กฎหมายชลประทาน
ใน
“มังรายศาสตร์”
ไกรศรี นิมมานเหมินท์
ในระหว่าง นายคามีล น็อตตอง
ได้เป็นกงสุลฝรั่งเศสประจำจังหวัดเชียงใหม่ ได้รวบรวมบรรดาพงศาวดารตำนาน กวีนิพนธ์
ตลอดจนการจดบันทึกที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของลานนาไทยไว้เป็นอันมาก
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีโชคดีผู้หนึ่งที่ได้รับความกรุณาให้ตรวจค้นดูเอกสารเหล่านี้
และอนุญาตให้คัดลอกไปได้บ้างเท่านที่ต้องการ
บรรดาเอกสารที่ข้าพเจ้าได้คัดลอกมา
มีฉบับหนึ่งเรียกชื่อว่า มังรายศาสตร์ หรือ กฎหมายพระเจ้ามังราย
ซึ่งข้อความพิสดารสมควรที่จะเผยแพร่ให้ชาวโลกได้เห็นความเจรญทางด้านการปกครองวัฒนธรรมอันสูงของอาณาจักรลานนาไทยในสมัยนั้น
น่าเสียดายที่ภายหลังข้าพเจ้าได้ส่งคืนต้นฉบับเดิมให้แก่เจ้าของแล้ว
ก็เดกรณีพิพาทระหว่างประเทศไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส คือใน พ.ศ. ๒๔๘๓
สถานกงสุลฝรั่งเศสในเชียงใหม่ถูกิดลง นายน็อตตอง กงสุลย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ...
*
บทความเรื่อง กำหมายชลประทานของพระเจ้าเม็งราย” ของ
คุณไกรศรี นิมมานเหมินท์ พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารชาวเหนือ โยนก ฉบับทีท ๒
ปีที่ ๗ เดือนกันยายน ๒๕๙๖
ในขณะนั้นในเชียงใหม่ได้เกิดมีคณะรักชาติขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า
“คณะเลือดไทย” ซึ่งได้บุกรุกเข้าในที่ทำการและบ้านของกงสุลฝรั่งเศส
ได้พบปะพงศาวดาร และตำนานดังกล่าวแล้วเป็นจำนวนมากมาย
ทั้งที่ได้คัดลอกลงสมุดไปแล้วก็มี ที่ยังเขียนอยู่ในสมุดข่อย หรือบนใบลานก็มี
หนังสือมีค่าทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ถูกทิ้งลงไปในแม่น้ำปิงบ้าง ที่เหลือก็ถูกเผาผลาญจนไม่เหลือซาก
พร้อมทั้งเอกสารและข้าวของอื่นๆของสถานกงสุล
จึงเป็นที่น่าเสียดายและเสียใจในทรัพย์สินอันมีค่าของชาติ
ซึ่งชาวต่างด้าวได้เป็นผู้ตรวจค้นหาและรวบรวมไว้โดยใช้เวลานับเป็นเวลาหลายสิบปี
แต่ได้มาถูกน้ำมือของคนไทยเราเอง ซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นผู้รักชาติ
ทำลายอย่างย่อยยับภายในชั่วเวลาเพียงไม่กี่นาที
บรรดาจังหวัดทั้งหลายในประเทศไทย
ไม่มีจังหวัดไหนเยที่มีการชลประทานดีเท่าจังหวัดภาคเหนือ
การชลประทานนี้ข้าพเจ้าหมายถึง การชลประทานราษฎร์ คือหมายความราษฎรเป็นผู้ขุดเหมือง
ทำฝาย ทำพะนังเอง โดยทางรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
และในบรรดาจังหวัดภาคเหนือเอง
การชลประทานประเภทนี้ก็คงไม่มีที่ใดจะเปรียบกับที่เชียงใหม่ได้
โดยที่จังหวัดภาคเหนือของเราเต็มไปด้วยภูเขา ถ้าชาวนาไม่รู้จักทดน้ำเข้านาน
โดยใช้วิธีเหมืองฝายและพะนังแล้ว เขาก็มีวิตอยู่ไม่ได้แน่ๆ
เพราะน้ำจะไหลไปสู่ลุ่มโดยเปล่าประโญชน์ ต้นข้าวในนาของเขาก็จะเหี่ยวแห้งตายหมด
ฉะนั้น การทำเหมืองฝายและพะนัง จึงเป็นสัญชาตญาณของชาวลานนาไทยจนถึงปัจจุบันนี้
เขาไม่ต้องคอยหรือร่ำร้องให้รัฐบาลทำให้ที่ไหนพอมีกำลังแรงงานและกำลังเงิน
เขาก็รวบรวมกันขุดเหมือง ทำฝาย
ช่วยแรงช่วยสิ่งของกันทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม...
