หนทางของการคิด
CARL SAGAN - A Way of Thinking
https://youtu.be/J1cNaFG1VII?si=mIQ9Z7uwZd7NB8nK
ไม่ใช่ที่ว่าวิทยาศาสตร์เทียม(pseudoscience1)และไสยศาสตร์/โชคลาง(superstition)และยุคใหม่ที่เรียกกันว่าความเชื่อทั้งหลาย(new
age so called beliefs)ความเชื่ออย่างรุนแรงยึดติดคัมภีร์คัมภีร์(fundamentalist
zealotry)เป็นอะไรบางอย่างใหม่(are something new).
พวกเขาได้อยู่กับเรามานานเท่าๆกับที่เราเป็นมนุษย์(they’ve
been with us for as long as we’ve been human).
แต่เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่ยึดบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(we
live in an age based on science and technology)ด้วยพลังอำนาจทั้งหลายเชิงเทคโนโลยีอันน่าเกรงขาม(with
formidable technological powers).
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกำลังขับเคลื่อนเราไปข้างหน้า( are propelling us forward)ที่อัตราการเร่งขึ้นทั้งหลาย(at
accelerating rates).
นั่นถูกต้องแล้วและถ้าเราไม่เข้าใจมัน(don’t
understand it), โดยเรา, ผมหมายถึงสาธารณชนทั่วไป(general
public), ถ้ามีอะไรบางอย่างว่า – “โอ้, ฉันไม่เก่งในเรื่องนั้น(I’m
not good at that). ฉันไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น(I
don’t know anything about it).”แล้ว
ใครกันที่เป็นผู้ทำการตัดสินใจทั้งหลายทั้งหมดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่กำลังจะต้องถูกกำหนด(are
going to determine)ว่าอนาคตประเภทไหนที่เด็กๆของเราต้องมีชีวิตอยู่ในมัน?
-อะไรคือความอันตรายของทั้งหมดนี้?(
what’s the danger of all this)
-ผมหมายความว่านี่ไม่ใช่สิ่งนั้น...- (this
is not the thing…)
มันเป็นสองประเภทของสิ่งนั้น(it is two kind of things).
หนึ่งคืออะไรที่ผมเพิ่งได้พูดถึงไปแล้ว,
ว่าเราได้จัดแจงให้สังคมตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น(we’ve
arranged the society based on science and technology),
ในที่ซึ่งไม่มีใครเข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(in
which nobody understands anything about and technology).
และส่วนผสมที่ติดไฟได้ของอวิชชาและพลังอำนาจนี้(this
combustible mixture of ignorance and power), ในไม่ช้าไม่นานก็จะระเบิดเข้าใส่ใบหน้าทั้งหลายของเรา(sooner
or later is gonna blow up in our faces).
และเหตุผลอย่างที่สอง(the second reason)มีผมได้กังวล(I’m
worried)เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ,
วิทยาศาสตร์เป็นมากกว่าร่างกายของความรู้(science is more than a body of
knowledge).
มันคือหนทางของการคิด(a way of thinking).
มันเป็นหนทางของการสอบถามไต่สวนข้อสงสัยต่อจักรวาล(a way
of skeptically interrogating the universe),
ด้วยความเข้าใจอย่างประณีตของความผิดพลาดเยี่ยงมนุษย์(with a
fine understanding of the human fallibility).
ถ้าเราไม่สามารถถามคำถามทั้งหลายที่กังขาสงสัยได้(are
not able to ask skeptical questions)ในการที่จะไต่สวนผู้ที่บอกแก่เรา(to
interrogate those who tell us)ว่าอะไรบางอย่างนั้นเป็นความจริง(that
something is true). การเป็นผู้กังขาสงสัยเหล่านั้นในอำนาจ(to be
skeptical of those in authority)แล้วเราก็ขึ้นไปเพื่อตะครุบหาคนหลอกลวงรายใหม่ถัดไปทางการเมืองหรือศาสนา(grabs
for the next charlatan political or religious),
ผู้ซึ่งเดินเตร่ไปทั่วอยู่(who ambling along).
