“ไม่มีการหลบหนี---เราชดใช้ให้กับความรุนแรงของบรรพบุรุษของเรา.”
---จาก
“คำพูดที่รวบรวมไว้ของ มวด’ดิบ”
โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน
เจสสิกา ได้ยินความวุ่นวายในโถงใหญ่,
เปิดไฟแสงสว่างข้างเตียงของเธอ. นาฬิกาตรงนั้นไม่ได้ปรับอย่างเหมาะสมให้เข้ากับเวลาท้องถิ่น,
และเธอต้องหักออกยี่สิบเอ็ดนาทีเพื่อตกลงใจว่ามันเป็นราวๆ ตี 2.
ความวุ่นวายนั้นเสียงดังและไม่ปะติดปะต่อ.
นี่เป็นการโจมตีของพวกฮาร์คอนเนนส์หรือ?
เธอสงสัยในใจ.
เธอเลื่อนตัวออกจากเตียง,
ตรวจจอมอนิเตอร์ทังหลายเพื่อดูว่าครอบครัวของเธออยู่ที่ไหน. จอแสดงให้เห็นว่า พอล
กำลังนอนหลับในห้องใต้ถุนลึกที่พวกเขาได้เปลี่ยนให้เป็นห้องนอนสำหรับเขา.
เสียงดังนี้ชัดเจนว่าไม่ได้ทะลุเข้าไปได้ถึงส่วนที่อยู่ของเขานี้.
ไม่มีใครอยู่ในห้องของดยุค, เตียงของเขาไม่มีรอยยับย่น. เรายังคงอยู่ที่ บก.สนาม
รึ?
ยังไม่มีจอภาพทั้งหลายให้เห็นทางด้านหน้าของวัง.
เจสสกา ยืนอยู่ในกลางห้องของเธอ,
กำลังฟัง.
มีเสียงตะโกนหนึ่ง, เสียงไม่ต่อเนื่อง.
เธอได้ยินบางคนเรียก ดร.หยัว. เจสสิกา หาเสื้อคลุมเจอ, ดึงมันมาห่มไหล่ของเธอ,
เอาเท้าของเธอสวมรองเท้าสลิปเปอร์, คาดรัดมีดกริชเข้ากับขขาของเธอ.
อีกครั้งมีเสียงหนึ่งเรียหา หยัว.
เจสสิกา
คาดเข็มขัดรัดเสื้อคบุมรอบตัวเธอ, ก้าวไปยังทางไปห้องโถง.
แล้วความคิดนั้นก็ฟาดเข้าใส่เธอ: ถ้าเกิด ลีโต
บาดเจ็บล่ะ?
ห้องโถงดูจะยืดยาวไกลออกเป็นชั่วนิรันดร์ภายใต้เท้าวิ่งของเธอ.
เธอเลี้ยวผ่านซุ้มโค้งตอนปลายสุด,
พุ่งผ่านโถงทานอาหารและลงไปตามทางเดินสู่ห้องโถงใหญ่ท้องพระโรง,
พบว่าที่นั้นได้มีแสงสว่างจ้า, โคมแขวนที่ผนังทั้งหมดเปล่งแสงที่ขีดสุด.
ทางด้านขวามือของเธอใกล้กับทางเข้าด้านหน้า,
เธอเห็นทหารรักษาการณ์มหาดเล็กสองคนกำลังหาม ดันแคน ไอดาโฮ อยู่ในระหว่างพวกเขา.
ศีรษะของเขาเอนห้อยมาทางด้านหน้า, และความเงียบเฉียบพลัน,
หอบหายใจขึ้นกับภาพเหตุการณ์นี้.
ทหารรักษาการณ์มหาดเล็กพูดอย่างกล่าวหากับ
ไอดาโฮ: “เห็นมั๊ยว่าเจ้าทำได้อะไรไป? เจ้าทำให้ท่านหญิงเจสสิกาต้องตื่นมา.”
ผ้าม่านใหญ่ทั้งหลายกระพือออกตามหลังชายเหล่านั้น,
เปิดให้เห็นว่าประตูหน้ายังคงเปิดอยู่. ไม่มีสัญญานอะไรให้เห็น ดยุค หรือ หยัว.
มาเพส ยืนอยู่ข้างหนึ่งกำลังจ้องมองอย่างเย็นชายัง ไอดาโฮ. หล่อนสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลยาวที่ออกแบบคล้ายงูเลื้อยที่ชายขอบ.
เท้าของหล่อนถูกยัดเข้าไปในรองเท้าบู้ททะเลทรายคลายหลวม.
“งั้นข้าก็ได้ปลุกท่านหญิงเจสสิกาตื่นแล้ว,”
ไอดาโฮ พึมพำ. เขายกใบหน้าของตนขึ้นไปยังเพดาน, คำราม:
“ดาบของข้าได้ดื่มเลือดแรกกับ กรัมแมน(Grumman)!”
พระมารดาเจ้า! เขาเมา! เจสสิกา คิด.
ใบหน้าเข้มคล้ำ, กลมของ
ไอดาโฮถูกดึงเข้ามาเป็นขมวดย่น. ผมของเขา, ม้วนขดเหมือนขนเฟอร์ของแกะดำ,
ถูกเปรอะติดกันด้วยฝุ่น. มีฉีกขาดเป็นรอยฟันปลาอยู่ที่เสื้อเครื่องแบบของเขาเผยกว้างให้เห็นเสื้อเดรสที่เขาได้สวมอยู่เมื่องานเลี้ยงตอนค่ำนั้น.
เจสสิกา เดินข้ามห้องไปหาเขา.
หนี่งในยามรักษาการณ์พยักหน้าให้กับเธอโดยปราศจากการปล่อยที่เขายึดตัว
ไอดาโฮ. “เราไม่ทราบว่าจะทำอะไรกับเขาดีขอรับ, ท่านผู้หญิง.
เขาได้สร้างวมวุ่นวายข้างหน้าด้านนอกนั่น, ปฏิเสธที่จะเข้ามาข้างใน.
เราเกรงว่าพวกท้องถิ่นอาจจะตามมาและเห็นเขา. นั่นไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย.
ทำให้เราเสียชื่อที่นี่ได้.”
“เขาไปอยู่ที่ไหนมารึ?” เจสสิกา ถาม.
“เขาไปเป็นเพื่อนคุ้มครองหนึ่งในสตรีทั้งหลายนั้นกลับบ้านจากงานเลี้ยง,
ท่านหญิง. คำสั่งของ ฮาวัต.”
“หญิงสาวคนไหนรึ?”
“หนึ่งในพวกสาวเพื่อนเคียงชาวบ้านทั้งหลาย.
ท่านเข้าใจนะ, ท่านหญิง?” เขาชำเลืองมองไปยัง มาเพส, ลดเสียงลง.
“พวกนั้นมักจะเรียกหา ไอดาโฮ เพื่อการดูแลเป็นพิเศษของสุภาพสตรีทั้งหลาย.”
และ เจสสิกา คิด: พวกเขาก็เป็นเช่นนั้นเอง. แต่ทำไมเขาถึงเมามายล่ะ?
เธอขมวดคิ้ว,
หันไปยัง มาเพส. “มาเพส, ไปเอายาบำรุงมาทีสิ. ข้าแนะนำว่าเป็นคาเฟอีนนะ.
