อลัน วัตต์ส - ทั้งหมดคือหนึ่งพลังงาน
Alan Watts | It's All One Energy
-
https://youtu.be/EcGFlUZyZ2Q?si=szhbwHHyYMtGsuAG
คุณก็รู้ว่าผมได้โต้แย้งมาชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าในบางครั้งกับผู้คนผู้ที่ไม่สามารถจะเข้าใจ(I’ve
argued for hours and hours sometimes with people who simply can’t understand).
การรู้โดยปราศจากผู้รู้ก็เพราะว่าพวกเขาได้ถูกติดกับดักมากเสียเหลือเกินในโครงสร้างไวยากรณ์ประโยค(knowing
without a knower because they are so trapped by sentence structure). คำกิริยานั้น(the verb)ต้องมีประธานนั่น(has
to have that subject), เพราะเช่นนั้นคุณจึงไม่สามารถมีสภาพการณ์ทั้งหลายได้ในที่ซึ่งมีแค่คำกิริยา(therefore
you can’t have a state of affairs in which there is just a verb). นั่นคือในการที่จะพูดถึงการรู้(that is to say knowing), พวกเขาก็จะพูดว่า เอาละ, ใครล่ะ? ใครกำลังรู้?
และมันก็เลวร้ายเท่าๆกับการโต้แย้งกับผู้เชื่อว่าโลกแบน(as bad
as arguing with flat Earth)หรือเหล่านิกายพยานของพระยโฮวา(Jehovah’s
Witness1). อ้า,
มันเป็นไปไม่ได้(impossible)เพราะว่าความคิดที่ตกร่องทั้งหลายนั้น(the
ruts of thought)ในตอนนี้ก็เป็นเช่นบุคคลหนึ่งซึ่งไม่มีวันสามารถที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้(such a
person can never be inventive).
ทำไมรึ?
ก็เพราะว่าเขาจะไม่มีวันมองเห็นแบบแผนใหม่, โครงสร้างใหม่ๆ(he
will never see a new pattern, a new structure)และเขาจะไม่มองเห็นสักอันหนึ่ง(he
won’t see one), เพราะว่าเขากำลังคิดอยู่ตลอดเวลาทั้งหมด(he is
thinking all the time),
เขาไม่เปิดออกรับกับความแตกต่างเปลี่ยนแปลงทั้งหลายของโลกแห่งคว่ามเป็นจริง(he’s
not open to the variations of actual world).
และดังนั้น, เขาสามารถมองเห็นเพียงอะไรที่เขาได้ถูกสอนมาให้มอง(he can
only see what he’s been taught to see)นั่นคือทำไมจิตวิทยาการศึกษาจึงมักอยู่ในตำแหน่งของความสับสนเสมอเกี่ยวกับการเรียนรู้เรื่องทฤษฎี(that’s
why academic psychology is always in a position of bafflement about learning
theory), เพราะว่าถ้าการเรียนรู้คือกระบวนการของการผันเปลี่ยนประสบการณ์รับรู้ใหม่ๆไปสู่ประเด็นทั้งหลายที่คุณได้เรียนรู้แล้ว(because
if learning is a process of convert new experience into the terms of what
you’ve already learned), คุณก็ไม่เคยได้เรียนรู้จริงๆอะไรเลย(you
never really learn at all).
มันเหมือนกับตามที่อะไรแบบที่ว่าผึ้งอากาศพลศาสตร์ใจแคบไม่สามารถบินได้(it’s
like according to kind of a narrow-minded aerodynamics bees cannot fly), ก็ไม่มีหนทางใดจะอธิบายได้ถึงหลักอากาศพลศาสตร์ของความสั่นสะเทือนนั่น(was
no way of explaining the aerodynamics of that vibration). แต่มันก็บิน(but
it flies).
แล้วคุณก็มักจะเจอเข้ากับเรื่องนี้บ่อยๆ(and
you often come up against this)เมื่อนักประดิษฐ์สักรายหนึ่งมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาและเพื่อนร่วมงานทั้งหลายทั้งหมดของเขาพูดกับเขาว่า
โอ้! อย่าโง่ไปหน่อยเลย คุณทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก
มันแค่ใช้ไม่ได้(when an inventor has an idea and all his colleagues say
to him oh don’t be silly you can’t do that, it just couldn’t work). เอาละ, เขาได้บอกว่า, ฉันได้พยายามทำมันมาแล้ว แล้วมันไม่ได้ผล(I’ve
tried it and it does not work)หรือไม่พวกเขาก็พูดว่า, ไม่เอาน่า.
และบ่อยครั้งมากที่พวกเขาไม่กระทั่งพยายามทำเลย.
พวกเขาแค่พูดว่ามันไม่สามารถทำสำเร็จได้(they’ll just say it can’t be
done). คุณสามารถได้เจอกับนักหลักการตนเองเป็นใหญ่อันน่าอัศจรรย์ใจในโลกเชิงวิทยาศาสตร์(you
can get on fantastic dogmatism in the scientific world).
และคุณต้องระมัดระวังอย่างร้ายแรงเลยที่จะไม่อารมณ์เสีย/รำคาญมากเกินไป(have
terribly careful not too upset), อย่างแน่นอนว่าเป็นอคติทั้งหลายขั้นมูลฐานยึดติดแน่นอย่างที่สุด(certain
absolutely fundamental strictly prejudices),
ที่คือผลลัพธ์ของการคิดมากเกินไป(which are the result of thinking too
much). และของการได้เสพคุ้นกับความอุ่นๆในร่องแคบๆทั้งหลายของความคิด(of getting
accustomed to the warm ruts of thought).
คุณจะไม่มีวันสามารถมองเห็นสิ่งใหม่ๆ(you
never could see the new).
ดังนั้นนี้คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า
ใจเปิดกว้าง(so this is the real meaning of an open mind),
ไม่ใช่แค่ว่าคุณเป ็นคนประเภทมีเมตตากรุณา(not
merely that you’re a liberal sort of guy),
แต่คุณสามารถปิดสวิทช์ความคิดทั้งหลาย(you can turn off thoughts),
และกระนั้นเช่นกันที่ถูกเปิดสวิทช์ต่อความเป็นจริงได้(and
yet thus be turn on to reality).
ความคิดทั้งหลายที่คุณเห็นนั้นเป็นของโลกแห่งสัญลักษณ์ทั้งหลาย(thoughts
you see belong to the world of symbols)ที่เราได้ประสบการณ์รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลายของเรา,
ที่แน่นอนละว่า, เป็นโลกเชิงกายภาพ(what we are experience with our
senses is of course the physical world),
โลกของจริง(the real world).
คุณอาจจะถามผมว่า, เอาละ,
มันมีโลกเชิงจิตวิญญาณอยู่จริงๆด้วยไหม(isn’t there also a
spiritual world). แต่คุณต้องเข้าใจว่า, โลกของวิญญาณคือสิ่งเดียวกันกับโลกเชิงกายภาพ(spiritual
world is the same thing as physical world).
อะไรที่เราประสบรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งหลายของเรา, แน่นอนละว่า, คือโลกเชิงกายภาพ(what
we experience with our senses is of course the physical world), โลกของจริง(the real world).
คุณอาจจะถามผมอีกว่า, แล้วทำไมถึงมีโลกเชิงจิตวิญญาณด้วยอีกล่ะ(also a
spiritual world), แต่คุณต้องเข้าใจว่า โลกเชิงจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เป็นเชิงกายภาพ(is the
same thing as the physical)เมื่อโลกเชิงก่ายภาพไม่ได้สับสนกับนัยเชิงสัญลักษณ์(when
the physical is not confused with the symbolic).
ไม่มีความแตกต่างอย่างแท้จริงระหว่างโลกจิตวิญญาณและโลกกายภาพ(there
is no real difference between the spiritual and the physical).
มันทั้งหมดคือหนึ่งพลังงาน(it’s all one energy).
ทั้งหมดในหนึ่งที่ว่าง(all in
one space).
ตอนนี้คุณมองเห็นถึงแม้ว่าความยากลำบากในการที่บอกว่ามันทั้งหมดคือหนึ่งพลังงาน(the
difficulty is that in saying something like it’s all one energy),
แต่นี่คือจุดสำคัญจริงๆที่ผมกำลังพูดถึง(this is really the point I mean).
ถ้าคุณเข้าใจว่าจักรวาลทั้งปวงนี้คือหนึ่งพลังงาน(if you
understand that this whole universe is one energy),
และคุณคือมัน(and you’re it). คุณไม่ได้มีปัญหาอะไรจริงๆใดๆมากอีกในหนทางไกลต่อไป(you
don’t really have any much in a way of further problems).
เอ้อ, ผมหมายความว่า,
คุณก็มีบางปัญหาเชิงปฏิบัติทั้งหลายอยู่เล็กน้อยบ้าง(have
some a few practical problems), เหมือนเช่น จะทำโต๊ะดีๆตัวหนึ่งอย่างไร?
(how
to make a good table) หรือสุดเดรสสวยๆ (a
beautiful dress), หรืออะไรก็ตามที่คุณติดตามอยู่ (whatever
you’re after), แต่คุณไม่ได้มีปัญหาทั้งหลายเชิงอภิปรัชญาอีก
(you
don’t have any more metaphysical problems).
เมื่อคุณมองเห็นการนั้น(when you see that).
แต่บุคคลใดผู้คิดมากไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย(a
person who think a lot can’t understand that at all),
เพราะเขาบอกว่า, เอาละ, มันไม่เห็นทำให้มีความแตกต่างอะไรเลย(it’s
doesn’t make any difference),
ถ้าทุกสิ่งเป็นพลังหนึ่งเดียวกันทั้งหมด(if everything is all one energy).
เรามาเริ่มต้นกันอีกครั้ง, ผมหมายถึงว่า,
อะไรที่คุณได้พูด(what you have said)แน่นอนล่ะว่า,
เราไม่ได้พูดสิ่งใดอย่างเป็นตรรกะ(we haven’t said anything logically).
ประโยคนั้นไร้เหตุผลล้วน ๆ(the statement is pure nonsense).
ทุกสิ่งเป็นหนึ่งพลังงาน(everything
is one energy). แล้วไง?(so
what?)
แต่นั่นเป็นเพียงเพราะว่าบุคคลนั้นผู้ที่ได้รับการสื่อสารนี้(but
that’s only because the person who’s received this communication)ได้มีมันเพียงแค่เป็นเช่นความคิดหนึ่งเท่านั้น(has
had it only as a thought). แต่เป็นเช่นความคิดหนึ่งนี้,
มันอีกครั้งเหมือนกับการพูดว่า(as a thought it’s again like saying), มีกระดาษอยู่ใต้ตัวหนังสือบนหน้านี้(there is a paper under
every word on this page). และการคิดเช่นนั้น, นั่นหมายความว่า,
กระดาษนั่นเป็นกระดาษ(that paper paper).
