พลังงาน และ การสั่นสะเทือน: “นี้คือภาษาของพระเจ้า!” ฟังสิ!
Energy and Vibration: "This is The Language of
God!" Tune in!
https://youtu.be/G69qpS6NwP4?si=yDEMp0Bcvlx_Z6pS
“จักรวาลไม่ได้อยู่ภายนอกคุณ.
มองดูภายในตัวของคุณสิ;
ทุกสิ่งที่คุณปรารถนา,
คุณได้มีมันแล้ว.”
-รูมิ
จินตนาการว่าคุณกำลังเดินผ่านป่าหนึ่ง.
คุณเห็นต้นไม้หนึ่งเบื้องหน้าของคุณ. คุณมองเห็นอะไร?
สำหรับผู้คนส่วนมาก, คำตอบนั้นเรียบง่าย(the
answer is simple).
ต้นไม้หนึ่ง(a
tree).
แต่ถ้าฉันบอกกับคุณว่าคุณสามารถเห็นบางอย่างอื่นอีกล่ะ?(that
you could see something else?)
อะไรที่คุณเห็น, ที่จริงแล้ว(in
fact), เป็นการฉายส่องความสนใจไปของคุณ(is a
projection of your attention).
ความสนใจของคุณเหมือนโคมไฟที่ฉายส่องเน้นเฉพาะจุด(your
attention is like a spotlight),
สว่างขึ้นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความเป็นจริง(illuminating only a part of
reality).
อะไรที่คุณไม่ได้เห็น(what
you do not see), คือความเป็นไปได้ทั้งหลายอื่นๆทั้งหมดที่ปรากฏอยู่(is all
the other possibilities that are present).
แต่อยู่นอกขอบเขตทัศนภาพของคุณ(but outside your field of vision).
นี้คือความจริงขั้นมูลฐานของสภาพที่แท้จริง(this
is a fundamental truth of reality).
มันถูกทำให้เป็นรูปร่าง(it
is shaped)โดยวิธีที่เราเพ่งเน้นและกำกับทิศทางจิตทั้งหลายของเรา(by
the way we focus and direct our minds).
มุมมองนี้(this
view), ที่ผสมผสานรวมเอาความคิดโบราณทางจิตวิญญาณทั้งหลายเข้ากับแนวคิดสมัยใหม่ทั้งหลายของฟิสิกซ์ควอนตัม(which
combines ancient spiritual with modern concepts of Quantum physics)ชี้แนะว่าความเป็นจริงไม่ใช่บางอย่างที่ถูกยึดติดแน่นและถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว(reality
is not something fixed and predetermined),
แต่เป็นกระบวนการที่เคลื่อนไหวที่กำลังเปลี่ยนรูปอย่างสม่ำเสมอ(but a
dynamic process that is constantly transforming).
จากนี้ไป, เรามาสำรวจค้นหาแนวความคิดนี้(let’s
explore this concept)และแสดงให้คุณเห็นว่ามันสามารถเป็นเครื่องอันทรงพลังสำหรับการเปลี่ยนรูปในชีวิตของคุณ(how it
can be a powerful tool for transformation in your life).
ความเป็นจริงเป้นกระบวนการที่เคลื่อนไหวซึ่งกำลังเปลี่ยนรูปอยู่อย่างสม่ำเสมอ(reality
is a dynamic process that is transforming).
มันถูกปรับแต่งรูปร่างโดยปฏิกิริยาของเหตุปัจจัยอันหลากหลาย(it is
shaped by the interaction of various factors),
รวมทั้งความสนใจของมนุษย์(including human attention).
เมื่อเราเพ่งความสนใจไปยังบางอย่าง(when
we focus our attention on something),
เรากำลังให้พลังและความสำคัญกับมัน(we are giving it power and
importance). นี้หมายความว่าเราเหมือนว่าที่จะมองรูปลักษณ์ความเป็นจริงนี้ยิ่งกว่า(we are
more likely to see this aspect of reality)และเหมือนว่าน้อยไปกว่าที่จะมองเห็นสิ่งอื่นๆ(and
less likely to see others).
