หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พอล เนอร์ส - 5 แกนหลักของชีวิต

 5 แกนหลักของชีวิต/ พอล เนิร์ส ผู้ชนะรางวัลโนเบล

The 5 core principles of life | Nobel Prize-winner Paul Nurse

         https://youtu.be/5EwVBC3VsRA?si=wln_LocJUd7TZUnj


ไม่มีคำจำกัดความของคำว่าชีวิตที่ดีมากจริงๆ(there isn’t really a very good definition of life).

อะไรคือความแตกต่างระหว่างบางอย่างที่มีชีวิต(the different between something that’s alive), กับบางอย่างที่ไม่ได้มีชีวิต(something that isn’t alive)?

         คุณอาจคิดว่านี้เป็นคำถามที่ค่อนข้างง่ายที่จะตอบ(a rather simple question to answer), แต่ในความจริงแล้ว(in fact), มันไม่ได้ง่ายที่จะตอบ(isn’t easy to answer).

         ควรจะถูกพูดได้ว่า, ผมนั้น, ไม่ด้วยประการใดเลย, เป็นบุคคลแรก(by no means the first person)ที่ได้พินิจวินิจฉัยในคำถามนี้(to have considered this question).

และถ้าคุณดูที่ในวิกิพีเดีย(Wikipedia)หรือในพจนานุกรม(a dictionary), คุณบ่อยครั้งที่ได้คำตอบทั้งหลายที่ค่อนข้างซับซ้อน(often get rather complex answers).

และผมต้องการที่จะได้คำตอบที่เข้าใจง่าย(wanted a go answering)ในอะไรที่ผมคิดว่าคือหนึ่งในคำถามกุญแจหลักทั้งหลายในเชิงชีววิทยา(is one of the key questions in biology).

และวิธีที่ผมเข้าไปสู่มัน(the way I approached it)ก็คือโดยการสำรวจค้นหา 5 ของความคิดยิ่งใหญ่ทั้งหลายของชีวิวิทยา(by exploring five of the great ideas of biology).

ผมชื่อ พอล เนิร์ส(Paul Nurse1).

1 https://en.wikipedia.org/wiki/Paul_Nurse

ผมเป็นนักพันธุกรรมศาสตร์และนักชีววิทยาด้านเซลล์(a geneticist and cell biologist), ผมเพิ่งได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง – มันเป็นหนังสือเล่มแรกของผม, มันชื่อว่า, “อะไรคือชีวิต?(what is life?)


          1.     เซลล์(The Cell)

เซลล์นั้นเป็นสิ่งวิกฤตสำคัญจริงๆ(is really critical)สำหรับวิธีการที่ผมคิดเกี่ยวกับชีวิต(life)เพราะว่ามันเป็นรูปเอกลักษณ์ที่ง่ายที่สุด(the simplest entity)ที่แสดงออกมาถึงคุณลักษณะทั้งหลายของชีวิต(that express characteristics of life).

มันสามารถเจริญเติบโต(can grow), มันสามารถแบ่งตัวได้(can divide), มนสามารถผลิตซ้ำตัวเอง/สืบพันธุ์ได้(can reproduce).

และจริงๆแล้ว, สิ่งมีชีวิตทั้งหมด(all living things) - ตัวผม(myself), พืช(a plant), แมลง(an insect – และไม่ว่าเป็นน็นหนึ่งเซลล์เดี่ยว(a single cell)หรือสร้างขึ้นมาเป็นกลุ่มของเซลล์ทั้งหลายกระทำการร่วมกัน(made up of groups of cells acting together).

ผู้คนส่วนมากไม่ตื่นเต้นโดยยีสต์(are not excited by yeast).

ผมต้องขอบอกว่า, ผมตื่นเต้นมากกับยีสต์(I am excited by yeast).

พวกเขาแค่คิดว่า, “เอาละ, มันก็ดีสำหรับการทำเบียร์(good for making beer)และไวน์(wine)และขนมปัง(bread)บางทีนะ,” แต่ที่จริงแล้ว(actually), มันดีมากๆในการเป็นตัวอย่างสำหรับเซลล์อื่นๆทั้งหลาย(as a model for other cells)ในอะไรทั้งหมดของประเภทของสิ่งทั้งหลายที่มีชีวิตซับซ้อนมากยิ่งขึ้น(in all sorts of more complicated living things)เหมือนกับตัวเราเอง(like our selves).

ในห้องปฏิบัติการของผม(my laboratory), เราพบว่ายีนของมนุษย์อันหนึ่ง(a human gene)ที่เป็นคล้ายคลึงเหมือนกับยีนของยีสต์(was similar to a yeast gene)ที่ควบคุมการผลิตซ้ำ/สืบพันธุ์ของเซลล์(controls the reproduction of a cell)จากหนึ่งเป็นสอง(from one to two).

และมันก็ชัดเจนนั่นเช่นนั้นว่า, ยีนของมนุษย์(that human gene)สามารถเข้าแทนที่อย่างสมบูรณ์ได้สำหรับยีนของยีสต์(could completely substitute), และควบคุมการผลิตซ้ำ/สืบพันธุ์เซลล์ของยีสต์(control the reproduction of a yeast gene)ได้เช่นเดียวกัน(just as well)เช่นเดียวกับที่มันสามารถควบคุมการผลิตซ้ำ/การสืบพันธ์ของเซลล์มนุษย์(could control the reproduction a human cell).

มันเป็นขบวนการเดียวกัน(it’s the same process)ที่เป็นการควบคุมการผลิตซ้ำ/การสืบพันธุ์ของเซลล์ของยีสต์(was controlling the reproduction of a yeast cell)ดุจเดียวกับที่ควบคุมการผลิตซ้ำ/การสืบพันธุ์ของเซลล์มนุษย์(as controls the reproduction of a human cell), และนี้หมายถึงว่านี้เป็นที่โบราณสุดๆ(this was extremely ancient), เพราะว่ายีสต์และมนุษย์(yeast and human beings)ได้แตกต่างแยกกันไป(diverged)ย้อนกลับไปในตอนลึกของเวลา(back in the depths of time), เวลาตอนลึก(deep time), ที่ไหนสักแห่งระหว่าง 1,000 ล้านปีก่อน, และ 1,500 ล้านปีล่วงมาแล้ว.

นี่หมายความว่าทุกสิ่งมีชีวิตอื่น(every other living thing)ที่เราสามารถมองเห็นได้- ทุกพืช(every plant), สัตว์(animal), และทุกเห็ดรา(every fungus)- ได้ควบคุมโดยระบบกลไกเดียวกัน(was controlled by the  same mechanism).

2. ยีน (The Gene)

พระหนึ่ง(a monk)ที่ชื่อเกรเกอร์ เมนเดล(Gregor Mendel2)ได้สนใจในการมองยังพันธุ-

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A5

พันธุกรรมศาสตร์ของถั่ว(was interested in looking at the genetics of peas) - และอะไรที่เขาได้ทำก็คือเขาผสมข้ามพันธุ์ถั่วที่แตกต่างกันด้วยคุณลักษณะทั้งหลายที่แตกต่างกัน(he crossed different peas with different characteristics).

และเขานับจำนวนชนิดแบบที่แตกต่างกันของลูกหลานเหลนนั้น(counted the different types of offspring)ที่ผลิตขึ้นจากต้นถั่วเหล่านี้(that produced from these pea plants).

