ตามปกติที่มานี่ก็
จะคุยกันเป็นเกร็ดความรู้ พอดีวันนี้เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนา
แล้วก้เป็นวันสำคัญที่เราถือว่าเป็นวันสำคัญหลัก คือ วันวิสาขบูชา และก็มีการเทศน์การแสดงธรรมไปแล้วในพิธีเวียนเทียน
นี้อาตมาพูดก็เลยเป็นรายการแถม ก็ถือว่าเป็นเรื่องมาประกอบเสริม
เสริมความรู้ความเข้าใจ เสริมคำอนุโมธนา ที่ญาติโยมได้ มีศรัทธามาทำบุญทำกุศล
สำหรับวันนี้ก็ถือว่า มาทำพุทธบูชา ในวันที่ระลึก การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ของพระพุทธเจ้า เมื่อกี้บอกว่าวันวิสาขบูชานี้ เป็นวันสำคัญหลัก
แต่โบราณเนี่ยะเรามี วันวิสาขบูชาวันเดียว ก็คงทราบกันดีเรื่องประวัติ
ทบทวนกันนิดนึง อีก 2 วันคือ วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา เพิ่งมีไม่นานนี้เอง
วันมาฆบูชานั้น ในหลวงรัชกาลที่ 4 ทรงริเริ่มขึ้น ก็มีในรัชกาลที่ 4
สมัยก่อนนั้นก็ไม่มี คือแต่ตัววันน่ะมี แต่ว่าไม่ได้ยกขึ้นมา
ประกอบการบูชาหรือทำบุญทำกุศลเป็นพิเศษ และส่วนวันอาสาฬหบูชา
ซึ่งเป็นวันประกาศพระธรรมจักร หรือวันเรียกว่า ประดิษฐานพระพุทธศาสนาก็ได้
ก็เพิ่งจะมีเมื่อ เขาเรียกว่า กึ่งพุทธกาล ในช่วง พ.ศ. 2500 นี้เอง ก็เป็นของใหม่
แต่วันวิสาขบูชานี้มีเรื่อยมา และก็ไม่ใช่มีเฉพาะประเทศไทย ประเทศอื่นก็มี
ประเทศพุทธศาสนาทั้งหลาย แต่ประเทศอื่นนั้น โดยมากไม่มีวันอื่นนั้น วันมาฆบูชา
วันอาสาฬหบูชา ไม่มี เพราะไม่ได้ยกขึ้นมา ก็ถือวันสำคัญอยู่ที่พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ด้วยการที่ เริ่มต้นก็ประสูติ แล้วก็ตรัสรู้
และการปรินิพพานของพระองค์ก็เลยมีความสำคัญอย่างยิ่งด้วย
นี่เราก็มาถึงวันวิสาขบูชานี้
ก็ต้องอนุโมทนาโยมญาติมิตรทั้งหลาย อย่างที่กล่าวข้างต้น ว่ามีศรัทธา
แล้วก็มาทำบุญทำกุศล ทำพิธีบูชา ที่อนุโมทนาสำคัญก็คือว่า
ก็ที่ตัวของญาติโยมพุทธศาสนิกชนนั้นเอง ที่ได้ทำจิตใจให้เป็นบุญเป็นกุศล
ไม่ใช่ทำแต่เพียงภายนอก ทำจิตใจของตนเองที่มีศรัทธา มีฉันทะเป็นต้น
เป็นธรรมเป็นบุญอยู่ในใจแล้ว แล้วก็มีปราโมทย์ความร่าเริงผ่องใสสดชื่นเบิกบาน
มีปีติความเอิบอิ่มใจปลื้มใจเป็นต้น มาก็เลยเป็นบุญกุศลอยู่ในใจแล้ว
มาในวัดก็มาด้วยจิตใจที่ดีเป็นพื้นฐานแล้ว แล้วก็มาทำบุญทำกุศล แม้แต่ยังไม่มาวัด
เริ่มต้นเช้าขึ้นมาก็ หลายท่านก็ตักบาตร ก็มาทำบุญอันแรกที่เรารู้จักกัน ก็คือ ทาน
นั่นเอง จะตักบาตรถวายภัตตาหารยังไงก็อยู่ในข้อ ทาน แล้วก็เมื่อมาวัดเนี่ยะ
จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ก็เป็นการปิดโอกาสไม่ให้เราผิด ศีล หลายอย่าง
ก็เลยได้รักษาศีลด้วย พอเข้ามาในนี้ก็ต้องสำรวมกายวาจา ก็เลยได้การรักษาศีลไปด้วย
ศีลก็มีมา เหมือนกับแทบจะเป็นอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นการมาร่วมทำบุญที่วัดนี้ก็
ได้ประโยชน์อันนี้ ขึ้นมาเองด้วย แล้วก็ข้อต่อไป ก็คือ ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา
ภาวนาก็คือการเจริญจิตเจริญปัญญา เริ่มด้วยจิตใจที่บอกเมื่อกี้
ว่าเกิดความสดชื่นเบิกบาน ความสงบใจน้อมไปในบุญในกุศลในเรื่องที่ดีงาม เนี่ยะ
เป็นเรื่องของภาวนาทั้งนั้น แต่ภาวนาที่ปรากฏออกมาชัด ซึ่งท่านแยกออกไปจาก
ทานศีลภาวนา เป็นบุญกิริยาวัตถุ จาก 3 เป็น 10
อันจะมีข้อสำคัญอันหนึ่งที่โยม ทำในวันนี้ ซึ่งก็ถือว่าสำคัญมาก
เป็นตัวเริ่มของภาวนา คือ ธัมมัสสวนะ จัดเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง ธัมมัสสวนมัย
บุญกิริยาวัตถุเรื่องการทำบุญ ที่ทำด้วยการฟังธรรม การฟังธรรมเนี่ยะ
อยู่ในข้อภาวนา และก็เป็นตัวสำคัญเลย เป็นตัวเริ่มแรก เป็นตัวที่จะให้ การภาวนาเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ได้
เราฟังธรรมเราก็ได้ความรู้ความเข้าใจ แล้วก็นำไปประพฤติปฏิบัติ
การปฏิบัติธรรมก็ต้องเริ่มด้วยฟังธรรม แล้วก็เอาไปใช้เอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
เนี่ยะ เป็นเรื่องของ ภาวนา การพัฒนาชีวิตของตัวเอง
ไม่ใช่เฉพาะว่าจะต้องมานั่งอยู่ในวัด หรือในที่เงียบอะไรหรอก
คือการดำเนินชีวิตของเราตลอดเวลา ก็เป็นการพัฒนาใน ธรรมะทั้งนั้น
ในการที่ไปทำงานหรืออยู่บ้านในครอบครัว ปฏิบัติธรรมเลี้ยงดูลูก
หรือคุณลูกเด็กๆตั้งใจเล่าเรียนศึกษา มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกเร
หรือว่าข้าราชการทำงานด้วยความสุจริต ขยันหมั่นเพียร
ทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ สมความมุ่งหมาย ก็เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้นแหละ
ทั้งหมดนี้ก็ มี ธัมมัสสวนะ การฟังธรรมเนี่ยะเป็นตัวสำคัญ
เป็นปัจจัยอันที่จะช่วยให้เดินหน้าก้าวไปได้.
วันนี้ก็ โยมก็ได้มาทำอันเนี่ยะ
ตอนนี้ก็มาถึงรายการอีกครั้งหนึ่งของการ ธัมมัสสวนะ คือการฟังธรรม ก็จำไว้ว่า
อยู่ในส่วนของ ภาวนา เป็นองค์สำคัญในข้อ ภาวนา
ที่จะทำให้เราเจริญงอกงามใน ธรรม และเมื่องอกงามในธรรมแล้ว ก็ได้อานิสงส์ต่อไปในตนเอง
ก็คืองอกงามในความสุข ในความสุขที่แท้จริง ที่ชอบธรรม อันนี้ก็ขออนุโมทนา
ทีนี้เรื่องจิตใจของโยมที่ได้ตั้งมายังงี้แล้ว
ทีนี้ก็มาเรียนรู้เรื่อง ธรรมะ ที่เกี่ยวกับวันวิสาขบูชา การที่เรารู้ว่า ใจ
สิ่งที่เราทำ เมื่อเราทำอะไร เราควรจะทำด้วยความรู้ความเข้าใจ ให้ชัดเจน
แล้วเราก็จะได้ทำบุญทำกุศลที่ จริงจัง ไม่ใช่ว่ามาวิสาขบูชาแล้วก็ เลือนลางว่าอะไรเป็นอะไร
ไม่รู้ความหมาย
แต่ก่อนจะพูดต่อไปในเรื่องนี้
ก็ขอแทรกนิดหน่อย เวลานี้ก็มีเหตุการณ์ที่เป็นข่าวคราวเรื่องในวงการพระสงฆ์
ซึ่งอาจจะทำให้ญาติโยม ไม่สบายใจ แล้วก็ข้องจิตขัดใจอยู่
ทำให้ขัดขวางแม้แต่การฟังธรรมด้วย แล้วก็เลยมาทำให้สว่างโล่งไปเสียก่อน
คือเรื่องเหตุการณ์ความไม่ดีไม่งาม อะไรที่เกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์เนี่ยะ
ก็เป็นเรื่องที่พุทธศาสนิกชนจะต้อง รู้เข้าใจให้ปฏิบัติต่อมันให้ถูกต้อง
ว่าที่จริงแล้วก็ ถือว่าเป็นปัญหา ปัญหานั้นเป็นเครื่องฝึกใจ
แล้วเป็นเครื่องรับปัญญา เพราะเช่นนั้นถ้าเราใช้ให้เป็น เราก็พลิก
แทนที่จะให้มันทำร้ายเรา เราก็กลับมาใช้ประโยชน์ ปัญหาเนี่ยะ เป็นสิ่งสำคัญน่ะ
มนุษย์เกิดมาต้องเจอปัญหา ปัญหาชีวิตส่วนตัว ปัญหาส่วนรวมบ้าง บางทีถ้าเราปฏิบัติต่อมันไม่ถูก
