หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย(14)

 

ความยิ่งใหญ่นั้นคือ ประสบการณ์ชั่วคราว.  มันไม่เคยยั่งยืนถาวร. มันพึ่งพาอาศัยเข้ามามีส่วนขึ้นอยู่กับจินตนาการ-ลึกลับที่ถูกสร้างขึ้นของมนุษยชาติ.  บุคคลผู้ที่มีประสบการณ์ความยิ่งใหญ่นี้ต้องมีความรู้สึกต่อความลึกลับที่เข้าได้เข้าไปในนั้น. เขาต้องสะท้อนอะไรที่ฉายส่องมาหายังเขา.  และเขาต้องไม่เจตสิกแรงกล้าของคำเย้ยหยัน. นี้เป็นอะไรที่ปลดปล่อยเขาออกจากความเชื่อในมารยาเรียกร้องทั้งหลายของตัวเขาเอง. คำเย้ยหยันเป็นทั้งหมดที่ยินยอมให้เขาได้เคลื่อนไหวภายในตัวของตนเอง. ปราศจากคุณลักษณะนี้, ความยิ่งใหญ่อย่างบางโอกาสก็จะทำลายชายผู้นั้น.

 

---จาก “รวบรวมคำพูด ของ มวดดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

ในโถงทานอาหารของมหาราชสำนักอาร์ราคีน, โคมไฟแขวนลอยได้ถูกจุดขึ้นส่องสว่างต่อความมืดหัวค่ำ. พวกมันหว่านแสงเรืองเหลืองของมันขึ้นไปข้างบนยังศีรษะวัวสีดำที่มีเลือดติดอยู่ที่เขาของมันนั้น, และไปยังภาพวาดสีน้ำมันมืดมนวาวของ ดยุคเฒ่า.

ใต้เครื่องรางของขลังเหล่านี้, ผ้าลินินขาวเปล่งสกาวรอบเครื่องเงินอะไทรดิสที่ถูกขัดมันวาวส่งเงาสะท้อนออกมา, ที่ถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งแห่งหนอย่างถูกต้องแน่ชัดไปตามโต๊ะขนาดมหึมานั้น---กลุ่มเล็กๆของเครื่องเคียงรอคอยอยู่ด้านข้างแก้วผลึกเจียระไนทั้งหลาย, แต่ละชุดจัดวางเป็นรูปจัตุรัสตรงหน้าของเก้าอี้ไม้หนัก. โคมระย้ากลางห้องแบบคลาสสิคยังคงไม่ได้จุดสว่างขึ้น, และโซ่ห้อยร้อยของมันบิดเกลียวขึ้นไปยังเงามืดที่กลไกของเครื่องสอดแนมตรวจจับพิษได้ถูกปิดบังไว้.

หยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าเพื่อตรวจตราการจัดแจงทั้งหลายนี้, ดยุค คิดถึงเครื่องตรวจจับพิษและอะไรที่มันถูกให้เป็นสิ่งสำคัญในสังคมของเขาเช่นนี้.

ทั้งหมดของแบบแผนหนึ่ง, เขาคิด. ท่านสามารถเข้าใจในเราได้อย่างลึกซึ้งด้วยภาษาของเรา---คำพรรณนาที่ละเอียดและประณีตสำหรับวิถีทางทั้งหลายที่จะบริหารจัดการความตายจากการทรยศ. จะมีใครบางคนพยายามเชาเมอกี้(chaumurky)*ในคืนนี้ไหม---หยดยาพิษลงในเครื่องดื่ม? หรือจะเป็นเชามาส(chaumas)---วางยาพิษลงในอาหารนั้น?

https://dune.fandom.com/wiki/Chaumurky

https://dune.fandom.com/wiki/Special:Search?query=chaumas&scope=internal&navigationSearch=true

เขาสั่นศีรษะของเขา.

ข้างแต่ละจานบนโต๊ะยาวนั้นตั้งอยู่ไว้ด้วยคนโทของน้ำ. มีน้ำอยู่เพียงพอไปตามโต๊ะนั้น, ดยุค ประมาณได้ว่า, พอสำหรับจะทำให้หนึ่งครอบครัวอาร์ราคีนยากจนอยู่ต่อไปได้อีกกว่าหนึ่งปี.

ขนาบข้างประตูทางเข้าในที่ซึ่งเขายืนอยู่เป็นอ่างกว้างสำหรับชำระล้างบุกระเบื้องสีเหลืองและเขียว. แต่ละอ่างได้มีราวแขวนผ้าเช็ดมือของมัน. มันเป็นธรรมเนียม, หญิงแม่บ้านได้อธิบาย, สำหรับแขกมาเยือนทั้งหลายเมื่อพวกเขาเข้ามาเพื่อจุ่มมือของพวกเขาตามพิธีกรรมลงในอ่างนั้น, สะบัดน้ำลงที่พื้นหลายหยด, เช็ดมือตนให้แห้งบนผ้าและเหวี่ยงผ้าเช็ดมือนั้นลงไปยังกระถางตั้งอยู่ที่ประตู. หลังจากงานทานอาหารเสร็จสิ้นลงแล้ว, บรรดาขอทานทั้งหลายที่เกาะกุ่มกันอยู่ด้านนอกก็จะมาบิดเอาน้ำจากผ้าเช็ดมือนี้ไป.

         ช่างเป็นแบบอย่างศักดินาเยี่ยงฮาร์คอนเนนยิ่งนัก, ดยุค คิด. ทุกการให้เสื่อมเสียเกียรติของจิตวิญญาณที่สามารถถูกทำให้ก่อขึ้นในใจได้. เขาสูดหายใจลึก, รู้สึกความเดือดดาลพลุ่งพล่านในช่องท้องของเขา.

         “ธรรมเนียมนั่นหยุดได้แล้วในที่นี้!” เขาพึมพำ.

         เขามองเห็นหญิงรับใช้ผู้หนึ่ง—หนึ่งในบรรดาผู้ชราและปูดโปนที่หญิงแม่บ้านได้แนะนำรับรองไว้---ป้วนเปี้ยนอยู่ที่ปากประตูจากห้องครัวตรงข้ามจากเขา. ดยุค ส่งสัญญาณด้วยการยกมือชูขึ้น. หล่อนเคลื่อนออกมาจากเงามืดเหล่านั้น, ลนลานอ้อมโต๊ะนั้นมาหาเขา, และเขาสังเกตเนได้ถึงใบหน้าผิวกร้าน, ดวงตาสีฟ้าในสีฟ้า.

         “ใต้เท้าปรารถนาสิ่งใดหรือ?” หล่อนก้มศีรษะค้อมต่ำไว้, หลบสายตา.

         เขาชี้. “ย้ายอ่างทั้งหลายและผ้าเช็ดมือเล่านั้นออกไปเสีย.”

         “แต่.....ราชนิกูล.....” หล่อนเงยหน้าขึ้น,ปากอ้าค้าง.

         “ข้ารู้ประเพณีนั่น!” เขาตวาด. “เอาอ่างพวกนี้ไปที่ประตูหน้า. ขณะที่เรากำลังทานอาหารและจนกว่าเราจะได้เสร็จสิ้น, ขอทานแต่ละคนที่มาร้องขอจะได้รับน้ำหนึ่งถ้วยเต็ม. เข้าใจไหม?”

         ใบหน้าผิวหนังกร้านแสดงออกมาซึ่งอารมณ์บิดผันทั้งหลาย: ผิดหวัง, โกรธ...

         ด้วยความเข้าใจในทันใด, ลีโต ตระหนักได้ว่าหล่อนต้องได้วางแผนที่จะขายน้ำที่ได้จากการบิดผ้าเช็ดมือที่โดนเหยียบย่ำแล้วเหล่านนั้น, ขูดรีดเหรียญทองแดงสองสามอันจากผู้เคราะห์ร้ายทั้งหลายที่มายังประตูนี้. บางทีนั่นก็เป็นประเพณีอยู่ด้วยเช่นกัน.

         ใบหน้าของเขาขุ่นมัว, และเขาคำราม: “ข้าจะให้ยามเฝ้ารักษาการณ์เพื่อดูว่าคำบัญชาของข้าได้ถูกกระทำตามทุกคำพูด.”

         เขาหมุนกาย, ก้าวยาวกลับลงไปตามทางเดินสู่ห้องโถงใหญ่. ความทรงจำม้วนอยู่ในใจของเขาเหมือนเสียงบ่นพึมไร้ฟันของหญิงชราคนนั้น. เขาจำได้ถึงท้องน้ำเปิดกว้างและคลื่น---วันเวลาของหญ้าระบัดแทนที่จะเป็นทราย---ฤดูร้อนอันทำให้งวยงงที่ได้ฟาดผ่านตัวเขาไปดุจดังใบ้ไม้ต้องลมพายุ.

         ทั้งหมดจากไปแล้ว.

         ข้ากำลังแก่ลงแล้ว, เขาคิด. ข้าได้รู้สึกถึงมือเย็นเยือกของมรณภาพข้า. แล้วในอะไรหรือ? ความตะกละของหญิงชรา.

         ในโถงใหญ่นั้น, ท่านหญิงเจสสิกาอยู่ที่ศูนย์กลางของกลุ่มผู้คนปะปนกันยืนอยู่น้าเตาผิง. เปลวไฟได้เปิดประทุโพลงอยู่ที่นั้น, ส่งแสงสีส้มวูบวาบไปบนเครื่องเพชรและสร้อยคอและแพรพรรณราคาแพงทั้งหลายนั้น. เขาจำได้ว่าในกลุ่มผู้คนนั้นมีผู้ผลิตชุดสติลสูทลงมาจาก คาร์ธัค, ผู้นำเข้าเครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เจ้าของเรือขนส่งน้ำที่มีคฤหาสน์ฤดูร้อนอยู่ใกล้กับโรงที่ขั้วโลกของเขา, ตัวแทนของธนาคาร กิลด์ แบ็งค์ (ผอมบางและลึกลับ, คนนั้น), นักธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับเครื่องมืออุปกรณ์การทำเหมืองเครื่องเทศ, สตรีใบหน้ากระด้างเรียวผู้มีกิจการให้บริการเพื่อนเคียงแก่แขกผู้มาเยือนจากนอกดาวเคราะห์ปฏิบัติการอย่างเลื่องชื่อที่ปิดบังการลักลอบค้าของเถื่อน, สายลับ, และปฏิบัติการขู่กรรโชก.

         ผู้หญิงส่วนมากในห้องโถงใหญ่นี้ส่วนมากดูเหมือนจะถูกหล่อหลอมออกมาจากแบบจำเพาะ---ตกแต่ง, เปิดออกชัด, วิสาสะพิกลปนเปอยู่ในกามโลกีย์ที่แตะต้องไม่ได้.

         แม้ว่าปราศจากตำแหน่งความเป็นเจ้าภาพของเธอ, เจสสิกา ก็จะโดดเด่นได้อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้, เขาคิด. เธอไม่ได้สวมใส่เครื่องเพชรและเลือกที่จะใช้สีอบอุ่น---ชุดเดรสยาวเกือบในเฉดเจิดจ้า, และมีแถบผ้าสีน้ำตาล-ดินอยู่รอบผมสีสัมฤทธิ์ของเธอ.

         เขาตระหนักได้ว่าเธอได้ทำเช่นนี้เพื่อยั่วยุเขาอย่างมีเลศนัย, การตำหนิต่อการวางท่าเย็นชาของเขาเมื่อไม่นานมานี้. เธอได้ระแวดระวังเป็นอย่างดีว่าเขาชอบเธอในชุดเฉดเหล่านี้---ว่าเขาเห็นเธอเป็นเช่นแค่การกรีดกรายของสีสันอบอุ่น.

         ใกล้กันนั้น, เป็นดุจข้าศึกโอบล้อมเสียมากกว่าคือสมาชิกของกลุ่ม, ยืนอยู่ด้วย ดันแคน ไอดาโฮ ในชุดเครื่องแบบระยิบระยับ, ใบหน้าราบเรียบไม่สามารถอ่านออกได้, ผมลอนม้วนดำหวีไว้อย่างประณีต. เขาได้ถูกเรียกตัวกลับมาจากพวกฟรีเมนและรับคำสั่งจาก ฮาวัต---ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อคุ้มกันเธอ, เจ้าจะต้องคอยให้ ท่านหญิงเจสสิกา อยู่ภายใต้การสอดส่องควบคุมตลอดเวลา.

         ดยุค กวาดตามองไปรอบห้อง.

         มี พอล ที่มุมหนึ่งของห้องรายล้อมอยู่ด้วยกลุ่มสอพลอของเหล่าหนุ่มสาวชาวอาร์ราคีนร่ำรวย, และ, โดดเดี่ยวในท่ามกลางพวกนั้น, คือเจ้าหน้าที่สามรายจาก กองกำลังราชสำนัก.ดยุค บันทึกเป็นพิเศษของสตรีวัยเยาว์ทั้งหลายนั้น. อะไรที่ทายาทดยุคจะสะดุดตาได้. แต่ พอล ได้ปฏิบัติต่อทุกผู้อย่างเท่าเทียมกันด้วยบรรยากาศของการสงวนท่าทีแบบราชนิกูล.

