"มองเป็นคิดได้" โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
วัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม
อาตมภาพก็ขออนุโมทนาที่
ทางมูลนิธิได้มีความตั้งใจดี ที่จะจัดประชุมขึ้น
โดยเฉพาะก็มีความมุ่งหมายเพื่อประโยชน์แก่สังคม แกด่ชีวิตของคนไทยทุกๆคน
ซึ่งก็หมายถึงในฐานะส่วนร่วมของประชาชาวโลก เท่ากับว่า ในที่สุดก็เพื่อประโยชน์แก่โลกนี้ทั้งหมด.
ท่านได้ตั้งคำถาม เกี่ยวกับเรื่องวิถีชาวพุทธ
นี่จะเรียกว่าวิถีชีวิตชาวพุทธก็ได้ ซึ่งถ้าจะใช้คำพูดอีกอย่างหนึ่งก็
คล้ายๆกับคำว่า”วัฒนธรรม” เพราะเรามักจะให้ความหมายคำว่า “วัฒนธรรม” ว่า
“วิถีชีวิต” แต่ว่าคำถามของท่านก็โยงไปหาการศึกษา ซึ่งก็ตรงกับแนวคิดในพระพุทธศาสนา
หรือหลักธรรมสอนว่ายังงั้น
ในทางพุทธศาสนานั้นก็ถือว่าชีวิตคือการศึกษา
และการศึกษาก็ทำให้เกิดชีวิตที่ดี ทำไมจึงว่าชีวิตคือการศึกษา
ชีวิตคือการที่เราเป็นอยู่ เราเคลื่อนไหว
เรามีชีวิตอยู่ทุกวันที่เราเคลื่อนไหวเนี่ยะ เราก็ต้องพบประสบการณ์ใหม่ๆ
เราต้องพบสถานการณ์ใหม่ๆ เราต้องคิด ต้องหาทาง
ที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่เราต้องเข้าไปพบเห็นเกี่ยวข้องนั้นให้ถูกต้อง
การที่พยายามที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่พบเห็นเป็นต้น
จัดการกับปัญหาสถานการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องในแต่ละขณะให้ถูกต้องเนี่ยะ
ก็คือการศึกษา.
ฉะนั้นคนจะมีชีวิตอยู่ดีได้เนี่ยะ ต้องมีการศึกษาตลอดเวลา
ในชีวิตก็เป็นอันเดียวกับการศึกษา ถ้าชีวิตใดไม่มีการศึกษา
ก็จะเป็นชีวิตที่ดีไม่ได้ คือมันไม่เจริญก้าวหน้า ท่านเรียกว่าเป็นพาล พาลนี่ทางพระเรียกว่าเป็นอยู่สักว่าลมหายใจ
นี่ความหมายคำว่าพาล คือได้แค่หายใจเข้าออก
ในชีวิตจะเป็นอยู่ดีก็แน่นอนว่าเราก็ต้องคิดหาทางแก้ไข
ปัญหาสถานการณ์ประสบการณ์ที่เราพบ เราต้องเรียนรู้ว่ามันอะไร มันเป็นอะไร
เราจะจัดการต่อมันอย่างไร เนี่ยะเรามีการศึกษาตลอดเวลา.
เพราะฉะนั้นในทางพระถือว่าชีวิตก็คือการศึกษา
แต่ต้องวงเล็บว่า หมายถึงชีวิตที่ดีนะ ถ้าเป็นชีวิตที่ไม่ดี
ก็เป็นชีวิตที่ว่างเปล่า เป็นชีวิตพาลก็ไม่มีการศึกษา คือพบประสบการณ์อะไรก็
ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้หาทางคิดแก้ปัญหา หรือจัดการกับสิ่งนั้นถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการจะมีชีวิตที่ดีเนี่ยะ
เราก็ต้องศึกษาตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เขามีคำว่า life long education
หรือ life long learning การเรียนตลอดชีวิต หรือการศึกษาตลอดชีวิต
ฝรั่งมาได้ฟังทัศนะของพระพุทธศาสนา เค้าเลยไปได้ความคิดใหม่ มีท่านที่เอาเรื่องนี้ไปเล่าในที่ประชุมของนานาชาติฟัง
ใครๆก็เอากลับมาเล่าอีกทีหนึ่ง คือได้พูดถึงเรื่องการศึกษาในพุทธศาสนานี่นะ มันเป็นชีวิตอย่างนี้แหละ
ฝรั่งเค้าก็เลยบอกว่า อ้อ เของเขานั้นเป็น life long learning
เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ของพุทธศาสนานี้เป็น learning
life เป็นชีวิตที่เรียนรู้ หรือเป็น ชีวิตแห่งการเรียนรู้
ก็ได้.
ในตอนนี้เท่ากับว่ามีแนวคิด 2 แบบ ถ้าเป็นแบบฝรั่ง แม้จะเป็น life
long education เป็น life long learning
มันเหมือนจะแยกชีวิตกับการศึกษา ออกเป็น 2 อย่าง แล้วก็เอามาควบคู่ไปด้วยกัน
ว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตก็เรียนรู้ไปศึกษาไป แต่ในพุทธศาสนานี่ ชีวิตนี่เป็นตัวการศึกษาเป็นการเรียนรู้ไปเลย
เพราะฉะนั้นก็ ให้เข้าใจว่า เนี่ยะ แนวคิดเนี่ยะ ไม่เหมือนกันทีเดียว
แล้วฝรั่งนี่เค้าจับได้ไว เค้าฟังไปแล้วก็ไปสรุปว่า อ้อ ตอนนี้มีแนวคิด
ที่ต่างกันนิดหน่อย แต่ฝรั่งนั้นหันมาแล้วล่ะ ในแง่ของ life
long education, life long learning นี้ในเมื่อชีวิตที่ดีเป็นชีวิตแห่งการศึกษา
หรือเป็นการศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา ก็เข้ากับธรรมชาติของมนุษย์.
ทางพุทธศาสนานี้ถือว่าเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ และต้องฝึก คำว่า
“ฝึก” นั่นก็คือ “ศึกษา”นั้นเอง ภาษพระก็คือ สิกขา หรือศึกษา แปลเป็นภาษาไทยก็
ฝึก โบราณก็ใช้คำว่า “ฝึก” ฝึก ศึกษา หรือพัฒนา ทำให้ดีขึ้น
เจริญงอกงามขึ้น นี้สัตว์ที่เรียกว่า “มนุษย์” นี้เป็นสัตว์พิเศษตรงที่ว่าฝึกได้
เรียนรู้ได้ ศึกษาได้ สัตว์ชนิดอื่นนี่เรียนรู้ได้บ้างแต่จำกัด
ฝึกได้นิดหน่อย ฝึกได้จำกัดด้วย แล้วแถมจะฝึกให้ดีซักหน่อยก็ต้องให้มนุษย์ฝึก
ฝึกตัวเองไม่ได้ เหมือนอย่างช้าม้าเนี่ยะ สัตว์ที่อยู่ในระดับที่ว่าเรียนรู้ได้มากหน่อย
แต่ถึงยังงั้นแกก้เรียนรู้ด้วยตัวเองได้จำกัดอย่างยิ่ง โดยปกติก็อยู่แค่สัญชาตญาณ
แล้วก็ตลอดชีวิตก็อยู่แค่นั้น เค้าเรียกว่าเกิดมาอย่างไร ก็ตายไปอย่างนั้น เกิดมาอย่างช้างก็ตายไปอย่างช้าง
เกิดมาอย่างม้าก็ตายไปอย่างม้า
ทีนี้ มาอยู่กับคน คนช่วยฝึกให้ ช้าวงก็เอาไปลากซุงได้
ม้าก็เอามารบทัพจับศึกได้ ลิงก็เอาไปขึ้นต้นมะพร้าวได้ กลายเป็นว่า
ฝึกมารับใช้มนุษย์ แล้วต้องให้มนุษย์ฝึกให้ ก็ได้แค่นั้นเอง
ต่างจากมนุษย์ที่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าหากดว่ามีความเพียรที่จะฝึกตนแล้ว ฝึกไปเถอะ ฝึกไปจนกระทั่ง เป็นมนุษย์อัจฉริยะ
จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตนิ์ เป็นมหาบุรุษอะไรของโลก
จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ฉะนั้นมนุษย์นี้เกิดมาอย่างหนึ่ง
ก็ตายไปอีกอย่างหนึ่ง
นอกจากนั้นมนุษย์นี่ยังสามารถสร้างโลกของตัวเองขึ้นมา ซ้อนขึ้นในโลกของธรรมชาติ
โลกธรรมชาติเนี่ยะเราเห็นอยู่ ต้นไม้ภูเขาแม่น้ำท้องฟ้า แต่ว่ามนุษย์นี่
เกิดมาแล้ว ฝึกตัวเอง ศึกษา มีความคิดพัฒนาทำการต่างๆ มีการประดิษฐ์สร้างสรรค์ มีเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า
ทำให้เกิดโลกขึ้นมาต่างหาก เรียกว่าโลกมนุษย์ ซ้อนอยู่ในโลกธรรมชาติ เนี่ยะ
เพราะฉะนั้นมนุษย์บางคนนี้ เกิดมาแล้วดำเนินชีวิตเนี่ยะ
บางคนเนี่ยะไม่ได้สัมผัสกับโลกธรรมชาติ เพราะอยู่ในโลกของมนุษย์
นี่ก็ ในแง่หนึ่งก็แสดงถึงความพิเศษ ความสามารถของมนุษย์
แต่พร้อมกันนั้น มันก็เป็นจุดอันตรายด้วย ถ้าหากมว่ามนุษย์เนี่ยะ
แปลกแยกออกจากโลกของธรรมชาติ มาอยู่ในโลกของตัวเอง เข้าไม่ถึงโลกของธรรมชาติ เชื่อมประสานโลกของมนุษย์กับโลกของธรรมชาติไม่ได้
ก็จะยุ่ง อย่างเวลาเนี่ยะ มนุษย์ฉลาดในแง่หนึ่ง แต่ฉลาดน้อยไป คือไม่รอบคอบ
สร้างโลกของตัวเองแล้วก็ปลีกตัว แปลกแยกจากโลกของธรรมชาติ
มาอยู่ต่างหากแล้วกลับไปเบียดเบียนทำลาสยโลกของธรรมชาติ ที่รองรับโลกของตัวเองอยู่
โลกธรรมชาตินี้รองรับรับโลกมนุษย์อยู่นะ โลกมนุษย์ไม่ได้อยู่ลำพังโดดเดี่ยว
โลกมนุษย์จะอยู่โดยอิสระของมันไม่ได้ ต้องอาศัยโลกธรรมชาติ นี้เรามาสร้างโลกมนุษย์ขึ้นมา
เสร็จแล้วเรากลับไปทำลายโลกธรรมชาติที่ซ้อนรองรับเราอยู่ ฉะนั้นมันเลยเกิดปัญหา
เป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เป็นต้น อย่างที่เราพบกันอยู่.
นี้ก็เป็นเรื่องของมนุษย์ทั้งนั้นแหละ ที่มีความสามารถพิเศษ แต่ว่าเราจะจัดการกับความสามารถของเราอย่างไร
อันนี้เราก็ต้องมาดู ก็ตกลงว่า ในที่นี้ต้องการให้เห็นว่า ชีวิตมนุษย์เนี่ยะ
ที่เป็นสัตว์พิเศษเนี่ยะ มันอยู่ได้ด้วยการศึกษา คือการฝึก
การพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น คนเราก็เลยสำคัญว่า จะต้องรู้ธรรมชาติของตัวเองเนี่ยะ
ถ้าคนไหนรู้ธรรมชาติของเราเองว่า อ๋อ มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ จะต้องฝึก
ถ้าไม่ฝึกแล้วแย่ที่สุด มนุษย์เรา เราไม่ฝึกไม่ศึกษาไม่เรียนรู้สิ
แย่กว่าสัตว์ชนิดอื่นเลย สู้ช้างสู้ม้าสู้วัวไม่ได้
เพราะว่าสัตว์อื่นมันอาศัยสัญชาตญาณ มันทำได้มันอยู่ได้
แต่มนุษย์ไม่เรียนรู้เนี่ยะ มันอยู่ไม่รอด พอเรียนรู้นี่ก็ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นต้น
สอนกันนานด้วย สัตว์นี่บางทีเกิดมาวันเดียวมันเดินได้แล้ว เหมือนโคเนี่ยะ
ออกมาเดี๋ยวเดียวมันเดินได้ แต่มนุษย์นี่ ต้องฝึกทุกอย่าง เรียนรู้ทุกอย่าง นั่ง
นอน กิน ขับถ่าย เดิน พูด มีผู้ที่ฝึกศึกษาสอนให้ เรียนรู้กันเป็นสิบปีกว่าจะอยู่รอด.
แต่ทีนี้ มนุษย์เราเนี่ยะ
เมื่อรู้ธรรมชาติของตัวเองว่า เอ๊อ เรานี้เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ เรียนรู้ได้
จะต้องฝึกศึกษา ถ้าเราฝึกศึกษาก็เจริญก้าวหน้าเรื่อยไป
เราก็ไม่พอใจแค่เรียนรู้พออยู่รอด เราต้องเรียนรู้ให้อยู่ดี ให้เป็นสัตว์ประเสริฐ
ในทางพุทธศาสนาก็เน้นให้ความสำคัญในการฝึกการศึกษา ว่ามนุษย์อย่างที่ว่าแล้ว
เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่
ใครมาพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ไม่ถูกหลัก
พุทธศาสนาไม่ได้ยอมรับว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ต้องพูดให้เต็มว่า
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่ ใครลองไปคิดดูให้ดี
ที่ฝึกนี้คือการศึกษา ฉะนั้นในพุทธศาสนาท่านเน้นไว้อย่าง เอ้า ยกบาลีก็ได้เช่น ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ ในหมู่มนุษย์
ผู้ที่ฝึกแล้ว ประเสริฐสุด ท่านไม่ได้ยอมรับว่าอยู่ๆมนุษย์จะประเสริฐขึ้นมา
ใครจะไปพูด พุทธศาสนาไม่ยอมรับด้วย ต้องฝึกต้องศึกษา จึงจะประเสริฐ.
เอาละ เรามีเงื่อนไข นี้รวมความก็คือว่า
เราจะมีชีวิตที่ดีเนี่ยะ ต้องมีการเรียนรู้ ต้องมีการศึกษา พัฒนาเรื่อยไป การศึกษาของมนุษย์เนี่ยะ
มันก็อาศัยอะไรล่ะ? อาศัยท่านเรียกว่าปัจจัย ปัจจัยนี้มีภายในกับภายนอก
คนเราจะเรียนรู้จะฝึกตนได้เนี่ยะ เรามีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์
เราก็เริ่มที่ว่า เรารู้ธรรมชาติของเราแล้ว จะประเสริฐได้ด้วยการฝึก
เราก็มีสำนึกในการศึกษา คนใดสร้างจิตสำนึกนี้ขึ้นมาได้ คนนั้นเนี่ยะ
มีหวังที่จะเจริญก้าวหน้าแน่นอน เพราะว่าเขาจะมีจิตสำนึกตัวเนี่ยะ
คอยเตือนใจตลอดเวลา เวลาพบประสบการณ์สถานการณ์อะไรเนี่ยะ มองเป็นการเรียนรู้หมด พอมีการเรียนรู้
มองเป็นการเรียนรู้ เราก็ได้ตลอดเวลา นี้ก็ ต้องเอาธรรมชาติของตัวเองเนี่ยะ
มาใช้ให้ได้ ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของตนเอง.
ทีนี้ ในการที่จะศึกษา นอกจากมีจิตสำนึกในการศึกษาหรือฝึกตนแล้ว
ก็จะต้องอาสัยปัจจัยภายในและภายนอก ทีนี้คนเราเกิดมาในตอนแรก เราก็อยู่กับพ่อแม่
อยู่ในครอบครัวก่อน คนที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือพ่อแม่ จุดเนี่ยนะเป็นจุดที่สำคัญ
ในเมื่อการศึกษามันเป็นชีวิตของเรา เพราะฉะนี้น ชีวิตเราเริ่มต้นเกิดมามันก็ต้องเริ่มศึกษา
ชีวิตเกิดมามันก็ต้องพยายามอยู่ให้รอด ก็ต้องเรียนรู้ ก็ต้องใช้ตาดูหูฟัง
เพราะว่าคนเราถ้าไม่มีความรู้เนี่ยะ อยู่ไม่ได้.