แต่เมื่อสิ่งนี้เป็นอะไรบางอย่างที่ผุดขึ้นมาจากการไม่ได้คิด(this
is something that emerges from not thinking),
และเมื่อคุณมองไป(when you see)นั่นคือคุณได้ถูกหลอกลวงมาตลอดชีวิตทั้งหมดของคุณอันยาวนาน(you’ve
been bamboozled all your life long). คุณได้ถูกดัก/รบกวนโดยทุกคนอื่นในการคิดนั่น(you’ve
been bugged by everybody else into thinking that).
คุณเป็นอะไรบางประเภทของคนประหลาด/เพี้ยน(you’re
some kind of a freak)ที่เข้ามาสู่โลกนี้(that
came into this world)และคุณจริงๆก็ไม่ได้เป็นของ/สังกัดที่นี่(and
you don’t really belong here),
เพราะว่าพ่อแม่ทั้งหมดทั้งหมดของคุณอาจจะไม่ได้ต้องการคุณ(because
all your probably your parents didn’t want you)และอย่างชัดเจนว่าพี่ๆของคุณ,
พี่ชายและพี่สาวพวกเขาทั้งหลาย, ก็ไม่อยากได้คุณอยู่แถวนั้น,
คุณกำลังแย่งกินอะไรมากยิ่งขึ้น.
และในโรงเรียน, พวกเขาบอกกับคุณว่า, คุณก็รู้, คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าคุณไม่ใช่กรวดก้อนเดียวบนหาดทรายนี้(to
learn that you’re not the only Pebble on the beach), และนั่นเช่นนั้นเอง,
คือหนทางที่ดีที่สุดของการสอน(the best way of teaching you that)คือว่า,
คุณค่อนข้างเหลือจะทนจริงๆเลยในแถวนี้(you’ve really rather
insufferable around here).
แล้วคุณก็อยู่ในระหว่างภาคทัณฑ์จนกว่าคุณจะเป็นที่สามารถยอมรับได้(and
you’re on probation until you are acceptable).
เอาละ, ทารกทั้งหลายก็เติบโตขึ้น,
คุณก็เห็น, ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ในความรู้สึกคนแปลกหน้าทั้งหลาย(with
this treatment feeling strangers),
ความรู้สึกว่าโลกนี้เป็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากตน(feeling
that the Earth is something alien).
และเช่นนั้นเราทั้งหมดได้มีความรู้สึกนี้ของการเป็นตัวคนเดียว(and so
we all have this feeling of being alone),
ของการเป็นหุ่นเชิดทั้งหลายที่ไร้อำนาจตัวเล็ก(of being impotent puppets)ของระบบมหึมาที่ดำเนินไปอยู่(of
huge system going on). และเช่นนั้นเราก็ได้ถูกทำให้โง่เชลาอย่างเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าออกมาจากความเป็นจริงด้วยความร่วมมือของเราออกมาเอง(and
so we are progressively fooled out of really with our own cooperation out of). สำนึกรู้สึกที่ว่าคุณสามารถได้รับถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับอัตลักษณ์ทั้งหลายเหล่านี้ที่ใครได้อยู่ด้วยในกระบวนการคิดนี้(this
sense that you can get if you spend all these identifications that one does
with the thinking process), ที่ว่า นี่คือฉัน(that
I’m me), อะไรที่เป็นฉันนั้นแตกต่างออกไปจากนั่น(what’s
me is different from). แล้วคุณก็ยืดนั่นออกไป(so on
you suspend that).
คุณเห็นแล้วว่ามันไม่ง่าย(not simply)ที่ปัญหาทั้งหลายทั้งหมดเหล่านั้น(that
all those problems),
และทั้งหมดของคำจำกัดความทั้งหลายเหล่านั้นของคุณเป็นใครนั้นไม่ใช่ความเป็นจริง(and
all those definitions of who you are were unreal).
มีอะไรบางอย่างที่คุณเห็น,
มีความรู้สึกที่โพ้นเลยไปกว่าการได้กระจายมายาภาพของความรื่นรมย์ที่แท้จริงออกไป(there’s
the feeling beyond having the illusion of the sheer joy),
แล้วปีติสุขใจ(and delight)กับหนึ่งพลังงานนี้(of
this one energy)ในตอนนี้กำลังตระหนักในตัวมันเองว่าเป็นคุณ(now is
realizing itself as you).
และช่างดีกระไรที่มันจะไม่ทำเช่นนั้นอยู่เสมอ(how
nice it won’t always be doing that). เพราะว่านั่นจะได้เริ่มน่าเบื่อ(that
would get boring). คุณจะไปเช่นนี้เรื่อย ๆ, เห็นไหม.
และก็จะมีสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปรวมอยู่ด้วยกัน(there’ll
be a different situation altogether).
รู้มั้ย, คุณจะวิ่งเข้าไปชนกำแพงอิฐ(you’ll
run into a brick wall), และเราไม่,
ก่อนที่คุณจะรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน(before you know where you are),
คุณออกมา, หะหะหะ, จากเปลือกไข่(you’re out of an eggshell),
อุ้แว๊!
เอ้อ, สิ่งทั้งปวงได้พลิกกลับตลบ(the
whole thing is flipped)และคุณก็ไปทำอะไรอยู่บนอีกลู่ร่องอื่น(and
you’re doing on another track).
แต่มันมีเพียงหนึ่งคุณเท่านั้น(but
there’s only one you), คุณเห็นมั้ย, มันทั้งหมดเป็นแค่หนึ่งพลังงานนั้น(it’s
all the one energy).
แต่สิ่งนี้คือ, อย่างที่ผมพูด, ยากที่จะเข้าใจอย่างเป็นตรรกะได้(difficult
to understand logically), ถ้าคุณไม่เข้าใจมันโดยการทดลอง(if you
don’t understand it experimentally), ถ้าคุณเข้าใจมันด้วยการทดลอง(if you
understand it experimentally),
มันเป็นที่อย่างกระจ่างชัดอย่างสมบูรณ์(it’s perfectly clear)เมื่อใครบางคนพูดว่าทุกสิ่งเป็นหนึ่งพลังงาน(when
somebody says everything is one energy),
แน่นอนละ.
แต่บุคคลผู้ติดยึดกับแนวความคิดทั้งหลายและไม่มีอะไรมากไปกว่าแนวความคิด(the
person who’s stuck with the concepts and nothing more than concept)ไม่สามารถ,
ไม่สามารถได้, อย่างง่ายๆที่ไม่สามารถทำเหตุผลกับมันได้เลยในสิ่งที่เขาพูด(simply
can’t make any sense of it at all he says).
คุณกำลังเป็นทุกข์จากอุปทาน/ภาพหลอน(you’re
suffering from a hallucination).
และเราจะดำเนินการที่จะพิสูจน์ตามความคิดทั้งหลายที่อ้างของเขานั้น(we’ll
proceed to prove according to his ideas),
ว่าอะไรที่คุณได้บรรลุไปถึงนั่น(that what you’ve achieved in that)ไม่ได้ทำความแตกต่างต่อคุณหรือสิ่งอื่นใด(has
made no different to you or anything else). และแน่นอนว่า,
เขาสามารถพิสูจน์มันได้(he can prove it),
เพราะว่าข้อพิสูจน์ของเขานั้นได้ถูกอุปโลกน์/จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ได้เหตุผลนั่น(because
his proof is set up to give such reason).
เอาละ, งั้น, ผมเข้าไปในเรื่องนั้นสักความยาวหนึ่ง(I got
into that at some length). คำถามของการไม่คิด(the
question of no thinking).
เพราะการพยายามที่จะชี้ออกมาว่าผู้หนึ่งผู้ใดนั้นต้องหลีกเลี่ยงอย่างไรกับการพยายามที่จะเข้าใจ
ที่ว่าง/อวกาศ(because of trying to point out how one
must avoid trying to understand the space),
ในหนทางเยี่ยงการที่จะสร้างทำมันขึ้นเป็นสิ่งหนึ่ง(in
such a way as to make it a thing), เหมือนเป็นกล่องหนึ่ง(like a
box), อ่ะนะ, ที่บรรจุวัตถุทั้งหลายทั้งหมดไว้ข้างในมัน(that
contains all the objects in it).
แต่ผมรู้สิ่งที่เหมือนกับที่ว่าง/อวกาศ(but I
know thing like space)ในที่เวลาเดียวกัน(in at
the same time), ในก๊วนทั้งหลาย(in
cahoots with things – การสมคบคิดกันกระทำสิ่งไม่ดีกับสิ่งทั้งหลาย),
มีสองด้านที่จะจัดท่าทาง(there are two aspects to pose).
สองแง่ของหนึ่งพลังงานเดียวกัน(two terms of the same one
energy).
อย่าทำที่ว่างที่ขั้วเดียวกันของหนึ่งพลังงานนั้น(don’t make
space at the same pole of the one energy)ในขณะที่สิ่งทั้งหลายนั้น
มันเป็นขั้วตรงข้ามกันอยู่(as the things it’s the opposite pole).
มันเป็นเช่นนั้นเพราะการปฏิบัติกระทำของเราต่อที่ว่าง/อวกาศนั้น
เป็นเช่นว่าไม่มีอะไร/ว่างเปล่า(because of our treatment of space as nothing).
คุณเข้าใจนั่นนะ, เราหวาดกลัวความตาย(we’re afraid of death).
เราหวาดกลัวต่อขั้วของประสบการณ์รับรู้นั้น(we’re afraid of that pole of
experience)ที่ซึ่งไม่มีจิตสำนึก/ไม่รู้สึกตัว(which
is unconsciousness)อันสอดคล้องต้องกันกับที่ว่าง/อวกาศที่รายล้อมอยู่รอบโลกนี้(that
correspond to space uh surrounding the world).
และเพราะเราคิดว่านั่นคือความเป็นจริง(and
because we think that reality), ว่านั่นเป็นชีวิตของเรา(that’s
our life), นั่นเป็นรูปลักษณ์ของเรา(that’s our identity)เป็นอย่างทั้งปวงสิ้นในอาณาจักรแห่งจิตสำนึก(is
entirely in the domain of Consciousness), และความคิด(thinkness),
และความสามารถคิดได้(and thinkable).
อีกขั้วหนึ่งดูเหมือนจะได้รับกระทำคุกคามอย่างสมบูรณ์สิ้นในทางตรงกันข้าม(the
other pole seems completely threatening whereas). แน่นอนละ, มันเป็นว่าซึ่งมันทั้งหมดขึ้นอยู่กับอะไร(it is that
on which it all depends). เพราะว่าทั้งสองขั้วนั้นพึ่งพา/ขึ้นอยู่ซึ่งกันและกัน(the
two poles depend on each other).
พวกเขาให้พลังงานซึ่งกันและกัน(they energized each other).
ดังนั้นเมื่อขึ้นได้หวาดกลัวของการไม่มีด้านของสิ่งทั้งหลาย(when
you are scared of the non-being side of things),
คุณก็เป็นเหมือนกับมันคือการหวาดกลัวแม่ของคุณเอง(you
are as it were frightened of your own mother).
