31.
การใช้วิจารณญาณ
คำว่า”วิจารณญาณ”
มีการใช้กันค่อนข้างมาก
เมื่อใดก็ตามที่ประสงค์จะให้ผู้คนคิดเอาเองว่าสิ่งใดผิดหรือถูก, ดีหรือเลว,
หรือการกระทำที่ควรหรือมิบังควร.
เช่นมักจะกล่าวว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้
ประชาชนสามารถที่จะใช้”วิจารณญาณ”ได้เอง ว่าเหมาะสม ไม่เหมาะสม, เชื่อได้
หรือเชื่อไม่ได้, หรือเป็นความจริงหรือเรื่องเหลวไหล.
ซึ่งมักจะพบบ่อยในจอโทรทัศน์ในรายการที่เสนอเหตุการณ์แปลกๆ, โดยจะบอกว่า
ให้ผู้รับชมรายการนั้นๆพึงที่จะใช้ “วิจารณญาณ”เอาเอง.
ในทางการเมือง ก็ได้ยินได้ฟังกันเสมอว่า
“ให้ประชาชนเป็นผู้ใช้วิจารณญาณ”.
ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนี้เสมือนจะสันนิษฐานว่า
คนทุกคนมี”วิจารณญาณ”ซึ่งพร้อมที่จะใช้ได้ในทุกโอกาสและในทุกๆเรื่อง ทำนองว่า”วิจารณญาณ”เป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
เช่นเดียวกับอวัยวะของร่างกาย หรือเป็นคุณสมบัติประจำตัว ซึ่งทุกคนจะต้องมี
ซึ่งเมื่อถูกขอร้องให้ใช้ ก็สามารถใช้ได้เลย. บางทีอาจจะเข้าใจว่า “วิจารณญาณ”
หมายถึง”ความคิด”ซึ่งใครๆก็”คิด”ได้ทั้งนั้น เช่นเดียวกับ “ความรู้สึก”ซึ่งคนเราก็ย่อมจะมี”ความรู้สึก”ได้ทุกเรื่องโดยธรรมชาติ.
ผมเองมีความคิดตะขิดตะขวงใจในเรื่องของ”วิจารณญาณ”นี้มานานแล้ว
เพราะเมื่อใดที่มีผู้บอกให้ผม “ใช้วิจารณญาณ” ผมก็มีความรู้สึกคล้ายกับว่าถูกบังคับให้ทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ผมทำไม่ได้
หรือไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ซึ่งถ้าหากจะฝืนทำไป
ผลที่ออกมาก็ไม่ควรที่จะถูกต้องเพราะผมไม่มีความรู้, ไม่มีประสบการณ์
และไม่เคยพิจารณาใคร่ครวญในเรื่องนั้นๆแต่ประการใด.
แม้กระทั่งในเรื่องที่ผมพอมีความรู้และประสบการณ์อีกทั้งเคยใช้ความคิดมาบ้าง
ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมอยู่ในฐานะที่จะ “ใช้วิจารณญาณ” ในเรื่องนั้นๆหรือไม่.
ยกตัวอย่าง มีคนมาบอกให้ผม “ใช้วิจารณญาณ”
ว่าในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวหรือไม่. ผมก็คงจะกล่าวอะไรไม่ได้ทันที
เพราะจะต้องขอศึกษาข้อมูลต่างๆให้ชัดเจนเสียก่อน.
เมื่อเกิดความสงสัยว่าเพราะเหตุใดผมจึงพบความลำบากในการ”ใช้วิจารณญาณ”กระทำกันเป็นว่าเล่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสื่อสารทางการบ้านการเมือง มักจะได้ยินว่า “เรื่องนี้ประชาชนจะเป็นผู้ใช้วิจารณญาณเอง”,
ในประเด็นทางการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งแม้แต่สาระสำคัญของประเด็นนั้นๆ
เราก็ยังจับไม่ได้. เช่นประเด็นว่า ควรที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือ
ควรยุบสภาเพื่อเลือกตั้งกันใหม่หรือไม่. คำถามเหล่านี้ต่างกับคำถามที่ว่า
จะสั่งข้าวขาหมู หรือ ข้าวกระเพราไก่ สำหรับอาหารมื้อกลางวันนี้
ซึ่งทุกคนพอที่จะใช้ “วิจารณญาณ” ได้.
เมื่อเกิดความสงสัย
ผมก็เลยต้องแสวงหาคำอธิบายความหมายของคำว่า “วิจารณญาณ”จากพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. แล้วผมก็เข้าใจทันทีว่าเพราะเหตุใด ผมจึงพบความยากลำบากในการ “ใช้วิจารณญาณ”.
พจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า “วิจารณญาณ”
ว่า “ปัญญาที่สามารถรู้ หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง”.
จากความหมายข้างต้นนี้ อย่างน้อย “การที่จะมีวิจารณญาณ”
โดยยังไม่ต้องกล่าวถึง “การใช้วิจารณญาณ” ก็ต้องประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ประการ คือ
(1) “ปัญญา” (2) ความสามารถรู้หรือให้เหตุผล, และ (3) ที่ถูกต้อง. เพียง”ปัญญา”ก็ยากเสียแล้ว ยิ่งเป็น”ปัญญา”ที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ก็ต้องถือว่าเป็นที่สุดของความยากลำบาก. ดังนั้นการที่จะไปกะเกณฑ์หรือคาดหมายให้บุคคลทั่วไปมี
“วิจารณญาณ” ในเรื่องใดๆอีกทั้งสามารถ “ใช้วิจารณญาณ”ได้ด้วย
จึงเป็นสิ่งไร้เหตุผล. สิ่งที่จะต้องตระหนักเป็นเบื้องแรกก็คือ
การที่จะบอกกล่าวให้บุคคลใด”ใช้”อะไรนั้น จะต้องมั่นใจว่าบุคคลนั้นๆ “มี”
สิ่งที่จะ “ใช้”. เช่นการบอกให้เขา”ใช้”อาวุธ” แต่ถ้าหากเขาไม่มีอาวุธ ก็ย่อมจะ”ใช้”อาวุธไม่ได้.
ดังนั้นหากจะให้ใคร “ใช้วิจารณญาณ”ก็ต้องแน่ใจว่า เขา”มีวิจารณญาณ”.
“วิจารณญาณ”
มิใช่บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นมาเอง, แต่เป็นคุณสมบัติที่จะต้องพัฒนาขึ้นมาในโครงสร้างของความรู้ความสามารถและสติปัญญา,
ซึ่งตามความหมายก็คือ”ปัญญา”นั่นเอง.
ถ้าแม้นว่าโครงสร้างดังกล่าวนี้จะมีลักษณะเป็นพระเจดีย์
หรือ”ปิรามิด” คือมีฐานกว้างและมียอดแหลม, ฐานของโครงสร้างดังกล่าวนี้ก็คือ”ความรู้”นั่นเอง.
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ก่อนที่คนเราจะมีความคิดความอ่าน,
มีความสามารถในการพิเคราะห์พิจารณ์,
และอยู่ในฐานะที่จะใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยเรื่องต่างๆ ตลอดจนการใช้วิจารณญาณ,
ก็จะต้อง”มีความรู้” อย่างถูกต้องและถ่องแท้ในเรื่องนั้นๆเป็นเบื้องแรก.
สำหรับจุดที่เป็นยอดของโครงสร้างก็คือ”การสร้างสรรค์” ซึ่งเป็นการพัฒนาความรู้
ความคิด ขีดความสามารถในการวิเคราะห์
จนกระทั่งสามารถที่จะใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยปัญหา
ซึ่งก่อให้เกิดปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า”วิจารณญาณ”ไปจนถึงความสามารถในการ
“สร้างสรรค์” อันเป็นจุดสุดยอด.
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น
ก็จะต้องไม่ลืมว่า”ความรู้”มีมากมาย โดยไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้ได้หมดสิ้น,
และสำหรับเรื่องที่จะสามารถเรียนรู้ได้ลึกซึ้งจริงๆนั้น ก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก.
ด้วยเหตุนี้ คนเราจึงมี”วิจารณญาณ”ในขอบเขตที่จำกัดมาก จนกระทั่งไม่สามารถที่จะ “ใช้วิจารณญาณ”ในเรื่องใดๆได้.
ผู้ที่มีความรู้และมึความรับผิดชอบในเรื่องนั้นๆเท่านั้นที่อยู่ในฐานะที่อาจใช้”วิจารณญาณ”ได้. แต่ก็จะต้องแน่ใจว่าตนมี “ปัญญาที่สามารถรู้
หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้” เพราะความรู้เป็นเพียงฐานรากเท่านั้น. กว่าที่จะมี”ปัญญา”ที่เรียกว่า
“วิจารณญาณ” ก็จะต้องมีการใช้ความคิด พินิจพิเคราะห์ข้อมูลอันเป็นความรู้ และพัฒนา”วิจารณญาณ”ในเรื่องนั้นๆ
จนกระทั่งสามารถใช้ประโยชน์ได้.
*********
...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ -
ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย
ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร
ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น