ตัวอย่างเช่น,
ถ้าเราได้ถูกเพ่งอยู่กับปัญหาทั้งหลายของเรา(if we are focused on our
problems),
เราก็เหมือนว่าจะมองเห็นพวกมันยิ่งกว่าและเหมือนว่าจะน้อยกว่าที่จะมองเห็นทางคลี่คลายแก้ไขทั้งหลาย(we are
more likely to see them and less likely to see the solutions).
ถ้าเราได้เพ่งที่ความมุ่งมาดปรารถนาของเรา(if we
are focused on our aspirations), เราก็จะเหมือนว่าที่จะมองเห็นพวกมัน(more
likely to see them), และเหมือนว่าน้อยกว่าที่จะมองเห็นถึงอุปสรรคทั้งหลาย(and
less likely to see the obstacles),
ความคาดหวังทั้งหลายของเรามีอิทธิพลอย่างแข็งแรง(our expectations strongly influence
our experience). ถ้าเราคาดหวังบางอย่างที่จะบังเกิดขึ้น(if we
expect something to happen), มันก็ยิ่งเหมือนว่าที่จะบังเกิดขึ้น(it is
more likely to happen).
นี้เป็นเพราะความสนใจของเราได้ถูกเพ่งอยู่กับความเป็นไปได้ของการบังเกิดขึ้นของมัน(because
our attention is focused on the possibility of it happening),
และเราค่อนข้างที่จะแปลความหมายข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตามความคาดหวังนั้นๆ(we are
more likely to interpret information according to that expectation).
การที่จะใช้เครื่องมือภายในนี้อย่างมีประสิทธิภาพ(to use
this innate tool effectively),
มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราเข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจนว่ามันทำงานอย่างไร(it is
important that we understand exactly how it works).
มีสองรูปแบบพื้นฐานของการสนใจ(there are basically two types of
attention). การสนใจแบบขั้ว/ศูนย์กลาง(polar
attention)และการสนใจแบบไร้ขั้ว(non-polar attention).
การสนใจแบบขั้ว/ศูนย์กลางจะเป็นการถูกเพ่งที่จุดสนใจและตั้งใจ(polar
attention is focused and intentional). มันถูกใช้เพื่อที่จะกำกับทิศทางพลังงานของเราไปยังเป้าหมายย่าง0egrktg0kt0’(it
is used to direct our energy towards a specific goal). เมื่อเราเพ่งความ
สนใจกับบางอย่าง, เราก็กำลังให้พลังและความสำคัญแก่มัน(we are giving it power and
importance).
ความสนใจแบบขั้ว/ศูนย์กลาง(polar attention)เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทรงพลังอย่างเต็มเปี่ยมสำหรับการสำแดงความปรารถนาทั้งหลายของเรา(is a
powerful tool for manifesting our desires).
เมื่อเราเพ่งจุดสนใจของเรา(when
we focus our attention)กับบางอย่างที่เราต้องการ(on
something we want), เราก็กำลังส่งข่าวสารหนึ่งออกไปยังจักรวาล(we
are sending a message to the universe)ที่เราได้สัญญาผูกมัดต่อเป้าหมายนั้น(that
we are committed to that goal).
สิ่งนี้สามารถเพิ่มโอกาสทั้งหลายขึ้นได้ของการสำแดงความปรารถนาของเรา(this
can increase the chances).
ความสนใจแบบไร้ขั้ว(non-polar
attention), มันถูกใช้เพื่อยอมให้ความเป็นไปได้ใหม่ๆได้ปรากฏขึ้นทั้งหลาย(is
used to allow the emergence of new possibilities).
เมื่อเราอยู่ในความสนใจแบบไร้ขั้ว(when we are in non-polar attention), เราได้เปิดออกสู่ทุกสิ่งที่ชีวิตสามารถเสนอมาให้เราได้(we are open to everything). เราเป็นอิสระจากความคาดหวังและความปักใจตัดสินทั้งหลาย(we are free from expectations and judgements).
ความสนใจแบบไร้ขั้ว(non-polar
attention)เป็นเครื่องมืออันทรงพลังเต็มเปี่ยมสำหรับการสร้างสรรค์และนวัตกรรม(is a
powerful tool for creativity and innovation). เมื่อเปิดออกสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆทั้งหลาย(when
we open to new possibilities),
เราก็ยิ่งเหมือนกับว่าที่จะเห็นได้ถึงนวัตกรรมของทางแก้ไขคลี่คลายต่อปัญหาทั้งหลายที่เราเผชิญหน้า(we are
more likely to see innovative solutions to the problems we face).