         และเขาก็เริ่มสังเกตเห็นได้ว่าพวกมันเป็นอัตราส่วนกันอย่างชัดเจน(they were very clear ratios): อัตราส่วนทั้งหลายที่มีชื่อเสียงดังเช่น สามต่อหนึ่ง(famous ratios like three to one), และ เก้าต่อสาม(nine to three), ต่อสาม ต่อ หนึ่ง(to three to one). และเขาได้ตระหนักว่านั่นอาจเป็น(may be)อะไรที่เป็นภาระหน้าที่สำหรับมรดก(was responsible for inheritance)ที่สามารถถูกอธิบาย(could be described)ว่าเป็นชนิดหนึ่งของอนุภาคเดี่ยว(as sort of unitary particle)ที่สามารถผ่านลบงไปสู่จากพืชหนึ่งไปสู่อีกอีกอื่น(could be passed down one plant to another).

         แต่มันเป็นหลักฐานอันแรก(the first evidence)ที่ว่ามีอะไรบางอย่างซึ่งเราในตอนนี้จะเรียกว่ายีน(we now would call a gene).

         3. วิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ (Evolution by Natural Selection)

         ความคิดในเรื่องวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติคือ(the idea of evolution by natural selection is), สำหรับผม, บางทีอาจจะเป็นความคิดที่สวยงามมากที่สุดในทางชีวิวิทยา(probably the most beautiful idea in biology).

         ชาร์ลสิ์ ดาร์วิน(Charles Darwin3), ผู้ได้ไปรอบโลก(who went around the world)และได้รวบรวมสะสมสัตว์และพืชและนกทั้งหลาย(collected animals and plants and

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%8C_%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99

birds), เกิดความคิดขึ้นมาในเรื่องวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ(came up with the idea of evolution by natural selection).

         เขาได้คาดเดาว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งหมด(all living things)มีวัสดุกรรมพันธุ์(have hereditary material); นั่นคือถ้าวัสดุกรรมพันธุ์นี้(this hereditary material)มีบางความแตกต่างทั้งหลาย(had some differences), นั่นก็ได้ผลลัพธ์ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นสิ่งแตกต่าง(that resulted in living thing being different), และถ้ามันเป็นความได้เปรียบในสิ่งแวดล้อม(was advantageous in the environment)ในที่ซึ่งมันพบตนเอง(in which it founds itself), แล้วมันก็จะในท้ายที่สุดเข้าจัดการประชากรทั้งปวงนั้น(it eventually take over the whole population).

         นี้ได้เป็นความเปลี่ยนแปลงเยี่ยงปฏิวัติ(has been revolutionary change)ในความเข้าใจของเราในเรื่องชีววิทยา(in our understanding in biology)เพราะอะไรที่มันนำไปสู่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการออกแบบดีกว่า(a better-designed living thing) - แต่ปราศจากการมีผู้ออกแบบ(but without having a designer).

         4. เคมี (Chemistry)

         ชีวิต(life)นั้นผลิตขึ้นด้วยโมเลกุลทั้งหลาย(molecules)และสารเคมีทั้งหลาย(chemicals). มีปฏิกิริยาทางเคมีอยู่หลายพันมากมาย(many thousands of chemical reactions)เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในเซลล์เล็กๆหนึ่ง(going on all the time in a little cell).

         เคมีนั้นรับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตของเซลล์นั้น(chemistry is responsible for the growth of the cell), การผลิตซ้ำ/สืบพันธุ์ของเซลล์นั้น(the reproduction of the cell), เพราะความสามารถของมันที่จะจับพลังงาน(its ability to capture energy)และใช้พลังงาน(and use energy).

         หนึ่งของหนทางทั้งหลาย(one of the ways)ที่เซลล์สามารถปฏิบัติภาระทั้งหมดของเคมีทั้งหมดนี้(carry out all of this chemistry)คือในเซลล์นั้นคือทำสร้างมากมายและมากมายและมากมายของช่องส่วนเล็กๆทั้งหลายนั้น(is made up of lots and lots and lots of little compartments), และการแบ่งส่วนนั้นๆของมัน(it’s compartmentation)ที่ยินยอมให้เคมีอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้(that allows all these different chemistry)ที่จะบังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันพร้อมกันในที่ว่างอันเล็กเช่นนั้น(to occur simultaneously in such a small space).

         ผมอยากที่จะเน้นย้ำว่าน่ามหัศจรรย์ขนาดไหนที่เป็นเช่นนั้น(want to emphasize how fantastic that is).

         ผมอยากให้คุณจินตนาการถึงในเซลล์กระจิ๋วริ๋ว, เล็กๆหนึ่ง(imagine in a tiny, tiny cell)มีปฏิกิริยาเคมีทั้งหลายหลายพัน(there’s thousands of chemical reactions), ทั้งหมดยังแตกต่างกันอย่างมากด้วยเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา(all very different going on all the time), และใกล้ชิดกันและกันอยู่มากๆ(very, very close to each other).

         ดังนั้น, ชีวิตคือเคมี(life is chemistry), แต่ชีวิตก็ยังถูกสร้างขึ้นมาบนข้อมูล(is also built on information) – เพราะว่าชีวิตต้องบริหารจัดการอย่างคงที่ในข้อมูล(life has to constantly manage information).

         5. ข้อมูล (Information)

         มาเอาอะไรที่ผมได้พูดไว้เกี่ยวกับทางเคมี(about chemistry)และบรรดาช่องส่วนที่แตกต่างกันทั้งหลายเหล่านั้น(all those different compartments): ที่สามารถบังเกิดขึ้นแต่ก็แต่ว่าถ้ามีการส่งถ่ายข้อมูล(can only occur if there’s an information transmission)ที่คอยรักษาให้สิ่งทั้งปวงได้ประสานงานกัน(to keep the whole thing coordinated).

         เอาว่า, ยีนหนึ่งกำลังสร้างเนื้อสารขึ้น(a gene is making a substance), และมันต้องการที่จะคอยรักษาให้เนื้อสารนั้นอยู่ในระดับคงที่สม่ำเสมอ(wants to keep that substance at a constant level).

         ในขณะที่เนื้อสารเหล่านั้นมีเพิ่มขึ้น(as that substance increase), มันได้สับสวิทช์ปิดยีนนั่น(switch off the gene), และเมื่อมันลดลง(it decreases), มันก็เปิดสวิทช์ยีนขึ้น(it turns the gene on).

         แต่คุณเข้าใจจริงๆได้แต่เพียงว่าเมื่อคุณตะหนักว่า(you only really understand that when you realize)ว่ามีการบริหารจัดการข้อมูลกำลังเกิดขึ้นอยู่ที่นี่(there’s information management going on here).

เซลล์นั้นกำลังวัดหาค่าว่ามันมีของนั้นอยู่มากเท่าไหร่(the cell is measuring how much stuff it’s got), และแล้วก็ใช้นั่นในการวินิจฉัย(using that to determine)ว่ายีน(gene)ควรจะถูกเปิดสวิทช์หรือปิดสวิทช์(should be switched on or switched off).