พอเกิดออกมา พบเห็นประสบการณ์สิ่งรอบตัวไม่รู้อะไรซักอย่าง
ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคุณเป็นทากับตัวเอง ไม่รู้จะปฏิบัติต่อมันอย่างไร
ตอนเนี่ยะติดขัด อึดอัด ขัดข้องแล้ว ท่านเรียกว่า ไม่มีความรู้ เกิดมาไม่มีความรู้
หรือมีความไม่รู้ คนเราเกิดมามีเหมือนกัน มีความไม่รู้ พอมีความไม่รู้
เจออะไรไม่รู้จะทำไง ก็อึดอัดขัดข้อง เพราะฉะนั้นท่านเรียกว่า ความไม่รู้นำมาซึ่งปัญหา ทีนี้ ความไม่รู้นี้เรียกว่า อวิชชา ปัญหาเรียกว่าความทุกข์ เพราะฉะนั้น อวิชชาเป็นที่มาของความทุกข์
หรือเป็นปัจจัยของความทุกข์.
เมื่อเรามีความไม่รู้ หรืออวิชชา ทำให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์
เราจะทำยังไง? ท่านบอกเรามีอุปกรณ์ติดตัวมานะ ที่เราจะแก้ปัญหาได้
คือทุกคนเกิดมานี่ มีอินทรีย์ คือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มาไว้ติดต่อกับโลกภายนอก นี่แหละเป็นเครื่องมือของเรา
ที่เราจะแก้ปัญหา เราจะรู้ เราก็จะต้องเรียนรู้ขึ้นมา แล้วเราก็จะแก้ปัญหา
แล้วเราก็จะปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้อง แต่ว่ามีคนช่วยก็คือพ่อแม่ของเรา
ทีนี้มันเรื่อง การศึกษามันเริ่มพร้อมกับชีวิตเริ่มต้น
เพราะฉะนั้นการศึกษามันก็ต้องเริ่มต้นที่บ้าน ในครอบครัว อันนี้ก็หลักธรรมดา
ถ้าเราจะดำเนินชีวิตเองนี่ ยากมาก ก็ต้องมีคนเข้ามาช่วย ก็คือคนใกล้ชิดที่สุด
ซึ่งโดยพื้นฐานโดยธรรมชาติเนี่ยะ มีคุณธรรมคือ เมตตากรุณา มีความรักอยู่ในใจเรียกว่ามีเมตตาอยู่แล้ว
ท่านปรารถนาที่อยากให้เรามีความสุข ท่านก็อยากจะให้เราอยู่รอดและอยู่ดีได้ด้วย
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ก็จะมาช่วยตรงเนี๊ยะ ช่วยให้เราฝึกศึกษาเรียนรู้ การที่พ่อแม่ช่วยเนี่ยะ
ช่วยเลี้ยง เลี้ยงก็คือ ช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง การเลี้ยงคือการอะไร?
เช่น เราจะเอาวงล้อซักวงหนึ่ง แต่ก่อนนี้เด็กชอบ เอามาตีให้มันวิ่งไปโดยไม่ล้ม
การกระทำยังงั้นเค้าเรียกว่าเลี้ยง เลี้ยงก็หมายความว่า ทำให้ล้อนั้นมันดำรงอยู่ได้
ไปได้ด้วยตนเอง.
ทีนี้ พ่อแม่เลี้ยงลูกก็คือว่า
พยายามจะช่วยให้ลูกเนี่ยะ สามารถดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง
นี้เมื่อไรลูกดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง ดำเนินชีวิตได้เองแล้ว ดีแล้ว พ่อแม่ก็วางใจ
ก็เลิกเลี้ยง ฉะนั้นการเลี้ยงก็คือการช่วยประคับประคอง เกื้อหนุนในเบื้องต้น
เพื่อให้ลูกเนี่ยะ สามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง
การที่ลูกจะดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเองคือทำอะไร ก็คือเรียนตลอดเวลา ก็คือเรียนรู้
เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนสิ่งที่พ่อแม่สอนนั่น กินยืนเดินพูดอะไรต่างๆเหล่าเนี่ยะ พ่อแม่ก็สอน
เราก็เรียนรู้ไป เรียนรู้ไป ฝึกหัดตัวเองไป.
ฉะนั้น การเลี้ยงก็จะคู่กับการเรียน พ่อแม่เลี้ยง ลูกก็เรียนไป ฉะนั้นการเลี้ยงก็คือกระบวนการช่วยเกื้อหนุนการเรียนของลูก อันนี้จะต้องจำไว้ ถ้าการเลี้ยงไม่มีการเรียน ก็กลายเป็นการเลี้ยงที่ว่างเปล่า
บ่างคนเข้าใจว่าเลี้ยงคือเอาอาหารเอาอะไรมาให้กับลูก
บำรุงบำเรอ ไม่ใช่ อันนั้นเป็นเพียงเครื่องประกอบ หมายความว่า
พ่อแม่เอาอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยปัจจัย 4
นี่มาช่วยเป็นเครื่องเกื้อหนุนเพื่อให้ลูกเนี่ยะ พร้อมที่จะเรียน เรียนก็เพื่อลูกก็จะสามารถดำเนินชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเอง.
ฉะนั้นตกลงว่า พ่อแม่ก็มาเป็นผู้เกื้อหนุน
แต่หน้าที่ในการศึกษาเป็นหน้าที่ของทุกคน ของทุกชีวิต อย่างที่บอกแล้วว่า ชีวิตคือการศึกษา
ชีวิตที่ดีก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นี้พ่อแม่มาเริ่มช่วยเกื้อหนุนเรา
ก็ชีวิตเริ่มต้นเมื่อไร การศึกษาก็เริ่มต้นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครถามบอกว่า
การศึกษาเริ่มต้นที่ไหน? ก็บอกว่าเริ่มต้นพร้อมกับชีวิตเริ่ม
แล้วชีวิตเริ่มที่ไหน? ก็เริ่มในบ้านการศึกษาเริ่มในบ้าน พอเริ่มในบ้าน เอาละ
พ่อแม่ก็มีบทบาทสำคัญ.
ทีนี้ในการศึกษาปัจจุบัน เรามักจะเน้นที่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา
โดยมักจะมองข้ามเรื่องบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ครอบครัวไปเสีย อันนี้จะเป็นอันตราย
เพราะว่า กว่าจะไปถึงโรงเรียนเนี่ยะ การศึกษามันเข้าไปเป็นชีวิตพื้นฐานของคนแล้ว
เวลาไปถึงโรงเรียนแล้วเนี่ยะ ไอ้ส่วนที่เป็นคุณสมบัติเป็นแกนของชีวิตเนี่ยะ
มันเสร็จไปแล้ว ครูอย่างมากก็ได้แค่ไปเติมไปเสริมไปแต่งไปเพิ่มให้
บางทีก็ไปให้วิชาเฉพาะอย่าง แม้แต่ว่าวิชาไปทำมาหาเลี้ยงชีพ
แต่ว่าการศึกษาที่แท้มันต้องเกิดเป็นคุณสมบัติในชีวิตของเรา.
ฉะนั้นตัวคุณสมบัติชีวิตของเราที่จะให้เป็นอยู่ได้ดีนี่แหละ
คือเนื้อแท้ของการศึกษา ซึ่งจะเกิดขึ้น
พออยู่ที่บ้านนี่เราได้การศึกษาพื้นฐานของชีวิตไปแล้ว
เพราะฉะนั้นการศึกษาในบ้านนี่พระพุทธเจ้าจึงทรงเน้นมาก ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่า พ่อแม่นี้เราเรียกว่าเป็นอาจารย์ต้น
อาจารย์ต้นก็คือครูอาจารย์คนแรก หลายท่านคงเคยได้ยินคำบาลี ที่บอกว่า ปุพฺพจริยาติ วุจฺจเร แปลว่า พ่อแม่นี้ท่านเรียกว่าเป็นบูรพาจารย์
บูรพาจารย์ก็แปลว่าอาจารย์คนแรกหรืออาจารย์ต้น เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ต้นเนี่ยะ
พ่อแม่จะต้องทำหน้าที่นี้ให้ดี ฉะนั้นถ้าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่ลูก
ก็แสดงว่า พ่อแม่บกพร่อง เพราะฉะนั้นพอลูกจะไปถึงโรงเรียนเนี่ยะ ก็แทบจะสายไปแล้ว
ต้องครูเก่งจริงๆ จึงจะมาแก้ปัญหาที่ติดไปจากบ้าน
ที่พ่อแม่ไม่ได้ให้การศึกษาที่ดีแก่ลูก เราก็ต้องยกย่องว่า ครูอาจารย์ที่ทำได้งั้นนี่
เป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างยิ่ง เพราะว่าแกนมันไม่ค่อยดีแล้ว
ยังไปสามารถไปแก้ไขไปแต่งไปสรรไปจัดให้มันดีได้
ก็เลยครูอาจารย์ที่โรงเรียนนั่นเป็นผู้เสริมและทำให้ก้าวต่อไป
แต่วางพื้นฐานนี้ก็ต้องวางฐานกันที่บ้าน ในครอบครัว ในบ้าน.
ทีนี้ บทบาทที่สำคัญที่จะทำให้เกิดวิถีชีวิตที่ดีงาม
จะเรียกวิถีพุทธ อะไรก็ได้ เพราะวิถีพุทธก็คือ ชีวิตเป็นการศึกษา อย่างที่ว่ามา
ทำยังไงพ่อแม่จึงจะมีบทบาทที่ถูกต้อง
บทบาท...คนเราเมื่อมีการศึกษา...ที่มันเป็นคุณสมบัติ...มันเสร็จไปในระยะแรกก็คือ ท่าทีการมองโลก
ความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม ความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์ เนี่ยะอันนี้สำคัญ
มันเสร็จไปจากบ้าน ในชีวิตระยะแรก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจะเน้นจุดเนี่ยะ.
ถ้าเราเห็นสิ่งรอบตัวเรา เป็นปฏิปักษ์ ในลักษณะที่ไม่ดี
มีความก้าวร้าวรุนแรงอยู่เสมอ
คนนั้นหรือเด็กนั้นๆมักจะมีความโน้มเอียงที่จะมีท่าทีความรู้สึกมองโลกไปในเชิงปฏิปักษ์
ก้าวร้าวหรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าได้รับความเมตตากรุณาอย่างดี มีความอบอุ่นในชีวิต
ก็จะมองโลกในแง่ดี ความรู้สึกเป็นมิตรต่อเพื่อนโลกและเพื่อนมนุษย์
หรือว่าอยู่กับพ่อแม่ที่แนะนำให้มองชีวิต มองธรรมชาติแวดล้อมสวยงาม
เขาก็จะเริ่มมองแง่ของโลกที่มันสวยงาม ที่มันดี แล้วก็มองในสิ่งที่น่าเรียนรู้
พ่อแม่ก็จะแนะนำว่าอันนู้นยังงั้นอันนั้นยังงี้ เด็กก็จะมีความอยากรู้มากขึ้น
ก็มองโลกในแง่ของสิ่งที่น่ารู้ อยากจะออกไปเรียนรู้ มีอะไรที่อยากจะไปร่วม
พ่อแม่ก็ทำนู่นทำนี่ ชวนลูกทำ ต่อไปลูกก็เกิดทัศนคติที่จะไปร่วมในการสร้างสรรค์
ไปอยู่ในโลก ออกไปอยู่ในโลกทำการสร้างสรรค์ เนี่ยะ
คือการวางฐานมองโลกมองชีวิตให้แก่ลูก.
นี้ทางพระท่านเรียกว่า การทำหน้าที่แสดงโลกนี้แก่ลูก
อันนี้เป็นหน้าที่ที่ 1 ที่สำคัญอย่างยิ่ง เวลานี้เรากำลังจะพลาด ถ้าหน้าที่ที่ 1
นี้พลาดไปแล้วเนี่ยะ จะแก้ไขลบำบากมาก เพราะว่ามันเป็นท่าทีทัศนคติพื้นฐานของคน
บทบาทในปัจจุบันนี้ได้เน้นย้ำอยู่เสมอว่า
พ่อแม่ของเรากำลังยกบทบาทนี้ให้แก่สื่อมวลชนทีวีไอทีต่างๆ พวกทีวีก็เข้าไปอยู่ถึงห้องนอนของลูก
วีดิโออะไรต่ออะไรก็มี ในนั้นมีแต่ภาพอะไรบ้าง? บางทีก็เป็นภาพของความโหดร้าย
การทะเลาะ การฆ่าฟัน การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การแย่งชิง
แล้วก็ภาพแห่งความลุ่มหลงมัวเมา การเห็นแก่ตัว จะเอาให้แก่ตัว
การจะเอาชนะกันอะไรต่างๆเนี๊ยะ สิ่งเหล่านี้ที่ลูกเห็น
ถ้าไม่มีผู้ชี้นำที่ดีเนี่ยะ ก็จะเกิดความรู้สึกต่อโลกต่อเพื่อนมนุษย์อย่างนั้น
และเด็กจะมองว่า โอ้ โลกนี่คือแดนที่เราจะต้องไป เอาให้กับตัวให้มากที่สุด
ต้องไปแย่งชิงเอากับคนอื่น ต้องชนะเขา ต้องไปกำจัดศัตรู
แล้วก็มองในแง่รู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์เป็นคู่แข่ง เป็นปฏิปักษ์ จะต้องไปสู้กัน
อันนี้ก็คือการพัฒนาท่าทีการมองโลกมองชีวิตตั้งวแต่เบื้องต้น นี้คือการศึกษาที่ผิด
ถ้าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่นี้ก็พลาดตั้งแต่ต้นแล้ว นี่ก็คืออันที่ 1 เพราะฉะนั้น
จึงต้องย้ำกันอยู่เสมอว่า เราจะต้องเน้นในครอบครัวทำหน้าที่ที่ 1 เนี่ยะ ก็คือ
พ่อแม่ต้องทำหน้าที่แสดงโลกนี้แก่ลูก ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า นำเสนอโลกนี้แก่ลูก.
คนเราเกิดมาเนี่ยะ เราเห็นรอบตัวหมด อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด
ทั้งฟ้าทั้งน้ำทั้งดินภูเขาป่าไม้เนี่ยะ เราเห็นพร้อมกันหมดเนี่ยะ
แต่เราเห็นเพียงบางแง่เท่านั้น คนเราเนี่ยะเห็นอะไรไม่ได้เห็นหมดทุกอย่างหรอก
เห็นได้แวง่มุมหนึ่งเท่านั้นแหละ และแง่มุมไหนก็อยู่ที่ แง่ของการมอง
แง่ของความสนใจ แง่ของเจตนา เนี่ยะ ถ้าเรามองตั้งแง่ผิด เราก็ได้ความหมายที่ผิด
พัฒนาท่าทีทัศนคติที่ผิด ถ้าหากว่ามองแง่ถูก อย่างพ่อแม่มีทัศนคติที่ถูก มีเมตตามีความรักต่อลูก
ก็มาชี้ในแง่ที่ดี ให้เกิดความชื่นชม อย่างที่เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ
แม้แต่ตัวพ่อแม่เองนั่นแหละ ตัวพ่อแม่ที่ปรากฏแก่ลูกเนี่ยะ
ก็คือการแสดงโลกนี้แก่ลูก หมายความว่าตัวพ่อแม่เองนี้เป็นผู้แสดง
ตัวแสดงบทบาทแก่ลูก แสดงยังไง? พ่อแม่นี่เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ
พ่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ผู้ชาย แม่เป็นตัวแทนของมนุษย์ผู้หญิง ทั้งโลกเลย ลูกเกิดมาก็ทันที
ก็ได้เห็นพ่อได้เห็นแม่ นั่นคือตัวแทนของมนุษย์ทั้งโลก
ทีนี้ตัวแทนที่ลูกมองที่เห็นเนี่ยะ เป็นตัวแทนที่ดี ใช่มั้ย? เป็นตัวแทน เอ๊อ
มนุษย์ผู้ชายนี้มีความรักนี่ มาก็ช่วยเหลือเรา ไม่ได้มาทำร้ายเลย ยิ้มแย้มแจ่มใส
ช่วยประคับประคอง ผู้หยิงที่เป็นตัวแทนของโลกนี่ก็เหมือนกัน มาถึงเราก็มาโอบอุ้มช่วยเหลือเราทุกอย่าง
ก็มีความรู้สึกที่ดี เราก็พัฒนา เราก็มองโลกมนุษย์ เราก็มองเพื่อนมนุษย์เนี่ยะ
ที่มีพ่อแม่เป็นตัวแทน ในแง่ดี ในแง่ของความรู้สึกเป็นมิตร มีเมตตาไมตรี
และพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ท่านก็แนะนำ ญาติมิตรพี่น้องก็แนะนำไปในทางที่ดี
ให้เรียนรู้ให้ศึกษา สิ่งดีๆทั้งนั้นเพราะความรักความปรารถนาดี.