ก็เสีย เสียตั้งแต่ในจิตใจของเรา และส่วนรวมก็แก้ปัญหาไม่ได้
กลับไปซ้ำเติมปัญหาก็มี เพราะเช่นนั้นจะต้องเริ่มวางตัววางใจต่อ ปัญหา
หรือเรื่องเลวร้ายเหตุการณ์ไม่ดีนี้ให้ถูกต้อง อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่า
ปัญหานั้นเป็นเครื่องฝึกใจ แล้วเป็นเรื่องลับปัญญา อันนี้ก็
เริ่มต้นก็คือว่า เรื่องราวปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างนี้ ใจเราต้องตั้งรับให้ถูก
คือไม่ให้ใจเนี่ยะ ถูกกระทบกระแทกบีบคั้น ขุ่นมัวเศร้าหมอง
หรือว่าเหี่ยวแห้งหดหู่ หรือว่าฟุ้งซ่านวุ่นวายอะไรต่างๆก็แล้วแต่ เรียกว่า รักษาใจเราไว้ให้ได้
รักษาใจก็ ให้อยู่ในความสงบ หนักแน่นมั่นคง นี่ก็อันที่หนึ่งแล้ว
แม้แต่ชีวิตของเราที่ท่านเรียกว่า ถูกโลกธรรมกระทบกระทั่งแล้ว ลาภยศ ลาภเสื่อลาภ ยศเสื่อมยศ นินทาสรรเสริญสุขทุกเนี่ยะ
มันเกิดขึ้นในชีวิตของคนเรา ท่านก็ให้ใช้เป็นเครื่องฝึก
ฝึกเราจนกระทั่งเรามีความสามารถที่จะตั้งรับ ต่อโลกธรรมเหล่านั้นได้ถูกต้อง
แม้แต่ใช้มันให้เป็นประโยชน์ เมื่อใช้มันให้เป็นประโยชน์เราก็ได้ฝึกตัวเอง
อย่างเรื่องของปัญหาในวงการพระสงฆ์อะไรต่ออะไรเนี่ยะ เริ่มต้นก็รักษาใจของเราไว้ก่อน
การรักษาใจสำคัญก็คือ หนึ่ง ทำใจของเราอย่างที่บอกเมื่อกี้
ให้สงบหนักแน่นมั่นคง ไม่ถูกกระทบกระแทก แล้วยกเรื่องให้ปัญญา และปัญหานั้นเป็นเรื่องของปัญญา
ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เอาใจเข้าไปยุ่งกับปัญหา กับความทุกข์ ก็ทำให้ใจเนี่ยะ
วุ่นวาย ก็เลยใจก็พลอยทุกข์ เดือดร้อนไปด้วย ปัญหาเป็นเรื่องของปัญญา ปัญหานั้นต้องจัดการด้วยปัญญา แล้วทำไงใจ
ใจก็ต้องรักษาให้เป็นปกติ ให้ดี ใจอยู่ในสภาพที่ดี ใจอยู่ในสภาพที่ดีก็ จะได้ใช้ใจนั้นเป็นที่ทำงานของปัญญา
ใจต้องอยู่ในสภาพที่ดี ใจนั้นเป็นที่ทำงานของปัญญา ตัวปัญญาเป็นตัวที่จะจัดการปัญหา
แล้วถ้าที่ทำงานของปัญญา คือจิตใจไม่ดี ปัญญาก็เสียโอกาสในการทำงาน เพราะฉะนั้นจึงเป็น
ข้อจำเป็น เป็นหลักการสำคัญที่ว่า เมื่อเกิดปัญหาเกิดเรื่องราวร้าย
ต้องรักษาใจไว้ให้ได้ ใจอยู่ในสภาพที่มั่นคงหนักแน่น สงบ เป็นอย่างดีเลย
แล้วก็ปัญหามายกให้ปัญญา ปัญญาจัดการกับปัญหาทันที เท่านี้ก็ได้เรื่องและ
ก็จะแก้ไขปัญหาได้
อย่างเรื่องในวงการพระสงฆ์ในเวลาเนี่ยะ
ถ้าเรามองด้วยปัญญา ในแง่หนึ่ง อาตมาเคยเขียนหนังสือมาหลายเรื่องหลายครั้งแล้ว เรื่องประเภทเนี่ยะ
เคยเกิดขึ้นมา ไม่ใช่ครั้งเดียวแหละ
หลายท่านที่อายุมากๆก็ได้ผ่านเหตุการณ์พวกนี้มา เลวร้ายก็ทำไง
แง่หนึ่งที่จะมองก็บอกว่า พระสงฆ์นี่ถือว่า จะเรียกว่า
ใช้ภาษาฝรั่งเรียกว่าเป็น clean
ของสังคม ในแง่ของคุณธรรมจริยธรรม เอ้อ
แล้วก็ถ้าสังคมของไทยเราเนี่ยะ แม้แต่ส่วนที่ถือว่าเป็น clean สุดยอดดีเนี่ยะ ยังแย่ขนาดนี้แล้วสังคมไทยส่วนใหญ่จะไปถึงไหนแล้ว
อันนี้กลายเป็นเครื่องเตือนเรานะ
ว่าอย่าได้ประมาท ให้มาตรวจสอบตัวเองดู แล้วตื่นขึ้นมาเสีย
เราอาจจะตกอยู่ในความประมาทมานานแล้ว สังคมไทยนี่ อาจจะฟอนเฟะ หรืออะไรไปอย่างรุนแรงแล้ว
มันจะถึงขนาดนี้ มาถึงส่วนที่เป็นcleanนี่มันแย่ไปด้วย
มันฟ้องแล้ว เพราะเช่นนั้นอย่าได้นอนใจ อย่ามัวแต่ถกเถียงกันว่างั้นว่างี้
โทษคนนั้นโทษคนนี้ มาดูสังคมของตัวเองแล้วรีบ ตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นมา
รีบหาทางแก้ไขกัน นี่แหละ เป็นจุดที่หนึ่ง ที่ว่าจะให้เราตื่นตัวไม่ประมาท
แล้วก็มองว่า คนไทยทุกคน พุทธศาสนิกชนพุทธบริษัทเนี่ยะ เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา
เป็นเจ้าของวัดวาอาราม พระพุทธศาสนาวัดวาอารามไม่ใช่เป็นของพระองค์ไหน แน่นอน เป็นของชาติของแผ่นดินทั้งหมด
เพราะเช่นนั้นเรามีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกคน ที่ต้องแก้ไข แล้วทำไมเราปล่อยยังงี้ล่ะ
ไอ้ที่มีเหตุร้ายยังงี้เกิดขึ้นน่ะ เพราะว่าชาวพุทธคนไทยเนี่ยะ
ปล่อยปละละเลยหรือเปล่า? ตกอยู่ในความประมาท? สำรวจตัวเองให้ดีก็จะเห็นว่า
มันเป็นยังงั้นด้วย อาตมาอยากจะเท้าความแม้แต่ตั้งแต่
เสียกรุง หมายถึงกรุงอยุธยาน่ะ ที่ถูกเผาเนี่ยะ แล้วเรา กู้ชาติกู้แผ่นดินมาเนี่ยะ
จนกระทั่งบัดนี้ เรายังไม่ได้ฟื้นตัวเท่าที่ควรเลยนะ ยังไม่ได้ไปถึงไหน
เพราะฉะนั้น
ตื่นขึ้นมาแล้วก็ รีบสำรวจตัวเอง ลุกขึ้นมา ก้าวหน้าเดินต่อไป
ตั้งตัวตั้งหลักให้ดี มันจึงจะไปได้ แล้วการที่จะดู
แก้ปัญหาด้วยปัญญาเนี่ยะก็คือว่า หนึ่งก็ดูสภาพตัวเองอย่างที่ว่าเนี่ยะ
แล้วสองก็สืบสาวเหตุปัจจัย การแก้ไขปัญหาแม้แต่ดูปัญหามันเกิดมายังไง
ก็เกิดจากเหตุปัจจัย ที่ทำให้เกิดปัญหา
แล้วจะแก้ไขยังไงก็ต้องไปแก้ไขที่เหตุปัจจัยนั้นแหละ แล้วตอนนี้เหตุปัจจัยอะไร
ทางฝ่ายพระ ทางฝ่ายบ้านเมือง ทางฝ่ายประชาชน แล้วมันมีเหตุกันทั้งนั้นแหละ
ทุกฝ่ายทำเหตุ เพราะฉะนั้นไปวิเคราะห์แยกแยะให้ดีเราก็จะเห็น
ถ้าเมื่อเห็นเหตุปัจจัยเราก็เห็นทางแก้ไข เพราะเช่นนั้นอันนี้ก็ฝากไว้ว่า
อย่ามัวไปโศกเศร้าเสียใจ ทำใจไม่สบาย ว้าวุ่นขุ่นหมองใจ จะไปทางเหี่ยวแห้งหดหู่
หรือจะไปทางฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านไม่พอใจวุ่นวายใจอะไรก็ตาม ไม่เอาทั้งนั้น
เอาอยู่ในความสงบหนักแน่น แล้วก็ให้ใจเนี่ยะ เป็นที่ทำงานอย่างดี
เป็นที่ทำงานที่มีคุณภาพ สำหรับให้ปัญญามาทำงานอย่างได้ผล
เพราะฉะนั้นต้องแยกอันนี้ให้ถูก ใจเป็นที่ทำงานของปัญญา เรื่องอย่างนี้มา
ใจไม่ต้องยุ่ง ยกให้ปัญญา ปัญญาจัดการ แล้วก็ใจเราก็ คอยตามดูด้วยความสบายใจว่า
เอ้อ มันก้าวหน้าไป เรารู้ปัญหารู้ปัจจัย เราก็สบายใจขึ้นล่ะ
ใจมีแต่เรื่องที่จะต้องรับให้มันดี เพราะเช่นนั้น ใจขุ่นมัวเศร้าหมอง
ปัญญาก้พลอยทำงานไม่ได้ผลไปด้วย เอาละ อันนี้ฝากไว้ ก็ขอให้โยมทุกท่าน
ใจโล่งโปร่งสบายซะ ไม่ต้องไปขุ่นมัวเศร้าหมองกับเรื่องนี้.
นี้ก็มาพูดถึงเรื่องวิสาขบูชา
วิสาขบูชานั้นวันนี้ก็อยากจะพูดถึงความหมาย ก็เอาตัวเนื้อกันเลย ว่า
วันวิสาขบูชาที่เป็นวันกระทำการบูชาพระพุทธเจ้า โยงไปถึงพระรัตนตรัยทั้งหมด
โดยระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ คือการประสูติ การตัรสรู้ การปรินิพพาน
ของพระพุทธเจ้านั้นน่ะ ก็ควรจะรู้ว่าการประสูติมีความหมายอย่างไร?