ถ้าเราว่ากันถึงDNA, เราสามารถเข้าใจได้ถึงโครงสร้างของDNA(could understand the structure of DNA)ในประเด็นของ(in terms of)ฐานหนึ่งถูกสัมพันธ์กับอีกฐานอื่นอย่างไร(how one base is related to another base), แต่มันเป็นเพียงสมเหตุสมผลเชิงชีววิทยาเท่านั้น(only makes biological sense)เมื่อถูกเห็นว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเก็บข้อมูลแบบดิจิตอล(seen to be a digital information storage device).

ชีวิตเป็น(life is)และสามารถแต่เพียงปฏิบัติการผ่านข้อมูลได้เท่านั้น(can only operate through information). มันซึมซาบในทุกรูปลักษณ์ของสิ่งที่มีชีวิตทำงานอย่างไร(permeates every aspect of how living things work).

อะไรคือชีวิต? (What is Life?)


         เมื่อเอาทั้ง 5 ความคิดทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกัน(putting all these five ideas together). ผมคิดบางหลักใหญ่ทั้งหลายผุดออกมา(I think some principles emerge). สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย(living things)ถูกผูกยึดอยู่กับเอกลักษณ์ทางกายภาพทั้งหลาย(are bounded physical entities).

เอกลักษณ์ที่ผูกยึดไว้นี้(the bounded entity)ก็คือเครื่องจักรทางเคมีและข้อมูล(is chemical and informational machine).

และแล้วอย่างวิกฤติ(and then critically), เครื่องจักรทางเคมีและข้อมูลนั่น(that informational chemical machine)เป็นเอกลักษณ์ที่ถูกผูกติดไว้(in a bounded entity)ก็มีระบบกรรมพันธุ์เป็นมรดกตกทอด(has a hereditary system)ที่วินิจฉัยตัดสินใจว่ามันจะทำงานอย่างไร(that determines how it works), ระบบที่มีความสามารถเปลี่ยนแปลงผันแปรได้(a system which has variability), และเช่นนั้นเอง, สิ่งทั้งปวงจึงสามารถวิวัฒนา(the whole thing can evolve)โดยการคัดเลือกตามธรรมชาติ(by natural selection).

และนั่นหมายความว่า, สิ่งมีชีวิตนั้นสามารถได้รับมาซึ่งเจตจำนง(that living thing can acquire purpose): เจตจำนงที่จะถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น(purpose to be better adapted)ในสภาวะชีวิตมันค้นพบตนเอง(in life it finds itself), และดังนั้นเราจึงสามารถวิวัฒนาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้(and so we can evolve living things)จากรูปแบบชนิดหนึ่งไปสู่อีกอันหนึ่ง(from one type to another).

และสำหรับผมแล้ว, นั่นผูกมัดทุกสิ่งเข้าด้วยกัน(that bounds everything together)ที่เน้นให้เห็นถึงแก่นหลักทั้งหลายที่เป็นมูลรากแห่งชีวิต(that emphasizes the core principles underlying life).

https://youtu.be/5EwVBC3VsRA?si=UU1Lx-HmDEb81hKq

วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2566

คาร์ล ซากัน - หนทางของการคิด

 หนทางของการคิด

CARL SAGAN - A Way of Thinking

 

         https://youtu.be/J1cNaFG1VII?si=mIQ9Z7uwZd7NB8nK

ไม่ใช่ที่ว่าวิทยาศาสตร์เทียม(pseudoscience1)และไสยศาสตร์/โชคลาง(superstition)และยุคใหม่ที่เรียกกันว่าความเชื่อทั้งหลาย(new age so called beliefs)ความเชื่ออย่างรุนแรงยึดติดคัมภีร์คัมภีร์(fundamentalist zealotry)เป็นอะไรบางอย่างใหม่(are something new).

         1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1

         พวกเขาได้อยู่กับเรามานานเท่าๆกับที่เราเป็นมนุษย์(they’ve been with us for as long as we’ve been human).

         แต่เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ยึดบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(we live in an age based on science and technology)ด้วยพลังอำนาจทั้งหลายเชิงเทคโนโลยีอันน่าเกรงขาม(with formidable technological powers).

         วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกำลังขับเคลื่อนเราไปข้างหน้า( are propelling us forward)ที่อัตราการเร่งขึ้นทั้งหลาย(at accelerating rates).

         นั่นถูกต้องแล้วและถ้าเราไม่เข้าใจมัน(don’t understand it), โดยเรา, ผมหมายถึงสาธารณชนทั่วไป(general public), ถ้ามีอะไรบางอย่างว่า – “โอ้, ฉันไม่เก่งในเรื่องนั้น(I’m not good at that). ฉันไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น(I don’t know anything about it).”แล้ว

ใครกันที่เป็นผู้ทำการตัดสินใจทั้งหลายทั้งหมดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่กำลังจะต้องถูกกำหนด(are going to determine)ว่าอนาคตประเภทไหนที่เด็กๆของเราต้องมีชีวิตอยู่ในมัน?

-อะไรคือความอันตรายของทั้งหมดนี้?( what’s the danger of all this)

-ผมหมายความว่านี่ไม่ใช่สิ่งนั้น...- (this is not the thing…)

มันเป็นสองประเภทของสิ่งนั้น(it is two kind of things).

หนึ่งคืออะไรที่ผมเพิ่งได้พูดถึงไปแล้ว, ว่าเราได้จัดแจงให้สังคมตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น(we’ve arranged the society based on science and technology), ในที่ซึ่งไม่มีใครเข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(in which nobody understands anything about and technology).

และส่วนผสมที่ติดไฟได้ของอวิชชาและพลังอำนาจนี้(this combustible mixture of ignorance and power), ในไม่ช้าไม่นานก็จะระเบิดเข้าใส่ใบหน้าทั้งหลายของเรา(sooner or later is gonna blow up in our faces).

และเหตุผลอย่างที่สอง(the second reason)มีผมได้กังวล(I’m worried)เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ, วิทยาศาสตร์เป็นมากกว่าร่างกายของความรู้(science is more than a body of knowledge).

มันคือหนทางของการคิด(a way of thinking).

มันเป็นหนทางของการสอบถามไต่สวนข้อสงสัยต่อจักรวาล(a way of skeptically interrogating the universe), ด้วยความเข้าใจอย่างประณีตของความผิดพลาดเยี่ยงมนุษย์(with a fine understanding of the human fallibility).

ถ้าเราไม่สามารถถามคำถามทั้งหลายที่กังขาสงสัยได้(are not able to ask skeptical questions)ในการที่จะไต่สวนผู้ที่บอกแก่เรา(to interrogate those who tell us)ว่าอะไรบางอย่างนั้นเป็นความจริง(that something is true). การเป็นผู้กังขาสงสัยเหล่านั้นในอำนาจ(to be skeptical of those in authority)แล้วเราก็ขึ้นไปเพื่อตะครุบหาคนหลอกลวงรายใหม่ถัดไปทางการเมืองหรือศาสนา(grabs for the next charlatan political or religious), ผู้ซึ่งเดินเตร่ไปทั่วอยู่(who ambling along).

มันเป็นสิ่งที่เจฟเฟอร์สัน(Thomas Jefferson2)เน้นย้ำไว้นักหนา(laid great stress on).

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%AA_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99

มันไม่เพียงพอที่เขาพูดเพื่อหวงแหนสิทธิบางอย่าง(to inshrine some rights)ในรัฐธรรมนูญ(in a constitution)หรือพระราชบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง(bill of rights).

