บิดาของข้า, จักรพรรดิ ปาดิชาห์,
กุมมือของข้าในวันหนึ่งและข้าก็สัมผัสถึงได้ในวิธีการที่มารดาของข้าได้สอนข้าไว้ว่าท่านกำลังยุ่งยากใจ.
ท่านพาข้าลงไปยัง โถงราชฉายาลักษณ์ ที่ภาพเหมือนยโส-ผยองของ ดยุค ลีโต
อะไทรดิส. ข้าสังเกตได้ถึงความคล้ายคลึงอย่างแรงระหว่างพวกเขา---บิดาของข้าและชายในภาพฉายาลักษณ์นั้น---ทั้งคู่มีใบหน้าที่เรียวและสง่างามและมีรูปลักษณ์โดดเด่นเฉียบคมด้วยดวงตาอันเยือกเย็น.
“เจ้าหญิง, ธิดาของพ่อ,” บิดาของข้าพูด,
“พ่ออยากให้เจ้าได้มีอายุมากกว่านี้เมื่อมันถึงเวลาสำหรับชายผู้นี้จะเลือกผู้หญิงของเขา.”
บิดาของข้านั้นมีอายุ 71
ในตอนนั้นและดูแล้วไม่ชราไปกว่าชายที่อยู่ในภาพฉายาลักษณ์นั้น,
และข้าเองก็มีอายุแค่ 14,
กระนั้นข้าก็จำได้ที่คาดคะเนในทันทีนั้นว่าบิดาของข้านั้นปรารถนาลับๆว่า ดยุค
นั้นเป็นบุตรของท่าน, และไม่ชอบความจำเป็นทางการเมืองทั้งหลายที่ทำให้พวกเขาเป็นศัตรูกัน.
---“ในราชสำนักของบิดาข้า”
โดย เจ้าหญิง อีร์รูลาน
การเผชิญกันครั้งแรกของเขากับผู้คนที่เขาได้รับคำสั่งให้มาแพร่งพรายความลับนั้นทิ้งให้
ดร. คายนิ์ส ตัวสั่น.
เขาภาคภูมิใจในตนเองในการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ตำนานแทบจะไม่เป็นเบาะแสอะไรให้น่าสนใจได้,
ชี้เลยไปถึงรากวัฒนธรรมทั้งหลาย. กระนั้นเด็กชายผู้นี้ก็ตรงตามคำพยากรณ์โบราณเสียเหลือเกิน.
เขามี “ดวงเนตรของการไต่สวน,” และกลิ่นอายของ “ความพิสุทธิ์ที่สงวนไว้.”
แน่นอน,
คำพยากรณ์ถูกทิ้งไว้ในดินแดนที่แน่ชัดเกี่ยวกับว่า พระมารดาเทวี จะนำ
พระเมสสิยะ มาด้วยกับพระองค์หรือ สร้าง พระองค์ ขึ้นในสถานที่เกิดเหตุนั้น.
กระนั้นก็ยังคง, มีการสอดคล้องพ้องกันแปลกๆนี้ระหว่างคำทำนายกับตัวบุคคล.
พวกเขาพบกันในตอนกลางเช้าที่อาคารบริหารงานด้านนอกของลานสนามบิน
อาร์ราคีน. ยานออร์นิธ็อปเตอร์ไม่มีเครื่องหมายจอดนั่งนิ่งอยู่ใกล้ๆ,
ส่งเสียงฮัมเบาๆในการเดินเครื่องเตรียมพร้อมอยู่เหมือนแมลงง่วงนอน. ยามรักษาการณ์อะไทรดิสยืนอยู่ข้างๆมันด้วยดาบเปลือยและอากาศ-บิดพร่าของโล่ห์พลังรอบตัวเขาอยู่.
คายนิ์ส
เย้ยหยันกับรูปแบบโล่พลัง, คิดอยู่ว่า: อาร์ราคิส
ได้ทำให้แปลกใจกับพวกเขานั่นเลยแน่!
นักดาวเคราะห์วิทยา(planetologist)ชูมือขึ้น, เป็นสัญญาณสำหรับยามคุ้มกันฟรีเมนของเขาให้ถอยกลับไป.
เขาก้าวยาวๆไปข้างหน้ายังทางเข้าของตัวอาคาร---รูมืดในหินที่เคลือบไว้ด้วยพลาสติก.
ช่างเปิดเผยนัก, อาคารมหึมานั่น, เขาคิด.
มากเกินไปที่ควรจะเป็นถ้ำคูหาที่เหมาะเจาะได้.
การเคลื่อนไหวภายในทางเข้าจับความสนใของเขา.
เขาหยุด, ใช้ชั่วขณะในการปรับเสื้อคลุมและชุดสติลล์สูท(stillsuit*)ของเขาที่ไหล่ด้านซ้าย.
https://dune.fandom.com/wiki/Stillsuit
ประตูทางเข้าเหวี่ยงเปิดออกกว้าง.
ยามรักษาการณ์อะไทรดิสโผล่พรวดออกมาอย่างว่องไว,
ทั้งหมดของพวกนั้นติดอาวุธเต็มที่---เครื่องยิงลูกปรายทำให้สลบอย่างช้า,
ดาบและโล่. ด้านหลังพวกนั้นคือชายร่างสูง, ใบหน้าเหยี่ยว, ผิวและผมดำคล้ำ.
เขาสวมเสื้อคลุมจับบา(jubba cloak*)มี
https://dune.fandom.com/wiki/Jubba_cloak
ตราเครื่องหมายอะไทรดิสที่หน้าอก,
และสวมมันในวิธีที่ลวงตาให้เขาไม่คุ้นเคยด้วยเครื่องแต่งกายนั้น. มันห้อยยาวลงมาถึงขาชุดสติลล์สูทของเขาที่ด้านหนึ่ง.
มันขาดซึ่งอิสระในการสบัดและจังหวะในการก้าวเดิน.
ข้างชายผู้นั้นเดินมาด้วยเด็กหนุ่มที่มีผมดำเหมือนเขา,
แต่ใบหน้ากลมมนกว่า. เด็กหนุ่มนั้นดูเหมือนจะร่างเล็กสำหรับสิบห้าปีที่ คายนิ์ส
รู้ว่าเขาจะมีอายุนั้น. แต่ร่างหนุ่มนั้นแบกไว้ด้วยสัมผัสของการบัญชาการ,
ท่วงท่าเชื่อมั่น, ราวกับว่าเขาเห็นและรู้ถึงสิ่งทั้งหมดที่รายล้อมเขาอยู่ที่ไม่ได้อาจเห็นได้โดยผู้อื่น.
และเขาสวมเสื้อคลุมในแบบเดียวกับบิดาของเขา,
กระนั้นก็ด้วยปกติตามสบายที่ทำให้ใครคิดว่าเด็กชายนี้ได้สวมเสื้อผ้าเช่นนี้เสมอมา.
“มาห์ดี
จะตระหนักรู้ได้ถึงสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้,”
คำพยากรณ์นั้นบอกไว้.