บางทีกาแฟใส่เครื่องเทศที่มีเหลืออยู่นั่น.”
มาเพส ยักไหล่, มุ่งหน้าไปที่ครัว. รองเท้าบู้ททะเลทรายคลายเชือกของหล่อนตบลปับแปะกับพื้นหินของห้องไป.
ไอดาโฮ
เหวี่ยงศีรษะอันไม่แน่วแน่ของเขาไปรอบ ๆเพื่อมองหามุมไปที่ เจสสิกา.
“ข้าฆ่าอีกสามนัก’ล่าให้กับท่านดยุค,” เขาพร่ำบ่น.
“อารายที่ท่านอยากรู๊ครือว่าทำมายข้ามาหยูนี? ม่ายด้ายปายหยูทีใต้ดินที่นี่อ่ะ.
ม่ายอาจหยูค้างโบนที่นี่ด้าย. นี่มานที่อารายกันนัก, รึ?”
เสียงหนึ่งมาจากทางเข้าโถงด้านขางจับความสนใจของ
เจสสิกา. เธอหันไป, เห็น หยัว กำลังเดินข้ามห้องมาหาพวกเขา, ชุดเวชภัณฑ์ของเขาแกว่งอยู่ในมือซ้ายของง
เขาแต่งชุดเต็มที่, ดูซีดเซียว, เหนื่อยล้า.
รอยสักรูปเพชรยืนเด่นชัดออกมาจากหน้าผากของเขา.
“ท่าน’มอโคนดี!” ไอดาโฮ ตะโกน. “เป็นงายม้าง, หมอ?
ทามยาโหกไปรึ?” เขาหันสะเงาะสะแงะมาที่ เจสสิกา. “ทามตัวเอ๋งงี่ง่าวอ่ะ, เน๊าะ?”
เจสสิกา ขมวดคิ้ว, นิ่งเงียบไว้อยู่,
สงสัยว่า: ทำไม ไอดาโฮ ถึงได้เมาขึ้นมารึ? เขาถูกวางยาหรือเปล่า?
“ดื่มเบียร์เครื่องเทศมากเกินไป,” ไอดาโฮ
บอก, พยายามที่จะหยัดร่างขึ้น.
มาเพส
กลับมาพร้อมด้วยถ้วยมีไอร้อนในมือหล่อน, หยุดอยู่อย่างไม่แน่ใจด้านหลังของ หยัว.
หล่อนมองมายัง เจสสิกา, ที่สั่นศีรษะของเธอ.
หยัว
วางชุดเวชภัณฑ์ลงบนพื้น, พยักหน้าทักทายกับ เจสสิกา, พูด:
“เบียร์เครื่องเทศ, เอ๋?”
“ดีที่สูดเล๊ยที่เคยลิ้มรส,” ไอดาโฮ พูด.
เขาพยายามที่จะดึงตัวเองเพื่อระวังตรง. “ดาบของข้าดืมเลือดแรกกับพวก กรัมแมน! ฆ่าเจ้า ฮาร์...ฮาร์คอน...ฆ่ามันเพื่อท่านดยูค.”
หยัว หันกลับ, มองที่ถ้วยในมือของ มาเพส.
“นั่นอะไรรึ?”
“คาเฟอีน,” เจสสิกา บอก.
หยัว รับถ้วยนั้นมา, ยื่นไปให้ ไอดาโฮ.
“ดื่มนี่ซะ, หนุ่ม.”
“ไม่อาวววดื่มอารายอีกแล้ว.”
“ดื่มซะ, ข้าบอก!”
ศีรษะของ ไอดาโฮ โยกเยกไปหา หยัว,
และหนึ่งก้าวเซไปข้างหน้า, ลากเอายามรักษาการณ์ติดไปด้วย.
“ข้าเหมิ่ดเรี่ยงแรงรับใช้มหาจักกะหวัดใหญ่ยิ่งหย่ายในจักกะวานท้างหลายแหล่ว, หมอ.
ขอแค่คร้างเด่ว, ทำตามวิธีของข้ามั่งเหอะ.”
“หลังจากท่านดื่มนี่เสียก่อน,” หยัว พูด.
“มันแค่คาเฟอีน.”
“เสียน่าวกานไปเหมิ่ดที่เหลือในที่นี่อ่ะแหละ! ดวงตะวันห่าเวรตะไลกินน่านก็สว่างจ้าแท้ง ม่ายมีอารายเป็นสีสานมั่งเล๊ยย.
ทุกอย่างผิดไปหรือม่ายก้อ....”
“เอาละ, ถึงเวลากลางคืนแล้วตอนนี้,” หยัว
บอก. เขาพูดอย่างมีเหตุมีผล. “ดื่มนี่อย่างเป็นเด็กดี. มันจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น.”
“ไม่อยากดีขึ้นอ่ะ!”
“เราไม่สามารถเถียงกับเขาได้ทั้งคืน,”
เจสสิกา พูด. และเธอคิด: นี่เรียกหาการบำบัดโดยการช็อค.
“ไม่เหตุผลอะไรที่ท่านต้องอยู่ด้วย,
ท่านหญิงที่รัก,” หยัว พูด. “ข้าสามารถดูและเรื่องนี้ได้.”
เจสสิกา ส่ายศีรษะของเธอ. เธอก้าวไปข้างหน้า,
ตบอย่างแรงเข้าที่แก้มของ ไอดาโฮ.
เขาเซร่างถอยกลับไปพร้อมกับยามรักษาการณ์ของเขา,
มองจ้องยังเธอ.
“นี่ไม่ใช่วิธีที่จะมากระทำตัวในบ้านดยุคของเจ้า,”
เธอพูด. เธอคว้าถ้วยมาจากมือของ หยัว, ทำมันกระฉอกไปส่วนหนึ่ง, ทิ่มมันไปหา
ไอดาโฮ. “ทีน็ดื่มนี่ซะ! นี่เป็นคำสั่ง!”
ไอดาโฮ กระตุกตัวเองยืนตรง,
บึ้งหน้าลงใส่เธอ. เขาพูดช้า ๆ, ด้วยการระมัดระวังและออกเสียงใหชัดเจน: “ข้าไม่รับคำสั่งใด ๆจากสายลับเวรห่าของพวกฮาร์คอนเนนส์.”
หยัว ร่างแข็งทื่อ, ม้วนไปเผชิญหน้ากับ
เจสสิกา.
ใบหน้าของเธอได้ซีดเผือดลงไป,
แต่เธอกำลังพยักหน้า.
ทั้งหมดนี้ชัดเจนแล้วต่อเธอ---ลานที่ตึงขาดพังของความหมายที่เธอได้เห็นในคำพูและการกระทำซึ่งอยู่รายรอบตัวเธอในสองสามวันที่ผ่านมาเหล่านี้สามารถในตอนนี้ถูกแปลความได้แล้ว.
เธอพบว่าตนเองตกอยู่ในกำมือของโทสะเกือบจะมหาศาลจนเกินกว่าจะทานเอาไว้. มันต้องใช้ส่วนลึกล้ำสุดของการฝึกฝนมาจาก
เบเน เกสเสอริต ของเธอในการที่จะสงบชีพจรของเธอและทำให้การหายใจราบเรียบลง.