ทีนี้, คุณอาจจะมีเหตุผลล่ะที่เป็น(you
may have reason to be), เพราะว่ามีสิ่งทั้งหลายอย่างเช่น แม่มูมมามทั้งหลาย(there
is such things devouring mothers). แต่แม่มูมมามนั้นเป็นตัวแทนแสดงถึงความรู้สึกตื่นกลัวดั้งเดิมกับสิ่งที่ไม่รู้จัก(but
the devouring mother represents the original horror felt for the unknown).
และในการฝึกปฏิบัติในเรื่องสัมพันธภาพทั้งหลายของมนุษย์(in
practice in the human relationships), แม่ในแบบมูมมาม(the
devouring type mother)นี้อย่างแน่ชัดเลยว่าเป็นบุคคลผู้ที่ไม่สามารถเข้ามารวมหัวได้กับสิ่งที่ไม่รู้ของเธอเอง(precisely
the person who cannot come to terms with her own unknown),
ดังนั้นเธอจึงต้องการที่จะควบคุมในทุกสิ่ง(therefore she wants to control
everything).
เธอต้องการจะเห็นว่าลูกๆทั้งหมดของเธอยังอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของเธอตลอดไป(she
wants to see that all her children remain perpetually under her dominance),
หรือว่า เธอไม่สามารถปล่อยไปได้(she can’t let go).
ราวกับว่าถ้าเธอปล่อยไป,
เธอก็ได้ถอดเสื้อในคอร์เซ็ตและแกว่งล้มคว่ำกลิ้งไปทั่วทุกแห่ง(as if
she let go, you know, she’d uncorseted and flop all over the place).
เธอได้กลายเป็นตัวมูมมาม(becomes
the devourer).
แต่คุณเอาชนะคุณแม่มูมมามได้เสมอ(you
always conquer the devoura)โดยการทิ้งตัวลงไปในมัน(by
dropping into it). โดยศรัทธา ถ้าพูดอีกอย่างคำอื่นทั้งหลาย(by
faith in other words), ศรัทธาด้วยสำนึกของความไว้วางใจ(faith
in the sense of trust). ผมไม่ได้หมายถึงเชื่อแบบไว้วางใจ(I
don’t mean belief trust). ทิ้งตัวลงไปในที่ว่าง/อวกาศ(drop
into space)และคุณลอยตัว(and
you float).
เห็นมั้ย,
เรื่องนี้แค่เพียงเริ่มต้นที่จะถูกเข้าใจโดยผู้คนจรวด(this is only
begins to be understood by rocket people)เมื่อพวกเขาออกไปที่นั้น(as
they get out there). แล้วเราก็กำลังจะได้, ผมไม่รู้นะ, จิตวิทยาในเรื่องนี้กำลังดำเนินต่อไปอย่างไร(how
the psychology of this is proceeding). เรากำลังจะได้ผู้คนอันแปลกประหลาดมากมายกำลังออกไปจากที่ว่าง/อวกาศ(we’re
going to have lot of people getting out in space), และไม่ต้องการที่จะกลับมาอีก(and
not wanting to come back).
เพราะว่าเมื่อคุณอยู่ในวงโคจรและลอยตัว(in orbit and float), สำนึกสัมผัสที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง(very interesting
sensation)และพวกเขาต้องไปตามกฏทั้งหลายอันเข้มงวดมาก(they
have to follow very strict rules).
วิธีเดียวกันกับที่คุณจะทำกับการดำน้ำผิวน้ำ/การดำน้ำตื้น(the
same way will you do with the skin diving),
เมื่อคุณลงไปถึงระดับความดันหนึ่ง ตอนนี้คุณก็จะเริ่มตัวลอยขึ้น(when
you get to a certain level of pressure now you start floating),
คุณรู้สึกไม่มีน้ำหนักของร่างกาย(you fell no no body weight).
และคุณก็สัมบูรณ์สุดที่จะรักษาเจตจำนงของคุณไปต่อ(absolutely
keep your will going)เมื่อนาฬิกาบอกถึงสิ่งแน่ชัดคุณก็ลอยขึ้นไป(when
the watch says a certain thing up you go).
สั่งการตามระเบียบทั้งหลายของเขา(orders his orders),
คุณเห็นมั้ย, ไม่เช่นนั้นคุณก็จะจมลงไป(otherwise you’ll drown)ในปีติและสุคติอันยิ่งใหญ่(in
great delight and Bliss).
ดังนั้น, เอ้อ, ประเด็นคือผ่านนั่นของเรา(the
point is through that our), เราอยู่ที่ชั่วขณะนั้น การมองยังที่ว่าง/อวกาศเป็นอะไรบางอย่างที่ถูกเข้าไปโดยแรงผลักดันมหาศาลของจรวด(we are
at the moment looking at space as something to be entered by tremendous thrust
of a rocket).
เพราะว่านั่นคือทัศนคติของการโจมตีต่อสิ่งที่ไม่รู้(the
attitude of attacking the unknown), และนั่นทำให้เราไม่ตระหนักรู้ว่าเราได้อยู่บนยานอวกาศอุปกรณ์ครบเครื่องอันสง่างามมากที่สุดแล้ว(that
causes us not to realize that we are already on the most magnificent equipped
spaceship), ซึ่งยากที่จะสามารถถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นไปกว่านี้กับมันได้(which
could hardly be improved upon).
มันได้มีแหล่งกำเนิดของอุณหภูมิและพลังงาน
แค่อยู่ในระยะห่างที่พอดีจากมัน(it has got a source of temperature and
energy just at the right distance from it), ได้ถูกติดตั้งอุปกรณ์อย่างงดงามด้วยออกซิเจน(is
beautifully equipped with oxygen), ด้วยเสบียงอาหารทั้งหลาย(with
food supplies), ด้วยทุกชนิดทั้งหมดของสิ่งทั้งหลายสร้างความพึงใจให้ทำในระหว่างอยู่บนการเดินทาง(with
all kinds of delightful things to do while on the journey).
และมันกำลังเดินทางผ่านที่ว่าง/อวกาศที่ความอัตราความเร็วมหาศาล(it’s
traveling through a space at a colossal speed),
และมันได้ถูกเรียกว่า โลก(it’s called the planet Earth).
ศิลปะของการสำรวจค้นหาจากดาวเคราะห์โลก(the
art of exploring from the planet Earth), ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพิชิตอวกาศ(depends
not on conquering space)ด้วยจรวดและระเบิดทั้งหลาย(with a
rockets and bombs). แต่กับการพัฒนาความรู้สึกให้อ่อนไหวไวยิ่งๆขึ้นอย่างยิ่งในที่ที่เราอยู่นี้นั้น(but
on developing greater in sensitivity in the place where we are), เล่าจื้อ(Loa Tse)กล่าวไว้ว่า, ไม่ได้ออกไปนอกบ้านของฉัน,
ฉันรู้ถึงจักรวาลทั้งปวง(without going out of my house, I know the
whole universe).
ดังนั้นด้วยการเริ่มต้นอย่างงุ่มง่ามของความรู้สึกสัมผัสอ่อนไหวนั้น(so by
clumsy beginning of the sensitivity)ได้ถูกเห็นกันในวิทยุดาราศาสตร์(are
seen in radio astronomy)ซึ่งแทนที่จะพยายามกระโจนออกไปจากโลกนี้แล้วอยู่ที่นี่และสัมผัสรับรู้อ่อนไหวมากยิ่งขึ้น(which
instead of trying to LEAP out of the world and stay here and gets more sensitive).
และในที่สุดผมก็รู้สึกว่าเราน่าจะมาค้นพบในพวกเราแต่ละคนกัน(and
eventually I feel that we should discover each one of us),
ที่มีกันอยู่ข้างในหัวของเรา(have inside our heads).
เครื่องมือหนึ่งดักจับวิทยุดาราศาสตร์พิเศษพิสดารของความฉลาดละเอียดอ่อนอย่างยิ่งนี้(a
radio astronomical contraption of great subtlety),
และเราจะอย่างสำคัญมากในการยิ่งใช้เครื่องมือทั้งหลายนั้น(and we
shall essentially the more we use instruments).
เราจะเริ่มต้นที่จะเฝ้าดูกระบวนการหนึ่งที่ผมจะเรียกว่า การตระหนักรู้ถึงความละเอียดอ่อน(we
shall begin to watch a process which I will call etherealization).
อะไรคือบุคคลที่เราเรียกว่า การย่อขนาด(what person we call
miniaturization)เชื่อมติดต่อกับสิ่งนี้(connected
with this).
การย่อขนาด(miniaturization)หมายถึงว่าอุปกรณ์ไฟฟ้ากลายเป็นเล็กลง,
เล็กลงและยิ่งเล็กลง(means that electric equipment becomes smaller, smaller and
smaller)จนกระทั่งอะไรที่เป็นดั้งเดิมอย่างเช่นกล่องใบหนึ่งเหมือนอันนี้กลายเป็นสิ่งกระจิ๋วริ๋วไป(until
what was originally a box like this becomes a tiny, tiny little thing),
เซลล์เล็กกระจิ๋วริ๋ว(little tiny cell).
และดังนั้นเป็นหนทางเช่นเดียวกันเมื่อเทคนิคอันแน่นอนชัดเจนทั้งหลายได้ก้าวหน้า(and so
the same way as certain techniques advance),
ทั้งหมดทุกชนิดที่สายเส้นร่วมทั้งหลายเหมือนเช่นสายไฟฟ้า(all
kinds of joining lines like wires)เริ่มต้นที่จะหายไป(begin
to vanish). นี่นะ, เมื่อวิทยุเข้ามาทดแทนกับโทรศัพท์(when
radio substitutes for telephone), สายไฟฟ้าทั้งหลายทั้งหมดหายไป(all
the wires vanish).
เมื่อเครื่องบินเข้ามาแทนที่ถนนและรางรถไฟ(when the airplane substitutes
for road and railway),
ถนนและรางรถไฟทั้งหลายทั้งหมดก็กำลังจะหายไป(going to vanish),
เห็นมั้ย.
และมากยิ่งมากขึ้นที่เราพบความหมาย/หนทางทั้งหลายของการกำจัดความงุ่มง่ามทั้งหลาย(more
and more we find means of getting rid of the clumsiness),
ของเทคโนโลยีดึกดำบรรพ์(of primitive technology).
และแล้วเมื่ออุปกรณ์ทั้งหมดนี้หายไป(as all
this apparatus disappears),
เราพบว่า....เรากำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางของการมีมันทั้งหมด(we are
moving in the direction of having it all)ในอุปกรณ์ของเราเอง(in our
own apparatus), เหมือนเช่นที่โลมาทั้งหลายมีเครื่องโซนาร์(just
like dolphins have sonar),
นกพิราบเลี้ยงทั้งหลายมีเรดาร์-ติดในตัวพร้อมเสร็จ(homing-pigeons
have built-in radar).
ผมคิดว่ามันทั้งหมดอยู่ในเรา(it’s
all in US), แต่เราต้องทำมันให้ถูกเห็นเป็นรูปธรรมอย่างเทคโนโลยี(we had
to exteriorize it technically)เพื่อที่จะค้นพบมันข้างใน(in
order to discover it within).