เพราะฉะนั้นโดยธรรมชาติแล้วน่ะ
พ่อแม่จะนำเสนอโลกนี้แก่ลูกในทางที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่ชีวิต
แม้พ่อแม่จะไม่ฉลาดเท่าไร แต่ว่าคุณธรรมที่มีมาเนี่ยะ ทำให้ดีไปเอง
แต่นี้ถ้าพ่อแม่มีปัญญาด้วยนะ ยิ่งดีใหญ่เลย พ่อแม่ก็จะทำด้วยความรู้ความเข้าใจความตั้งใจว่า
โอ้ เราจะต้องให้ลูกเนี่ยะ ได้มีทัศนคติต่อโลกอย่างไร ต่อชีวิตอย่างไร
ต่อเพื่อมนุษย์อย่างไร ต่อธรรมชาติแวดล้อมอย่างไร ให้มีความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์นี่
มีเมตตาไมตรีจิตมิตรภาพ มองธรรมชาตินี้เป็นสิ่งสวยงาม น่าชื่นชม มองโลก...สิ่งทั้งหลายในโลกนี้น่าเรียนรู้
เป็นสิ่งที่เราจะไปเรียนไปรู้ไปศึกษาได้มากมาย แล้วก็มองว่าโลกนี้
เราจะไปร่วมสร้างสรรค์เนี่ยะ ถ้าทำได้อย่างนี้ละก็ เนี่ยะ
ก็เป็นการปลูกสร้างทัศนคติพื้นฐานที่ดีเนี่ยะ
เป็นจุดเริ่มต้นเลยของชีวิตที่แท้จริง.
แต่ทีนี้ถ้าลูกไปเจอปุ้บปั้บตื่นขึ้นมา
ไปเจอแต่ซีดีวีดิโอที่มีแต่การฟันกันฆ่ากัน เลือดนองจออะไรยังเงี๊ยะ แล้วอะไรเกิดขึ้นล่ะ
ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ ทัศนคติที่ไม่ดีต่อโลก
ความรู้สึกที่จะเข้าไปร่วมโลกไม่ใช่แบบสร้างสรรค์ช่วยกันเกื้อหนุนแล้ว
ตอนนี้จะไปแช่งแย่งชิงและจะเอาชนะกำจัด เพราะฉะนั้นเวลานี้จึงเสี่ยงภัย
แม้เราจะมีเทคโนโลยีที่เจริญ แต่การศึกษาของเราเนี่ยะ
เอื้ออำนวยหรือเปล่าที่เราจะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น ในทางที่เป็นคุณประโยชน์ แล้วเริ่มต้นพ่อแม่ก็จะต้องมาช่วยกำกับการแสดงโลกนี้ต่อลูก
ของทีวีเป็นต้น โดยให้ทีวีได้นำเสนอแต่สิ่งที่ถูกต้อง ช่วยเลือกคัดจัดสรรให้ลูก
หรือว่าเวลาลูกดูก็มาช่วยร่วมดูด้วย มาช่วยชี้แนะว่าให้มองอย่างไร
และจะได้แง่มุมที่เป็นประโยชน์ ได้ประโยชน์และได้ความรู้ ได้ความคิด ได้ความจริง.
อันนี้ก็คือเริ่มแรก ก็เป็นตัวอย่าง พอได้อย่างนี้แล้ว
การศึกษาเริ่มต้น ชีวิตที่ดีงามก็เริ่มต้นแล้ว ต่อไปลูกไปโรงเรียน
ก็จะไปเสริมไปเติม ถ้ามีพื้นฐานทัศนคติที่ดีอย่างนี้แล้วก็
เช่นว่ามีความรู้สึกท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายในโลกแบบเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างเนี๊ยะ
พอไปโรงเรียนลูกก็พร้อมที่จะเรียนเท่านั้นเอง อยากจะเรียนอยากจะได้ความรู้อะไรต่างๆ
พัฒนาความใฝ่รู้เป็นต้นขึ้นมา.
เพราะฉะนั้น นี้เป็นเป็นเพียงตัวอย่างของบทบาทแรกของพ่อแม่
หรือการศึกษาในครอบครัว แต่ไม่ใช่เท่านั้น ทีนี้จะขอพูดอีกอย่างหนึ่ง
คือการพูดเรื่องการศึกเนี่ยะ มันพูดได้หลายแง่
ถ้าเราจะพูดหลักทั่วไปนี่มันก็กว้างเกินไปที่เราจะมาพูดกันในเวลาเท่านี้
ตอนนี้เราก็มาพูดได้บางแง่บางมุมบางจุดบางช่วง ทีนี้บางส่วนที่อาตมาจะยกตัวอย่าง
เมื่อกี้ก็เน้นการนำเสนอโลกนี้แก่ลูกแล้ว ทีนี้ก็มาดูว่า
อีกอันที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาของมนุษย์นั้น ก็คือการพัฒนาความสุข คนเราไม่ค่อยพูดว่าความสุขนี้
มีความสำคัญต่อการพัฒนาของคนอย่างไร.
ชีวิตที่ดีนั้น แน่นอนทุกชีวิตต้องการพ้นทุกข์ พบสุข
เราก็อยากพ้นทุกข์ทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครอยากเกิดทุกข์ ทีนี้ว่า เราก็อยากหาความสุข
แต่ว่าเราหาความสุขเป็นมั้ย? ในทางพุทธศาสนาท่านสอนว่า ความสุขนั้นพัฒนาได้
การศึกษาในความหมายหนึ่งก็คือ การมาพัฒนาความสุข แต่ยิ่งกว่านั้นลึกลงไป
ท่านเรียกว่า การพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข อันนี้เป็นจุดที่สำคัญ
ตอนนี้เป็นทางแยก คือมนุษย์มันจะมี 2 อย่างในเรื่องความสุข ในขั้นต้นการหาความสุข
กับสองการมีความสุข.
มนุษย์คนหนึ่งๆนี้ก็จะพยายามหาความสุข แล้วก็พัฒนาความสามารถที่จะหาความสุข
การศึกษาเล่าเรียนกันในปัจจุบันเนี่ยะ ไปในทางนี้มาก
คือพัฒนาความสามารถที่จะหาความสุข แต่ความสุขมันไม่ได้โดยตรงนี้
มันต้องมีสิ่งเสพบริโภควัตถุต่างๆ ก็เลยความหมายเต็มก็บอกว่า การพัฒนาคว่ามสามารถที่จะหาวัตถุมาบำรุงบำเรอความสุข
แต่เขาลืมไปว่าอีกด้านหนึ่งก็คือ คนเราเนี่ยะ มีความสามารถที่จะมีความสุข
และความสามารถที่จะมีความสุขนี้พัฒนาได้
และการศึกษาที่แท้นี้จะเข้าถึงเนื้อตัวเป็นแก่นเป็นแกนเป็นสาระของชีวิตเนี่ยะ
มันต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ขอให้คิดดูว่า เราสามารถที่จะหาความสุข
ไอ้สิ่งที่จะบำเรอความสุขนั่นอยู่ข้างนอก กับการที่เราสามารถมีความสุขเนี่ยะ
อันไหนเป็นตัวการศึกษาที่แท้ การศึกษาที่แท้อยู่ที่การพัฒนาความสามารถที่จะ”มีความสุข”.
เพราะฉะนั้น อย่างน้อยก็ต้องให้ได้ดุลกัน คือพัฒนาความสามารถในการที่จะหาความสุข
กับการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ก็เลยจะมาพูดเรื่องของที่โรงเรียนเลย
จะได้มาดูความหมายของความสุข ที่สัมพันธ์กับการศึกษาในแง่นี้ เราไปโรงเรียน
เวลาไปโรงเรียนครูอาจารย์ก็จะได้รับคำแนะนำสั่งสอนบอกว่า ต้องจัดบรรยากาศให้ดีนะ
ให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข เราก็อยากให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข เด็กเรียนมีความสุขได้ก็ดี
แต่ว่า ระวังเหมือนกันนะ เราต้องแยกดู ความสุขของคนนี้ขึ้นต่อ หนึ่ง ปัจจัยภายนอก
สอง ปัจจัยภายใน.
ปัจจัยภายนอกก็คือ
อย่างง่ายที่สุดก็ หลายคนก็จะบอกว่า อ้อ ฉันจะมีคว่ามสุขเมื่อฉันได้ดูรูปสวยๆ
ได้ฟังเสียงเพราะๆ ดนตรีที่ชอบเพลงที่ชอบ และได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อยเป็นต้น อย่างนี้ฉันมีความสุข
อันนี้ก็เป็นความสุขที่อาศัยปัจจัยภายนอก นี่เป็นปัจจัยภายนอกอย่างหนึ่ง พอปัจจัยภายนอกอย่างที่สอง
คือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่เป็นเพื่อนเป็นครูอาจารย์เป็นพ่อแม่
ที่มีความรักมีไมตรีจิตมิตรภาพต่อเรา พอเราเจอคนอย่างงั้น
หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเกื้อหนุนกัน เราก็บอกว่าเราก็มีความสุข
อันนี้ครูอาจารย์ก็มาช่วยได้ เราก็จะจัดสรร พยายามให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข
เราก็อาจนึกไปถึงวัตถุ สิ่งที่จะช่วยให้อำนวยความสะดวกสบายให้เด็กได้ ตาดูหูฟัง
สิ่งที่ชอบใจ มีความสุข อันนี้อันหนึ่ง ปัจจัยภายนอก.
สอง ก็คือตัวครูเอง
ก็เป็นคนมีเมตตามีความรักใคร่ปรารถนาดี จัดบรรยากาศการเล่าเรียนให้มีความสุข
สภาพแวดล้อมบรรยากาศมีความสุข อันนี้ก็ดีแล้วนะ เรียนอย่างมีความสุข
เด็กก็สนใจเล่าเรียน จิตใจก็ไม่เบื่อหน่าย ไม่ท้อแท้ไม่หงุดหงิด สบายใจ ก็ดี
อันนี้ได้ขั้นหนึ่ง แต่ว่าไม่พอ ตราบใดที่ยังไม่ถึงปัจจัยภายในแล้ว ยังพอไม่ได้
ยังไม่ได้การศึกษาที่แท้จริง บอกว่าครูนี่จะไปจัดบรรยากาศ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สนุกสนาน ให้มีบรรยากาศที่ร่าเริงผ่องใส
ให้มีความสุขเท่านี้ไม่พอ แต่ขาดไม่ได้ มันเป็นปัจจัยด้านหนึ่ง มันเป็นปัจจัยภายนอก.
ทำไมจึงบอกว่าไม่พอ? อันนี้เป็นความสุขแบบจัดตั้ง
เราจัดตั้งในโรงเรียนในห้องเรียน จัดบรรยากาศจัดกิจกรรม
แต่โลกนี้ชีวิตนี้มันไม่ได้เป็นยังงั้นตลอดไป เด็กไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนตลอดไปหรอก
โลกชีวิตแห่งความจริงเนี่ยะ มันไม่ได้เป็นยังงั้นเรื่อยไป
จะให้เด็กพบยังงี้ตลอดไม่ได้ เราได้แต่จัดตั้งให้เขา ถ้าอยู่กับการจัดตั้งเนี่ยะไม่ยั่งยืน
ความสุขที่อยู่กับการจัดตั้งนี้ไม่ยั่งยืน พอเด็กออกไปไม่ได้พบสภาพจัดตั้งยังงี้
ไปเจอไอ้โลกความเป็นจริง มันน่ารักมั่งน่าชังมั่ง กีระทบกระทั่งกระแทกกระทั้งเขา
อะไรต่ออะไรเค้าก็รับไม่ไหว เพราะฉะนั้นที่เขาจัดสรรปัจจัยเกื้อหนุนความสุข
ให้มีกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นต้น ให้มีความสุขเนี่ยะ
มันไม่ใช่จบในตัว มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นเพียงสื่อเพื่อจะเกื้อหนุนให้พัฒนาปัจจัยภายในขึ้นมา.
ปัจจัยภายในคืออะไร?
เมื่อปัจจัยภายในเกิดแล้วนั่นแหละ เด็กจึงจะมึความสุขที่แท้จริง
และเป็นตัวของตัวเองในการที่จะมีความสุข
ต่อจากนั้นเค้าจะออกไปอยู่ในโลกในชีวิต ท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรมรสุมอย่างไร
ไม่เป็นไร เขาจะรู้จักมีความสุขได้ นี่แหละคือการศึกษาที่แท้จริง
เพราะฉะนั้น การจัดตั้งในห้องเรียนเนี่ยะ เป็นเพียงปัจจัยเกื้อหนุน
เพื่อสร้างของจริง ก้เป็นอันว่า ถ้าอยู่ด้วยการจัดตั้งไม่ยั่งยืน
แต่การจัดตั้งมีขึ้นเพื่อสร้างสิ่งที่แท้
หมายความว่าการจัดตั้งก็เพื่อสร้างของจริง เราจัดตั้งเพื่อสร้าวงของจริงนะ
ไม่ใช่จัดตั้งแล้วจบแค่นั้น เพราะฉะนั้นเราจะไปจบที่แค่ให้นักเรียน
เรียนในบรรยากาศที่มีความสุข ครูอาจารย์มีเมตตา
เดี๋ยวดีไม่ดีกล่ายเป็นเอาใจ แม้กับพ่อแม่ก็เหมือนกัน
พ่อแม่ก็จะพยายามเอาใจให้ลูกได้มีวัตถุ อาหารเอร็ดอร่อยกิน
เลี้ยงดูและให้เงินทองใช้ พ่อแม่ก็มีเมตตากรุณา ดีไม่ดีลูกเสีย เพราะว่าไม่ฉลาด
ไม่ได้โยงเข้าหาปัจจัยภายใน แล้วเด็กก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาคุณสมบัติ
ที่จะทำให้เขามีความสุขได้ด้วยตนเอง ก็ต้องพึ่งพาเรื่อยไป
พึ่งพาให้คนอื่นมาจัดตั้ง มาจัดสรรสิ่งแวดล้อมให้ เป็นไปไม่ได้
โลกนี้มันไม่เป็นยังงั้น.
เพราะฉะนั้นเราก็โยงปัจจัยภายนอกเข้าไปหาปัจจัยภายใน
ทีนี้การจัดตั้งที่ว่าก็จะเป็นประโยชน์ ทีนี้ถ้าเราอยู่แค่ปัจจัยภายนอก
เดี๋ยวมาพูดกันก่อนว่า มันจะมีข้อเสียอย่างไร เช่นอย่างพ่อแม่ก็ตาม
ครูอาจารย์ก็ตาม โดยเฉพาะพ่อแม่นี่เห็นได้ชัด อยู่กับลูกตลอดเวลา ถ้าพ่อแม่เนี่ยะ
จัดตั้งแล้วก็จัดสรรอะไรต่างๆให้ลูกเนี่ยะ ได้มีความสุขแบบอาศัยปัจจัยภายนอก
จะเป็นวัตถุสิ่งของสิ่งเสพบริโภค ตลอดจนตัวพ่อแม่เองเนี่ยะ จะเป็นยังไง
ถ้ามีแต่เมตตาความรักใคร่ เด็กเนี่ยะ หนึ่งต่อไปจะอ่อนแอ สู้ชีวิตไม่เป็น
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่ทำให้เรื่อย
ช่วยเหลือเรื่อย ไม่มีก้อ่อนแอ สองเป็นคนพึ่งพา ต้องพึ่งพาพ่อแม่
เพราะทำไม่เป็น สามก็คือไม่รู้จักความจริงของชีวิต ไม่รู้จักความเป็นธรรม
ไม่รู้จักกติกากฏเกณฑ์ในชีวิต ในสังคม
ความเป็นจริงของธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน เป็นต้น
ไม่สามารถแม้แต่รักษาหลักการสังคม ออกไปอยู่ในสังคมแล้วก็จะเอาแต่กฎของการที่
ต้องมีคนช่วยเหลือเกื้อหนุนกันอยู่เป็นส่วนตัวเรื่อยไป นี่ข้อเสีย
แล้วถ้าหากเอาอกเอาใจโอ๋มากเกินไปนั้น ลูกจะเป็นนักเรียกร้อง
เป็นนักเรียกร้องก็คือว่า จะเอาอย่างเดียว ตอนนี้ไม่ดีแล้ว.
