หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ – “ความโง่เง่า ของ การยกเลิกกฎระเบียบ”

 ริชาร์ด วูลฟ์ฟ – “ความโง่เง่า ของ การยกเลิกกฎระเบียบ”

Wolff Responds: "The Folly of Deregulation" Dated February 14, 2025 (BONUS)

          https://youtu.be/KIBSl68nGrk?si=YGRgwMNnwlyij3Dt

          ยินดีต้อนรับเพื่อนทั้งหลายสู่รายการ “วูลฟ์ฟ ตอบสนอง” อีกอันหนึ่ง. อันนี้อาจจะตั้งชื่อเรื่องได้ว่า “ความโง่เชลา ของ การยกเลิกกฎระเบียบ.”

          การบริหารประเทศของทรัมป์ (Trump Administration) ในตอนนี้อยู่ในเดือนแรกของมันหรือราว ๆนั้น, ได้กำจัดหน่วยงานกำกับดูแลทั้งหลาย, ผู้ควบคุมทั้งหลาย, ผู้คนซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคจากการฉ้อฉลทุกประเภทขององค์กรทั้งหลายของรัฐ ผู้ที่ทำอะไรซึ่งเราเรียกว่า กำหนดมาตรการและควบคุม.  (has been getting rid of regulators, controllers, people in charge of protecting consumer from fraud all kinds of government agencies who do what we could call regulate.)

          เอาละ, เรื่องนี้โพ้นเลยไปจากคำว่า “โง่บัดซบ”. อนุญาตผมอธิบายอย่างง่ายๆ. ประวัติศาสตร์ของการกำหนดเกณฑ์ข้อบังคับ ของคณะกรรมาธิการ/ คณะกรรมการ คณะใดคณะหนึ่ง ที่คอยกำกับดูแล สาธารณูปโภค, อุตสาหกรรม, คุ้มครองผู้บริโภค เอ่อ การกู้ยืมเงินธนาคาร, ระดับ/ชั้นการจำนอง, ข้อกำหนดเกณฑ์การควบคุมกำกับดูแลทั้งหมดเหล่านี้ได้ถูกพัฒนามากว่า สองถึงสามร้อยปีของประวัติศาสตร์อเมริกา. (Well, this is beyond words stupid. Let me explain simply. The history of regulation of every one of the boards and commissions that oversee the utility, industry, consumer protection uh Bank Lending, mortgage level, all the regulation were developed over two to three hundred years of American history.)

          และในทุกๆสถานการณ์, สาเหตุก็จะเหมือนๆ กัน. อุตสาหกรรมทุนนิยมเอกชน/ปัจเจกบุคคลทั้งหลายด้วยรางวัลของพวกนั้นสำหรับพวกเขา, ที่ชื่อกำไร, ได้กำลังทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการเสี่ยง. ผมจำได้ว่าเคยผลงานชิ้นยิ่งใหญ่หนึ่งของอัพตัน ซินแคลริ์, บรรยายในหนึ่งในหนังสือทั้งทั้งของเขาเรื่อง อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์. และมีการบรรยายถึงการไปเยือนทั้งหลายของเขายังโรงฆ่าสัตว์ทั้งหลาย ที่มีเชื้อโรคทุกชนิดที่มีผลต่อเนื้อสัตว์ ซึ่งถูกฆ่าชำแหละนำมาให้เรากิน เพราะว่ามันสามารถสร้างกำไรในการที่ไม่ต้องใช้เงินมากเกินไปในการจ้างผู้คนมาคอยทำให้โรงฆ่าสัตว์นั้นสะอาดปลอดภัย. หรือทำให้แน่ใจได้ว่าโรงฆ่าสัตว์นั้นมีสุขอนามัยที่ดีและอะไรอื่นอีกทั้งหลาย.   (And in every situation, the cause was the same. Private capitalist Industries with their on the prize for them, namely profits, were doing things that were risky. I remember reading the great works of Upton Sinclair1, describe in one of his books the meat industry. And describing his visits to the slaughter houses where every kind of disease was affecting the meat that we eat because

1https://en.wikipedia.org/wiki/Upton_Sinclair

it was profitable not to spend too much money not to hire too many people to keep the slaughter house clean. To make sure the animals that were slaughtered were healthy and on and on and on.)

          เรื่องอื้อฉาวทั้งหลายได้ปะทุขึ้นมาเพราะสิ่งนี้ และผู้คนได้เรียกร้องสั่ง และนักการเมืองทั้งหลายในท้ายสุดก็ได้ยุบแฟ่บเหี่ยวลงยอมให้รัยบบาลได้สร้างหน่วยงาน/องค์กรรัฐเพื่อคอยดูแลรักาษมาตรฐานการนี้, เพื่อทำให้แน่ใจวฺกำไรเหล่านั้นจะไม่ฆ่าเราได้.(Scandals erupted because of this and the people demanded and the politicians finally caved in and created a government agency to keep tabs, to make sure that the profit motive didn’t kill us.)

          นั่นคือทำไมเรามีหน่วยงานรัฐ/องค์กรรัฐเหล่านี้. แล้วพวกเขาทำอะไรผิดพลาดไหม? แน่นอนว่าพวกเขาทำ. ทุกๆกิจการของมนุษย์คือกิจการของมนุษย์ ก็จะต้องทำอะไรผิดพลาดได้ และนั่นรวมถึง หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐ. (That’s why we have these agencies. Do they make mistakes? Of course they do. Every human enterprise is a human enterprise and will make mistakes and that includes the Regulatory Agencies.)

          แต่จะจินตนาการถึงว่าถ้าคุณยกเลิกกฎระเบียบการกำกับดูแลนี้, ก็คือคุณจะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรนอกไปจากเรื่องไร้สาระ. และมันทำให้เป็นสิ่งไร้เหตุผล. และมันก็ต้องทำเป็นเพิกเฉยต่อประวัติศาสตร์ที่คืออะไรซึ่งผมเพิ่งได้สรุปไปแล้วว่า หน่วยงานรัฐในการควบคุมกำกับดูแลทั้งหลายเหล่านั้นกลายมามีผลกระทบ เพราะปล่อยให้สิ่งทั้งหลายไปอยู่ในมือเศรษฐกิจภาคเอกชนสุดโต่ง คือสิ่งอันตราย. (But to imagine that if you deregulate. You will have nothing but good result is non-sense. And it makes no sense. And it has to ignore the history which is what I just summarized, that those regulatory agencies came into effect because leaving things to the private maximizing economy is dangerous.)