ประชาชนต้องได้รับการศึกษา(people had to be educated).

และพวกเขาต้องฝึกฝนปฏิบัติความสงสัยไม่เชื่อและการศึกษาของเขา(have to practice their skepticism and education).

ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่ได้บริหารจัดการรัฐบาล(otherwise, we don’t run the government).

รัฐบาลบริหารจัดการเรา(the government runs us).

คุณเห็นมั้ย, ผู้คนอ่านคำกล่าวอ้างทั้งหลายของตลาดหุ้นและธุรกิจการเงินในหน้าทั้งหลายของหนังสือพิมพ์(read stock market quotations and financial pages). มองหาความสลับซับซ้อนว่าเป็นอย่างไร(look how complex that is).

ผู้คนสามารถมองที่สถิติทางกีฬาทั้งหลายได้(are able to look at sport statistics).

ดูสิ, มีผู้คนมากมายอย่างไรที่สามารถทำนั่นได้.

การเข้าใจวิทยาศาสตร์(understanding science)ไม่ได้ยากไปกว่านั่น(is not difficult than that). มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกิจกรรมทั้งหลายทางปัญญายิ่งใหญ่ไปกว่า(doesn’t involve greater intellectual activities).

แต่สิ่งที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คืออย่างแรกของทั้งหมด(the thing about science is first of all). มันตามมาหลังอะไรที่จักรวาลนั้นเป็นจริง(after what universe really is)และไม่ใช่อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น(not what makes us feel better).

และหลักคำสอนทั้งหลายจำนวนมากมาย(a lot of the competing doctrines)ก็ตามหลังมาจากอะไรที่รู้สึกดี(are after what feels good).

และไม่ใช่อะไร, อะไร...ที่คือ ความจริง.

-วิทยาศาสตร์ไม่ได้ไปพิสูจน์ศาสนา(science does not prove religion). เพราะศาสนาตั้งอยู่บนศรัทธา(religion is faith-based).-

เรามาดูกันให้ลึกลงไปอีกนิดในนั่น(let’s look a little more deeply into that).

อะไรคือศรัทธา?(what is faith?)

มันคือความเชื่อในการไม่มีหลักฐาน(it is believe in the absence evidence).

ทีนี้, ผมไม่ได้เจตนาที่จะผู้ใดว่าให้เชื่อในอะไร(I don’t propose to tell anybody what to believe), แต่สำหรับตัวผมแล้ว, การเชื่อ(believing)เมื่อไม่มีหลักฐานที่น่าสนใจ(no compelling evidence)คือความผิดพลาด(is a mistake).

ความคิดที่จะระงับความเชื่อไว้(withhold believe)จนกว่าจะมีหลักฐานที่น่าสนใจ(until there is compelling evidence).  และถ้าจักรวาลไม่ได้ปฏิบัติตามไปกับความเอนเอียงโน้มน้าวใจไปของเรา(the universe does not comply with our predispositions).

โอเค, แล้วเรามีภาระผูกพันอันแสนสาหัส(we have the wrenching obligation)ที่จะรองรับต่อวิถีของจักรวาลที่เป็น(to accommodate to the way the universe is).

แล้วใครล่ะที่ถ่อมตัวมากกว่า(who is more humble)?

นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่มองยังจักรวาลนี้ด้วยจิตใจซึ่งเปิดกว้าง(who looks at the universe with an open mind)และยอมรับอะไรก็ตามที่จักรวาลนี้เป็น, ต้องมาสอนเราหรือ(accepts whatever the universe has to teach us)?

หรือเป็นใครบางคนที่บอกว่าทุกอย่างในหนังสือนี้ต้องถูกวินิจฉัยว่าเป็นจริงตามตัวอักษร(everything in this book must be considered the literal truth)? และอย่าไปสนใจในความบกพร่องของมนุษย์ทั้งหมด(never mind the fallibility of all the human beings)ที่เกี่ยวข้องในการเขียนของตำรานี้หรือ(involved in the writing of this book)?

ผมเสียบิดามารดาในตอน 12 และ 15 ปีที่ผ่านมา. ผมมีความสัมพันธ์มหาศาลกับพวกท่าน(have great relationship with them), ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆ. ผมก็รักที่จะเชื่อว่าพวกเขาเป็นวิญญาณผู้อยู่รอบๆนี้ที่ไหนสักแห่ง(they are spirits who are around somewhere).

และผมจะให้ทุกสิ่งใดก็ได้เลยในการที่จะใช้เวลาเกือบห้านาทีทุกปีอยู่กับพวกเขา.

-คุณจะได้ยินเสียงของพวกเขาตลอดไปไหม?-

บางครั้ง, หกหรือแปดครั้งตั้งแต่การตายของพวกเขาได้รับการตัดสินใจ(have verdict)?

คาร์ล!

แค่ในเสียงนั้นของพ่อของผมหรือแม่ของผม.

ตอนนี้, ผมไม่คิดว่านั่นมันหมายถึงว่าพวกเขาอยู่ที่ในห้องถัดไป.

ผมคิดว่ามันหมายถึงว่าผมได้มีเสียงหลอนเกี่ยวกับมัน(I’ve had an auditory hallucination about it).

ผมได้อยู่กับพวกเขานานมากๆ. ผมได้ยินเสียงของพวกเขาบ่อยมากๆ.

ทำไมผมไม่ควรจะสามารถจะทำของสะสมอันสดใสนี้ขึ้นได้อีก(why shouldn’t I be able to make a vivid recollection).

-นี่คืออะไรที่เป็นรที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้สำหรับผม-

-คุณหว่านล้อมผมนานมาแล้ว(convince me long time ago)ว่ามันเป็นเรื่องที่เย่อหยิ่งสำหรับผมหรือใครอื่นใด(it was arrogant for me or anyone else)-

-ที่จะเชื่อว่าไม่มีชีวิตอื่นข้างนอกของเรา...(to believe there wasn’t life outside of our…)-

ในการที่จะแยกความเป็นไปได้ออกมา(to exclude the possibility) – ในการที่จะแยกแยะความเป็นไปได้นั้นเป็นความหยิ่งยโสแห่งสติปัญญาที่เราไม่ควรทำหรือ(was an arrogance of intellect that we should not)??? –

-คุณไม่สามารถพิสูจน์ได้(you couldn’t prove). คุณไม่รู้ว่ามันอยู่ข้างนอกนั่น(you didn’t know it was there). แต่ความยโส...(but the arrogance…)

เดี๋ยวก่อน, เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นหรือเปล่า(we don’t know if He is there).

เราไม่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นหรือเปล่า(we don’t know if He is not there).

มาดูกันเถอะ.

-และถ้าคุณยอมรับนั่น(and if you take that), ทำไมคุณไม่สามารถพูดได้ว่ามีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้?

ผมพูดนั่น.

คอยดูนี่นะ, มีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้(there is a lot that we don’t know).

นั่นคืออะไรที่ผมเชื่อ. แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคำอ้างหลอกลวงต้องถูกยอมรับ(not mean that every fraudulent claim has to be accepted).

เราเรียกร้องมาตรฐานทั้งหลายที่แม่นยำมากที่สุดของหลักฐาน(demand the most rigorous standards of evidence)โดยเฉพาะในกับอะไรที่สำคัญต่อเรา.