แม้กระทั่งตอนนั้นแล้วเธอก็ยังรู้สึกถึงประกายที่แวบวาบอยู่.
พวกเขามักจะเรียกใช้บริการของ ไอดาโฮ
ในการสอดส่องควบคุมดูแลสุภาพสตรีทั้งหลาย!
เธอยิงสายตาจ้องไปที่
หยัว. แพทย์นั้นลดสายตาของตนลง.
“ท่านรู้เรื่องนี้ดีใช่ไหม?” เธอ
ถามสั่ง.
“ข้า...ได้ยินคำซุบซิบ, ท่านผู้หญิง.
แต่ข้าไม่ต้องการจะเพิ่มมันให้กับภาระทั้งหลายท่านขึ้นไปอีก.”
“ฮาวัต!” เธอสะบัด. “ข้าต้องการ ธูเฟอร์ ฮาวัต ถูกนำตัวมาหาข้าเดี๋ยวนี้!W
“แต่, ท่านหญิง.....”
“เดี๋ยวนี้!”
มันต้องเป็น ฮาวัต, เธอคิด. การคลางแคลงใจเช่นนี้น่าจะไม่มาจากแหล่งอื่นใดได้โดยถูกทอดทิ้งไปทันทีแบบนี้.
ไอดาโฮ สั่นศีรษะของตน, บ่นพึมพำ.
“ป่วนห่าเหวไปทุกเรื่องแหละ.”
เจสสิกา มองลงดูถ้วยในมือของเธอ,
ทันทีนั้นก็สาดสิ่งข้างในมันใส่ใบหน้าของ ไอดาโฮ.
“ขังเขาเอาไว้ในห้องหนึ่งของห้องรับรองแขกด้านปีกตะวันออก,” เธอสั่ง. “ปล่อยให้เขานอนจนฟื้นมันออกไปเอง.”
ยามรักษาการ์ทั้งสองคนจ้องมองเธอมาอย่างไม่เป็นสุข.
หนึ่งนั้นกล้าเอ่ยปากออกมา:
“บางทีเราน่าจะเอาเขาไปไว้ที่อื่นนะขอรับ, นายหญิง. เราน่าจะ.....”
“เขาควรจะอยู่ที่นี่!” เจสสิกา ตวาด. “เขามีงานที่ต้องทำที่นี่.” เสียงของเธอรินหยดลงอย่างขมขื่น.
“เขาเก่งมากเลยกับการเฝ้าดูคุมสตรีทั้งหลาย.”
ยามนั้นกล้ำกลืน.
“เจ้ารู้ไหมว่าท่านดยุคอยู่ที่ไหน?”
เธอถามสั่ง.
“ท่านอยู่ที่ป้อมบัญชาการขอรับ,
นายหญิง.”
“ฮาวัต อยู่ด้วยกับเขาไหม?”
“ท่านฮาวัต
อยู่ในเมืองขอรับ, นายหญิง.”
“เจ้าไปพา ฮาวัต มาหาข้าทันทีนี้เลย,”
เจสสิกา พูด. “ข้าจะอยู่ในห้องนั่งเล่นเมื่อเขามาถึง.”
“แต่, นายหญิง...”
“ถ้าจำเป็น, ข้าจะเรียกท่านดยุค,”
เธอพูด. “ข้าหวังว่ามันจะไม่จำเป็นเช่นนั้น.
ข้าจะไม่ควรจะรบกวนท่านด้วยเรื่องแบบนี้.”
“ขอรับ, นายหญิง.”
เจสสิกา ยัดถ้วยว่างใส่ในมือของ มาเพส,
พบกับการจ้องมองอย่างถามมาของดวงตาสีฟ้า-ภายใน-สีฟ้า คู่นั้น.
“เจ้ากลับไปนอนก็ได้นะ, มาเพส.”
“ท่านแน่ใจนะว่าท่านจะไม่ต้องการข้า?”
เจสสิกา ยิ้มอย่างดุดัน. “ข้าแน่ใจ.”
“บางทีเรื่องนี้ควรจะรอให้ถึงพรุ่งนี้,”
หยัว พูด. “ข้าสามารถให้ยาระงับประสาทแก่ท่านและ...”
“ท่านจะกลับไปยังที่พักของท่านและปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้ตามวิธีของข้า,”
เธอพูด. เธอแตะที่แขนของเขาเพื่อถอนเหล็กในของคำสั่งของเธอออก.
“นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น.”
ทันทีนั้น,
ศีรษะเชิดสูงขึ้น, เธอหันและเดินอาดออกไปผ่านวังยังห้องของเธอ” ผนังที่เย็นยะเยียบทั้งหลาย...ทางผ่าน...ประตูที่คุ้นเคย...เธอผลักประตูเปิดออก,
ก้าวข้ามเข้าไป, และเหวี่ยงมันปิดตามหลังเธอ. เจสสิกา
ยืนอยู่ตรงนั้นมองจ้องหน้าต่างที่โล่ห์ป้องกัน-ว่างเปล่าของห้องนั่งเล่นของเธอ. ฮาวัต! เขาจะเป็นผู้ที่ถูกพวกฮาร์คอนเนนส์ซื้อตัวไปได้รึ? เราจะได้เห็นกัน.
เจสสิกาเดินข้ามไปยังเก้าอี้นวมลึก, รูปแบบโบราณมีหนังชลาจหุ้มถักร้อยลูกปัด,
ขยับเก้าอี้นั้นไปอยู่ในตำแหน่งที่จะสั่งการประตูได้.
เธอในทันทีนั้นตระหนักยิ่งยวดได้ถึงมีดกริชในฝักบนขาของเธอ.
เธอย้ายฝักมีดนั้นและรัดมันเข้ากับแขนของเธอ, ทดสอบการหล่นร่วงของมัน.
อีกครั้งหนึ่ง, เธอเหลียวมองไปรอบ ๆห้อง, จัดวางทุกอย่างไว้เข้าที่ในจิตของเธอสำหรับเหตุฉุกเฉินใด: เก้าอี้เชจยาวใกล้มุมห้อง, โต๊ะเตี้ยสองตัว,
พิณซิเธอร์โบราณตั้งยึดอยู่ข้างประตูที่ไปยังห้องนอนของเธอ.
แสงกุหลาบซีดเรืองรองออกมาจากโคมลอยแขวนทั้งหลาย.
เธอหรี่พวกมันลง, นั่งลงในเก้าอี้นวม, ตบเบาะนวมหุ้มด้วยหนัง,
ชื่นชมในความหนักเยี่ยงเก้าอี้ราชินีสำหรับโอกาสเช่นนี้.
ทีนี้, ให้เขามา, เอคิด. เราจะได้เห็นกันว่าอะไรที่เราจะได้เห็น.
และเธอจัดเตรียมตนเองตามรูปแบบของสำนัก เบเน เกสเสอริต สำหรับการรอคอย,
รวบรวมความอดทนที่สะสมขึ้น, เก็บกำลังความเข้มแข็งของเธอไว้.
เร็วกว่าที่เธอได้คาดเอาไว้,
เสียงเคาะถี่ ๆที่ประตูและ ฮาวัต ก็เข้ามาตามที่เธอบัญชา.