การตรัสรู้มีความหมายอย่างไร? การปรินิพพานมีความหมายอย่างไร?
ไม่ใช่เพียงระลึกถึงเท่านั้น แต่เราต้องระลึกถึงด้วยปัญญา ถ้าสติระลึกมาแล้วปัญญาต้องรู้เข้าใจด้วย
ต้องชัดเจน แล้วจะได้ใช้ประโยชน์ได้
แล้วมันจะมาหนุนให้เราเนี่ยะ ได้เจริญก้าวหน้าพัฒนาในธรรมด้วย
การประสูติเนี่ยะ
ให้ดูเหตุการณ์ในพุทธประวัติ พอว่าพระพุทธเจ้าประสูติ ท่านก็เล่าเรื่องไว้ว่า
พระพุทธเจ้าประสูติหรือเรียก ยังไม่เรียกพระพุทธเจ้าประสูติล่ะ
เรียกว่าเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ พอประสูติมาก็
เสด็จตั้งพระองค์ยืนขึ้นนั่นเอง พูดง่ายๆว่ายืนขึ้น ยืนหรือลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมายืน
แล้วก็ตั้งเท้าเสมอกัน แล้วก้าวเดินไป 7 ก้าว ก้าวเดินไป 7 ก้าวก่อนนะ
พอก้าวเดินไป 7 ก้าวแล้วหยุด เหลียวดูรอบทุกทิศ แล้วก็เปล่งอาสภิวาจา แปลกันว่า
วาจาอาจหาญ ว่า อัคโคหมัสมิ โลกัสสะ เชฏโฐหมัสมิ โลกัสสะ เสฏโฐหมัสมิ โลกัสสะ
เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก หรือของโลก เราเป็นเชษฐะ เป็นผู้ใหญ่ ที่เรียกว่ายิ่งใหญ่ที่สุด
นั่นแหละ เป็นหัวหน้า หัวหน้ามวลชนเค้าเรียกว่า “เชษฐะ” ของโลก แล้วก็ เป็นผู้ประเสริฐของโลก
วาทะ วาจานี้ ปกติเป็นคำ...(ทำเนียบ?)สำหรับใช้กับพระพรหมผู้สร้างโลก
เนี่ยะที่เป็นเชษฐะอัคคะเสฏฐะอะไรทำนองเนี่ยะ เดิมก็ใช้สำหรับพระพรหม
ตอนนี้พระพุทธเจ้าเจ้าชายสิทธัตถะเอามาประกาศ ว่าเรานี่แหละ
เป็นอัคคะเป็นเชษฐะเป็นเสฏฐะ แล้วให้ดูว่า ไม่ใช่ว่าประสูติก็ตรัสเลย ตอนนั้นเป็นมนุษย์
แล้วก็ เสด็จลุกขึ้น นี่ๆให้สังเกตไว้ แล้วก็ก้าวไป ก้าวไปเสร็จ 7 ก้าว
แล้วจึงเปล่งอาสภิวาจา อันนี้คือสัญลักษณ์แสดงอะไร พระพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์
แปลว่าก้าวไป 7 ก้าวนั่นคือเครื่องหมายของการ ที่ว่า ได้ก้าวไปสู่ความเป็นพุทธะ
นี่เป็นเครื่องหมายว่า ที่ประกาศพระองค์เปล่งอาสภิวาจานั้น
ก็คือประกาศสถานะของพระพุทธเจ้านั่นเอง ว่าเป็น อัคคะ เป็นผู้เลิศ เป็นผู้เชษฐะ
เป็นหัวหน้าก็ได้ แล้วก็เป็นผู้ประเสริฐของโลก
เรื่องเป็นยังไง
ความหมายของการประสูติ การประสูตินี้
ขอให้เราดูภูมิหลังของประเทศอินเดียหรือชมภูทวีป เค้านับถือพระพรหม
ผู้สร้างผู้เป็นใหญ่ ว่าสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตมนุษย์ แล้วก็จัดแจงสังคมมนุษย์
ให้แบ่งเป็น 4 วรรณะ มีวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร อะไรต่ออะไรเกิดมาเป็นยังไงก็ต้องเป็นไปตามที่พระพรหมสร้างมา
จะแก้ไขไม่ได้ แล้วก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด
ใครเกิดในวรรณะไหนก็ต้องอยู่ในวรรณะนั้น แล้วก็ต้องเชื่อฟังพระองค์
พระองค์จัดสรรมาเสร็จ ทีนี้ พวกนี้ก็ต้อง รอการบันดาล รอการโปรดปรานของเทพเจ้า
ก็มีวิธีบูชายัญ เซ่นสรวงบูชาที่ใหญ่ที่สุด คือเป็น”ชีวิต” ตลอดตั้งแต่ทุกวัน
วิธีบูชายัญมีตั้งแต่ประจำวัน ไปจนกระทั่งพิธีบูชายัญใหญ่ๆ
ที่ว่าอัศวเมศเป็นต้น มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ประกอบพิธีบูชายัญ
นี้การบูชายัญก็คือการซื้อศูนย์อ้อนวอนเทพเจ้า
มีพระหมเป็นต้นเนี่ยะ ให้มาใช้อำนาจดลบันดาลสิ่งที่ตนปรารถนาให้ ลาภยศสุขสรรเสริญอะไรต่างๆเนี่ยะ
อันนี้ก็การอาศัยพึ่งพารอคอยอำนาจดลบันดาลยังงี้ มันก็ทำให้คนเนี่ยะ นอนรอ
นอนรอผลจากการดลบันดาล นอนรอความหวังไป เนี่ยะ แล้วก็ไม่รู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง
อยู่ในวรรณะอะไรก็อยู่ไปยังงั้น เป็นแก้ไขไม่ได้ พระพุทธเจ้าประสูติขึ้นมา
การที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้นได้เป็นมนุษย์ แล้วก้าวไปเป็นพุทธะ
เป็นการประกาศศักยภาพของมนุษย์ ใช้ภาษาปัจจุบัน ว่า มนุษย์นี่แหละมีความสามารถ
ที่จะพัฒนาตนเอง ให้เป็นบุคคลผู้ประเสริฐสุขได้ แต่ต้องทำ
ลุกขึ้นมาสิ...หนึ่งก็ลุกขึ้นมา สองก้าวไป ก้าวไปทำด้วยตนเอง ก้าวไป 7
ก้าวนี่หมายความว่า เป็นพระพุทธเจ้า อันนี้ การประสูติก็เป็นตัวเนี๊ยะ เป็นตัวประกาศ
ความมี... จะเรียกว่า ศักยภาพของมนุษย์ ใช้ภาษาสมัยใหม่
ว่าสามารถที่จะพัฒนาฝึกตนให้เป็นผู้ประเสริฐได้อย่างสูงสุด ไม่ต้องรอการดลบันดาลของเทพเจ้า
ไม่ต้องรอการอ้อนวอน
ทีนี้
ที่เสด็จก้าวไป 7 ก้าวเนี่ยะ คืออะไร? อันนี้คัมภีร์ไม่อธิบายไว้
แต่ขอพูดยังงี้ก็แล้วกัน มีพระสูตรๆหนึ่ง ซึ่งเป็นพระสูตรที่สั้นมาก มีแค่ 4
บรรทัด สูตรที่สั้นที่สุดสูตรหนึ่ง เอ้า!
ขอบอกให้ฟัง ว่ายังไง มาระเสนัป ปะมัตถะนัง โวภิกขะเว เทสิสามิ โอปะนะ มาระเสนับ
ปะมัตถะโน มัคโค ยะทิทัง สัตตะโพชฌังคา กัตตะเมทัสสะ สติสัมโพชฌังโค ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค
วิริยะสัมโพชฌังโค ปีติสัมโพชฌังโค ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค สมาธิสัมโพชฌังโค อุเบกขาสัมโพชฌังโค
อะยังโขภิกขะเว มาระเสนัป ปะมัตถะโน มัคโค นี่ มัคโค มีคำว่า มัคโค ก็คือทาง
ทางที่พระพุทธเจ้า อ้ะ เจ้าชายสิทธัตถะ ก้าวไป 7 ก้าว ก้าวไปครบ 7
แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้ามาเทียบดูหลักนี้ โพชฌงค์ แปลว่าอะไร? แปลว่า
องค์แห่งการตรัสรู้ สำเร็จโพชฌงค์นี้ มี 7 ใช่มั๊ย? สัตตะโพชฌงค์ 7 ข้อ
เมื่อทำโพชฌงค์ 7 ข้อครบ ก็เป็นพุทธะ เพราะ โพชฌงค์ นี้แปลอยู่แล้วว่า
องค์ของพุทธะ องค์ของโพธิ องค์ของ...การตรัสรู้ อันนี้ให้สังเกตไว้ว่า เป็นมรรค
ธรรมดาเราจะได้ยินว่า มรรคมีองค์ 8 แต่วันนี้มรรค 7
...แล้วมีสูตรอื่นด้วยที่จะ มรรคมีองค์ 7 แต่ไม่ใช่เรียกองค์ 7 มรรคมี 7
ข้อ เดี๋ยวจะอธิบายนิดหนึ่ง แต่ขอแทรกนิดนึง ให้คนสงสัย เอ๊ะ
แล้วทำไมไม่เอาอริยมรรคองค์ 8 ล่ะ? ให้ท่านสังเกตดู อะริโยอัฏฐังภิกโกมัคโค ปัญญามีองค์
8 ประการอันประเสริฐ หรืออันเป็นอริยะ มีองค์ 8 ก็หมายความมีองค์ประกอบ
มีส่วนประกอบ 8 มรรคก็คือระบบของทางนั้น วิถีทางนั้นน่ะ
มีเป็นระบบของการเดินทาง ที่มีองค์ประกอบ 8 อย่าง เป็นองค์ประกอบ 8 อย่าง
มีส่วนประกอบ 8 อย่าง เป็นระบบของมรรค ถ้าจะปฏิบัติให้บรรลุโพธิ
ก็จะต้องให้ครบองค์ทั้ง 8 แต่มาโพชฌงค์นี้เป็นองค์แห่งการตรัสรู้
เป็นตัวเดินทาง อันนั้นเป็นทางที่จะเดิน
ทางที่จะเดินต้องมีองค์ประกอบยังงี้ยังงี้ ให้ครบ
แต่ตัวการเดินทางนี้เอาโพชฌงค์นี้เป็นการเดินทาง ขึ้นสติ ธัมมะวิจะยะ วิริยะ
ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ตั้งต้นด้วยสติ เดินไป ก้าวไป
แล้วก้าวไปเนี่ยะ ก้าวไปในมรรคที่มีองค์ 8 จนครบ ตัวปฏิบัตินี่ โพชฌงค์
มรรค เป็นทางเดิน ที่ต้องให้ครบองค์
คุณปฏิบัติเดินโพชฌงค์ คุณก็ต้องดูด้วยว่าครบมรรคมีองค์ 8 มั๊ย?