          ทำไมเรามีองค์การอาหารและยารึ? เพราะว่าเราเอาอาหารและยาทั้งหลายเข้าไปในร่างกายของเรา และเราไม่สามารถยินยอมให้นั่นถูกปกครองครอบงำโดยผู้คนที่มีความสนใจหลักอยู่ที่ไม่ใช่สุขภาพของเรา, แต่เป็นผลกำไรทั้งหลายของพวกเขา. (Why do we have a Food and Drug Administration? Because we put the food and the drugs into our bodies and we can’t allow that to be governed by people whose major interest is not our health, but in their profits.)

          เราต้องเรียนรู้บทเรียนในที่นี้ในสหรัฐอเมริกามากว่าสอง, สองกับอีกครึ่งศตวรรษที่จะเลิกทำสิ่งทั้งหมดนั่น. ในตอนนี้ด้วยบางความคิดอันบ้าคลั่งที่ว่า นี่กำลังจะเป็นการสิ่งที่ดีกว่าประวัติศาสตร์อันไร้สาระ, ก็คือทฤษฎีอันไร้เหตุผล. มันอาจจะดูดี. มันอาจจะฟังเหมือนว่าเป็นความคิดอันยิ่งใหญ่. แต่มันเป็นที่ขัดแย้งกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งและผู้ใดใดที่รู้และได้เชื่อมติดกับประวัติศาสตร์แท้จริงของฌศรษฐกิจอเมริกันนี้ตลอดมา. (We’ve to learn that lesson here in the United States over the last two, two and a half centuries to undo all of that. Now with some wild idea that this is going to make things better is historical nonsense, is theoretical nonsense. It may look good. It may sound like it’s great idea. But it is contradicted by anything, and anyone who knows and is connected to the actual history of the American economy.)

          เพื่อปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน. เพื่อให้เรื่องราวรวดเร็วที่จะพูด, จงมองดูองค์กรนี้ทำบางอย่างที่มันไม่ควรจะได้ทำ, เพราะเช่นนั้นจึงกำจัดมันออกไป. มันเป็นการเข้าใจผิดอย่างเด็กๆ, แต่คุณก็รู้ว่า มันเป็นชิ้นเล็กๆน้อยๆเหมือนเช่นนั้น. ถ้าไม่มีอะไรดึงลากนักการเมืองเอาไว้จากการพูดอะไรก็ได้ตามใจชอบ, พวกเขาก็สามารถหลบออกไปได้กับมัน, ที่จะทำเพื่อให้อาชีพการงานทั้งหลายของพวกเขาใหญ่โตขึ้น.  (For a sound bite. For a quickly story that says, look this agency did something it shouldn’t have done, therefor get rid of it. It is a childish misunderstanding, but you know it’s a little bit like that. If there’s nothing holding back a politician from saying whatever, they can get away with, to make their careers bigger.)

          เอาละ, งั้นเรามาที่การกำจัดทำลายนี้กันว่าอะไรที่เราจัดวางให้เข้าที่ไว้เพื่อปกป้องเรา. และคุณก็รู้ว่าอะไรกำลังจะบังเกิดขึ้นที่ดเราในตอนนี้ที่กำลังจะได้เห็น การค้นหาของนายทุนไร้การถูกควบคุมกำกับดูแล ราวกับว่าเป็นเรื่องมีอยู่เสมอเพื่อดอลลาณ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นเช่นหมายเลขหนึ่ง ในลำดับความสำคัญ, เป็นบรรทัดล่างต่ำสุด.(Well, then we get this eradicating what we put in place to protect us. And you know what’s going to happen we are now going to see unregulated capitalists searching as the always have for the almighty dollar as number one priority, the bottom line.)

          และเราทั้งหมดกำลังจะได้รับความเจ็บปวดโดยการนั้น. สินทรัพย์จำนองของเรา, บ้านของเรา, อาหารการกินของเรา, ยารักษาโรคของเราทั้งหลาย, พวกนี้กำลังจะไม่ได้รับการควบคุม. บริษัทห้างหุ้นส่วนทั้งหลายจะตัดใจได้ตามลำพังว่าอะไรที่บังเกิดกับเรา. (And we are all going to be hurt by that. Our mortgage, our home, our diet, our medications, they’re not going to be controlled. The corporations alone will decide what happens to us.)

          และคุณก็รู้ว่าอะไรคือจุดจบของเรื่องราวนั่นก็คือ การเคลื่อนไหวมวลชน, 2, 4, 8 ปีทั้งหลาย ลงมาที่ถนนและคุณก็รู้ว่าอะไรที่มันจะถูกเรียกว่า การควบคุมกำกับดูแล. ที่จะนำเอามันกลับคืนมาเข้าที่ทางในอะไรที่ การบริหารของทรัมป์กำลังกำจัดมันออกไปอยู่. (And you know what the end of that story will be a massive movement, two four eight years down the road and you know what it’ll be called Reregulate. To put back in place what the Trump Administration is getting rid of.)

          และราคาของสิ่งที่ต้องจ่ายไปโดยเรา ผู้ที่จะทุกข์, จะเจ็บปวด, จะตาย, จะถูกบิดกเบือน. เพราะว่ามันเอารัดเอาเปรียบด้วยการเมืองกันต่อกลุ่มของนักการเมืองทั้งหลาย(And the cost all of us who will suffer, be hurt, be dead, be abused. Because it was politically advantageous to a group of politicians.)