ตัวอย่างเช่น,
เมื่อคุณติดอยู่กับปัญหาหนึ่ง(if you stuck with a problem),
คุณอาจจะพยายามในการย้ายจุดเพ่งสนใจของคุณไปหาความสนใจแบบไร้ขั้ว(you
might try shifting your focus to non-polar attention).
คุณสามารถนั่งอยู่เงียบๆ(you can sit quietly)และสังเกตดูความคิดและความรู้สึกทั้งหลายของคุณ(and
observe your thoughts and feelings)โดยปราศจากการปักใจตัดสิน(without
judgement).
ความสนใจแบบขั้วและไร้ขั้ว(polar
and non-polar attention)คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน(are
two side of a coin). พวกเขาเป็นสิ่งซึ่งทำให้สมบูรณ์และจำเป็นสำหรับชีวิตที่เต็มและสมดุล(they
are complementary and necessary for a full and balanced life).
ความสนใจแบบขั้ว(polar
attention)ช่วยเราประกาศแสดงความปรารถนาและเป้าหมายทั้งหลายของเรา(help
us manifest our desires and goals).
มันให้เราสัมผัสรู้สึกของทิศทางและเจตจำนง(it gives us a sense of direction
and purpose).
ความสนใจแบบไร้ขั้ว(non-polar
attention)ช่วยให้เรามีความสร้างสรรค์และนวัตกรรม(helps us to be creative and innovative).
มันเปิดเราให้ออกสู่ความสามารถเป็นไปได้ใหม่ๆทั้งหลาย(it
opens us to new possibilities), และช่วยเราค้นหาทางออกคลี่คลายต่อปัญหาทั้งหลายที่เราเผชิญหน้า(help
us find solutions to the problems we face).
ถ้าความสนใจทั้งหลายของมนุษย์แรงอันทรงพลังอย่างหนึ่ง(if
human attentions is a powerful force)ที่สามารถปรับรูปร่างและกำหนดความเป็นจริงขึ้นมาใหม่ได้(that
can shape and redefine reality),
เราจะสามารถใช้แรงกำลังนี้ในการที่จะสร้างสรรค์ชีวิตหนึ่งให้เติมเต็มยิ่งขึ้นและมีความหมายมากยิ่งขึ้นได้อย่างไร?(how
can we use this force to create a fuller and more meaningful life?)
หนทางหนึ่งที่จะใช้ความสนใจในการที่จะสร้างสรรค์ชีวิตให้เติมเต็มยิ่งขึ้นและมีความหมายมากยิ่งขึ้น(one
way to use attention to create a fuller and more meaningful life)คือการที่จะศึกษา/ปลูกฝังตรีนิมมาณกาย/องค์สามแห่งการแปรรูป(is to
cultivate the TRINITY OF TRANSFORMATION),
ที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับในปัจจุบัน(which involves accepting the
present). การศึกษา/ปลูกฝังความสงบสุขและสันติสุขภายใน(cultivating
tranquility and inner peace). และเปลี่ยนทิศทางความสนใจโดยเจตนาที่จะจัดเรียงรูปด้วยปณิธานเชิงลึกทั้งหลาย(and
intentionality redirecting attention to align with deep aspirations).
ขั้นแรก, ในการศึกษา/ปลูกฝัง(the
first step in cultivating)คือการยอมรับความเป็นปัจจุบัน(is
accepting the present). นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมรับกับทุกสิ่งที่กำลังบังเกิดขึ้นอยู่ในชีวิตทั้งหลายของเรา(doesn’t
mean we have to agree with everything that’s happening in our lives).
มันหมายความอย่างง่ายๆว่า, เราต้องรับทราบความเป็นจริงของชั่วขณะปัจจุบันนี้(we
must acknowledge the reality of the present moment)โดยปราศจากการใช้ดุลพินิจตัดสิน(without
judgement).