มันน่าแปลกใจให้อยากรู้ว่า(it’s curious)
อย่างไรกันที่ในอดีตตอนกลางของศตวรรษที่ 20, มีหลักฐานอย่างแข็งแรงมากในเรื่องการฟื้นฟูปรัชญาทางตะวันตก(there’s
a very strong evidence of a revival in western philosophy),
ของอะไรที่เคยถูกเรียกว่า จิตนิยม/อุดมคติ(of
what used to be called idealism). ไม่ใช่ในแบบประเด็นเชิงศีลธรรม(the
moral sense)แต่ในประเด็นเชิงอภิปรัชญา(the metaphysic
sense).
นั่นคือที่จะพูดว่า, ของความรู้สึกที่โลกภายนอก(that
is to say of the feeling that the external world)เป็นในบางหนทางคือการสร้างสรรค์ของจิต(is in
some way the creation of the mind). มีเพียงแค่เรามาสู่มุมมองนี้เท่านั้นด้วยสมมติฐานอันแตกต่างอย่างมากทั้งหลาย(only
we come to this point of view with very different assumptions)ยิ่งกว่าถูกยึดกุมโดยผู้คนอย่างเช่นเฮเกล(than
were held by people like Hegel1),
เบอร์คลีย์(Berkeley2)หรือ
แบรดลีย์(Bradley3),
นักปรัชญาจิตนิยมอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายของจารีตอภิปรัชญาชาวยุโรป(great
3
https://hmong.in.th/wiki/F._H._Bradley
Idealists of the European metaphysical tradition)
และค่อนข้างเป็นเครือญาติต่อความเหมือนคล้ายคลึงกันทั้งหลายกับนักปรัชญาชาวพุทธ (and
probably rather more akin to similar trends in Buddhist philosophy),
ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากประเทศอินเดียในตอน 400 ปีก่อนคริสตศักราช.
ความแตกต่างกันของการเข้าไปหา(the
different to approach),
ความแตกต่างของหนทางเข้าไปที่ทุกวันนี้สิ่งทั้งหลายนี้ได้เกิดขึ้น(the
different way in which today this things arise). หนทางเข้าไปที่มันได้ผุดขึ้นในความคิดของคนอย่างเช่น
บิชอป เบอร์คลีย์(the way in which it arose in the
thought of a man like Bishop Berkeley),จิตนิยมแนวใหม่(a new
idealism), อะไรแบบว่าเป็นพื้นฐานทางฟิสิกซ์อย่างน่าสนใจ(the
kind of curiously physical basis).
เมื่อมีใครรายหนึ่งจะโต้แย้ง(when
one would argue), ทุกอย่างที่คุณรู้นั้นอยู่ในจิตของคุณ(everything
you know is in your mind), และระยะห่างที่ความรู้สึกของความเป็นผลกระทบภายนอก(the
distance the feeling of the externality)ระหว่างคุณกับวัตถุอื่นทั้งหลายและผู้คน(between
you and other objects and people)คือเนื้อหาของจิตสำนึกด้วยเช่นกัน(is
also the content of consciousness). และเช่นนั้นเองที่มันทั้งหมดคือจิตสำนึกของคุณ(and
therefore it’s all your consciousness).
แน่นอนว่า, สิ่งนี้ได้สร้างสรรค์อะไรทั้งหมดของความรู้สึกพิกลทั้งหลายนั้น(this,
of course created all sort of weird feelings).
สิ่งทั้งหลายอยู่ที่นั่นหรือไม่,
เมื่อฉันไม่ได้กำลังเป็นประจักษ์พยานให้พวกมันทั้งหมด?(are
things there when I’m not witnessing them all?)
มีใครอื่นอยู่ที่ตรงนั้นไหม?(is there anybody else there)
หรือว่าคุณทั้งหมดเป็นความฝันส่วนตัวของฉัน (or are you all my personal
dream).
และผู้หนึ่งก็แค่ที่จะต้องจินตนาการถึงการประชุม/ชุมนุมสมาคมของผู้คนหลงในตนเองสุดขั้วทั้งหลาย(one
has only to imagine a conference of such people of solipsists),
เหล่าผู้ที่เชื่อว่าพวกเขาเท่านั้นที่มีอยู่กันตามลำพัง(those
who belief that they alone exist),
กำลังโต้แย้งราวกับว่าหนึ่งในพวกเขาคนไหนอยู่ที่นั่นจริงๆ เพื่อจะทำให้ความคิดทั้งปวงค่อนข้างน่าหัวเราะ(arguing
as to which one of them is really there to make the whole idea rather
laughable).
และยิ่งไปกว่านั้น, ดูเหมือนว่าจะไม่มีความชัดเจนในความคิดเชิงปรัชญาเช่นนั้น(there
seem to be no clarity in such philosophical thinking)ในอะไรกับเรื่องความหมายของจิตหรือ
จิตสำนึก(as to what the term mind or consciousness meant).
มันได้มีมานานแล้วกับสมาคมทั้งหลายกับบรรยากาศเป็นพิษและมีก๊าซ(it had
long associates with miasmic and the gaseous)โดยหนทางของภาพพจน์ทั้งหลาย(by the
way of images).
อ้า, จิต(mind)และวิญญาณ/อัตตา(soul)และจิตใจ(spirit),
มักจะเป็นที่ละเอียดคลุมเครือและไร้รูปอยู่เสมอ(always vague and formless).
และวัตถุ(matter)ในทางตรงข้ามกัน, ได้เป็นที่เห็นชัดว่าหยาบขรุขระและยุ่งเหยิงอย่างมาก(by
contrast was very rugged and scraggly).
และทั้งสองสิ่งเหล่านี้ได้เคยมีอิทธิพลต่อกันมาอย่างไร(and
how these two things ever influenced each other),
ไม่มีใครได้เคยสามารถตกลงปลงใจได้(nobody ever could decide),
เพราะว่าทั้งหมดผีทั้งหลายซึ่งได้ประพฤติตนอย่างเหมาะเจาะนั้นได้เดินตรงทะลุกำแพงอิฐทั้งหลาย(because
all properly behaved ghosts walked straight through brick walls)โดยปราศจากการรบกวนไม่ว่าทั้งก้อนอิฐทั้งหลายหรือผีนั้น(without
disturbing either the bricks or the ghost).
แล้วจิตหนึ่งสามารถอวตาร/กลับมาเกิดอีกได้อย่างไรในกายวัตถุ(how
can a mind incarnate in material body)เคลื่อนกายร่างนั้นในระดับหนึ่ง(move
the body in a way), เรื่องนี้ได้เป็นปริศนาหนึ่งอยู่เสมอ(this
was always a puzzle).
แล้วผู้คนก็เริ่มต้นที่จะคิดว่าการทำให้เห็นความแตกต่างกันทั้งหลายระหว่างจิตกับกายนั้น
เป็นหนทางที่ไม่มีประโยชน์(the differentiations between
mind and matter way of no use). เพราะว่าที่จริงแล้วอะไรที่บังเกิดขึ้นในการทำความแตกต่างกันเช่นนั้น(because
actually what happens in making such a differentiation)คือคุณทำให้เกิดความขัดสนอนาถาให้กับทั้งสองด้านของมัน(is you
impoverish both sides of it).
เมื่อคุณพยายามที่จะคิดว่าวัตถุเป็นสิ่งไร้จิต(try to
think of matter as mindless), หรือจิตนั้นเป็นเช่นไม่มีวัตถุ(or
mind as immaterial), คุณก็ได้รับอะไรแบบว่าเป็นความยุ่งเหยิงบนทั้งสองด้าน(get a
kind of a mess on both sides).
มันเป็นหนทางเดียวกันกับที่คุณได้ผู้มีเวทย์มนตร์รายหนึ่ง(get a
mystic)ที่ไม่ใช่เป็นนักหลงใหลกิเลสเพียงเล็กน้อย(not a
bit of a sensualist), แต่คือผู้หลงใหลกิเลสที่ไม่มีสติปัญญาในอาคมเวทย์มนตร์(and
the sensualist is no wit of a mystic).
ผู้หลงใหลกิเลสเช่นนี้เป็นที่น่าเบื่อ(such a sensualist is boring).
ผู้เรืองเวทย์มนตร์เช่นนี้ก็ไม่ใช่ผู้น่าคลั่งไคล้(such a
mystic isn’t a fanatic). มันเป็นจิตวิญญาณมากเกินไป(it’s
too spiritual).
มันเป็นเช่นเดียวกัน, อ้า,
เหมือนเมื่อเราแบ่งอาชีพแพทย์ออกจากพวกพระ/นักบวช(when
we divide the medical profession from the priesthood),
ทั้งสองคือผู้แพ้(both are losers). ไม่ใช่แค่เพราะว่าพวกเขาสูญเสียสิ่งที่เรียกว่าครึ่งหนึ่งของตรงข้ามกันของพวกเขา(not
just because they lose their so-called opposite half),
แต่ปัญหาก็คือ, เมื่อคุณแบ่งแยกแพทย์ออกมาจากพระ(when you separate a doctor from
a priest), คุณทำมากยิ่งกว่าการสร้างสรรค์ความชำนาญจำเพาะทางหนึ่งออกมาจากอะไรอย่างดั้งเดิมสาขาอาชีพหนึ่ง(you do
more than create a specialization out of what originally one field).
คุณได้สร้างสรรค์สองความชำนาญจำเพาะทาง(you created two specializations).
เพราะว่าพระนักบวชที่เป็นแพทย์ด้วยนั้นเป็นมากกว่าพระบวกแพทย์(because
a priest physician is more than a priest plus a physician).
โดยการมีแบบที่มันได้เป็นทัศนภาพจากกล้องส่องทางไกลแบบสองตาจากการแพทย์และจากทางการศาสนา(having
as it were the binoculars vision from medicine and from religion).
เขาไม่ได้มองเห็นสองพื้นที่เพิ่มอยู่ด้วยกัน(he doesn’t see two added areas),
เขามองเห็นพื้นที่นั้นเป็น 3 มิติโดยเป็นเช่นผลลัพธ์ของการรวมผสานกันทั้งสองนี้(he
sees the area by as a result of this combination).
เอาละ, ในหนทางที่เหมือนๆกัน, เมื่อเรามีแนวความคิดทั้งหลายของจิตกับวัตถุ(when
we have the concepts of mind and matter)ซึ่งทำงานแยกกันทั้งคู่นี้ก็ได้ถูกทำให้ขัดสนอนาถา(working
separately both are impoverished). จิต(mind)ถูกทำให้กลายเป็นอะไรที่กำกวมคลุมเครือแบบก๊าซ(becomes
vague kind of gas), ก๊าซจิตใจ(psychic
gas). และวัตถุ(matter)กลายเป็นเพียงก้อนหยาบๆ(becomes
merely stuff).
แต่คุณเห็นมั้ยว่า,
อะไรที่มีความสามารถให้กับเราที่จะทำการเปลี่ยนผ่าน/เปลี่ยนแปลงได้(what
has enabled us to make a transition). คือ(is),
อย่างแรกทั้งหมด, เหนือสิ่งทั้งหมดที่ผมจะพูด, สองวิทยาศาสตร์(two
sciences), ชีววิทยาและประสาทวิทยา(biology
and neurology). เพราะผ่านทางชีววิทยา(through
biology)และต่อบางฟิสิกซ์ที่ขยาย(to some
extent physics).