เธอเฝ้ามองเขาโดยปราศจากการเคลื่อนไหวไปจากเก้าอี้,
มองเห็นสัมผัสแครกครากของพลังงานจากยาเสพในการเคลื่อนไหวของเขา,
มองเห็นความอิดโรยหนื่อยล้าภายใต้นั้น. ดวงตาต้อมัวชราของ ฮาวัต แวววับ.
ผิวหนังยับย่นของเขาปรากฏสีเหลืองซีดจางในแสงไฟของห้อง, และมีรอยเปื้อนเปียก,
กว้างบนแขนเสื้อของแขนมีด.
เธอได้กลิ่นเลือดที่นั่น.
เจสสิกา ชี้ไปยังเก้าอี้พนักตรงตัวหนึ่ง,
พูด: “ลากเก้าอี้นั้นมานั่งตรงหน้าข้า.”
ฮาวัต ค้อมคำนับ, ทำตามสั่ง. เจ้างั่งเมาแอ๋
ไอดาโฮ เอ๊ย! เขาคิด.
เขาศึกษาใบหน้าของ เจสสิกา, สงสัยใจว่าเขาจะช่วยรักษาสถานการณ์นี้เอาไว้ได้อย่างไร.
“ผ่านมานานแล้วนะที่จะทำความกระจ่างกันในระหว่างเรา,”
เจสสิกา พูด.
“อะไรที่ทำให้ท่านหญิงเดือดร้อนหรือ?”
เขานั่งลง, วางมือทั้งสองไว้ที่หัวเข่า.
“อย่าทำเล่นหลบเลี่ยงกับข้า!” เธอสะบัด. “ถ้า หยัว ไม่ได้บอกกับท่านว่าทำไมข้าถึงเรียกสั่งหาตัวท่าน,
งั้นหนึ่งในสายลับของท่านในครัวเรือนของข้าก็คงบอกไปแล้ว.
เราจะอย่างน้อยที่สุดได้จริงใจต่อกันและกันไหม?”
“ตามที่ท่านปรารถนา, ท่านหญิง.”
“อย่างแรก, ท่านจะตอบหนึ่งคำถามของข้า,”
เธอพูด. “ท่านตอนนี้เป็นสายลับฮาร์คอนเนนหรือเปล่า?”
ฮาวัต พรวดกึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตน,
ใบหน้าเข้มคล้ำด้วยความโกรธ, ถามลั่น:
“ท่านกล้าดูหมิ่นข้าเช่นนั้นรึ?”
“นั่งลง,” เธอพูด.
“ท่านเองก็ได้ดูหมิ่นนั้นกับข้า.”
อย่างช้า ๆ, เขาจมลงกลับไปในเก้าอี้นั้น.
และ เจสสิกา
อ่านสัญญานของใบหน้านี้ที่เธอรู้เป็นอย่างดี, อนุญาตให้ตนเองสูดลมหายใจเข้าลึก. ไม่ใช่เป็น
ฮาวัต.
“ทีนี้ข้ารู้แล้วว่าท่านนั้นภักดีต่อท่านดยุค,”
เธอพูด. “ข้าได้เตรียมพร้อม, ไว้เช่นนั้น,
ที่จะให้อภัยการดูหมิ่นของท่านที่มีต่อข้า.”
“มีอะไรบางอย่างให้อภัยหรือ?”
เจสสิกา ขมวดหน้าบึ้งตึง, สงสัย: จะวางไพ่ทรัมป์ของข้าลงไปดีไหม? จะบอกเขาเรื่องธิดาของดยุคที่ข้าอุ้มไว้ในร่างข้ามาได้สองสามสัปดาห์แล้วดีไหม?
ไม่...ลีโต เองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้.
นี่จะเพียงทำความยุ่งยากซับซ้อนกับชีวิตของเขา,
เบี่ยงเบนเขาในช่วงเวลาที่เขาต้องมุ่งเพ่งอยู่กับการรอดชีวิตของพวกเรา.
ยังมีเวลาที่จะใช้เรื่องนี้.
“ผู้กล่าวความสัจ จะคลี่คลายปัญหานี้ได้,”
เธอพูด, “แต่เราไม่มี ผู้กล่สความสัจ ที่ผ่านการรับรองโดย คณะวุฒิกรรมการ.”
“อย่างที่ท่านกล่าว. เราไม่ใช่ ผู้กล่าวความสัจ.”
“มีผู้ทรยศในหมู่พวกหรือ?” เธอถาม. “ข้าได้ศึกษาผู้คนของเราอย่างละเอียดระแวดระวังอย่างยิ่งแล้ว.
ใครอาจจะเป็นได้รึ? ไม่ใช่ เกอร์นีย์. ยิ่งไม่ใช่ ดันแคน แน่. ผู้หมวดของเขาไม่ใช่อยู่ในตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์พอที่จะให้พิจารณา.
ไม่ใช่ท่าน, ธูเฟอร์. มันไม่สามารถเป็น พอล ได้. ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่ข้า.
ดร.หยัว, งั้นรึ? ให้ข้าเรียกเขาเข้ามาแล้วเอาเขาไปทดสอบไหม?”
“ท่านก็รู้ว่านั่นเป็นการไร้ผลชี้,”
ฮาวัต พูด. “เขาได้รับตำแหน่งจาก วุฒิวิทยาลัย. นั่นข้ารู้อย่างแน่ชัด.”
“ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าภรรยของเขานั้นเป็น เบเน เกสเสอริตที่ถูกสังหารอย่างทารุณโดยพวกฮาร์คอนเนนส์,”
เจสสิกา พูด.
“นั่นแหละที่เธอบังเกิดขึ้นกับเธอ,”
ฮาวัต พูด.
“ท่านไม่ได้ยินความเกลียดชังในน้ำเสียงของเขาเมื่อเขาพูถึงชื่อฮาร์คอนเนนส์หรอกรึ?”
“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีหูเช่นนั้น,” ฮาวัต
พูด.
“อะไรที่นำมาสู่พื้นฐานการสงสัยว่าเป็นข้ารึ?”
เธอถาม.
ฮาวัต ขมวดคิ้ว.
“ท่านหญิงเอาผู้รับใช้ของเธอไปอยู่ในตำแหน่งที่เป็นไปไม่ได้.
ความภักดีอันดับแรกของข้านั้นคือท่านดยุค.”
“ข้าได้เตรียมการอภัยไว้มากก็เพราะคามภักดีนั้น,”
เธอพูด.
“และอีกครั้งที่ข้าต้องถาม: มีอะไรบางอย่างที่ต้องให้อภัยนั่นหรือ?”
“เสมอกันรึ?” เธอถาม.
เขายักไหล่.
“เรามาถกกันในบางเรื่องอื่นสักนาที,
งั้น,” เธอพูด. “ดันแคน ไอดาโฮ,
นักสู้ผู้น่ายกย่องที่มีความสามารถมากมายกับการคุ้มครองและควบคุมสอดส่องนั้นน่านับถืออย่างยิ่ง.
คืนนี้, เขาปล่อยเผลอใจไปในอะไรบางอย่างที่เรีกว่า เบียร์เครื่องเทศ.
ข้าได้ยินรายงานว่าคนอื่น
ๆในหมู่ผู้คนของเราก็ได้มึนเมากึ่งสลบไสลไปกับเครื่องปรุงนี้.