          ถ้าวีดิโอนี้กระแทกใจพวกคุณว่ามีคุณค่าดังข้อคิดเห็นทั้งหลายกันกับประเด็นวาระรายการของเราที่ปรากฏในวันนี้, แล้วได้ฏโปรดแบ่งปันพวกเขาให้กับเพื่อนทั้งหลาย, เพื่อนบ้านทั้งหลาย, เพื่อนร่วมงานทั้งหลาย, ครอบครัว. นั่นคือทำไมที่เราผลิตสร้างพวกเขาขึ้นมา. และแน่นอน, ดังที่คุณรู้, มันมีค่าใช้จ่ายเงินที่จะทำสิ่งนี้ และถ้าคุณสามารถช่วยเหลือเราโดยการแบ่งปันบ้างสักเล็กน้อย, มันจะช่วยเหลือในการผลิตสิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้นและแพร่กระจายพวกเขาออกไปของสิ่งเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้นอย่างมีประสิทธิผล ทั่วสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก. ขอบคุณครับ. (If videos like this strike you as worthwhile as comments on the immediate topical issues of our day, then please share them, friends, neighbors, co-workers. Family. That’s why we make them. And of course, as you know, it costs money to do this and if you can help us by contributing a little, it would help produce more of these and spread them more effectively across the United States and around the world. Thank you.)

            https://youtu.be/KIBSl68nGrk?si=Q-R0iNV5vnOebolC

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

เบอร์นี่ แซนเดอร์ส – “นี่คือที่เราจะต่อสู้กลับอย่างไร”

 เบอร์นี่ แซนเดอร์ส – “นี่คือที่เราจะต่อสู้กลับอย่างไร”

*NEW* "This is HOW we FIGHT BACK" 2025 - Bernie Sanders Latest

          https://youtu.be/Xqxig5RJ06c?si=2yxanbl6vaJMke3D

 

          ขอบคุณอย่างมากที่มาร่วมกับผม. เรากำลังอยู่ในชั่วขณะอันตรายและไม่อาจคาดการณ์ได้ ในประวัติศาสตร์อเมริกัน, และผมกำลังได้รับโทรศัพท์ทั้งหลายจากผู้คน ผู้ซึ่งไม่เพียงแต่จะวิตกกังวลเท่านั้นเกี่ยวกับว่าอะไรกำลังบังเกิด, สงสัยว่าเราจะไปข้างหน้าอย่างไรให้ดีที่สุด. (We are living in a dangerous and unpredicted moment in American history, and I’m getting a lot of calls from people who are not only upset about what’s happening, wondering how we best going forward.)

          เอาละ, ให้ผมบอกคุณ, เราต้องชาญฉลาด. เราต้องรวมตัวกันเป็นองค์กร, และเราต้องต่อสู้กลับ. นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการหมกหมุ่นอยู่ในความสิ้นหวังและหลบซ่อนตัวอยู่ใต้สิ่งปกคลุม. เดิมพันทั้งหลายนั้นสูงเกินไป. เราไม่ได้แค่ต่อสู้เพื่อตัวของเราเอง. เรากำลังต่อสู้เพื่อลูกหลานทั้งหลายของเรา, เพื่ออนาคตของชนรุ่นหลังทั้งหลาย. เรากำลังต่อสู้เพื่ออนาคตของดาวเคราะห์นี้. (Well, let me tell you, we have got to be smart. We’ve got to be organized, and we’ve got to fight back. This is not a time for wallowing in despair and hiding under the covers. The stakes are just too high. We are not just fighting for ourselves. We’re fighting for our kids, for future generations. We’re fighting for the future of this planet.)

          ในสองสัปดาห์แรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา, โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขัดขืนท้าทายรัฐธรรมนูญ โดยการยกเลิกจบสิทธิการเป็นพลเมืองด้วยการเกิดในประเทศ, ไล่หมาเฝ้าบ้านทั้งหลายของรัฐบาล(เจ้าหน้าที่ของรัฐ - ผู้แปล) ปล่อยให้มีการเจาะเข้ามาตามแนวชายฝั่งพรมแดนทั้งหลาย, อภัยโทษผู้ก่อความไม่สงบที่ใช้ความรุนแรงทั้งหลาย, ได้ระงับการสงเคราะห์ช่วยเหลือต่างประเทศ, และได้พยายามที่จะตัดเงินกองทุนรัฐบาลกลางแทบทั้งหมด. (In the first two weeks of his presidency, Donald Trump defied the Constitution by ending birthright citizenship, fired the government watchdogs allowed drilling along our coastlines, pardoned violent insurrectionists, suspended all foreign aid, and tried to cut off virtually all federal funding.)

          ดังนั้น, แล้วเราจะไปข้างหน้ากันอย่างไร? (So, how do we go forward?)

          อันดับแรก, เพื่อให้เป็นที่ได้ผล, เราต้องมีความเข้าใจว่าอะไรในข้อเท็จจริงที่กำลังบังเกิดขึ้นรายรอบเราอยู่ในตอนนี้. (First, to be effective, we’ve got to understand what in fact is happening around us right now.)

          อันดับที่สอง, เราจำเป็นต้องการยุทธศาสตร์ระยะสั้น. อะไรที่เราทำวันพรุ่งนี้และวันถัดไปและวันถัดไปหลังจากนั้น? (Second, we need a short-term strategy. What do we do tomorrow and the next day and the day after that?)

          อันดับที่สาม, เราจำเป็นต้องการยุทธศาสตร์ระยะยาว. เราจะก่อสร้างการเคลื่อนไหวที่เราได้รับอำนาจทางการเมือง อย่างไรกัน?(Third, we need a long-term strategy. How do we build a movement that gains political power?)

          ในที่นี้, ในมุมมองของผม, ภาพรวมสรุปโดยย่อเป็นเช่นอะไรที่กำลังบังเกิดขึ้นภายใต้ทรัมป์. (Here is, in my view, a brief overview as what is happening under Trump.)

          ที่สำคัญมากที่สุด, การเคลื่อนที่ไปสู่ระบอบคณาธิปไตยในประเทศของเรา, ว่าประเทศของเราดำเนินการโดยคนรวย และทรงอำนาจที่มีการดำเนินการอย่างรวดเร็วอยู่. และมันไม่ได้เป็นไปอย่างลับๆ. เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน, โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทำพิธีสาบานตนสำหรับการดำรงตำแหน่งในวาระที่สองของเขา, ที่กำลังยืนอยู่ที่ข้างหลังเขาเป็นสามชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลก, อีลอน มัสก์, เจฟฟ์ เบโซส และมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก. เหล่าผู้ชายซึ่งได้กลายเป็นกลายเป็นร่ำรวยขึ้นกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้ง, และใครในตอนนี้มีมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เงินมากขึ้นกว่าสังคมชนอเมริกันครึ่งล่าง, 170 ล้านผู้คน. (Most importantly, the move toward Oligarchy1 in our country, government run by the rich and the powerful is proceeding rapidly. And it’s not being done secretly. A little a week ago, Donald Trump was inaugurated for his second term, standing right behind him were the three richest men in the world, Elon Musk, Jeff Bezos and Mark Zuckerberg. Men who have becomes over $200 billion richer since Trump was elected, and who now are worth almost $1 trillion more money than the bottom half of American society, 170 million people.)