ดะงนั้นถ้าใครบางคนเข้ามาหาผม(some guy comes up to me), ผู้เป็นช่องทาง(a channeller)หรือ สื่อกลาง(a medium): “ฉันสามารถนำคุณไปติดต่อสัมผัสกับพ่อแม่ของคุณได้”.

เอาละ, เพราะว่าผมต้องการอย่างเหลือร้ายที่จะเชื่อนั่น. ผมรู้ว่าผมจำเป็นต้องการที่จะเอื้อมเข้าไปเพื่อเติมเพิ่มปริมาณสำรองทั้งหลายของความสงสัย(to reach in for added reserves of skepticism), เพราะว่าผมค่อนข่างที่จะได้โง่(likely to be fooled), และมากยิ่งกว่าในการเป็นรอง(much more minor), ที่จะโดนถูกเอาเงินของผมไป.

- คุณกำลังมีชีวิตอยู่กับโรคเลือดจางจากไขกระดูกเสื่อม(you are living with myelodysplasia) - หรือว่าผมได้เป็น.

- และแค่แบ่งปันกับเราเพราะไหวพริบในการใช้ภาษาของคุณ(because of your sense of language)

- และไหวพริบในการเข้าใจและเป็นทุกข์ในทัศนียภาพ(sense of understanding and being afflicted in perspective)

- อะไรที่คุณคิดเกี่ยวกับมันและอะไรที่มันทำให้กับคุณด้วยหรือ(what does it do for you, too)? –

ผมไม่มีประสบการณ์รับรู้การใกล้ตายใดๆ(any near death experience). ผมไม่ได้มีการสนทนาทางศาสนา(didn’t have a religious conversation).

- แต่คุณคิดในเรื่องอะไรที่มันน่าจะเหมือนที่จะตาย(about what it would be like to die)

แน่นอนเลยและอะไรที่น่าจะเป็นเหมือนเพื่อครอบครัวของผม(what it would be like for my family).

และในอะไรที่ผมคิดเกี่ยวกับอะไรที่มันน่าจะเป็นเหมือนสำหรับผม(about what it would be like for me). เพราะว่าผมไม่คิดว่ามันเหมือนกับว่าจะมีอะไรสักอย่างที่คุณคิดเกี่ยวกับมันหลังจากที่คุณตาย(there is anything you think about after you’re dead).

- นั่นแหละ.-

หลับไร้ฝันอันแสนนาน.

ผมรักที่จะเชื่อในทางตรงกันข้าม(believe opposite)แต่ผมไม่ได้มีหลักฐานใดๆ.

แต่หนึ่งสิ่งที่มันได้ทำก็คือการที่จะเพิ่มพูนประสาทสำนึกของความชื่นชมของผมกับความงดงามของชีวิต(enhance my sense of appreciation for the beauty of life)และของจักรวาลนี้(and of the universe)และความรื่นรมย์ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่(and the sheer joy of being alive).

- คุณได้มีสัดส่วนที่สมบูรณ์ดีของเรื่องนั้นก่อนหน้าเรื่องนี้แต่กระนั้นกระทั่งกับคุณมันก็บังเกิดขึ้น(had a healthy portions of that before this but even you it happens to)

- ความชื่นชม(appreciation)

ทุกขณะ(every moment). ทุกวัตถุไม่มีชีวิต(every inanimate object).

และที่จะไม่ต้องพูดอะไรเกี่ยวกับความสลับซับซ้อนอันเลอเลิศของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย(and to say nothing about the exquisite complexity of living beings).

คุณจินตนาการการหายมันไปทั้งหมดและในทันทีทันใด(you imagine missing it all and suddenly), มันช่างล้ำค่ามากยิ่งเหลือเกิน(it is so much more precious).

https://youtu.be/J1cNaFG1VII?si=2QiE7ZFYv__Jkook


วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

อลัน วัตต์ส - ถนนไปสู่นรกปูลาดผิวด้วยความตั้งใจดีทั้งหลาย

 อลัน วัตต์ส - ถนนไปนรกปูลาดผิวด้วยความตั้งใจดีทั้งหลาย

Alan Watts - The Road to Hell is Paved with Good Intentions

 

         https://youtu.be/cegl1BZ-0tI

         คุณเห็นมั้ยว่า, เหตุผลที่คุณต้องการจะเป็นที่ดีขึ้นก็คือเหตุผลที่ทำให้คุณไม่ได้เป็น.


         เราไม่ได้เป็นที่ดีขึ้นก็เพราะว่าเราต้องการจะเป็น(we aren’t better because we want to be). เพราะว่าถนนไปสู่นรกนั้นปูลาดผิวด้วยความตั้งใจดีทั้งหลายนั้น(good intentions).

         เพราะว่านักทำ-ดีทั้งหลายทั้งหมด(the all the do-gooders)ในโลกนี้ไม่ว่าพวกเขากำลังทำดีเพื่อผู้อื่น(they’re doing good for others)หรือกำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง(doing it for themselves)ก็คือตัวทำความเดือดร้อนทั้งหลาย(are troublemakers)บนพื้นฐานของอะไรแบบว่า(the basis of kindly) “ให้ข้าช่วยเจ้านะไม่งั้นเจ้าจะจมน้ำไป,” ลิงตัวนั้นจับปลานั้นขึ้นไปไว้ให้ปลอดภัยบนต้นไม้.


         เราพวกผิวขาวแองโกล-แซ็กซอน(white Anglo-saxon), โปรเตสแตนท์(protestants), บริติช(British), เยอรมัน(German), อเมริกัน(American)ได้อยู่บนความวุ่นวายอาระวาด(have been on a rampage)มาในอดีตเป็นร้อยปีหรือมากกว่า, ในการที่จะทำให้โลกดีขึ้น(to prove the world).

         เราได้ให้ผลประโยชน์ทั้งหลายของวัฒนธรรมของเรา(the benefits of  our culture), ลัทธิศาสน์ของเรา(our religion), เทคโนโลยี(our technology)แก่ทุกคน(to everybody)ยกเว้น, บางที, พวกชนอะบอริจินของออสเตรเลีย(the Australian aborigines).

         และเราได้ยืนกราน(insisted)ว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์ของวัฒนธรรมของเรา(that they receive the benefits of our culture)กระทั่งลีลาท่าทางการเมือง(our political styles), ระบอบประชาธิปไตยของเรา(our democracy). เจ้าต้องเป็นประชาธิปไตยดีกว่านะ, ไม่งั้นเราจะยิงเจ้า(you better be democratic or we’ll shoot you). และได้แจกจ่ายให้พรประเสริฐทั้งหลายเหล่านี้ไปทั่วทุกแห่งทั้งหมด(having conferred these blessings all over the place), แล้วเราก็สงสัยใจว่าทำไมทุกคนเกลียดเรา(wonder why everybody hates us).

         เห็นมั้ย, เพราะว่าบางครั้งการทำดีต่อผู้อื่นทั้งหลาย(doing good to others). และแม้กระทั่งการทำดีกับตัวผู้นั้นเอง(doing good to oneself)ก็มีความเป็นภัยทำลายล้างอย่างน่าทึ่ง(amazingly destructive). เพราะว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยความอวดดีเพ้อฝัน(full of conceit). คุณรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีสำหรับผู้คนอื่น(what’s good for other people)?