นั่นเป็นเรื่องจริงไหม?”
“ท่านได้รับรายงานทั้งหลายของท่านแล้ว,
ท่านหญิง.”
“ใช่เช่นนั้น. ท่านไม่เห็นหรือว่าเครื่องดื่มนี้เป็นตัวต้นเหตุ,
ธูเฟอร์?”
“ท่านหญิงพูดเป็นปริศนา.”
“ประยุกต์ความสามารถเมนทาตทั้งหลายของท่านกับมันดูสิ!” เธอตวาด. “อะไรคือตัวปัญหากับ ดันแคน และคนอื่น ๆ?
ข้าสามารถบอกท่านได้ในสี่คำ---พวกเขาไม่มีบ้าน.”
เขาทิ่มนิ้วลงไปที่พื้นห้อง. “อาร์ราคิส
คือบ้านของพวกเขา.”
“อาร์ราคิส น่ะคือต่างถิ่น! คาลาดาน คือบ้านของพวกเขา, แต่เราได้ถอนรากพวกเขาขึ้นมา.
พวกเขาไม่มีบ้าน. และพวกเขากลัวท่านดยุคกำลังสร้างความล้มเหลวกับพวกเขา.”
เขาร่างแข็งทื่อขึ้นมา.
“คำพูดเช่นนี้จากคนใดคนหนึ่งของทหารก็อาจจะทำให้เกิด---“
“โอ้, หยุดนั่นเถิด, ธูเฟอร์.
นั่นมันสำหรับคนขี้แพ้หรือคนทรยศให้กับหมอได้ตรวจดูอาการโรคอย่างถูกต้อง?
ความตั้งใจของข้ามีแค่เพียงต้องการจะรับำบัดรักษาโรค.”
“ดยุคมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของข้าในการจัดการกับเรื่องเช่นนี้.”
“แต่ท่านเข้าใจว่าข้านั้นเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนอยู่เหนือโรคภัยนี้สินะ,”
เธอพูด.
“และบางทีท่านก็จะยอมรับว่าข้ามีความสามารถทั้งหลายที่แน่ชัดในเส้นทางแบบนี้.”
ข้าจะต้องกระตุ้นสุดขีดรุนแรงกับเขาหรือ?
เธอกังขาใจ. เขาจำเป็นต้องถูกเขย่าขึ้นมา---บา
อย่างที่จะหักเขาจากหน้าที่ประจำ.
“มันสามารถถูกตีความได้มากมายสำหรับการเกี่ยวพันของท่าน,”
ฮาวัต พูด. เขายักไหล่.
“งั้นท่านก็ปักใจตัดสินข้าไปแล้วรึ?”
“แน่นอนว่าไม่, ท่านหญิง.
แต่ข้าไม่สามารถปล่อยให้มีโอกาสใดขึ้นได้,
สถานการณ์นั้นเป็นไปอย่างที่มันเป็น.”
“การคุกคามต่อบุตรชายของข้าได้ผ่านตาท่านไปแล้วที่นี่ในบ้านนี้,”
เธอพูด. “ใครฉวยโอกาสนั่นหรือ?”
ใบหน้าของเขาดำคล้ำ.
“ข้าเสนอการลาออกจากตำแหน่งต่อท่านดยุคไปแล้ว.”
“ท่านเสนอการลาออกจากตำแหน่งต่อข้า...หรือ
พอล ด้วยไหม?”
ตอนนี้เขาเปอดความโกรธของเขาออก,
ทรยศต่อมันในความเร่งรีบของการหายใจ, รูจมูกบานกว้าง, จ้องมองเขม็ง.
เธอมองเห็นชีพจรที่เต้นรัวที่ขมับของเขา.
“ข้าเป็นคนของดยุค,” เขาพูด,
ถ่มคำที่กัดไว้ออกมา.
“ไม่มีคนทรยศ,” เธอพูด.
“การคุกคามนั้นคืออะไรอื่นบางอย่าง. บางทีมันต้องทำด้วยปืนเลเซอร์.
บางทีพวกมันอาจจะเสี่ยงปิดความลับในเรื่องปืนเลเซอร์สักสองสามชิ้นที่มีระบบกลไกต้งเวลาเล็งมายังโล่ห์พลังป้องกันทั้งหลายของวัง.
บางทีพวกมันจะ...”
“แล้วใคจะบอกได้ภายหลังจากการระเบิดถ้าการระเบิดนั้นไม่ใช่แบบปรมาณู?”
เขาถาม. “ไม่, ท่านหญิง. พวกมันจะไม่เสี่ยงในอะไรใด ๆที่ผิดกฎหมาย. กัมมันตภาพรังสีที่ยังเหลืออยู่.
หลักฐานนั้นยากที่จะถูกลบออก. ไม่. พวกมันจะสังเกตส่วนมากของรูปแบบทั้งหลาย.
มันต้องเป็นการใช้ผู้ทรยศ.”
“ท่านเป็นคนของดยุค,” เธอเหน็บ.
“ท่านจะทำลายเขาในการพยายามที่จะช่วยชีวิตเขาหรือ?”
เขาสูดหายใจลึก, แล้ว: “ถ้าท่านบริสุทธิ์,
ท่านจะได้คำขอโทษทั้งหลายที่น่าสังเวชมากที่สุดของข้า.”
“ดูท่านในตอนนี้สิ, ธูเฟอร์,” เธอพูด.
“มนุษย์ทั้งหลายมีชีวิตดีที่สุดเมื่อพวกเขาแต่ละคนมีที่ของตนเอง, เมื่อแต่ละคนรู้ว่าที่ไหนที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของเค้าโครงร่างของสิ่งทั้งหลายนั้น.
ทำลายสถานที่นั้นแล้วก็จะทำลายบุคคลผู้นั้น. ท่านและข้า, ธูเฟอร์,
ในบรรดาผู้รักดยุค, คือสถานะในอุดมคติมากที่สุดที่จะต้องทำลายแห่งหนของอีกฝ่าย.
ข้าไม่ได้กระซิบความสงสัยในเรื่องของท่านเข้าหูของท่านดยุคในตอนกลางคืนด้วยรึ,
ธูเฟอร์? ข้าต้องเขียนวาดมันออกมาให้ท่านอย่างชัดๆอีกรึ?”
“ท่านขู่เข็ญข้ารึ?” เขาคำราม.
“แท้จริงแล้วไม่. ข้าแค่ชี้ออกมาต่อท่านว่าใครบางคนกำลังโจมตีเราผ่านการปรับแต่งในพื้นฐานของชีวิตเรา.
มันเป็นการฉลาด, ร้ายกาจ.
ข้าประสงค์ที่จะลบล้างการโจมตีนี้โดยการจัดระเบียบชีวิตของเราเสียจนจะไม่มีรอยแตกแยกเล็กที่ให้เงี่ยงแหลมใดเข้ามาได้.”
“ท่านกล่าวหาข้าในเรื่องการกระซิบความสงสัยทั้งหลายที่ไร้พื้นฐานหรือ?”
“ไร้พื้นฐาน, ใช่.”
“ท่านได้เจอสิ่งนี้ด้วยคำกระซิบทั้งหลายของท่านเองหรือ?”
