หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ประเด็นปัญหาที่ควรคำนึงถึงในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน



ประเด็นปัญหาที่ควรคำนึงถึงในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน

1. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กับ การผังเมือง
          - พรบ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กับ พรบ.การผังเมือง จัดทำขึ้นโดยเจตนารมณ์เดียวกัน. ประเทศพัฒนาอื่นๆนั้นจะใช้ “การผังเมือง”ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของพื้นที่, แต่ประเทศไทยได้กำหนดแยกการทำงานออกเป็น 2 พื้นที่. โดยทั้ง 2 พรบ.กำหนดรูปแบบการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน.

2. จุดมุ่งหมายของการ”วางผัง” ทั้ง 2 พรบ. คือ?
          - หลักใหญ่สำคัญที่สุดคือ การวางแผนการใช้ที่ดิน(land-use planning). กำหนด/ควบคุม/กำกับ/พัฒนา – การใช้สอยที่ดิน ทุกตารางนิ้วของประเทศ.

3. กระบวนการวางผัง คืออะไร?
          - การตั้งเจตนาที่จะมุ่งไปสู่จุดหมาย/เป้าหมายใด – ตามวัตถุ   - การตั้งเจตนาที่จะมุ่งไปสู่จุดหมาย/เป้าหมายใด – ตามวัตถุประสงค์ใดๆ, ต้องมีการวางแผน(planning). คือการกำหนดวิธีการและระยะเวลาของการทำงาน – ล่วงหน้า.  ทุกๆการวางแผน-ก็จะทำให้เกิด 1) แผนการ 2) ยุทธศาสตร์ 3) แผนที่เส้นทาง-แนวทาง(road-map) และ 4) ผัง(plan) ที่เป็น “รูปธรรม”.

4. การวางผังการใช้ที่ดิน (land-use planning) เป็นส่วนหนึ่งของ การวางแผนพัฒนาพื้นที่
          - การวางแผนพัฒนาพื้นที่ใดๆนั้นประกอบด้วย 2 หลักใหญ่ คือ 1) การวางแผนพัฒนาด้าน “เศรษฐิกิจ-สังคม (socio-economic planning)” และ “การวางแผนด้านกายภาพ (physical planning)”
          - การวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นส่วนหนึ่งของ “การวางแผนด้านกายภาพ”

5. ตัวอย่างกระบวนการวางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน -ที่รวบรัดและสามารถดำเนินการได้รวดเร็วเบ็ดเสร็จ – ถึงแม้จะยังไม่ครบถ้วนของกระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม?
          - ยกตัวอย่าง การจัดที่ดินของรัฐบาล คสช. ที่จ.อุทัยธานี ก็ได้. สรุปขบวนการคือ
          1) วางแผนพัฒนา(หลังจากสำรวจข้อมูลพื้นฐานแล้ว)แยกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
                   - แผนเกษตรกรรม กำหนดทิศทางแนวทางการทำการเกษตร และรูปแบบ ตามศักยภาพของที่ดินและการพานิชย์ (เศรษฐกิจ-สังคม)
                   - แผนพัฒนาพื้นที่ (กายภาพ) กำหนดแยกประเภทการใช้ที่ดิน(ผังการใช้ที่ดิน-ZONING เช่น ที่อยู่อาศัย/ที่ดินทำการเกษตร/ตลาด-ศูนย์ชุมชน/แหล่งน้ำรวม) /กำหนดโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค(infrastructure & utilities)
          2) การดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการ ได้แก่ การแก้ไข/ยกร่าง กฎหมาย-ระเบียบ-ข้อบังคับ, การกระจายสิทธิ์, การคัดเลือกเกษตรกร ฯลฯ

6. นโยบายของรัฐ –ในการดำเนินการตามแผนพัฒนาพื้นที่
          - “รัฐ”ต้องกำหนดนโยบายในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่ให้ชัดเจน 3 ระดับ ได้แก่
                   - ความจำเป็นขั้นพื้นฐาน (need) “รัฐ”ต้องสงเคราะห์(subsidy)ให้พอเพียงต่อการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น น้ำอุปโภคบริโภค/แหล่งน้ำทำการเกษตรเบื้องต้น-สระน้ำขนาดเล็กประจำไร่นา/ถนน-ทางสัญจร ฯลฯ /ระบบสหกรณ์การเกษตร. ทุกอย่าง”รัฐ”จะต้องเป็นผู้จัดหาจัดทำให้”ฟรี”
                   - ความต้องการของเกษตรกร(want) “รัฐ”ต้องส่งเสริมให้ดำเนินการ เช่น การปรับปรุงพื้นที่/ระบบชลประทาน/แหล่งน้ำรวมขนาดใหญ่ในการเกษตรเชิงเดี่ยว/ วิสาหกิจชุมชน/การพัฒนาองค์ความรู้ /เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย ฯลฯ
                   - ความปรารถนาและลงทุนการเกษตร (desire) เมื่อเกษตรได้พัฒนาจนถึงระดับพ้นจาก 2 ระดับแรก มี”ทุน”เพียงพอที่จะดำเนินการข้ามพื้นที่เชิงพานิชย์ “รัฐ”ทำหน้าที่ สนับสนุน/ควบคุม-กำกับ/ดูแล เช่น ตลาดกลางสินค้า/เครือข่ายประชารัฐ/ลด/ยกเว้นภาษี/เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ฯลฯ

7. การพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น – อยู่ในระดับขั้นพื้นฐานเท่านั้น (need – subsidy) ในระดับสู่งขึ้นไปเป็นบทบาทหน้าที่ของหน่วยราชการ/องค์กรอื่น

8. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่จัดที่ดิน และพัฒนาพื้นที่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น
          - การจะ”ปฏิรูป”อะไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ เป้าหมายรวมของทั้งหมดและลำดับขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อไปสู่จุดหมาย
          - การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม – ต้องมุ่งไปที่การ “คุ้มครองที่ดินการเกษตร/การพัฒนาที่ดินการเกษตร – และการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกร(ทั้ง 3 ระดับ-ตามข้อ 6.)
          - อย่างแรกสุดเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ คือ 1) ต้องประกาศเขตพื้นที่การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมครอบคลุม ระดับจังหวัด – โดยกันเขต”ผังเมืองรวม”/ป่าไม้/เหมืองแร่/เขตเฉพาะ-จำเพาะตามนโยบายของรัฐ.  คำว่า”พื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการเกษตร” – ไม่มีในหลักวิชาการใดๆทั้งสิ้น.  ทุกลักษณะพื้นที่ – ทำการเกษตรได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งในทะเล 2) เมื่อจำแนกพื้นที่zoning ตามกฎหมายอื่นออกไปแล้ว ต้องทำการสำรวจสิทธิการครอบครองที่ดิน/รัฐ-เอกชน และศึกษาศักยภาพรวมของพื้นที่ทั้งหมดทางด้าน เศรษฐกิจ-สังคมและกายภาพ 3) ใช้อำนาจในการดำเนินการในพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ร่วมกับท้องถิ่นในการกำหนดทิศทางการใช้สอยที่ดิน(land-use planning) – คล้ายกับการจัดทำผังเมืองรวมของ “การผังเมือง” – อาจจะต้องดำเนินการร่วมกัน/ปฏิสัมพัทธืกัน 4) ใช้อำนาจตามกฎหมายในการ –คุ้มครองที่ดินเกษตรกรรม(ห้ามสร้างโรงงานที่อาจทำลายหรือมีผลกระทบ-แม้ในที่ดินเอกชน เป็นต้น)/เวนคืนที่ดิน/จัดซื้อที่ดิน/ส่งเสริมการใช้ที่ดินการเกษตรให้เหมาะสม.....ฯลฯ
9. “พอเพียง” ไม่ใช่ “พอดี”
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านตรัสใช้คำว่า “พอเพียง”นั้น, เป็นทางสายกลางอันประเสริฐตาม”หลักธรรมของพระพุทธศาสนา”เป็นอย่างยิ่ง.  ไม่ต้องไปถกเถียง/ไปสร้างหลักเกณฑ์มากมายในการมาตัดสินพิจารณา เหมือนกับคำว่า “ดี” เพราะเมื่อใช้คำว่า “พอดี”แล้ว ก็ย่อมมี การ “ดี-เลว” คู่กันไปให้ถกเถียงยุ่งยากในหลักวิชาการมากมาย.  “พอเพียง”จึงเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาใช้ในการ”วางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน” เป็นอย่างยิ่ง.  เพราะขั้นแรกของการที่ต้องมี”การปฏิรูปที่ดิน”ด้านการเกษตรนั้น – ก็เพราะ ยากจน/ไม่มีจะเพียงพอ.  ดังนั้น ผู้ยากไร้/ขัดสน/ยากจนนั้น ไม่สามารถที่จะมาเรียกร้องสิ่งใดจาก”ผู้อื่น” หรือ “รัฐ” เกินกว่าความ”พอเพียง” นั้นได้.
          ปัญหาปัจจุบันของ”การปฏิรูปที่ดิน” จะเพื่อเกษตรกรรม หรืออย่างอื่นใดก็ตาม, มีความสลับซับซ้อนมากกว่าตอนเริ่มต้นในอดีตและสร้างความสับสนในการทำงานภาครัฐเป็นอย่างมาก. เพราะการหันผิดทิศทาง”การปฏิรูปที่ดิน”ไปไกล. จำเป็นต้องทำการ reform และ re-engineering ทั้งระบอบทั้งกระบวนการโดยเร็ว. 
กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ดำเนินงาน/ จง”อย่าใชกฎหมายมากำหนดการดำเนินงาน”. หากสงสัย/สับสนในการดำเนินงาน ก็จงหวนกลับไปศึกษา/ดู/ทำความเข้าใจ ในสิ่งที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯณรัชกาลที่ 9 ได้ทรงตรัส/ดำริ/ดำเนินการ ไว้เป็นแบบอย่างการแก้ไขปัญหาทั้งสิ้นนั้นเถิด
เป้าหมาย/จุดประสงค์ที่จะบรรลุ”การปฏิรูปที่ดิน-เพื่อเกษตรกรรม” – ผลสัมฤทธิบั้นปลาย, นั่นคือ สหกรณ์การเกษตร หุบกะพงฯ . model ที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพิสูจน์ให้”เห็น”เป็น “รูปธรรม” ครบถ้วยทุกกระบวนการแล้ว.  รีบไปศึกษากันเสียก่อนที่จะมา re-engineering หรือ reform อะไรกัน. เน๊าะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น