         เขาจะสวมตำแหน่งได้ดี, ดยุค คิด, และตระหนักด้วยความยะเยียบเสียดขึ้นมาทันใดว่านี่ก็เป็นความคิดเรื่องมรณาอีกอันหนึ่ง.

         พอล เห็นบิดาของตนที่ในประตูทางเข้า, หลบสายของเขา. เขามองไปรอบ ๆยังกลุ่มของพวกแขกรับเชิญทั้งหลาย, มือจับประดับเพชรแวววาวกุมเครื่องดื่ม(และการตรวจจับอย่างสงบเสงี่ยมด้วยเครื่องตรวจหายาพิษควบคุมระยะไกลขนาดเล็ก). มองเห็นใบหน้าที่กำลังพูดคุยกันทั้งหมดนั้น, พอล รู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันใดโดยพวกเหล่านั้น. พวกเขาคือหน้ากากราคาถูกทั้งหลายที่ปิดกุญแจแน่นความคิดเปื่อยเน่าเอาไว้---เสียงพูดพล่ามที่ลากดึงความเงียบดังลั่นไปในทุกอก.

         ฉันกำลังอารมณ์บูด, เขาคิด, และสงสัยว่า เกอร์นีย์ จะว่าอย่างไรกับนั่น.

         เขารู้ว่าแหล่งกำเนิดอารมณ์บูดของเขานั้น. เขาไม่ได้ต้องการที่จะเข้าร่วมการปฏิบัติหน้าที่นี้, แต่บิดาของเขาได้ยืนยันหนักแน่น. “ลูกมีตำแหน่งหนึ่ง---ฐานะที่ต้องค้ำจุน. ลูกโตพอที่จะทำเรื่องนี้แล้ว. ลูกเกือบจะเป็นชายเต็มตัว.”

         พอล มองเห็นบิดาของเขาโผล่ออกจากประตูทางเข้า, ตรวจตราห้อง, แล้วเดินข้ามไปยังกลุ่มที่รายล้อมท่านหญิง เจสสิกา.

         ขณะที่ ลีโต เข้าไปยังกลุ่มของ เจสสิกา, พ่อค้าเรือขนน้ำกำลังถามว่า: “จริงหรือไม่ที่ว่าท่านดยุคจะนำเครื่องควบคุมภูมิอากาศเข้ามา?”

         จากด้านหลังของชายผู้นั้น, ดยุค พูด: “เรายังไม่ได้ไปไกลขนาดนั้นในความคิดของเรา, ขอรับ.”

         ชายผู้นั้นหันมา, เผยใบหน้านิ่มนวลกลม, สีน้ำตาลแดงคล้ำ. “อ้า-ห-ห, ท่านดยุค,” เขาพูด. “เราคิดถึงท่านอยู่.”

         ลีโต ชำเลืองไปที่ เจสสิกา. “มีอะไรต้องทำอยู่บ้าง.” เขาหันความสนใจกับมายังพ่อค้าเรือขนน้ำ, อธิบายว่าอะไรที่เขาได้สั่งการสำหรับแอ่งลุ่มน้ำทั้งหลาย, และเพิ่มเติมว่า: “ตราบเท่าที่ข้าได้เกี่ยวข้อง, ประเพณีเก่าๆสิ้นสุดลงแล้วในตอนนี้.”

         “นี่เป็นคำสั่งแห่งดยุคหรือ, ฝ่าบาท?” ชายนั้นถาม.

         “ข้าปล่อยทิ้งไว้ให้กับ....อาห์.....สำนึกสติของท่าน,” ดยุค บอก. เขาหันไป, สังเกตเห็นว่า คายนิ์ส กำลังมายังที่กลุ่มนี้.

         สตรีผู้หนึ่งพูด: “ดิฉันคิดว่านั่นเป็นการแสดงความใจกว้างอย่างมาก---การให้น้ำแก่พวก---” ใครบางคนบอกให้เธอเงียบ.

         ดยุค มองที่ คายนิ์ส, สังเกตเห็นว่านักนิเวศพิภพวิทยาสวมชุดเครื่องแบบรูปทรงโบราณสีน้ำตาลไหม้พร้อมด้วยอินทรนูประดับยศแห่ง ข้าราชการพลเรือนจักรวรรดิ และหยดน้ำตาทองคำอันเล็กของยศที่คอปกของเขา.

         พ่อค้าเรือขนน้ำ ถามในน้ำเสียงโกรธว่า: “ท่านดยุคแสดงนัยวิพากษ์จารีตประเพณีของเราหรือ?”

         “ประเพณีนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแล้ว,” ลีโต บอก. เขาพยักหน้าให้กับ คายนิ์ส, สังเกตเห็นใบหน้าขมวดย่นของ เจสสิกา, และคิด: ขมวดย่นนั้นไม่ได้กลายเป็นเธอ, แต่มันจะเพิ่มข่าวลือเรื่องความขัดแย้งระหว่างเรา.

         “ด้วยทรงอนุญาตของท่านดยุค,” พ่อค้าเรือขนน้ำพูด. “ข้าอยากจะไต่ถามออกไปไกลอีกถึงเรื่องประเพณีทั้งหลาย.”

         ลีโต ได้ยินน้ำเสียงประจบประแจงขึ้นมาในทันใดของชายนั้น, สังเกตได้ถึงความเงียบลงเฝ้าดูกันอยู่ในกลุ่มนี้, วิธีที่ศีรษะทั้งหลายกกำลังเริ่มหันมายังพวกเขาจากรอบ ๆห้อง.

         “นี่ไม่ใช่ได้เวลาที่จะทานอาหารกันแล้วหรือ?” เจสสิกา ถาม.

         “แต่แขกของเราได้มีคำถามทั้งหลายอยู่,” ลีโต พูด. และเขามองที่พ่อค้าเรือขนน้ำนั้น, เห็นชายใบหน้ากลมด้วยดวงตาโตและริมฝีปากหนาอวบอูม, นึกได้ถึงบันทึกช่วยจำของ ฮาวัต: “...และพ่อค้าเรือขนส่งน้ำนี้เป็นชายที่ต้องจับตามอง---ลิงจาร์ บิว์ท, จำชื่อนี้ไว้. พวกฮาร์คอนเนนส์ ใช้เขาแต่ไม่เคยควบคุมเขาได้เต็มที่.”

         “ประเพณีทั้งหลายเรื่องน้ำนี้น่าสนใจมาก,” บิว์ท พูด, และมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา. “ข้าสนใจในอะไรที่ท่านมุ่งหมายจะทำเกี่ยวกับอ่างเก็บน้ำที่ยึดอยู่ติดกับราชสำนักนี้. ท่านตั้งใจที่จะอวดโอ่มันในใบหน้าของผู้คนหรือ...ฝบาท?”

         ลีโต รั้งความโกรธควบคุมไว้, จ้องมองที่ชายนั้น. ความคิดทั้งหลายวิ่งแข่งกันไปอยู่ในจิตใจของเขา. มันได้ใช้ความกล้าหาญที่จะท้าทายต่อเขาในปราสาทดยุคของเขาเอง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้มีลายเซ็นของ บิว์ท อยู่บนสัญญาการเป็นพันธมิตร. การกระทำนั้นได้ยึดถือกันไปแล้ว, ด้วยเช่นกัน, ในการรับรู้ถึงอำนาจส่วนตน. น้ำนั้น, ที่จริงแล้ว, คืออำนาจแห่งที่นี่. ถ้ากิจการน้ำทั้งหลายได้ถูกวางระเบิด, อย่างเช่น, พร้อมที่จะถูกทำลายเป็นสัญญาณบอก...ชายผู้นี้ดูจะมีความสามารถเช่นนั้นได้. การทำลายกิจการสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายเรื่องน้ำคงเป็นเช่นเดียวกับการทำลาย อาร์ราคิส. นั่นคงเป็นไม้กระบองที่ บิว์ท ผู้นี้ได้ถือขู่อยู่เหนือพวกฮาร์คอนเนนส์มาแล้ว.

         “ฝ่าบาท, ท่านดยุค, และข้าได้มีแผนอีกอย่างสำหรับอ่างเก็บน้ำของเรา,” เจสสิกา พูด. เธอยิ้มให้ ลีโต. “เราตั้งใจที่จะรักษามันไว้, แน่นอนละ, แต่ก็เพียงแค่ถือมันไว้ในการจัดการเพื่อประชาชนแห่ง อาร์ราคิส. มันคือความฝันของเราว่าสักวันหนึ่งสภาพอากาศของ อาร์ราคิส อาจจะได้เปลี่ยนแปลงอย่างพอเพียงที่จะเพาะปลูกเช่นพืชทั้งหลายในที่ใดก็ได้ซึ่งเปิดโล่ง.”

         ให้พรแด่เธอเถิด! ลีโต คิด. ให้เจ้าพ่อค้าเรือขนน้ำของเราเคี้ยวอยู่กับนั่นไป.

         “ผลประโยชน์ของท่านในการควบคุมน้ำและภูมิอากาศนั้นเห็นได้ชัดเจน,” ดยุค พูด. “ข้าขอแนะนำท่านให้ผันเปลี่ยนการถือครองของท่าน. สักวันหนึ่ง, น้ำจะไม่ใช่สินค้าล้ำค่าบน อาร์ราคิส อีกต่อไป.”

         และเขาคิด: ฮาวัต ต้องใช้ความพยายามของเขาขึ้นอีกเป็นสองเท่าในการกลั่นกรององค์กรของเจ้า บิว์ท นี้. และเราต้องเริ่มต้นเตรียมพร้อมสำรองสิ่งอำนวยความสะดวกของน้ำทั้งหลายในทันที. ไม่มีใครจะมาถือกระบองอยู่เหนือหัวของข้าได้!

         บิว์ท พยักหน้ารับ, รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา. “ความฝันอันน่าสรรเสริญ, ฝ่าบาท.” แล้วเขาก็ถอนก้าวออกไป.

         ความสนในของ ลีโต ถูกจับกุมโดยการแสดงออกมาบนใบหน้าของ คายนิ์ส. ชายนี้กำลังจ้องมองที่ เจสสิกา. เขาได้แสดงท่าทีออกมาเปลี่ยนแปลงไป---เหมือนชายที่ตกหลุมรัก.....หรือเคลิบเคลิ้มศรัทธาทางศาสนา.

         ความคิดของ คายนิ์ส ได้ท่วมท้นในที่สุดโดยคำพยากรณ์:และพวกเขาจะแบ่งปันความฝันอันล้ำค่ามากที่สุดของเจ้า.” เขาพูดตรงไปยัง เจสสิกา: “ท่านกำลังนำหนทางลัด-สั้นมาหรือ?”

         “อ้า, ดร.คายนิ์ส,” พ่อค้าเรือขนน้ำ พูด. “ท่านก็มาจากวนเวียนอยู่กับเหล่าชุมนุมฟรีเมนของท่านด้วย. ช่างมีมรรยาทงดงามนักเลยล่ะท่าน.”

         คายนิ์ส ส่งผ่านการเหลือบมองที่อ่านไม่ออกผ่าน บิว์ท ไป, พูด: “มันได้พูดกันในทะเลทรายว่าการครอบครองน้ำในจำนวนมากไว้นั้นสามารถสร้างความวิบัติให้คนผู้นั้นได้ด้วยความประมาทอย่างร้ายแรง.”

         “มีคำพูดแปลกๆมากมายอยู่ในทะเลทราย,” บิว์ท ว่า, แต่น้ำเสียงของเขานั้นทรยศต่อความทำเป็นไม่ใส่ใจ.

         เจสสิกา ข้ามาหา ลีโต, เลื่อนมือของเธอมาที่ใต้แขนของเขาเพื่อหาได้สักครู่ที่จะสงบตนเอง. คายนิ์ส ได้พูด: “...หนทางลัด-สั้น.” ในลิ้นเก่าแก่, วลีที่แปลได้ว่าเป็น “ควิสาตซ์ ฮาเดรัค.” คำถามแปลกของนักนิเวศพิภพวิทยาดูเหมือนจะไม่ถูกสังเกตใดได้กับคนอื่น ๆ, และตอนนี้ คายนิ์ส กำลังค้อมกายอยู่เหนือหนึ่งในสตรีคู่สมรส, กำลังฟังคำยั่วยวนน้ำเสียงเบาต่ำ.

         ควิสาตซ์ ฮาเดรัค, เจสสิกา คิด. นี่ มิสชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา ของเราปลูกฝังตำนานนั่นไว้ทีนี่, ด้วยหรือ? ความคิดของนี้โบกพัดกระจายความหวังลับๆของเธอที่มีต่อ พอล. เขาสามารถเป็น ควิสาตซ์ ฮาเดรัค. เขาสามารถเป็นได้.