“ชีวิตของท่าน
นั้นประกอบขึ้นด้วยคำกระซิบทั้งหลาย, ธูเฟอร์.”
“งั้นท่านก็กำลังถามถึงความสามารถทั้งหลายของข้าหรือ?”
เธอถอนหายใจ. “ธูเฟอร์, ข้าต้องการให้ท่านได้ตรวจสอบการเกี่ยวข้องด้วยอารมณ์ของตัวท่านเองในเรื่องนี้.
มนุษย์ตามธรรมชาตินั้นคือสัตว์ที่ปราศจากตรรกะ.
การคาดคะเนของตรรกะของท่านบนเรื่องกิจการทั้งหมดนั้นไม่ใช่ธรรมชาติ.
ท่านคือการแปลงรูปของตรรกะ---เมนทาต. กระนั้น, การคลี่คลายปัญหาทั้งหลายของท่านคือแนวความคิดที่,
ในสัมผัสที่จริงมาก, ถูกพุ่งออกไปด้านนอกตัวท่าน,
นั่นที่จะต้องถูกศึกษาและม้วนไปรอบๆ, ตรวจสอบจากทุกด้าน.”
“ท่านคิดในตอนนี้ที่จะสอนข้าเรื่องอาชีพของข้าหรือ?”
เขาถาม, และเขาไม่ได้พยายามที่จะซ่อนความรังเกียจในน้ำเสียงของเขาเลย.
“อะไรก็ตามที่อยู่ด้านนอกตัวท่าน,
นี้ท่านสามารถมองเห็นและประยุกต์ตรรกะต่อมัน,” เธอพูด.
“แต่มันคือคุณลักษณะของมนุษย์ที่เมื่อเราได้เผชิญกับปัญหาส่วนตัว,
สิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นส่วนตัวอย่างลึกคือความยุ่งยากมากที่สุดที่จะนำออกมาเพื่อให้ตรรกะของเราได้ตรวจดูอย่างละเอียด.
เราโน้มเอียงที่จะตะเกียกตะกายไปรอบ ๆ,
กล่าวโทษทุอย่างแต่สิ่งแท้จริงนั่งอยู่ในเบื้องลึกนั้นที่จริงแล้วกำลังเคี้ยวกลืนกินกับเรา.”
“ท่านกำลังพยายามอย่างรอบคอบที่จะกัดเซาะศรัทธาของข้าในความสามารถทั้งหลายในฐานะ
เมนทาต.” เขาพูดแหบแห้ง. “ในเมื่อข้าค้นหาหนึ่งในผู้คนของเราที่กำลังพยายามเช่นนั้นที่จะลอบทำลายอาวุธใดอื่นในคลังสรรพาวุธของเรา,
ข้ก็าจะไม่ลังเลที่จะกล่าวหาและทำลายเขา.”
“เมนทาตที่ดีที่สุด
มีความเคารพอันแข็งแรงต่อองค์ปัจจัยความผิดพลาดในผลของการคำนวณของพวกเขา,” เธอพูด.
“ข้าไม่เคยพูดเป็นอย่างอื่น!”
“งั้นก็ประยุกต์ตัวท่านเองกับสมุฏฐานที่เราทั้งคู่ได้พบเห็นนี้: การมึนเมาในหมู่ทหาร,
การทะเลาะวิวาท---พวกเขาซุบซิบนินทาและแลกเปลี่ยนข่าวลือข่าวลือป่าเถื่อนเกี่ยวกับ
อาร์ราคิส; พวกเขาเมินเฉยต่อสิ่งที่ง่ายมากที่สุด---“
“อย่าผลาญเวลา, อีกเลย,” เขาพูด.
“อย่าพยายามที่จะหันเหความสนใจของข้าโดยการพยายามที่จะทำเรื่องง่ายๆให้ปรากฏเป็นเงื่อนงำ.”
เธอจ้องมองเขา,
คิดถึงว่าคนของดยุคกำลังนวดขัดถูความทุกข์โศกของพวกเขาเข้าด้วยกันในค่ายทหารทั้งหลายจนกระทั่งท่านสามารถได้กลิ่นประจุอัดนั้นได้ที่นั่น,
เหมือนฉนวนไหม้. พวกเขากำลังกลายเป็นเหมือนทหารของ ก่อน-ตำนานกิลด์, เธอคิด:
เหมือนทหารของกองกำลังค้นหาผู้สูญหายระหว่างดาว, อัมโพลิรอส*---ป่วยกับปืนของพวกเขา---เสาะหาไปตลอดกาลนาน,
เตรียมพร้อมไปตลอดกาลและยังไม่พร้อม.
“ทำไมท่านไม่เคยทำการใช้เต็มที่ของความสามารถทั้งหลายของข้าในการรับใช้ต่อท่านดยุค?”
เธอถาม. “ท่านกลัวคู่แข่งจะชิงตำแหน่งท่านไปหรือ?”
เขาเหลือบมองเธอ,
ดวงตาเฒ่าชรานั้นกำลังโกรธโชน. “ข้ารู้ถึงการฝึกฝนบางอย่างที่พวกเขาให้แก่ท่าน
เบเน เกสเสอริต....” เขาหยุดชะงักลง, ก่นคำราม.
“ว่าต่อไปสิ, พูดมัน,” เธอบอก. “พวก เบเน
เกสเสอริต แม่มดทั้งหลาย.”
“ข้ารู้บางอย่างของการฝึกฝนแท้จริงที่พวกเขาให้กับท่าน,”
เขาพูด. “ข้าได้เห็นมันออกมาจาก พอล:
ข้าไม่ได้โง่ถูกหลอกด้วยอะไรที่โรงเรียนของท่านั้นบอกต่อสาธารณะ: ท่านดำรงอยู่เพียงแค่ที่จะรับใช้.”
การกระตุ้นช็อคนี้ต้องรุนแรงและเขาก็เกือบจะพร้อมสำหรับมันแล้ว,
เธอคิด.
“ท่านฟังอย่างเคารพต่อข้าใน
สภา,” เธอพูด, “กระนั้นท่านก็แทบจะไม่เอาใจใส่ต่อคำแนะนำของข้า. ทำไมรึ?”
“ข้าไม่ไว้ใจแรงผลักดันทั้งหลายอย่าง
เบเน เกสเสอริตของท่าน,” เขาพูด. “ท่านอาจจะคิดว่าท่านสามารถมองทะลุคน; ท่านอาจจะคิดว่าท่านสามารถให้คนทำอะไรตรงตามที่ท่าน---“
“เจ้ามันโง่เง่าอย่างน่าสงสารมาก,
ธูเฟอร์!” เธอประทุใส่.
เขาคำราม, ดันตนเองถอยกลับในเก้าอี้.
“อะไรก็ตามของคำเล่าลือที่ท่านได้ยินมาเกี่ยวกับโรงเรียนของเรา,”
เธอพูด, “ความสัจจริงนั้นยิ่งใหญ่ไปไกลกว่า.
ถ้าข้าปรารถนาที่จะทำลายท่านดยุค...หรือเจ้า,
หรือบุคคลใดก็ตามภายในเอื้อมถึงของข้า, เจ้าก็ไม่อาจหยุดข้าได้แน่.”