เอาละแต่ทีนี้
ทีนี้ เรามาโยงว่า เอาโพชฌงค์ 7 เจ้าชายสิทธัตถะก้าวครบ 7 ก้าว
ก็เป็นสัญลักษณ์ของการที่ได้ปฏิบัติครบโพชฌงค์ 7 ประการ ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้า
อันนี้เราทิ้งไว้ก่อน แต่ว่าสาระสำคัญตรงนี้ก็คือว่า มนุษย์เนี่ยะ มีศักยภาพ
มีความสามารถอยู่ในตัวเอง ที่จะฝึกฝน พัฒนา มีการศึกษาเป็นต้น เป็นสำคัญ
เป็นตัวจริง ที่จะทำให้ตนเองเนี่ยะ เป็นพุทธะ ก็แปลว่า ได้เป็นบุคคลที่ประเสริฐ
ซึ่งกลายเป็นว่า พระพรหมก็มาเป็นสาวก เป็นผู้มากราบไหว้ ขอแทรกนิดหนึ่ง
คนไทยเนี่ยะไหว้กันเรื่อยเปื่อย เป็นนักอ้อนวอน
มานับถือพุทธศาสนาเดี๋ยวนี้ก็ยังอ้อนวอน ไปหาพระพรหม ที่อะไรนะ? อ้า เอราวัณ
แล้วก็ไปไหว้ไปอ้อนวอนกัน โดยไม่รู้ประวัติพระพรหมท่านเลย เอ้อเนี่ยะ ทำกันไปโดย
ขออภัย ด้านปัญญาเราไม่เอาเลย เราจะเอาแต่ลาภอย่างเดียว ไปอ้อนวอนไปบูชา
บวงสรวงพระพรหม ก็ที่จริงประวัติการสร้างพระพรหมเอราวัณเนี่ยะ ท่านก็บอกไว้แล้ว
ผู้สร้างเองน่ะ ท่านบอกไว้ว่าพระพรหมเนี่ยะมีกิจวัตรยังไง
พระพรหมองค์เนี้ยะที่เอราวัณเนี่ยะ ให้ทราบไว้ด้วยตั้งแต่ยุคสร้าง
วันพระท่านจะมาฟังธรรม เพราะฉะนั้น วันพระเนี่ยะพระพรหมไม่ได้อยู่ที่เอราวัณ
ให้เข้าใจไว้ด้วย จะไปอ้อนวอนอะไรล่ะทีนี้ วันพระน่ะท่านไปวัด ท่านไปฟังธรรม
นี่คือประวัติการสร้างพระพรหมเอราวัณ เราไม่เอาใจใส่เลย
เราได้แต่ไปกราบไหว้อ้อนวอนอย่างเดียว อันนี้เรื่องแทรกเข้ามา ขอผ่าน
แต่วันนี้เรื่องประสูติ เป็นอันว่าประสูตินะ บอกเลยว่ามนุษย์สามารถพัฒนาตนเป็นพุทธะได้สูงสุด
จะเป็นพุทธะด้วยโพชฌงค์ ซึ่งโยงไปถึงมรรคมีองค์ 8 อะไรต่ออะไรทั้งหมด
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ซึ่งจัดเป็นหมวดก็ได้ 7 หมวดเหมือนกัน จะบอกว่า 7 ก้าวไป
7 หมวดของโพธิปักขิยธรรม 37 ประการก็ได้ ก็ลงตัวกันหมด ทีนี้
เป็นอันว่าการประสูติมีความหมายอย่างที่ว่า
ทีนี้ก็ต่อไป
การตรัสรู้ ตรัสรู้นี่ก็ เอ้า!
แล้วมนุษย์จะกลายเป็นพุทธะ ผู้สูงสุด
ประเสริฐแม้แต่เหนือมารพรหมได้อย่างไร? ตะกี้บอกว่า มาระเสนนะปะระมัตทะโน หรือ
มารัปเสนัปปะระมัตถะนัง ก็แปลว่า ปัญญาหรือโพชฌงค์เนี่ยะ
เป็นปัญญาที่จะนำไปสู่การ ย่ำยี บดขยี้ มารและเสนา
อันนี้ก็คือเป็นสัญลักษณ์เหมือนกัน บดขยี้มารและเสนามารได้
ก็คือตรัสรู้ความเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เหนือมารหมด เพราะว่าพระพรหมนี่นะ
เวลามารมาเนี่ยะ พระพรหมยังหนีเลย ทีนี้พระพุทธเจ้านี่บดขยี้มารได้ เอาละ
บอกมารเมิรไม่ต้องกลัว พระพุทธเจ้าปราบหมด ทีนี้ก็ ประกาศไว้แล้วว่ามนุษย์จะเป็นพุทธะได้
พอถึงตรัสรู้แล้วจะเป็นพุทธะได้ยังไง? ดำเนินตามโพชฌงค์
ยังงี้เราไม่ต้องพูดรายละเอียด ก็คือด้วยการที่ เข้าถึงความจริง
ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ของโลกของจักรวาล เข้าถึงสาระแก่นความจริงของมัน
เมื่อรู้จักความจริงของโลกของชีวิตอะไรทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็ทำตัวให้เป็นอิสระ
ก็เป็นพุทธะได้ ก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นได้
ก็ด้วยความ...ปัญญาต้องรู้ก่อน ปัญญาต้องรู้ความจริงอันนี้ ก็
ความจริงอันนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นอันว่า มนุษย์เป็นพุทธะ
เป็นผู้ประเสริฐด้วยปัญญา ที่รู้เข้าใจถึงความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
กฏธรรมชาติอยู่ในนี้หมด อะไร? แล้วพระพุทธเจ้าก็... ตรัสรู้แล้ว ก็ได้เปล่งคาถา
เรียกว่า ปฐมพุทธพจน์ พุทธพจน์แรกที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ซึ่งเป็นการบอกให้ทราบว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร? เราก็สวดกันอยู่เรื่อย มีอะไรบ้าง
หนึ่ง...เดี๋ยวท่านลองสังเกตว่า คาถา 3 คาถาเนี่ยะ บอกสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
แล้วทำให้พระองค์เนี่ยะ ขึ้นไปอยู่ในฐานะเป็น อัคคโคมัสสะมิโลกัสสะ
เป็นต้นนั้น ก็ขึ้นว่า ยะทา หะเว ปาตุภะวันติธัมมา อาตาปิโณ ฌายะโต
พราหมะณัสสะ อะถัสสะกังขา วะปะยันติสัพพา ยะโต ปะชานาติสะเหตุธัมมังฯ
คาถาที่หนึ่ง อะไร? เมื่อใดธรรมทั้งหลาย
ปรากฏแก่ พระองค์ใช้คำว่า พราหมณ์
เพราะว่าคำว่าพราหมณ์นั้นมี เป็นคนที่ประเสริฐที่สุดในสังคมเก่า ที่เขาเรียกกันมา
ก็ต้องใช้คำเดิมของเขาก่อน เขาถึงจะหมายถึง อ๋อ!
นี่คนที่ประเสริฐ ที่แท้คืออย่างนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีความเพียร เพ่งพินิจอยู่ ความสงสัยทั้งปวงย่อมหมดสิ้นไป เพราะมารู้ชัดซึ่งธรรมที่มีเหตุปัจจัย
พร้อมทั้งเหตุปัจจัยก็ได้ รู้ธรรมที่เป็นเหตุปัจจัย หมายความว่า สิ่งทั้งหลายนี้มีเหตุปัจจัยทั้งหมด
ก็คือหลักที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือ ปฏิจจยาการ
หลักพระพุทธศาสนาเนี่ยะ ข้อนี้สำคัญมาก ก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ข้อที่หนึ่ง
ปฏิจจสมุปบาท หรือหลักปฏิจจยาการ หรือเห็นปรากฏการณ์สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเนี่ยะ
มีเป็นไปตามเหตุปัจจัย และจากการที่มันมีเหตุปัจจัย เป็นไปตามเหตุปัจจัยเนี่ยะ
ก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเป็นความไม่เที่ยง ไม่คงที่
เพราะว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย แต่เราจะรู้ว่า ที่ไม่เที่ยงนั้น
มันไม่ใช่ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปเลื่อนลอย มันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย อันนี้หลักปัจจยาการน่ะ
อยู่เบื้องหลังที่จะมาให้รู้เรื่องอนิจจัง ว่าไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงไป
ตามเหตุปัจจัย แล้วเมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย มันก็คงทนสภาพเดิมไม่ได้
ก็เป็น ทุกขัง แล้วเมื่อมันเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามเหตุปัจจัย
มันก็ไม่สามารถมีอัตตาตัวตน ตัวตนก็คือผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองสั่งการบัญชา
ว่าจะให้เป็นยังงั้นยังงี้ อัตตาก็คือตัวผู้สั่งการบัญชา เป็นใหญ่
และเหตุปัจจัยมันเป็นตัว ทำให้เป็นไป ถ้ามีอัตตาจริง เหตุปัจจัยก็ไปไม่ได้ เพราะเจ้าอัตตาก็ต้องสั่ง
แกต้องเป็นยังงี้ แต่ถ้าเป็นไปตามเหตุปัจจัย อัตตาก็มีไม่ได้ ขัดกันเอง จึงเป็น
อนัตตา เนี่ยะ ความเป็นเหตุปัจจัย ความเป็นไปตามเหตุปัจจัยนี้บอกว่า
เป็น อนัตตา ไม่สามารถมีตัวตนอยู่ เช่นว่าตัวคนที่เคยยกตัวอย่างไว้แล้ว
บอก เอ้อ! แขนของฉัน เอ้อ!เราบอกปกติ แขนของฉัน นี่ก็แขนของฉัน เห็นชัดๆ แขนของฉัน อ้าว!ทำไมไม่...ฉันต้องสั่งได้ กำจะแบจะยกไปไหนก็ได้ เอ๊!อยู่มาวันหนึ่งมันไม่เคลื่อนที่แล้ว
สั่งมันไม่ไป เอ้า!แขนของฉันนี่ ทำไมไม่ตามสั่งล่ะ นะ
ฉันบอกแกให้แกยก ฉันบอกแกให้แกกำมือ มันไม่เอาเช่นนั้น ทำไม
เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน ใช่ไหม? นี่คือ อนัตตา สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ที่เราบอกว่าแขนของฉัน มือของฉันเนี่ยะ มันเป็นไปตามภาษาสมมติ ที่เราตกลง
หนึ่งยึดถือในใจ สองตกลง ในบัญญัติเรียกว่าทางภาษา ว่าเอามั๊ย? นั้นเรียกว่าสมมติ
สมมติ แต่ที่จริงมันไม่ใช่ของเราจริง
แขนเนี่ยะ ของเราจริงมั๊ย?