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2

 

          แต่มันไม่ใช่คณาธิปไตยที่เราควรจะวิตกกังวลถึง. ประเทศนี้ภายใต้ทรัมป์กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปสู่ลัทธิอำนาจนิยม/ เผด็จการ. (But it’s not just oligarchy that we should worry about. This country under Trump is moving rapidly toward Authoritarianism2.

          2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

          แค่สองสามตัวอย่าง: ในการละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายรัฐบาลกลาง, ทรัมป์ ได้พยายามในวันก่อนที่จะระงับความช่วยเหลือสงเคราะห์และเงินกู้ทั้งหมดของรัฐบาลกลาง. นั่นหมายความเขาได้ปิดกั้นเงินทุนช่วยเหลือสำหรับ เมดิเอด, เฮด สตาร์ท, แสตมป์อาหาร, อาสาสมัครผู้ไร้บ้าน ฯลฯ. หลายหมื่นล้านคนอเมริกัน, บางรายเป็นผู้คนที่เปราะบางมากที่สุดในประเทศของเรา, ได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจนี้. (Just a few examples: In violation of the Constitution and federal law, Trump attempted the other day to suspend all federal grants and loans. That means he blocked funding for Medicaid, Head start, food stamps, homeless veterans, etc., etc.  Tens of millions of American, some of the most vulnerable people in our country, were impacted by the decision.)

          อย่างโชคดี, ชาวอเมริกันทั้งหลายทั่งทั้งประเทศทั้งหมดได้ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธและได้พูดว่า ไม่, ไม่, ไม่. และด้วยการช่วยเหลือขากศาลทั้งหลาย, อย่างมาก, แต่ก็ไม่ทั้งหมดของการยับยั้งและกองทุนทั้งหลายได้ถูกล้มเลิก. คุณอาจจะสังเกตเห็นได้ว่า ทรัมป์ได้กำลังข่มขู่สื่อทั้งหลายด้วยการฟ้องร้องคดีความ ต่อ ABC, CBS, Meta และ Des Moines register. (Fortunately. Americans all across the country stood up in outrage and said no, no, no. And with the help of the courts, much, but not all of that freeze and funding was rescinded. You may have noticed that Trump is intimidating the media with lawsuits against ABC, CBS, Meta and The Des Moines Register.)

          ถ้าทรัมป์ไม่ชอบในอะไรที่สื่อรายงานข่าวทั้งหลาย, เขากำลังข่มขู่พวกนั้นด้วยการดำเนินคดีด้วยกฎหมาย, บ่อนเซาะขุด รัฐธรรมนูญ ที่แก้ไขครั้งที่ 1. (กีดกันรัฐบาลมิให้ออกกฎหมายซึ่งวางระเบียบสถาบันศาสนา หรือกฎหมายที่ห้ามการปฏิบัติศาสนาอย่างเสรี หรือลดทอนเสรีภาพในการพูด เสรีภาพสื่อ เสรีภาพในการสมาคม หรือสิทธิในการร้องทุกข์ต่อรัฐบาลเพื่อปัดเป่าความเดือดร้อน - ผู้แปล) นั่นคือการเคลื่อนไหวโดยตรงสู่ระบอบอำนาจอธิปไตย/เผด็จการ. ในตอนนี้, นั่นเป็นภาพรวมอย่างกว้างๆของที่ไหนซึ่งเราอยู่ที่ไหนในวันนี้. ในประเด็นของยุทธศาสตร์ระยะสั้น, เราต้องโหมระดมพลอย่างแข็งขันเท่าที่เราสามารถจะต่อต้านได้กับเป้าประสงค์อันตรายทั้งหลายของทรัมป์.  (If Trump doesn’t like what media reports, he is threatening them with lawsuits, undermining the First Amendment3. That is a direct movement toward authoritarianism. Now, that’s a very broad overview of where we are today. In terms of short-term strategy, we’ve got to mobilize as strongly as we can against Trump’s dangerous proposals.)

          3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_1

 

          และให้ผมแค่พูดเรื่องนี้, อย่างสำคัญยิ่ง, ใช่, พรรครีพับลิกันควบคุมวุฒิสภา. แต่เราอย่าได้ลืมไป, เสียงหลักใหญ่ข้างมากทั้งหลายของพวกเขานั้นเล็ก. ในสภาผู้แทนฯ, ที่มีอยู่ 435 สมาชิก, พวกเขามีสี่กลุ่ม-ลงคะแนน-หลัก. นั่นเป็นการชนะกันด้วยคะแนนเสียงเพียงน้อยนิดบางเฉียบ. และร่างกฎหมาย/รับบัญญัติทั้งหลายของพวกเขาก็อาจพ่ายแพ้ได้. มีจำนวนของรีพับลิกันข้างนอกนั้นผู้ซึ่งเอาชนะในเขตเดโมแครตทั้งหลายเพียงเล็กน้อยจากเกณฑ์วัดทั้งหลาย.  (And let me just say this, importantly, yes, the Republicans control the House and the Senate. But do not’s forget, their majorities are small. In the House, a body of 435 members, they have a four-vote majority. That is a razor thin margin. And their legislation can be defeated. There are a number of Republicans out there who won in Democratic districts by small margins.)  

          ดังนั้น, ให้ผมบอกกับพวกคุณ, พวกคนเหล่านี้ได้ตอบรับต่อโทรศัพทเรียกและอี-เมล์ทั้งหลายจริงๆ. ดังนั้น, ถ้ามีชิ้นใดของร่างกฎหมายที่คุณไม่เห็นด้วย, ก็จงไปที่โทรศัพท์ปและเรียกไปที่ศูนย์แคปิตอล ที่เบอร์ 202-224-2131. และอะไรที่เป็นบางอย่างของข้อกฎหมายในร่างรัฐบัญญัตินั้นที่เราควรจะเป็นที่ได้กังวลด้วย? (So, let me tell you, these guys do respond to phone calls and e-mails. So, if there’s a piece of legislation you disagree with, get in the phones and call the Capital switchboard at 202-224-2131. And what is some of that legislation that we should be concerned about?