คายนิ์ส
สั่นศีรษะของเขา, บอกกับตนเองว่า: พวกเขาเป็นแค่ผู้คน.
กับทั้งสองนั้น,
แต่งกายคล้ายพวกเขาสำหรับทะเลทราย, มาด้วยชายผู้หนึ่งที่ คายนิ์ส
จดจำได้---เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค. คายนิ์ส สูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดความขุ่นเคืองใจต่อ
ฮัลเล็ค, ผู้ได้บรรยายสรุปกับเขาในเรื่องว่าต้องประพฤติตัวอย่างไรต่อท่านดยุคและรัชทายาทของเขา.
“เจ้าควรจะเรียกท่านดยุคว่า
‘ฝ่าบาท’หรือ ‘ใต้เท้า.’ ‘ขัตติยะราช’
ก็ถูกต้องเช่นกัน, แต่ปกติแล้วจะสำรองไว้ในโอกาสเป็นทางการมากกว่า.
กับบุตรชายนั้นอาจจะเรียกได้ว่า “นายน้อย” หรือ ‘ทูลกระหม่อม.’ ท่านดยุคเป็นชายที่โอบอ้อมอารี,
แต่อดกลั้นได้เล็กน้อยต่อผู้ตีตนเสมอเท่า.”
และ
คายนิ์ส คิดในขณะที่เฝ้ามองกลุ่มคนนี้เข้ามาหา: พวกเขาจะได้เรียนรู้ในไม่ช้าอย่างเพียงพอว่าใครคือเจ้านายบน
อาร์ราคิส. สั่งสอบสวนข้าสักครึ่งคืนโดยเจ้าเมนทาตนี้, ยังงั้นรึ?
พวกเขาหวังว่าข้าจะชี้ทางพวกเขาในการตรวจสอบเหมืองเครื่องเทศ, งั้นหรือ?
ส่วนสำคัญในคำถามทั้งหลายของ
ฮาวัต ไม่ได้หลบพ้นไปได้จาก คายนิ์ส. พวกเขาต้องการ ฐานทั้งหลายของจักรวรรดิ.
และมันก็ชัดเจนเลยว่าพวกเขาได้เรียนรู้เรื่องของฐานเหล่านี้มาจาก ไอดาโฮ.
ข้าจะให้
สติลจาร์ ส่งหัวของ ไอดาโฮ ให้กับ ดยุค นี้, คายนิ์ส พูดกับตนเอง.
คณะของดยุคเหลือเพียงไม่กี่ก้าวแล้วในตอนนี้,
เท้าของพวกเขาในรองเท้าทะเลทรายบดขยี้ทรายนั้น.
คายนิ์ส
ค้อมกายลง. “ใต้เท้า, ดยุค.”
ขณะที่เขาเข้าไปหาร่างโดดเดี่ยวที่กำลังยืนอยู่ข้างยานออร์นิธอปเตอร์นั้น,
ดยุค ศึกษาเขา: สูง, ผอม,
แต่งกายสำหรับทะเลทรายในเสื้อคลุมหลวมปล่อย, สติลล์สูท, และรองเท้าบู้ทต่ำ.
หมวกคลุมของชายผู้นั้นถูกเหวี่ยงกลับไป, มันปกบังห้อยอยู่ด้านหนึ่ง,
เผยเปิดให้เห็นผมยาวสีทราย, เคราหร็อมแหร็ม.
ดวงตาคู่นั้นลึกไร้ที่สุดของสีฟ้า-ภายใน-สีฟ้าอยู่ใต้คิ้วดกหนาสีน้ำตาล.
ยังคงมีรอยคล้ำสีน้ำตาลเปื้อนอยู่ในเบ้าตาของเขา.
“ท่านคือนักนิเวศน์วิทยาสินะ,”
ดยุค พูด.
“เราชอบมากกว่ากับตำแหน่งโบราณกันที่นี่,
ฝ่าบาท,” คายนิ์ส พูด. “นักดาวเคราะห์วิทยา.”
“ตามที่ท่านปรารถนาเถิด,”
ดยุค พูด. เขาเหลือบลงไปที่ พอล. “ลูกชาย, นี่คือ ตุลาการของการถ่ายโอน,
นี่คือผู้ชี้ขาดความขัดแย้ง, ชายผู้ตั้งขึ้นในที่นี้เพื่อดูแลให้รูปแบบทางการทั้งหลายได้ถูกทำตามในสมมติฐานของอำนาจของเราเหนือศักดินานี้.”
เขาเหลือบมองยัง คายนิ์ส. “และนี่คือบุตรชายของข้า.”
“ทูลกระหม่อม,”
คายนิ์ส พูด.
“ท่านเป็นฟรีเมนหรือ?”
พอล ถาม.
คายนิ์ส
ยิ้ม. “ข้าเป็นที่ยอมรับในทั้งสิฐคามและหมู่บ้าน, นายน้อย. แต่ข้าคือผู้รับใช้ของ องค์จักรพรรดิ,
นักดาวเคราะห์วิทยาของจักรวรรดิ.”
พอล
พยักหน้า, ประทับใจในกลิ่นอายความเข้มแข็งจากชายผู้นี้. ฮัลเล็ค ได้ชี้ตัว คายนิ์ส
ให้ พอล ดูแล้วจากหน้าต่างชั้นบนของอาคารบริหารงาน:
“ชายที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้นกับพวกฟรีเมนที่คอยคุ้มกัน---คนที่เคลื่อนไหวตอนนีไปยังยานออร์นิธ็อปเตอร์นั่น.”
พอล
ตรวจสอบ คายนิ์ส อย่างสรุปโดยกล้องส่องสองตา, สังเกตถึงปากที่เหยียดตรง,
เรียบร้อย, หน้าผากที่โหนกสูง. ฮัลเล็ค ได้พูดที่ข้างหูของ พอล ว่า: “เป็นคนที่ค่อนข้างแปลกพิกล. มีวิธีการพูดที่สั้นรวบรัด---ตัดทิ้ง,
ไม่มีฟุ่มฝอย---มีดโกนเฉือน-เหมาะ.”
และ
ดยุค, ที่ด้านหลังของพวกเขา, ได้พูดขึ้นว่า: “แบบนักวิทยาศาสตร์.”
ตอนนี้,ห่างไปไม่กี่ฟุตจากชายนั้น,
พอล สัมผัสได้ถึงพลังในตัวของ คายนิ์ส, แรงกระทบของความเป็นส่วนตัว,
ราวกับว่าเขาได้มีสายเลือดขัตติยะ, เกิดมาเพื่อบัญชา.
“ข้าเข้าใจว่าเราเรียกท่านเพื่อขอบคุณสำหรับชุดสติลล์สูทของเราและเสื้อคลุมเหล่านี้,”
ดยุค พูด.
“ข้าหวังว่าจะพอดีกับท่าน,
ฝ่าบาท,” คายนิ์ส พูด.