มีตัวเราที่เป็นเจ้าของแขนมั๊ย? ไม่มี แขนนี้ประกอบด้วยส่วนประกอบของมัน
แล้วมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปมัวเอาอัตตาสั่งการ
จะให้เป็นไปตามใจปรารถนา เรียกว่า เอาตัณหาไปสั่งเนี่ยะ ไม่มีทางสำเร็จ เราต้องใช้ปัญญา
ศึกษาเหตุปัจจัยว่า ไอ้แขนเนี่ยะมันขยับไม่ได้เพราะอะไร เป็นเพราะเส้นเอ็นเป็นเพราะเลือดเป็นเพราะประสาท
นั่นคือเหตุปัจจัยของมัน เพราะฉะนั้นเราชาวพุทธพอรู้หลัก ที่เรียกว่าปัจจยาการ
ปฏิจจสมุปบาท ข้อแรกก็ใช้หลักนี้ ว่า เตือนตนไว้เลยว่า
สิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปตามใจของเรา แต่มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน
นี่ให้เข้าใจไว้ รวมทั้งไอ้ที่เรียกว่าเราเนี่ยะ อาจจะไปเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งได้
แต่ก็ต้องเข้าใจ ระบบความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุปัจจัยเป็นอย่างไร นี่แหละ หลักพุทธศาสนา
ข้อแรกเนี่ยะสอนหลักสำคัญมากเนี่ยะ ก็คือหลักเหตุปัจจัย แล้วไปในคัมภีร์อภิธรรมมีหกเล่มเนี่ยะ
ที่อธิบายเรื่องปัจจยาการ เรื่องปัจจัย นั้นเป็นหลักธรรมสำคัญ
ไตรลักษณ์ไตรเลิ๊กเนี่ยะจะ ปรากฏออกมาที่หลักปฏิจจสมุปบาทหรือปัจจยาการเนี่ยะ
ก็คือเหตุปัจจัยนั่นเอง เอาเป็นอันว่า คาถาที่หนึ่งพระพุทธเจ้า ประกาศว่า
พระองค์รู้ธรรม ธรรมนี่คือสิ่งที่สมัยนี้เค้าเรียกว่า ปรากฏการณ์
สิ่งทั้งหลายที่มีเป็นไปตามเหตุปัจจัย หรือว่าธรรมพร้อมทั้งเหตุปัจจัย
อันนี้คือ ข้อที่หนึ่ง
ต่อไปทีนี้คาถาที่สองก็ตรัสว่า
ยะทา หะเว ปาตุภะวันติธัมมา อาตาปิโน ฌายะ โต พราหมะณัสสะ อะถัสสะกังขา
วะปะยันติสัพพา ยะโต ขะยัง ปัจจะยานัง อะเวทิ ตอนแรกก็คล้ายๆกันบอกว่า เมื่อใดมารู้
ธรรมทั้งหลายปรากฏแก่ท่านผู้มีความเพียรเพ่งพินิจอยู่
ความสงสัยทั้งหลายกังขาก็สิ้นไป เพราะรู้ภาวะสิ้นปัจจัย ภาวะสิ้นปัจจัยก็คือว่า
รู้ทันเหตุปัจจัยแล้ว เราก็รู้ว่าจะปฏิบัติกับมันอย่างไร แม้แต่ไม่ให้มีโอกาส
เช่นว่า เหตุปัจจัยไม่ดีนำไปสู่ความเสื่อม เรารู้ เราก็ป้องกัน
กำจัดแก้ไขเหตุปัจจัยความเสื่อม
แล้วก็...เราก็ ศึกษาว่าเหตุปัจจัยอะไรจะนำไปสู่ความงามความเจริญ
เราก็ทำเหตุปัจจัยนั้น นี้เราก็ สร้างเหตุปัจจัยที่ดี
มาทดแทนมากลบมาลบล้างเหตุปัจจัยที่ร้าย แล้วจะมีหลักธรรมในการปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ชีวิตและสังคม อย่างที่เรียกว่า อปริหานิยธรรม (ข้อปฏิบัติหรือธรรมอันเป็นเหตุไม่ให้เกิดความเสื่อมมี
7 ข้อ-ผู้ถอดความ) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้...ถ้าเราปฏิบัติตามธรรม
6 ข้อ... 7 ข้อนี้แล้ว วุฑฒิเยวะปาฏิกังขา จะหวังได้แต่ความเจริญอย่างเดียว โน
ปะริหานิ ไม่มีเสื่อมสภาพ http://watpadonsawan.blogspot.com/2010/12/blog-post_13.html เนี่ยะ
คนไม่รู้ไม่เข้าใจหลักธรรม บอกว่า เอ๊ะ! พระพุทธเจ้านี่ยังไง? แน๊ะ!
ตรัสบอกว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง แล้วมาตอนนี้บอกว่า ถ้าปฏิบัติอย่างนี้นะ
จะมีแต่เจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม อ้าว! ก็เราทำเหตุปัจจัยให้มันเจริญ เราลบล้างเหตุปัจจัยที่จะให้เสื่อม
เนี่ยะคนไม่เข้าใจ แม้แต่อนิจจังคนไทยยังไม่รู้เรื่อง อนิจจังบอก
สิ่งทั้งหลายไม่ที่ยง อ๋อ! เดี่ยวมันก็เกิดดับไป ก็เลย บางคนถึงขนาดว่า ถ้าเราจะทำอะไรไปทำไม เดี๋ยวมันก็แตกดับหมด
อนิจจัง ใช่มั๊ย? ไม่รู้ว่า อนิจจังเนี่ยะ ความไม่เที่ยง
มันต้องไปสู่ความเปลี่ยนแปลง แล้วมันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
มันอยู่ในระบบความสัมพันธ์ สิ่งทั้งหลายมาสัมพันธ์กันโดยเป็นเหตุปัจจัยแก่กัน
ก็เหตุปัจจัยมันจะทำให้เกิดความเจริญ ก็ทำให้เจริญ เหตุปัจจัยจะทำให้เสื่อม เมื่อรู้แล้วมนุษย์ก็กลาย
จ้าว ใช่มั๊ย? แทนที่ต้องไปรอพระพรหม มาบันดาล ไปขอร้องอ้อนวอน บูชายัญท่าน ให้ท่านมาบันดาล
เราก็รู้เหตุปัจจัยเราก็ทำที่เหตุปัจจัยสิ! ฉะนั้นนี่แหละที่ทำให้เปลี่ยนแปลงสำคัญ
คือมนุษย์แทนที่จะไปรอการบันดาลของพระพรหม ของเทพเจ้า ก็มาใช้ปัญญารู้เหตุปัจจัย
แล้วปฏิบัติจัดการที่เหตุปัจจัย แก้ไขความเสื่อมสร้างสรรค์ความเจริญ
ทำสิ่งทั้งหลายได้ แล้วก็มาคาถาที่สอง เมื่อเรารู้เท่าทันเหตุปัจจัยแล้ว
เราก็จะอยู่พ้นลอยเหนือเหตุปัจจัยได้ คือว่าเรารู้ทันมัน อันนี้ก็คือคาถาที่สอง
คาถาที่สองนี่ก็ ยะโต ขะยัง ปัจจะยานัง อะเวทิ เพราะได้รู้ความสิ้นไป
หรือภาวะสิ้นไปของเหตุปัจจัยทั้งหลาย นี้คือชื่อของ นิพพาน เพราะฉะนั้น
คาถาที่สองก็ ตรัสรู้นิพพาน คาถาที่หนึ่งก็ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งโยงไปหาไตรลักษณ์
แล้วก็คาถาที่สอง นิพพาน
ต่อไปทีนี้ ต่อไปก็คาถาที่สาม
คาถาที่สามนี่ก็ เอ้อ!ทำไงจะสำเร็จตามนี้ ก็บอก ยะทา หะเว ปาตุภะวันติธัมมา อาตาปิโน
ฌายะโต พรหามะณัสสะ วิธูปะยัง ติฏฐะติมาระเสนัง สูโรวะโอภาสะยะมันตะลิกขันติ
บอกว่า เมื่อธรรมทั้งหลายปรากฏ แก่ท่านผู้มีความเพียรเพ่งพินิจอยู่ ความสงสัยทั้งปวงหมดสิ้นไป
ท่านผู้นั้นก็ ดำรง....เดี๋ยวเมื่อกี้ว่ายังไงเล่า...เดี๋ยวขออภัยนิดนึง
สมองมันลืม...เมื่อกี้บอก วิธูปะยัง ติฏฐะติมาระเสนัง ท่านก็กำจัดมารและเสนามารเสียได้
แล้วก้ดำรงตนเหมือนกับดวงตะวันที่ขึ้นไปส่องสว่างจ้ากลางท้องฟ้า หรือกลางนภา เนี่ยะ!
ตอนนี้ก็ หมายความว่า ผู้ที่ปฏิบัติได้สำเร็จตามนี้ก็
เป็นผู้ที่รุ่งเรืองหรือว่า ความหมายของการที่ว่า
เหมือนกับดวงตะวันที่ส่องสว่างกลางนภา ก็คือ โล่งสว่างสดใสพ้นภัยพ้นอันตรายแน่นอน...