         ตัวแทนของ กิลด์ แบ็งค์ ได้หล่นลงมาในการสนทนากับพ่อค้าเรือขนส่งน้ำ, และน้ำเสียงของ บิว์ท ยกตัวลอยขึ้นเหนือเสียงฮัมของการสนทนาอันใหม่ทั้งหลายนั้น: “ผู้คนมากมายได้เสาะแสวงที่จะเปลี่ยนแปลง อาร์ราคิส.”

         ดยุค มองเห็นว่าคำพูดนั้นดูเหมือนจะทิ่มแทง คายนิ์ส ไปอย่างไร, กระตุกให้นักนิเวศพิภพวิทยาหยัดร่างขึ้นตรงและหันจากหญิงยวนยั่วนั้น.

         ในความเงียบลงอย่างกะทันหัน, ทหารมหาดเล็กในชุดเครื่องแบบของคนรับใช้กระแอมในลำคอของตนที่ด้านหลังของ ลีโต, พูด: “ดินเนอร์ได้จัดวางเรียบร้อยแล้ว, ฝ่าบาท.”

         ดยุค หันมองเชิงถามไถ่ลงไปที่ เจสสิกา.

         “ธรรมเนียมที่นี่สำหรับเจ้าภาพชายและหญิงที่จะตามหลังแขกของพวกเขาไปที่โต๊ะค่ะ,” เธอบอก, และยิ้ม: “เราเปลี่ยนแปลงอันนี้ด้วยดีไหมเพคะ, ฝ่าบาท?”

         เขาพูดอย่างเย็นชา: “นั่นดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมที่ดี. เราจะปล่อยมันเอาไว้สำหรับในตอนนี้.”

         มายาภาพที่ข้าได้สงสัยเธอในเรื่องการทรยศต้องถูกคงเอาไว้, เขาคิด. เขาเหลือบมองแขกทั้งหลายที่กำลังเคลื่อนผ่านพวกเขา. ใครในหมู่พวกเจ้าที่เชื่อการโกหกนี้หรือ?

         เจสสิการ, สำเหนียกได้ถึงความเมินห่างนี้, กังขาใจต่อมันในสิ่งที่เธอได้ทำมาบ่อยครั้งของสัปดาห์ที่ผ่านมา. เขาทำเมือนกับชายที่กำลังต่อสู้กับตนเอง, เธอคิด. หรือมันเป็นเพราะฉันเคลื่อนไหลลื่นเกินไปในการจัดงานเลี้ยงดินเนอร์นี้? กระนั้น, เขาก็รู้ว่ามันสำคัญเพียงใดที่เราต้องเริ่มผสมผสานเจ้าหน้าที่และคนของเรากับชนท้องถิ่นทั้งหลายบนสถานะสังคมเช่นนี้. เราเป็นบิดาและมารดาตัวแทนต่อพวกเขาทั้งหมด. ไม่มีอะไรน่าประทับใจแน่นหนาเป็นจริงยิ่งไปกว่าชนิดของการแบ่งปันทางสังคมเช่นนี้.

         ลีโต, กำลังเฝ้ามองเหล่าบรรดาแขกที่กำลังเคลื่อนผ่านไป, หวนนึกถึงอะไรที่ ธูเฟอร์ ฮาวัต ได้พูดถึงเมื่อรายงานถึงกิจการนี้:ใต้เท้า! ข้าไม่อนุญาตมัน!

         ยิ้มดุดันสัมผัสขึ้นริมฝีปากของดยุค. ช่างเป็นฉากละครได้เช่นนี้. และเมื่อ ดยุค ได้ยังคงยืนกรานในเรื่องเข้าร่วมงานดินเนอร์นี้, ฮาวัต ได้แต่ส่ายศีรษะของตน. “ข้าได้มีความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายในเรื่องนี้, ฝ่าบาท,” เขาพูด. “หลายอย่างได้ไหลลื่นเกินไปบน อาร์ราคิส. นั่นไม่เหมือน ฮาร์คอน-เนนส์. ไม่ใช่พวกมันเลย.”

         พอล เดินผ่านบิดาของเขาไปเคียงคลอสาวน้อยผู้หนึ่งที่สูงเพียงแค่ครึ่งศีรษะของเขาเอง. เขายิงชำเลืองขุ่นๆมาที่บิดาของเขา, พยักหน้าให้กับบางอย่างที่สาวน้อยนั้นได้จำนรรจา.

         “บิดาของนางเป็นผู้ผลิตชุดสติลล์สูท,” เจสสิกา พูด. “ฉันได้รับการบอกเล่าว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไปติดอยู่กลางทะเลทรายตอนลึกแล้วสวมชุดสูทของคนผู้นี้.”

         “ใครคือชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าที่เดินนำก่อน พอล ไปนั่น?” ดยุค ถาม. “ข้าไม่ได้จัดที่นั่งให้เขา.”

         “เพิ่มเข้ามาทีหลังในบัญชีรายการ,” เธอกระซิบ. “เกอร์นีย์ เป็นผู้จัดแจงเชื้อเชิญมาเอง. นักลักลอบของเถื่อน.”

         “เกอร์นีย์ ได้จัดแจงเองรึ?”

         “ตามที่ฉันร้องขอ. มันถูกตรวจสอบผ่าน ฮาวัต แล้ว, ถึงแม้ฉันคิดว่า ฮาวัต ไม่เห็นด้วยเล็กน้อยเกี่ยวกับมัน. นักลักลอบของเถื่อนมีชื่อเรีกว่า ตูอิค, เอสมาร์ ตูอิค. เขาเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่คนประเภทของเขา. พวกนั้นทั้งหมดรู้จักเขากันดีที่นี่. เขาไปงานเลี้ยงดินเนอร์มากมายหลายราชสำนัก.”

         “ทำไมเขาถึงมีเขาที่นี่?”

         “ทุกคนที่นี่จะถามคำถามนั่น,” เธอพูด. “ตูอิค จะหว่านความคาดเดาและความสงสัยออกไปได้เพียงแค่การปรากฏของเขา. เขาจะบริการข้อสังเกตที่ว่าท่านได้เตรียมกองหนุนคำบัญชาของท่านต่อการขยายพันธุ์---โดยเสริมกำลังจากเหล่านักลักลอบของเถื่อนชั้นสุดท้ายด้วยเช่นกัน. นี่เป็นจุดที่ ฮาวัต แสดงออกว่าชอบ.”

         “ข้าไม่อย่างแน่นอนว่า ชอบ มัน.” เขาพยักหน้าให้กับคู่ที่กำลังผ่านไป, เห็นมีเพียงสองสามรายของแขกที่ยังคงให้เชิญนำหน้าพวกเขา. “ทำไมเข้าถึงไม่เชิญพวกฟรีเมนบ้างล่ะ?”

         “มี คายนิ์ส นั่นแล้ว,” เธอบอก.

         “ใช่, นั่นเป็น คายนิ์ส,” เขาพูด. “เจ้าได้จัดให้มีสิ่งแปลกใจเล็กน้อยให้กับข้าอีกหรือ?” เขานำเธอก้าวเข้าไปอยู่ในขบวนที่เคลื่อนไปนั้น.

         “ทั้งหมดอื่นนั้นเป็นไปตามประเพณีนิยม,” เธอพูด.

         และเธอคิด: ที่รักของ, เธอไม่เห็นหรือว่านักลักลอบของเถื่อนนี้ควบคุมยานเรือเร็วทั้งหลาย, ที่เขาสามารถถูกติดสินบนได้? เราต้องมีทางออกหนึ่ง, ประตูหนึ่ง ที่จะหลบหนีจาก อาร์ราคิส ถ้าทั้งหมดอื่นได้ล้มเหลวต่อเราที่นี่.

         เมื่อพวกเขาได้โผล่เข้าไปในโถงทานอาหารแล้ว, เธอก็ปลดแขนของเธอที่คล้องไว้, ปล่อยให้ ลีโต จัดที่นั่งให้เธอ. เขาก้าวยาวไปยังที่สุดหัวโต๊ะ. พนักงานรับใช้กุมเก้าอี้รอให้เขาอยู่. คนอื่น ๆต่างก็เข้าประจำที่ของตนด้วยเสียงส่ายเสียดของเสื้อผ้า, ลากถูของเก้าทั้งหลาย, แต่ ดยุค ยังคงยืนอยู่. เขาให้สัญญานมือ, และทหารมหาดเล็กในเครื่องแบบพนักงานรับใช้ที่รายล้อมรอบโต๊ะอยู่ก็ก้าวถอยหลังไป, ยืนระวังตรง.

         ความเงียบอย่างอึดอัดใจปักหลักในห้องนั้น.

         เจสสิกา, มองลงไปตามความยาวของโต๊ะ, เห็นความสั่นริกเล็กน้อยที่มุมปากของ ลีโต, สังเกตเห็นได้ถึงความแดงเข้มชองโทสะบนแก้มของเขา. อะไรทำให้โกรธหรือ? เธอถามตนเอง. แน่นอนว่าไม่ใช่การเชื้อเชิญนักลักลอบของเถื่อนนั้น.

         “มีบางคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงของข้าในเรื่องธรรมเนียมอ่างล้างมือนั้น,” ลีโต พูด. “นี่คือวิธีที่ข้าในการบอกต่อพวกท่านถึงหลายสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไป.”

         ความเงียบอย่างขวยเขินปักหลักลงอยู่เหนือโต๊ะนั้น.

         พวกนี้คิดว่าเขาเมา, เจสสิกา คิด.

         ลีโต ยกจอกน้ำของเขาขึ้น, กุมมันสูงขึ้นไปยังแสงจากโคมไฟแขวนลอยทั้งหลายที่ส่องสะท้อนมัน. “ในฐานะของ เชวาลิเยร์(ทหารม้าอัศวิน)แห่ง จักรวรรดิ, กระนั้น,” เขาพูด, “ข้าขอดื่มอวยพรให้พวกท่าน.”

         คนอื่น ๆตะครุบจอกของพวกเขา, ดวงตาทั้งหมดจับจ้องไปที่ ดยุค. ในความนิ่งเงียบทันทีนั้น, โคมไฟแขวนลอยไหวบางเบาอยู่ในสายลมเอื่อยที่พลัดหลงมาจากโถงทางเข้าครัวบริการ. เงาทั้งหลายล้อพาดผ่านตราเหยี่ยวประดับของดยุค.

         “นี่คือข้าและนี่คือข้าที่ดำรงอยู่!” เขาตะโกนลั่น.

         มีการเคลื่อนไหวก่อนกำหนดของจอกทั้งหลายไปยังริมฝีปากเหล่านั้น---หยุดลงทันทีที่ ดยุค ยังคงยกแขนชูอยู่. “ดื่มอวยพรของข้าคือหนึ่งในบรรดาที่รักสุดขีดขั้นของหัวใจเรา: ธุรกิจสร้างความก้าวหน้า! โชคลาภมาสู่ทุกแห่งหน!

         เขาจิบน้ำของตน.

         คนอื่นร่วมกับเขา. สายตาเหลือบแลถามไถ่ผ่านไปในหมู่พวกนั้น.

         “เกอร์นีย์!” ดยุค เรียก.

         จากซอกเวิ้งผนังที่ปลายสุดของห้องด้าน ท่านดยุค มีเสียงของ เกอร์นีย์. “อยู่นี่แล้ว, ฝ่าบาท.”

         “บรรเลงเราสักหนึ่งสิ, เกอร์นีย์.”

         คอร์ดไมเนอร์จากพิณบาลิเส็ทลอยกรายออกมาจากช่องเวิ้งนั้น. เหล่านคนรับใช้เริ่มวางจานของอาหารทั้งหลายลงบนโต๊ะตามที่ดยุคส่งสัญญานอนุญาตพวกเขา---กระต่ายทะเลทรายย่างในซอสเซเปดา(sauce sepeda*), อะโปลเมจ ซีเรียน(aplomage serien*), ชุกกา(chukka* อยู่ใต้แก้ว, กาแฟผสมเครื่องเทศ(coffee with malange*) (กลิ่นอบเชยฉุนจากเครื่องเทศล่องลอยในอากาศทั่วโต๊ะ), ห่านป่าแท้เคี่ยวมาในหม้อ(a true pot-a-oie*)เสิร์ฟมากับไวน์ฟอง(sparkling wine)จาก คาลาดาน.

https://www.reddit.com/r/dune/comments/f8ttj0/dune_banquet_scene_revisited/

         กระนั้น, ดยุค ก็ยังคงยืนอยู่.

