทุกข์ทั้งนั้น  พระพุทธเจ้าก็ได้กล่าวถึงความทุกข์ไว้มากมายในลักษณะต่างๆกัน
          สัตว์นรก        หมายถึงสัตว์ที่ทนทุกข์เพราะถุกลงโทษ
          เปรต             หมายถึงสัตว์ที่ทนทุกข์ตามธรรมชาติแล้วไม่มีใครลงโทษ แต่เป็นการเจ็บป่วยพิกลพิการของเขาเอง  ไม่มีใครลงโทษต่างกับสัตว์นรกที่ว่าทนทุกข์เพราะถูกลงโทษ   
          สัตว์เดรัจฉาน  นี้ทนทุกข์เพราะยังต่ำเกินไปในทางสติปัญญา  ก็ต้องทนทุกข์เพราะต่ำด้วยสติปัญญา  แม้จะฟรี  เป็นอิสระ  ก็ต้องทนทุกข์ด้วยสติปัญญาต่ำ
          อสุรกาย         หมายถึงพวกที่ไม่มีตัวแสดงปรากฏชัด  ก็คือเป็นคนล่อลวง  ก็ต้องทนทุกข์เพราะความกลัวและความฉลาดแกมโกงของตนเอง
          รวมความแล้ว  ผู้ที่ทนทุกข์อยู่ 4 ประเภท นี้เรียกว่า “นิริย” หรือ นรก  เป็นเพียงบุคคลาธิษฐานของคำว่าความทุกข์  ในแบบต่างๆกัน  เมื่อพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงความทุกข์ทุกๆแบบแล้ว ก้หมายความว่า  เรื่องนรกก็มีในหลักของพระพุทธศาสนา  คือเป็นเรื่องความทุกข์นั่นเอง  ส่วนที่กล่าวให้เป็นบุคคล เป็น personficate เป็นรูปสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอสุรกายขึ้นมาก็เพื่อให้เข้าใจง่าย  ถ้าเราเข้าใจเจตนาดีของผู้แต่งคัมภีร์พระมาลัยแล้วเราก็ใช้ไปในทางที่จะช่วยให้คนบางพวก  ไม่ใช่ทุกพวกให้เกิดความกลัวบาปอยากทำความดี  แต่คงใช้ไม่ได้กับนักศึกษา และไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาใช้กับพวกที่ไม่คิดจะทำบาปอีกต่อไป

          ปัญหาข้อที่ 10          มนุษย์ทำการสืบพันธุ์ต่อไปหลาย generation เพื่อที่จะให้มนุษย์ใน generation หนึ่งต่อไปได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือนิพพาน  ถ้ามนุษย์ถึงนิพพานแล้วจะไม่สืบพันธุ์ต่อไปอีกหรือ?  และถ้าสืบพันธุ์ต่อไปมนุษย์จะมีความบริสุทธิ์พอที่จะถึงนิพพานได้อีกหรือ?
          ตอบ              ตอบได้ง่ายๆว่า  มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนๆกัน  หรือพร้อมกันทั้ง generation แต่จะต้องมีคนใดคนหนึ่งใน generation ใดที่ลุถึงนิพพานและบริสุทธิ์  จนอยู่เหนือการมีตัวตนสำหรับการสืบพันธุ์เสมอไป

          ปัญหาข้อที่ 11          วิปัสสนาเป็นแขนงหนึ่งในพระพุทธศาสนาหรือไม่?