ทีนี้ถ้าพัฒนาพอดี จัดสรรปัจจัยแวดล้อมที่พอดี มีเมตตากรุณา
ลูกเราพัฒนาทัศนคติที่ดีอย่างที่ว่าเมื่อกี้
มีมิตรไมตรีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ มึความรักใคร่อบอุ่น
อันเนี๊ยะเป็นความรู้สึกที่ดี และพร้อมที่จะช่วยคนอื่น ตือพ่อแม่ที่ช่วยเรามีเมตตากรุณาเนี่ยะ
เป็นตัวอย่างให้เราจะได้มีเมตตาไปช่วยเหลือคนอื่นด้วย
ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายที่จะรอรับท่าเดียว ถ้ายังงั้นการศึกษามันก้ผิดทางไปเลย.
เอาละทีนี้ปัจจัยภายนอกมาเกื้อหนุน ก็นำไปสู่ปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในเมื่อกี้บอกแล้วว่า ที่พ่อแม่ครูอาจารย์จัดสรรสภาพแวดล้อมสิ่งต่างๆมานั้น
เพื่อเกื้อหนุนให้เราเพื่อศึกษา ตัวเรานั่นแหละต้องเรียนรู้ ตัวเราเรียนรู้ยังไง?
เราก็พัฒนาคุณสมบัติภายในที่ท่านเรียกว่าปัจจัยภายในขึ้นมา ปัจจัยภายในอะไรที่จะทำให้เรามีการพัฒนาแม้แต่ความสุข
ตอนแรกนี้นะ พอเราอาศัยปัจจัยภายนอกให้มีความสุขเนี่ยะ
เราก็จะต้องหาความสุขอยู่เรื่อย เพราะมันอยู่ข้างนอก มันไม่ได้อยู่ในตัว
นี้เราต้องหา เราก็ต้องหาสิ่งเสพบริโภค เราก็ต้องหาคนที่เราชอบใจ
อะไรเป็นต้นเนี่ยะ ต้องหากันอยู่เรื่อย ทีนี้
ตอนนี้ท่านบอกว่าให้พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขขึ้นภายใน
คนเรานี้เจอสิ่งที่ชอบใจทางตาหู เห็นรูปสวยเสียงฟังเสียงเพราะ เราก็มีความสบายมีความสุข
เราก็ชอบใจ เราก็เลยหาสิ่งที่ชอบ แล้วสิ่งที่มันทำให้ไม่สบายไม่ชอบเราก็พยายามหลีกเลี่ยง
แล้วเจอสิ่งที่ชอบเราก็มีความสุข เจอสิ่งที่เราไม่ชอบเราก็มีความทุกข์
นี่คือมนุษย์ปุถุชน ท่านเรียกว่ามนุษย์ที่อยู่ในความยินดียินร้าย
ได้เห็นสิ่งที่สบายก็ชอบใจ ได้เห็นสิ่งที่ไม่สบายก็ไม่ชอบใจ
ก็ยินดียินร้ายอยู่ยังงี้ สุขทุกข์ก็อยู่ในยินดียินร้ายชอบชัง.
ทีนี้ถ้าเราอยู่แค่นี้นี่ เราไม่พัฒนา
เพราะว่าสิ่งที่เราชอบชังหรือมีความรู้สึกเนี่ยะ เราเรียนรู้ได้น้อย เราก็ได้แค่นั้นน่ะ
เจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็ไม่เอาเราก็เป็นทุกข์เราก็หนี เราก็จะพยายามไปหาสิ่งที่ชอบ
แต่ทีนี้ว่า ขอให้ดูเหอะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราเนี่ยะ ที่เมื่อกี้บอกว่า
การศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนมีชีวิตน่ะ แล้วที่ว่ามันเริ่มที่ชีวิตน่ะมันเริ่มที่จุดไหนของชีวิตล่ะ?
อ้าวก็มาดูล่ะ เมื่อกี้บอกแล้วนี่ เกิดมาเราโผล่มาในโลกนี้
เราไม่รู้จักอะไรสักอย่าง แต่ว่าเรามีอุปกรณ์ติดตัวมารู้จักมัน ก็คือตาหูจมูกลิ้นของเรา
เพราะฉะนั้นตาหูจมูกลิ้นของเรานี้แหละ เป็นทางที่เราจะได้รู้จักโลก
เราก็เรียนรู้หาความรู้จากนี้.
แต่ทีนี้พอดีว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราเนี่ยะ มันทำหน้าที่ 2
อย่าง เราไม่ค่อยรู้นะ ถ้าถามว่าตาหูจมูกลิ้นกายใจมีไว้ทำไม? ทำหน้าที่อะไรบ้าง?
หลายคนก็บอก โอ้ย! ฉันเป็นนักการศึกษา ฉันตอบได้ และว่าทำหน้าที่รับรู้
อย่างนี้ให้คะแนน 50 % ไม่ถูก ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเดียว ทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน เราต้องแยกให้ได้ อะไรบ้าง?
มันพร้อมกันเลย ตา หู ทำหน้าที่ 1. รู้สึก 2. รู้ จะต้องแยกได้ รู้ กับ รู้สึก
รู้สีกนี่อย่างที่ว่าเมื่อกี้ พอเห็นรูปสวยงาม เห็นต้นไม้ใบเขียวขจี
อะไรต่ออะไรก็ สบาย อันนี้ก็เป็นรู้สึก ฟังเสียงนี่ ได้ยินเสียงที่เอะอะ อันนั้นอาจจะบอกว่า
เอ้ย ไม่สบาย...เป็นทุกข์ละ...ก็แล้วแต่ ลิ้นก็เหมือนกัน ไปเจอรสขมก็ทุกข์ไม่สบาย
พอเจอรสหวานพอดีพอดีก็อร่อย ชอบใจ.
อันนี้ก็คือเรื่องของรู้สึก พอรู้สึกเนี่ยะ พอรู้สึกสบายก็ชอบใจ
ไม่สบายก็ไม่ชอบใจ อันนี้ด้านรู้สึก จะมีปฏิกิริยาแบบเนี๊ยะ
แล้วคนก็วนเวียนอยู่ที่บอกเมื่อกี้ไง พอรู้สึกสบายชอบใจ ชอบใจก็จะเอา
แล้วก็มีความสุข แล้วก็ไม่ชอบใจก็ เจอก็จะหนีจะเลี่ยงแล้วก็มีความทุกข์.
ทีนี้อีกด้านหนึ่ง ตาหูจมูกลิ้นของเราเนี่ยะ ทำหน้าที่รู้ ก็คือว่ารู้เขียว
รู้แดง รู้ยาวรู้สั้น รู้ต้นไม้ รู้ว่าเป็นตันมะม่วงรู้ต้นมะละกอรู้ต้นกล้วย รู้ทุกอย่าง อันนี้ทำหน้าที่รู้เนี่ยะสำคัญ ทีนี้มันจะทำหน้าที่พร้อมกัน
ทีนี้คนจำนวนมากไปตามความรู้สึก พอรู้สึกสบายก็ชอบใจ จะเอา
ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ไม่ชอบใจ จะหนีจะทำลาย
แล้วสุขทุกข์ก็อยู่ที่ชอบใจไม่ชอบใจก็วนเวียนอยู่แค่นั้น แต่ทีนี้คนที่รู้จักชีวิตจริงว่า อ๋อ ตาหูจมูกฃลิ้นของเรานั้นมันทำหน้าที่ 2 อย่างนะ
หน้าที่ที่ 2 คือ รู้ นะ อ้าว เพราะฉะนั้นเราก็ใช้มันให้ถูก เรียนรู้ซะว่าไอ้นี่เป็นอะไร? ไอ้นี่คืออะไร? ไอ้นี่เป็นอย่างไร?
ไอ้นี่เป็นเพราะอะไร? อันนี้จะใช้ทำอะไร? อันนี้เป็นมาอย่างไร?
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอะไรอย่างไร? เนี่ยะ เอาละสิ ทีนี้ได้ความรู้.
เอาละ
ทีนี้ถ้านักเรียนนักศึกษารู้จักใช้ตาหูจมูกลิ้น ทำหน้าที่ที่ 2
ตอนเนี่ยะการศึกษาจะเริ่มแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องแบ่งหน้าที่ให้ถูกต้องว่า
เรามีตาหูจมูกลิ้นกายเนี่ยะ มันทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกันนะ หน้าที่รู้สึกไม่ใช่ไม่เป็นประโยชน์ เรายังไม่ทันรู้เนี่ยะ เราต้องอาศัยความรู้สึกก่อน ถ้ามันไม่สบายเนี่ยะเรารีบหนีก่อนเลย
เราได้ยินเสียงตูมตามขึ้นมานี่ เรารู้สึกล่ะ ไม่ดีแล้ววิ่งหนีก่อน มันช่วยชีวิตในขั้นต้น
แต่มันไม่แท้จริง เราจะปลอดภัยได้ประโยชน์แท้จริงนี้ต้องขั้นรู้ งั้นเราก็ก้าวจากรู้สึกไปสู่รู้ เราก็ใช้ตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราเนี่ยะ ทำหน้าที่รู้ ตอนนี้แหละ เราก็จะพัฒนาชีวิตของเรา
การศึกษาก็เริ่มต้น บอกว่า ตาดูหูฟัง รู้สึก ว่าอยู่สบายไม่สบาย ชอบใจไม่ชอบใจ
แล้วสุขทุกข์ก็อยู่แค่นั้น คนนั้นก็เที่ยววิ่งหาสิ่งที่ชอบ แล้วก็หนีสิ่งที่ไม่ชอบ
อยู่เรื่อยๆไป สุขทุกข์ของเขาก็อยู่แค่นี้ ทีนี้เขาใช้ตาดูหูฟังเพื่อรู้นี่ เขาจะก้าวหน้า เพราะว่าการทำหน้าที่รู้ ตาหูเนี่ยะมันไม่ขึ้นต่อสิ่งที่ชอบไม่ชอบ สิ่งที่ชอบก็ได้รู้ สิ่งไม่ชอบก็ได้เรียนรู้ เฮอะ เราเรียนรู้ได้หมด
สิ่งที่ชอบเราก็ได้เรียนรู้
สิ่งไม่ชอบก็ได้เรียนรู้ ทีนี้เราเกิดอยากรู้ขึ้นมาตอนนี้มันจะพัฒนา.
คนเรานี่
ความสุขเกิดจากการได้สนองความอยาก หรือสนองความต้องการนั่นเอง
เราต้องการเสพรสของวัตถุ เช่น ดู สิ่งที่รู้สึกว่าสวยงาม สบายตา
หรือสิ่งที่ไพเราะแก่หู เราอยู่บนความรู้สึก เรามีคว่ามต้องการเสพด้านความรู้สึก ที่สบายชอบใจ พอเราได้สนองความต้องการนั้น
ได้ดูสิ่งสวยงามเป็นต้น เราก็มีความสุข เพราะได้สนองความต้องการนั้น แต่ทีนี้พอเราใช้ตาดูหูฟังเพื่อรู้ เพื่อเรียนรู้ขึ้นมา
เราเกิดความต้องการรู้อยากรู้ขึ้นมา ทีนี้พอเราได้รู้ ได้สนองความต้องการเรียนรู้ เราก็มีความสุข เพราะว่าความสุขเกิดจากการสนองความต้องการ ทีนี้พอสุขจากการสนองความใฝ่รู้อยากรู้ ทีนี้แหละ
มีความสุขเรื่อยๆ เจอสิ่งที่ชอบก็ได้รู้ ก็มีความสุข เจอสิ่งไม่ชอบก็ได้เรียนรู้ ก็มีความสุข ตอนนี้ท่านเรียกว่า หลุดพ้นขั้นที่ 1.
อันนี้แหละที่ว่าเสรีภาพของมนุษย์มันมายังงี้
แล้วความสุขก็พัฒนา จะเห็นได้ว่าความสุขเราเพิ่มละ
ถ้าตอนนี้ความสุขของเราต้องอยู่กับสิ่งเสพ ที่เราชอบใจไม่ชอบใจ ใช่มั้ย?
พอเจอสิ่งที่ชอบใจ เรามีความสุข เจอสิ่งไม่ชอบใจเราทุกข์ ความสุขทุกข์ของเราจำกัดมาก
เรามีโอกาสเจอสิ่งไม่ชอบใจเยอะเหลือเกิน แล้วเราจะทุกข์บ่อยๆ แต่พอเราพัฒนาความต้องการรู้ เราใช้ตาหูเพื่อเรียนรู้ ตอนนี้เรามีความสุขประเภทที่ 2 พัฒนาความสุขชนิดใหม่
คือความสุขจากการเรียนรู้ ตอนนี้เรียนรู้ได้หมด สิ่งที่ชอบใจก็ได้เรียนรู้ สิ่งไม่ชอบใจก็ได้เรียนรู้ เลยสุขไปหมดเลย ตอนนี้สุขทุกสถานการณ์.
นี่คือการศึกษาที่มีผลต่อความสุข และถ้าใครไม่สามารถพัฒนาความสุขชนิดนี้ขึ้นมาได้
อย่าเพิ่งเรียกตนเองว่ามีการศึกษา เพราะฉะนั้นมันไม่ได้แสดงว่ามีการศึกษาเลย
เพราะว่า มันไม่มีความสุขจากการศึกษานี่ การศึกษาก็เริ่มจากเรียนรู้
เราเรียนรู้เราก็มีความสุข ฉะนั้นเด็กที่เป็นอย่างนี้นะ มันอันตรายเยอะเลย
เพราะถ้าเราสุขจากการสนองความรู้สึก
ท่านเรียกว่า สุขจากเสพ ก็จะหาแต่สิ่งชอบใจ สิ่งสวยงามไพเราะ ก็ตามหาสิ่งเสพมีความสุขอยู่เรื่อยไป ก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวก็ต้องแย่งชิงเบียดเบียนกับคนอื่น
มันก็ยุ่งอ่ะสิ โลกมันก็เป็นปัญหา ยังเงี๊ยะอย่างปัจจุบันเนี่ยะ คนไม่ค่อยรู้จักความสุขประเภทอื่น รู้จักความสุขประเภทเดียว
คือความสุขจากการเสพบริโภค สิ่งที่จะให้ความรู้สึกที่จะเป็นสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย.
พอเรามีความสุขจากการสนองความการรู้ ใฝ่รู้ ทีนี้แหละ เราก็เดินหน้าไปเลย ความสุขของเราไม่ขึ้นกับสิ่งภายนอกมากแล้ว
ขึ้นต่อสภาพจิตของเราที่มีความใฝ่รู้ เราเจอสถานการณ์ดี ไม่ดี เราชอบใจไม่ชอบใจ เราสุขได้ทั้งนั้น ได้เรียนรู้ทั้งนั้นเลย ตอนนี้แหละเราก็ก้าวหน้า
แล้วความสุขแบบนี้ไม่ได้เบียดเบียนใคร มีอยู่ในตัวเอง เป็นอิสระ
เพราะฉะนั้นจึงได้บอกว่า การศึกษานั้นเป็นการพัฒนาความสุขด้วย
แล้วท่านที่ทำหน้าที่ทางการศึกษาจะต้อง ช่วยเด็กให้ทำอันนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ ถ้าเด็กเกิดอันนี้
ทางพระท่านเรียกว่า เกิดฉันทะ ถ้าเด็กยังมีแต่ความต้องการสนองทางด้านความรู้สึกเรียกว่ามีแต่ตัณหา
คือต้องการสนองความรู้สึกสบาย ชอบใจไม่ชอบใจ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย
อันนี้เรียกว่าตัณหา แต่ถ้าเมื่อไรเกิดการใฝ่รู้ ต้องการเรียนรู้ แล้วมีความสุขจากการได้รู้ อันนั้นเรียกว่าเกิดฉันทะขึ้นมา และเกิดฉันทะแล้ว เดินหน้าละ พระพุทธเจ้าตรัสว่านี่คือรุ่งอรุณของชีวิตที่ดีงาม
เค้าเรียกว่า แสงเงินแสงทองของชีวิตที่ดีงาม หรือรุ่งอรุณของการศึกษา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อดวงอาทิตย์จะอุทัย
ย่อมมีแสงอรุณคือแสงเงินแสงทองขึ้นมาก่อนฉันใด ชีวิตที่ดีงามที่เรียกว่า มันทา
จะเกิด ก็มีฉันทะคือความใฝ่รู้อยากรู้ เนี่ยะเป็นตัวนำมาก่อนฉันนั้น.