“พวกนั้นทำขึ้นโดยฟรีเมนและใกล้เคียงเท่าที่จะเป็นไปได้ในขนาดมิติทั้งหลายตามที่ข้าได้รับจากคนของท่าน,
ฮัลเล็ค ผู้นี้.”
“ข้ากังวลอยู่กับที่ท่านบอกว่าไม่สามารถพาเราเข้าไปในทะเลทรายได้ถ้าเราไม่สวมใส่ชุดพวกนี้,”
ดยุค พูด. “เราสามารถแบกน้ำไปได้เต็มที่.
เราไม่ได้ปรสงค์จะออกไปนานนักและเราจะมีการคุ้มครองทางอากาศ---ยานคุ้มกันที่ท่านเห็นอยู่เหนือศีรษะอยู่ในตอนนี้.
มันดูเหมือนว่าเราคงไม่ถูกกองกำลังใดโจมตีได้.”
คายนิ์ส
มองดูเขา, เห็นร่างเนื้ออ้วนน้ำ. เขาพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “ท่านไม่มีวันพูดถึงเรื่องความน่าจะเป็นบน อาร์ราคิส.
ท่านพูดแต่เพียงความเป็นไปได้เท่านั้น.”
ฮัลเล็ค
พูดเสียงกร้าว. “ท่านดยุคต้องถูกเอ่ยต่อด้วยคำ “ฝ่าบาท” หรือ “ใต้เท้า!”
ลีโต
ส่งสัญญาณมือเฉพาะระหว่างพวกเขาให้งดเว้น, พูด: “วิธีของเราทั้งหลายค่อนข้างใหม่สำหรับที่นี้,
เกอร์นีย์. เราต้องผ่อนผันให้บ้าง.”
“ตามท่านบัญชาขอรับ,
ฝ่าบาท.”
“เราทั้งหมดเป็นหนี้ต่อท่าน,
ดร. คายนิ์ส,” ลีโต พูด. “ชุดสูทเหล่านี้และการพิจารณาตัดสินสำหรับการอนุเคราะห์เราจะเป็นที่ถูกจดจำ.”
จากแรงดลใจ,
พอล หวนนึกไปถึงคำกล่าวอ้างกันจากคัมภีร์ ไบเบิ้ล อ.ซ., พูดออกมา: “ ‘ของขวัญนี้คือคำอวยพรแห่งพระแม่วารี...’”
คำทั้งหลายนั้นส่งเสียงสั่นกังวานดังออกไปในอากาศที่หยุดนิ่ง.
เหล่าฟรีเมนคุ้มกัน คายนิ์ส
ที่ถูกทิ้งให้อยู่ในร่มเงาของอาคารบริหารงานต่างพากันกระโจนขึ้นจากท่านั่งยองของพวกเขาเข้ามาหา,
พึมพำกันออกมาอย่างตื่นเต้น. คนหนึ่งร้องออกมาว่า: “ไลซาน
อัล-กาอิบ.”
คายนิ์ส
หมุนตัวหันไปทันที, ส่งสัญญาณห้วน, สับมือลงเป็นสัญญาณ,
โบกมือให้ยามรักษาการณ์ถอยหลีกไป. พวกนั้นถอยกลับ, บ่นว่ากันในหมู่พวกตน,
เดินช้าๆออกไปรอบอาคาร.
“น่าสนใจมาก,”
ลีโต พูด.
คายนิ์ส
ส่งสายตาดุดันจ้องมองข้าม ดยุค และบุตรชาย, พูด: “ชนพื้นเมืองทะเลทรายส่วนมากของที่นี่เป็นพวกงมงายในพรหมลิขิตโชคชะตา.
อย่าได้สนใจต่อพวกเขา. พวกเขาไม่หมายทำร้ายอะไร.” แต่เขาคิดถึงคำพูดในตำนานนั้น: “พวกเขาจะต้อนรับเจ้าด้วยคำศักดิ์สิทธิ์และของขวัญของเจ้าจะเป็นคำอวยพร.”
การประเมินค่าที่
ลีโต กระทำต่อ คายนิ์ส—อยู่บนพื้นฐานส่วนหนึ่งจากรายงานสรุปด้วยวาจาของ
ฮาวัต (ปกป้องตนและเต็มไปด้วยข้อสงสัยทั้งหลาย)---ทันทีนั้นก็กระจ่างชัด: ชายผู้นี้เป็น ฟรีเมน. คายนิ์ส ได้มาโดยมีพวกฟรีเมนคุ้มกันดูแล,
ซึ่งสามารถหมายความอย่างง่ายได้ว่าพวกฟรีเมนกำลังทดสอบอิสรภาพใหม่ของพวกเขาในการเข้ามาสู่พื้นที่เมือง---แต่มันดูเหมือนจะเป็นผู้คุ้มกันต่อผู้ทรงเกียรติ.
และโดยกิริยาของเขา, คายนิ์ส เป็นชายที่ทะนงตน, คุ้นเคยต่ออิสรภาพ,
ลิ้นของเขาและกิริยาท่าทางของเขาปกป้องตนแต่เพียงด้วยจากความสงสัยทั้งหลายของเขา.
คำถามของ พอล ได้พุ่งตรงและเข้าเรื่อง.
คายนิ์ส
ได้กลายเป็นชนพื้นเมืองแล้ว.
“เราไม่ควรออกเดินไปกันเลยหรือ,
ขอรับ?” ฮัลเล็ค ถาม.
ดยุค
พยักหน้า. “ข้าจะบิน’ธ็อปเตอร์ของข้าไปเอง.
คายนิ์ส สามารถนั่งไปตอนหน้ากับข้าเพื่อนำทางข้า. เจ้ากับ พอล นั่งที่ด้านหลัง.”
“สักครู่เถิด,
ได้โปรด,” คายนิ์ส พูด. “ถ้าท่านจะอนุญาต, ฝ่าบาท,
ข้าต้องตรวจดูความปลอดภัยของชุดสูทของท่านก่อน.”
ดยุค
เริ่มต้นที่จะพูด, แต่ คายนิ์ส กดดันต่อ:
“ข้ากังวลสำหรับเลือดเนื้อของข้าเช่นเดียวกับของท่าน...ฝ่าบาท.
ข้าระแวดระวังอย่างดีถึงคอหอยของผู้ใดที่จะถูกเฉือนเมื่อเกิดเหตุร้ายกับท่านทั้งสองขณะที่อยู่ในการดูแลของข้า.”
ดยุค
ย่นคิ้ว, กำลังคิด: ช่างละเอียดอ่อนยิ่งนักในชั่วขณะนี้!
ถ้าข้าปฏิเสธ, มันอาจทำให้เขาขุ่นเคือง. และนี่อาจจะเป็นชายผู้ที่คุณค่าของเขาต่อข้านั้นมากเกินกว่าจะวัดได้.
กระนั้น...การยอมให้เขาเข้ามาในโล่พลังของข้า,
สัมผัสส่วนตัวของข้าเมื่อข้ารู้จักเกี่ยวกับตัวเขาน้อยเกินไปน่ะหรือ?