         ขณะที่แขกทั้งหลายกำลังรอคอย, ความสนใจของพวกเขาฉีกแบ่งออกไประหว่างจานอาหารที่จัดวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาและดยุคที่ยืนอยู่, ลีโต พูด: ในยุคสมัยเก่าก่อน, เป็นหน้าที่ของเจ้าภาพที่จะให้ความบันเทิงแขกทั้งหลายของเขาด้วยความสามารถพิเศษของเขาเอง.” ข้อนิ้วมือของเขาเป็นสีขาว, จากการกุมแน่นดุดันกับจอกน้ำในมือของเขา. “ข้าไม่สามารถร้องเพลงได้, แต่ข้าจะมอบให้แก่พวกท่านด้วยเนื้อเพลงของ เกอร์นีย์. คิดเสียว่ามันเป็นคำดื่มอวยพรอีกอัน---ดื่มอวยพรต่อทั้งหมดของผู้ที่ตายลงไปเพื่อให้พวกเรามาอยู่ในฐานะที่นี้.”

         ความไม่สบายใจปลุกเร้าส่งเสียงพรึมไปทั่วโต๊ะ.

         เจสสิกา ลดสายตาจ้องมองต่ำลง, เหลือบยังผู้คนที่ได้นั่งใกล้ที่สุดกับเธอ---เป็นพ่อค้าเรือขนน้ำและผู้หญิงของเขา, ซีดและขรึมเคร่งของตัวแทน กิลด์ แบ็งค์(เขาดูเหมือนใบหน้าหวีดหวิวของหุ่นไล่กาด้วยดวงตาของเขาจับแน่นอยู่ที่ ลีโต), ริ้วยับย่นและแผลเป็นเต็มใบหน้าของ ตูอิค, ดวงตาสีฟ้าลึกในสีฟ้าดูหม่นเศร้า.

         “สวนสนามเถิด, เพื่อนทั้งหลาย---เหล่ากองทหารสวนสนามผ่านยาวนาน,” ดยุค ขับขาน. “ต่างเพื่อแบกภารชะตากรรมอันเจ็บปวดและเงิน. จิตวิญญาณพวกเขาคร่าเก่าชำรุดปกสีเงินรุ่ยริ่ง. สวนสนามเถิด, เพื่อนทั้งหลาย---เหล่ากองทหารสวนสนามผ่านยาวนาน. เมื่อกาลเวลาของเราจบสิ้นลงบนรอยยิ้มอ้าเปิดของมัน, เราจะผ่านเลยซึ่งมารยั่วหลอกแห่งโชคลาภไป.”

         ดยุค ปล่อยให้เสียงของตนได้ปิดรอยเส้นทางลงตามบรรทัดสุดท้าย, ยกจอกน้ำของเขาขึ้นดื่มอึกยาว, ฟาดมันกลับลงไปที่โต๊ะ. น้ำกระฉอกล้นปริ่มเลยขอบลงไปบนผ้าปูลินิน.

         คนอื่น ๆต่างดื่มในความเงียบงันอันขัดเขิน.

         อีกครั้ง, ดยุค ยกจอกน้ำของเขาขึ้นมา, และคราวนี้เทที่ยังคงเหลืออยู่ของมันครึ่งหนึ่งลงที่พื้น, รู้ดีว่าคนอื่น ๆรอบโต๊ะนั้นต้องทำเช่นเดียวกัน.

         เจสสิกา เป็นคนแรกที่ทำตามตัวอย่างของเขา.

         มีการนิ่งงันเยือกแข็งลงชั่วขณะก่อนที่คนอื่น ๆจะเริ่มเทจอกของตนให้ว่างเปล่. เจสสิกา มองเห็น พอล ทำเช่นไร, นั่งอยู่ใกล้กันกับบิดาของเขา, กับการศึกษาปฏิกิริยารอบตัวของเขา. เธอพบว่าตนเองก็หลงใหลไปกับปฏิกิริยาอะไรๆที่แขกของเธอได้เผยออกมา---โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกับในหมู่ของสตรีทั้งหลาย. นี่เป็นน้ำสำหรับดื่ม, ที่สะอาด, ไม่ใช่บางอย่างที่ถูกใช้แล้วทิ้งอยู่ในผ้าเช็ดมือเปียก. การฝืนใจไปแค่เททิ้งมันแสดงออกมาด้วยตัวมันเองจากมือที่สั่นระริก, ปฏิกิริยาที่ลังเล, หัวเราะอย่างขัดเขิน.....และยอมเชื่อฟังอย่างรุนแรงกับความจำเป็นซึ่งหน้านี้. สตรีผู้หนึ่งทิ้งจอกของเธอ, หันมองไปทางอื่นเมื่อชายของเธอก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา.

         คายนิ์ส, ด้วยเช่นกัน, ถูกเธอให้ความสนใจมากเน้น. นักนิเวศพิภพวิทยา ลังเล, แล้วก็เทจอกของเขาลงจนหมดลงไปในเครื่องบรรจุน้ำภายในเสื้อแจ็คเก็ตของเขา. เขายิ้มให้กับ เจสสิกา เมื่อเขาจับได้ว่าเธอกำลังเฝ้าดูเขาอยู่, ชูจอกว่างให้เธอในอาการดื่มอวยพรเงียบๆ. เขาแสดงออกให้เห็นว่ามิได้อับอายทั้งสิ้นกับการกระทำของตน.

         ดนตรีของ ฮัลเล็ค ยังคงอ้อยอิ่งข้ามไปทั่วห้อง, แต่ได้ออกไปจากคีย์ไมเนอร์ของมัน, สูงขึ้นและมีชีวิตชีวาในตอนนี้ราวกับว่าเขาได้กำลังพยายามที่จะยกบรรยากาศอารมณ์

         “มาเริ่มต้นดินเนอร์กันเถิด,” ดยุค พูด, และนั่งลงในเก้าอี้ของเขา.

         เขาโมโหและแปรปรวน, เจสสิกา คิด. การสูญเสียของโรงงานคราวเลอร์นั่นกระแทกเขาในใจลึกลงไปยิ่งกว่าที่มันควรจะเป็น. มันต้องเป็นบางอย่างมากไปกว่าการสูญเสียนั้น. เขาแสดงออกราวกับว่าเป็นชายผู้สิ้นหวัง. เธอยกซ่อมของเธอขึ้น, หวังในกิริยาเคลื่อนไหวนี้จะปิดบังความขื่นขมในทันทีนี้ของเธอเองได้. ทำไมจะไม่ล่ะ? เขากำลังสิ้นหวังนี่นา.

         อย่างช้า ๆในตอนแรก, และก็เพิ่มการเคลื่อนไหวขึ้น, ดินเนอร์ได้เริ่มดำเนินการ. ผู้ผลิตชุดสติลล์สูทชมเชย เจสสิกา ในเรื่องพ่อครัวและไวน์.

         “เรานำทั้งสองอย่างมาจาก คาลาดาน เลยค่ะ,” เธอบอก.

         “สุดยอดเลย!” เขาพูด, ลิ้มลองชุกกา. “สุดยอดง่ายๆเลย! และไม่มีกลิ่นของเครื่องเทศในมัน. ใครก็เหนื่อยหน่ายกับเครื่องเทศนี่ที่อยู่ในอะไรเสียทุกอย่าง.”

         ตัวแทน กิลด์ แบ็งค์ มองข้ามไปยัง คายนิ์ส. “ข้าเข้าใจนะ, ดร.คายนิ์ส, ว่าโรงงานคราวเอร์อื่นอีกรายได้สูญเสียไปกับหนอนทราย.”

         “ข่าวมาเร็วเลยนะ,” ดยุค พูด.

         งั้นมันก็นเป็นจริงหรือ?” นายธนาคารถาม, ย้ายความสนใจของเขาหันมาที่ ลีโต.

         “แน่นอน, มันเป็นความจริง!” ดยุค สะบัดเสียงดัง. “เจ้ายานเวรแครี่-ออลหายหัวไป. มันไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับอะไรที่ใหญ่โตนั่นจะหายไป!

         “เมื่อหนอนทรายมา, ก็ไม่มีอะไรที่จะคุ้มกันเครื่องคราวเลอร์ได้,” คายนิ์ส พูด.

         “มันไม่น่าเป็นไปได้!” ดยุค พูดซ้ำ.

         “ไม่มีใครเห็นยานแครี่-ออล บินจากไปรึ?” นายธนาคารถาม.

         “ผู้ชี้เป้าตามธรรมเนียมจะคอยจับตาดูที่ทะเลทราย,” คายนิ์ส พูด. “พวกเขาเบื้องต้นจะสนใจที่สัญญานของหนอนทราย. องค์ประกอบของยานแครี่-ออลปกติจะมีสี่คน---สองนักบินและสองผู้ช่วยเดินทาง. ถ้าหนึ่ง---หรือกระทั่งสองของลูกเรือนี้ได้ถูกติดสินบนโดยศัตรูของท่านดยุค---”

         “อ้า-ห-ห, ข้าเข้าใจแล้ว,” นายธนาคารพูด. “และท่าน, ในฐานะตุลาการของการถ่ายโอน, ท่านจะโต้ค้านในเรื่องนี้ไหม?”

         “ข้าจะต้องคำนึงถึงตำแหน่งแห่งหนของตนอย่างระมัดระวัง,” คายนิ์ส พูด, “และข้าอย่างแน่นอนละที่จะไม่ถกเถียงมันที่โต๊ะทานอาหารนี้.” และคิด: นั่นมันกระดูกแขวนคอกับคนหนึ่งล่ะ! เขารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นการละเมิดสัญญาอย่างหนึ่งที่ข้าถูกแนะนำให้เพิกเฉย.

         นายธนาคารยิ้ม, หันความสนใจของเขากลับไปที่อาหาร.

         เจสสิกา นั่งนึกไปถึงวันทั้งหลายในคำบรรยายสอนจากโรงเรียนเบเน เกสเสอริตของเธอ. หัวข้อนั้นคือการจารกรรมและการตอบโต้-จารกรรม. ใบหน้าอวบอูม, เป็นสุข ของแม่อธิการ ที่เป็นผู้บรรยายเอง, น้ำเสียงรื่นเริงของเธอขัดแย้งอย่างพิกลกับเนื้อหาของวิชานี้.

         สิ่งที่ต้องบันทึกจำเอาไว้เกี่ยวกับจารกรรมและ/หรือการตอบโต้-จารกรรมของโรงเรียนใด ๆก็เป็นรูปแบบปฏิกิริยาพื้นฐานเหมือนๆกันของบรรดาผู้สำเร็จการศึกษานี้ของมัน. ระเบียบวินัยที่ถูกปิดล้อมได้จัดตั้งตราประทับของมัน, รูปแบบของมัน, ลงไปบนนักเรียนของมัน. รูปแบบนั่นเป็นสิ่งอ่อนไหวไวต่อการวิเคราะห์และคาดการณ์ได้.

         “ทีนี้, รูปแบบแรงจูงใจทั้งหลายกำลังจะเป็นที่คุ้นเคยในท่ามกลางสายลับจารกรรมทั้งหมด. นั่นคือพูดได้ว่า: จะมีแบบชนิดแน่ชัดของแรงจูงใจนั้นเป็นที่คุ้นเคยแทนที่จะแตกต่างไปตามโรงเรียนทั้งหลายหรือเป้าหมายที่เป็นตรงข้าม. เจ้าจะศึกษาอย่างแรกถึงวิธีการแยกแยะองค์ประกอบนี้เพื่อการวิเคราะห์ของเจ้า---ในตอนเริ่มต้น, ผ่านรูปแบบการซักถามที่ลวงหลอกต่างไปจากทิศทางความเชื่อภายในของผู้ซักถาม, อย่างที่สอง, โดยการสังเกตใกล้ชิดของภาษา-ความคิดทิศทางความเชื่อของผู้ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์. เจ้าจะพบว่ามันง่ายดายมากที่จะตัดสินถึงรากภาษาของบุคคลเป้าหมายของเจ้า, ทั้งสองอย่างนั้นผ่านน้ำเสียงที่เปลี่ยนแปลงและรูปแบบการพูด.”

         ตอนนี้, กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกับบุตรชายของเธอและดยุคของเธอและแขกเหรื่อทั้งหลายของพวกเขา, กำลังได้ฟังตัวแทนของ กิลด์ แบ็งค์, เจสสิกา รู้สึกเย็นเยียบของการตระหนักรู้: ชายผู้นี้เป็นสายลับฮาร์คอนเนน. เขามีรูปแบบการพูดของ ไกดี ไพร์ม---ปิดบังเลศนัย, แต่เปิดเผยต่อการตะหนักรู้เธอที่ได้ฝึกฝนมาราวกับเขาได้ประกาศตนเอง.

         นี่หมายความว่า กิลด์ เองได้เลือกข้างที่จะต่อต้านราชสำนักอะไทรดิสหรือ? เธอถามตนเอง. ความคิดนี้กระทบอย่างแรงต่อเธอ, และเธอปิดบังอารมณ์ของเธอโดยการเรียกให้เปลี่ยนจานชุดใหม่, ทั้งหมดขณะที่กำลังฟังชายผู้นั้นลวงหลอกในเป้าประสงค์ของตนอยู่. เขาจะเปลี่ยนการสนทนาถัดไปเป็นบางอย่างที่ดูเหมือนไร้เดียงสา, แต่ด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กไม่ค่อยดี, เธอบอกกับตนเอง. มันเป็นรูปแบบของเขา.