ด้วยเหตุนี้ การชลประทานราษฎร์ในจังหวัดภาคเหนือจึงเจริญกว่าที่ไนๆ
จนถึงทุกวันนี้
ความเจรญของการชลประทานราษฎร์ดังกล่าวนี้
คงมีผลสืบเนื่องกันมาตามขนบธรรมเนียมและประเพณีที่ดีแต่โบราณ การขุดเหมืองเพื่อชักน้ำเข้านา
หาได้มีเพียงในระยะเร็วๆ นี้ไม่ ...
แม้ในสมัยก่อนที่พระเจ้าเมงรายจะเข้ามาตีอาณาจักรหริภุญไชย คือใน พ.ศ. ๑๘๒๔ ก็ปรากฏว่ามีการเกณฑ์แรงราษฎรชาวหริภุญไชยไปขุดเหมืองยาวถึง
๑๗,๐๐๐ วา หรือ ๓๔ กิโลเมตร เพื่อชักน้ำเข้านา เหมืองนี้คือเหมืองแข็ง ซึ่งต่อมาในสมัยพระเจ้ากือนา
รัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศืเมงราย ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็นเหมืองแก้ว
อยู่ในเขตอำเภอแม่รอม จังหวัดเชียงใหม่ และยังเป็นเหมืองที่ใช้ได้จนทุกวันนี้
และบางแขนงหรือบางส่วนของเหมืองแก้วนี้ในปัจจุบันเรียกว่า เหมืองวังลาว
ให้ชักน้ำเข้าหล่อเลี้ยงนาในอำเภอแม่รอม อำเภอสันทราย อำเภอเมือง ตลอดจนอำเภอสารภี
จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจำนวนหลายหมื่นไร่
เมื่อมีการขุดเหมือง ทำฝายขึ้นเช่นนี้
ก็จำเป็นต้องมีกฎหมายและข้อบัคับสำหรับการเหมืองฝายขึ้น จึงจะได้ผล ฉะนั้นในมังรายศาสตร์
หรือ กฎหมายของพระเจ้าเมงราย จึงได้ตราเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด
เพราะหตุว่าแม้จะมีการชลประทานเป็นอย่างดี
แต่ถ้าไม่มีอะไรสำหรับยึดเหนี่ยวไว้เพื่อเป็นระเบียบแบบแผนแล้ว ในที่สุดก็จะเกิดการโกลาหลขึ้น
ในสมัยโบราณเหมืองฝายถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก
เพราะถาไม่มีเหมืองฝายแล้วก็จะไม่มี “เข้าเป๋นเจ้า” รับประทาน ฉะนั้น จึงต้อมีศาลเทพารักษ์
สำหรับเฝ้ารักษาเหมือฝายนั้นๆ ผู้ใดสะหาวตีหอบูชาฝายท่านเสีย
ต้องถือว่าผิดผีฝาย” หมายความว่า ผู้ใดไปทำอันตรายต่อศาลเทพารักษ์ ซึ่งเฝ้าฝายอยู่ให้เสียหายลงมีความผิด
โทษจะต้องได้รับคือ “หื้อมันแปลงหอบูชาดั่งเก่า
แล้วหื้อมันแต่งเครื่องบูชาบริกรรมหื้อชอบแล้วหื้อมันแปลงฝายไว้ดั่งเก่า” นี่เป็นบทที่กำหนดไว้ในพระธณรมศาสตร์
แต่ถ้าหากยังมีผู้ใดที่ยังไม่ซ่อมแซมศาล และเซ่นไหว้ให้ถูกต้องแล้ว
กฎหมายจะติดตามลงโทษต่อไปอีก คือ “ถ้ามันบ่แปลงหอบูชา
หรือมันาเครื่องบริกรรมบ่ได้ ฝายก็แปลงบ่ได้ หื้มันเลี้ยงค่าคำกินคนพวกแปลงฝายนั้นต่อเท่าแล้ว”
คือ ผู้ทำผิดไม่สามารถทำงานด้วยตนเองได้ก็ต้องออกค่าจ้างให้คนอื่นทำแทน