น๊ะ นี่ก็คือคาถาที่สามซึ่งไปเข้ากับคาถาซึ่งไปเข้ากับคาถาพระสูตรโพชฌงค์เมื่อกี้
เมื่อกี้บอกว่าไง? มารัปเสนับปะระมัตถะนัง มัคคะ ทางที่จะย่ำยีมารและเสนามาร
ตรงนี้บอกว่า วิธูปะยัง
ติฏฐะมาระเสนัง กำจัดมารและเสนามารได้ ดำรงอยู่โดดเด่นสว่าง
เหมือนอย่างดวงตะวันแจ่มจ้าในกลางนภากาศ อันนี้ก็ลงท้ายด้วยว่า กำจัดมารและเสนา
ตรงกับคาถาพระสูตรที่บอกว่า โพชฌงค์นี้เป็นมันทาที่จะย่ำยีบดขยี้มารและเสนา
มาบรรจบกันตรงนี้ นะ! แล้วจะเห็นว่าคาถาที่สาม ย้ำอีกทีก็ได้
ตอนท้ายที่บอกว่า วิธูปะยัง-กำจัด มาระเสนัง-มารและเสนา ได้ แล้วก็
สูโรวะโอภาสะยะมันตะลิกขันติ เหมือนดวงสุริยาแจ่มจ้าอยู่กลางนภากาศ
อะไรเนี๊ยะ! ก็จบ คาถาที่สามก็คือ เป็นคาถาแสดงมรรค
มรรคที่ในที่นี้ก็ ถ้าครบองค์ก็ปัญญามีองค์ 8 ประการที่เราเรียกว่า มรรค 8
แล้วในที่นี้ ในการดำเนินก็ โพชฌงค์ ซึ่งไปตรงกับคาถาที่แล้ว อันนี้ก็
เอามาเล่าให้ฟัง ว่าการประสูตินี้มาตรัสรู้ ตรัสรู้เข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย
โดยเฉพาะระบบความสัมพันธ์ในเหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายนั้นเอง
ซึ่งมนุษย์รู้อย่างนี้แล้ว มนุษย์ก็กลายเป็นผู้...จะเรียกว่าเป็นผู้บันดาลแทนพระพรหมได้
ใช่มั๊ย? ก็รู้เหตุปัจจัยหมดนี่...ป้องกันความเสื่อมได้ สร้างสรรค์ความเจริญได้
แม้แต่ว่ารู้ทันเหตุปัจจัยแล้วหยุด ให้ตัวอยู่เหนือเหตุปัจจัย ก็เป็นนิพพานไป
เนี่ยะ! คนไทยไม่เอาใจใส่ หนึ่งระบบเหตุปัจจัย
ก็มีชีวิตเลื่อนลอย บ้างก็ยังไปอ้อนวอน ขอการบันดาลของเทพเจ้า
บ้างก็หวังโชคชะตาอะไรต่ออะไรเนี่ยะ คาถาวิสาขบูชาเนี่ยะ
เราต้องเอาใจใส่แล้ว คาถาที่สำคัญมาก บอกเลยว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร แล้วก็จะบอก
หนึ่งนะ คาถาที่หนึ่ง ยะทาเว ก็บอกปฏิจจสมุปบาท หรือ ปัจจยาการ
ระบบความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย อันเนี่ยะหมดเลย อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา อยู่ในนี้หมด แล้วก็คาถาที่สองก็ ภาวะที่โล่งโปร่งพ้นปัจจัย
เพราะรู้เท่าทันหมด ปฏิบัติต่อมันได้ถูกต้อง พ้นไป ก็นิพพาน แล้วก็คาถาที่สามก็
คือ มรรค ได้แก่ทางเดินที่จะ กำจัดมารและเสนา แล้วก็แจ่มจ้า ก็คือพ้นปัญหา ไม่มีหมอกไม่มีควันไม่มีเมฆมาบังแล้ว
สว่างแจ้งก็เรียกปัญญานั้นเอง
เอาละทีนี้เป็นคาถาตรัสรู้
ก็ให้ความหมายอย่างนี้ก่อน ต่อไปทีนี้ก็ นิพพาน นิพพานก็ให้ระลึกว่า
พระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพานนั้น ได้ตรัส ปัจฉิมวาจา ว่า วะยะธัมมาสังขารา อัปปะมาเทนะ
สัมปาเทถะ ว่าสังขารทั้งหลาย สังขารทั้งหลายก็คือสิ่งที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย
สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัยทั้งหลายเนี่ยะ วะยะธัมมา
มองในสายตาของมนุษย์เราเกิดจากมนุษย์ ก็คือ มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
นี่คืออนิจจัง มนุษย์นี่จะประสบปัญหาจากเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น อัปปะมาเทนะสัมปาเทถะ
เพราะฉะนั้นจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม หรือว่าจงทำกิจตนกิจผู้อื่น
หรือว่าทำประโยชน์ให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาท ดังนี้คาถานี้ก็เตือนมนุษย์ที่ยังเป็นคนทั่วไป
เป็นปุถุชนคนส่วนมาก ว่า ให้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย
แล้วก็สิ่งที่ปรากฏแก่เราก็คือการแตกดับ เกิดขึ้นมามีการพลัดพรากจากกัน
มีการเสื่อมสลาย ของที่มีก็หมดไปต่างๆเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ประสบความทุกข์ความยาก
ความลำบากเดือดร้อน ฉะนั้นถ้าเราต้องการที่จะไม่ให้สิ่งเกล่านี้มาทำให้เกิดทุกปัญหา
เราก็ต้องไม่ประมาท ไม่ประมาทก็คืออะไร? ไม่ประมาทก็คือมีสติ ในตัวตน สติก็เป็นตัวเริ่มต้นของโพชฌงค์
น๊ะ ให้อยู่ด้วยความมีสติ มีสติแล้วทีนี้ก็ ก้าวไป
เพราะมีสติก็ไม่ประมาท ไม่ประมาทแล้วอะไร? ไม่ประมาท ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่นิ่งเฉย
และอะไร? ไม่ประมาทคือ ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่นิ่งเฉย ไม่ดูดาย นี่ผิดๆแหละ
คำนี่มันหายไป...ก็ไม่เป็นไร มันนึกไม่ออก...น๊ะ เอาละ! ไม่ประมาท
ก็ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่นิ่งเฉย ไม่เรื่อยเปื่อยอะไรมันก็แล้วแต่ เนี๊ยะ
ก็คือต้องมีสติ ที่จะเตือนตน แล้วก็ ระลึกว่าจะทำอะไร มีอะไรจะต้องทำ อะไรจะทำ
ใช้ปัญญาตามมาพิจารณาว่า อะไรจะเกิดความเสื่อมความเจริญ ก้าวไป
ก็ความเกิดดับของสิ่งทั้งหลายตามธรรมชาติ มันมีของมันอยู่
มนุษย์ประสบการแตกดับปั๊บ เกิดความเศร้าเสียใจสลดหดหู่ แต่พอว่า
เอามาเป็นเครื่องเตือนให้ไม่ประมาท เราก็มีสติ หันไปดูว่าอะไรจะทำอะไร
อะไรเป็นประโยชน์ที่ควรจะทำให้สำเร็จ ก้หันไปเร่งทำสิ่งนั้น ก็ก้าวไปเลย
พอก้าวไปนี่ ก็เปลี่ยน หนึ่ง-เปลี่ยนจากการที่เจอธรรมชาติที่แตกดับ เกิดแล้วดับไป...เป็นอนิจจังเนี่ยะ
แล้วก็มีความโศกเศร้าคร่ำครวญร่ำไรเนี่ยะ เปลี่ยนมาเป็นไม่ประมาท
เกิดดับแต่ก้าวไป ก้าวเก่าดับไป ก้าวใหม่มาถึง ก้าวเก่าหมดไปก้าวใหม่ตามมา เพราะฉะนั้น
ด้วยการก้าวไปโดยไม่ประมาท มนุษย์ก็จะกลายเป็นว่า มีปีติ มีความอิ่มใจ
ในการที่พัฒนาตนหรือทำตนให้เจริญก้าวหน้างอกงาม จะแข่งเวลาหรือไม่แข่งก็แล้วแต่ก็คือก้าวไป
เพราะฉะนั้นความไม่ประมาทก็มาสอดคล้องเข้ากับคาถาโพชฌงค์ที่ว่าเมื่อกี้ แล้ว
ไม่ประมาทก็เริ่มด้วยสติ แล้วปฏิบัติไปตามโพชฌงค์ จะใช้ในการที่จะ
แม้จะบำเพ็ญวิปัสสนาก็ที่... โพชฌงค์ 7 เนี่ยะเป็นหลักการสำคัญของวิปัสสนา แต่ว่าก็คือใช้ในชีวิตประจำวันได้หมด
ก็เลยมาจบกันที่โพชฌงค์ 7 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นมันทาที่จะย้ำยีบดขยี้มารและเสนามาร
มีอะไรบ้าง?
ก็ทวนอีกทีหนึ่ง สติ หนึ่ง-สติ
สอง-ธัมมวิจยะ สาม-วิริยะ สี่-ปีติ ห้า-ปัสสัทธิ หก-สมาธิ เจ็ด-อุเบกขา (http://www.nkgen.com/35.htm) มาทำความเข้าใจกันหน่อย เพราะว่าอันนี้มีประโยชน์มาก
พัฒนามนุษย์ให้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าท่านเอานี้ไปทำงานทำการดำเนินชีวิตประจำวัน
ท่านจะมีชีวิตที่ดีมาก
หนึ่ง-สติ สติคืออะไร? มีคาถาหนึ่ง
เราหลายคนจำได้ สติโลกัสมิชากะโร สำหรับสัตวโลก
ในโลกของหมู่สัตวทั้งหลายเนี่ยะ สติ-ความตื่นคือสติ ไม่ใช่แค่ตื่นจากนอนลุกจากเตียงมา
แล้วก็มานั่ง แล้วก็เพลิดเพลินมัวเมาอะไรยังงั้น คนยังงั้นภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ตื่น” ใช่มั๊ย?