         นายธนาคารกลืนอาหาร, จิบไวน์, ยิ้มกับบางอย่างกับคำพูดจากสตรีข้างขวามือของเขา. เขาดูเหมือนจะฟังสักชั่วครู่ต่อชายถัดลงไปตามโต๊ะที่กำลังอธิบายต่อดยุคถึงพืชพันธุ์ท้องถิ่นอาร์ราคีนนั้นไม่มีหนาม.

         “ข้าสนุกสนานกับการดูการบินของนกบน อาร์ราคิส มาก,” นายธนาคารพูด, หันคำพูดของเขาตรงมาที่ เจสสิกา. “นกทั้งหมดของเรา, แน่นอน, เป็นพวกกินซากสัตว์อื่น, และหลายชนิดอยู่ได้โดยปราศจากน้ำ, กลายเป็นพวกดื่ม-เลือด.”

         ธิดาของผู้ผลิตชุดสติลล์สูท, นั่งอยู่ระหว่าง พอล กับบิดาของเขาที่ปลายสุดของโต๊ะ, ห่อใบหน้างามนั้นจนย่น, พูด: “โอ, ซู-ซู, ท่านพูดถึงสิ่งที่น่าขยะแขยงมากที่สุด.”

         นายธนาคารยิ้ม. “พวกเขาเรียกข้าว่า ซู-ซู เพราะว่าข้าเป็นที่ปรึกษาการเงินให้กับ สหภาพ ผู้หาบเร่ขายน้ำ.” และ, ขณะที่ เจสสิกา ยังคงมองที่เขาโดยไม่ออกความเห็นอะไร, เขาเพิ่ม: “เพราะการร้องของพ่อค้าขายว่า---ซู-ซู-ซูค!” และเข้าได้เลียนเสียงนั้นอย่างแม่นยำจนหลายคนรอบโต๊ะต่างหัวเราะกันออกมา.

         เจสสิกา ได้ยินสำเนียงโอ้อวดของน้ำเสียงนั้น, แต่สังเกตจดจำมากที่สุดว่าสตรีสาวนั้นได้พูดออกมาตามคิว---ที่จัดวางไว้. เธอได้จัดสร้างขอแก้ตัวให้กับนายธนาคารที่จะได้พูดอะไรที่เขาพูดออกมานี้. เธอเหลียวไปมองยัง ลิงจาร์ บิว์ท. แม่เหล็กเรื่องน้ำนั้นกำลังหน้าบึ้งตึง, มุ่งความสนใจอยู่กับดินเนอร์ของเขา. มันมายัง เจสสิกา ว่าที่นายธนาคารพูดนั้นคือ: “ข้า, ด้วยเช่นกัน, ที่ควบคุมทรัพยากรสมบูรณ์สุดของอำนาจบน อาร์ราคิส---น้ำ.”

         พอล ได้สำเหนียกถึงความแปลกปลอมในน้ำเสียงของสหายดินเนอร์ของเขา, มองเห็นว่ามารดาของตนก็กกำลังติดตามการสนทนานี้ด้วยความเข้มของพลังเบเน เกสเสอริต. ด้วยแรงกระตุ้น, เขาตกลงใจที่จะเล่นบทขัด, แลกเปลี่ยนออกมา. เขาแสดงตนไปยังนายธนาคาร.

         “ท่านหมายความ, ขอรับ, ว่านกเหล่านี้เป็นสัตว์กินพวกตัวเองหรือ?”

         “นั่นเป็นคำถามที่แปลกอย่างหนึ่ง, ทูลกระหม่อม,” นายธนาคารพูด. “ข้าเพียงแต่พูดว่านกทั้งหลายนั้นดื่มเลือด. มันไม่ได้ว่าต้องเป็นเลือดของพวกมันเอง, ใช่ไหม?”

         “นั่นไม่ใช่คำถามที่แปลก,” พอล พูด, และ เจสสิกา สังเกตได้ถึงคุณภาพการโต้ตอบอย่างเปราะบางในการฝึกฝนของเธอแสดงออกมาในน้ำเสียงของเขา. “ผู้ที่ได้รับการศึกษาส่วนมากรู้ว่านั่นเป็นศักยภาพที่เลวร้ายที่สุดของการประชันสำหรับชีวอินทรีย์แรกรุ่นใดที่สามารถกำเนิดมาด้วยชนิดของตนเอง.” เขาจงใจจิ้มซ่อมลงไปในชิ้นอาหารในจานของสหายของเขา, และกินมัน. “พวกเขากำลังกินจากในชามเดียวกัน. พวกนั้นมีความต้องการขั้นพื้นฐานอันเดียวกัน.”

         นายธนาคาร ตัวแข็งทื่อ, บึ้งตึงใบหน้าเข้าใส่ดยุค.

         “อย่าได้พลั้งเผลอในการพิจารณาตัดสินบุตรชายของข้าว่าเป็นเด็ก,” ดยุค พูด. และเขายิ้ม.

         เจสสิกา เหลือบมองไปรอบโต๊ะ, สังเกตได้ว่า บิว์ท ได้สดใสขึ้น, ว่าทั้ง คายนิ์ส และ นักลักลอบของเถื่อน, ตูอิค, กำลังยิ้ม.

         “มันเป็นกฎของนิเวศวิทยา,” คายนิ์ส พูด, “ที่ทูลกระหม่อมแสดงออกซึ่งความเข้าใจค่อนข้างดี. การดิ้นรนระหว่างธาตุชีวิตทั้งหลายเป็นการต่อสู้เพื่อพลังงานได้เปล่าของระบบ. เลือดนั้นเป็นแหล่งพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพ.”

         นายธนาคารวางซ่อมของเขาลง, พูดด้วยน้ำเสียงโกรธ: “มันพูดกันไว้ว่าพวกฟรีเมนสถุลดื่มเลือดจากคนตายของพวกมันกัน.”

         คายนิ์ส สั่นศีรษะของตน, พูดในน้ำเสียงบรรยายสอน: “ไม่ใช่เลือด, ขอรับ. แต่น้ำทั้งหมดของคนๆหนึ่งนั้น, โดยที่สุดแล้ว, เป็นของผู้คนของเขา---ของเผ่าของเขา. มันเป็นความจำเป็นเมื่อท่านต้องอาศัยอยู่ใกล้ มหาราบปฐพี. น้ำทั้งหมดเป็นสิ่งล้ำค่า ณ ที่นั้น, และร่างกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยน้ำอยู่ราวเจ็ดสิบเปอร์เซนต์โดยน้ำหนัก. คนตาย, แน่นอนล่ะว่า, ไม่มีความจำเป็นต้องการน้ำนั้นอีกต่อไป.”

         นายธนาคารวางมือทั้งสองลงกับโต๊ะข้างจานของเขา, และ เจสสิกา คิดว่าเขากำลังจะดันตนเองและเก้าอี้ดันถอยออก, ลุกเดินจากไปด้วยโทสะ.

         คายนิ์ส มองดู เจสสิกา. “ขอประทานอภัยต่อข้า, ท่านผู้หญิง, ที่ได้อธิบายเพิ่มเติมในเรื่องน่าเกลียดบนโต๊ะทานอาหาร, แต่ท่านกำลังได้ยินคำบอกเล่าที่ไม่ถูกต้องอยู่และจำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องชัดเจน.”

         “ท่านได้อยู่ร่วมกับพวกฟรีเมนนั่นเสียจนท่านได้สูญอารมณ์ละเอียดอ่อนทั้งหลายจนหมดไปแล้ว ,” นายธนาคารถากถาง.

         คายนิ์ส มองดูเขาอย่างสงบ, ศึกษาใบหน้าซีดจางนั้น, ใบหน้าที่สั่นระริก. “ท่านกำลังท้าทายต่อข้าหรือ, ขอรับ?”

         นายธนาคารตัวแข็งทื่อ. เขากลืนลงไป, พูดอย่างห้วนทื่อ: “แน่นอนว่าไม่. ข้าไม่ได้ดูหมิ่นเจ้าบ้านชายและหญิงของเราถึงปานนั้นหรอก.”

         เจสสิกา ได้ยินความกลัวอยู่ในน้ำเสียงของชายนั้น, เห็นมันอยู่บนใบหน้าของเ, ในลมหายใจของเขา, ในชีพจรของเส้นเลือดที่หน้าผากของเขา. ชายผู้นี้กำลังตื่นกลัวต่อ คายนิ์ส.

         “เจ้าบ้านชายและหญิงของเราค่อนข้างจะมีสติปัญญาที่จะตัดสินใจได้ด้วยตนเองว่าเมื่อไรที่พวกท่านได้รับการดูหมื่น,” คายนิ์ส พูด. “พวกท่านคือผู้ที่กล้าหาญซึ่งเข้าใจได้ถึงการปกป้องเกียรติยศ. เราทั้งหมดอาจยืนยันในความกล้าหาญของพวกท่านนี้ได้ด้วยความจริงที่ว่าพวกท่านได้อยู่ที่นี่...ในตอนนี้...บน อาร์ราคิส.”

         เจสสิกา มองเห็นได้ว่า ลีโต กำลังรื่นรมย์กับเรื่องนี้อยู่. คสอื่นส่วนใหญ่กำลังไม่. ผู้คนรอบๆโต๊ะนั่งอยู่ในท่าทางเตรียมบินหนี, เมื่อพ้นจากสายตาอยู่ใต้โต๊ะ. สองรายที่ยกเว้นก็คือ บิว์ท, ผู้กำลังยิ้มเปิดกว้างต่อความกระอักกระอ่วนอยู่ของนายธนาคาร, และนักลักลอบของเถื่อน, ตูอิค, ที่ปรากฏออกมาว่ากำลังเฝ้าดู คายนิ์ส  เตรียมตัวพร้อมอยู่. เจสสิกา เห็นได้ว่า พอล กำลังมอง คายนิ์ส อยู่อย่างยกย่องชื่นชม.

         “ว่าไง?” คายนิ์ส พูด.

         “ข้ามิได้หมายไปถึงการก้าวร้าว,” นายธนาคารพึมพำ. “ถ้าการก้าวร้าวได้เกิดขึ้นมา, กรุณารับคำขออภัยของข้าด้วย.”

         “ให้เปล่าๆ, ก็รับเปล่าๆ,” คายนิ์ส พูด. เขายิ้มให้กับ เจสสิกา, เริ่มบริโภคกินต่อไปราวกับไม่มีอะไรได้บังเกิดขึ้น.

         เจสสิกา เห็นได้ว่านักลักลอบของเถื่อน, ด้วยเช่นกัน, ได้ผ่อนคลายลง. เธอหมายไว้ว่าชายผู้นี้ได้แสดงทุกรูปลักษณ์ว่าพร้อมจะกระโจนเข้าหา คายนิ์ส เพื่อการช่วยเหลือ. ได้มีพันธสัญญาอะไรบางอย่างระหว่าง คายนิ์ส และตูอิค.

         ลีโต เล่นอยู่กับซ่อม, มองเจาะจงพิเศษไปยัง คายนิ์ส. กิริยาของนักนิเวศพิภพวิทยาบ่งชี้ถึงทัศนคติที่เปลี่ยนไปต่อ ราชสำนัก อะไทรดิส. คายนิ์ส ได้ดูเหมือนจะเยือกเย็นลงในการเดินทางของพวกเขาเหนือทะเลทราย.

         เจสสิกา ส่งสัญญานสำหรับอาหารและเครื่องดื่มอีกชุด. เหล่าคนรับใช้ปรากฏตัวขึ้นด้วย ล็องส์ เดอ แลปังส์ เดอ กาเร็นส์(langues de lapins de gerrenne*)---ไวน์แดงและซอสจากเห็ด-ยีสต์วางเคียงมา.

         https://foodinbooks.com/tag/lapin-de-garennes/

         อย่างช้า ๆ, การสนทนาระหว่างทานอาหารก็เริ่มขึ้นใหม่, แต่ เจสสิกา ได้ยินความไม่สงบใจอยู่ในมัน, คุณสมบัติที่เปราะบาง, มองเห็นว่านายธนาคารกินกล้ำกลืนอย่างเงียบเชียบ. คายนิ์ส คงจะฆ่าเขาได้โดยปราศจากการลังเลเลย, เธอคิด. และเธอตระหนักได้ว่านั่นเป็นทัศนคติไม่แยแสต่อการฆ่าในกิริยาของ คายนิ์ส. เขาเป็นนักฆ่าที่ไม่ใส่ใจกับมันนัก, และเธอเดาเอาว่านั่นเป็นคุณสมบัติของพวกฟรีเมน.

         เจสสิกา หันไปยังผู้ผลิตชุดสติลล์สูททางด้านซ้ายมือของเธอ, พูด: “ดิฉันพบว่าตนเองทึ่งใจอยู่ตลอดกับความสำคัญของน้ำบน อาร์ราคิส.”

         “สำคัญมาก,” เขาเห็นด้วย. “จานนี้คืออะไรหรือ? อร่อยมาก.”