          ตอบ              วิปัสสนา = วิ แปลว่า  แจ่มแจ้ง  ปัสสนา แปลว่าเห็น  วิปัสสนา แปลว่า การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง  จะใช้ในเรื่องอะไร  ถ้าเห็นอะไรลงไปอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งตามที่เป็นจริง  ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว  ก็จัดว่าเป็นวิปัสสนาทั้งนั้น  แม้ในเรื่องความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นมาเองของคนในกรณีธรรมดาสามัญก็เรียกว่าวิปัสสนาได้  เช่นเด็กทารกคนหนึ่งไปจับที่ไฟแล้วร้อน  ก็มี realization เอง  โดยไม่ต้องเชื่อคนอื่นว่ามันร้อน  หรือไฟเป็นอย่างไร  ทีแรกแม่บอกว่าไฟร้อนไม่ยักเชื่อ เพราะยังไม่มีวิปัสสนา  ทีเมื่อไปจับเข้าเองก็มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้ง  นี้เรียกว่า วิปัสสนาได้
          ในกรณีพุทธศาสนานั้นเราหมายถึง เห็นแจ่มแจ้งในตัวทุกข์ที่ไม่ใช่ในแง่ทางวัตถุ  แต่เป็นทุกข์เพราะกิเลส  ความโลภ ความโกรธ ความหลง และเป็นทุกข์อยู่อย่างลึกซึ้งในความหมายที่คนธรรมดาเข้าใจไม่ได้  เช่นว่า  สุขก็คือทุกข์  สุขเวทนาก็คือทุกข์  ทุกข์อย่างนี้เข้าใจไม่ได้  ก็ต้องใช้วิปัสสนาที่สูงๆ  การที่หัวเราะนี่ก็เป็นทุกข์  ร้องไห้ก็เป็นทุกข์  แต่คนละแบบ ให้ไปคิดดู  ถ้าใครเห็นว่าการหัวเราะก็เป็นทุกข์นั่นแหละจะเริ่มขึ้นสู่ขั้นวิปัสสนาในพระพุทธศาสนา  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นทุกข์  สุขเวทนาก้เป็นทุกข์  ทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์  คนดีก็เป็นทุกข์ตามแบบคนดี  คนชั่วก็เป็นทุกข์ตามแบบคนชั่ว  คนรวยทุกข์ตามแบบคนรวย  คนจนทุกข์ตามแบบคนจน  คนมีบุญทุกข์ตามแบบคนมีบุญ  คนมีบาปก็ทุกข์ตามแบบคนมีบาป  เมื่อเห็นว่ามันเป็นทุกข์แท้จริงอย่างไรและระงับดับให้ได้  จึงจะเป็นวิปัสสนาในพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์  ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า  วิปัสสนา นั้นคือ ระเบียบ การกระทำ ซึ่งเป็นกรรมวิธีทางใจอันหนึ่งที่จะทำให้เราเห็นแจ่มแจ้งจนความรู้จี่มแจ้งนั้นมันทำลายกิเลสตัรหาให้หมดไป  ไม่เป็นบ่อเกิดของความทุกข์  นี้เราเรียกว่า “วิปัสสนา”  แต่ไม่ใช่หมายว่าไปนั่งภาวนาอะไรพึมๆพำๆ หรือว่าทำอะไรตัวแข็งทื่อในทำนองนั้น  มันต้องเป็นเรื่องเห็นด้วยสติปัญญาหรือญาณอย่างแจ่มแจ้ง  จนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในใจ  ในสันดาน  หรือในอุปนิสัยอย่างใหญ่หลวง  จนสิ่งที่เราเรียกว่ากิเลสนั้นตั้งขึ้นไม่ติด;  เป็นจิตใจหรือเป็นสันดานที่บริสุทธิ์สะอาดขึ้นมา  เพราะการชำระล้างของวิปัสสนาที่ทำให้ใจสะอาด  อย่างนี้จึงจะเรียกว่า วิปัสสนาของพระพุทธเจ้า  คือเห็นแจ่มแจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ สุญญตา ในสิ่งทั้งปวง  แล้วจิตเปลี่ยนแปลงเป็นไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็เรียกว่า “วิราคะ” คลายกำหนัด  แล้วจิตหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ;  สิ่งต่างๆก็ไม่มาทำให้จิตนั้นเป็นทุกข์ได้  นี่เป็นผลของวิปัสสนา  ขอให้เข้าใจว่ามันเป็นตัวการปฏิบัติ  ซึ่งเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนาส่วนสำคัญทีเดียว  แต่ความหมายของมันนั้น เอามาใช้ได้ในที่ทั่วไปว่า “เห็นอย่างแจ่มแจ้ง” ก็แล้วกัน

          ปัญหาข้อที่ 12          ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักเรียนแพทย์  ได้มีโอกาสเข้าไปในโบสถ์ของวัดแห่งหนึ่ง  ซึ่งกำลังทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณของพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น  ในขณะหนึ่งซึ่งทุกๆคนก็บอกว่าได้เห็นรูปร่างของพระพุทธเจ้ามาปรากฏอยู่แล้ว  ส่วนมากก็เป็นคนเฒ่าชรา  แต่เพื่อนของผมคนนั้นบอกว่า “ผมไม่ยักเห็น” พอดีมีคนที่อยู่แถวๆนั้นบอกว่า  “คุณไม่มีบุญจึงมองไม่เห็น”  ใคร่เรียนถามว่า เราสามารถจะอัญเชิญดวงวิญญาณของพระพุทธเจ้าได้จริงหรือไม่?