ฉะนั้นขอให้ทุกท่านจำไว้เลยว่า
เราจะต้องพัฒนานี้ให้ได้ ทั้งกับตนเอง แล้วก็แก่เด็กทั้งหลายที่เราจะไปช่วยเขา
จะไปสอนเขา สอนเด็ก ถ้าเป็นครูก็ต้องไปพัฒนาตัวความสุขอันนี้
ซึ่งหมายว่าต้องพัฒนาความต้องการใหม่อันนี้ให้ได้ แล้วเด็กก็จะพัฒนา
พ่อแม่ก็เช่นเดียวกัน ก็ต้อวงพัฒนาตัวความใฝ่รู้ อยากรู้อันนี้ขึ้นมา
แล้วชีวิตของเขาก็จะดีงามแน่ พอเด็กมีฉันทะอันเนี่ยะ มีความต้องการรู้ใฝ่รู้เนี่ยะ เด็กเรียกหาเองเลย อยากรู้โน่นอยากรู้นี่แล้ว ชีวิตของเขาพัฒนาโดยเราไม่ต้อวงไปเรียกร้อง
นะ ถ้าเด็กมีแต่ความ...ตัณหาความใฝ่เสพ พ่อแม่ต้องไปคอยบังคับจ้ำจี้จ้ำไช
ให้เรียนให้รู้ เด็กก็ฝืนใจมีความทุกข์ แต่พอถ้าเด็กมีความอยากรู้ใฝ่รู้ คราวนี้มาเรียกร้องพ่อแม่เอง
เพราะเรียกร้องที่ดีนะ อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ เรียนรู้ อยากอ่านหนังสืออยากได้ความรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้
ทีนี้สบายใจได้ว่าเด็กจะต้องพัฒนาแน่นอน
ฉะนั้นการศึกษาที่ถูกต้องตามกฎธรรมชาติเนี่ยะ มันเป็นไปเอง ไม่ต้องไปเรียกร้อง
ท่านบอกว่า เมื่อแม่ไก่ขั้นไปฟักไข่ แล้วถึงเวลาลูกไก่ออกมา ไม่ต้องกลัว
แต่ถ้าแม่ไก่เนี่นยะ ไปยืนอยู่นอกเล้า แล้วก็ร้อง แล้วก็คร่ำครวญ
อ้อนวอนขอให้ลูกไก่ออกมาจากไข่เถิด ท่านบอกว่าไข่เน่าแน่.
เพราะฉะนั้น นักเรียนนักศึกษา ปฏิบัติตามหลักการที่แท้ในทางพุทธศาสนา
การศึกษามันเป็นไปตามธรรมชาติ ดังนั้นมันเป็นไปเองในชีวิตที่ดี ท่านจึงบอก
การศึกษากับชีวิตที่ดีงาม เป็นอันเดียวกัน เมื่อชีวิตที่ดีงามดำเนินไป
การศึกษาก็ดำเนินไป เมื่อการศึกษาดำเนินไปก็คือชีวิตที่ดีงาม
เพราะว่าชีวิตของคนนี้ ต้องเป็นอยู่ ต้องเจอประสบการณ์ใหม่สถานการณ์ใหม่
ต้องปฏิบัติต่อมันให้ถูก ต้องคิดแก้ปัญหาตลอดเวลา การศึกษามันเป็นไปเอง แต่ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว
เราปฏิบัติต่อมันให้ถูก เช่นว่าคิดเป็นมองเป็น ยังเงี๊ยะ ใช้ตาหูจมูกลิ้นให้เป็น
การศึกษามันมาเอง เพราะฉะนั้นการศึกษานั้นไม่ต้องอาศัยครูก็ได้นะ
แต่ครูเป็นกัลยาณมิตรมาช่วยบอก มาช่วยแนะทาง เรายังมองไม่เป็น คิดไม่เป็น ท่านก็มาชี้แนะหนทางให้.
นี้แหละ อาตมาก็ยกตัวอย่างความสุขที่ว่า พัฒนามาแล้ว ความสุขอย่างนี้เรียกว่าเกิดจากปัจจัยภายใน พอเกิดจากปัจจัยภายในแล้ว
เป็นความสุขด้วยตนเอง คราวนี้เด็กจะไปอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ไม่ต้องกลัว
ใช่มั้ย? ที่บอกเมื่อกี้แล้วเนี่ยะ ว่าเด็กคนนี้มีความต้องการรู้ เจออะไรต่ออะไรแกหาความสุขได้เอง
โดยไม่ต้องให้คนอื่นมาจัดสรรความสุขให้ นี้แกไปอยู่ในโลกได้ รับผิดชอบตัวเองได้
แต่ว่ายังดีกว่านั้นก็คือว่า คนเราเนี่ยะเมื่อเป็นสัตว์ที่มีธรรมชาติที่ต้องฝึก
ต้องพัฒนา ต้องเรียนรู้ เราจะมีชีวิตที่ดีงามก็ต้องฝึก เป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึก
เราก็มีจิตสำนึกอย่างที่ว่าแล้วเนี่ยะ เราก้เลยรู้ว่า อ้อ
ชีวิตที่ดีจะเจริญงอกงามก้าวหน้าเนี่ยะ ต้องเป็นชีวิตที่มีแบบฝึกหัด
ต้องรู้จักทำแบบฝึกหัด ชีวิตไหนไม่ทำแบบฝึกหัดเนี่ยะ เอาดียาก.
เพราะฉะนั้นคนเราเกิดมาเนี่ยะ
มองเป็นแล้ว ไม่มีใครเสียเปรียบได้เลย คนรวยก็ได้เปรียบแล้วก็เสียเปรียบ
คนจนก้ได้เปรียบและเสียเปรียบ แล้วแต่มอง ถ้ามองไม่เป็น ก็เสียเปรียบ
คนจนบอกว่าฉันเสียเปรียบ ไม่มีจะกินจะใช้ ลำบากทุกข์ยากเหลือเกิน
ทีนี้คนรวยเรามองในแง่นั้นเค้าก็ได้เปรียบสิ มีเงินมีทองใช้เยอะแยะ ใช่มั้ย?
จะเอาอะไรก็ได้ แต่คนร่ำรวยมั่งมีนี้เสียเปรียบ
เพราะว่าชีวิตของคนเรามันเจริญงอกงามต้องทำแบบฝึกหัด ใครเกิดมาท่ามกลางความสุข
เมื่อจะทำอะไร ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวทำได้ตามสบาย เลยไม่ได้คิดไม่ได้ฝึกตัวเอง
สมองไม่พัฒนา เพราะฉะนั้นเด็กที่ร่ำรวยเนี่ยะ ถ้าพ่อแม่ไม่ฉลาด
ไม่หาแบบฝึกหัดให้ลูกทำนั้น ลูกจะแย่ ไม่พัฒนา รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ เพราะว่าชีวิตมันไม่เจอแบบฝึกหัด
ชีวิตก็พัฒนาไม่ได้.
ทีนี้คนจนถ้ามองเป็นนะ
อย่าไปมัวโอดครวญร่ำไรจะทุกข์อยู่ มองเป็น โอ๊ นี่เป็นโอกาสดีแล้ว
เราเจอความจนความทุกข์ยากหรือปัญหาทั้งนั้นเป็นแบบฝึกหัด พอเจอแบบฝึกหัดก็ทำให้ได้สิ
คนไหนทำแบบฝึกหัดสำเร็จ คนนั้นชนะ ใช่มั้ย? เจริญก้าวหน้างอกงาม
กว่าเราจะทำแบบฝึกหัดสำเร็จแก้ปัญหาสำเร็จนี่ เราพัฒนาเยอะแยะ หนึ่งความจัดเจนในด้านของทักษะ
พฤติกรรมกายวาจา สองจิตใจ ความเข้มแข็ง ความมีใจสู้อดทน สามปัญญา
ความคิดแก้ปัญหา เราเจอปัญหาเราเจอความทุกข์นี่ เราต้องคิดหาทางแก้ไข เอาชนะ เอาปัญหาให้ลุล่วงเนี่ยะ
กว่าเราจะผ่านปัญหาได้ เราทำแบบฝึกหัดเยอะ เราเจริญพัฒนาไปเยอะ
ขอให้มองให้เป็นเถอะว่า เราเจอทุกข์ เจอปัญหา เจอคว่ามลำบาก นั้นคือโอกาสที่จะพัฒนาตัวเอง
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ.
เพราะเช่นนั้น คนรวยจำนวนมากเสียเปรียบ เพราะมองไม่เป็น
แล้วไม่หาแบบฝึกหัดมาทำ แล้วพ่อแม่บางทีมาซ้ำเติมลูก ไม่ช่วยลูกหาแบบฝึกหัดมาทำ เลยลูกแย่ไปเลย
ทีนี้พ่อแม่ที่เก่งเกิดมาจน ใช่มั้ย? หาแบบฝึกหัดให้ลูกรู้จัก
ให้ฝึกให้ลูกได้รู้จักทำแบบฝึกหัด แล้วลูกก็มองเป็นไม่มัวแบบที่ว่า
ไม่มัวคร่ำครวญร่ำไร โอดครวญมีความทุกข์เวทนาอะไรมั้ย เอาละ มองให้เป็นว่า เอ้อ
เราต้องหาโอกาสฝึกตัวเอง ทำแบบฝึกหัด แล้วเราก็พัฒนา.
ก็โดยหลักการก็รวมความว่า ชีวิตที่ดีนั้นจะต้องผ่านแบบยฝึกหัด
ฉะนั้นเราก็หาแบบฝึกหัดมาทำ พ่อแม่ที่ฉลาดก็หาแบบฝึกหัดมาลูกทำ อันนี้ท่านเรียกว่า
ให้มีคุณธรรมครบ (หนึ่ง)มีเมตตาความรักอยากให้ลูกเป็นสุข สองยามลูกมีความทุกข์เดือดร้อนก็มีกรุณาสงสาร
พยายามบำบัดความทุกข์นั้น สามยามลูกประสบความสำเร็จ มีความสุข
ทำอะไรได้ดีแล้ว พ่อแม่ก็มุทิตาพลอยยินดีด้วย คอยสนับสนุน เนี่ยะ อันนี้พ่อแม่พร้อม
แต่ทีนี้ข้อสี่ อุเบกขา พ่อแม่ต้องหาแบบฝึกหัดให้ลูกทำ เพราะว่าไอ้
3 อันแรกนี่ พ่อแม่คอยมีความโน้มเอียงทำให้ลูก ทำแทนเรื่อยไม่อยากให้ลูกลำบาก มีอะไรรักลูกก็ทำให้ลูก
ทำแทนลูก หามาให้ลูก ทีนี้ลูกก็ไม่เข้มแข็ง นี้ไม่ได้คิดถึงภายหน้า ใช้ปัญญาว่า
ต่อไปเนี่ยะเราไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป ลูกก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเขาเอง
เขาอยู่กับความเป็นจริงของโลกและชีวิต ที่มันไม่เข้าใครออกใครจะทำยังไง เอ้อ
เราก็ต้องเตรียมสิ ให้เขาไปรับผิดชอบชีวิตของเขาได้ นี่แหละหน้าที่ของพ่อแม่ข้อที่สี่
คืออุเบกขาก็หาแบบฝึกหัดให้ลูกทำ แล้วดูให้ลูกทำ
ถ้าสามอย่างแรกนี่ทำให้ลูกอยู่ ทำให้ลูก แต่ข้อที่สี่ไม่ทำให้แล้ว
ดูให้ลูกทำ ไม่ได้ทิ้ง ให้ลูกทำแล้วก็ดูไปด้วย ทำผิดทำถูก ฉันจะได้เป็นที่ปรึกษา
ช่วยแก้ปัญหา ช่วยแนะนำให้ทำให้ได้ผลดี ต่อไปลูกก็เข้มแข็งสิ
เนี่ยะ ลูกที่ได้คุณธรรมพ่อแม่ครบสี่เนี่ยะ
จะเป็นลูกที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ หนึ่งด้านจิตใจ จิตใจก็ดีงาม
มีไมตรีจิตมิตรภาพ มีความรู้สึกอบอุ่น มองโลกในแง่ดี มองเพื่อนมนุษย์เป็นมิตร
มีไมตรีมีความรักใคร่ แล้วก็รู้จักเห็นใจเพื่อนมนุษย์ และพร้อมก็นั้นก็มีความเข้มแข็ง
มีปัญญารับผิดชอบ ช่วยตัวเองได้แก้ปัญหาได้ อันนี้คือการพัฒนาที่สมบูรณ์
ตอนนี้ท่านเรียกว่า พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูกล่ะ
นี่ตอนนี้เลยหันกลับมาเรื่องพ่อแม่อีก เป็นอันว่า
พ่อแม่นี่มีบทบาทในการให้การศึกษาแก่ลูก ก็คือนำลูกในการศึกษา
ไม่ใช่ว่าเอาการศึกษามาหยิบยื่นให้ เพราะว่าการศึกษามันเกิดที่ลูกเอง ลูกจะต้องศึกษาเอง
มีใครเอาการศึกษามาหยิบยื่นให้เราได้ เป็นไปไม่ได้ ใช่มั้ย?
พ่อแม่ก็มาช่วยลูกให้ลูกได้ศึกษาอย่างที่ว่าเนี่ยะ ที่อาตมาพูดไปแล้วนี่
ว่าบทบาทของพ่อแม่ก็มี หนึ่งการแสดงโลกนี้แก่ลูก หรือนำเสนอโลกนี้แก่ลูก
อย่าปล่อยให้ไอที ทีวี เป็นต้น มาทำหน้าที่แทน หรือมายึดครองวดินแดนของพ่อแม่
เวลานี้น่ะ ต้องใช้คำว่า พ่อแม่เสียเอกราช เสียอธิปไตยให้แก่ทีวีเป็นต้น ใช่มั้ย?
ถ้าถุกยึดครองดินแดนไปแล้ว แทนที่พ่อปแม่จะเป็นผู้ปกครองดินแดนนี้ เปล่าล่ะ
บางทีเป็นข้าศึกศัตรูด้วย เข้ามาทางทีวีเนี่ยะ มานำมาชักจูงลูกไปในทางที่ผิดพลาด
มานำเสนอโลก แก่ลูกในทางที่ผิด เพราะฉะนั้น อันนี้อันที่หนึ่ง
นำเสนอโลกนี้แก่ลูก
ระการที่สองก็คือให้บรรยากาศในการศึกษาแก่ลูกที่ครบถ้วนทั้ง
4 อย่าง อย่างที่ว่า บอกย้ำอีกทีก็คือ 1. ยามลูกเป็นปกติก็มีความรักด้วยเมตตา
เลี้ยงดูให้เค้าเป็นสุข สองยามเค้าทุกข์ยากเดือดร้อนตกต่ำ ก็มีกรุณา
ปลดเปลื้องความทุกข์ให้เขา สามยามเขาประสบคว่ามสำเร็จ
ก้าวหน้าในความดีงามความสุข ก็ส่งเสริมสนับสนุนพลอยยินดีด้วย ใน 3
อย่างนี้เรียกว่าเป็นด้านความรู้สึก แล้วก็ข้อ 4 ก็เป็นด้านความรู้
คือพ่อแม่ก็ต้องรู้ความจริงว่า อ้อ ลูกไม่ได้อยู่กับเราตลอดชีวิตนะ
ลูกก็ต้องอยู้กับความเป็นจริงของโลกชีวิต ร่างกายชีวิตของเขาก็เป็นธรรมชาติ
เป็นไปตามกฎธรรมชาติ เขาออกไปอยู่สังคม ก็ต้องอยู่ในกติกาสังคม
ในโลกชีวิตต่างๆมันไม่ตามใจเราหรอก ไม่ตามใจเขาหรอก
เพราะฉะนั้นเราต้องเตรีมเขาให้พร้อมที่จะไปรับผิดชอบชีวิตของเขาเอง
ตอนนี้พ่อแม่ก็เลยใช้อุเบกขา หาแบบฝึกหัดมาให้ลูกทำ อย่างที่ว่า ดูให้ลูกทำ
ตอนเนี่ยะลูกคนนี้จะเข้มแข็ง รับผิดชอบตัวเองได้.