         คุณรู้ได้อย่างไรว่าอะไรดีสำหรับคุณถ้าคุณพูดว่า, เอ้อ, คุณต้องการจะปรับปรุงให้ดีขึ้น(improve), แล้วคุณต้องการจะรู้ว่าอะไรดีสำหรับคุณ(what’s good for you), แต่ชัดเจนว่าคุณไม่(รู้)เพราะว่าถ้าคุณได้รู้(แล้ว)คุณก็น่าจะที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นไปแล้ว(you would be improved).

         ดังนั้น, เราไม่ได้รู้, มันเป็นเหมือนปัญหาของนักพันธุกรรมศาสตร์ทั้งหลาย(the problem of geneticists)ที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่ทุกวันนี้. ผมได้เคยไปร่วมประชุมของนักพันธุกรรมศาสตร์ทั้งหลาย(went to a meeting of geneticists)เมื่อไม่นานมานี้, ที่พวกเขามารวมกันเป็นกลุ่มของนักปรัชญาและนักศาสนศาสตร์ทั้งหลาย(gathered in a group of philosophers and theologians). และได้พูดว่า, ตอนนี้มาดูนี่นะ, เราจำเป็นต้องการความช่วยเหลือ. เราตอนนี้อยู่บนความหมิ่นเหม่ของการคิดให้ได้(on the verge of figuring out)ว่าเราจะผสมพันธุ์ให้ได้คุณลักษณะมนุษย์ออกมาอย่างไร(how to breed any kind of human character)ที่เราน่าจะต้องการที่จะมีได้. เราสามารถให้คุณด้วยนักบุญ(saints), นักปรัชญา(philosophers), นักวิทยาศาสตร์(scientists), นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่(great politicians), อะไรก็ได้ที่คุณต้องการ, แค่บอกกับเราว่าคุณต้องการมนุษย์ชนิดไหนที่เราควรจะผสมพันธุ์ออกมาให้(what kind of human beings ought we to breed).

         ดังนั้น, ผมขอพูดว่า, จะเป็นอย่างไรที่พวกเราเหล่านั้นผู้ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นใหม่ทางพันธุกรรม(are genetically unregenerate), ได้ตัดสินใจของเราทั้งหลายว่าอะไรที่ผู้คนซึ่งได้เกิดขึ้นในพันธุกรรมใหม่ควรจะเป็น(what genetically generate people might be)?

         เพราะว่าผมกลัวอย่างมากๆว่าการเลือกของเราในเรื่องคุณธรรมความดีงามทั้งหลาย(our selection of virtues)มันอาจจะใช้การไม่ได้(may not work). มันจะเหมือนกับว่า, ตัวอย่างเช่น, ธัญพืชชนิดใหม่ที่ให้เมล็ดผลผลิตสูง(a new kind of high yield grain)ที่ถูกทำ(is made), เอ้อ, ที่กลายเป็นทำให้เกิดความเสื่อมวุ่นวายหายนะทางนิเวศน์วิทยา(is becoming ecologically destructive). เมื่อเราเข้าไปยุ่งกับขบวนการทางธรรมชาติ(interfered with the process of nature)และผสมพันธุ์พืชที่ให้ประสิทธิผลสูง(breed efficient plants)และทำให้ประสิทธิผลบกพร่องในสัตว์ทั้งหลายไป(deficient animals).

         มักจะมีบางหนทางอยู่เสมอที่เราต้องจ่ายลงทุนให้กับมัน(have to pay for it).

         และผมสามารถเห็นได้เป็นอย่างดีว่า, มนุษย์ที่ถูกผลิตขึ้นตามธรรมชาติทั้งหลาย(eugenically produced human beings)อาจจะเป็นที่น่ากลัวอย่างเหลือหลาย(might be dreadful).

         เราอาจสามารถมีโรคระบาดของผู้คนแสนดี(could have a plague of virtuous people). คุณตระหนักถึงนั่นมั้ย, ว่าสัตว์ใดที่พิจารณาตัดสินในตนเองได้นั้น(considered in itself)คือความ”แสนดี”ที่มันทำเรื่องของมัน(is virtuous it does its thing). แต่ในฝูงคนทั้งหลาย(in crowds), พวกเขาน่าสยดสยอง(they’re awful).

         เหมือนเช่นฝูงมดa (crowd of ants)หรือฝูงตั๊กแตน(locusts)ที่กำลังอาละวาด(on the rampage), พวกเขาเป็นสัตว์ทั้งหลายที่ดีสมบูรณ์ทั้งหมด(all perfect good animals)แต่มันแค่มีอยู่กันมากเกินไป(too much).

         ผมสามารถจินตนาการได้ถึงยาฆ่าแมลงอันสมบูรณ์แบบ(a perfectly pesticide), มวลมหานักบุญทั้งหลายเป็นล้านๆคน(mass of millions of saints).

         ดังนั้นผมจึงได้พูดกับผู้คนเหล่านี้ว่า, การมองดูเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่คุณสามารถทำได้(look is the only thing you can do). แค่ให้แน่ใจว่ามนุษย์หลากหลายจำนวนมหาศาลนี้ถูกบำรุงรักษาไว้(be sure that a vast variety of human beings is maintained).

         ได้โปรด, อย่าได้ผสมพันธุ์เราลงไปหารูปแบบชนิดที่ยอดเยี่ยมทั้งหลายอันมีน้อยนิดนั้น(don’t breed us down to a few excellent types).

         ยอดยเยี่ยมเพื่ออะไร?

     เราไม่มีวันรู้เลยว่าสถานการณ์ทั้งหลายนั้นกำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร(how circumstances are going to change).

         และความจำเป็นต้องการของเราต่อการเปลี่ยนแปลงต่อชนิดประเภทที่แตกต่างกันของผู้คนเป็นอย่างไร?(how our need for different kinds of people changes).

         ในเวลาหนึ่งเราอาจจำเป็นต้องการผู้คนที่มีความเป็นตัวของตัวเองและก้าวร้าวมากๆ(may need very individualistic and aggressive people), กับอีกเวลาหนึ่ง, เราอาจจะจำเป็นต้องการผู้คนที่ให้ความร่วมมือชอบทำงานเป็นทีมมากๆ(need very corporative teamworking people). ในอีกเวลาหนึ่ง, เราอาจจำเป็นต้องการผู้คนที่เต็มไปด้วยความสนใจในความว่องไวที่จะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับโลกภายนอก(may need people who are full of interest in dexterous manipulation of the external world). และอีกเวลาอื่น, เราอาจจำเป็นต้องการผู้คนที่ค้นหาสำรวจเข้าไปในจิตวิทยาของตัวพวกเขาเอง(who explore into their own psychology)และเอาแต่ครุ่นคิด(are introspective).

         ไม่มีการรู้(no knowing)นอกเสียจากว่า, ยิ่งเรามีความหลากหลายและยิ่งมีทักษะทั้งหลายมากขึ้น(the more varieties and the more skills we have), อย่างชัดเจนเลยว่า, ยิ่งจะดีกว่า(the better).

         ดังนั้นคุณเห็นมั้ย, นี่อีกครั้ง, ปัญหาออกมาในเรื่องพันธุศาสตร์(the problem comes out in genetics).

         เราไม่ได้รู้จริง(do not really know)ว่าจะเข้าไปยุ่งอย่างไรกับวิถีที่โลกเป็น(how to interfere with the way the world is).