          พรรครีพับลิกันในตอนนี้กำลังทำงานกับอะไรที่ได้ถูกเรียกว่า กระบวนการใช้เสียงข้างน้อยในการออกมาตรการทางกฎหมาย (50 วุฒิสมาชิก). ที่คือองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุด, ซึ่งน่าจะเป็นกาช่วยลดหย่อนภาษีก้อนโตสำหรับผู้มั่งคั่งที่จะต้องจ่ายให้แก่รัฐ, โดยการที่รัฐได้ตัดโครงการช่วยเหลือสุขภาพและโครงการสงเคราะห์อื่นๆ ซึ่งครอบครัวชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานรายได้น้อยจำเป็นต้องพึ่งพาอยู่.  (Republicans right now are working on what’s called the Budget Reconciliation Bill4. The most important element, which would be a massive tax break for the wealthy to be paid for by large cuts in Medicaid and other programs that working families and low-income people desperately need.)

          4 https://www.scbeic.com/th/detail/product/7444

          ในเวลาที่รายได้ไม่อาจคาดคะเนได้และความมั่งคั่งซึ่งไม่เสมอภาคทัดเทียมกัน เมื่อมีผู้คนมากมายเหลือเกินกำลังดิ้นรนต่อสู้ให้มีอาหารมาวางที่โต๊ะ, เราต้องไม่ทำร่ายทำลายโครงการสำหรับช่วยเหลือครอบครัวชนชั้นกลาง เพื่อที่จะได้ลดหย่อนภาษี/ตัดภาษีที่ต้องเก็บจากมหาเศรษฐ๊พันล้านทั้งหลายออกไปได้. (At a time of unprecedented income and wealth inequality when so many of our people are struggling to put food on the table, we must not savage programs for working families to provide huge tax breaks for billionaires.)

          เราต้องต่อต้านอย่างจริงจังพยายามของทรัมป์ ในการเนรเทศคนจำนวนมากมหาศาลออกนอกประเทศ. ใช่, เราต้องสร้างความแข็งแรงให้พรมแดนทั้งหลายของเรา. ใช่, เราควรเนรเทศผู้คนผู้ที่ได้ก่อเหตุร้ายอาชญากรรมร้ายแรงในประเทศนี้. แต่, ไม่, ไม่, เราไม่สามารถทำลายครอบครัวทั้งหลายผู้ที่ได้อาศัยและทำงานอยู่ในประเทศอย่างสันตอิสุขมาเป็นหลายทศวรรษ. (We must vigorously oppose Trump’s effort at mass deportation. Yes, we must strengthen our borders. Yes, we should deport people who have been convicted of serious crimes. But, no, no, we cannot destroy families who have lived and worked in this country peacefully for decades.)

          ไม่แค่ดเพียงโครงการเนรเทศมวลชนออกนอกประเทศของทรัมป์นี้ ผิดจริยธรรม, ดังทั้งหมดที่พวกคุณก็รู้, เรากำลังมองเห็นความเลวร้ายและวิบัติร้ายแรงทางภูมิอากาศกันในประเทศของเราและทั่วทั้งหมดทั้งโลกเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก. ลองคิดถึง L.A. ลองคิดถึงนอร์ธ แคโรไลนา. (Not only is Trump’s mass deportation program immoral, it will have a severely negative impact on our economy. AS all of you know, we are seeing extreme weather disturbances and devastation in our country and all over the world related to climate change. Think about L.A. Think about North Carolina.)

          เราต้องต่อต้านอย่างรุนแรงกับความบ้าบอเยี่ยงเด็กทารกและลัทธิบ้าบอนี้, ที่เพียงแต่จะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้กับสถานการณ์ภูมิอากาศ ให้ร้ายแรงเลวร้ายลงยิ่งขึ้น. และสิ่งเหล่านั้นเป็นแค่ส่วนน้อยของประเด็นวาระทั้งหลายที่กำลังลงมาหาตามท่อนั้นๆ. แต่เราไม่สามารถแค่เล่นป้องกัน. เราต้องเป็นฝ่ายรุก. (We must vigorously oppose this absurd drill baby drill doctrine, which only make an incredibly dangerous climate situation even worse. And those are just a few of the issues that are coming down the pipe. But we cannot just play defense. We have got to be on the offense.)

          กรุณาอย่าได้ลืมไปว่านั่นเป็นระเบียบวาระชองการประชุมที่เรากำลังต่อสู้เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนกันอย่างกว้างขวาง, ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางโดยครอบครัวชนชั้นกลาง/ชนชั้นทำงานทั้งหลายทั่วทั้งประเทศ และเราต้องดำเนิการต่อสู้ต่อไปสำหรับระเบียบวาระนั้นๆ. (Please never forget that the agenda that we are fighting for is widely supported, widely supported by working families all across this country and we must continue to fight for that agenda.)

          ผูเคนชาวอเมริกันไม่ต้องการให้ตัดโครงการสงเคราะห์เมดิคเอดและการแปรรูปของเมดิแคริ์ พวกเขาเข้าใจว่าการดูแลสุขภาพเป็นสิทธิของมนุษย์, ไม่ใช่สิทธิพิเศษที่มอบให้กัน. เราต้องดำเนินต่อไปในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเมดิแคริ์ เพื่อทั้งหมด เพื่อที่คนอเมริกันทุกคนได้รับการดูแลสุขภาพ ที่เขาและเธอจำเป็นต้องการ. (The American people do not want cuts to Medicaid and the privatization of Medicare. They understand that health care is a human right, not a privilege. We must continue the struggle for Medicare for All so that every American has the healthcare that he or she needs.)

          นั่นไม่ใช่ความคิดรุนแรงสุดโต่ง. นั่นเป็นอะไรที่คนอเมริกันต้องการ. ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำของรัฐบาลกลาง 7.25 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เป็นค่าจ้างแรงงานอันอดอยาก. เราต้องยกค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำให้เป็นค่าจ้างแรงงานที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ. ที่อย่างน้อยที่สุดคือ 17 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง. ถ้าคุณทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในอเมริกา, คุณควรจะไม่มีชีวิตอยู่อย่างอดอยากยากจน. (That’s not a radical idea. That’s what the Americans want. Federal minimum wage of $7.25 an hour is a starvation wage. We must raise that minimum wage to a living wage. At least $17 an hour. If you work 40 hours a week in America, you should not be living in poverty.)