เมื่อเรายอมรับความเป็นปัจจุบันแล้ว(when
we accept the present), เราก็สามารถเริ่มต้นที่จะมองเห็นชีวิต(we can
start to see life)อย่างแจ่มชัดและด้วยทัศนภาพมากยิ่งขึ้น(more
clearly and perspective),
เราสามารถที่เริ่มที่จะแยกแยะถึงรูปแบบและแนวโน้มทั้งหลาย(we can
begin to identify patterns and trends)ที่ช่วยเราให้เข้าใจตัวเราเองทั้งหลายและโลกดที่อยู่รายรอบเราได้ดียิ่งขึ้น(that
help us better understand ourselves and the world around us).
ขั้นที่สอง(the
second step), คือการที่จะศึกษา/ปลูกฝังความสงบและสันติสุขภายใน(is to
cultivate tranquility and inner peace).
สิ่งนี้สามารถทำได้ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสติ, สมาธิ, โยคะ
หรือกิจกรรมอื่นทั้งหลาย(this can be done through the
practice of mindfulness, meditation, yoga and other
activities)ที่ช่วยให้เราเป็นอยู่ปัจจุบันในขณะนั้น(that
help us be present in the moment)โดยปราศจากการใช้ดุลพินิจตัดสิน(without
judgement).
เมื่อเราอยู่ในสภาวะที่สามารถสงบ(when
we are in state of tranquility),
เราก็ยิ่งสามารถเข้าถึงปัญญาภายในของเรามากขึ้น(we are more able to access our
inner wisdom). เราสามารถเริ่มต้นที่จะมองเห็นหนทางคลี่คลายแก้ไขทั้งหลายต่อปัญหาทั้งหลายที่เราเผชิญหน้ากระจ่างชัดมากขึ้น(we can
begin to see solutions to the problems we face more clearly).
ขั้นที่สาม(the
third step)คือการตั้งใจปรับเปลี่ยนความสนใจที่จะจัดเรียงด้วยปณิธานเชิงลึก(is
intentionally redirect attention to align with deep aspirations).
นี้หมายความว่า, การเพ่งความสนใจของเรากับสิ่งทั้งหลายที่สำคัญต่อเรา(focusing
our attention on things that are important to us)และนั่นนำความปีติให้เรา(and
that bring us joy).
เมื่อเราได้ปรับทิศทางความสนใจของเรา(when
we redirect our attention). เรากำลังสร้างสรรค์ความเป็นจริงใหม่ให้กับตัวเราทั้งหลาย(we are
creating a new reality for ourselves). เรากำลังกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมเชิงรุกทั้งหลายในการีสร้างสรรค์ชีวิตของตัวเราเอง(we are
becoming active participants in creating our own life).
มันสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า เมื่อเราพูดถึงความสนใจ(it is
important to remember that when we talk about attention),
เราจำเป็นต้องระแวดระวังว่ามันสามารถถูกได้รับอิทธิพลโดยปัจจัยทั้งหลายทางสังคมและส่วนบุคคล(we
need to be aware that it can be influenced by social and personal factors)ที่บิดเบือนการรับรู้ของเราต่อความเป็นจริงได้(that
distort our perception of reality).
อิทธิพลทางสังคม(social influence)ประกอบด้วย
เรื่องราวของวัฒนธรรมประเพณีทั้งหลาย(include the cultural narratives),
คุณค่า(values), ความเชื่อ(beliefs)และความคาดหวังทั้งหลายของกลุ่มที่เราสังกัดอยู่(and
expectations of the group we belong to).
อิทธิพลเหล่านี้สามารถนำเราไปยังการมองเห็นโลกในหนทางที่ไม่เข้ากันได้กับคุณค่าและความเชื่อทั้งหลายของกลุ่มนั้น(these
influenced can lead us to see the world in a way that is consistent of the values
and beliefs of the group).
สิ่งนี้สามารถนำเราให้หลบเลี่ยงสิ่งทั้งหลายที่สำคัญต่อเราไปอย่างไม่รู้สึกตัว(this
can lead us to unconsciously set aside things that are important to us),
อย่างเช่นสัมพันธภาพทั้งหลาย(relationships),
สุขภาพ(health), หรือสัมพันธภาพของเรากับจิตวิญญาณ(or
relationship with spirituality).
อิทธิพลส่วนบุคคล(personal
influence)ประกอบด้วย ประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายของเรา(our
experiences), อารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายของเรา(our
emotions), และความทรงจำทั้งหลายของเรา(and our memories).