ความคิดนั้นฟาดวาบผ่านทะลุจิตใจของเขาไปด้วยการตัดสินใจหนักหนาที่รออยู่ของพวกเขา.
“เราอยู่ในอุ้งมือของท่าน,” ดยุค พูด. เขาก้าวไปข้างหน้า, เปิดผ้าคลุมของเขา, เห็น
ฮัลเล็ค ขยับขึ้นบนปลายเท้าของเขา, ตั้งท่าและตื่นตัวพร้อม,
แต่ยังคงอยู่ในที่ของตน. “และ, ถ้าท่านจะกรุณา,” ดยุค พูด,
“ข้าจะชื่นชมมากที่จะได้รับคำอธิบายทั้งหลายของชุดนี้จากผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างใกล้ชิดยิ่งนักกับมัน.”
“อย่างแน่นอน,” คายนิ์ส
พูด. เขาสัมผัสขึ้นไปในผ้าคลุมนั้นเพื่อรอยปิดผนึกทั้งหลายที่ไหล่,
พูดในขณะที่เขาตรวจสอบชุดสูทนั้น. “โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเหมือน ไมโคร-แซนวิช(micro-sandwich)---ตัวกรองที่ประสิทธิภาพ-สูง และระบบแลกเปลี่ยนความร้อน.”
เขาปรับรอยผนึกทั้งหลายที่ตรงไหล่. “รูพรุนของชั้นเยื่อสัมผัสผิวหนัง.
การขับเหงื่อผ่านทะลุมันขึ้นมา,
ทำความเย็นให้กับร่างกาย...ใกล้เคียง-ขบวนการการระเหย(ปรับอากาศ-ผู้แปล).
อีกสองชั้นถัดมา...” คายนิ์ส นัดส่วนหน้าอกให้กระชับแน่นขึ้น.
“...ประกอบด้วยเส้นใยละเอียดในการแลกเปลี่ยนความร้อนและอุปกรณ์กรองเกลือ.
เกลือจะถูกนำเอากลับมา.”
ดยุค
ยกแขนของเขาขึ้นเป็นสัญญาณ, พูด: “น่าสนใจมาก.”
“สูดหายใจลึกๆ,”
คายนิ์ส บอก.
ดยุค
ทำตาม.
คายนิ์ส
ศึกษาผนึกใต้แขน, ปรับแก้อันหนึ่ง. “การเคลื่อนไหวของร่างกาย, โดยเฉพาะการหายใจ,”
เขาพูด, “และการเคลื่อนไหวการดูดซึม(osmotic action)จะสร้างแรงสูบฉีดให้.” เขาคลายการรัดที่หน้าอกลงเล็กน้อย.
“นำเอาน้ำกลับมาไหลเวียนไปที่กระเป๋าดักจับทั้งหลาย(catchpockets)ที่ท่านดึงเอาน้ำขึ้นมาจากมันผ่านหลอดท่อในหนีบไว้ตรงลำคอของท่านนี้.”
ดยุค
เอี้ยวคางมาและลงไปเพื่อมองยังที่ปลายของท่อนั้น. “มีประสิทธิภาพและสะดวก,” เขาพูด
“เป็นวิศวกรรมที่ดี.”
คายนิ์ส
คุกเข่าลง, ตรวจผนึกทั้งหลายที่ขา. “ปัสสาวะและอุจจาระจะเข้าขบวนการในแผ่นถุงทั้งหลายที่ท่อนขาอ่อน,”
เขาพูด, แล้วยืนขึ้น, ตรวจอุปกรณ์ที่ต้นคอ, ยกปีกผ้าส่วนนั้นขึ้น.
“ในทะเลทรายเปิดโล่ง, ท่านใส่เครื่องกรองนี้คาดใบหน้า,
หลอดท่อนี้ในช่องจมูกด้วยตัวเหล่าอุดนี้เพื่อให้แน่ใจว่าแน่นพอดี.
หายใจเข้าผ่านตัวกรองที่ปากนี้, หายใจออกผ่านท่อจมูก. ด้วยชุดของฟรีเมนในการทำงานตามระเบียบที่ดี,
ท่านจะไม่สูญเสียมากไปกว่าปริมาณเล็กน้อยของความชื้นต่อวัน---แม้กระทั่งติดอยู่ใน มหา
เออร์ก(the Great Erg).”
“ปริมาณเล็กน้อยต่อวัน,”
ดยุค พูด.
คายนิ์ส
กดนิ้วที่ชุดสูทแผ่นตรงหน้าผาก, พูด: “ตรงนี้ควรจะถูนวดเล็กน้อย.
มันถ้าทำให้ท่านระคายรำคาญ, โปรดบอกข้า.
ข้าสามารถเลื่อน-แปะมันให้แน่นขึ้นอีกนิดได้.”
“คำขอบคุณจากข้า,”
ดยุค บอก. เขาขยับไหล่ของตนในชุดสูทเมื่อ คายนิ์ส ก้าวถอยหลังไป,
ตระหนักว่ามันรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมในตอนนี้---แน่นกว่าและระคายรำคาญน้อยลง.
คายนิ์ส
หันไปที่ พอล. “ทีนี้, มาดูที่ท่านบ้าง, พ่อหนุ่ม.”
เป็นชายที่ดีแต่เขาจะต้องเรียนรูที่จะเอ่ยต่อเราอย่างถูกต้องเหมาะสม,
ดยุค คิด.
พอล
ยืนอย่างผ่อนคลายเมื่อ คายนิ์ส ตรวจสอบชุดสูท. มันได้เป็นความรู้สึกแปลกในการใส่ชุดแต่งกายที่มีผิวสัมผัสยับย่นลื่นนี้.
ในจิตสำนึกล่วงหน้าของเขาได้เป็นวิชชาสัมบูรณ์ยิ่งว่าเขาได้ไม่เคยส่วนชุดสติลล์สูทนี้มาก่อน.
กระนั้น, แต่ละการเคลื่นไหวของการปรับแต่งแถบติดแน่นภายใต้คำชี้นำของ เกอร์นีย์
ผู้ไม่ชำนาญได้ก็ดูเหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ, ของสัญชาตญาณ.
เมื่อเขารัดแน่นตรงหน้าอกเพื่อให้ได้การกระทำสูบฉีดได้มากที่สุดจากการเคลื่อนไหวและหายใจ,
เขาได้รู้ว่าเขาได้ทำอะไรและทำไม.
เมื่อเขาได้ปรับแถบให้พอดีที่ต้นคอและหน้าผากให้แน่นขึ้น,
เขาก็ได้รู้ว่าเพื่อป้องกันการเสียดสีของมันให้เป็นแผลพอง.
คายนิ์ส
หยัดตัวตรง, ก้าวถอยหลังด้วยแสดงความประหลาดใจออกมา. “ท่านเคยชุดสติลล์สูทนี้มาก่อนหรือ?”