วิธีการทางฟิสิกซ์ได้แสดงต่อเราให้เห็น(the
method of physics has shown us)ว่าความคิดที่ว่าคนสามารถเป็นผู้สังเกตการณ์วัตถุของโลกภายนอก(that
the idea that man can be an object observer of external world).
ว่าไม่ใช่ตัวเขาเองซึ่งเช่นนั้นเป็นมันว่าคือที่ที่เขาสามารถยืนถอยออกมากจาก(so
that as it where he can stand back from it)และมองดูมันแล้วพูดว่าอะไรอยู่ข้างนอกนั่นที่เรามองเห็น(and
look at it and say what is out there),
เรามองเห็นได้ว่าไม่สามารถถูกจบเสร็จเช่นนั้นได้(we see that cannot be done).
เราสามารถทำมันได้อย่างคร่าวๆ(we can approximately do it),
แต่เราไม่สามารถทำกับมันได้อย่างจริงๆและอย่างเต็มที่(but we
cannot really and fully do it).
เพราะเหตุผลอย่างง่ายๆ 2 อย่าง(simply
two reasons), หนึ่งคือเหตุผลที่สำคัญมากที่สุด(one
the most important reason), คือว่า,
นักชีววิทยาจะแสดงให้เราเห็นได้อย่างชัดมาก, ไม่มีหนทางของการแยกออกอย่างเด็ดขาดของสิ่งมีชีวิตมนุษย์(there
is no way of definitely separating a human organism from its external
environment).
อย่างที่สองคือสาขาวิชาเดี่ยวของพฤติกรรม(a
single field of behavior).
และแล้วไปไกลกว่านั้นอีก(and then furthermore),
การที่จะสังเกตการณ์สิ่งบางอย่าง(to observe something)ไม่ว่าจะโดยการมองดูที่มันอย่างง่ายๆ(either
to simply look at it)หรือว่ายิ่งไปกว่านั้นโดยทำการทดลองทั้งหลาย(or
more so by making experiments), โดยการทำเชิงวิทยาศาสตร์กับมัน(by do
science on it). คุณเปลี่ยนแปลงกับอะไรที่คุณกำลังมองที่มันอยู่(you
alter what you’re looking at).
คุณไม่สามารถทำการสังเกตการณ์ให้สำเร็จได้โดยปราศจากเข้าไปยุ่งเกี่ยวในอะไรที่คุณสังเกต(you
cannot carry out an observation without in some way interfering with what you
observe).
มันเป็นเช่นนี้ที่เราพยายามเมื่อเรากำลังเฝ้าดู(it is
this that we try when we’re watching), พูดได้ว่า, เรากำลังเฝ้าดูนิสัยทั้งหลายของนกที่จะเป็นให้แน่ใจว่านกทั้งหลายนั้นไม่ได้สังเกตเห็นเราว่าเรากำลังเฝ้าดูอยู่(the
habits of birds to be sure that the birds don’t notice us that we’re watching).
การเฝ้าดูอะไรบางอย่างได้ มันต้องไม่รู้ตัวว่าคุณกำลังมองดูอยู่(to
watch something it must not know you’re looking). และแน่นอนว่า,
อะไรที่คุณต้องอย่างสุดๆที่จะทำ(what you ultimately want to do)ก็คือการที่จะสามารถเฝ้าดูตัวของคุณเองโดยปราศจากการที่รู้ว่าคุณกำลังมองอยู่(is to
be able to watch yourself without knowing that you’re looking).
แล้วคุณจึงจะสามารถจริงๆจับกุมตนเองได้(then you can really catch
yourself), ไม่ใช่เอาแต่กับการประพฤติดีที่สุดของคุณ(not on
your best behavior)และมองเห็นตัวคุณอย่างที่คุณเป็นจริงๆ(and
see yourself as you really are).
นั่นคือสิ่งนี้จะไม่มีวันที่จะสามารถทำได้สำเร็จเลย(that
this could not never be done)และเช่นเดียวกันกับที่นักฟิสิกซ์ทั้งหลายไม่สามารถจัดตั้งขึ้นพร้อมกันได้(likewise
the physicists cannot simultaneously establish).ตำแหน่งแห่งหนและความเร็วของอนุภาคที่เล็กจิ๋วอย่างยิ่ง
หรือสมการคลื่นและในส่วนของมัน(the position and the velocity of very minute particles or equal wave and it’s
in part). เพราะว่าการทดลองของการสังเกตการณ์พฤติกรรมของปรมาณู(because
the experiment of observing nuclear behavior)ที่เปลี่ยนแปลงหรือมีผลกระทบทั้งหลายในอะไรที่คุณกำลังมองอยู่ที่(alters
and affects what you’re looking at)นี่คือหนึ่งด้านของมัน(this
is one side of it). ความแบ่งแยกออกจากกันไม่ได้ของคนกับโลกของเขา(the
inseparability of man and his world),
ซึ่งลดค่าของตำนานความขลังทั้งหลายของผู้สังเกตการณ์เชิงภววิสัย(which
deflates the myth of the objective observer)ให้ยืนอยู่ทางด้านข้างและทำการสังเกตดูโลกที่แทบจะเป็นเหมือนเครื่องจักรกล(standing
aside and observing the world that merely mechanical),
สิ่งหหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่ดุจเครื่องจักรหนึ่งที่ข้างนอกนั่น(a thing
that operates like a machine out there).
อย่างที่สองนี้มาจากวิทยาศาสตร์ของวิชาประสาทวิทยา(from
the science of neurology),
ที่เราได้เข้าใจกันเป็นที่ชัดแจ้วงแล้วในตอนนี้,
ว่าโลกประเภทที่เราได้มองเห็นนั้นมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างของอวัยวะประสาทสัมผัส(that
kind of world we see is relative to the structure of the sense organ).
นั่นพูดอีกในคำทั้งหลายอื่นอีกได้ว่า, งานที่เราเคยเรียกว่าเป็นคุณสมบัติทั้งหลายของโลกภายนอกนั้น(the
work that we used to be called the qualities of the external world),
คุณสมบัติทั้งหลายของมันทั้งน้ำหนักและสี, ผิวพื้นและอื่นๆทั้งหลาย(it qualities
of weight and color, texture and so on)ต่างถูกมีอยู่ครอบครองโดยแค่เพียงความสัมพันธ์ของมันกับสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสรับรู้อยู่(are
possessed by it only in relation to a perceiving organism).
โครงสร้างหนึ่งเดียวของระบบจักษุ/สายตาของเรา(the very structure of our
optical system), พบปะหารือกับ(confers)แสงสว่าง(light)และสีสัน(and
color)ขึ้นอยู่กับพลังงานภายนอกนั้น(upon outside energy).
และในการสัมผัสรับรู้นี้ก็เป็นอย่างพิเศษเฉพาะขึ้นมา(in
this sense then especially)ถ้าคุณต้องการที่จะอ่านเรื่องราวอย่างย่อยง่ายมากๆของสิ่งนี้(want
to read a very easily digestible account of this thing),
คุณก็ไปหาตำราของ Jay-Z Young(John Zachary Young4)ที่ชื่อว่าDoubt
and Certainty in Science, แต่คุณเห็นในที่นี้ว่า,
จากพื้นฐานใหม่ที่
4 https://hmong.in.th/wiki/John_Zachary_Young
เข้าด้วยกันอันหนึ่ง(from a
new basis altogether)เราก็มีคำตอบใหม่อันหนึ่งต่อปริศนาเก่าดั้งเดิม(we
have a new answer to the old riddle), ถ้าต้นไม้หนึ่งล้มลงในป่า
เมื่อไม่มีใครกำลังฟังอยู่(if a tree falls in the forest when
nobody is listening) มันได้ทำเสียงดังขึ้น(makes
a noise),
คำตอบในประเด็นทั้งหลายของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เป็นที่ชัดแจ้งอย่างสมบูรณ์(terms
of modern science is perfectly clear),
ว่าการล้มของต้นไม้นั้นสร้างสรรค์แรงสั่นสะเทือนทั้งหลายขึ้น(that
the falling tree creates vibrations in the air)และเหล่านี้ได้กลายเป็นเสียง(and
these becomes noise). ถ้าและมีเพียงถ้าเท่านั้น(if and
only if), พวกมันมาสัมพันธ์เข้ากับแก้วหูและระบบประสาทสัมผัส(they
relate to an eardrum and to the nervous system).
ดังเช่นในกลองทั่วไปทั้งหลาย(just as in ordinary drums)ไม่ว่าจะหนักหน่วงอย่างไรที่คุณตีกลองจะไม่ทำเสียงขึ้นมาได้,
ถ้ามันไม่มีหนังกลอง(however hard you hit the drum will make no sound if it has
no skin). เพราะว่าเสียงทั้งหลาย(sounds)ไม่ใช่อะไรบางอย่างที่มีอยู่ในโลกภายนอกนั้น(is not
something that exists in the external world).
เสียงคือสัมพันธภาพหนึ่ง(sound
is a relationship), ระหว่างความสั่นสะเทือน(vibrating),
อากาศ/ลม(air)และกับอวัยวะสิ่งมีชีวิตที่จำเพาะชนิดทั้งหลาย(and
certain kinds of biological organisms).
และเช่นนั้นเองที่มันเป็นอวัยวะของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งประชุมประสาทอะไรขึ้นที่เรียกว่าเสียงนี้อันขึ้นอยู่กับการสั่นสะเทือน(it is
these organisms which confer what we call sound upon a vibration),
ที่ในโลกแห่งการไร้หูจะไม่ทำให้เกิดเสียง(which
in earless world would make no noise).
ตอนนี้คุณมองเห็นนั่นเป็นที่ชัดแจ้งและตรงไปข้างหน้า(see
that is clear and straightforward). แต่ตอนนี้เราก็กล้า, เราก้าวทั้งหลายจากนั่นไปอย่างแน่นอนชัดเจน(we
take a certain steps from that).
เรามาพูดกันถึงตัวอย่างได้ว่า(could we say for example that),
ก่อนที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายใดๆจะได้มีอยู่ขึ้น(before any organisms existed),
ก็ไม่มีโลก(there is no world).
และอะไรที่เรากำลังพูดถึงเมื่อเราพูดถึงโลกก่อนหน้าที่จะมีสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย(a
world prior to the existence of organisms),
คืออะไรที่ถูกเรียกว่าการอนุมาน/คาดการณ์(is what is called an extrapolation).
ให้ผมอธิบายถึงการอนุมาน/คาดการณ์(explain
extrapolation)สักชั่วครู่. สมมติว่าคุณมีแผนที่ของแคนซัส(have a
map of Kansas)และคุณต้องการอะไรจากหลักฐานที่มีรอยู่ในแผนที่นั้น(you
want from the evidence contained in the map)ที่จะเดาว่าเป็นอะไรชนิดไหนของเขตแดนที่วางโพ้นเลยไปจากขอบริมทั้งหลายของมัน(guess
at what kind of territory lies beyond its edges).