          และทั่วทั้งประเทศนี้, เรามีวิกฤตใหญ่ในเรื่องบ้าน/ ที่อยู่อาศัย. และมันไม่ใช่แค่เพียง 500,000 ของคนที่ไร้บ้าน. มันเป็นหลายล้านของครอบครัวชนชั้นกลาง/ ชนชั้นทำงาน ผู้ที่ใช้เวลา 40, 50, 60 ปีด้วยรายได้อันจำกัดในการจะได้บ้านมาสักหลัง. (All over this country, we have a major housing crisis. And it’s not just 800,000 who are homeless. It is millions of working families who are spending 40, 50, 60% of their limited incomes on housing.)

          แทนที่จะใช้จ่ายเกือบ 1 ล้านล้านในหนึ่งปีกับความสูญเปล่าและพุงปลิ้นบวมพองของงบประมาณของเพนตากอน, เราต้องสร้างบ้านพักอาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและสามารถจ่ายได้ เป็นนับหลายล้านหน่วย. และเมื่อเราทำนั่น, เราได้เอาผู้คนจำนวนมหึมาทั้งหลายไปทำงานที่ งานทั้งหลายที่ค่าจ้างดีของสหภาพ. (Instead of spending almost $1 trillion a year on a wasteful and bloated Pentagon budget, we have got to build millions of units of low income and affordable housing. And when we do that, we put large numbers of people to work at good paying Union jobs.)

ผมสามารถว่าต่อไปได้อีกยาวยาน, แต่ให้ผมสรุปด้วยการบอกอย่างนี้: สหรัฐอเมริกาเป็นประชาชาติที่มั่งคั่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก. ถ้าเรายืนขึ้นร่วมกันและต่อต้านความพยายามทั้งหลายของฝ่ายขวาสุดโต่งที่จะแบ่งแยกเราขึ้นด้วยเรื่องชาติพันธุ์ของเรา, ด้วยศาสนาของเรา, ด้วยการระบุเพศของเรา, หรือที่ซึ้งเราเกิด, ถ้าเรายืนหยัดกด้วยกัน, ไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถทำให้สัมฤทธิ์ผลได้. (I could go on and on, but let me conclude by saying this: The United States is the wealthiest nation in the history of the world. If we stand together and oppose right wing efforts to divide us up by our race, by our religion, our sexual orientation, or where we are born, if we stand together, there is nothing that we cannot accomplish.)

          บรรทัดล่างสุด, เรามาไปข้างหน้ากันและต่อสู้เพื่อรัฐบาลและเศรษฐกิจที่ใช้การได้กับทุกๆคน, ไม่ใช่แค่คนส่วนน้อยสองสามราย. เราแค่ง่ายๆไม่มีความฟุ่มเฟือยของการร้องครวญครางและโหยไห้. (Bottom line, let us go forward and fight for a government and an economy that works for all, not just a few. We simply do not have the luxury of moaning and groaning.)

เราต้องยืนขึ้นและต่อสู้กลับไป. เราสามารถทำมันได้. (We got to stand up and fight back.  We can do it.)

มาไปข้างหน้าร่วมกัน. ขอบคุณอย่างมากครับ. (Let’s go forward together. Thank you very much.)

https://youtu.be/Xqxig5RJ06c?si=VeAZ6wZWSiakBA6V

                 

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ - วูลฟ์ฟตอบสนอง: “การต่อต่านความทุจริตฉ้อฉล ที่เรียกว่า ‘ธรรมาธิปไตย' ”

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ - วูลฟ์ฟตอบสนอง: “การต่อต่านความทุจริตฉ้อฉล ที่เรียกว่า ธรรมาธิปไตย' ”

Wolff Responds: "The Anti-democratic Fraud Called 'Meritocracy'" dated February 5, 2025

          https://youtu.be/ILljYRz_G-I?si=RNwKPL6_Kj9RRojC

          ขอต้อนรับเพื่อนๆสู่อีกอันอื่นของรายการ “วูลฟ์ฟ ตอบสนอง”. วันนี้เรากำลังจะพูดคุยเกี่ยวกับ ธรรมา (Merit)และ ธรรมาธิปไตย (Meritocracy). มันอยู่ในข่าวกันอย่างมาก เพราะว่าประธานาธิบดีทรัมป์ และผู้คนที่รายรอบเขา กำลังใช้ความคิดทั้งหลายและคำว่า “ธรรมา” และ “ธรรมาธิปไตย” เพื่อที่จะทำให้ยุติการเคลื่อนไหว DEI ที่ในสหรัฐอเมริกา.ความหลากหลาย, ความเสมอภาค, และการมีส่วนร่วม. (diversity, equity, inclusion – แนวคิดใหม่ของการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและยอมรับของนานาประเทศ) (people around him are using ideas and the words ‘Merit’ and ‘Meritocracy’ to justify the ending of the DEI1 movement here in the United States. Diversity, equality, inclusion.)

          1 https://en.wikipedia.org/wiki/Diversity,_equity,_and_inclusion

แนวความคิด DEI(Diversity, Equity, Inclusion - ความหลากหลาย/เสมอภาค/การมีส่วนร่วม - ผู้ถอดความ) อุบัติออกมาในการเคลื่อนไหวทั้งหลายในตอนเริ่มต้น ที่ผู้คนที่ได้แยกแยะเห็นต่อการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและอย่างไม่เสมอภาค ได้ตัดสินใจที่จะทำบางอย่างเกี่ยวกับมัน. และพวกเขาได้เผชิญหน้าแล้วสิ่งกีดขวางเหมือนเดิมนั้นได้มีการพยายามโดยผู้คนซึ่งได้ทำการเลือกปฏิบัติ, ผู้ที่ได้ทำการยกเว้นนั้น และอื่นๆอีกมากที่จะอ้างเหตุผลและอะไรซึ่งพวกเขาได้ทำดังราวกับว่ามันคือผลพลอยได้ของพันธสัญญาของพวกเขาที่จะได้บุคคลที่ดีที่สุดสำหรับงานของพวกเขา. (The DEI2 movement arose out of earlier movements in which people discriminated against excluded treated unfairly and unequally decided to do something about it. And they confronted then the same barrier the attempt by the people who did the discriminating, who did the excluding and so on to justify what they had done as if it was a byproduct of their commitment to get the best person for the job.)