เขาถาม.
“นี่เป็นครั้งแรก.”
“งั้นใครบางคนปรับแต่งมันให้ท่านหรือ?”
“ไม่.”
“รองเท้าบู้ตทะเลทรายอยู่ในแบบมีรองชั้นตรงข้อเท้า.
ใครได้บอกท่านให้ทำเช่นนั้นหรือ?”
“มัน...ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ถูกต้องน่ะ.”
“นั่นเป็นที่ใช่มากเลยขอรับ.”
และ
คายนิ์ส ถูแกัมของตน, คิดไปถึงตำนาน: “เขาจะรู้ถึงวิถีทั้งหลายของเจ้าราวกับว่าเขาได้กำเนิดมากับพวกมัน.”
“เราเสียเวลาแล้ว,”
ดยุค พูด. เขาชี้ไปยัง ’ธ็อปเตอร์ที่รออยู่,
เดินนำไปหา, รับการวันทยาหัตถ์จากยามรักษาการณ์ด้วยการพยักหน้า. เขาปีนเข้าไป,
คาดสายรัดนิรภัย, ตรวจที่บังคับควบคุมและอุปกรณ์ทั้งหลาย.
ยานส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อคนอื่นๆปีนขึ้นมา.
คายนิ์ส
คาดสายรัดของตน,
เพ่งอยู่ที่เบาะสะดวกสบายของยานอากาศ---นุ่มหรูหราด้วยเครื่องหนังสีเทา-เขียว,
อุปกรณ์แวววาว, ความรู้สึกสัมผัสถึงอากาศที่ผ่านกรองและทำความสะอาดแล้วในปลอดของเขาเมื่อประตูยานปิดระแทกและพัดลมะบายอากาศมีชีวิตหมุนขึ้น.
ช่างนุ่มแท้! เขาคิด.
“ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว,
ขอรับ,” ฮัลเล็ค พูด.
ลีโต
ป้อนพลังงานให้ปีกยาน, รู้สึกถึงพวกมันสะอึกขึ้นลง---หนึ่ง, สองครั้ง.
พวกเขาขึ้นสู่อากาศในระยะสิบเมตร,
ปีกกระพือขึ้นลงคับแน่นและเครื่องไอพ่นตามหลังส่งพุ่งพวกเขาขึ้นในลักษณะชัน,
ส่งเสียงในการไต่ปีนเบาๆ.
“ทางตะวันออกเฉียงใต้ข้ามกำแพงโล่พลัง,”
คายนิ์ส บอก.
“นั่นคือที่ที่ข้าได้บอกกับหัวหน้าทะเลทรายของท่านให้ใส่ใจเน้นหนักในอุปกรณ์ของเขา.”
“ได้เลย.”
ดยุค
เอียงยานเข้าไปในช่องอากาศคุ้มกัน,
ยานอื่นกำลังขึ้นมาเข้าหาตำแหน่งคุ้มกันรักษาการณ์ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้.
“การออกแบบและการผลิตของชุดสติลล์สูทเหล่านี้พูดได้ว่าอยู่ในระดับชั้นสูงของเชี่ยวชาญเลย.”
“สักวันข้าจะพาท่านไปชมโรงงานในสิฐคามแห่งหนึ่ง,”
คายนิ์ส พูด.
“ข้าคงจะพบว่านั่นเป็นที่น่าสนใจนะ,”
ดยุค พูด. “ข้าสังเกตเห็นไว้ได้ว่าชุดสูททั้งหลายนี้
ถูกผลิตด้วยเช่นกันในเหล่าเมืองที่มีทหารประจำการ.”
“ของลอกเลียนที่ด้อยกว่า,”
คายนิ์ส บอก. “ดูนผู้ใดที่ให้คุณค่ากับผิวของตนสวมชุดสูทของฟรีเมน.”
“แล้วมันยังรักษาการสูญเสียน้ำเพียงเล็กน้อยต่อวันของท่านด้วยไหม?”
“สูทที่พอดี,
ครอบหน้าผากของท่านแน่น, ผนึกทั้งหมดเข้าที่,
การสูญเสียน้ำหลักของท่านคือผ่านทางฝ่ามือของท่าน.” คายนิ์ส พูด.
“ท่านสามารถใส่ถุงมือสูทได้ถ้าท่านไม่ได้ใช้มือทำอะไรในงานละเอียดวิกฤต,
แต่ส่วนใหญ่ของฟรีเมนในทะเลทรายเปิดโล่งจะถูมือของพวกเขาด้วยน้ำจากใบของต้นพุ่มครีโอโสต(creosote
bush). มันจะสกัดกั้นเหงื่อ.”
ดยุค
เหลือบมองลงไปด้านซ้ายมือยังภูมิทัศน์แตกแยกของกำแพง โล่ห์---รอยแยกช่องหุบเหวของผาหินบิดเบี้ยวทั้งหลาย,
ปะแต้มของแผ่นเหลือง-น้ำตาลพาดข้ามผ่านเส้นสีดำของรอยแตกเป็นเสี่ยงแยกผิดแนวออกมา.
มันเป็นราวกับใครบางคนได้หย่อนพื้นดินเหล่านี้ลงมาจากอวกาศและทิ้งมันไว้เช่นนี้ตรงที่มันหล่นแตกกระจาย.
พวกเขาข้ามแอ่งลุ่มแคบ
ๆ ที่มีเส้นรอบขอบชัดเจนของทรายสีเทาแผ่กว้างข้ามพาดมันจากโตรกผาเปิดโล่งไปสู่ทิศใต้.
นิ้วของทรายนั้นวิ่งออกเข้าไปสู่แอ่งลุ่ม---เส้นขอบดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่แห้งผากตัดกับหินสีมืดเข้ม.
คายนิ์ส
นั่งเอนหลัง,
กำลังคิดเกี่ยวกับเนื้ออ้วนชุ่มน้ำที่เขาได้รู้สึกอยู่ภายใต้ชุดสติลล์สูทพวกเขาคาดเข็มขัดโล่พลังทับเสื้อคลุมของตน,
ปืนยิงลูกปรายอัดสลบแบบช้าๆที่เอว,
เครื่องรับส่งสัญญาณฉุกเฉินขนาดเงินเหรียญบนสายสร้อยคล้องอยู่ที่คอพวกเขา. ทั้ง
ดยุค และบุตรชายของเขาเก็บมีดในฝักที่ข้อมือและฝักมีดนั้นปรากฏว่าคร่ำคร่าอย่างดี.
ผู้คนเหล่านี้กระแทกใจของ คายนิ์ส ดังเช่นการผนึกประสานกันของความอ่อนโยนและแข็งแกร่งติดอาวุธ.
มีท่วงท่าของพวกเขาอย่างที่สุดซ฿งไม่เหมือนกับพวกฮาร์คอนเนนส์เลย.
“เมื่อท่านรายงานต่อจักรพรรดิถึงการถ่ายโอนอำนาจการปกครองของที่นี่,
ท่านจะบอกว่าเราได้รับการตรวจสอบถูกต้องตามกฏทั้งหลายหรือไม่ล่ะ?” ลีโต ถาม.