         “ลิ้นกระต่ายป่าในซอสพิเศษ,” เธอ บอก. “เป็นตำรับโบราณมาก.”

         “ข้าอยากได้ตำรับนี้แล้วล่ะ,” ชายนั้นพูด.

         เธอพยักหน้ารับ. “ดิฉันจะดูแลให้ท่านได้.”

         คายนิ์ส มองมายัง เจสสิกา, พูด: “ผู้มาใหม่ยัง อาร์ราคิส มักจะประเมินต่ำถึงความสำคัญของน้ำที่นี่. ท่านกำลังจัดการอยู่, นี่นะ, กับ กฎของขั้นความน้อยที่สุด.”

         เธอได้ยินการทดสอบคุณสมบัติในน้ำเสียงของเขา, พูด, “การเติบโตถูกจำกัดโดยความจำเป็นนั้นที่ในปัจจุบันมีปริมาณอยู่น้อยที่สุด. และ, โดยธรรมชาติแล้ว, สถานะที่น่าพึงใจน้อยที่สุดก็เป็นตัวควบคุมอัตราการเติบโต.”

         “เป็นการยากที่จะหาบรรดาสมาชิกของ มหาราชสำนัก ที่ระแวดระวังได้ถึงปัญหานิเวศพิภพเหล่านี้,” คายนิ์ส พูด. “น้ำ เป็นสถานะน่าพึงใจน้อยที่สุดสำหรับชีวิตบน อาร์ราคิส. และจำไว้เถิดว่า การเติบโต นั้นตัวมันเองสามารถผลิตสร้างสถานะที่ไม่น่าพึงใจได้จนกว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างใส่ใจ.”

         เจสสิกา สำเหนียกได้ถึงข่าวสารในคำพูดนั้นของ คายนิ์ส, แต่รู้ดีว่าเธอกำลังพลาดมันไป. “การเติบโต,” เธอพูด. “ท่านหมายถึงว่า อาร์ราคิส สามารถที่จะมีวัฏจักรที่เป็นระเบียบของน้ำต่อชีวิตมนุษย์อย่างยั่งยืนภายใต้สถานะทั้งหลายที่พึงใจได้หรือ?”

         “เป็นไปไม่ได้!” ตัวการใหญ่ในเรื่องน้ำ เห่าออกมา.

         เจสสิกา หันความสนใจมายัง บิว์ท. “เป็นไปไม่ได้รึ?”

         “เป็นไปไม่ได้บน อาร์ราคิส,” เขาพูด. “อย่าไปฟังนักฝันเฟื่องผู้นี้. หลักฐานจากห้องทดลองทั้งหมดนั้นค้านต่อเขา.”

         คายนิ์ส มองมาที่ บิว์ท, และ เจสสิกา จดจำไว้ว่าการสนทนาอื่นๆรอบโต๊ะได้หยุดชะงักลงขณะที่ผู้คนหันมาตั้งใจฟังกบการแลกเปลี่ยนใหม่นี้.

         “หลักฐานจากห้องทดลองตั้งใจจะให้เราตาบอดต่อความจริงที่ง่ายมาก,” คายนิ์ส พูด. “ความจริงนั้นคือสิ่งนี้: เรากำลังยุ่งกับจัดการอยู่ที่นี่ต่อเรื่องราวสำคัญทั้งหลายที่กำเนิดและมีอยู่ข้างนอก-ประตู-ทั้งหลายนั่น ที่ซึ่งพืชพันธุ์และสัตว์ทั้งหลายดำรงชีวิตของพวกมันไปอย่างปกติ.”

         “ปกติ!” บิว์ท เหน็บ. “ไม่มีอะไรเกี่ยวกับ อาร์ราคิส ที่เป็นปกติหรอก.”

         “เกือบจะตรงกันข้ามเลย,” คายนิ์ส พูด. “ความกลมกลืนที่แน่นอนทั้งหลายสามารถถูกจัดตั้งขึ้นมาได้ในที่นี้ตามเส้นทางการดำรงตนอย่างยั่งยืน. ท่านเพียงแต่ต้องเข้าใจข้อจำกัดทั้งหลายของเหล่าพืชพันธุ์นั้นและแรงกดดันที่มีต่อมัน.”

         “มันจะไม่มีวันทำสำเร็จหรอก,” บิว์ท พูด.

         ดยุค นั้นได้มาถึงความตระหนักในทันทีนั้น, จัดวางประเด็นที่ทัศนะของ คายนิ์ส ได้เปลี่ยนแปลงไป---มันได้เป็นอย่างที่ เจสสิกา ได้พูดไว้ถึง การยึดครองโรงงานกระจกต้นไม้ทั้งหลายในรูปของสหกรณ์บริษัท(trust-ทรัสต์)สำหรับ อาร์ราคิส.”

         “มันจะใช้อะไรในการจัดตั้งระบบดำรงชีพอย่างยั่งยืน, ดอกเตอร์ คายนิ์ส?” ลีโต ถาม.

         “ถ้าเราสามารถได้สามเปอร์เซ็นต์ขององค์ประกอบพืชสีเขียวบน อาร์ราคิส ที่เกี่ยวข้องในการก่อรูปสารประกอบคาร์บอนอันเป็นสิ่งบริโภคทั้งหลาย, เราก็ได้เริ่มต้นระบบวัฏจักรนั้น.”

         “น้ำเป็นเพียงปัญหาเดียวเท่านั้นรึ?” ดยุค ถาม. เขาสำเหนียกได้ถึงความตื่นเต้นของ คายนิ์สง, รู้สึกว่าตนเองถูกได้ไล่ตามทันไปกับมันด้วย.

         “น้ำทอดเงาอยู่เหนือปัญหาอื่นทั้งหลาย,” คายนิ์ส พูด. “ดาวเคราะห์นีเมีออกซิเจนอยู่มากโดยปราศจากสิ่งที่ต้องมาเคียงคู่กันกับมันตามปกติ---ชีวิต-แผ่กว้าง-ของพืชและแหล่งกำเนิดขนาดใหญ่ของคาร์บอนไดออกไซด์อิสระจากปรากฏการณ์ทั้งหลายเช่นภูเขาไฟระเบิด. มีการแลกเปลี่ยนทางเคมีซึ่งกันตามปกติอยู่เหนือบริเวณพื้นผิวใหญ่โตที่นี่.”

         “ท่านมีโครงการนำร่องทั้งหลายอยู่ไหม?”

         “เราได้ใช้เวลายาวนานในสิ่งที่จะสร้าง แทนสลีย์ เอฟเฟค(Tansley Effect*)---การทดลองหน่วยเล็กทั้งหลายบนพื้นฐานสมัครเล่นซึ่งวิทยาศาสตร์ของข้าอาจจะในตอนนี้กำลังได้รับความจริงทั้งหลาย.” คายนิ์ส พูด.

         “ไม่มีน้ำให้เพียงพอหรอก,” บิว์ท พูด. “แค่ไม่มีน้ำให้เพียงพอได้.”

         “นายท่านบิว์ท เป็นผู้เชี่ยวชาญกับน้ำ,” คายนิ์ส. เขายิ้ม. หันกลับไปยังอาหารของเขา.

         ดยุค แสดงท่าทางอย่างชัดเจนลงไปด้วยมือขวาของเขา, คำราม: “ไม่! ข้าต้องการคำตอบ! มีน้ำเพียงพอหรือไม่, ดร.คายนิ์ส?”

         คายนิ์ส จ้องมองที่จานของเขา.

         เจสสิกา มองดูละครอารมณ์ที่เล่นอยู่บนใบหน้าของเขา. เขาสวมหน้ากากให้ตนเองอย่างดี, เธอคิด, แต่เธอได้ลงทะเบียนเขาไว้แล้วในตอนนี้และอ่านได้ว่าเขาสำนึกเสียใจในคำพูดของเขาเหล่านั้น.

         “มีน้ำอยู่เพียงพอไหม?” ดยุค ถามสั่ง.

         “มี.....อาจจะ,” คายนิ์ส บอก.

         เขากำลังปดหลอกอย่างไม่มั่นใจ! เจสสิกา คิด.

         ด้วยสำนึกสัจจะที่ลึกกว่า, พอล จับได้ถึงแรงขับดันสำคัญที่ซ่อนอยู่, ต้องใช้ทุก ๆออนซ์ของการฝึกฝนของเขาในการที่จะสวมหน้ากากปิดความตื่นเต้นของเขาเอาไว้. มีน้ำอยู่เพียงพอ! แต่ คายนิ์ส ไม่ปรารถนาให้มันถูกได้รู้.

         “นักนิเวศพิภพวิทยาของเรามีความฝันมากมายที่น่าสนใจ,” บิว์ท พูด. “เขาฝันไปกับพวกฟรีเมน—เรื่องคำพยากรณ์ทั้งหลายและเหล่าเมสิยะ.”

         เสียงหัวเราะหึหะทังหลายฟังดูผิดที่ทางรายรอบโต๊ะนั้น. เจสสิกา กาเครื่องหมายพวกเขาไว้---นักลักลอบของเถื่อน, ธิดาผู้ผลิตชุดสติลล์สูท, ดันแคน ไอดาโฮ สตรีผู้ให้บริการเพื่อนเคียงลับ.

         ความตึงเครียดทั้งหลายนั้นแผ่กระจายอย่างพิกลในที่นี่คืนนี้, เจสสิกา คิด. มีมากเกินไปที่ดำเนินอยู่จนฉันไม่ได้ระแวดระวัง. ฉันจะต้องพัฒนาแหล่งข้อมูลใหม่ทั้งหลายนี้.

         ดยุค ผ่านสายตาจ้องมองของเขาจาก คายนิ์ส ไปยัง บิว์ท ไปถึง เจสสิกา. เขารู้สึกปบ่อยวางลงอย่างแปลกๆ, ราวกับว่าบางอย่างสำคัญมากได้ผ่านเขาไปในที่นี้. “อาจจะ,” เขาพึมพำ.

         คายนิ์ส พูดอย่างเร็ว: “บางทีเราน่าจะหารือเรื่องนี้กันในเวลาอื่น, ฝ่าบาท, มีมากมายเหลือเกินที่---”

         นักนิเวศพิภพวิทยาหยุดชะงักลงขณะที่ทหารในชุดเครื่องแบบอะไทรดิสผู้หนึ่งรีบเร่งผ่านเข้าประตูบริการเข้ามา, ได้รับอนุญาตผ่านจากยามรักษาการณ์และพรวดเข้าไปยังด้านข้างของดยุค. ชายนั้นค้อมกายลง, กระซิบที่หูของดยุค.

         เจสสิกา จำเครื่องหมายที่หมวกได้ว่าเป็นกองกำลังของ ฮาวัต, ข่มกลั้นความไม่สบายใจลง. เธอแสดงตนยังสหายสตรีของผู้ผลิตชุดสติลล์สูท---หญิงร่างเล็ก, ผมดำที่มีใบหน้าดุจตุ๊กตา, สัมผัสของละครมหากาพย์ม้วนเข้าไปหาดวงตาคู่นั้น.

         “เธอแทบไม่ได้แตะต้องดินเนอร์ของเธอเลยนะ, ที่รัก,” เจสสา พูด. “ให้ฉันสั่งอะไรให้เธอบ้างไหม?”

         สตรีนั้นมองดูผู้ผลิตชุดสติลล์สูทก่อนที่จะตอบ, ว่า: “ฉันไม่ค่อยหิวมากเท่าไรหรอกค่ะ.”

         ทันทีนั้น, ดยุค ลุกพรดขึ้นยืนข้าทหารของเขา, พูดในน้ำเสียงเกรี้ยวกราด: “จงนั่งอยู่ในที่, ทุกคน. พวกท่านจะต้องให้อภัยต่อข้า, แต่มีเหตุได้บังเกิดขึ้นที่ต้องการให้ข้าไปพิจารณาด้วยตนเอง.” เขาก้าวไปข้างๆ. “พอล, ช่วยดูแลที่นี้ในฐานะเจ้าภาพแทนพ่อด้วย, ถ้าลูกจะกรุณา.”

         พอล ยืนขึ้น, ต้องการที่จะถามว่าทำไมบิดาของเขาต้องออกไป, รู้ดีว่าเขาต้องเล่นบทเรื่องนี้ด้วยลักษณะยิ่งใหญ่. เขาเคลื่อนอ้อมไปยังเก้าอี้ไปยังเก้าของบิดาตน, นั่งลงไปในมัน.

         ดยุค หันไปยังเวิ้งผนังที่ ฮัลเล็ค นั่งอยู่, พูด: “เกอร์นีย์, กรุณามานั่งแทน พอล ที่โต๊ะด้วย. เราต้องไม่ให้มีเลขคี่ในที่นี้. เมื่อดินเนอร์จบแล้ว, ข้าอาจต้องการให้เจ้านำ พอล ไปยัง บก.สนาม. รอให้ข้าเรียกตัว.”