         วิถีของโลกที่เป็นอันแน่ชัด(the way the world actually is)ก็คือ, สิ่งมีชีวิตที่มีปฏิ-สัมพัทธ์ต่อกันอันสลับซับซ้อนขนาดมหึมา(an enormously complex interrelated organism).

         ปัญหาเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในเรื่องยารักษาโรค(arises in medicine), เพราะว่าร่างกายของเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพัทธ์อย่างสลับซับซ้อนมาก(a very complexly interrelated organism). และถ้าคุณมองดูที่ร่างกายนี้(look at the body)ในวิธีอย่างผิวเผิน(in a superficial way), คุณอาจจะเห็นว่าบางอย่างผิดกับมันก็คือไข้ทรพิษ(something wrong with it is chickenpox)และจุดทั้งหลายเหล่านั้นที่คันนั้น(those spots that itch)ที่ออกมาทั่วทั้งหมดทุกแห่ง, เอาละ, คุณอาจพูดได้ว่า, เอ้อ, จุดทั้งหลายอยู่ที่ตรงนั้น(spots are there), ตัดมันออกไปเลย(cut them off).


         แล้วเมื่อคุณฆ่าแมลงนั่น(you kill the bug), เอาละ, แล้วคุณก็ค้นพบว่าคุณได้ปัญหาทั้หลายที่แท้จริง(then you find you got real problems).

         เพราะว่าคุณต้องแนะนำแมลงทั้งหลายบางรายที่ต้องฆ่า(have to introduce some bugs to kill). แมลงนั้น(the bug), มันก็เป็นเหมือนกับการนำกระต่ายทั้งหลายเข้ามาในประเทศออสเตรเลีย(bringing rabbits into Australia), และมันก็เริ่มต้นไปอยู่ทั่วทุกแห่งและหลุดพ้นมือที่จะควบคุมได้ไป(getting out of hand).



แต่จากนั้นคุณก็คิดว่า, เอาละ, ตอนนี้รอสักหนึ่งนาที, มันไม่ใช่แมลงทั้งหลายนั้นอยู่ในเลือด(it wasn’t the bugs in the blood), มีแมลงทั้งหลายอยู่ไปทั่วทุกที่เลย, เกิดอะไรผิดขึ้นกับบุคคลผู้นี้รึ?(what was wrong with this person)ที่ระบบเลือดของเขา(his blood system)ทันทีทันใดนั้นก็เปราะบางกับแมลงพิเศษจำเพาะทั้งหลายเหล่านั้น(suddenly vulnerable to those particular bugs). ความต้านทานของเขาไม่ได้ขึ้นมา(his resistance wasn’t up), ดังนั้นอะไรที่คุณควรจะได้รับนั้นก็ไม่ใช่ยาปฏิชีวนะ(not an antibiotic)แต่เป็นวิตะมินทั้งหลาย(vitamins).

โอเค, ดังนั้นเรากำลังจะสร้างความต้านทานของเขาขึ้นมา(going to build up his resistance), แต่ต้านทานต่ออะไรล่ะ(but resistance to what)?

คุณอาจจะสร้างความต้านทานขึ้นมาได้ต่อแมลงทั้งหลายหมวดประเภทนี่และนี่และนี่, แต่แล้วก็มีประเภทอื่นอีกอันหนึ่ง(another one)ที่รักสถานการณ์นั้น(loves that situation)และเข้ามาเลยในทันที(comes right in).

เห็นมั้ย, เรามักจะมองที่มนุษย์อย่างการแพทย์บำบัดรักษาเป็นจุดๆและชิ้นๆ(the human being medically in bits and pieces). เพราะว่าเรามีผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ(heart specialists), ผู้เชี่ยวชาญด้านปอก(lung specialists), ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก(bone specialists), ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาท(nerve specialists)และอะไรอีกมาก. และพวกเขาแต่ละรายก็มองมนุษย์จากมุมมองแต่ลบะด้านของพวกเขา(see the human being from their point of view).

มีอยู่บ้างน้อยนิดที่เป็นด้านทั่วๆไป(a few generalists), แต่พวกเขาตระหนักรู้ว่า(realize)ร่างกายมนุษย์นั้น(the human body)เป็นสิ่งที่ช่างสลับซับซ้อนจนไม่มีผู้ใดใส่ใจให้สามารถเข้าใจมันได้(so complicated that no one mind can understand it).

และไกลไปยิ่งกว่านั้น, สมมติว่า, เราได้ประสบสำเร็จ(succeed)ในการบำบัดรักษาผู้คนทั้งหมดเหล่านี้ในโรคร้ายทั้งหลายของพวกเขา(in healing all these people of their diseases). เราทำอะไรหลังจากนั้น, เราก็ทำในเรื่องปัญหาของจำนวนประชากร(population problem).

ผมหมายถึงว่า, เราได้หยุดยั้งอหิวาตกโรค(cholera), การติดเชื้อกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง(the black bubonic plague), เรากำลังดีขึ้นจากวัณโรค(tuberculosis). เราอาจแก้ไขมะเร็ง(fix cancer), และโรคหัวใจ(heart disease)แล้ วยังไง(and then)?

ผู้คนจะตายไหม? เอาละ, เรามามีชีวิตอยู่ต่อไปกันเถิด(let’s go on living), ก็จะมีปริมาณมากมายมหาศาลของพวกเรา(will be enormous quantities of us), แล้วเราก็ต้องมาแก้ไขในเรื่องการเกิดนี้(fix this birth thing). ยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับทุกคน(pills for everyone).

แล้วเราก็ค้นพบว่าอะไรคือผลกระทบทั้งหลาย(what are the effects), ผลข้างเคียง(side effects)ของยาเม็ดทั้งหลายเหล่านั้น.

อะไรคือผลกระทบทางจิตวิทยาทั้งหลาย(psychological effects)กับผู้ชายและผู้หญิงในการไม่ได้ขยายพันธุ์(not breeding), เอ้อ, เด็กๆตามหนทางปกติ(in the usual way).

เราไม่รู้.

และอะไรที่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ดีในวันนี้(seem a good thing today)หรือเมื่อวานนี้, เหมือนเช่น DDT, กลายเป็นออกมาว่าพรุ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งหายนะ(turn out tomorrow to have been a disaster). อะไรที่ดูเหมือนจะ, ในทางจริยธรรมและอาณาเขตทางวิญญาณ(the moral and spiritual sphere)ด้วยเช่นกัน, ที่เป็นเหมือนคุณค่าอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย(great virtues)ในวันเวลาอดีต, ก็เห็นกันได้ง่ายทุกวันนี้ว่าเป็นเช่นความชั่วร้ายทั้งหลายที่น่าขยะแขยง(as hideous evils).

มายกตัวอย่างดูกันเถอะ, การไต่สวนในยุคสมัยของมันเองในหมู่ชนคาธอลิค(the inquisition in its own day among Catholics), การไต่สวนศักดิ์สิทธิ์(the holy inquisition)ถูกคำนึงว่าดังเช่นเราทุกวันนี้คำนึงถึงว่าเป็นการปฏิบัติฝึกฝนของจิตเวชศาสตร์(the practice of psychiatry).