มันเป็นสิ่งที่เจฟเฟอร์สัน(Thomas
Jefferson2)เน้นย้ำไว้นักหนา(laid
great stress on).
มันไม่เพียงพอที่เขาพูดเพื่อหวงแหนสิทธิบางอย่าง(to
inshrine some rights)ในรัฐธรรมนูญ(in a constitution)หรือพระราชบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของพลเมือง(bill
of rights).
ประชาชนต้องได้รับการศึกษา(people had to be educated).
และพวกเขาต้องฝึกฝนปฏิบัติความสงสัยไม่เชื่อและการศึกษาของเขา(have
to practice their skepticism and education).
ไม่เช่นนั้นเราก็ไม่ได้บริหารจัดการรัฐบาล(otherwise,
we don’t run the government).
รัฐบาลบริหารจัดการเรา(the government runs us).
คุณเห็นมั้ย,
ผู้คนอ่านคำกล่าวอ้างทั้งหลายของตลาดหุ้นและธุรกิจการเงินในหน้าทั้งหลายของหนังสือพิมพ์(read
stock market quotations and financial pages).
มองหาความสลับซับซ้อนว่าเป็นอย่างไร(look how complex that is).
ผู้คนสามารถมองที่สถิติทางกีฬาทั้งหลายได้(are
able to look at sport statistics).
ดูสิ, มีผู้คนมากมายอย่างไรที่สามารถทำนั่นได้.
การเข้าใจวิทยาศาสตร์(understanding science)ไม่ได้ยากไปกว่านั่น(is not
difficult than that). มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกิจกรรมทั้งหลายทางปัญญายิ่งใหญ่ไปกว่า(doesn’t
involve greater intellectual activities).
แต่สิ่งที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คืออย่างแรกของทั้งหมด(the
thing about science is first of all).
มันตามมาหลังอะไรที่จักรวาลนั้นเป็นจริง(after what universe really is)และไม่ใช่อะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น(not
what makes us feel better).
และหลักคำสอนทั้งหลายจำนวนมากมาย(a lot
of the competing doctrines)ก็ตามหลังมาจากอะไรที่รู้สึกดี(are
after what feels good).
และไม่ใช่อะไร, อะไร...ที่คือ ความจริง.
-วิทยาศาสตร์ไม่ได้ไปพิสูจน์ศาสนา(science
does not prove religion). เพราะศาสนาตั้งอยู่บนศรัทธา(religion
is faith-based).-
เรามาดูกันให้ลึกลงไปอีกนิดในนั่น(let’s
look a little more deeply into that).
อะไรคือศรัทธา?(what is faith?)
มันคือความเชื่อในการไม่มีหลักฐาน(it is
believe in the absence evidence).
ทีนี้, ผมไม่ได้เจตนาที่จะผู้ใดว่าให้เชื่อในอะไร(I
don’t propose to tell anybody what to believe), แต่สำหรับตัวผมแล้ว,
การเชื่อ(believing)เมื่อไม่มีหลักฐานที่น่าสนใจ(no
compelling evidence)คือความผิดพลาด(is a
mistake).
ความคิดที่จะระงับความเชื่อไว้(withhold
believe)จนกว่าจะมีหลักฐานที่น่าสนใจ(until there is compelling
evidence). และถ้าจักรวาลไม่ได้ปฏิบัติตามไปกับความเอนเอียงโน้มน้าวใจไปของเรา(the
universe does not comply with our predispositions).
โอเค, แล้วเรามีภาระผูกพันอันแสนสาหัส(we
have the wrenching obligation)ที่จะรองรับต่อวิถีของจักรวาลที่เป็น(to
accommodate to the way the universe is).
แล้วใครล่ะที่ถ่อมตัวมากกว่า(who is more humble)?
นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่มองยังจักรวาลนี้ด้วยจิตใจซึ่งเปิดกว้าง(who
looks at the universe with an open mind)และยอมรับอะไรก็ตามที่จักรวาลนี้เป็น,
ต้องมาสอนเราหรือ(accepts whatever the universe has to teach us)?
หรือเป็นใครบางคนที่บอกว่าทุกอย่างในหนังสือนี้ต้องถูกวินิจฉัยว่าเป็นจริงตามตัวอักษร(everything
in this book must be considered the literal truth)?
และอย่าไปสนใจในความบกพร่องของมนุษย์ทั้งหมด(never mind the fallibility of
all the human beings)ที่เกี่ยวข้องในการเขียนของตำรานี้หรือ(involved
in the writing of this book)?
ผมเสียบิดามารดาในตอน 12 และ 15 ปีที่ผ่านมา.
ผมมีความสัมพันธ์มหาศาลกับพวกท่าน(have great relationship with them),
ผมคิดถึงพวกท่านจริงๆ.
ผมก็รักที่จะเชื่อว่าพวกเขาเป็นวิญญาณผู้อยู่รอบๆนี้ที่ไหนสักแห่ง(they
are spirits who are around somewhere).
และผมจะให้ทุกสิ่งใดก็ได้เลยในการที่จะใช้เวลาเกือบห้านาทีทุกปีอยู่กับพวกเขา.
-คุณจะได้ยินเสียงของพวกเขาตลอดไปไหม?-
บางครั้ง, หกหรือแปดครั้งตั้งแต่การตายของพวกเขาได้รับการตัดสินใจ(have
verdict)?
“คาร์ล!”
แค่ในเสียงนั้นของพ่อของผมหรือแม่ของผม.
ตอนนี้, ผมไม่คิดว่านั่นมันหมายถึงว่าพวกเขาอยู่ที่ในห้องถัดไป.
ผมคิดว่ามันหมายถึงว่าผมได้มีเสียงหลอนเกี่ยวกับมัน(I’ve
had an auditory hallucination about it).
ผมได้อยู่กับพวกเขานานมากๆ. ผมได้ยินเสียงของพวกเขาบ่อยมากๆ.
ทำไมผมไม่ควรจะสามารถจะทำของสะสมอันสดใสนี้ขึ้นได้อีก(why
shouldn’t I be able to make a vivid recollection).
-นี่คืออะไรที่เป็นรที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้สำหรับผม-
-คุณหว่านล้อมผมนานมาแล้ว(convince me long time ago)ว่ามันเป็นเรื่องที่เย่อหยิ่งสำหรับผมหรือใครอื่นใด(it was
arrogant for me or anyone else)-
-ที่จะเชื่อว่าไม่มีชีวิตอื่นข้างนอกของเรา...(to
believe there wasn’t life outside of our…)-
ในการที่จะแยกความเป็นไปได้ออกมา(to
exclude the possibility) –
ในการที่จะแยกแยะความเป็นไปได้นั้นเป็นความหยิ่งยโสแห่งสติปัญญาที่เราไม่ควรทำหรือ(was an
arrogance of intellect that we should not)??? –
-คุณไม่สามารถพิสูจน์ได้(you couldn’t prove).
คุณไม่รู้ว่ามันอยู่ข้างนอกนั่น(you didn’t know it was there).
แต่ความยโส...(but the arrogance…)
เดี๋ยวก่อน, เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นหรือเปล่า(we
don’t know if He is there).
เราไม่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นหรือเปล่า(we
don’t know if He is not there).
มาดูกันเถอะ.
-และถ้าคุณยอมรับนั่น(and if you take that),
ทำไมคุณไม่สามารถพูดได้ว่ามีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้?
ผมพูดนั่น.
คอยดูนี่นะ, มีอะไรอีกมากที่เราไม่รู้(there
is a lot that we don’t know).
นั่นคืออะไรที่ผมเชื่อ.
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกคำอ้างหลอกลวงต้องถูกยอมรับ(not
mean that every fraudulent claim has to be accepted).