และเลี้ยงอาหารคนทำงานจนเสร็จงาน มิเช่นนั้นต้องถูกปรับสินไหม “ถ้าฝายใหญ่ ไหม ๓๓๐ เงิน ฝายน้อย ไหม ๑๑๐
เงิน”
ตามปกติฝายในภาคเหนือมักจะใช้ไม้ไผ่เป็นท่อนๆ
ยาวประมาณ ๑.๕๐ เมตร เสี้ยมปลายให้แหลม ตอกปักลงไปในดินใต้พื้นแม่น้ำ
ไม้นี้ใช้จำนวนหลายหมื่นหลายแสนอัน จนสามารถปิดกั้นแม่น้ำไว้ได้ บางฝายเขาทำช่องไว้สำหรับให้เรือแพขึ้นลงได้สะดวก
แต่บางแห่งก็มิได้ทำช่องไว้ให้ ฉะนั้น หากชาวเรือแพ
ทำให้เรือของตนไปชนถูกฝายเสียหายด้วยความประมาท พระธณรมศาสตร์กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดไสแพล่อง
ถิ้มถูกฝายหลุ หื้อมันแปลแทน หรือมันแปลงบ่ได้ ฝายใหญ่เอาค่า ๑๑๐ เงิน ฝายน้อย ๕๒
เงิน”.... แต่ถ้าการกระทำนั้นเป็นของที่ช่วยไม่ได้ คือ “ล่องแพใหญ่
ถ่อพ่ายบ่แพ้ หื้อถิ้มฝายหลุเสีย หื้อมันแปลงแทน หรือมันแปลงบ่ได้ ฝายใหญ่เอาค่า
๕๒ เงิน ฝายน้อย ๓๒ เงิน เพราะว่าเหลือกำลังมันนา” กหมายก็ยังให้ความยุติธณรมแก่ผู้ที่ทำผิด
ถ้าทำฝายเสียหายโดยเจตนาหรือด้วยความประมาท ดังพระธณรมศาสตร์ได้กล่าวไว้ในตอนแรก
โทษปรับไหมก็สูง แต่ถ้า “ถ่อพ่ายแพ้” คือเกินกำลังที่จะถ่อหรือพาย
อาจเป็นเพราะแพหนักหรือน้ำเชี่ยว
ผู้ที่ทำผิดก็ยังได้รับความกรุณาลดค่าปรับไหมลงตั้งครึ่ง
เมื่อถึงเวลาต้องไปร่วมทำงาน เพื่อส่วนรวมเช่นทำเหมืองฝาย
แต่ผู้ใดผู้หนึ่งหนีเสียหรือไม่ยอมไปทำงานนี้
ครั้งถึงเวลาจะรับประโยชน์จากผลงานที่ทำ ตนกลับไปแอบลักเอาประโยชน์นี้เข้า
คนชนิดนี้ในสมัยโบราณถือว่าทำความผิดต่อสังคมอย่างฉกรรจ์
โทษอาจได้รับบาดเจ็บหรืออาจถึงประหารชีวิต ดังคำกล่าวในพระธรรมศาสตร์ว่า “อันหนึ่ง ผู้ใดบ่แปลงเหมืองแปลงฝายสักเม็ด
มันไปลักเอาน้ำท่าน หื้อตีหัวแตกแล้วปล่อยเสียบ่เยียะอั้นหือไหม ๑๐๐ เงิน”
แต่ถึงจะถูกลงโทษแล้ว ผู้ใดยังไม่เข็ดหลาบ กลับไปขโมยน้ำจากเหมืองฝายมาเข้านาของตนอีก
“หรือมันยังไปลักแถมเล่า หื้อฆ่าเสียคาที่นั้นแล”
เหมืองฝายอันเป็นของส่วนรวม
ผู้ที่ไปทำความเสียหายให้แก่สาธารณวัตถุ ย่อมต้อ
มีโทษเช่น “ผู้ใดไปลู่ง้างปากเหมือง
เสียเกิ่งหนึ่งก็ดี เสียทั้งมวลก็ดี หื้อมันแปลงแทน ถ้ามันแปลงบ่ได้
ฝายลูกใหญ่เอาค่า ๓๓๐ เงิน ฝายลูกน้อยเอาค่า ๑๑๐ เงิน”
แต่ถ้าผู้ทำผิดไม่มีเงินเสียค่าปรับไหม “หื้อมัดใส่คอกไว้ ๓ เดือน”
ตามปกติฝายมีที่ไหนปลาย่อมชุมที่นั่น
เพราะน้ำจะเอ่อเหนือฝายขึ้นไป แม่น้ำตอนนั้นจึงลึก และปลาจากแม่น้ำส่วนที่อยู่ใต้ฝายลงไป