คุณ, คุณเห็น, คุณรู้สึก(you see, you feel)ว่าในการบำบัดรักษาบุคคลใดในมะเร็ง(in curing a person of cancer)เกือบทุกๆสิ่งใดได้ถูกวินิจฉัย(almost anything is justified). การดำเนินการอันซับซ้อนส่วนใหญ่ทั้งหลาย(most complex operations), ผู้คนที่ได้ผ่าตัดพิลึกพิลั่นทั้งหลายมากที่สุด(the most weird surgery people)ได้หยุดแขวนไปนานหลายวันแล้ววันเล่าจนไปจบสุดลงที่ท่อหลอดทั้งหลาย(suspended for days and days on the end of tubes). ด้วยการ x-rayเจาะทะลวง(penetration)เผา(burning). หรือผู้คนอยู่ภายใต้การบำบัดรักษาด้วยการช็อค(people undergoing shock treatment). ผู้คนถูกล็อคอยู่ในระเบียงทางเดินไร้สีซ้ำซากจำเจของสถาบันทางจิตเวททั้งหลาย(people locked in the colorless monotonous corridor of mental institutions).

ในความศรัทธาที่ดีทั้งปวง(in all good faith), พวกเขารู้ดีว่าคาถาเวทมนตร์และบาป(witchcraft)เป็นสิ่งทั้งหลายเลวร้ายแรง(were terrible things). โรคทั้งหลายอันน่ากลัว(awful plagues)ที่เป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของผู้คน(imperiling people’s soul)ตราบนานเท่านาน(forever and ever).

ดังนั้นหนทางทั้งหลายอันใด(any means)ที่ได้ถูกวินิจฉัย(is justified)ในการที่จะรักษาผู้คนที่บาป(to cure people of heresy).

เราไม่ได้เปลี่ยนแปลง(we don’t changed), เราก็ยังทำสิ่งเหมือนกันในทุกวันนี้(doing the same thing today)แต่ภายใต้ชื่อทั้งหลายที่แตกต่างไป(under different names).

เราสามารถมองย้อนกลับไปยังผู้คนเหล่านั้นและเห็นว่าความชั่วร้าย(evil)ว่าเป็นอย่างไร, แต่เราไม่สามารถมองเห็นมันในตัวเราเอง(can’t see it in ourselves).



         นักปรัชญาชาวจีนได้กล่าวไว้ว่า, ความดีสูงสุดนั้นไม่ใช่ความดี(the highest virtue is not virtue). และเช่นนั้นเองที่ความจริงเป็นความดี(and therefore really is virtue). แต่ความดีที่ด้อยกว่า(inferior virtue)ไม่สามารถปล่อยให้เป็นความดีไปได้(cannot let go of being virtuous)และเช่นนั้นเองจึงไม่ได้เป็นความดี(there is not virtue). แปลออกมาในหนทางนอกรีตมากไปนิด(translated in more of a periphrastic way way).


         ความดีงามสูงสุด(the highest virtue)ไม่ใช่ความสำนึกในตัวมันเอง(is not conscious of itself). ความดีงามที่ต่ำกว่า(lower virtue)เป็นมากยิ่งในความสำนึกตน(so self-conscious)ว่ามันไม่ใช่ความดีงาม(that it’s not virtue), พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ, เมื่อคุณหายใจ(breathe)คุณก็ไม่ได้แสดงความยินดีให้ตัวคุณเองในการมีความดีงาม(you don’t congratulate), แต่การหายใจคือ   คุณงามความดีอันยิ่งใหญ่(a great virtue)ที่มันมีชีวิตอยู่.

         เมื่อคุณเกิดมา(come out)ด้วยดวงตาที่งดงาม(beautiful eyes), สีฟ้า(blue)หรือน้ำตาล(brown)หรือเขียว(green)เป็นดั่งเหตุกรณีนั้น(as the case), คุณไม่ได้แสดงความยินดีกับตัวคุณเองกับการได้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นหนึ่งในอัญมณีอันโด่งดังมากที่สุดบนโลกนี้(for having grown one of the most fabulous jewels on earth). แค่ดวงตา(just eyes). และคุณก็ไม่ได้นับเอามันว่าเป็นคุณงามความดี(don’t account it a virtue). ที่จะได้มองเห็น(to see), ได้บันเทิงเริงรื่น(to entertain)กับสิ่งมหัศจรรย์ของสีสันและรูปทรง(the miracles of color and form).

         คุณพูดว่า, โอ้, แต่นั่นคือคุณงามความดีที่แท้จริง(that’s real virtue). คุณงามความดีในแง่ของแง่มุมเก่าแก่(in the sense of the old sense). แง่มุมของคำศัพท์ที่เป็นความแข็งแกร่ง(sense of the word as strength), คือเมื่อเราคุยกันถึงการบำบัดรักษาคุณงามความดีของพืช(talk about healing a plant), นั่นคือคุณงามความดีที่แท้จริง(that’s real virtue).

         แต่คุณงามความดีทั้งหลายอื่น(other virtues)ถูกติดยึดอยู่กับ(are stuck on). พวกเขา, คุณงามความดีทั้งหลายใน พื้นที่จำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขา, ความปลอมแปลงของพวกเขา((their airsides, their imitation virtues).

         และพวกเขาก็มักจะสร้างสรรค์ความเดือดร้อนยุ่งยาก(they usually create trouble).

         เพราะว่ายิ่งมีสิ่งร้ายกาจทั้งหลายมากได้ทำเสร็จ(more diabolical things are done)ในนามของ(righteousness), และให้แน่ใจได้ว่า(be assured that)ทุกๆคนแห่งอะไรก็ตามในสัญชาติหรือกรอบความคิดทางการเมือง(whatever nationality or political frame of mind)หรือทางศาสนา(or religion), มักจะสงคราม(always goes to war)ด้วยสำนึกของความถูกต้องอย่างเต็มเปี่ยม(with a sense of complete rightness), อีกฝ่ายหนึ่งคือปีศาจชั่วร้าย(the other side is the devil).


         คู่ต่อสู้ทั้งหลายของเรา(our opponents)ไม่ว่าจะในจีน(China)หรือ รัสเซีย(Russia)หรือ เวียตนาม(Vietnam)ก็มีความรู้สุกถึงความชอบธรรมเช่นเดียวกัน(have the same feeling of righteousness)ในเรื่องว่าพวกเขากำลังทำเช่นเดียวกับที่เรามีบนด้านนี้ของเรา(they’re doing as we have on our side).

         และโรคระบาดร้ายในทั้งสองบ้าน(a plague on both houses).

เพราะว่าอย่างที่ขงจื้อกล่าวไว้(because as Confucius), คนดีๆแสนดีๆทั้งหลายคือผู้ขโมยคุณงามความดี(the good, goodies are the thieves of virtue).

ซึ่งก็คือรูปลักษณ์ของคติพจน์ของพวกเราเองว่า(which is the form of our own proverb), ถนนไปสู่นรกนั้นปูลาดไว้ด้วยความตั้งใจดีทั้งหลาย(the road to hell is paved with good intentions).

ผู้ที่มีความตั้งใจดีมองหาที่จะเปลี่ยนแปลงโลก.

ผู้ที่มีลักษณะที่ดีมองหาภายในตน.

The person of good intention looks to change the world.

The person of good character looks within.

 

https://youtu.be/cegl1BZ-0tI?si=yl5dMHFVGb71q4-B