         ฮัลเล็ค พุ่งออกมาจากเวิ้งผนังในชุดเครื่องแบบ, ร่างหนาอัปลักษณ์ของเขาดูเหมือนจะผิดที่ทางในความประณีตกรุยกรายกันอยู่นี้. เขาวางพิงพิณบาลิเส็ทเข้ากับผนัง, ข้ามมายังเก้าอี้ของ พอล ที่ได้ว่างอยู่, นั่งลง.

         “ไม่จำเป็นต้องแตกตื่น,” ดยุค พูด, “แต่ขาต้องขอให้ไม่มีใครออกไปจนกว่ายามรักษาการณ์ราชสำนักจะบอกว่าปลอดภัยแล้ว. พวกท่านจะได้รับการปกป้องเต็มที่ตราบเท่าที่ท่านยังคงอยู่ในที่นี้, และเราจะได้จัดการความเดือดร้อนเล็กน้อยนี้ให้เรียบร้อยได้ในเวลาอันสั้นมาก.”

         พอล จับได้ถึงคำพูดรหัสในข่าวสารของบิดาตน---ยามรักษาการณ์-ปลอดภัย-คุ้มกัน-อันสั้น. ปัญหานั้นคือการรักษาความปลอดภัย, ไม่ใช่ความรุนแรง. เขาเห็นได้ว่ามารดาของเขาก็อ่านข่าวสารอันเดียวกันนั้น. พวกเขาทั้งคู่ผ่อนคลายลง.

         ดยุค พยักหน้าสั้นๆ, หมุนและก้าวยาวๆผ่านประตูบริการไปตามหลังด้วยทหารของเขา.

         พอล กล่าว: “ได้โปรดต่อไปกับดินเนอร์ของท่าน. ข้าเชื่อว่า ดอกเตอร์คายนิ์ส กำลังอภิปรายถึงเรื่องน้ำอยู่.”

         “ขอเราหารือกันในเวลาอื่นเถิดได้ไหม?” คายนิ์ส ถาม.

         “แน่นอนทีเดียว,” พอล พูด.

         และ เจสสิกา จดจำด้วยความภูมิใจในความสง่างามของบุตรชายตน, สัมผัสวุฒิภาวะของความเชื่อมั่น.

         นายธนาคารหยิบจอกน้ำของเขาขึ้นมา, ชี้ด้วยมันไปทาง บิว์ท. “ไม่มีใครในเราที่นี้สามารถล้ำเลยหน้าไปกว่า เจ้านาย ลิงจาร์ บิว์ท ในวลีอันสละสลวย. ใครก็อาจเกือบได้ทึกทักเอาว่าเขานั้นลุ่มหลงนักในตำแหน่งแห่ง มหาราชสำนัก. มาเถิด, เจ้านาย บิวท์, นำเราในการดื่มอวยพร. บางทีท่านได้มีสักจำหนึ่งของคติพจน์ให้กับเด็กชายผู้ต้องถูกปฏิบัติต่อเยี่ยงผู้ใหญ่.”

         เจสสิกา กำมือขวาของเธอแน่นเป็นหมัดอยู่ใต้โต๊ะ. เธอเห็นสัญญานมือผ่านจาก ฮัลเล็ค ไปยัง ไอดาโฮ, เห็นเหล่าทหารมหาดเล็กตามผนังเคลื่อนเข้าสู่ตำแหน่งของรักษาการณ์เต็มที่.

         บิว์ท ส่งสายตาอาบพิษไปยังนายธนาคาร.

         พอล ชำเลืองไปที่ ฮัลเล็ค, รับทราบในตำแหน่งป้องกันของยามรักษาการณ์ของเขา, มองไปที่นายธฯคารจนกระทั่งชายนั้นลดจอกน้ำนั้นลง. เขาพูด: “ครั้งหนึ่ง, ที่บน คาลาดาน, ข้าได้เห็นร่างของชาวประมงที่จมน้ำตายถูกปิดคลุมไว้. เขา---”

         “จมน้ำ!” เป็นธิดาของผู้ผลิตชุดสติลล์สูทอุทาน.

         พอล ลังเล, แล้วว่า: “ใช่. จมลงไปในน้ำจนกระทั่งเสียชีวิต. จมน้ำตาย.”

         “ช่างเป็นวิธีที่น่าสนใจในการตายจังเลย,” เธอพึมพำ.

         รอยยิ้มของ พอล แบนบาง. เขาหันความสนใจของตนไปยังนายธนาคาร. “สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับชายผู้นั้นเป็นรอยแผลบนไหล่ของเขา---เกิดขึ้นโดยรองเท้าบู้ทตะขอของชาวประมงอีกคนหนึ่ง. ชายชาวประมงคนนี้เป็นหนึ่งในหลายคนในเรือลำหนึ่งนั้น---ยานที่ใช้แล่นไปบนผิวน้ำ---ที่ได้อัปปาง.....จมลงใต้น้ำ. ชาวประมงคนอื่นที่ช่วยกู้ร่างขึ้นมานั้นบอกว่าเขาเคยเจอรอยแผลเหมือนของชายผู้นั้นมาหลายครั้งแล้ว. พวกมันหมายถึงชาวประมงคนอื่นได้พยายามที่จะเหยียบหลังไหล่ของชายผู้น่าสงสารนี้ในการถีบยืนตัวเองพยายามขึ้นไปผิวน้ำ---เพื่อให้ถึงอากาศหายใจ.”

         “ทำไมเรื่องนี้น่าสนใจหรือ?” นายธนาคารถาม.

         “เพราะการสังเกตการณ์ที่ทำขึ้นโดยบิดาของข้าในเวลานั้น. ท่านบอกว่าชายผู้จมน้ำที่ได้ปีนไต่เหยียบไหล่ของเจ้าเพื่อช่วยชีวิตตนเองนั้นเป็นที่เข้าใจได้—นอกเสียจากว่าเจ้าเห็นมันที่ในห้องนั่งเล่น.” พอล หยุดรอชั่วครู่แค่นอนพอที่จะให้นายธนาคารได้มองเห็นประเด็นมาถึง, แล้วว่า: “และ, ข้าควรจะเพิ่มให้อีกนิด, นอกเสียจากว่าเมื่อท่านเห็นมันที่โต๊ะดินเนอร์.”

         ความนิ่งเงียบเกิดขึ้นทันใดในห้อง.

         นั่นใจร้อนไป, เจสสา คิด. นายธนาคารนี้อาจมีบรรดาศักดิ์เพียงพอที่จะท้าทายลูกชายฉันออกไปประลองกันได้. เธอมองเห็นว่า ไอดาโฮ ได้ตั้งท่าที่จะกระโจนเข้าหาได้ในทันที. กองกำลังมหาดเล็กตื่นตัวพร้อมแล้ว. เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค ได้จับตามองชายตรงข้ามเขานิ่งอยู่.

         “โฮ-โฮ-โฮ-โ-โ-ฮ!” เป็นนักลักลอบของเถื่อน, ตูอิค, โยนศีรษะเอนกลับไปหัวเราะอย่างปล่อยตัวเต็มที่.

         รอยยิ้มอย่างกระสับกระส่ายกระจายอยู่รายรอบโต๊ะ.

         บิว์ท กำลังยิ้มน้อยๆ.

         นายธนาคารได้ผลักดันเก้าอี้ของตนถอยออก, กำลังมองที่ พอล.

         คายนิ์ส พูด: “ใครวางเหยื่อกับอะไทรดิสกำลังเสี่ยงอยู่กับตนเองล่ะ.”

         “เป็นประเพณีของอะไทรดิสที่จะดูหมิ่นแขกเหรื่อทั้งหลายของพวกตนรึ?” นายธนาคารถามเสียงดัง.

         ก่อนที่ พอล จะตอบ, เจสสิกา เอนกายไปข้างหน้า, พูด: “ท่าน!” แล้วเธอก็คิดว่า: เราต้องเรียนรู้จากเกมของสัตว์เลี้ยงฮาร์คอนเนนส์นี้. ว่าเขามาที่นี่เพื่อพยายามลองกับ พอล? เขามีความช่วยเหลือไหม?

         “บุตรชายของข้าแสดงให้เห็นถึงเสื้อผ้าทั่วไปและท่านอ้างว่ามันตัดมาให้เฉพาะพอดีกับตัวท่านล่ะหรือ?” เจสสิกา ถาม. “ช่างเป็นการเผยความจริงที่น่าจับใจนัก.” เธอเลื่อนมือลงไปตามต้นขาของตนยังมีดกริช ที่เธอได้รัดไว้อยู่ในปลอก-ฝัก.

         นายธนาคารหันการเหลือบมองมายัง เจสสิกา. ดวงตาของเขาย้ายออกจาก พอล และเธอเห็นเขาผ่อนตนเองถอยกลับจากโต๊ะ, ปล่อยตนเองให้อิสระจากการกระทำ. เขาได้เพ่งอยู่กับคำรหัส: เสื้อผ้า. เตรียมพร้อมสำหรับความรุนแรง.

         คายนิ์ส หันมองตรงอย่างพินิจมาที่ เจสสิกา, ใหสัญญานมือยัง ตูอิค.

         นักลักลอบของเถื่อนเซถลาลุกขึ้นยืน, ชูจอกของตนขึ้น. “ข้าจะดื่มอวยพรให้ท่านเอง,” เขาพูด. “แด่ เจ้าชายหนุ่ม พอล อะไทรดิส, ยังเป็นหนุ่มด้วยรูปกาย, แต่เป็นชายเต็มตัวในการกระทำของเขา.”

         ทำไมพวกเขารุกแทรกเข้ามา? เจสสิกา ถามตนเอง.

         นายธนาคารจ้องมองลงไปยัง คายนิ์ส, และ เจสสิกา มองเห็นความตื่นตระหนกกลับคืนมาบนใบหน้าสายลับผู้นี้.

         ผู้คนเริ่มตอบสนองไปทั่วรอบโต๊ะ.

         ที่ใดที่ คายนิ์ส นำไป, ผู้คนติดตาม, เจสสิกา คิด. เขาได้บอกเราว่าเขาอยู่ข้าง พอล. อะไรคือความลับของพลังอำนาจของเขารึ? มันไม่สามารถเป็นแค่ว่าเขาคือ ตุลาการการถ่ายโอน. นั่นเป็นการชั่วคราวง และอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เพราะเขาเป็น ข้าราชการ.

         เธอย้ายมือของเธอออกจากด้ามคริสไน้ฟ, ชูจอกของเธอให้กับ คายนิ์ส, ผู้ชูตอบรับนั้นด้วย.

         มีเพียง พอล และนายธนาคาร---(ชู่-ชู่! ช่างเป็นชื่อเล่นที่ปัญญาอ่อนมาก! เจสสิกา คิด.)---ที่ยังคงมือว่างเปล่าอยู่. ความสนใจของนายธนาคารตรึงแน่นอยู่กับ คายนิ์ส. พอล จ้องมองจานของเขา.

         ข้าได้จัดการมันอย่างถูกต้อง, พอล คิด. ทำไมพวกเขาต้องแทรกเข้ามายุ่งด้วยล่ะ? เขาเหลือบมองอย่างซ่อนเร้นไปที่บรรดาแขกเหรื่อผู้ชายใกล้เขาที่สุด. เตรียมพร้อมสำหรับความรุนแรงรึ? จากใคร? แน่นอนละว่าไม่ใช่จากเกลอนายธนาคารผู้นี้.

         ฮัลเล็ค ขยับ, พูดราวกับไม่มุ่งไปหาใครเป็นพิเศษ, กำกับคำพูดของเขาข้ามศีรษะของบรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ตรงข้ามจากเขาไป: “ในสังคมของเรา, ผู้คนไม่ควรจะรวดเร็วนักในการที่จะบุกรุกราน. มันเป็นการฆ่าตัวตายอย่างบ่อยครั้ง.” เขามองไปยังธิดาของผู้ผลิตชุดสติลล์สูทที่ด้านข้างของเขา. “เธอคิดเช่นนี้ด้วยไหม, มิส?”

         “ โอ้, ใช่. ใช่เลย. แน่นอนว่าฉันคิด,” เธอพูด. “มีความรุนแรงอยู่มากเกินไปแล้ว. มันทำให้ดิฉันรำคาญเลยนะ. และหลายครั้งไม่ได้บุกรุกรานแบบตั้งใจ, แต่ก็มีผู้คนล้มตายไปด้วยอยู่ดี. มันไม่เข้าท่าเลย.”

         “จริงแท้เลยว่ามันไม่,” ฮัลเล็ค พูด.

         เจสสิกา มองเห็นการกระทำที่ใกล้สมบูรณ์ยิ่งของหญิงสาว, ตระหนักได้ว่า: สาวน้อยหัวกลวงว่างนั่เปล่านไม่ใช่สาวน้อยที่มีหัวกลวงว่างเปล่าหรอก. เธอมองเห็นแล้วรูปแบบของการคุกคามและความเข้าใจที่ ฮัลเล็ค, ด้วยเช่นกัน, ได้ตรวจหามัน. พวกเขาได้วางแผนที่จะล่อลวง พอล ด้วยเสน่ห์ทางเพศ. บุตรชายของเธออาจเป็นคนแรกที่พบเห็นมัน---การฝึกฝนมาของเขาไม่ได้มองข้ามอุบายที่ชัดแจ้งนั้น.