ก็พยายามจะขึ้นไปอยู่ในน้ำลึกๆนั้น ฝายจึงเป็นสถานที่สำหรับปลาได้อย่างดี
ถ้าผู้ใดทำความเสียหายให้แก่ฝาย เพื่อตนจะสะดวกในการจับปลานั้นๆ
ก็จะได้รับโทษปรับไหมหรือจำคุก
แม้แต่ลำเหมืองที่ทดเอาน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงต้นข้าวในนา
หากผู้ใดที่ไปหาปลาในลำเหมืองนั้น “ป้านเหมืองกินปลา
หื้อน้ำทำนาท่านขาดแห้งเสีย หื้อตีหัวมันแตกป่วยไปเสีย” นี่เป็นโทษสถานที่หนัก
แต่ผู้ต้องาอาจได้รับโทษสถานที่เบา เพียงถูกริบเครื่องมือจับปลา หรืเพียงแต่ “หื้อเอามันไปถึงเจ้าขุนหื้อสอนมันเสีย”
ก็ได้
น้ำที่ทดเข้าไปเลี้ยงต้นข้าวในนา
ก็มีคันนาป้องกันไว้มิให้ไหลไปสู่ที่ลุ่ม ถ้าผู้ใด “ข่างน้ำนท่านหาปลา
หื้อป้านไว้ดังเก่า หรือมันบ่ป้าน ถ้ากล้าท่านเสียหายเท่าใด หื้อใช้เท่านั้น” แต่เจ้าของนาขอร้องให้ผู้หาปลาทำคันนาให้ดีดังเดิม
ผู้หาปลาที่ทำความเสียหายกลับอวดดีจองหองด่าว่าเจ้าของนาด้วยถ้อยคำที่ต่ำและอบายช้าสามานย์
เจ้าของนามีอำนาจที่ถูกต้องตามกฏหมายที่จะตีศีรษะของผู้นั้นจนแตกก็ได้ “ผู้ใดข่างน้ำนาท่านเสีย
...เจ้าเข้าหรือเจ้านาว่าแก่มัน หื้อมันป้านแปลงไว้ดั่งเก่า มันสาวด่าเจ้านาเจ้าเข้า
...หื้อตีหัวแตกเสีย”
ผู้ที่เอาเปรียบต่อสังคม
ในสมัยโบราณรังเกียจและถือเป็นความผิดอย่างรุนแรงดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ
ที่เกี่ยวกับผู้ที่ไม่ยอมทำงานเหมืองฝาย แล้วมาแอบขโมยทดเอาน่ำจากเหใทองฝายนั้นเข้าไปล่อเลี้ยงต้นข้าวในนาของตน
ซึ่งอาจได้รับโทษถึงปรารชีวิตเช่นเดียวกัน แม้ในระหว่างผู้ที่ไปร่วมทำงานขุดเหมืองทำฝายด้วยกัน
หากมีผู้ใดเอาเปรียบผู้อื่นโดยแบ่งเอาน้ำส่วนมากมาเข้านาของตน
เหลือไว้ให้ผู้อื่นได้เพียงส่วนน้อย
ทำให้นาของผู้อื่นได้รับความเสียหายแห้งแล้งจนต้นข้าวตาย “หื้อมันผู้โลภใช้ค่าเข้าอันตายแดดนั้นเสีย”
แต่ถ้าผู้ทำผิดนั้นไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย
และกลับไปด่าว่าผู้ที่ได้รับความเสียหายด้วยถ้อยคำหยาบคาย ต้อปรับไหม ๑๓๐
เงิน
และเมื่อเกิดมีพิพาทในเรื่องการแบ่งน้ำขึ้น “หื้อเจ้าขุนเร่งปันน้ำ
หื้อเสมอกัน แล้วผู้หนึ่วผู้ใดบ่เชื่อยำคำนั้น กับไปลักเอาน้ำเมื่อกลางคืนหื้อไหม
๑๑๐ เงิน หรือไปลู่เอาเมื่อกลางวันก็ดีกลางคืนก็ดีแล้วมันมีเครื่องมือ (อาวุธ)
กับมือ หื้อฆ๋ามันเสียกับที่นั่น ถ้าบ่ฆ่าหื้อไหม ๓๓๐ เงิน” ฉะนั้น เราจะเห็นได้จากพระธรรมศาสตร์ตอนนี้ว่า
ผู้ใดที่ถืออาวุธไปแบ่งเอาน้ำมาเข้าในนาของตน ผู้นั้นโทษถึงตาย