เราเรียกร้องมาตรฐานทั้งหลายที่แม่นยำมากที่สุดของหลักฐาน(demand
the most rigorous standards of evidence)โดยเฉพาะในกับอะไรที่สำคัญต่อเรา.
ดะงนั้นถ้าใครบางคนเข้ามาหาผม(some guy comes up to me),
ผู้เป็นช่องทาง(a channeller)หรือ สื่อกลาง(a
medium): “ฉันสามารถนำคุณไปติดต่อสัมผัสกับพ่อแม่ของคุณได้”.
เอาละ, เพราะว่าผมต้องการอย่างเหลือร้ายที่จะเชื่อนั่น.
ผมรู้ว่าผมจำเป็นต้องการที่จะเอื้อมเข้าไปเพื่อเติมเพิ่มปริมาณสำรองทั้งหลายของความสงสัย(to
reach in for added reserves of skepticism),
เพราะว่าผมค่อนข่างที่จะได้โง่(likely to be fooled),
และมากยิ่งกว่าในการเป็นรอง(much more minor),
ที่จะโดนถูกเอาเงินของผมไป.
- คุณกำลังมีชีวิตอยู่กับโรคเลือดจางจากไขกระดูกเสื่อม(you
are living with myelodysplasia) -
หรือว่าผมได้เป็น.
-
และแค่แบ่งปันกับเราเพราะไหวพริบในการใช้ภาษาของคุณ(because
of your sense of language) –
- และไหวพริบในการเข้าใจและเป็นทุกข์ในทัศนียภาพ(sense
of understanding and being afflicted in perspective) –
- อะไรที่คุณคิดเกี่ยวกับมันและอะไรที่มันทำให้กับคุณด้วยหรือ(what
does it do for you, too)? –
ผมไม่มีประสบการณ์รับรู้การใกล้ตายใดๆ(any
near death experience). ผมไม่ได้มีการสนทนาทางศาสนา(didn’t
have a religious conversation).
- แต่คุณคิดในเรื่องอะไรที่มันน่าจะเหมือนที่จะตาย(about
what it would be like to die) –
แน่นอนเลยและอะไรที่น่าจะเป็นเหมือนเพื่อครอบครัวของผม(what
it would be like for my family).
และในอะไรที่ผมคิดเกี่ยวกับอะไรที่มันน่าจะเป็นเหมือนสำหรับผม(about
what it would be like for me).
เพราะว่าผมไม่คิดว่ามันเหมือนกับว่าจะมีอะไรสักอย่างที่คุณคิดเกี่ยวกับมันหลังจากที่คุณตาย(there
is anything you think about after you’re dead).
- นั่นแหละ.-
หลับไร้ฝันอันแสนนาน.
ผมรักที่จะเชื่อในทางตรงกันข้าม(believe
opposite)แต่ผมไม่ได้มีหลักฐานใดๆ.
แต่หนึ่งสิ่งที่มันได้ทำก็คือการที่จะเพิ่มพูนประสาทสำนึกของความชื่นชมของผมกับความงดงามของชีวิต(enhance
my sense of appreciation for the beauty of life)และของจักรวาลนี้(and of
the universe)และความรื่นรมย์ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่(and
the sheer joy of being alive).
- คุณได้มีสัดส่วนที่สมบูรณ์ดีของเรื่องนั้นก่อนหน้าเรื่องนี้แต่กระนั้นกระทั่งกับคุณมันก็บังเกิดขึ้น(had a
healthy portions of that before this but even you it happens to) –
- ความชื่นชม(appreciation) –
ทุกขณะ(every moment). ทุกวัตถุไม่มีชีวิต(every
inanimate object).
และที่จะไม่ต้องพูดอะไรเกี่ยวกับความสลับซับซ้อนอันเลอเลิศของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย(and to
say nothing about the exquisite complexity of living beings).
คุณจินตนาการการหายมันไปทั้งหมดและในทันทีทันใด(you imagine
missing it all and suddenly), มันช่างล้ำค่ามากยิ่งเหลือเกิน(it is
so much more precious).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น