...แต่ว่าที่จริง หลงใหลหลับไหล เพราะฉะนั้น ความตื่นที่แท้คือสติ
สติเป็นความตื่นตัวพร้อม พอพร้อมแล้วก็คือ พร้อมสำหรับการ”รู้”ก็ได้ พร้อมสำหรับการ”รับ”ก็ได้
รับสถานการณ์ต่างๆ เข้ามาเลย เราจะเรียกว่าตั้งรับก็ได้ ตื่นตัว
ตื่นแล้วมีความพร้อม แล้วก็ทัน สตินี้มีลักษณะหนึ่งคือ ทัน มีอะไรเกิดขึ้น ทันทันทัน
เพราะใจไม่ลอย สตินี้ใจไม่ลอยนะ ตรงข้าม มันอยู่...ใจอยู่กับตัว ไม่ไปไหน
แต่คนเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นมา ใจฝ่อใจหนีใจหาย ก็หมดสติ ก็ไปแก้ไขเหตุการณ์ไม่ได้
ใจไม่อยู่กับตัว สติทำให้ใจอยู่กับตัว แล้วก็ถ้าใจอยู่กับตัว
ก็ทันต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ สติ ตื่น พร้อม ทัน ถึง หมายความว่า
ถึงกับสิ่งนั้น แล้ว ตรึง ตรึงก็คือ เช่นว่า ยกตัวอย่างเช่น
ท่านเปรียบสติเป็นนายประตู เฝ้าประตูพระราชวังก็ได้ ใครจะเดินเข้าเดินออก
สติคือนายประตู ดูและ ถ้าดูไม่ได้ความ ไม่สมควรไว้ใจ ตรึงไว้ก่อน แล้วก็ตรวจ
แล้วก็จับ จัดทำ เนี่ยะ สติเป็นตัวสำคัญมาก เป็นตัวเริ่มให้เกิด
ถ้าเราไม่มีสติอย่างเดียว ธรรมะอื่นมาไม่ได้เลย ใช่มั๊ย? ใจหาย ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
หมดเลย ธรรมะอะไรมีก็ไม่ได้ใช้แล้ว มันไปหมด ฉะนั้นสติเป็นตัวทำให้ใจอยู่กับเรา
แล้วทันต่อสิ่งแวดล้อมอะไรต่ออะไร เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น สติเป็นตัวตั้งรับ
เป็นตัวตั้งรู้อย่างที่ว่าเมื่อกี้ สติขึ้นมาเลย ฉะนั้นทำอะไรก็ทำด้วยมีสติ
ไม่ใจลอย ไม่ขวัญหนีดีฝ่อ อะไรเงี๊ยะ เอาละนะ หนึ่ง-สติ สติเป็นตัวเริ่มที่สำคัญ
แม้จะเราอะไรมาทำเรื่องอดีต ก็ระลึกขึ้นมาก็สติ ก็เอาขึ้นมา ดึงมาดึงไว้นี่ก็เป็นหน้าที่ของสติ
เรื่องผ่านไปแล้วดึงมันขึ้นมา แล้วก็เรื่องจะผ่านไป มันผ่านมา
เราจับมันไว้ให้อยู่ต่อหน้า นี่เรียกว่าสติ สติดึงตรึงจับไว้ ดึงมาดึงให้อยู่
อะไรก็ได้ เนี่ยะๆ...ทีนี้ต่อจากสติ ดึงตรึงจับตื่นทัน อะไรล่ะทีนี้?
ต่อไปข้อที่สอง ธัมมะวิจะยะ-ปัญญา ปัญญาในที่นี้ใช้เรียกชื่อวิเศษว่า
ธรรมวิจัย ที่เราเอามาใช้ในภาษาไทยว่า “วิจัย” วิจัยก็คือสอดส่อง
ค้นคว้า สืบสาว ให้มันรู้ไปตลอดว่ามันอะไรเป็นอะไร แล้วก็เฟ้น
เฟ้นให้ได้ความจริง เฟ้นให้ได้ตัวจริง เฟ้นให้ได้ของจริง
เฟ้นให้ได้วิธีปฏิบัติที่มันได้ผลจริง เอาล่ะสิ พอสติมันตกลงอยู่กับสถานการณ์แล้วใช่มั๊ย?
เช่นปัญหาเกิดขึ้น สติก็จับเลย สติจับอยู่ แล้วก็ปัญญาธัมมะวิจะยะ ธรรมวิจัย
ก็ตามมา สอดส่องพิจารณา เฟ้นว่า ความจริงของมันคืออย่างไร
แล้วก็วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องจริงอย่างไรเนี่ยะ ปัญญาก็มาจัดการ พอปัญญา-ธัมมะวิจะยะ
มาเฟ้นให้ ได้ความจริงได้ของจริงได้ตัวจริงไว้
วิธีที่จริงแน่แล้ว ก็วิริยะ นี่ข้อสามตามมา
วิริยะ-ความเพียร
ความเพียรคือเดินหน้า ก้าวไป ไม่ยอมถอย วิริยะ นี่มาจากคำว่า วีระแปลว่า
ผู้แกร้วกล้า วิริยะ-ความเพียร ก็คือความแกร้วกล้า กล้า-ก็คือ เดินหน้า
ไม่ถอย นี่คือลักษณะของความเพียร ก็เดินหน้าก้าวไป
ก้าวไปในการกระทำในการดำเนินการในการทำกิจของตัว วิริยะก็ก้าวไปก้าวไปก้าวไป ในระหว่างที่ก้าวไปเนี่ยะ
ก้าวไปด้วยปัญญารู้แล้วเนี่ยะ ทีนี้จิตใจเป็นยังไง
จิตใจก็เอิบอิ่มในการกระทำที่ดีงามก้าวหน้าไปของตนเอง จิตใจก็มี ปีติ
เป็นข้อที่...เท่าไหร่? สี่ เป็นข้อที่สี่
มี ปีติ คนที่มี วิริยะ ทำตามวิริยะ
แล้วมีปัญญาด้วยสติเนี่ยะ ก็จะมีความอิ่มใจ ก้าวไปก้าวไป อิ่มใจ
ความอิ่มใจเนี่ยะทำให้ใจเต็ม มีกำลัง ถ้าใจห่อเหี่ยวเหี่ยวแห้งซะแล้วมันก็หมดกำลังเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ทำงานทำการเนี่ยะแม้จะมีชีวิตในประจำวันก็ต้องให้มี ปีติ พระพุทธเจ้าจะตรัสย้ำอยู่เรื่อย
เราไม่ค่อยสนใจ ตัวแรกมาเริ่มด้วย ปราโมทย์ ปราโมทย์-ก็คือความร่าเริงเบิกบาน
จิตใจแช่มชื่นสดใส ทีนี้ ปราโมทย์เมื่อแรงขึ้นจะเป็นปีติ ในที่นี้ท่านเอาปีติเลย
ก็คือคุมปราโมทย์มาเกิด ปราโมทย์-เอาละนะ ปีติแล้ว ทำอะไรต่ออะไร ต้องพยายามให้ใจอิ่มไว้
มีความอิ่มใจในการกระทำงาน แม้แต่โยมฟังธรรมเนี่ยะ ต้องปรับใจให้ดีให้อิ่มใจ
ให้อิ่มใจที่ได้...เหมือนกับเราได้อาหารกายเราก็อิ่มกาย
นี่เราได้สิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตจิตใจของเรา เราก็อิ่มใจ มีปีติ
พอมีปีติแล้ว จะตามมาด้วย ปัสสัทธิ
ปัสสัทธิ-แปลว่า ความผ่อนคลาย
ถ้าท่านทำงานด้วยสติ ธัมมะวิจะยะ วิริยะ ปีติ แล้วท่านจะมีความผ่อนคลาย ไม่มีความเครียด ถ้าเรามีความเครียด
มันก็คือความติดขัด มันก็ไม่คล่องตัว ใช่มั๊ย? ปัสสัทธิ-ความผ่อนคลาย
มันทำให้คล่องตัว จะทำอะไรต่ออะไรคล่องตัว ถ้าเราไม่ผ่อนคลาย ไม่มีปัสสัทธิ
เราก็เครียด พอเครียดมันก็ติดขัดสิ มันก็ไม่คล่อง เพราะฉะนั้น เนี่ยะ
คนที่เป็นปัญหากันในชีวิตเนี่ยะ เดี๋ยวนี้ประสบปัญหามากที่มีความเครียด
เพราะฉะนั้น ถ้าทำงานด้วยโพชฌงค์จะไม่มีความเครียด จะมีแต่ปัสสัทธิ มาตาม
ปีติ ปีติ-ปัสสัทธิ
ต่อไปพอปัสสัทธิ-ผ่อนคลายแล้ว
จิตใจมันไม่มีอะไรมาเบียดเบียนบีบคั้น ใจมันก็ตั้งมั่นได้ที่ของมัน เข้าที่ของมัน
อยู่ตัวของมัน เรียกว่า สมาธิมันก็มั่นแน่วไปเลย ใจนั้นก็ไม่มีอะไรรบกวน
เหมือนกับน้ำเนี่ยะ ตั้งอยู่เฉยๆ เรียบ ไม่มีอะไรพัดไม่มีลมมาพัด
ไม่มีการกระเทือนทำให้มัน ฟุ้ง ฝุ่นเฝิ่นมันก็นอนก้นหมด น้ำก็ใส สมาธิจิต...จิตมีสมาธิมันก็ใส
ใสมันก็มองเห็นอะไรชัด แล้วมันก็สงบ แล้วมันก็มีกำลัง สมาธิ มีลักษณะ 3
หนี่ง-ใส จิตใจมองอะไรเห็นอะไรชัดเจน สอง-สงบ แล้วก็ สาม-มีกำลังมาก เหมือนกับน้ำ...ที่พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบ
เหมือนกับน้ำไหลลงจากภูเขา ไหลลงมาทางเดียวไม่แตกกระจัดกระจายจะมีกำลังมาก
แต่ถ้ามันแตกกระจัดกระจายไปมันก็หมดแรง เนี่ยะ...น้ำถ้าไหลมาทางเดียวเลยเหมือนกับสมาธิ
พุ่ง...มุ่งไปเลย มุ่งดิ่งไป เอ้า...สมาธิแล้ว ทีนี้ทำงานก็ยิ่งได้ผลใหญ่ เพราะว่า
ธัมมะวิจะยะมันก็ต้องทำงานของมันด้วยปัญญา มันก็ต้องทำงานในใจที่เป้นที่ทำงานที่ดี
ก็คือใจที่เป็นสมาธิ ใจที่เป็นสมาธิคือใจที่ดีที่สุด ใจที่เป็น...เค้าเรียกว่า
กัมมะนียะ-เป็นใจที่เหมาะกับการใช้งาน
เอาละ...สมาธิ ต่อไปข้อสุดท้าย อุเบกขา
ก็พอได้สมาธิ ต่อไปอุเบกขา อุเบกขา-คืออะไร? ใจมันลงตัว ที่ว่าเมื่อกี้
ได้ที่อยู่ตัวลงตัว ถ้าเปรียบยังงี้ก็อาจจะเข้าใจง่ายขึ้น เหมือนคนขับรถ
สารถีที่ชำนาญ ตอนออกรถใหม่ๆเนี่ยะ ยังต้องเร่งเครื่องบ้างต้องหันยังงั้นพวงมาลัยหมุนไปทางโน้นทางนี้
อะไรขับรถจนเข้าที่ได้ พอขับรถเข้าที่เข้าทางได้ดี
แล้วก็ความเร็วอะไรต่ออะไรปรับพอดีหมดแล้ว ทีนี้ก็...สารถีผู้ชำนาญเนี่ยะ
นั่งใจสงบนิ่ง แต่ว่าพร้อมทุกเวลา ชำนาญจริงๆเนี่ยะพร้อมทุกเวลาที่จะแก้ไขปัญหา
ไม่เหมือนคนที่ไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ใจว้าวุ่น ใจไม่สบาย หวาดบ้างอะไรบ้าง
แต่คนที่ชำนาญแล้ว ไม่มี ใจสบายเลย ขับรถพอเข้าที่เข้าทางดี
รถอยู่ตัววิ่งได้ความเร็วที่ต้องการแล้ว ทีนี้............