และเธอคิด: ทำไมข้าปล่อยให้ความหยิ่งทะนงขับดันคำพูดเยี่ยงนั้นออกมาจากข้าได้?
นี่ไม่ใช่วิถีที่ข้าได้ถูกฝกฝนมาเลย.
นี่ไม่ใช่วิธีอย่างไรที่ข้าจะกระตุ้นเขาให้ตื่นตระหนก.
ฮาวัต
เลื่อนมือของเขาเข้าไปในเสื้อเครื่องแบบทูนิคของเขาที่ซึ่งเขาเก็บเครื่องยิงลูกดอกอาบยาพิษขนาดเล็กเอาไว้.
เธอไม่ได้สวมโล่พลัง, เขาคิด. นี่เป็นแค่การอวดโอ่ที่เธอทำขึ้นรึ?
ข้าสามารถสังหารเธอได้ในตอนนี้...แต่, อา-ห-ห-ห, ผลลัพธ์ถ้าข้าคิดผิดล่ะ.
เจสสิกา มองเห็นท่าทีที่ไปยังกระเป๋าของเขานั้น,
พูด:
“ให้เราภาวนาว่าจะไม่มีความรุนแรงที่จำเป็นต้องบังเกิดขึ้นในระหว่างเราเถิด.”
“คำภาวนาที่ล้ำค่า,” เขาเห็นด้วย.
“ในขณะที่,
ความป่วยไข้กำลังแพร่ระบาดในหมู่เรา,” เธอพูด. “ข้าต้องถามท่านอีกครั้ง: มันไม่มีเหตุผลมากกว่าหรือที่จะคาดว่าพวกฮาร์คอนเนนส์ได้ปลูกเพาะความไม่ไว้ใจนี้ให้ฝังลงในเราทั้งสองซึ่งกันและกัน.”
“เราปรากฏออกมาว่าย้อนกลับไปถึงการคุมเชิงเสมอกันอีก,”
เขาพูด.
เธแถอนหายใจ, กำลังคิด: เขาเกือบจะพร้อมสำหรับมันแล้ว.
“ดยุค และข้า คือตัวแทน(surrogates) บิดาและมารดา ต่อผู้คนของเรา,” เธอพูด. “ตำแหน่งนี้---”
“เขาไม่ได้สมรสกับท่าน,” ฮาวัต พูด.
เธอบังคับตนเองสู่ความสงบนิ่ง, กำลังคิด: การตอบโต้ฉับพลันที่ดี, นั่น.
“แต่เขาจะไม่สมรสกับใครอื่นใด,” เธอพูด.
“ตราบนานที่ข้ายังมีชีวิตอยู่. และเราคือตัวแทน(surrogates), ดังที่ข้าบอก. เพื่อที่จะยุติระเบียบธรรมชาตินี้ในความสัมพันธ์ของพวกเรา,
ที่รบกวน, ก่อกวน,
และทำความวุ่นวายให้แก่เรา---ซึ่งเป้าหมายนี้เสนอตนเองอย่างยั่วยวนใจต่อพวกฮาร์คอนเนนส์.”
เขาสัมผัสได้ในทิศทางที่เธอกำลังดำเนินไป,
และคิ้วของเขาขมวดต่ำลงในการบึ้งตึง.
“ดยุครึ?” เธอถาม. “เป้าหมายที่ดึงดูดใจ,
ใช่, แต่ไม่มีใครไม่ยอมรับความเป็นไปได้ว่า พอล นั้นป้องกันตนเองได้ดีกว่า. ข้ารึ?
ข้าล่อลวงพวกเขา, แน่ละ, แต่พวกเขาต้องรู้ดีว่า เบเน เกสเสอริต
นั้นทำให้เป็นเป้าหมายที่ยุ่งยาก. และมีเป้าหมายของพวกเขาที่ดีกว่า, คนที่ผู้ภาระหน้าที่ทั้งหลายสร้างขึ้นมา,
อย่างจำเป็น, จุดบอดอันชั่วร้าย.
คนผู้ที่ช่างสงสัยอะไรอยู่ทุกลมหายใจเป็นธรรมชาติของตนเอง.
คนผู้ที่สร้างชีวิตทั้งหมดของตัวเขาอยู่กับคำสบประมาทและเงื่อนงำ.”
เธอพุ่งมือขวาของเธอไปยังเขา. “เจ้า!”
ฮาวัต เริ่มกระโจนขึ้นจากเก้าอี้ของเขา.
เมนทาตเฒ่าเกือบจะหงายหลังลงไปกับเก้าอี้นั้น,
ช่างรวดเร็วเหลือเกินที่กล้ามเนื้อทรยศต่อเขา.
เธอยิ้มอย่างปราศจากความเบิกบาน.
“ตอนนี้ท่านได้รู้บางอย่างของการฝึกฝนแท้จริงที่พวกเขาให้เรามา.”
เธอพูด.
ฮาวัต
พยายามที่จะกล้ำกลืนในคอหอยที่แห้งผาก. คำบัญชาของเธอนั้นได้เป็นพระเสาวนีย์, ไม่อาจปฏิเสธได้---กล่าวในน้ำเสียงและกิริยาที่เขาได้พบว่ามิอาจต่อต้านได้.
ร่างกายของเขาได้เชื่อฟังเธอก่อนที่เขาจะสามารถคิดถึงมัน.
ไม่มีอะไรสามารถถูกกีดขวางการตอบสนองของเขาได้---ไม่ใช่ตรรกะ,
ไม่ใช่ความโกรธอย่างง่ายๆ.....ไม่มีอะไรเลย.
จะทำในสิ่งที่เธอได้ทำการพูดของความรู้ที่อ่อนไหว,
ละเอียดลออของบุคคลเช่นถูกสั่งการ,
ความลึกของคำสั่งการที่เขาไม่ได้ฝันถึงว่าเป็นไปได้.
“ข้าได้พูดกับเจ้าก่อนแล้วว่าเราควรเข้าใจซึ่งกันและกัน,”
เธอพูด. “ข้าหมายถึงเจ้าควรจะเข้าใจข้า. ข้าได้เข้าใจเจ้าไปแล้ว.
และข้าบอกกับเจ้าในตอนนี้ว่าเจ้าภักดีต่อท่านดยุคนั้นเป็นทั้งหมดที่ค้ำประกันความปลอดภัยของเจ้าสำหรับข้า.”
เขาจ้องมองที่เธอ,
เลียริมฝีปากของตนให้เปียก, ด้วยลิ้นของเขา.
“ถ้าข้าปรารถนาหุ่นเชิด, ดยุคก็จะได้สมรสกับข้าไปแล้ว,”
เธอพูด. “เขาอาจจะกระทั่งคิดว่าเขาได้ทำมันด้วยเจตจำนงอิสระของเขาเอง.”
ฮาวัต ก้มหัวของเขาต่ำลง,
เงยขึ้นมองผ่านขนตาหร็อมแหร็มของเขา.
มีเพียงการควบคุมแข็งแรงมากที่สุดเท่านั้นที่คงเขาไว้ไม่ให้ตะโกนเรียกยามรักษาการณ์.
ควบคุม.....และความไม่ไว้ใจในตอนนี้ว่าผู้หญิงนี้อาจจะไม่อนุญาตมัน.