เนี่ยะเพราะฉะนั้นเราต้องหันกลับมาเน้นเรื่องการศึกษาในครอบครัว
แม้แต่ขั้นพื้นฐานแค่นี้ก็ ไม่ค่อยไหวกันแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ครอบครัวเนี่ยะหายากเหลือเกิน
ทำหน้าที่แค่ 2 อย่างนี้นะ.
ทีนี้ต่อไปยังไม่พอ
นี้ถ้ามีเวลาต่อไปก็พูดถึงบทบาทของพ่อแม่ในการนำเข้าสู่การศึกษาขั้นสูงขึ้นไปละ
ทีนี้ก็เข้าสู่ชีวิตของลูกที่จะเดินหน้า ซึ่งจะเป็นการพัฒนาก้าวไปสู่ความสมบูรณ์
พร้อมที่จะไปอยู่ในโลก พร้อมที่จะไปสร้างสรรค์โลก และมีชีวิตที่ดีงามมีความสุข พัฒนาอะไรล่ะ?
ตอนนี้ก็จะช่วยลูก ในเรื่องของการพัฒนาตัวชีวิตเขาเอง ชีวิตของตัวเขาเนี่ยะนะ
มีอะไรบ้าง? ชีวิตของคนเราที่ดำเนินอยู่เนี่ยะ มี 3 ด้านด้วยกัน
ด้านที่ 1 คือ ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยทางกาย วาจา
ใช่มั้ย? อันเนี่ยะเป็นตัวที่ปรากฏชัดก่อนเลย เราอยู่ร่วมในโลกเนี่ยะ
เราก็สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมมี 2 ประเภท คือ สิ่งแวดล้อมทางวัตถุ
แม้แต่อาหารการกิน สิ่งที่เราได้พบเห็น แม้แต่โบสถ์
แม้แต่หลวงพ่ออะไรต่างๆที่เราพบ ญาติมิตรครูอาจารย์นี้ เป็นสิ่งแวดล้อมสำหกรับเราทั้งนั้น
เราต้องใช้กายวาจาในการสัมพันธ์ แสดงออก.
ต่อไป 2. ชีวิตของเรานี้ดำเนินอยู่ได้ด้วยอะไร? ก็บอกว่าด้วยจิตใจ
เราจะมีพฤติกรรม กายวาจาแสดงออกสัมพันธ์อย่างไรเนี่ยะ มันไม่ปราศจากด้านจิตใจ
อย่างน้อยต้องมีความตั้งใจ ต้องมีเจตนา ต้องมีเจตจำนง
เราจะเคลื่อนไหวกายสักอย่างหนึ่ง จะเดินไปไหน เอามือไปหยิบอะไร เราจะพูดอะไรเนี่ยะ
เรามีความตั้งใจ ฉะนั้นจิตใจมาเชื่อมทันที เป็นตัวชักใยอยู่เบื้องหลัง
จิตใจทำหน้าที่ตลอดเวลาที่เราเคลื่อนไหวพฤติกรรม ตั้งใจอย่างไร เจตนาอย่างไร
อยู่ที่แรงจูงใจ อยู่ที่คุณสมบัติ แรงจูงใจโลภอยากได้ แรงจูงใจโกรธอยากทำร้าย
อันนี้จะแสดงออกมาโดยความตั้งใจ ในทางพฤติกรรมกายวาจา เคลื่อนไหว พูดจา
ก็จะเป็นไปตามนั้น เพราะฉะนั้น พฤติกรรมกายวาจา ไม่ได้เป็นอิสระ ต้องมีจิตใจประกอบด้วย
เอาละนะ 2 ด้านจิตใจ แล้วจิตใจนั้นมีอะไรบ้าง? มีจิตใจที่มีคุณธรรมความดีหรือไม่?
เช่นโกรธ อยากทำร้าย หรือว่ามีเมตตากรุณา รักใคร่ ปรารถนาดี เนี่ยะ
เป็นพวกคุณธรรม หรือว่ามีสมรรถภาพมั้ย? จิตใจเข้มแข็งหรืออ่อนแอ
เจออะไรแล้วถอย เจอปัญหาปั้บ ไม่สู้แล้ว ยอแยงอแง หรือว่าเจอปัญหาแล้วสู้ ต้องทำ
อย่าวงที่ว่ามีคติ มีจิตสำนึกในการฝึกตนว่า เจอปัญหาคือเจอแบบฝึกหัด
ถ้าเราทำแบบฝึกหัดสำเร็จ คือเราได้ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น ฉะนั้นเราก็ อยู่ที่เนี่ยะ
เรียกว่าสมรรถภาพทางด้านจิตใจ มีความเพียร มีความเข้มแข็ง มีความรับผิดชอบ
มีสติ มีความยั้งคิด มีการรู้จักควบคุมตนเองได้ มีสมาธิ มีจิตใจแน่วแน่
จิตอยู่กับ...ใจอยู่กับจิตอยู่กับงาน หมายความว่า
จะทำอะไรใจอยู่กับสิ่งนั้นได้แน่วแน่ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก อันนี้ก็เป็นเรื่องสมรรถภาพจิตใจ
ทีนี้อีกอันหนึ่งก็คือ ความสุขความทุกข์ จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมอง ว้าเหว่
เบื่อหน่าย หรือว่าจะเป็นจิตใจที่ร่าเริงเบิกบาน ผ่องใสสดชื่น มีความสุข
อันเนี๊ยะเป็นด้านจิตใจ แล้วมันจะมีผลออกมาเป็นพฤติกรรมหมดเลย.
แล้วทีนี้อีกอันหนึ่งคืออะไร? คือด้านปัญญา
ชีวิตมนุษย์ของเราเนี่ยะ ไม่ขาดปัญญา ทุกขณะที่เราเคลื่อนไหวพฤติกรรมนั้น
เราจะพูดอะไรเราจะทำอะไร แม้แต่จะเดินเนี่ยะ เราต้องมีความรู้
ถ้าเราไม่รู้เราเดินไม่ได้ เราไม่รู้จะเดินอย่างไหน เดินไปไหน เรารู้ที่หมายที่ไป
เรารู้ว่าอยู่ที่ไหน แล้วก้เรารู้แค่ไหน เราทำได้แค่นั้น ใช่มั้ย?
เรารู้แค่ไหนพฤติกรรมของเราก็ทำได้แค่นั้น เราก็ขยับเขยื้อนได้แค่นั้น
แล้วก็พุดจาได้แค่นั้น จิตใจของเราก็เหมือนกัน ต้องอาศัยปัญญา ความรู้ ถ้าเราไม่รู้
เราเจออะไรปั้บ อึดอัดขัดข้องทันที เราเจออะไรไม่รู้นี่มันคืออะไรมันเป็นยังไงมันจะเอากับเราเนี่ยะ
อึดอัดขัดข้อง มีความทุกข์บีบคั้นจิตใจทันที ฉะนั้น ไม่รู้ดเนี่ยะ
มาคู่กับทุกข์ แต่พอรู้ ว่ามันคืออะไรเป็นยังไง เราจะทำกับมันยังไงนี่ โล่งทันที
เพราะฉะนั้นปัญญา ความรู้เนี่ยะ ทำให้จิตใจเป็นยอิสระ นั้นปัญญา
ความรู้เนี่ยะ เป็นตัวทำยังไงบ้าง? ชี้นำ บอกทาง ขยายขอบเขต เราเคยรู้
เราเคยทำได้แค่นี้ พอความรู้มานี่มันขยายขอบเขตทันทีเลย ทำให้เราทำได้กว้างขวาง
ซับซ้อนยิ่งขึ้น มันเป็นตัวปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
เราไม่รู้ปั้บนี่อึดอัดขัดข้องบีบคั้น พอรู้ปั้บโล่งทันทีเลย เป็นอิสระ พฤติกรรมการเคลื่อนไหว
ติดขัดอยู่ พอปัญญารู้ปั้บ โล่งไปได้ตลอด เพราะฉะนั้น ปัญญานี่หน้าที่สำคัญที่สุดของมันคือ
เป็นตัวปลดปล่อย ทีนี้เป็นตัวทำให้เป็นอิสระ เพราะฉะนั้น ทำให้พฤติกรรมเป็นอิสระ
ทำให้ใจเป็นอิสระ.
ชีวิตของคนเราที่ดำเนินตลอดเวลาเนี่ยะ ก็คือการใช้ 3
ด้านของชีวิตนี้ 1. พฤติกรรมกายวาจา สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทางวัตถุและทางสังคม
2. จิตใจของเราที่มีคุณธรรม หรือมีกิเลส แล้วก็มีสมรรถภาพหรือไม่?
แล้วก็มีความสุขหรือไม่? แล้วก็ 3. เรื่องปัญญา ความรู้ ของเราที่จะเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้อง
แล้วรู้จักใช้ความคิดให้ถูกทาง ให้สำเร็จ.
ทีนี้พ่อแม่ก็ต้องมาช่วยลูก
ในการที่จะมาพัฒนา 3 ด้านเนี๊ยะ 3 ด้านนี้มันเป็นคำที่ยาว จะเรียกให้สั้นว่ายังไง?
ใครทราบบ้าง? 1.ด้านสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งทางวัตถุทางสังคม ด้วยกายวาจา
ใช้ศัพท์สั้นว่าอะไร? นี่แหละ เอ้า ทีนี้จะเฉลย เราไปติดศัพท์
แล้วเราก็ไปติดกับความคิดความเข้าใจเก่าๆ โดยแปลความหมายไม่เป็น อันนี้เรียกว่า ศีล
หลายคนนึกไม่ออก เอ้ มันจะเป็นศีล ได้ยังไง? นี่แหละศีลละ อ้าว ให้ความหมายที ศีล คือ การพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ทั้งทางวัตถุและทางสังคม
ด้วยกายวาจาของเรา.
ต่อไปด้านที่ 2. ด้านจิตใจที่มีคุณธรรม หรือมีกิเลส แต่เราต้องการให้มีคุณธรรมความดี
แล้วก็มีสมรรถภาพเข้มแข็งเป็นต้น พร้อมทั้งมีความสุขสดชื่นเบิกบานทางใจ อะไร?
ตัวนี้คืออะไร?...เรียกสั้นที่สุดคือ สมาธิ
ตอนนี้ชักเริ่มคาดหมายได้แล้ว เอาละตอนนี้ พอเห็นแนวแล้วนี่ พอเริ่มศีลมา
ฉันก็เดาได้เหมือนกันนะ ก็เพราะฉะนั้น ศีลมันก็ต่อด้วยสมาธิ
ถูกต้อง สมาธิ บางทีพระท่านเรียกว่า อธิจิตตสิกขา1
ด้านจิตใจ ต่อไปด้านที่ 3. ความรู้ความเข้าใจ อันนี้ไม่ต้องทายละ ได้อยู่แล้ว
ทุกคน
ก็คือ ปัญญา เอานะ 3 อัน นี้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ใครจะมาถาม ศีล
สมาธิ ปัญญา อธิบายในภาษาสมัยใหม่อธิบายให้ถูกต้อง นี้คือ ศีลสมาธิปัญญา.
ทีนี้ พ่อแม่ก็ต้องมาช่วยสิ ลูกเนี่ยะ จะดำเนินชีวิตของเขาต่อไปในโลกเนี่ยะ
ตลอดชีวิตน่ะใช้ 3 อย่างนี้เท่านั้นแหละ แล้วเขาต้องพัฒนา 3 ด้านนี้ให้สมบูรณ์
ถ้าเขาพัฒนาได้ดีเท่าไรเนี่ยะ เขายิ่งมีชีวิตที่ดีที่ประเสริฐเท่านั้น โดยเฉพาะด้านปัญญานี้จะต้องพัฒนากันอย่างยิ่งเลย
พัฒนาจนกระทั่งปัญญานั้นเป็นโพธิญาณ2
เลย แล้วปัญญาตรัสรู้.
เอ้า ทีนี้พ่อแม่พัฒนา
อาตมาก็จะยกตัวอย่างเช่นเรื่อง ศีลก่อน ศีลนี่พวกเรามักจะไปนึกถึง
โอ้ ปานาติปาตา
เวรมนี อันนั้นก็ถูก ใช่ นั่นเรียกว่าศีล 5 นั่นคือเว้นจากปานาติบาตเป็นต้น
ก็ไม่ผิด แต่มันไม่พอ เอานะ ไม่ผิดแต่ไม่พอ เพราะว่าศีลไม่ใช่แค่นั้น
ศีลอันนั้นเป็นศีลในแง่ของสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม
ถ้าต้องการให้มนุษย์ไม่เบียดเบียนกัน ไม่แย่งชิงกันเกินไป พออยู่กันได้
โลกไม่ลุกเป็นไฟ ท่านก็เลยให้ศีล 5 มา สำหรับอยู่กับเพื่อนมนุษย์ แต่ว่าศีลในด้านสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุล่ะ
อันเนี๊ยะที่เรามักจะไม่ค่อยมอง แล้วพระท่านเน้นว่า เมื่อกี้บอกแล้วว่า
เราเกิดมาน่ะมีอะไรติดมาที่จะทำให้เราได้หาความรู้ ได้ศึกษา ก็คือตาหูจมูกลิ้นกาย
แล้วเราก็เอาตาหูจมูกลิ้นกายของเรานี่แหละ สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
เราสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยตาก็ดู สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยหูก็ฟัง
สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยจมูกก็ดมกลิ่น
สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยลิ้นก็คือลิ้มรส เป็นต้น กายสัมผัสอะไรต่างๆ
โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์เนี่ยะก็จะใช้มาก 3 ก็คือหนึ่งใช้ตา สองใช้หู
สามใช้กายสัมผัส สัมผัสกาย 3 ตัวเนี่ยะเป็นตัวสำคัญ.
ทีนี้คนเราเนี่ยะ
ก็หาความรู้แต่ยังเงี่ยะ การสังเกตปรากฏการณ์อะไรต่างๆ เราก็ใช้พวกอินทรีย์เหล่าเนี๊ยะ
ทางพระเราก็เรียกอินทรีย์ นี้เราต้องใช้เป็น การใช้อินทรีย์สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็น
นี้คือศีลประเภทสำคัญที่เราจะต้องเริ่มตั้งแต่ในครอบครัว
ถ้าพ่อแม่ไม่รู้หลักนี้ ก็ไม่ได้ใช้ตาหูลิ้นจมูกกายของลูก ให้เป็นทางของการศึกษา
ไม่ช่วยลูกเลย แล้วพ่อแม่ก็ทำหน้าที่แสดงโลกแก่ลูกนี้ไม่เป็น
พอแสดงโลกนี้แก่ลูกก็ต้องแสดงทางไหน? ทางตาทางหู ใช่มั้ย?
ให้ลูกได้ดูได้ฟัง ลูกก็ใช้ไม่เป็น ก็เอาตาไปดูทีวีรายการที่มันโหดร้ายเป็นต้น
อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ก็กลายเป็นเสียไป อันนี้เราก็เริ่มล่ะทีนี้ ถ้าใช้ตาหูเป็นต้น
สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมให้เป็น สัมพันธ์ยังไง? สัมพันธ์โดยที่ว่า ให้เกิดประโยชน์
การสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมันก็จะได้ 2 อย่าง ก็คือ หนึ่งได้ความรู้
หาความจริงให้ได้ สองได้ประโยชน์กับชีวิต เอามาใช้
เช่นในการแก้ปัญหาเป็นต้น.