ดูอยู่ดูแลอยู่ หรือระบบการทำงานของเรา
เครื่องจักรทำงานเข้าที่ ทุกอย่างประสานขานรับกันลงตัว อะไรดีหมดแล้ว หรือคนทำงานของเราทุกคน
ทำงานประสานกันรับช่วงกันได้หมด ดีแล้ว ขบวนระบบการทำงานเดินไปด้วยดีเนี่ยะ
คนที่เป้นหัวหน้าคุมงานก็จะมีใจเป็นอุเบกขา อุเบกขา-ก็ สบายใจด้วย แล้วก็
มองดูตลอดเวลา มองดูด้วยใจที่สบาย แล้วก็พร้อมที่จะดูแลแก้ไข ก็ดูแล
ควบคุมแล้วพร้อมที่จะแก้ไขสถานการณ์ นี่เรียกว่าจิตอุเบกขา ซึ่งต้องระวัง ไม่ให้อัญญาณุเบกขาเฉยโง่
คนไทยเนี่ยะ มักจะรู้จักแต่เฉยโง่ ไม่รู้จักเฉยที่ว่าเนี่ยะ...เฉยอุเบกขาเนี่ยะ
เป็นตัวสำคัญมาก นี่คือตัวสำคัญ ทำงานถ้าถึงขั้นนี้ได้ก้แสดงว่า ทุกอย่างเนี่ยะ
งานเข้าระบบเข้าที่เข้าทาง ประสานสอดคล้องรับกัน ได้ทั้งระบบดี
ต้องทำงานให้ได้ถึงขั้นนี้ แล้วมีอุเบกขาได้ นั่นเก่ง แล้วจิตก็จะมี
สุขภาพจิตดีด้วย เป็นอันว่า 7 ข้อนี้
ก็ทวนอีกที หนึ่ง-สติ ตื่นพร้อมทัน
ถึงตรึงจับ ปฏิบัติการได้ แล้วก็ปัญญาที่เรียกว่า ธัมมะวิจะยะ
เรียกว่าสืบสาวสืบค้น แล้วก็...ทั้งหมดแหละขบวนการของปัญญา
เฟ้นให้ได้ความจริง ให้ได้ของจริงตัวจริงอะไรต่างๆ วิธีปฏิบัติที่มันดีจริงถูกต้อง
แล้วก็วิริยะ ก็เดินหน้าปฏิบัติตามไปด้วยกำลัง ความเพียร แล้ววิริยะ ก้
ปีติ-ทีนี้อิ่มใจล่ะ แล้วปัสสัทธิ-ความผ่อนคลาย ไม่มีความเครียด แล้วก็มีความสุข
แล้วก็สมาธิมา จิตตั้งมั่น แล้วอุเบกขา ทีนี้ อยู่ตัวลงตัวแล้ว อย่างพระอรหันต์นี่ก็ไม่ใช่ว่า
จิตใจลงตัวกับสภาพแวดล้อมกับการขับรถเท่านั้นนะ ท่านมีจิตลงตัวกับโลกนี้ทั้งหมด พระอรหันต์มีจิตลงตัวกับโลกนี้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ท่านจึงอยู่ในภาวะที่...จะเรียกว่ายังไง...จะว่าสุขก็เหนือสุขเลยก็คือ
จิตมันลงตัวกับทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็ด้วยความรู้เท่าทันเนี่ยะ
รู้ปัจจยาการรู้ถึงภาวะที่พ้นจากการบีบคั้นของเหตุปัจจัยได้ ก็จบโพชฌงค์ 7 ประการ
ก็บอกเมื่อกี้ วิธูปะยัง ติฏฐะติมาระเสนัง กำจัดมารและเสนา แล้วก็
ดำรงอยู่อย่างดวงตะวันเจิดจ้ากลางนภากาศ นี่แหละ ก็จิตใจก็จะสดใสบริสุทธิ์
อีกก็....ความไม่ประมาทที่ว่า ที่เป็นพุทธะปัจฉิมวาจา
พระวาจาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า เหมือนกับสั่งเสียแก่พุทธบริษัท แก่คนทุกคนว่า ให้อยู่ในความไม่ประมาท
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง มันแตกดับไป เรารู้ไม่ทันเหตุปัจจัยของมันเนี่ยะ
เราก็จะพลอยหวั่นไหวถูกมันกระทำเอา เราก็มีความทุกข์อะไรต่ออะไรไป
เป็นตัวละครให้มันปั่น ทีนี้เราก็มาไม่ประมาทซะ อาศัยการที่มันไม่เที่ยงนั่นแหละ
เราก็มาไม่ประมาท อยู่ด้วยสติ เราก็ไม่อยู่นิ่งคือเหมือนกัน ไม่อยู่นิ่ง
ไม่นิ่งเฉย เราก็มีสติ แล้วก็ดำเนินไปด้วยปัญญา ก้าวหน้าไปด้วยวิริยะ
เป็นต้นเนี่ยะ เราก็ก้าวของเราไป
เพราะเช่นนั้น
พุทธศาสนิกชนเมื่อปฏิบัติตามหลัก ประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานแล้ว มีแต่เดินหกน้า
ก้าวไป ใช่มั๊ย? ตั้งแต่ พอเป็นประสูติก็ ลุกขึ้นเลย-เจ้าชายสิทธัตถะ
อย่ามัวนอนนิ่งอยู่ ลุกขึ้นมา ก้าวไป ก้าวไป ทำ ให้มันสำเร็จ
ด้วยความรู้เข้าใจเหตุปัจจัย จัดการกับเหตุปัจจัยได้ แล้วมนุษย์ก็จะเหนือเทวดาได้
เอาละ – แล้ววันนี้ก็เลยพูดเรื่อง วิสาขบูชา ให้รู้เข้าใจความหมายของ
ประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพาน น่ะ...ก็เป็นอันว่าเข้าใจความหมายแล้วนะ
ประสูติคืออะไร? ตรัสรู้คืออะไร? พอตรัสรู้ก็หมดแจ่มแจ้งทั้งโลก
เข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย แล้วก็ปรินิพานก็เป็นเครื่องเตือนพวกเราทั้งหลาย
ให้ทำเพื่อไปสู่จุดหมายอันนั้น อันนี้ก็ได้พูดมายืดยาวเลยทีเดียวแหละ
ก็คิดว่าพอสมควรแล้ว ก็หวังว่า โยมได้บำเพ็ญบุญกุศลมาทั้งในกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางจิตใจ
ตอนนี้เราก็มาเสริมด้านจิตใจขึ้นไป เรื่องปัญญาเนี่ยะ พุทธศาสนิกชนเนี่ยะ
ข้อสำคัญที่สุดอยู่ที่ปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญา ปัญญุตตะราสัพเพธัมมา พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ธรรมทั้งปวงมีปัญญาเป็นยอดยิ่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องจบที่ปัญญา ต้องไปให้ถึงปัญญา
ต้องพัฒนาปัญญา เรามาทำบุญทำอะไรกันในที่สุดก็มาลงท้ายก็ด้วย ธรรมสวนะ-การฟังธรรม
เพื่อให้เกิดความเจริญปัญญา ให้เกิดความรู้เข้าใจ
แล้ว...พอรู้เข้าใจแล้วทีนี้เราก็นำไปปฏิบัติ แล้วก็ก้าวไปได้ในทุกเรื่อง
ที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เรารู้เข้าใจเนี่ยะ ก็ขอโมทนาทุกท่านในที่ประชุม
โดยเฉพาะโยมญาติมิตรที่อยู่จนกระท่างค่ำคืนนี้ ก็แสดงว่ามีวิริยะแล้ว
ก็อนุโมทนาด้วย มีความเพียร ก็ขอให้ก้าวเข้าไปด้วยความเพียร
แล้วก้าวไปด้วยสติปัญญา ดังที่ว่า โดยมีจิตใจที่แช่มชื่น เบิกบานเอิบอิ่มใจ
ในปีติปัสสัทธิ สมาธิจนถึงอุเบกขาดังที่ว่านั้น ก็ขอให้ทุกท่านเจริญด้วย
อายุวรรณะสุขะพละ ปนิภานสาระสมบัติ
ทุกเมื่อ แล้วก็มีความสุขที่เป็นความสุขร่วมกันของทุกคน
ที่ไม่ต้องมาแย่งกันหาความสุข แต่เอาความสุขมาเสนอกันให้มีความสุขร่วมกัน ทุกเมื่อ
เทอญ.
https://youtu.be/8WzkwXAYSM4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น