อิทธิพลทั้งหลายเหล่านี้สามารถนำเราที่จะมองเห็นโลก(can
lead us to see the world)ในหนทางที่เป็นความสม่ำเสมอคงเส้นคงวากับประสบการณ์รับรู้ทั้งหลายของเราและอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายของเรา(in a
way that is consistent with our experiences and our emotions).
บ่อยครั้งพวกเขาได้มีอิทธิพลขึ้นโดยการบาดเจ็บทั้งหลายของประสบการณ์รับรู้เชิงลบ.ovfu9(often
they are influenced by the traumas of negative experiences in the past). สิ่งนี้สามารถนำเราไปสู่การมีมุมมองในแง่ลบต่อโลก(this can
lead us to have a negative view of the world).
เป็นไปได้ไหมที่เราจะตั้งโล่กำบังตัวเราจากอิทธิพลทั้งหลายเหล่านี้?(is it
possible to shield ourselves from these influences?)
เราสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร?(how
can we do this?)
คำตอบสั้นๆก็คือ...ไม่.
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งโล่กำบังตัวเราทั้งหลายอย่างสมบูรณ์สิ้นจากอิทธิพลทั้งหลายทางสังคมและส่วนบุคคลที่จัดรูปร่างกับความสนใจของเรา(it is
not possible to completely shield ourselves from social and personal influences
that shape our attention).
อย่างไรก็ตาม(however),
มันเป็นไปได้ที่จะพัฒนาความตื่นรู้และการเลือก(it is possible to develop
awareness and choice regarding our attention), ที่สามารถเราทำให้ลดน้อยลง(which
can help us minimize the impact of these influences).
เมื่อใดที่เราได้ตื่นรู้ระแวดระวังถึงปัจจัยภายนอกทั้งหลาย(when we are aware of external factors)เราสามารถเริ่มต้นที่จะเลือกว่าเราจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพวกนั้นอย่างไร(we can
start to choose how we want to relate to them).
เราสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยการให้ความสนใจต่อความคิดทั้งหลาย,
ความรู้สึกทั้งหลายและความประพฤติทั้งหลายของเรา(we can do this by paying
attention to our thoughts, feelings and behaviors).
เราจำเป็นต้องเลือกว่าที่ไหนและอย่างไรที่จะเพ่งจุดความสนใจของเรา(we
need to choose where and how to focus our attention).
เราสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างจงใจด้วยการกำกับควบคุมความสนใจของเราไปยังสิ่งทั้งหลายที่สำคัญต่อเรา(we can
do this deliberately by directing our attention to things that are important to
us). ด้วยวิธีนี้, เราเลือกอะไรที่เราต้องการจะมองเห็น(in this
way, ae choose what we want to see)และอะไรที่เราต้องการจะมีประสบการณ์รับรู้(and
what we want to experience).
ฝึกฝนปฏิบัติสติ(practice
mindfulness), ระแวดระวังต่ออารมณ์ทั้งหลายของคุณ(be aware
of your emotions)และที่สำคัญอย่างมากที่สุด(and
most importantly), ถามตนเองว่า “ทำไม”เมื่อคุณกำลังจะให้ความสนใจในอะไรบางอย่าง(ask
yourself “why” when you are about to pay attention to something),
คุณกำลังให้การสนใจต่อมันเพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญต่อคุณหรือไม่?(are
you paying attention to it because it is important to you?)
หรือว่าคุณกำลังให้ความสนใจต่อมันเพราะได้รับอิทธิพลโดยอะไรบางอย่างอื่น?(or are
you paying attention to it because you are being influenced by something else?)
เมื่อเราได้ทำการเลือกทั้งหลายอย่างมีสำนึกรู้กับความสนใจของเรา(when
we make conscious choices about our attention),
เรากลายเป็นผู้มีส่วนร่วมกระทำเชิงรุกทั้งหลายในการสร้างสรรค์ความเป็นจริงของตัวเราเอง(we become
active participants in creating our own reality). ความสนใจคือกุญแจสำคัญในการสร้างสรรค์ความเป็นจริงที่ดีกว่า(attention
is the key to creating a better reality).