เอาละ, โดยธรรมชาติแล้วคุณก็จะต่อขยายแนวเส้นถนนทั้งหลายเหล่านั้นออกไปเรื่อยๆ(extend
those straight-line roads off and off and off).
นั่นเป็นพื้นฐานเพียงอย่าวงเดียวที่คุณต้องไปต่อ(that’s the only basis you’ve got
to go on). ไม่มีอะไรในแผนที่ของแคนซัสจะเตือนคุณว่าถ้าไปต่อทางตะวันตกอีกเล็กน้อยคุณก็จะได้ประสบเข้ากับเทือกเขาร็อคกี้(a
little way west you will encounter the Rocky)และถนนทั้งหลายก็จำเป็นจะต้องคดเคี้ยวเลี้ยวลด(roads
will have to wiggle)และยังคงน้อยที่จะเตือนคุณอีกว่า,
คุณกำลังจะประสบเข้ากับมหาสมุทรแปซิฟิค(still less will warn you that
you’re going to encounter the Pacific Ocean).
เส้นทางโพ้นเลยออกไปนั้น, ที่คุณไม่สามารถสร้างถนนทั้งหลายใดๆขึ้นมาได้(way
out beyond where you can’t build any roads).
ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว, คุณมองเห็นการอนุมาน/คาดการณ์(you
see extrapolation)ที่เราคาดเอามาจากอะไรที่เรารู้ต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก(we
extrapolate from what we know to the unknown).
และดังนั้นใครคนหนึ่งอาจพูดว่าแล้วการมีอยู่ของจักรวาลหนึ่งนั้น(is the
existence of a universe), ก่อนที่จะมีสิ่งมีชีวิตทั้งหลายใดเกิดขึ้น(before
there were any living organisms), การอนุมาน/คาดการณ์หนึ่ง(an
extrapolation),
ทั้งหมดที่เรากำลังพูดว่านี้คือสิ่งทั้งหลายน่าจะได้เป็นกันอย่างไรถ้าเราได้อยู่แถวนั้น(this
is how things would have been if we had been around).
แต่เราไม่ได้อยู่ตรงนั้นเช่นนั้น, ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เป็นว่านั่นคือสิ่งโต้แย้งที่เป็นไปได้ถึงแม้ในบรรยากาศของความคิดเห็นในทุกวันนี้(but we
weren’t so it wasn’t that is a possible argument although in the climate of opinion
today). มันเป็นสิ่งหนึ่งที่มันไม่เป็นไปตามสมัยนิยม(it
is a one that is not fashionable).
คุณจะต้องระมัดระวังเหนือสิ่งอื่นใดกับเรื่องสมัยนิยมนั้นและปรัชญาตามสมัยนิยมกับวิทยาศาสตร์(must
watch out above all for fashion and philosophy fashion, and science).
มีความสัมพันธ์เชิงคณิตศาสตร์ทั้งหลายที่ไม่เป็นตรรกะทั้งสิ้นที่ครอบงำอะไรซึ่งเป็นหรือไม่ใช่เป็นความคิดเห็นเชิงวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ(there
are completely irrational functions that govern what is and what is not a
respectable scientific opinion).
และถึงแม้ว่าจะมีการทำงานอย่างระมัดระวังมากได้ทำสำเร็จ(there
is very careful work done),
เป็นการทดลองที่มีคุณค่าและรอบคอบอย่างมาก(very careful and thoughtful
experimentation)ก็มักจะอยู่ในฉากหลังของงานนี้(always
in the background of this work). มีสมัยนิยมไร้เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ของอะไรเป็นสิ่งน่าเชื่อถือได้และอะไรที่ไม่ใช่(there
are these irrational fashions of what is believable and what is not).
หลายสิ่งมากมายที่เรายอมรับกันในทุกวันนี้,
ได้เป็นที่ไม่น่าเชื่ออย่างสมบูรณ์สิ้น(were completely unbelievable),
เรามักจะเจอเข้ากับสิ่งนี้กันอยู่เสมอ.
คำประกาศแถลงทั้งหลายที่ได้มีหลักฐานพิสูจน์ได้นี้(this
authoritative pronouncements)ว่า ไม่มีใครจะไปถึงดวงจันทร์ได้เพราะหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้อย่างนี้อย่างนั้นและอื่นๆอีก(no one
can ever reach the moon because of uncontrovertible evidence about this that
and the other). แต่ในทุกวันนี้เราเหวี่ยงข้ามนั่นไ,
บางทีเป็นแค่อะไรเล็กน้อยที่ไม่สำคัญเกินไป.
และดังที่นอร์เบิร์ต วีเนอร์(Norbert
Weiner5)ได้เตือนไว้ในหนังสือของเขา,
มนุษย์ได้เอา
5
https://en.wikipedia.org/wiki/Norbert_Wiener
ความเป็นมนุษย์ทั้งหลายไปใช้(human
make use of human beings). เราต้องไม่ถือเอาความ
วิทยาศาสตร์ว่าเป็นเช่นอะไรแบบว่าแม่ทูนหัวในนิทาน(we
must take science as fairy sort of Godmother).แบบว่า,
เรามีปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ของประชากรล้นโลก(have all these problems of
overpopulation)และขาดแคลนน้ำและอื่นๆอีกมากมาย(lack
of water and so on), แต่วิทยาศาสตร์จะคลี่คลายมันได้,
อย่ากังวลไปเลย. เห็นมั้ย, นั่นอีกอันหนึ่งที่สุดๆ(that’s
the other extreme).
แต่มีสมัยนิยมทั้งหลายเหล่านี้(but
there are these fashions).
และดังนั้นแล้ว, ความคิดที่ว่าโลกนี้ในบางหนทาง, คุณเห็นมั้ย,
ดังนั้นเอง, (the idea that the world in some way, you see, therefore),
ขณะที่เรา, ชั่วขณะหนึ่งที่คุณปล่อยยอมให้สิ่งจิตนิยมนี้มาอยู่ใต้ประตู(one
moment that you let this little idealism thing under the door),
และผมขอเตือนจำคุณว่าผมกำลังใช้คำว่าจิตนิยมถามในประเด็นที่ไม่ใช่ในเชิงจริยธรรมแต่เป็นในเชิงอภิปรัชญา(I
remind you that I’m using idealism not in a moral sense but in metaphysical
sense ask), ได้คัดค้านโต้แย้งบางอย่างแบบของวัตถุนิยม(opposed
to some sort of materialism). ทีนี้,
ชั่วขณะที่คุณปล่อยยอมนั่นให้มันเข้ามาอยู่ใต้ประตู(now,
the moment you let that in under the door),
ถ้าผมสามารถที่บางทีอาจจะตะหนักรู้ได้ว่าวิถีของโลกเป็นเช่นไร(if I
can probably realize that the way the world), มันก็ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยโครงสร้างของชีวอินทรีย์ของผม(it
evoked by the structure of my organism).
มันเป็นเช่นนั้นเอง, ทั้งภูเขา, ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์
และดวงดาวทั้งหลาย, ต่างก็เป็นผู้อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์อย่างแนบแน่น(are
the inhabitants of a strictly human world).
บางทีแมลงทั้งหลายกับอวัยวะสัมผัสรับรู้ทั้งหลายที่แตกต่างไปของพวกเขา(perhaps
insects with their different sense organs),
ได้มีจักรวาลที่แตกต่างกันอย่างมาก(have a very different universe)และนั่นคือจักรวาลของแมลง(and
that is an insect universe).
นี้คืออะไรอีกครั้งที่ดูเหมือนว่าจะคือสาระสำคัญที่ถูกเสาะหามาใหม่ของอะไรที่เคยถูกเรียกว่า
การเข้าใจผิดที่น่าสังเวช(to be a recruit essence of what used to
be called a pathetic fallacy)ที่ได้เป็นคุณลักษณะบ่งชี้คุณภาพและอารมณ์ทั้งหลายของมนุษย์ต่อปรากฏการณ์ธรรมชาติ(which
was the attribution of human qualities and emotions to natural phenomena).
สายลมถอนหายใจในต้นไม้ทั้งหลาย(the wind sighs in the trees).
หัวใจของผมเศร้า(my heart is sad)และมีใครบางคนผ่านมาและบอกว่ามันไม่ใช่สายลมที่กำลังถอนหายใจ(somebody
comes along and says it isn’t the wind that’s sighing). เป็นคุณเอง(it’s
you).
จริงหรือไม่จริง(true or not true),
เพราะว่าคุณไม่สามารถที่จะถอนหายใจได้ถ้าไม่มีลม(because you wouldn’t be able to
sigh if there were no wind).
และคุณเองที่กำลังถอนหายใจและสายลมกำลังพัดอยู่(and you sighing and wind
blowing)ล ไปด้วยกันและกัน(go with each other).
ผมได้ประดิษฐ์คำขึ้นมาใหม่ว่า “ไปด’ยัน(gowith)”
g-o-w-i-t-h
หรือไปด้วยกัน(goes with).
มันเป็นที่จะแทนที่ความคิดของอำนาจดลบันดาล(to replace the idea of
causality).
แน่ชัดว่าสิ่งทั้งหลายไปด้วยกัน(certain
things go with each other).
และสายลมที่ถอนหายใจก้ไปด้วยกันกับโลกเดียวกันที่อยู่ในหัวใจและอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของมนุษย์(sighing
wind goes with a same world in which human hearts and human emotions).
และถ้าไม่ใช่โลกที่มีหัวใจและอารมณ์รู้สึกทั้งหลายของมนุษย์(if
there were not a world with human hearts and emotions),
ก็จะไม่มีสายลม(there would be no wind),
และถ้าไม่มีลม(wind), อากาศ(air),
ก็ไม่มีหัวใจและอารมณ์รู้สึกของมนุษย์ทั้งหลาย(there would be no human hearts
and emotions).
มันคือการติดต่อ/ธุรกรรมกัน(it’s a transaction).
มันเป็นความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน(it’s reciprocity).
แล้วในหนทางเดียวกัน, ทุกเหตุการณ์มากกว่าในโลกภายนอก(every
event than in the external world),
เป็นเช่นการพึ่งพาอุปถัมภ์อยู่กับผู้สังเกตการณ์ในการบังเกิดขึ้นของมัน(is as
dependent on the observer for it’s happening).
ดังเช่นตัวอย่างคือ รุ้งกินน้ำ(a rainbow),
คุณสามารถพูดได้ว่า, ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงและมีความชื้นอยู่ในบรรยากาศ(there’s
moisture in the atmosphere),
และดวงอาทิตย์ก็อยู่ที่มุมซึ่งเหมาะสมกับความชื้น(being
at the right angle to the moisture)สร้างรุ้งกินน้ำขึ้น(makes
a rainbow). และถ้ามีใครบางคนอยู่ที่นั่น, พวกเขาก็มองเห็นสายรุ้ง.