          ตอบ              ปัญหาอย่างนี้จัดไว้ในปัญหาที่ไม่จำเป็น  ไปถามพระพุทธเจ้าท่านก็ตอบว่าอย่างนี้  คือไม่เป็นเงื่อนต้นของพรหมจรรย์อย่างว่ามาแล้ว  และเราไม่ควรจะไปวิจารณ์มาก  เพราะมันจะไปกระทบกระเทือนขึ้น และเป็นเพราะว่าคนที่เชื่อมั่นในหลักการหรืออะไรของการกระทำนั้น  แล้วเขาสร้าง imagination ได้ง่าย  เขาอาจจะเห็นอะไรมากกว่าพระพุทธเจ้าก็ได้  ทีนี้เพื่อนของคุณไม่มีความเชื่อเลย  ไม่มีพื้นฐานสำหรับสร้าง imagination  เพราะฉะนั้นให้เขาไปทำเสียใหม่ซิ

          ประธานกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี ได้กล่าวในตอนท้ายว่า  กระผมในนามของกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี รู้สึกซาบซึ้งในคติธรรมครั้งสุดท้ายที่พระคุณเจ้าได้แสดงแก่สมาชิก  ก่อนที่ท่านจะกลับไปไชยาจากการแสดงธรรมปแฐกถาครั้งนี้  ทุกท่านย่อมทราบแล้วว่า  พระพุทธศาสนานี้จำเป็นหรือยังที่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะได้มีการศึกษากันอย่างจริงจัง  จากความเห็นนี้กระผมได้เสนอให้แก่มหาวิทยาลัย 2 ข้อ คือ
          (1)     จุฬาลงกรณ์สมควรแล้วที่จะมีห้องพุทธศาสตร์และประเพณี  เพื่อจะให้นิสิตไปค้นคว้าหาความรู้ทางพุทธศาสนาและประเพณี  ซึ่งปรากฏว่าท่านเลขาฯได้อนุมัติตั้งห้องสมุดกลาง 1 ห้อง
          (2) ให้ทุกคณะได้ศึกษาวิชาพุทธปรัชญา  คือหลักสูตรพุทธศาสนาควรจะเป็นหลักสูตรของทุกคณะ  ซึ่งข้อนี้ทางมหาวิทยาลัยก็ยินดีรับไว้ในปีต่อไป  ทุกคณะอาจจะมีวิชาพุทธศาสนาเข้าสอนด้วย  ฉะนั้นในฐานะที่กระผมจะพ้นตำแหน่งประธานกลุ่มกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี  หรือที่เรียกทั่วๆไปว่า “มหา” ในฐานะซึ่งท่านก็เป็นเจ้าของกลุ่มที่จะต้องรับงานด้านนี้ต่อไป  ก็ขอให้ช่วยกันรักษางานด้านนี้ให้ดีสืบไป  เป็นของคู่จุฬาฯ  ถึงแม้ว่าจะเป็นกิจกรรมก็ให้เป็นแบบอย่างหรือเป็นมาตรฐานของมหาวิทืยาลัยอื่น  ซึ่งจะดำเนินงานตามแบบของเราต่อไป  เพราะว่าขณะนี้ก็ได้มีมหาวิทยาลัยอื่นๆกำลังเพ่งดูการทำงานของเราซึ่งรุดหน้าไปไกลมาก  และเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้กลุ่มศึกษาพุทธศาสนาและประเพณีก็อาจจะมีทุกกรมกอง  หรือทุกมหาวิทยาลัยก็ได้  ถ้าหากว่าเราทำงานกันเข้มแข็งสืบต่อไป  ขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจในกิจการ  ในโอกาสนี้ผมขอขอบคุณต่อคณะครุศาสตร์ ที่ได้อนุมัติให้ใช้ห้องประชุมเป็นสถานที่จัดงานของกลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์  และผมขอขอบคุณต่อ คุณณรงค์ เทียนส่ง ผู้แทนคณะครุศาสตร์ ซึ่งได้ช่วยจัดให้มีการแสดงธรรมปาฐกถาครั้งนี้เรียบร้อยเป็นอย่างดี ขอขอบคุณทุกท่าน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น