มันอนุญาตให้เราได้มองเห็นโลกในหนทางใหม่ๆทั้งหลาย(it
allows us to see the world in new ways),
เชื่อมติดต่อกับผู้อื่นเชิงลึกมากยิ่งขึ้น(connect with others more deeply),
และสำแดงปรากฏซึ่งความฝันทั้งหลายของเรา(and manifest our dreams).
เมื่อเราใช้ความสนใจอย่างสำนึกรู้และอย่างจงใจตั้งใจ(when
we use attention consciously and intentionally), เราสามารถที่จะสร้างสรรค์โลกที่กรุณา,
สรรสร้างและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นได้(we can create a more compassionate, creative
and sustainable world).
เราสามารถสร้างความเป็นจริงที่เป็นธรรมอันงดงามสำหรับทุกคนที่ให้โอกาสทั้งหลายสำหรับทุกคนที่จะเจริญก้าวหน้า(we can
built a reality that fair for everyone and that offers opportunities for
everyone to thrive).
ดังที่ท่านกวีรูมิ(the person poet Rumi1)ได้กล่าวอย่างอลังการไว้ว่า(elegantly
stated): “จักรวาลไม่ได้อยู่ภายนอกเรา, แต่อยู่ภายใน (the
universe is not outside of us, but within)”
ด้วยการเข้าใจและกำกับทิศทางความสนใจของเรา(by
understanding and directing our attention), เราก้าวข้ามบทบาทของผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายเท่านั้น(we
transcend the role of mere observers).
จักรวาลไม่ได้เป็นแก่นธาตุลักษณ์ที่ห่างไกลและแยกออกไป(the
universe is not a distant and separate entity), แต่เป็นส่วนหนึ่งอันสนิทแนบของการมีอยู่ของเราเอง(but an
intimately part of our own being).
ความสนใจของเรากระทำตนดุจสะพานระหว่างอาณาจักรนามธรรมของความคิดทั้งหลายและโลกรูปธรรมของวัตถุ(our
attention acts as a bridge between the intangible realm of thoughts and the
tangible world of matter), รับใช้ดุจเครื่องมืออันทรงพลังที่เราใช้ผ่านในการก่อรูปปรับแต่งความเป็นจริงซึ่งเราอาศัยอยู่(serving
as a powerful tool through which we shape the reality we inhabit).
การเลือกของการที่เราจะใช้ความสนใจของเราอย่างไรนั้นเป็นสิ่งทรงพลังยิ่ง(the
choose of how we use our attention is powerful).
มันสามรารถช่วยเราให้สร้างสรรค์โลกให้ดียิ่งขึ้น(it can help us create a better
world)หรือรักษาเราไว้ในที่เดิม(or keep us in the same place).
การเลือกนั้นเป็นของเราทั้งหลาย(the
choice is ours).
จงไว้วางใจในปัญญาภายในของคุณ(trust
your inner wisdom); มันอยู่ที่การจัดการจ่ายแจกและตรงไปตรงมาที่จะตื่นรู้มากยิ่งกว่าคุณสามารถจินตนาการได้(it
is at your disposal and much more straightforward to awake than you can
imagine).
และเราได้พัฒนาเครื่องมือทางเสียงที่ทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น(we
develop an audio tool that makes this easier).
คุณแค่จำเป็นต้องมีหูฟังคู่หนึ่ง(you
just need a pair of headphones).
ถ้าคุณต้องการจะเสริมยกความสั่นสะเทือนของคุณขึ้นอย่างรวดเร็ว(if you
want to raise your vibration quickly).
ก็กดที่ลิงก์ในช่องความคิดเห็นข้างล่างนี้เพื่อดาวน์โหลดในทันที(click
the link in the comments for immediate download).
ถ้าวีดิโอนี้ได้มีเหตุผลกับคุณ(if
this video made sense to you), โปรดเขียนแสดงความคิดเห็นที่ช่องข้างล่างนี้ด้วยว่า(write
in the comments): “มันมีเหตุผลกับฉัน!”(“IT MAKES SENSE TO ME!”)
อย่าลืมที่จะกดปุ่ม “ติดตาม(subscribe)”กับช่องนี้(this
channel)และกด”ระฆัง”ให้ทำงานด้วย เพื่อที่จะได้รับการสอนล่าสุดทั้งหลาย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น