นั่นคือวิชาเทพนิยาย(a mythology),
หนทางหนึ่งของการจัดวางสิ่งทั้งหลายที่สามารถยอมรับได้ต่อเราในภูมิอากาศปัจจุบันของสมัยนิยมเชิงปรัชญาและวิทยาศาสตร์(a way
of putting things that is acceptable to us in the current climate of
philosophical and scientific fashion).
แต่ผมต้องการที่จะวางมันไปในอีกหนทางอื่น(want
to put it in another way). ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสง,
และนั่นมีบุคคลหนึ่งกำลังยืนอยู่(that is a person standing).
ถ้ามีความชื้นอยู่บรรยากาศ(if there were moisture in the
atmosphere), ก็จะมีรุ้งกินน้ำ(there
would be a rainbow)แต่ไม่มี(but
there isn’t). ดังนั้นก็ไม่มีรุ้งกินน้ำเลย,
ถ้าคุณต้องการจะเป็นธรรมแล้ว,(so there is no rainbow, if you want to
be fair), ไม่มีรุ้งกินน้ำเลยถ้าไม่มีบุคคลหนึ่งกำลังเฝ้าดูมันอยู่(if
nobody is watching it). คุณเห็นมั้ย, เพราะว่าคุณต้องมีหนึ่งขององค์ประกอบทั้งสามนั้นให้ครบ(you
must have one of the three components),
ดวงอาทิตย์(sun), ความชื้น(moisture),
ผู้สังเกตการณ์(observer), ที่จะมีสิ่งที่เรียกว่ารุ้งกินน้ำ(to
have the thing called rainbow).
และอะไรที่ประยุกต์ต่อความไม่สำคัญเติมสายรุ้งเรืองแสงให้ผม(what
applies to the tenuous fill me luminescent rainbow),
ก็ประยุกต์ได้อย่างดีเสมอกันกับก้อนหินที่แข็งที่สวุดทั้งหลาย(applies
equally well to the hardest rocks), ภูเขาทั้งหลายอันแข็งแกร่งที่สุด(the
solidest mountains), ไฟทั้งหลายอันร้อนแรงที่สุด(the
hottest fires).
เพราะว่าสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนี้คือความสัมพันธภาพ(all
existence is relationship).
มันเป็นเหมือนหนังของกลอง(like a skin of the drum).
ถ้ามันไม่ได้อยู่ที่นั้น, มันก็ไม่มีการตีจำนวนหนึ่ง(no
amount of hitting),
ไม่มีการมีอยู่ของหนังก็จะไม่มีการผลิตสร้างเสียงใด(non-existent
skin will produce any noise).
ดังนั้นคุณเห็นแล้วว่า, พลังงาน(energy)คือ,
เราสามารถมองเห็นได้ว่าพลังงานนี้เป็นสัมพันธภาพ(this
energy is relationship).
เราสามารถมองเห็นได้ว่าการหล่นลงไปของกำปั้นนั้นและหนังของกลองนั้นเด้งขึ้นเหมือนอย่างนั้น(the
falling fist and the skin of the drum boing like that).
และถ้าไม่มีการหล่นไปของกำปั้นและหนังกลองนั้น, ก็ไม่มีเสียง(no noise),
ไม่มีการมีอยู่(no existence).
แต่การมีอยู่นั้นไม่ใช่แค่การกระทบกันของก้อนหินทั้งหลายซึ่งกันและกัน(that
existence is not only the impact of rocks upon each other).
การมีอยู่นั้นจำเป็นต้องการสิ่งที่สามของมันอเสมอ(existence
requires always as its third),
คุณสามารถได้การเคาะกันของก้อนหิน(you can get the rock knocking),
ดวงอาทิตย์(the sun)และความชื้น(and
the moisture), ต้นไม้ล้มฟาดลงสู่พื้นดิน(the
tree crashing to the ground). อ้า,
ดวงอาทิตย์รินไหลพลังงานไฟฟ้าออกมา(the sun pouring out electrical
energy),
แต่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ใดเลยที่สถาปนาการมีอยู่ขึ้นได้จนกว่าได้สัมพันธ์กับปมประสาท(none
of these things constitute existence until related to the neurological complex).
แล้วคุณต้องมองย้อนหลังกลับไปและพูดในเวลาเดียวกัน(have
to look backward and say at the same time). ปมประสาทนั้น(the
neurological complex)ก็เป็นของโลกเช่นเดียวกันกับดวงอาทิตย์(belongs
to the same world as the sun). มันเป็นรูปแบบทางกายภาพ(it’s a
physical pattern), มันเป็นพฤติกรรมทางกายภาพของพลังงาน(behavior
physical energy).
แต่มันได้รับเอาปมอันสลับซับซ้อนของรูปแบบนี้(it
takes this complexity of pattern)ไปทำให้เกิดโลก(to
evoke the world). คุณเห็นแล้วว่าความคิดนี้ไม่คุ้นเคยเลย(this
is unfamiliar)และนั่นเป็นความยุ่งยากของความเข้าใจ(that’s
the difficulty of understanding)ว่าทั้งหมดนั้นมันเป็นความคิดที่เรียบง่ายมาก(it’s a
very simple idea), แต่ว่ามันเป็นที่ไม่คุ้นเคยอันหนึ่งและมันก็เป็นที่ไม่ตามสมัยนิยมด้วยอีกอันหนึ่ง(it’s
an unfamiliar one and it’s an unfashionable one).
ถึงแม้ว่าอย่างที่ผมพูดว่าอะไรแบบที่คิดเช่นนี้นั้นกำลังกลับมาหาเราที่เวลานี้(this
sort of thinking is coming back to us at this time)อย่างใหญ่โตเป็นเช่นผลลัพธ์ของผู้คนของการทดลองทั้งหลายของผู้คนด้วยยากล่อม/เสพติดประสาท(as
people’s result of people’s experiments with psychedelics)ที่ซึ่งใครคนหนึ่งได้ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างสมบูรณ์ของโลกและตัวของตนเอง(where
one gets the perfectly uncanny feeling of the world and oneself).
เป็นเช่นสองวลีง่ายๆของกระบวนการหนึ่งเดียว(as simply two phrases of a
single process).
เอาละ, ดังเช่นการอุปมาเรื่องรุ้งกินน้ำ(as the
rainbow metaphor)ได้แสดงให้เห็นว่าเราได้โปรดปรานตาทมอำเภอใจไปกับคำอธิบายของสามเหลี่ยมสามมุมนั้น(illustrated
we arbitrarily favor an explanation of the triangle).
การปะทะกระแทกกันของพลังงานทั้งหลายในโลกภายนอก(the impact of energies in the
external world), กับผู้สังเกตการณ์ของการปะทะกระแทกนี้(and an
observer)ที่ซึ่งเป็นเช่นมันให้พลังงานอย่างดี(which
as it well energizes)หรือตระหนักรู้พวกเขา(realizes
them)ทำให้พวกเขาเป็นจริงขึ้นมา(makes them real).
ความยุ่งยากทั้งหลายที่เรามีในอคติของเรา(the
difficulties that we have in our prejudice)ว่ามันเป็นสองแรงกำลังข้างนอกนั่นเป็นความจริง(that
it’s the two forces out there that are real), และผู้สังเกตการณ์เป็นสิ่งไม่เกี่ยวข้องต่อความเป็นจริงของสถานการณ์นั้น(and
the observer is irrelevant to the reality of the situation).
มันเป็นอะไรที่เรากำลังพูดจริงๆ, มันได้ย้อนกลับไปหาแนวคิดทั้งปวงว่า
มนุษย์โดยตัวเองเป็นสิ่งที่แยกตัวออกมาต่างหาก(it goes back to the whole notion
that man himself is irrelevant). มนุษย์ได้ถูกให้นึกคิดบางอย่าง(man is
conceived something), เป็นเช่นนั้นเอง(therefore)จึงถูกกีดกันออกมาในหลากหลายหนทาง(that
is irrelevant in various ways).
เขาสามารถที่จะพูดได้ว่าถูกกีดกันให้ออกไปเพราะว่าเขาเป็นผู้เยี่ยมเยือนทางจิตวิญญาณจากอีกโลกอื่นมาร่วมด้วยกัน(to be
irrelevant because he is a spiritual visitor from another world altogether).
เขาสามารถถูกพูดได้ว่า,
ถูกกีดกันออกไปเพราะว่าเขาไม่มีความสำคัญ(to be irrelevant because he’s
unimportant), เขาทำความแตกต่างอะไรได้เพียงเล็กน้อยมากต่อจักรวาลสุดยอด(he
makes very little difference to the total universe),
เขาเล็กมาก(he’s very small).
แต่เมื่อคุณมีความคิดอะไรประเภทนี้(when
you get this kind of thinking), คุณก็ต้องการที่จะกลับไปถามว่า,
ทำไมผู้คนถึงต้องการที่จะเชื่อว่ามนุษย์เป็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด(why
people want to believe that man is irrelevant).
อะไรที่ในทฤษฎีประเภทนี้ทั้งหมดมองหาบางชนิดของ(what
in all theory of this kind look for some sort of),
เอาว่า, ถามคำถามว่า, อะไรที่ผู้คนเหล่านี้ต้องการจะบรรลุผลโดยทฤษฎีของพวกเขานี้โดยถือตราประทับไว้(what
do these people wan to achieve by their theory by holding the stamp).
และมันเป็นที่นิยมกันในศตวรรษที่ 19(it was
fashionable in the 19th century)มีมองยังมนุษย์ว่าไม่เกี่ยวข้องใดด้วย(to
look upon the man is irrelevant)เพราะบางเสียงของเหตุผลทางการเมืองอันชัดยิ่ง(for
the very sound political reasons), ที่ผมเองฟังดูก็อาจเป็นเหมือนพวกมาร์กซิสต์สักเล็กน้อยในการพูดเรื่องนี้(a
little bit like Marxist in saying this).
แต่มันเมื่อคุณอยู่กับความวุ่นวายโมโห(but
it’s when you’re on the rampage), คุณต้องเชื่อไม่ว่าจะเป็น
คุณคือตัวแทนของพระเจ้าอันยิ่งใหญ่และกำลังทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระองค์(you
have to believe either that you’re the representative of God almighty and doing
everything at his bidding), หรือว่า
อะไรที่คุณกำลังทำนั้นไม่ได้เป็นอะไรสำคัญเลยจริงๆแม้แต่น้อย(what
you’re doing isn’t really very important).
ไม่ว่าตำแหน่วงแห่งหนนั้นจะให้คุณอ้างแก้ตัวได้ในการประพฤติตนเป็นเหมือนผู้ป่าเถื่อน(either
position will give you an alibi for behaving like a barbarian).
แล้วผู้ยิ่งใหญ่ก็วาง/ปลงเอากับมนุษย์ว่ากิจกรรมทั้งหลายอันเล็กน้อยกระจ้อยริดของเรานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรไปกับพระเจ้า(so the
great put down on man that our little affairs are of no concern to God).