มอเช่นนั้นก็อาจถกปรับ ๓๓๐ เงิน
ถ้านำน้ำในลำเหมืองใดมีน้ำแต่เพียงเล็กน้อย
และต้นข้าวกำลังจะแห้งเพราะน้ำไม่เพียงพอหล่อเลี้ยง หากมีเจ้าของนาผู้ใดเอาเปรียบผู้อื่น
ไปขโมยเพิ่มเติมน้ำข้าวของตนมากเกินส่วนที่ตนควรจะได้รับตามที่เจ้าขุนได้แบ่งให้ไว้
“หื้อตีผู้ลู่ลักหื้จนหัวแตก บ่อั้นหื้อยับตัวไปหาเจ้าขุนหื้อสอนมันตามคอง
ถ้ามันยังไปลู่ลักเอาน้ำแถมเ หื้อฆ่ามันเสียกับที่นั่น”
เท่าที่เขียนมาแล้ว ท่านผู้อ่านคงจะสังเกตเห็นว่ากฎหมายเมงรายหรือมังรายศาสตร์
ได้ลงโทษผู้ที่กระทำผิดไว้เป็นสองสถาน
ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดโดยมีการเอาเปรียบต่อสังคม โทษรุนแรงมากถึงประหารชิต
แต่ถ้าโทษนั้นเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวสังคม กฎหมายก็ลงโทษในสถานที่เบาคือเพียงประบไหม
หรือเพียงเรียกตัวผู้กระทำผิดไปว่ากล่าวอบรมให้ละเว้นการกระทำผิดอีกต่อไป
ข้าเพเจ้าไม่กล้ายืนยันว่ามังรายศาสตร์ฉบับนี้
เป็นของที่เขียนครั้งพระเจ้าเมงรายมหาราชยังเป็นกษัตริย์แห่ลานนาไทย คือระหว่าง
พ.ศ. ๑๘๐๑ ถึง พ.ศ. ๑๘๖๐ จริงหรือไม่? แต่ก็เข้าใจว่าคงเป็นกฎหมายเก่าแก่ที่คัดลอกต่อๆกันมา
เพราะในตอนหนึ่งของพระธรรมศาสตร์นี้เขียนไว้ว่า “ปีกัดไก๋ ศักราชได้ ๘๗๐ ตัว
ปัญญาณะหื้อหมื่นศรี ไหว้พระเมืองแก้ว แต่งสินไหมต่างเมืองมีสันนี้” ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากฎหมายฉบับนี้คงมีการต่อเติมหรือแก้ไขในสมัยพระเมืองแก้ว
(รกาลที่ ๑๔ แห่งราชวงศ์เมงราย) คือประมาณ พ.ศ. ๒๐๕๑ (โปรดสังเกตด้วยว่า จุลศักราช
๘๗๐ มิได้ตรงกับปี “กัดไก๋” การเขียนชื่อปีนี้คงจะผิด เนื่องจากคัดลอกต่อๆกันมา
แต่ จ.ศ. ๘๗๐ นี้ตรงกับรัชกาลพระเมืองแก้ว) และในตอนท้ายของพระธรรมศาสตร์มีถ้อยคำเขียนว่าดังนี้
“มังรายศาสตร์ฉบับนี้ หมื่นกว๊านทุงยุง เขียนสืบเอาต่อพระยาแสนหลวงจ่าใน
ผู้เป็นราชทูตในเมืองโยธิยา” ซึ่งเป็นดารแสดงให้เห็นหลักฐานได้ชัดว่า
พระธรรมศาสตร์ฉบับนี้มิใช่ของรุ่นใหม่
แต่เป็นกฎหมายที่ใช้ในสมัยลานนาไทยยังเป็นเอกราช ถึงกับมีการส่งราชทูตไปประจำที่กรุงศรีอยุธยา.
(จากหนังสือ
“วิพากษ์คดี “ศิลาจารึกพ่อขุนรามฯ บ้างก็ว่าปลอม - บ้างก็ว่าจริง”,
อโณทัย (คันธโร) อาตมา, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, พิมพ์ครั้งที่ ๑, มกราคม ๒๕๔๗, หน้า
๓๗๐ - ๓๗๖.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น