เขาชำเลืองไปที่ คายนิ์ส, กลับมาหาเส้นทางของพวกเขา.
“ฮาร์คอนเนนส์
ออกไป, ท่านเข้ามา,” คายนิ์ส พูด.
“และทุกอย่างเป็นเช่นที่มันควรจะเป็นไหม?”
ลีโต ถาม.
ความตึงเครียดแสดงอกมาในกล้ามเนื้อที่รัดแน่นไปตามกรามของ
คายนิ์ส. “ในฐานะนักดาวเคราะห์วิทยา และ ตุลาการของการถ่ายโอน,
ข้าเป็นผู้อยู่ใต้การปกครองขึ้นตรงต่อจักรวรรดิ......ใต้เท้า.”
ดยุค
ยิ้มแสยะ. “แต่เราทั้งคู่รู้ในความจริงทั้งหลายนั้น.”
“ข้าขอเตือนจำท่านว่า
องค์จักรพรรดิ สนับสนุนงานของข้า.”
“จริงแท้รึ?
แล้วอะไรคืองานของท่านล่ะ?”
ในความเงียบลงชั่วขณะนั้น,พอล
คิด: พ่อกำลังกดดัน คายนิ์ส ผู้นี้หนักเกินไป. พอล
ชำเลืองดู ฮัลเล็ค, แต่
นักรบ-วณิพกนั้นกำลังจ้องมองออกไปยังภูมิทัศน์แห้งแล้งนั้นอยู่.
คายนิ์ส
พูดอย่างกระด้างห้วน: “ท่าน, แน่นอน,
ถามถึงภาระหน้าที่ทั้งหลายของข้าในที่เป็น นักดาวเคราะห์วิทยา.”
“แน่นอน,”
“ส่วนใหญ่มันคือชีววิทยาดินแดนแหงแล้งและพฤกษศาสตร์....งานด้านธรณีวิทยาบ้าง---เจาะดินและทดสอบ.
ท่านไม่มีวันได้หมดสิ้นความเป็นไปได้จริง ๆ ในทั้งปวงของดาวเคราะห์หรอก.”
“ท่านตรวจหาความจริงในเรื่องเครื่องเทศนี้ด้วยเช่นเดียวกันไหม?”
คายนิ์ส
หันมา, ละ พอล สังเกตเห็นเส้นของความถือมั่นที่แก้มของชายผู้นี้.
“เป็นคำถามที่หาได้ยาก, ฝ่าบาท.”
“จดจำไว้ในใจ,
คายนิ์ส, ว่านี่ในตอนนี้คือศักดินาของข้า.
วิธีการของข้านั้นต่างไปจากเหล่านั้นของฮาร์คอนเนนส์. ข้าไม่ใส่ใจหรอกว่าถ้าท่านจะศึกษาในเรื่องเครื่องเทศตราบใดที่ข้าจะได้แบ่งปันในสิ่งที่ท่านค้นพบ.”
เขาชำเลืองไปที่นักดาวเคราะห์วิทยา. “พวกฮาร์คอนเนนส์
ไม่หาญกล้าไปตรวจหาความจริงของเครื่องเทศนี้, ไม่ใช่รึ?”
คายนิ์ส
จ้องมองกลับไปโดยไม่ตอบ.
“ท่านสามารถพูดออกมาได้เลยตรง
ๆ,” ดยุค พูด, “ไม่ต้องหวาดเกรงภัยใดต่อผิวกายท่าน.”
“ราชสำนักจักรวรรดิ
นั้น, อย่างแท้จริงแล้ว, อยู่ห่างไกลจากที่นี่,” คายนิ์ส บ่นพึมพำ. และเขาคิด: ผู้บุกรุกเนื้อชุ่มน้ำนี้คาดหวังอะไรไว้รึ?
เขาคิดว่าข้าโง่พอที่จะเข้าร่วมกับเขารึ?
ดยุค
หัวเราะหึหะ, รักษาความระมัดระวังของตนใส่ใจอยู่กับเส้นทางของพวกเขา. “ข้าตรวจพบความเปรี้ยวขมปนมาอยู่ในน้ำเสียงของท่านนะ,
ขอรับ. เราได้ลุยผ่านกันมาอย่างยากลำบากในที่นี้ด้วยกลุ่มนักฆ่าที่เชื่อฟังคำสั่ง,
รึ? และเราคาดหวังว่าท่านจะตระหนักอย่างในทันทีว่าเรานั้นแตกต่างไปจากพวกฮาร์คอนเนนส์?”
“ข้าได้เห็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ท่านได้ไหลบ่าเข้าไปในสิฐคามและหมู่บ้านแล้ว,”
คายนิ์ส บอก. “ ‘จงรักในดยุคผู้แสนดี!’ หน่วยปฏิบัติการของท่านแห่ง---”
“ข้านี่แหละ!” ฮัลเล็ค เห่าคำราม. เขาสะบัดความสนใจจากหน้าต่าง, เอนไปข้างหน้า.
พอล
วางมือข้างหนึ่งลงที่แขนของ ฮัลเล็ค.
“เกอร์นีย์!” ดยุค พูด. เขาชำเลืองมาทางด้านหลัง.
“ชายผู้นี้ได้ตกอยู่ใต้พวกฮาร์คอนเนนส์มานาน.”
ฮัลเล็ค
เอนนั่งกลับไป. “อ๊ายยห์!”
“คนของท่าน
ฮาวัต นั่นมีนัยฉลาดหลักแหลม,” คายนิ์ส พูด,
“แต่เป้าประสงค์ของเขาก็เรียบง่ายชัดเจนเพียงพอ.”
“ท่านจะเปิดฐานเหล่านั้นให้เราไหมล่ะ,
งั้น?” ดยุค ถาม.
คายนิ์ส
พูดห้วนๆ: “พวกนั้นเป็นทรัพย์สินขององค์จักรพรรดิ.”
“พวกมันไม่ได้ถูกใช้ทำอะไร.”
“พวกนั้นสามารถใช้การได้.”
“องค์จักรพรรดิทรงเห็นพ้องด้วยเช่นนั้นไหม?”
คายนิ์ส
พุ่งการจ้องมองเข้าใส่ที่ ดยุค. “อาร์ราคิส สามารถเป็นสวนอีเดน*ได้
ถ้าผู้ปกครองของมันจะเงยหน้าขึ้นมาจากการสวาปามเครื่องเทศนั้น!”
https://en.wikipedia.org/wiki/Garden_of_Eden
เขาไม่ได้ตอบคำถามของข้า,
ดยุค คิด. และเขาพูดขึ้นว่า: “วเคราะห์นี้จะกลายเป็นอีเดนโดยปราศเงินได้อย่างไรล่ะ?”
“อะไรคือ
เงิน ล่ะ?” คายนิ์ส ถาม, “ถ้ามันไม่สามารถซื้อบริการที่ท่านจำเป็นต้องการได้?”