ขอบคุณสวรรค์ที่พระองค์ไม่ได้เฝ้ามองอยู่อีกแล้ว(thank heaven he’s not watching
anymore). (หัวเราะ) และเราสามารถหนีมาได้กับฆาตกรรมที่เป็นอะไรที่เราได้ต้องการจะทำ(we can
get away with murder which is what we wanted to do)ในการตั้งทำอาณานิคมทั้งหลายกันในศตวรรษที่
19th (in
the colonization doings of the 19th century), และการทำลายล้างรุนแรงทั้งหลายของสองสงครามโลก(and the
outrages of the two World Wars). ไม่มิพระเจ้ากำลังเฝ้าดูอยู่อีกแล้ว(there
is no God watching anymore).
คุณรู้มั้ย,
ครูได้ขาดเด็กนักเรียนชายทั้งหลายไป, มาปลุกนรกขึ้นมากันเถิด(let’s
raise hell), นั่นคือหนทางที่จะกำจัดครู. คุณรู้มั้ย,
พระเจ้าได้ตายแล้ว(God is dead),
ไปดื่มกันเหอะ.
และนอกไปจากนี้, คุณมองเห็นมันกลายช่างเป็นที่นิยมกันเหลือเกินที่คิดว่ามนุษย์แทบไม่มีความสำคัญเลย(it’s
so fashionable to think of man as merely unimportant),
เหยื่อตัวเล็กๆของกับดักจักรวาล(a little victim of the cosmic trap).
นั่นคือสักพักหนึ่งที่ชาวตะวันตกสูญเสียสำนึกของเขาของการพึ่งพาอาศัยกันของ,
เอ้อ, อะไรที่ชาวฮิบรูว์เคยเรียกว่า,
เขาสูญเสียสำนึกของเขาไปในตำแหน่งของมนุษย์ที่เป็นหัวโจกของธรรมชาติ(that
for a while, Western man lost his sense of the dependence of the, uh, what the
Hebrews used to call he lost his sense of man’s position as the head of nature).
และเมื่อคุณได้ยินความคิดเห็นทั้งหลายของผู้คนในทุกวันนี้(today
people’s comment)ในเรื่องตำนานโบราณของมนุษย์ที่เป็นหัวโจกของธรรมชาติ(on that old myth of man as the head of
nature). พวกเขาแสดงกลับมาในหนทางที่ตลกขบขันมาก. พวกเขาพูดว่า, โอ้
นั่นเป็นมุมมองที่ยโสโอหังมากที่สุด(that’s the most conceit point of
view), มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ๖man is part of
nature).
ก็ใช่, แต่ว่าทำไมว่านักธรรมชาติวิทยาทั้งหลาย(the
naturists)ผู้ที่คิดว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติถึงมักจะต่อสู้ธรรมชาติเสมอ(always
fighting nature). นั่นก็เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรซึ่งมันหมายถึงการเป็นหัวโจกของธรรมชาติ(to be
the head of nature).
ทุกสิ่งมีชีวิตคือหัวโจกของธรรมชาติตามลิ้นของมัน(every
creature is the head of nature in its tongue)และเราทั้งหมดก็หมุนเวียนผลัดกันเป็น,
เพราะว่าการหมุนเวียนผลัดกันทั้งหลายนั้นเองที่ทำให้โลกนี้หมุนต่อไป(because
it’s taking turns that makes the world go round).
ทุกสิ่งมีชีวิตอยู่ในรอบหมุนเวียนของมันในการผลัดกันเป็นหัวโจกของธรรมชาติ(every
creature in its turn is the head of nature),
เพราะว่าแต่ละสิ่งมีชีวิตต่างก็สร้างโลกในทัศนภาพของมันเอง(each
creature creates the world in its own image)และดังนั้นแต่ละสิ่งที่มีชีวิต/สรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเป็นเช่นผู้สร้างของโลกนี้ก็คือมนุษย์(and so
each creature as a creator of the world is man).
มนุษย์อย่างง่ายๆก็หมายความว่า, ตำแหน่งตรงกลาง(the middle position),
นี้คือความคิดทั้งปวงของมนุษย์(the whole idea of man),
ตรงกลาง, หนทางตรงกลาง(the middle way),
มรรควิถี(the mean).
และดังนั้น,
ที่ใดก็ตามซึ่งเป็นจุดตรงกลางอันจุดนั้นถูกดเรียกว่ามนุษย์(wherever
is the central point that the point called man),
ดังเช่นที่คุณคือศูนย์กลางของจักรวาลของคุณ(as you are the center of your
universe), และ, เอ้อ, บรรดาโหราจารย์ทั้งหลาย(the astrologers)ได้อธิบายว่า
เมื่อคุณต้องการที่จะเขียนรูปแผนที่ของจิตวิญญาณ(to
draw a map of the Soul),
คุณยึดเอาที่จุดศูนย์กลางที่มีปัจเจกชีวอินทรีย์อาศัยครอบครองอยู่(the
center point occupied by the individual organism).
พูดได้อีกคำอย่างอื่นว่า, วันและเวลาหนึ่ง(the
date and a time), ที่ให้เส้นรุ้งและเส้นแวงกับคุณ(that
give you a latitude and a longitude). และดังนั้นในการสัมพันธ์เชื่อมโยงกับวันและเวลานั่น(in
relation to that date and time),
ว่าจักรวาลนั้นได้จัดเรียบเรียงแสดงแผนที่ของจิตวิญญาณปัจเจกบุคคล/ส่วนบุคคล(shows
the map of the individual soul). เพราะว่าปัจเจกบุคคลนั้นคือจักรวาลทั้งปวงที่ได้วินิจฉัยจากจุดมุมมองนี้(the
individual is the whole universe considered from this point of view)หรือเพ่งเน้นอยู่ที่จุดมุมมองนี้(or focused at this point of
view).
แล้วในหนทางเหมือนเช่นนี้,
สภาวะการของจักรวาลของผึ้งตัวหนึ่งหรือหนูตัวหนึ่ง(the
Cosmic situation of a bee or a mouse),
เอาหนูตัวนั้นมาอยู่ในตำแหน่งของมนุษย์, เมื่อหนูได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล,
ตอนนี้ทุกๆจุดในความต่อเนื่องของเส้นโค้งอวกาศ-เวลา(every
point in the curve of space-time Continuum)ก็คือจุดศูนย์กลางของจักรวาล(is the
center of the universe).
คุณสามารถมองเห็นมันได้ถึงแม้ว่านี้เป็นแค่การอุปมาอุปมัยเท่านั้น(although
this is only a metaphor),
และค่อนข้างไม่ได้เป็นคำอธิบายที่ถูกต้องเชิงคณิตศาสตร์และฟิสิกซ์(is not
quite right mathematical and physical description).
แต่เมื่อคุณพิจารณาถึงพื้นผิวของลูกบอลของทรงกลมหนึ่ง(consider
of the surface of a ball of a sphere), จุดใดๆบนพื้นผิวนั้นก็สามารถเป็นศูนย์กลางเพียงแค่หมุนมัน(any
point on that surface can be the center just rotate it).
อะไรที่ปรากฏที่เป็นมาอยู่ข้างหน้าเมื่อคุณมองดูมัน(what
appears to be the front as you look at it), และมันเป็นศูนย์กลางของพื้นผิวของลูกทรงกลมนั้นในจุดใดๆ(and
it’s the center of the surface of the sphere, any point).
ดังนั้นในแบบอย่างเดียวกัน,
ถ้าอวกาศของเราเป็นความโค้งเหมือนกับพื้นผิวของลูกทรงกลมหนึ่ง(if our
space is curved like the surface of a sphere),
มีจุดใดบนมันอาจได้ถูกการพิจารณาวินิจฉัยตามกฎหมายว่าเป็นศูนย์กลาง(there
any point on it may legitimately be considered the center).
และเช่นนั้นเองที่การได้พิจารณาวินิจฉัยว่าเป็นศูนย์กลางนั้นว่าจุดนั้นเรียกว่ามนุษย์(so
considered as the center that is the point called man).
ถึงแม้อย่างที่ผมพูดว่า, อาจจะเป็นหนู(mouse),
มันอาจจะเป็นมด(ant), มันอาจจะเป็นแมลง(it may
be insect), อะไรก็ได้. แต่สิ่งนี้กลายเป็นความประหลาดเหลือเชื่อและไม่สามารถจินตนาการได้(but
this becomes inconceivable and unimaginable).
สองปัจเจกบุคคล(two individuals)ผู้ไม่มีประสบการณ์รับรู้ของตัวพวกเขาเองในการเป็นศูนย์กลาง(who
have no experience of themselves as center).
และผู้คนที่ดึงดันอยู่กับความคิดของการเป็นผู้สังเกตการณ์วงนอก(on the
idea of being an objective observer),
กับการยืนอยู่ข้างนอกและเฝ้าดู(of standing outside and watching),
ปัจเจกบุคคลนั้น(the individual), โลกนั้น(the
world)ว่าเป็นอะไรแบบเช่นจอโทรทัศน์หรือจอภาพยนต์(as a
kind of television screen or movie screen),
ที่มีภาพแบบมุมกว้างระยะไกลของเหตุการณ์ทั้งหลายที่กำลังผ่านไปอยู่บนนั้น(upon
which there is a distant panorama of passing events),
ว่าบุคคลผู้นั้น, โดยการรับตำแหน่งนั้นเป็นของตน,
ได้แยกตัวเขาเองออกจากความรู้สึกของความเป็นศูนย์กลาง(that
person by adopting that position, has excluded himself from the feeling of
centrality).
ที่จริงแล้ว, เขาน่าจะมองลงมาที่ความรู้สึกของการเป็นศูนย์กลางมากกว่า(rather
looks down on the feeling of centrality). เขาบอกว่าเป็นสถานภาพหลงตัวเอง(he
says that is the egotistic situation)ที่คุณคิดว่าเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง(you
think you’re center of everything). แต่คุณก็รู้,
คุณอาจจะเรียกมันได้ทุกชนิดทั้งหมดของชื่อเลวๆทั้งหลาย(you may call it
all sort of bad names), คุณอาจจะเรียกมันว่าสถานภาพหลงตัวเอง(the
egocentric predicament), แต่วิถีมันก็เป็นกันเช่นนั้น(but
that’s the way it is). แต่มันก็เป็นการหลงตัวเองน้อยกว่าในการที่จะยอมรับมัน(it’s
much less egocentric to accept it)มากกว่าที่บอกว่า, เอาละ,
ฉันจะออกไปแล้วเล่นเกมพิสดารของตัวฉันเอง(I’ll go off and play my own
eccentric game)ในฐานะผู้สังเกตการณ์วงนอก(as
an objective observer), ผู้ซึ่งเป็นอะไรแบบตัวควบคุมข้างนอกโลก(who
is a sort of controller outside the world)ในความรู้สึกเชิงคุณภาพนั่น(in
that qualitative sense), ในความเชื่อต่อพระเจ้าที่มีเพียงหนึ่งเดียว(in
monotheistic God)ที่ได้บอกว่าอยู่ภายนอกโลก(is said
to be outside the world).
https://youtu.be/EcGFlUZyZ2Q?si=i8UHwSFa92B-qs4S
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น