ก็จำไว้เลยมี
2 อันที่เราจะต้องให้ได้ ในการสัมพันธ์เนี่ยะ มองเป็นฟังเป็น คือมองให้ได้ความจริง
กับมองให้ได้ประโยชน์ ถ้ามองไม่เป็น ก็ไปติดที่ความรู้สึก
ว่าชอบใจไม่ชอบใจ ใช่มั้ย? จบ ถ้าคนมี่ติดอยู่กับชอบใจไม่ชอบใจ กับตาดูหูฟัง
ก็ถูกใจไม่ชอบใจ ถูกตาถูกหูก็ชอบใจ ชอบใจก็สุข
เจอสิ่งไม่ชอบใจไม่ชอบหูก็เป็นทุกข์ ก็อยู่แค่นั้นไม่ได้อะไร
แต่คนที่เป็นนี่ ไม่ว่าอะไร ชอบใจไม่ใชอบใจ ฉันเรียนรู้เป็นหมด
ฉะนั้นถ้ามองเป็นดูเป็น ก็ได้ความรู้ ฉะนั้นก็เป็นอันว่า หนึ่งมองหรือฟังก็ตามให้ได้ความจริง
สองให้ได้ประโยชน์ หาประโยชน์จากมันให้ได้ ใครจะมาด่าเรา เอ้อ
เราต้องหาประโยชน์ให้ได้ อย่างนี้ไม่เป็นไร แม้แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเนี่ยะ
คนที่มีการศึกษาเนี่ยะเขาจะ ให้ตาหูให้ได้ประโยชน์
เพราะฉะนั้นมันไม่มีอะไรเลยที่เราจะไม่สามารถหาประโยชน์ได้.
ฉะนั้น
ถ้าเป็นวิถีพุทธเนี่ยะ จะต้องแนวคิดนี้ไว้เลยว่า
ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เราจะหาประโยชน์ไม่ได้ หนึ่งหาความรู้
ที่จะได้คติกับชีวิต สิ่งเลวร้ายก้เป็นคติแก่เราได้
แล้วแน่นอนว่าที่เราได้ก็คือความจริง นักวิทยาศาสตร์เขาไปสังเกตปรากฏการณ์
เขาหาความรู้ หาความรู้จากสิ่วงที่เป็นปัญหานะ ใช่มั้ย?
ใครเค้าจะไปหาความรู้จากสิ่งที่ไม่เป็นปัญหาล่ะ? เค้ายังไม่รู้ว่าเป็นปัญหา
แล้วจะหาความรู้? ฉะนั้นคนที่จะพัฒนาจึงบอกว่าต้องเจอแบบฝึกหัด
แล้วเจอแบบ...ปัญหาแล้วแก้ปัญหา แล้วก็เรียนรู้ไป แล้วก็ใช้ตาหูให้เป็น
เอาละอันที่หนึ่งนี้เราศีลละ ศีลคือ ใช้ตาหูที่เรียกว่าอินทรีย์นี้ให้เป็น
ให้ได้ความจริงและให้ได้ประโยชน์ แล้วเราฝึกกันมั้ย? ถ้าเด็กวันๆหนึ่งก็ไม่มีอะไร
ใช้ตาดูหูฟัง ได้แต่เสพ ได้แต่ชอบใจไม่ชอบใจ ดูทีวีก็ได้แค่สนุกสนานบันเทิงลุ่มหลง
มัวเมา อะไรอย่างนี้ก็แสดงว่า ไม่มีศีลนะ ถ้าหากว่าดูเป็นฟังเป็นก็ มีศีล
อันนี้ศีลท่านเรียกว่า อินทรียสังวรศีล ศีลที่เกี่ยวกับการรู้จักใช้อินทรีย์
ศีลเริ่มต้นที่บ้านแล้ว เห็นมั้ย? ถ้าพ่อแม่ชักนำลูกเป็นก็
เริ่มให้ลูกได้พัฒนาศีล ศีลคือความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทุกอย่างเป็น
ไปเจอธรรมทชาติ ได้รู้จักได้สัมผัสกับมัน ได้ความสวยงาม ได้เรียนรู้อะไรคืออะไร
อะไรเป็นอะไร เรียนรู้เพิ่มทุกวัน ไม่อยู่กับชอบใจไม่ชอบใจ.
ยังมีอีก
อาตมาจะยกตัวอย่าง ศีลที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุ
ชีวิตของคนเราทุกคนเนี่ยะเกิดมา พอเริ่มชีวิตก็ต้องกินอยู่ เป็นอยู่ต้องบริโภค
การบริโภคเช่นอาหารเป็นต้น เราต้องกินอาหารจึงอยู่ได้ พอกินเราก็สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุทันที
การกินการบริโภคการใช้สอย สิ่งต่างๆนี้คือ ความสัมพันธ์พื้นฐานของชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
นี้ถ้าเราสัมพันธ์ไม่เป็นก็เกิดโทษ เช่นกับอาหาร เราสัมพันธ์เป็นมั้ย? ถ้าเราสัมพันธ์เป็น
เราก็กินอาหารเป็น ฉะนั้นพระท่านจะสอนเริ่มต้นด้วยศีล
ในทางความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางด้านวัตถุปัจจัย 4 ที่เสพบริโภค
ถ้าท่านจะกินอาหารให้ถามก่อนว่า กินเพื่ออะไร? ตอบได้มั้ย? ต้อง...เด็กโตมาในบ้าน
ตอนแรกแกก็ติดเรื่องอร่อยก่อนใช่มั้ย? อร่อยไม่อร่อย อร่อยไม่อร่อย
ถ้าพ่อแม่ไม่ให้การศึกษาแก่ลูก
ไม่ชักนำในการศึกษาก็ติดอยู่แค่สนองความต้องการอร่อยหรือไม่อร่อยของลูก ก็จบกันสิ
ใช่มั้ย? ทีนี้ อร่อยมันไม่อร่อยเนี่ยะ มันไม่แน่ว่าจะเป็นคุณเป็นโทษกับชีวิต
ไม่เด็ดขาด นี้เราก็ต้องมีความรู้ เพื่อจะรู้ว่า เอ้อ เรากินนี้เพื่ออะไร? กินเพื่ออร่อย
เรากินเพื่อโก้เก๋ อวดกันว่าเรานี่โก้กว่าคนอื่น มีฐานะกว่า หรือกินเพื่ออะไร?
ก็จะตอบได้ทุกคนว่า ที่ชีวิตกินเพื่อร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี
มันเป็นความต้องการของชีวิต เป็นความต้องการของร่างกายโดยธรรมชาติ ไม่ใความต้องการโก้เก๋เอร็ดอร่อยหรอก
นี่เป็นตัวความต้องการที่แท้จริง ความต้องการที่แท้จริงคือความต้องการของชีวิต
ที่จะเป็นอยู่คือให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี
แล้วเราจะได้อาศัยร่างกายนี้ไปดำเนินชีวิตเป็นอยู่ ไปทำงานทำการเป็นต้น
ไปสร้างสรรค์ไปดำเนินชีวิตที่ดี ศึกษาอะไรเป็นต้นเนี่ยะ เมื่อเรารู้เข้าใจยังงี้เราก็
กินให้สนองความต้องการที่แท้จริงของชีวิต อย่างนี้เค้าเรียกว่ากินด้วยความรู้ คือด้วยปัญญา
ถ้ากินเพียงเสพรส อร่อยไม่อร่อย เค้าเรียกกินด้วยตัณหา ก็ต้องแยกให้ได้ พอกินด้วยด้วยปัญญา
ก็กินด้วยความรู้ เข้าใจความมุ่งหมายที่แท้จริง ไอ้ตัวความรู้เข้าใจความมุ่งหมายที่แท้จริงของการกินเนี่ยะ
มันรู้ปั้บมันโยงไปหาจุดหมายที่แท้ชีวิต คือสุขภาพดี มันจะดูสิว่าอาหารนี้
กินแค่ไหนจะพอดี ให้สุขภาพของเราดี กินอาหารประเภทไหนมันจึงเป็นคุณแก่ร่างกายและชีวิต
แล้วเราก็กินมัน เราก็เลือกอาหารเป็น เราจะรู้จักปริมาณและประเภทอาหาร กินได้พอดี
อันนี้เรียกว่ากินเป็น ก็คือ การที่มีศีลในการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ด้านกินอยู่บริโภค นี้คือศีลเริ่มต้น.
ใช้สอยเสื้อผ้าเหมือนกัน
ทุกคนก็ต้องคิด ว่าที่เราใช้เสื้อผ้าเนี่ยะ มันมีหนึ่งสนองความต้องการของชีวิต
คือเรามีหนาวมีร้อนเป็นต้น แม้แต่กระทั่งความละอาย ทีนี้สองก็คือ
สนองความต้องการของบุคคลในการอยู่ร่วมสังคม เช่นแสดงฐานะกันโก๋เก๋เป็นต้น
นี้เราต้องดูว่าไอ้ความต้องการที่แท้เนี่ยะ ที่เป็นสาระอยู่ที่ไหน ใช่มั้ย?
เราก็ตัดสินได้ทันที ความต้องการที่แท้ของชีวิต ในแง่ของเสื้อผ้านั้นคือ
กันร้อนหนาวเป็นต้น ส่วนความต้องการโก้เก๋อวดฐานะนี้
เป็นความต้องการตามค่านิยมทางสังคม ซึ่งเป็นตัวเสริมประกอบ ไม่ใช่แท้จริง
เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็ให้ได้อันที่หนึ่งก่อน
คือต้องสนองความต้องการที่แท้จริงของชีวิตก่อน เมื่อได้อันนั้นแล้ว
จะสนองความต้องการทางสังคม ทางค่านิยมเป็นต้นแค่ไหน เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาจัดให้เหมาะ
แล้วเราก็จะพอดี ไม่ใช่ลุ่มหลงไปตามค่านิยม นี้คนที่ไม่มีปัญญา
ไม่รู้จักบริโภค ไม่มีปัญญา แกก็ไปตามค่านิยม ไปตามสังคม
เป็นบุคคลที่ต้องการอวดโก้เก๋ ไม่รู้ว่ากินอยู่ใช้เสื้อผ้าเป็นต้น
เพื่อความมุ่งหมายอะไรที่แท้จริง ฉะนั้นศีลมันก็ไม่เริ่ม.
หนึ่ง
ศีลนี่หน้าที่คือการใช้อินทรีย์ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ
ให้เป็น ให้ได้ความจริงและประโยชน์ สองก็คือศีลเกี่ยวกับการบริโภคปัจจัย
4 และเครื่องใช้สอยต่างๆ ซึ่งเราจะต้องใช้สอยบริโภคด้วยความรู้เข้าใจ
วัตถุประสงค์ที่แท้จริง โดยเฉพาะเป็นความต้องการของชีวิต เราจะต้องมองว่าตัวเราคนทุกคนเนี่ยะ มันมี 2 ด้าน
ด้านหนึ่งเป็นชีวิตและอีกด้านหนึ่งเป็นบุคคล ทุกคนน่ะ ด้านหนึ่งชีวิตคือ
เราทุกคนเนี่ยะ ร่างกายและจิตใจของเราเป็นธรรมชาติ และเป็นไปตามกฎธรรมชาติ
มีเกิดแก่เจ็บตาย มีอะไรต่ออะไร ต้องมีระบบการย่อยอาหาร มีระบบหายใจ
มีระบบไหลเวียนของโลหิตเป็นต้น อันเนี่ยะเป็นไปตามกฎธรรมชาติเลย
มนุษย์ทุกคนเนี่ยะด้านหนึ่งเป็นชีวิต ที่เป็นจริงตามธรรมชาติ
เป็นไปตามกฎธรรมชาติ อีกด้านหนึ่งก็คือ มนุษย์เป็นบุคคล
เป็นส่วนร่วมอยู่ในสังคม ที่นาย ก นาย ข คุณนั่นคุณนี่ มีบทบาทตำแหน่งหน้าที่นั้น
ในสังคมอะไรต่างๆเนี่ยะ 2 อย่างเนี่ยะ เราต้องรู้จักประสานให้ดี
อย่างเวลารับประทานอาหารปั้บ เราโยงบุคคลกับชีวิตได้ เรากินอาหาร
อ๋อ ไม่ได้แค่สนองความต้องการบุคคลที่โก้เก๋ อยู่ในฐานะในสังคมนะ
เรากินอาหารเพื่อสนองความต้องการของชีวิต ที่มนุษย์เราด้านที่แท้เป็นชีวิต
แล้วต้องให้ได้นี้ก่อน นี่ อย่างนี้เป็นต้น.
พอได้อย่างนี้แล้วก็เป็นการเป็นอยู่ฉลาด แล้วได้อะไร? คือการไม่แปลกแยก
นี่คือจุดเริ่มต้นว่า ที่บอกเมื่อกี้บอกว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เก่ง
ที่สร้างโลกของมนุษย์ขึ้นมาได้ซ้อนโลกธรรมชาติ แต่มาซ้อนตั้งแต่ชีวิตเค้าแล้ว
ที่บอกว่าด้านหนึ่งเป็นชีวิต ด้านหนึ่งเป็นบุคคล ที่อยู่ในสังคม
และด้านที่เป็นบุคคลสังคมเนี่ยะ ไปสร้างโลกของมนุษย์ขึ้น ด้านที่เป็นชีวิตมันก็อยู่ในโลกธรรมชาติไปตามเดิม
นี้ถ้าเราดำเนินชีวิตในแต่ละวันเนี่ยะ เราดำเนินชีวิตเป็น เราก็ไม่แปลกแยก
ใช่มั้ย? ตั้งแต่ชีวิตกับบุคคลเนี่ยะ ตัวเราเองก็ไม่แปลกแยก เราเป็นมนุษย์ที่มี 2
ด้าน ด้านที่เป็นชีวิตกับบุคคลเนี่ยะ
แม้แต่กินอาหารเราก็เชื่อมประสานได้แล้ว พอกินอาหารในฐานะบุคคลปั้บ
โยงไปถึงชีวิตให้ชีวิตได้คุณค่า ได้สุขภาพดีทันที เราก้ไม่แปลกแยก.
นั่นน่ะ นี้คือวิถีชีวิตพุทธล่ะ ก็เป็นชีวิตแห่งการศึกษา
แล้วเป็นชีวิตที่ดีงาม ที่ปลอดภัย มนุษย์ที่พัฒนาอย่างนี้ตั้งแต่ในบ้าน
แล้วออกไปอยู่ในโลกได้ปลอดภัยแน่ดำเนินชีวิตที่ดีงาม มีความสุขด้วยตนเอง
รับผิดชอบตัวเองได้ สร้างสรรค์สังคมไม่ต้องเบียดเบียนใคร พออยู่กันในโลกนี้ไป
ต่อไปก็เป็นคนที่สามารถจะมีความสุขด้วย
ไม่ใช่สามารถที่เฉพาะจะหาสิ่งเสพบำเรอความสุข ฉะนั้น ถ้าเราพัฒนาถูกต้อง
มีการศึกษาเนี่ยะ เราจะต้องบอกว่า เรามีความสามารถที่จะมีความสุขแค่ไหน
ถามตัวเอง อย่าไปคิดแค่ว่า ฉันมีความสามารถที่จะหาความสุขแค่ไหน
ถ้าได้แค่นั้นล่ะก็โลกนี้ ร้อนลุกเป็นไฟ จะเบียดเบียนกันไม่มีใครพอ
ฉันต้องเอาให้มากที่สุด ใช้มั้ย? แล้วทรัพยากรอะไรต่ออะไรในโลกเนี่ยะมันไม่พอหรอก
ก็ต้องฆ่าฟันทำสงครามกันข่มเหงกันอยู่เนี่ยะ แต่ว่าถ้ามีความสามารถในการมีความสุขแล้ว
เราจะมีความสุขโดยพึ่งพาสิ่งภายนอกน้อยลง แล้วจะมีอิสรภาพมากขึ้น.
คนที่ดำเนินชีวิตผิด
นึกว่าหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มากแล้วตัวเองเก่ง เปล่า
ความสุขของเขานั้นเป็นฝากไว้กับสิ่งภายนอกหมด ขาดสิ่งภายนอกปั้บ ไม่มีความสุขละ
มีความทุกข์อย่างเดียว ฉะนั้นคนพวกนี้เนี่ยะ สูญเสียอิสรภาพ
อยู่ในโลกนี้นานไปเนี่นยะ แย่ เป็นรไง ก็เป็นคนทุกข์ได้ง่าย สุขได้ยาก
ทุกข์ได้ง่ายเพราะอะไร?