อ้า,
ตอนนี้ล่ะ! ดยุค
คิด. และเขาพูด: “เราจะถกเถียงเรื่องนี้กันเวลาอื่น.
ในตอนนี้, ข้าเชื่อว่าเราได้มาถึงขอบของกำแพงโล่ห์แล้ว.
ข้าต้องรักษาเส้นทางเดียวกันนี้ต่อไปรึ?”
“เส้นทางเดิมขอรับ,”
คายนิ์ส พึมพำ.
พอล
มองออกไปนอกหน้าต่างของเขา. ภายใต้พวกเขา,
แผ่นดินแตกแยกเริ่มที่จะร่วงหล่นหายไปเป็นพังลงยับย่นสู่ยังแอ่งอ่างของที่ราบก้อนหินและโขดสันดอนขอบคมมีด.
โพ้นเลยจากโขดสันดอนไป, เสี้ยวรูปนิ้วของนูนทราย(dune-นูนเนินทราย)สวนสนามไปยังเส้นขอบฟ้าด้วยตรงนี้และตรงโน้นในระยะไกลห่างรอยแถบแต้มด่างมืดมัว,
แปะเปื้อนแซมเหมือนจะบอกถึงบางอย่างที่ไม่ใช่ทราย. หินผุด, บางที. ในอากาศร้อน-อ้าวอบ,
พอลไม่ค่อยแน่ใจนัก.
“มีพืชพันธุ์อยู่ที่ข้างล่างนั้นบ้างหรือไม่ครับ?”
พอล ถาม.
“ก็มีบ้าง,”
คายนิ์ส พูด. “ที่เขตชีวิต-พื้นที่ที่เส้นรุ้ง(latitude - ละติจูด)นี้ส่วนมากเป็นที่เราอะไรเรียกว่านักขโมยน้ำชั้นรอง(minor
water stealers)---ประยุกต์ปรับตนเองให้จู่โจมกันและกันเพื่อแย่งความชื้น,
กินคราบน้ำค้าง. บางส่วนทั้งหลายของทะเลทรายมีอยู่เต็มไปหมดด้วยชีวิต.
แต่ทั้งหมดของมันได้เรียนรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไรภายใต้สภาวะอากาศที่รุนแรงเหล่านี้.
ถ้าท่านติดอยู่ที่ข้างล่างนั่น, ท่านต้องเอาอย่าชีวิตพวกนั้นหรือไม่ท่านก็ตาย.”
“ท่านหมายถึงการขโมยน้ำผู้อื่นซึ่งกันและกันหรือ?”
พอล ถาม. ความคิดนี้ทำให้เขาโกรธกล้ว, และน้ำเสียงของเขาทรยศต่ออารมณ์ของตน.
“มันเป็นเช่นนั้น,”
คายนิ์ส พูด, “แต่นั่นไม่ใช่ที่ข้าหมายความถึงอย่างแน่นอน. นี่นะ,
สภาพอากาศของข้าเรียกร้องทัศนคติพิเศษที่มีต่อน้ำ. ท่านคำนึงถึงเรื่องน้ำอยู่ตลอดเวลา.
ท่านสูญเปล่าไม่ได้เลยในสิ่งที่มีความชื้น.”
และ
ดยุค คิด:
“...สภาพอากาศของข้า!”
“เบนไปสององศาทางทิศใต้ขึ้นอีกขอรับ,
ฝ่าบาท,” คายนิ์ส พูด. “มีพายุแรงกำลังขึ้นมาจากทิศตะวันตก.”
ดยุค
พยักหน้ารับ. เขาได้เห็นคลื่นของฝุ่นสีน้ำตาลแดงที่นั่น. เขาตีวงให้’ธ็อปเตอร์อ้อมไป,
สังเกตได้ถึงวิธีที่ยานขนาบคุ้มกันมีเงาสะท้อนอาบสีนมส้มจากแสงหักเหของฝุ่นขณะที่พวกนั้นเลี้ยวตามรักษาระยะกับของเขา.
“นี่น่าจะปลอดจากขอบของพายุ,”
คายนิ์ส พูด.
“ทรายนั่นต้องเป็นสิ่งอันตรายแน่เลยถ้าท่านบินเข้าไปในมัน,”
พอล พูด. “มันจะสามารถตัดเฉือนโลหะแข็งที่สุดได้เลยจริงๆไหม?”
“ในรูปลักษณ์นี้,
จะไม่ใช่ทรายแต่เป็นฝุ่น,” คายนิ์ส บอก. “อันตรายก็มีแค่ขาดทัศนวิสัย, ปั่นป่วน,
สำลักเข้ามา.”
“เราจะได้เห็นการทำเหมืองเรื่องเทศตามปกติในวันนี้ไหม,”
พอล ถาม.
“น่าจะเป็นเช่นนั้นมาก,”
คายนิ์ส พูด.
พอล
เอนกายกลับ. เขาได้ใช้คำถามและอภิสติ(hyperawareness)ในการทำตามอะไรที่มารดาของเขาเรียกว่า “ลงบันทึก(registering) บุคคล. เขาได้ คายนิ์ส ไว้แล้วในตอนนี้---ท่วงทำนองของเสียง,
แต่ละรายละเอียดของสีหน้าและท่าทาง, การยับย่นพับผิดธรรมชาติของแขนเสื้อด้านซ้ายเสื้อคลุมของชายผู้นี้บอกถึงมีดหนึ่งในฝักติดแขน.
เอวที่นูนโป่งแปลกๆ.
พูดกันว่าคนทะเลทรายสวมเข็มขัดผ้าคาดเอวที่พวกเขาใส่สิ่งจำเป็นเล็กๆน้อยๆทั้งหลายเข้าไปไว้.
บางทีที่โป่งนูนนั้นมาจากสายคาดเช่นนี้---แน่ชัดว่าไม่ได้มาจากการปิดบังเข็มขัดโล่พลังเอาไว้.
เข็มกลัดหนึ่งแกะสลักคล้ายรูปกระต่ายป่าเกี่ยวยึดไว้ที่คอของเสื้อคลุมของ คายนิ์ส.
เข็มกลัดเล็กๆอีกอันหนึ่งห้อยอยู่ที่มุมของหมวกคลุมศีรษะที่ถูกเหวี่ยงเปิดกลับมาที่ไหล่ทั้งสองของเขา.
ฮัลเล็ค
บิดตัวอยู่ในเก้าอี้ข้าง พอล,
เอื้อมมือกลับเข้าไปในช่องด้านหลังและดึงเอาพิณบาลิเส็ทของเขาออกมา. คายนิ์ส
มองหันมาเมื่อ ฮัลเล็ค ตั้งสายพิณนั้น, แล้วหันความสนใจกลับไปยังเส้นทางของพวกเขา.
“ท่านอยากได้ยินอะไรล่ะ,
นายน้อย?” ฮัลเล็ค ถาม.