          2 https://www.ffwthailand.net/ffw-in-focus/dei-26-09-2023/

 

          พูดได้อีกอย่างหนึ่ง, ที่จะใช้คุณธรรมเป็นเช่นบางอย่างของการวัดเชิงภววิสัย, การวัดถึงคุณค่าของบุคคล, ของสมรรถนะของบุคคลที่จะทำงานหนึ่ง และอะไรอื่นๆอีกมาก. ดังนั้นขอให้ผมได้อุทิศความคิดเห็นสั้นๆนี้บนความน่าขบขันอันจำเป็น ถ้าผมสามารถนึกคำหนึ่งขึ้นมาใช้กับความคิดในเรื่องคุณธรรมนี้ได้ คือ ธรรมาธิปไตย. เพราะว่ามันมักจะเป็น 100% ซึ่งฉ้อฉลทุจริต. (In other words, to use Merit as some sort of objective measure3, measure of a person’s worth, of a person’s capacity to do a job and so on. Let me therefore devote this short commentary on the necessary ridicules if I can up a word of the notion of the Merit and Meritocracy. Because it has always been 100% fraudulent.)

          3 https://library.dip.go.th/multim5/ebook/I.pdf

ให้ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องราวส่วนตัวอันหนึ่ง. เมื่อตอนที่ผมเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเยล. ไม่มีนักศึกษาใดในชั้นเรียน, ส่วยใหญ่ในชั้นวิชา, ที่เป็นผู้หญิงเลย. ถ้าจะมีสักคนในชั้นเรียนปริญญาตรีทั้งหลายของผม, พวกเขาก็จะมีน้อย, มากๆ. นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้มีคุณธรรมที่จะมาเข้าเรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยที่ เยล รึ? และคำตอบก็ความไม่เสมอภาคอย่างแน่ชัด, ว่า ไม่ใช่. (Let me begin with a personal story. When I was a graduate student in economics at Yale university. None of the students in the class, most of the classes I took, were women. If there were any women in my graduate classes, they were very, very few. Is that because they didn’t have Merit to get into graduate school at Yale? And the answer is an unqualified and obvious, no.)

นี่คือข้อพิสูจน์. ทุกวันนี้ไม่เป็นปกติที่จะมีหลักสูตรปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเยลและที่อื่นๆ ซึ่งจะไม่มีมากกว่าครึ่งของนักศึกษาทั้งหลายที่เป็นผู้หญิง. และพวกเขาก็ไปเป็นระดับศาสตราจารย์ทั้งหลาย. เมื่อผมยังเป็นนักศึกษาที่เยล, แทบจะไม่มีผู้หญิงสักคนใดเลยที่เป็นศาสตราจารย์. มันเป็นโอกาสและปฏิบัติการสำหรับผู้ชายล้วน ๆ. มีใครหาเหตุผลคิดออกมาได้, ในตอนนี้ที่จะอ้างได้ว่า ผู้หญิงเป็นประเภทที่ขาดซึ่งคุณธรรมสัมพันธ์เทียบกับผู้ชาย. (Here’s the proof. Today it’s not unusual to have graduate courses in economics at Yale and elsewhere in which more than half the students are in fact female. And they have gone on to be professors. When I was a student at Yale, there are hardly any women professors of economics. It was an all-male opportunity and operation. No one in the right mind, now would claim that women as a category lack Merit relative to men.)

แท้จริงแล้ว, ผมเชื่อว่าจำนวนมากมายท้ายสุดที่ผ่านมาเป็นผู้หญิงมากยิ่งกว่าผู้ชายในมหาวิทยาลัย, เอาเฉพาะในสาขาอาชีพทั้งหลาย. เมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก, เราไม่ได้มีตำรวจผู้หญิงเลย, พวกเขาถึงถูกเรียกว่า police-men. เพราะว่าไม่มีเพศอื่นเลย. และผมก็ไม่เคยเห็นพนักงานดับเพลิงที่เป็นคนผิวดำในครึ่งแรกของชีวิตของผม. (Indeed, I believe the latest numbers are more women than men are in college, let alone in the professions. When I was a child, we didn’t have female policemen, they were called policemen. Because there were no others. And I never saw a black firefighter in the first half of my life.)

ผมสามารถบอกได้อีกหลายอาชีพไม่มีที่สิ้นสุด, ผู้หญิงและคน-ที่ไม่ผิวขาวนั้นได้ถูกกำหนดจัดวางเป็นการเฉพาะไว้กับงานที่ต่ำกว่า, ค่าจ้างต่ำกว่า, รับผิดชอบน้อยกว่า. และมันได้เป็นที่มักจะถูกให้เหตุผลหักล้างถ้าคุณยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด, ด้วยความคิดเห็นทั้งหลายที่ว่า พวกเขาขาดแคนสมรรถนะอย่างไร. ที่เป็นอีกหนทางหนึ่งของการบอกว่า พวกเขาไม่มีคุณธรรม. (I could go on and on and on, women and non-white particularly were allocated lower job, lower pay, fewer responsibility. And it was always Justified if you brought it up, by comments about how they lacked the capacity. Which is another way of saying they didn’t have the Merit.)

แล้วใครมีคุณธรรมหรือ? ใครก็ตามที่ได้มีเงินมากที่สุดที่จะทำให้มันกระจ่างชัดว่า พวกเขาคือกลุ่มเดียวเท่านั้นที่มีคุณธรรมหรือ? ในตอนนี้, รัฐบาลทั้งปวงของสหรัฐอเมริกากำลังสับเปลี่ยนกับนับหลายพันหรือบางทีกระทั่งหลายล้านก่อให้เกิดการตกงานทั้งหลาย. เพราะว่าสองผิวขาวมหาเศรษฐีพันล้าน, ทรัมป์และมัสก์, กำลังตัดสินใจว่าใครคือผู้ที่มีคุณธรรม และใครคือผู้ไม่ใช่. (Who has Merit? Whoever’s got the most money to make it clear that they’re the only ones with Merit? Right now, the entire government of the United States is being reshuffled with thousands or perhaps even millions of people set to lose their jobs. Because two white billionaires, Trump and Musk, are deciding who has Merit and who doesn’t.)