ผิวหนังของเขาขนลุกชันด้วยความทรงจำที่ว่าเธอนั้นได้ควบคุมเขาอยู่.
ในชั่วขณะของความลังเลใจ, เธอสามารถดึงอาวุธออกมาและฆ่าเขา!
มนุษย์ทุกคนก็มีจุดบอดนี้กันรึ? เขาสงสัย.
พวกเราคนใดของเราสามารถถูกสั่งการเข้าไปสู่กระทำการก่อนที่เขาจะสามารถต่อด้านได้รึ?
ความคิดนี้ทำให้เขางวยงงลังเลใจ. ใครล่ะที่สามารถจะกยุดบุคคลที่มีพลังเช่นนี้ได้?
“ท่านได้เหลือบเห็นกำปั้นภายในถุงมือ
เบเน เกสเสอริต แล้ว,” เธอพูด. “เหลือบเห็นมันเล็กน้อยและมีชีวิตอยู่. และอะไรที่ข้าได้ทำนั้นคือสิ่งง่ายที่อย่างเชื่อมโยงสำหรับเรา.
ท่านไม่ได้เห็นคลังสรรพาวุธทั้งหมดของข้า. คิดเอาไว้เช่นนั้น.”
“ทำไมท่านถึงไม่ออกไปทำลายศัตรูของท่านดยุคเสียเลยล่ะ?”
เขาถาม.
“อะไรหรือที่เจ้าจะให้ข้าทำลาย?” เธอถาม.
“เจ้าจะให้ข้าสร้างความอ่อนแอให้กับดยุคของเรา,
ให้เขาต้องพึ่งพิงข้าไปตอดกาลหรือ?”
“แต่ด้วยพลังขนาดนั้น.....”
“พลังคือดาบสองคม, ธูเฟอร์,” เธอพูด.
“ท่านคิด: ‘ง่ายแค่ไหนที่เธอจะลับคมเครื่องมือมนุษย์ที่จะเอาไปทิ่มแทงอวัยวะสำคัญทั้งหลายของศัตรูได้.’ ก็จริง, ธูเฟอร์ว กระทั่งเข้าไปในอวัยวะสำคัญของท่าน. กระนั้น,
อะไรคือผลสำเร็จที่ข้าจะจะทำได้ล่ะ? ถ้าพวกเรา เบเน เกสเสอริต
มีเพียงพอทำได้ในเรื่องนี้, มันจะไม่ทำให้ เบเน เกสเสอริต ทั้งปวง
ถูกหวาดระแวงสงสัยหรือ? เราไม่ได้ต้องการเช่นนั้น, ธูเฟอร์.
เราไม่ได้ปรารถนาที่จะทำลายตัวเราเอง.” เธอพยักหน้า.
“เรามีอยู่จริงเพียงเพื่อรับใช้เท่านั้น.”
“ข้าไม่สามารถตอบท่านได้,” เขาพูด.
“ท่านรู้ว่าข้าไม่สามารถตอบได้.”
“ท่านจะไม่พูดถึงเกี่ยวกับอะไรที่ได้บังเกิดขึ้นที่นี่กับใครคนใด.”
เธอพูด. “ข้ารู้จักเจ้าดี, ธูเฟอร์.”
“ท่านหญิง.....”
อีกครั้งที่ชายเฒ่าพยายามที่จะกล้ำกลืนในลำคอที่แห้งผาก.
และเขาคิด: เธอมีพลังยิ่งใหญ่, ใช่.
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เธอกระทั่งเป็นเครื่องมืออันน่าเกรงขามของพวกฮาร์คอนเนส์ได้ด้วยหรือ?
ท่านดยุคสามารถถูกทำลายอย่างรวดเร็วโดยเพื่อนทั้งหลายของเขาได้เท่าๆกับโดยศัตรูทั้งหลายของเขา,”
เธอพูด.
“ข่ไว้วางใจในตอนนี้ว่าท่านจะได้ลงลึกไปถึงก้นบึ้งของการสงสัยหวาดระแวงนี้และกำจัดมัน.”
“ถ้ามันถูกพิสูจน์ได้ว่าไร้พื้นฐาน,”
เขาพูด.
“ถ้า,”
เธอเหน็บ.
“ถ้า,” เขาบอก.
“ท่านนี่เป็นที่ทิฐิดื้อรั้นยิ่ง,”
เธอพูด.
“รอบคอบ,” เขาพูด,
“และระแวดระวังถึงปัจจัยความพลั้งพลาดได้.”
“งั้นข้าจะตั้งอีกคำถามสำหรับท่าน: อะไรที่มันมีความหมายต่อท่านว่าท่านยืนอยู่ต่อหน้ามนุษย์ผู้อื่น,
ที่ท่านถูกมัดและอย่างหมดหนทางช่วยและมนุษย์ผู้อื่นนั้นถือมีดจ่อที่คอหอย---กระนั้นมนุษย์ผู้อื่นนั้นก็ยังระงับการฆ่าท่านเอาไว้,
ปล่อยท่านเป็นอิสระจากการถูกมัดและยื่นมีดให้ท่านเอาใช้ได้ตามใจชอบ?”
เธอยกตนเองขึ้นจากเก้าอี้,
หันหลังให้กับเขา. “ ท่านไปได้แล้ว, ธูเฟอร์.”
เมนทาตเฒ่าลุกขึ้น, ลังเล,
มือคืบคลานไปยังอาวุธมรณะภายใต้เสื้อเครื่องแบบทูนิคของเขา.
เขาจำได้ถึงสังเวียนวัวกระทิงและบิดาของดยุค(ผู้ที่ได้หาญกล้าต่อ,
ไม่ว่าอะไรที่คนของเขาได้ล้มเหลว)และวันหนึ่งของ กอร์ฮีดา(corrida
- กีฬาสู้วัว)นานมาแล้ว: สัตว์ร้ายร่างดำทะมึนยืนอยู่ที่นั่น, หัวก้ม, หยุดเคลื่อนไหวและสับสน. ดยุคเฒ่า
ได้หันหลังให้กับเขาคู่นั้น, เสื้อคลุมปลิวสะบัดอยู่เหนือแขนข้างหนึ่ง,
เสียงโห่ร้องเชียร์สาดลงมาจากอัฒจันทร์.
ข้าเป็นวัวกระทิงและเธอคือมาทาดอร์, ฮาวัต
คิด. เขาดึงมือออกมาจากอาวุธนั้น,
เหลือบมองที่เหงื่อระยิบระยับในฝ่ามืออันว่างเปล่าของเขา.
และเขารู้ว่าอะไรก็ตามที่คือความจริงได้ถูกพิสูจน์ว่าอยู่ในจุบจบ,
เขาจะไม่มีวันลืมชั่วขณะนี้หรือสูญเสียสำนึกนี้ของความยกย่องสูงสุดต่อ
ท่านหญิงเจสสิกา.
อย่างเงียบๆ, เขาหันและออกไปจากห้องนั้น.
เจสสิกา
ลดสายตามองของเธอลงจากเงาสะท้อนที่บานหน้าต่าง, หันกลับมา, และจ้องมองประตูที่ปิดลง.
“ตอนนี้เราก็จะได้เห็นการกระทำที่เหมาะสมกัน,”
เธอกระซิบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น