เพราะว่ามันต้องมีสิ่งบำเรอความสุขข้างนอกมาช่วยไว้จึงจะสุขได้
ถ้าขาดสิ่งบำเรอความสุข ฉันก็สุขไม่ได้ มีแต่ทุกข์ แต่นี้
ถ้าเราพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขขึ้นมาภายใน เราพึ่งพาวัตถุภายนอกได้น้อย
น้อยๆก็ได้ เราก็สุขได้นี่ เราเก่งในการมีคว่ามสุข เราสุขง่ายขึ้น.
ฉะนั้นคนที่เก่งจริงๆน่ะ
ถามตัวเองในแง่ความสุขว่า โตขึ้นมาเนี่ยะ สุขง่ายขึ้นหรือสุขยากขึ้น
ถ้าคนไหนตอบว่าฉันสุขยากขึ้น แสดงว่าการศึกษาผิดล่ะ นะ ถ้าหากว่าเก่งจริงนะ
ต้องตอบว่าฉันเป็นคนสุขได้ง่ายขึ้น เอ้อ อย่างงี้ถูกต้อง
ก็แสดงว่ามีความสามารถที่จะมีความสุข ทุกข์ก็เช่นเดียวกัน คนที่อยู่ไป
โตขึ้นไปโตขึ้นไป ทุกข์ได้ง่ายขึ้นทุกทีนี่ ก็แย่สิ ไม่พัฒนาอะไร
ทีนี้ถ้าหากว่าเก่งจริง ก็ต้องทุกข์ได้ยากขึ้น อะไรต่ออะไรจะมาทำให้ฉันทุกข์นี่
โอ้ย ทำได้ยาก เจออะไรต่ออะไรฉันเป็นสุขได้หมด ใช่มั้ย? เจอปัญหาฉันก็สุข เจอสิ่งที่ยากฉันก็ได้เรียนรู้
คนที่เป็นนักพัฒนาตน มีจิตสำนึกในการพัฒนาเนี่ยะ เขาจะมองว่า โอ๊ อะไรที่มันยุ่งยากนี่
ที่เป็นปัญหานี่ เราจะได้ฝึกตัวเองมาก ได้พัฒนาตัวเองมาก
เพราะฉะนั้นเจอปัญหานี้ชอบใจ เจอของยากนี้ชอบใจ เจอบทเรียนยากชอบใจ
ปรี่เข้าไปหาว่า เอ๊อ ดีแล้ว เดี๋ยวฉันจะได้ฝึกเต็มที่ เลย
แล้วที่จริงนั้นกว่าจะผ่านไปได้เนี่ยะ ได้เยอะแยะ
แต่คนที่ไม่มีจิตสำนึกในการฝึกตัวเอง ไปเจออะไรยากก็ท้อและ ถอยหลังและ ไม่สู้และ
จิตใจก้หดหู่ท้อแท้ มีความทุกข์ ใจก็ทุกข์ ไม่เต็มใจทำก็ฝืนใจทำ ก็ไม่ได้ผล
เค้าเรียกว่า งานก็ไม่ได้ผลคนก็เป็นทุกข์ แต่พอตั้งใจถูกมีท่าทีที่สำนึกในการฝึกตน
เจอเรื่องที่ยากบอก ทีนี้ดีละ เจอเรื่องยากฉันยิ่งได้มาก เพราะว่า ยิ่งยากยิ่งได้ฝึกตัวเองมาก
ฉะนั้นก็เลยชอบใจ ก็เลยไปทำสิ่งที่ยาก พอทำเสร็จ หนึ่งใจตัวเองก็เต็มใจทำ สองก็ตั้งใจทำด้วยเพราะชอบ
ตั้งใจทำแล้วก็มีความสุขด้วย งานก็สำเร็จด้วยดีด้วย ชีวิตก็พัฒนา.
เพราะฉะนั้น
เราเป็นอยู่อย่างดีเนี่ยะ ไม่ต้องกลัว ตอนนี้สังคมมีวิกฤติวิกดไม่ต้องกลัวทั้งนั้น
เอามาเป็นบทเรียน เราต้องหา ต้องมองให้เป็น ถ้ามองไม่เป็นก็เนี่ยะ หนึ่งก็จะจับเจ่านั่งทุกข์
เรานี้ สังคมของเรานี้วิกฤติ เราไม่มีมีเงินซื้ออะไรได้ตามชอบใจแล้ว
ลำบากใจก็ทุกข์อย่างเดียว ถ้าไม่งั้นก็ พอมีเงินก็ไปลุ่มหลงมัวเมาหาแต่ความสุขจากการเสพ
หาความสุขอยู่นั่นแหละ แล้วก็เบียดเบียนกัน ประเทศชาติก็ไม่พัฒนา.
ทีนี้ถ้าเรามองเป็น
มีการศึกษาแบบพุทธ มีวิถีชีวิตพุทธ ใช่มั้ย?
เราก็มองสถานการณ์ทุกอย่างเราได้เรียนรู้หมด เวลานี้สถานการณ์สังคมไม่ดีเป็นวิกฤติ
เราก็ต้องหาประโยชน์จากมันให้มากที่สุด หนึ่งเรียนรู้หาความจริงว่า
เหตุผลเป็นยังไง สังคมของเราจึงประสบปัญหาอย่างนี้ ประสบวิกฤติอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุปัจจัยอะไรที่ลูกเรายังงั้น
ยังไงกันบ้าง สองก็หาประโยชน์จากมันให้ได้ ก็คือฝึกตัวเอง
ฝึกตัวเองจากปัญหา เพราะกว่าจะผ่านวิกฤติไปนี่ คนไทยก็จะพัฒนาเยอะแยะ และเก่ง
ทีนี้ถ้าหากวิกฤติเข้ามายังงี้ แต่คนไทยยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นบทเรียนเป็นแบบฝึกหัด
มันก็น่าเสียดาย เสียเปล่า เวลาก็จะหมดไปเปล่า เสร็จแล้วเราก็แย่ตามเดิม.
ฉะนั้นอยู่ที่ว่า
เราจะดำเนินวิถีชีวิตพุทธเป็นมั้ย? ถ้าหากดำเนินวิถีชีวิตพุทธเป็น
เวลานี้สังคมมีวิกฤต เราจะต้องบอกว่า คนพุทธต้องเอาประโยชน์จากวิกฤตินี้ให้ได้ แล้วจะต้องสร้างชีวิตสังคมของเรานี่
ให้ดี ให้เข้มแข็ง ให้ก้าวหน้าขึ้นมาจากความวิกฤติยังไง เอาวิกฤตินี่เป็นจุดเริ่มต้น
แล้ววิกฤตินี้ก็จะเป็นจุดพลิกผันมา พลิกผันในทางที่ดีคือไปสู่ความเจริญก้าวหน้า
ถ้าวิกฤติเราใช้ไม่เป็น ก็จะไปต่อด้วยวิบัติ ถ้าวิดฤติเราใช้เป็น เราไปปฏิบัติถูก
มันก็กลายเป็นวิวัฒน์ ตรงนี้เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ ฉพะนั้นก็ ให้เรามามองให้เป็น แล้วใช้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนา
ซึ่งอยู่ในเนื้อตัวของชีวิตเรานี่แหละ ไม่ใช่จะต้องไปเที่ยวหาว่า พอพัฒนาชีวิตเป็น
ใช้หลักธรรมในพุทธศาสนาเป็น ก็อยู่ที่ชีวิตเราแล้ว เราก็หาประโยชน์จากมัน
แล้วพลิกวิกฤติให้เป็นวิวัฒน์ หรือทำวิกฤติให้เป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒน์ให้ได้
คนไทยจะต้องมีความเข้มแข็งอันนี้ น่าเสียดายมากคนไทยจำนวนมากนี่ หนึ่งอ่อนแอ
แล้วพอเจอวิกฤติเข้าไปนะ โอดโอย ไม่มีความอดทน ไม่มีความเข้มแข็ง
หันไปได้แต่ไปขอร้อง ไปบนบาน ไปวิงวอน หาโชคลาภลอยอะไรต่างๆเหล่านี้ นี่หนึ่งละพวกนี้อ่อนแอ
อีกพวกหนึ่งก็ พอตัวเองได้โอกาสก็ฉวยโอกาส ไม่เห็นแก่เพื่อนร่วมสังคม
แล้วก็หาความสุขจากการเสพ มัวเมาหลงระเริง ใช่มั้ย? อย่างนี้
ถ้าสังคมของเราถ้าขืนอยู่แนวนี้นะ วิบัติตามมา.
ถ้าเราจะเป็นชาวพุทธ
ใช้วิถีชีวิตพุทธ จะต้องมาดำเนินในทางที่ถูกต้องนี้
ต้องใช้วิกฤตินี้เป็นแบบฝึกหัดในการพัฒนาตัวเอง ฝึกตัวเองของเราขึ้นมา
แล้วเราจะมีความเข้มแข็ง เราจะได้ปัญญา เราจะพัฒนาชีวิตและสังคมของเรา
ให้เจริญงอกงามได้อย่างแน่นอน แล้ววิกฤตินี้ก็จะกลายเป็นวิวัฒน์ต่อไป เพราะฉะนั้น
อย่าได้เสียกำลังใจ อย่าได้อ่อนแอ อย่าได้ท้อถอย นี้คือเวลาดีงาม ให้มองดูว่า
สังคมทั้งหลายที่เขาเจริญพัฒนาปัจจุบันเนี่ยะ มาจากความทุกข์ทั้งนั้น
สังคมอเมริกันก็ตาม ญี่ปุ่นก็ตาม นี่ญี่ปุ่นเจริญเพราะมันฮึดสู้ ขออภัยอย่าไปใช้มัน
ใช้เขาก็แล้วกัน นะ...อย่างญี่ปุ่นนี่ แกถูกฝรั่ง นายพลเปอร์รี่นี่
เอากองทัพเรือไปปิดเลย บอกว่า เปิดประเทศ แกปิดประเทศมาเป็นร้อยๆปี ไม่เปิดนี่
ฉันจะใช้เรือรบนี่เข้าบุกเลย ญี่ปุ่นก็รู้ตัวว่า โอ๋ นี่
เรานี่ไม่ได้สัมผัสกับโลกภายนอก เขาก้าวไปไกล เทคโนโลยีเราไม่มี เราต้องยอมเขา ต้องเปิดประเทศ
ไม่ได้ ต่อไปนี้เราต้องพัฒนาประเทศ ให้เหนือฝรั่งให้ได้ ต่อจากนั้นก็เป็นยุคของการสร้างประเทศให้เจริญงอกงาม
มีเป้าหมายที่เด่นชัด ไม่ใช่มัวแต่หาความสุขสำเริงสำราญส่วนตัว
มันต้องมีเป้าหมายรวมของประเทศชาติ ต้องมีความคิดที่จะแก้ปัญหาของชีวิตและสังคม.
หรืออย่างฝรั่งนี่
อเมริกันได้หนีจากยุโรป ใช่มั้ย? เดินทางข้ามทะเลมา หนีภัยถูกเขาจับฆ่า
ระหว่างโปแตสแตนท์กับคาธิลิค เป็นต้น เมื่อฆ่ากันสังหารกัน หนีมา ลงเรือมาขึ้นแล้ว
แล้วก็มองไปข้างหน้ามีแต่ป่าเขา หนาวเย็นจะไปยังไง เจอแต่อินเดียนแดงอะไรต่างๆนี่
บุกตลอด 300 ปี ฝรั่งเค้าเรียกว่ายุค frontier expansion 300 ปี อเมริกันจึงสำเร็จไปสุด จากนี่เริ่มต้นจากแถวแมรี่แลนด์ ก็ทางบัลติมอร์โน่น
แล้วก็ทางนิวยอร์ค แล้วก็ทางพวกรัฐนิว อิงแลนด์ทั้งหลาย
เป็นจุดเริมต้นของพวกฝรั่งพวกนี้ อเมริกันเนี่ยะ ก็บุกเบิกไป
เค้าเรียกว่าบุกฝ่าพรมแดน 300 ปี ไปถึงทางด้านคาลิฟอร์เนีย
สี่พันกว่ากิโลเมตร สามพันไมลสิ์ สามพันไมลสิ์ 300 ปี ปีละเฉลี่ย 10 ไมลสิ์นะ
อเมริกันเนี่ยะบุกไป เป็นระยะเวลาของความทุกข์ยากเดือดร้อน
แต่เต็มเปี่ยมด้วยความหวังว่า ความสุขสมบูรณ์ ความสำเร็จของเราอยู่ข้างหน้า เนี่ยะ
อเมริกันก็สร้างชาติมาได้อย่างนี้.
ฉะนั้น
คนที่ไม่รู้จักแบบฝึกหัด ไม่รู้จักใช้แบบฝึกหัดจะพัฒนาไม่ได้ ฉะนั้นประเทศที่เค้าเจริญงอกงามเนี่ยะ
มาจากความทุกข์ยาก มาจากการสู้ปัญหา คนไทยเราเจอวิกฤตินี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพราะฉะนั้นเราต้องสู้ ญี่ปุ่นเมื่อแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
นี้ยับเยินกว่าเราไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า เยอรมันก็เหมือนกัน
และเดี๋ยวนี้เค้าไปไหน เพราะฉะนั้นคนไทยเนี่ยะ จะมาเจอวิกฤติแค่นี้ก็มาท้อเสียแล้ว
ไม่ไหวหรอก ก็ต้องเข้มแข็ง ลุกขึ้นสู้ เอาวิกฤติเป็นโอกาสก็ได้
เอาวิกฤติเป็นแบบฝึกหัดก็ได้ พัฒนาชีวิตและสังคมก้าวไป ด้วยวิถีพุทธที่แท้จริง.
นี่แหละ
อาตมาก็บอกว่านี่แหละชีวิตวิถีพุทธ แล้วก้การศึกษาที่เริ่มต้นที่บ้าน ให้การศึกษาถูกต้อง
พัฒนาเด็กถูกต้อง และครูบาอาจารย์ก็มาช่วยเสริมช่วยหนุน
ถ้าหากว่าได้การศึกษามาไม่ถูกก็ช่วยแก้ช่วยไขช่วยปรับ
ต่อไปสังคมของเราก็เจริญงอกงาม แต่ในที่สุดความรับผิดชอบก็อยู่ที่ตัวของทุกคน ที่จะต้องรู้จักชีวิต
ศึกษาและพัฒนาตัวเองให้ดี และมองทุกอย่างให้เป็น
มองโลกมองชีวิตมองสถานการณ์ให้เป็น ให้ได้ประโยชน์
ในแง่ความจริงและประโยชน์ที่นำมาใช้ในชีวิตและสังคมดังที่กล่าวมา อาตมาก็พูดมาในเรื่องวิถีพุทธ
ก็มีนัยดังที่กล่าวมาซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษาที่แท้จริง ก็ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ของมูลนิธิการศึกษาเพื่อสันติภาพ
และก็นักศึกษาทุกท่าน และญาติโยมทุกคนที่มานั่งฟังกันในที่นี้โดยตลอด
เป็นเวลายาวนานพอสมควร ก็ขอให้พวกเราดังที่กล่าวแล้ว มีกำลังใขมาช่วยกันสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมกันต่อไป.
ก็
เวลานี้ก็เป็นโอกาสอันสมควร ท่ามกลางวิกฤตินี้ มีไมตรีจิตมิตรภาพต่อกัน
เพราะตั้งอยู่ในความถูกต้อง ก็ใจคอไม่หดหู่ท้อถอย แต่มีความเบิกบานร่าเริง ทำใจ
มีกำลังใจพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป ก็ขอคุณพระรัตนตรัยอวยชัยให้พรอภิบาลรักษา
ให้ทุกท่านเจริญด้วยจตุรพิตรพรชัย ดำเนินชีวิตของตนเอง ครอบครัว และสถาบัน สังคม
ตลอดทั้งโลกนี้ ให้ก้าวไปสู่ความเจริญงอกงามและสันติสุข มีความร่มเย็นในธรรมโดยทั่วกันทุกท่าน
ตลอดกาลทุกเมื่อ และในโอกาสที่ปีใหม่ก็จะมาถึง ใกล้ๆนี้ 2544 และขอให้เป็นนิมิตดีที่เราจะได้ก้าวหน้า
รับความใหม่นี้เพื่อนำความใหม่นั้นไปสู่ความงอกงามรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
สืบต่อไปตลอดกาลนานเทอญ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น