และเราทั้งหมดได้คาดหวังที่จะทำให้เชื่อว่า นี้คืออะไรบางชนิดของการดำเนินการเชิงภววิสัย. มร. ทรัมป์ได้ยอมให้เรารู้แล้ว, ว่าจะเราจะเข้าถึงผู้หญิงอย่างไรเป็นตัวอย่าง, หรือผู้ที่ไม่ใช่คนผิวขาวเป็นตัวอย่าง. มัสก์, ผมไม่ณุ้, ผมไม่ได้ติดตามอะไรที่เขาพูด. คุณรู้มั้ย, มันไม่ไกด้มีอะไรที่เป็นคุณธรรมนัก. (And we’re all supposed to make believe that this is some sort of objective activity. Mr. Trump has already let us know, how we approach women for example, or non-whites for example. Musk, I don’t know, I don’t follow what he says. You know, it doesn’t have much Merit.)

ทีนี้, เรามาซื่อตรงกันหน่อย, คุณธรรมนั้นเป็นเหมือนความงาม. มันขึ้นอยู่กับาสายตาของผู้มอง. ถ้าคุณต้องการสิ่งใดเหมือนเช่นระบบคุณธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลที่ยุติธรรม. คุณก็ต้องได้ผู้คนที่หลากหลายมากมาทำการวินิจฉัยตัดสิน. คุณจะต้องมีผู้หญิงและคนไม่ใช่ผิวขาวทั้งหลายมานั่งอยู่ถัดไปจากคนที่ผิวขาว, พยายาม, และผู้ชายด้วย, พยายามที่จะคิดคาดวาดภาพมันออกมาจากทัศนภาพทั้งหลายซึ่งแตกต่างกัน อะไรที่พวกเขาอาจเห็นพ้องกันในประเด็นวาระของเรื่องคุณธรรมของใครบ่างคน. ไม่เช่นนั้นแล้ว, ถ้าคุณไล่แยกออกไปเสียแล้วคุณก็ไม่ได้มาซึ่งการวินิจฉัยถึงคุณธรรม.  (Now, let’s be honest, Merit is like Beauty. It’s in the eye of the beholder. If you want anything like a fair reasonable Merit system. You’d have to get very diverse people making the judgment. You’d have to have women and non-whites sitting right next to whites, trying and males trying to figure out from their different perspectives what they might agree on in term of someone’s Merit. Otherwise, if you exclude then you don’t get a Merit judgment.)

ให้ผมสรุปแก่คุณด้วยการ์ตูนอันยิ่งใหญ่หนึ่งที่ผมเห็นเมื่อสองสามปีที่แล้ว. มันเป็นภาพของชายผิวขาวคนหนึ่งกำลังพูดกับหญิงผิวดำคนหนึ่ง. และชายผิวขาวนั้นพูดว่า, “มันรู้สึกอย่างรีล่ะที่ต้องมาวิตกกังวลว่าคุณได้งานของคุณที่นี่ เพราะว่าคุณผิวดำและไม่ใช่เพราะคุณธรรมของคุณ.” และเธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเธอพูดว่า, “คุณบอกฉันสิ.” (Let me conclude with one of the great cartoons I saw a few years ago. It’s the pictures a white man speaking to a black woman. And the white man says to the black woman, ‘how does it feel to have to worry that you got your job here because you’re black and not because of your Merit.’ And she looks him up and down and she says, ‘you tell me.’)

นั่นถูกต้องแล้ว, ผู้คนที่อยู่บนยอดสุดในวัฒนธรรมประเทศของเรา, คนรวย, คนขาว, คุณก็รู้, อย่าง ทรัมป์และมัสก์, พวกเขาได้ตัดสินว่าอะไรคือคุณธรรม. พวกเขาไม่ได้มีคสวามสัตย์ซื่อที่จะสะท้อนบนอคติของพวกเขาเอง, กับการตัดสินวินิจฉัยของพวกเขาเอง, ความมั่นคงปลอดภัยของพวกเขาเอง ในขณะที่ก่อรูปอะไรที่พวกเขาพบว่ามีคุณธรรม. ดังนั้น, พวกเขาต้องอ้างเอาว่าพวกเขานั้นบางทีคณะผู้พิพากษาตัดสินของพระเจ้าในความยุติธรรมทั้งหลาย.  (That’s right, the people on top in our culture, the rich, the white, you know, like Trump and Musk, they’ve decided what counts as Merit. They don’t have the honesty to reflect on their own biases, their own judgments, their own securities as shaping what they find meritorious. So, they have to claim that they are somehow Godlike Supreme justices and judgments.)

ใครสามารถตกลงใจในคุณธรรมว่าไม่เคยเป็นจริง, มันเป็นเพียงคำแก้ตัวสำหรับการกีดกัน, การไม่เสมอภาค และการปฏิเสธอย่างคับแคบต่อกระทั่งความคิดในเรื่องความหลากหลาย. (Who can determine Merit that was never true, it’s been an excuse for exclusion, inequality and narrow refusals to even think about diversity.)

อย่าทำเป็นโง่, ความคิดเห็นทั้งหลายเหมือนเช่นนี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหลายของทุกวันนี้ ที่กระแทกใจคุณให้สนใจและคุ้มค่าต่อเวลาที่เสียไป. กรุณาแบ่งปันพวกเขาไป นั่นคือทำไมที่เราได้ทำวิดีโอเหล่านี้ขึ้นมา. และแน่นอนว่า, ถ้าคุณสามารถช่วยเราได้ในการลดค่าใช้จ่ายใดในการทำเรื่องนี้, นั่นจะเป็นที่ชื่นชมอย่างมหาศาลของเราด้วยเช่นกัน. ขอบคุณ. (Don’t be fooled. Of comments like these about the events of the day strike you as interesting and worthwhile. Please share them that’s why we make these videos. And of course, if you can help us defray the costs of doing this, that will be enormously appreciated as well. Thank you.)

 https://youtu.be/ILljYRz_G-I?si=xWTBzsWRjSSLYk06