ประเด็นปัญหาที่ควรคำนึงถึงในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน
1. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กับ
การผังเมือง
-
พรบ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กับ พรบ.การผังเมือง
จัดทำขึ้นโดยเจตนารมณ์เดียวกัน. ประเทศพัฒนาอื่นๆนั้นจะใช้ “การผังเมือง”ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของพื้นที่,
แต่ประเทศไทยได้กำหนดแยกการทำงานออกเป็น 2 พื้นที่. โดยทั้ง 2 พรบ.กำหนดรูปแบบการดำเนินการในลักษณะเดียวกัน.
2. จุดมุ่งหมายของการ”วางผัง” ทั้ง 2
พรบ. คือ?
-
หลักใหญ่สำคัญที่สุดคือ การวางแผนการใช้ที่ดิน(land-use planning). กำหนด/ควบคุม/กำกับ/พัฒนา – การใช้สอยที่ดิน
ทุกตารางนิ้วของประเทศ.
3. กระบวนการวางผัง คืออะไร?
-
การตั้งเจตนาที่จะมุ่งไปสู่จุดหมาย/เป้าหมายใด – ตามวัตถุ - การตั้งเจตนาที่จะมุ่งไปสู่จุดหมาย/เป้าหมายใด – ตามวัตถุประสงค์ใดๆ,
ต้องมีการวางแผน(planning).
คือการกำหนดวิธีการและระยะเวลาของการทำงาน – ล่วงหน้า. ทุกๆการวางแผน-ก็จะทำให้เกิด 1) แผนการ 2)
ยุทธศาสตร์ 3) แผนที่เส้นทาง-แนวทาง(road-map) และ 4) ผัง(plan) ที่เป็น “รูปธรรม”.
4. การวางผังการใช้ที่ดิน (land-use
planning) เป็นส่วนหนึ่งของ การวางแผนพัฒนาพื้นที่
-
การวางแผนพัฒนาพื้นที่ใดๆนั้นประกอบด้วย 2 หลักใหญ่ คือ 1) การวางแผนพัฒนาด้าน “เศรษฐิกิจ-สังคม
(socio-economic
planning)” และ “การวางแผนด้านกายภาพ (physical planning)”
-
การวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ก็เป็นส่วนหนึ่งของ “การวางแผนด้านกายภาพ”
5. ตัวอย่างกระบวนการวางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน
-ที่รวบรัดและสามารถดำเนินการได้รวดเร็วเบ็ดเสร็จ – ถึงแม้จะยังไม่ครบถ้วนของกระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม?
-
ยกตัวอย่าง การจัดที่ดินของรัฐบาล คสช. ที่จ.อุทัยธานี ก็ได้. สรุปขบวนการคือ
1)
วางแผนพัฒนา(หลังจากสำรวจข้อมูลพื้นฐานแล้ว)แยกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
-
แผนเกษตรกรรม กำหนดทิศทางแนวทางการทำการเกษตร และรูปแบบ
ตามศักยภาพของที่ดินและการพานิชย์ (เศรษฐกิจ-สังคม)
-
แผนพัฒนาพื้นที่ (กายภาพ) กำหนดแยกประเภทการใช้ที่ดิน(ผังการใช้ที่ดิน-ZONING เช่น ที่อยู่อาศัย/ที่ดินทำการเกษตร/ตลาด-ศูนย์ชุมชน/แหล่งน้ำรวม)
/กำหนดโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค(infrastructure & utilities)
2)
การดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนการ ได้แก่ การแก้ไข/ยกร่าง กฎหมาย-ระเบียบ-ข้อบังคับ,
การกระจายสิทธิ์, การคัดเลือกเกษตรกร ฯลฯ
6. นโยบายของรัฐ –ในการดำเนินการตามแผนพัฒนาพื้นที่
-
“รัฐ”ต้องกำหนดนโยบายในการดำเนินการพัฒนาพื้นที่ให้ชัดเจน 3 ระดับ ได้แก่
-
ความจำเป็นขั้นพื้นฐาน (need) “รัฐ”ต้องสงเคราะห์(subsidy)ให้พอเพียงต่อการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น
น้ำอุปโภคบริโภค/แหล่งน้ำทำการเกษตรเบื้องต้น-สระน้ำขนาดเล็กประจำไร่นา/ถนน-ทางสัญจร
ฯลฯ /ระบบสหกรณ์การเกษตร. ทุกอย่าง”รัฐ”จะต้องเป็นผู้จัดหาจัดทำให้”ฟรี”
-
ความต้องการของเกษตรกร(want) “รัฐ”ต้องส่งเสริมให้ดำเนินการ
เช่น การปรับปรุงพื้นที่/ระบบชลประทาน/แหล่งน้ำรวมขนาดใหญ่ในการเกษตรเชิงเดี่ยว/ วิสาหกิจชุมชน/การพัฒนาองค์ความรู้
/เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย ฯลฯ
-
ความปรารถนาและลงทุนการเกษตร (desire)
เมื่อเกษตรได้พัฒนาจนถึงระดับพ้นจาก 2 ระดับแรก มี”ทุน”เพียงพอที่จะดำเนินการข้ามพื้นที่เชิงพานิชย์
“รัฐ”ทำหน้าที่ สนับสนุน/ควบคุม-กำกับ/ดูแล เช่น
ตลาดกลางสินค้า/เครือข่ายประชารัฐ/ลด/ยกเว้นภาษี/เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ฯลฯ
7.
การพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น – อยู่ในระดับขั้นพื้นฐานเท่านั้น
(need
– subsidy) ในระดับสู่งขึ้นไปเป็นบทบาทหน้าที่ของหน่วยราชการ/องค์กรอื่น
8. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่จัดที่ดิน และพัฒนาพื้นที่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น
-
การจะ”ปฏิรูป”อะไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ
เป้าหมายรวมของทั้งหมดและลำดับขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อไปสู่จุดหมาย
-
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม – ต้องมุ่งไปที่การ “คุ้มครองที่ดินการเกษตร/การพัฒนาที่ดินการเกษตร
– และการจัดสรรที่ดินให้เกษตรกร(ทั้ง 3 ระดับ-ตามข้อ 6.)
-
อย่างแรกสุดเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ คือ 1)
ต้องประกาศเขตพื้นที่การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมครอบคลุม ระดับจังหวัด – โดยกันเขต”ผังเมืองรวม”/ป่าไม้/เหมืองแร่/เขตเฉพาะ-จำเพาะตามนโยบายของรัฐ. คำว่า”พื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการเกษตร” – ไม่มีในหลักวิชาการใดๆทั้งสิ้น. ทุกลักษณะพื้นที่ – ทำการเกษตรได้ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งในทะเล 2) เมื่อจำแนกพื้นที่zoning ตามกฎหมายอื่นออกไปแล้ว ต้องทำการสำรวจสิทธิการครอบครองที่ดิน/รัฐ-เอกชน
และศึกษาศักยภาพรวมของพื้นที่ทั้งหมดทางด้าน เศรษฐกิจ-สังคมและกายภาพ 3)
ใช้อำนาจในการดำเนินการในพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน
ร่วมกับท้องถิ่นในการกำหนดทิศทางการใช้สอยที่ดิน(land-use planning) – คล้ายกับการจัดทำผังเมืองรวมของ “การผังเมือง” – อาจจะต้องดำเนินการร่วมกัน/ปฏิสัมพัทธืกัน
4) ใช้อำนาจตามกฎหมายในการ –คุ้มครองที่ดินเกษตรกรรม(ห้ามสร้างโรงงานที่อาจทำลายหรือมีผลกระทบ-แม้ในที่ดินเอกชน
เป็นต้น)/เวนคืนที่ดิน/จัดซื้อที่ดิน/ส่งเสริมการใช้ที่ดินการเกษตรให้เหมาะสม.....ฯลฯ
9. “พอเพียง” ไม่ใช่ “พอดี”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่
9 พระองค์ท่านตรัสใช้คำว่า “พอเพียง”นั้น, เป็นทางสายกลางอันประเสริฐตาม”หลักธรรมของพระพุทธศาสนา”เป็นอย่างยิ่ง.
ไม่ต้องไปถกเถียง/ไปสร้างหลักเกณฑ์มากมายในการมาตัดสินพิจารณา
เหมือนกับคำว่า “ดี” เพราะเมื่อใช้คำว่า “พอดี”แล้ว ก็ย่อมมี การ “ดี-เลว”
คู่กันไปให้ถกเถียงยุ่งยากในหลักวิชาการมากมาย.
“พอเพียง”จึงเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาใช้ในการ”วางแผนพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน”
เป็นอย่างยิ่ง.
เพราะขั้นแรกของการที่ต้องมี”การปฏิรูปที่ดิน”ด้านการเกษตรนั้น – ก็เพราะ
ยากจน/ไม่มีจะเพียงพอ. ดังนั้น ผู้ยากไร้/ขัดสน/ยากจนนั้น
ไม่สามารถที่จะมาเรียกร้องสิ่งใดจาก”ผู้อื่น” หรือ “รัฐ” เกินกว่าความ”พอเพียง”
นั้นได้.
ปัญหาปัจจุบันของ”การปฏิรูปที่ดิน”
จะเพื่อเกษตรกรรม หรืออย่างอื่นใดก็ตาม, มีความสลับซับซ้อนมากกว่าตอนเริ่มต้นในอดีตและสร้างความสับสนในการทำงานภาครัฐเป็นอย่างมาก.
เพราะการหันผิดทิศทาง”การปฏิรูปที่ดิน”ไปไกล. จำเป็นต้องทำการ reform
และ re-engineering
ทั้งระบอบทั้งกระบวนการโดยเร็ว.
กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือที่จะใช้ดำเนินงาน/
จง”อย่าใชกฎหมายมากำหนดการดำเนินงาน”. หากสงสัย/สับสนในการดำเนินงาน
ก็จงหวนกลับไปศึกษา/ดู/ทำความเข้าใจ ในสิ่งที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯณรัชกาลที่
9 ได้ทรงตรัส/ดำริ/ดำเนินการ ไว้เป็นแบบอย่างการแก้ไขปัญหาทั้งสิ้นนั้นเถิด
เป้าหมาย/จุดประสงค์ที่จะบรรลุ”การปฏิรูปที่ดิน-เพื่อเกษตรกรรม”
– ผลสัมฤทธิบั้นปลาย, นั่นคือ สหกรณ์การเกษตร หุบกะพงฯ . model ที่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพิสูจน์ให้”เห็น”เป็น “รูปธรรม”
ครบถ้วยทุกกระบวนการแล้ว. รีบไปศึกษากันเสียก่อนที่จะมา
re-engineering หรือ reform อะไรกัน.
เน๊าะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น