         คายนิ์ส พูดยังนายธฯคาร: “ไม่มีคำขออภัยตามมาอีกรึ?”

         นายธฯคารหันรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างน่าเกลียดมายัง เจสสิกา, พูด: “ท่านผู้หญิง, ข้าเกรงว่าข้าจะเผลอตัวตามใจมากเกินไปในไวน์ของท่าน. ท่านเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ทรงประสิทธิภาพที่โต๊ะ, และข้าไม่คุ้นเคยต่อมัน.”

         เจสสิกา ได้ยินถึงพิษร้ายแฝงอยู่ใต้น้ำเสียงของเขา, พูดอย่างอ่อนหวาน: “เมื่อผู้แปลกหน้ามาพานพบกัน, การยินยอมอย่างใหญ่หลวงควรจะได้ทำกันใหแตกต่างไปจากธรรมเนียมและการที่ฝึกฝนมา.”

         “ขอบพระคุณ, ท่านหญิง,” เขาพูด.

         สหายผมดำของผู้ผลิตชุดสติลล์สูทเอนร่างมาหา เจสสิกา, พูด: “ท่านดยุคพูดถึงการอยู่ในความปลอดภัยในที่นี่. ดิฉันหวังว่านั่นไม่ได้หมายถึงมีสู้รบขึ้นมาอีกนะ.”

         เธอกำลังถูกกำกับให้นำการสนทนาเยี่ยงนี้, เธอคิด.

         “ดูเหมือนเรื่องนี้จะพิสูจน์ว่าไม่ได้สำคัญอะไร,” เจสสิกา พูด. “แต่มีรายละเอียดที่จำเป็นให้ท่านดยุคต้องไปจัดการด้วยตนเองในเวลาเหล่านี้. ตรายใดที่ความเป็นปฏิปักษ์ยังดำเนินอยู่ต่อไประหว่าง อะไทรดิส และ ฮาร์คอนเนน เราไม่สามารถว่าระวังตัวเกินไปนัก. ท่านดยุคได้ประกาศสัตย์สาบาน(kanly*)ไปแล้ว. เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวแทนฮาร์คอนเนนคนใดมีชีวิตอยู่บน อาร์ราคิส,

         https://dune.fandom.com/wiki/Kanly

แน่นอนละ.” เธอเหลือบไปยังตัวแทน กิลด์ แบ็งค์. “และ ที่ประชุมพันธสัญญา นั้น, โดยธรรมชาติ, ก็ได้รับรองเขาในเรื่องนี้.” เธอเปลี่ยนความสนใจไปที่ คายนิ์ส. “ไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอกหรือ, ดร.คายนิ์ส?”

         “จริงแท้แล้วเป็นเช่นนั้น,” คายนิ์ส พูด.

         ผู้ผลิตชุดสติลล์สูทดึงสหายของตนกลับไปอย่างนุ่มนวล. เธอมองดูเขา, พูด: “ฉันเชื่อล่ะว่าดิฉันจะทานอะไรมั่งแล้วในตอนนี้. ดิฉันอยากได้นกจานแบบนั้นที่เสิร์ฟตอนแรกๆบ้างค่ะ.”

         เจสสิกา ส่งสัญญานให้ผู้รับใช้, หันมายังนายธนาคาร: “และ, ท่าน, ได้พูดถึงนกทั้งหลายก่อนหน้านี้และนิสัยของพวกนั้น. ดิฉันพบว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับ อาร์ราคิส. บอกดิฉันสิ, ว่าที่ไหนที่เครื่องเทศนี้ถูกพบ? เหล่านายพรานเข้าไปในทะเลทรายตอนลึกไหม?”

         “โอ้, ไม่เลย, ท่านผู้หญิง,” เขาพูด. “เป็นที่รู้กันได้น้อยมากในทะเลทรายตอนลึก. และเกือบจะไม่มีในภูมิภาคตอนใต้ทั้งหลายนี้.”

         “มีนิทานว่า คลังมหาสมบัติมารดร แห่งเครื่องเทศนั้นถูกค้นพบในตอนใต้ที่เอื้อมไปถึงทั้งหลายนี้,” คายนิ์ส พูด, “แต่ข้าระแวงว่าจะเป็นจินตนาการประดิษฐ์ทำขึ้นโดยลำพังเพื่อจุดประสงค์เป็นลำนำเพลงหนึ่ง. นายพรานล่าเครื่องเทศที่กล้าทำ, มีโอกาส, ก็เจาะเข้าไปในริมขอบของแถบแนวตอนกลาง, แต่นั้นอันตรายเป็นที่สุด---เครื่องนำทางไม่แน่นอน, มีพายุเกิดขึ้นถี่บ่อย. อุบัติเหตุร้ายแรงทั้งหลายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อท่านปฏิบัติการไปไกลมากขึ้นจากฐานกำแพงโล่ห์ทั้งหลาย. มันไม่ได้ถูกพบว่ากำไรได้ในการผจญภัยเข้าไปไกลเกินไปทางตอนใต้. บางทีถ้าเราได้ดาวเทียมควบคุมสภาพอากาศ...”

         บิว์ท เงยหน้าขึ้น, พูดไปรอบโต๊ะทั้งอาหารเต็มปาก: “ว่ากันว่าพวกฟรีเมนเดินทางอยู่ที่นั่น, ว่าพวกเขาไปที่ใดก้ได้และได้ล่าพบบ่อน้ำชุ่มและฉ่ำทั้งหลายแม้กระทั่งในละติจ฿ดทางตอนใต้.”

         “บ่อน้ำชุ่มและฉ่ำทั้งหลายรึ?” เจสสิกา ถาม.

         คายนิ์ส พูดอย่างเร็ว: “ข่าวลือไม่เป็นจริง, ท่านผู้หญิง. เป็นที่รู้จักกันดีบนดาวเคราะห์อื่น, ไม่ใช่บน อาร์ราคิส. ที่ชุ่มนั้นคือที่ซึ่งน้ำซึมซาบมายังพื้นผิวหรือใกล้พอกับพื้นผิวที่จะค้นพบได้โดยการขุดตามสัญญานบอกที่ชัดเจน. บ่อ-ฉ่ำน้ำคือรูปทรงของที่ซึ่งคนจะดูดน้ำผ่านหลอดได้...ว่ากันไว้เช่นนั้น.”

         มีลวงเล่ห์อยู่ในคำพูดของเขา, เจสสิกา คิด.

         ทำไมเขาต้องโกหกด้วย? พอล กังขา.

         “ช่างน่าสนใจมาก,” เจสสิกา พูด. และเธอคิด: “มันถูกพูดกันไว้...” ช่างเป็นธรรมเนียมการพูดที่แปลกนักของที่นี่. ถ้าพวกเขาเพียงแต่รูเว่าอะไรที่ได้เผยถึงการพึ่งพาเรื่องงมงายของพวกเขา.

         “ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านมีคำพูดว่า,” พอล พูด, “เติมแต่งนั้นมาจากในเมือง, ปัญญานั้นมาจากทะเลทราย.”

         “มีคำพูดว่ากันไว้มากมายบนอาร์ราคิส,” คายนิ์ส บอก.

         ก่อนที่ เจสสิกา จะวางกรอบคำถามอันใหม่,อคนรับใช้น้อมกายลงหาเธอและยื่นบันทึกให้. เธอเปิดมันออก, เห็นลายมือของดยุคและเครื่องหมายรหัสทั้งหลาย, ไล่ตรวจผ่านมัน.

         “พวกท่านจะพึงพอใจที่ได้ทราบ,” เธอพูด, “ว่าท่านดยุคของเราส่งคำยืนยันของเขามา. เหตุที่เรียกตัวเขาไปนั้นได้รับการแก้ปัญหาแล้ว. ยานแครี่ออลที่หายไปได้ถูกพบ. สายของฮาร์คอนเนนส์ในลูกเรือได้ใช้กำลังเข้าควบคุมผู้อื่นและบินเครื่องจักรนั้นไปยังฐานลักลอบของเถื่อน, หวังว่าจะขายมันที่นั่น. ชายทั้งคู่และเครื่องจักรได้ถูกจัดการกลับมาสู่กองกำลังของเราแล้ว.” เธอพยักหน้าให้กับ ตูอิค.

         นักลักลอบของเถื่อน พยักหน้าตอบรับ.

         เจสสิกา พับเก็บบันทีกนั้น, ยัดมันเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ.

         “ข้าดีใจที่มันไม่ได้มาเป็นการเปิดรบสู้กัน,” นายธฯคารพูด. “ผู้คต่างพากันหวังว่า อะไทรดิส จะนำมาซึ่งสันติภาพและความรุ่งเรือง.”

         “โดยเฉพาะความรุ่งเรือง,” บิว์ท พูด.

         “เราทานของหวานกันในตอนนี้เลยดีไหม?” เจสสิกา ถาม. “ดิฉะนให้พ่อครัวของเราเตรียมของหวาน คาลาดาน: ข้าวปอนจิ(pongi rice*)ในซอส ดอลซ่า(dolsa*).

         https://dune.fandom.com/wiki/Pongi_rice

         “ฟังดูน่าอัศจรรย์,” ผู้ผลิตชุดสติลล์สูทพูด. “จะเป็นไปได้ไหมที่จะได้ตำหรับอาหารนี้ด้วย?”

         “ตำหรับใดก็ตามที่ท่านปรารถนาเลยล่ะ,” เจสสิกา พูด, ลงทะเบียนชายผู้นี้สำหรับเอ่ยถึงกับ ฮาวัต ในภายหลัง. ผู้ผลิตชุดสติลล์สูทนี้เป็นนักปีนป่ายที่หวาดกลัวอยู่เล็กน้อยและน่าจะถูกซื้อตัวได้.

         เสียงซุบซิบเล็กๆเริ่มขึ้นรอบตัวเธอ. “ช่างเป็นผ้าที่น่ารัก...” “เขาได้จัดทำขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับชุดเครื่องเพชรพลอย...” “เราอาจจะลองพยายามผลิตมันเพิ่มขึ้นมาในไตรมาสหน้านะ....”

         เจสสิกา มองจ้องที่จานของเธอ, กำลังคิดถึงรหัสในส่วนหนึ่งของข่าวสารจาก ลีโต: พวกฮาร์คอนเนนส์ ได้พยายามจะเข้าไปในการขนส่งสินค้าปืนเลฌซอร์. เราจับกุมพวกมันได้. นี่อาจจะหมายถึงว่าพวกมันทำสำเร็จกับการขนส่งสินค้าอื่นๆ. ชัดเจนเลยว่าพวกมันไม่ได้วางไว้มากนักในคลังโล่ห์พลัง. จงระวังตัวไว้ให้เหมาะสม.

         เจสสิกา เพ่งจิตใจของเธอไปที่ปืนเลเซอร์ทั้งหลายนั้น, กังขาใจ. ลำแสงร้อน-สีขาวของแสงยุ่งเหยิงกระจัดกระจายสามารถตัดทะลุวัตถุที่รู้จักกันใดก็ได้, ถ้าวัตถุจัดหานั้นไม่ได้ถูกเปิดโล่ห์หุ้มไว้. ความจริงที่ว่าการสะท้อนกลับมาจากโล่พลังนั้นจะระเบิดทำลายทั้งปืนเลเซอร์และโ,ห์ป้องกัน ไม่ได้กวนใจอะไรกับพวกฮาร์คอนเนนส์. ทำไมรึ? การระเบิดของโล่ห์ป้องกัน-ปืนเลเซอร์เป็นอันตรายที่แปรเปลี่ยนได้, สามารถมีอำนาจทำลายได้ยิ่งกว่าปรมาณู, และก็สามารถฆ่าได้แค่เพียงมือปืนและเป้าติดโล่ห์ของเขา.

         ผู้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวในที่นี่เติมให้เธอด้วยความกังวลใจ.

         พอล พูด: “ข้าไม่เคยสงสัยในเรื่องที่เราจะได้พบยานแครี่ออล. เมื่อใดที่บิดาของข้าเคลื่อนไหวในการคลี่คลายปัญหา, ท่านก็จะคลี่คลายมันได้. นี่คือความจริงที่พวกฮาร์คอนเนนส์กำลังเริ่มที่จะได้ค้นพบ.”

         เขากำลังโอ้อวด, เจสสิกา คิด. เขาไม่ควรจะโอ้อวด.ไม่มีคนใดที่จะนอนหลับอยู่ไกลใต้ระดับพื้นดินในคืนนี้โดยระวังตนต่อปืนเลเซอร์แล้วมีสิทธิที่จะคุยอวดโอ่ได้.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น