“ท่านเลือกมาเถิด,
เกอร์นีย์,” พอล พูด.
ฮัลเล็ค
ค้องหูของตนเข้าไปใกล้แผ่นเกิดเสียง, ดีดคอร์ดแล้วร้องเพลงอย่างนุ่มเบา.
“พ่อทั้งหลายของเรากินกระยาทิพย์ในทะเลทราย,
ในแห่งที่เผาไหม้ซึ่งหลายลมวนหมุนมา.
พระเจ้า,
โปรดช่วยเราด้วยเถิดจากดินแดนน่าสยองนั้น!
ช่วยเราเถิด...โอ-ว-ว-ว, ช่วยเราเถิด
จากดินแดนแห้งและกระหายนั้น.”
คายนิ์ส
เหลือบมอง ดยุค, พูด: ท่านทำเดินทางกับผู้คุ้มกันที่แต่งเติมสดใสจริงๆ,
ฝ่าบาท. พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้มีความสามารถมากมายเช่นนี้หรือ?”
“เกอร์นีย์?”
ดยุค หัวเราะในลำคอ. “เกอร์นีย์ เป็นหนึ่งในแบบนั้น.
ข้าชอบให้เขามาด้วยเพราะดวงตาของเขา. ดวงตาของเขาพลาดอะไรได้น้อยมาก.”
นักดาวเคราะห์วิทยา
ขมวดคิ้วย่น.
โดยไม่พลาดจังหวะในทำนองเสียงของเขา,
ฮัลเล็ค แทรกขึ้น.
“เพราะข้านั้นเหมือนนกฮูกของทะเลทราย,
โอ!
อัยยาห์!
ข้านั้นเหมือนนกฮูกของทะเล-ทราย!”
ดยุค
เอื้อมมือลงไป, นำเอาไมโครโฟนออกมาจากแผงเครื่องมือ, กดหัวแม่มือเปิดมันขึ้น, พูด: “ผู้นำถึง คุ้มกันเจมม่า. มีวัตถุกำลังบินอยู่ที่เก้านาฬิกา.
ท่านระบุตัวตนมันได้หรือไม่?”
“มันเป็นแค่นกตัวหนึ่ง,”
คายนิ์ส พูดและเสริมขึ้น:
“ท่านมีสายตาที่เฉียบคม.”
ลำโพงที่แผงส่งเสียงครืดคราดขึ้น,
แล้วก็: “คุ้มกันเจมม่า. วัตถุถูกตรวจสอบภายใต้การขยายภาพเต็มที่แล้ว.
มันเป็นนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งขอรับ.”
พอล
มองไปในทิศทางที่ชี้ระบุถึง, เห็นรอยแต้มเล็ก ๆในระยะไกล, จุดหนึ่งที่มีการเคลื่อนไหวเป็นพักๆ,
และตระหนักว่าบิดาของเขานั้นต้องตื่นตัวขนาดไหน.
ทุกสัมผัสได้ตื่นระวังพร้อมเต็มที่.
“ข้าไม่ได้รู้เลยว่ามีนกขนาดใหญ่อยู่ไกลเข้ามาในทะเลทรายเช่นนี้.”
ดยุค พูด.
“นั่นคล้ายกับนกอินทรี,”
คายนิ์ส บอก. “สิ่งมีชีวิตมากมายได้ปรับตนเองให้เข้ากับที่แห่งนี้.”
ยานออร์นิธ็อปเตอร์เคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วเหนือทุ่งหินเปลือยเปล่านั้นไป.
พอล มองลงไปจากระดับสูงสองพันเมตรของพวกเขา, เห็นเงาพับย่นไหวของยานบินและยานคุ้มกันของพวกเขา.
แผ่นดินภายใต้นั้นดูเหมือนราบแบน, แต่เงากระเพื่อมนั้นบอกเป็นอีกอย่าง.
“เคยมีใครได้เดินออกไปในทะเลทรายบ้างไหม?”
ดยุค ถาม.
ดนตรีของ
ฮัลเล็ค หยุดลง. เขาเอนร่างไปข้างหน้าเพื่อจับคำตอบนั้น.
“ไม่ใช่จากตอนลึกของทะเลทราย,”
คายนิ์ส “หลายคนได้เคยเดินเข้าออกยังเขตพื้นที่ชั้นกันหลายๆครั้ง.
พวกเขารอดชีวิตมาได้ด้วยการข้ามพื้นที่ก้อนหินทั้งหลายนั้นที่ซึ่งหนอนทรายไม่ค่อยจะไปหา.”
น้ำเสียงระรัวของของ
คายนิ์ส ดึงความสนใจของ พอล. เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสความตื่นระวังตัวของ คายนิ์ส วิธีที่พวกเขาได้ถูกฝึกฝนกันมาให้ทำ.
“อา-ห-ห์,
หนอนทราย,” ดยุค พูด. “ข้าต้องเห็นตัวหนึ่งสักครั้ง.”
“ท่านอาจจะได้เห็นสักหนึ่งวันนี้,”
คายนิ์ส พูด. “ที่ใดที่มีเครื่องเทศ, ย่อมมีพวกหนอนทรายเสมอ.”
“เสมอรึ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“เสมอ.”
“มีความสัมพันธ์กันระหว่างหนอนทรายและเครื่องเทศบ้างไหม?ไ
ดยุค ถาม.
คายนิ์ส
หันมาและ พอล มองเห็นริมฝีปากที่เม้มห่ออย่างไม่พอใจขณะที่ชายผู้นี้พูด: “พวกมันปกป้องทรายเครื่องเทศ. แต่ละหนอนทรายมี---เขตแดนของตน.
เนื่องกับเครื่องเทศ...ใครจะรู้ได้?
ตัวอย่างของหนอนทรายทั้งหลายที่เราได้ตรวจสอบนำเราไปสู่ข้อสงสัยของการแลกเปลี่ยนอย่างซับซ้อนทาด้านเคมีภายในพวกนั้น.
เราพบร่องรอยของกรดไฮโดรคลอลิคในในช่องท่อพวกนั้น,
เป็นรูปแบบกรดที่ซับซ้อนมากยิ่งกว่าที่แห่งอื่น.
ข้าจะให้ท่านงานเขียนของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้.”
“และห้ามใช้โล่พลังกับเรื่องนี้หรือ?”
ดยุค ถาม.
“โล่พลัง!” คายนิ์ส เยาะหยัน. “การเปิดใช้งานโล่ห์พลังภายในเขตพื้นที่หนอนทรายก็คือการปิดผนึกชะตากรรมของท่าน.
หนอนทรายจะไม่ใส่ใจในเขตแดนกันอีกต่อไป,
พุ่งเข้ามาหาจากไกลโดยรอบเพื่อโจมตีโล่ห์พลัง.
ไม่มีใครที่สวมโล่พลังได้รอดจากการโจมตีนั้น.”
“หนอนทรายถูกจับตัวมาได้อย่างไรล่ะ,
งั้น?”
“ช็อคด้วยไฟฟ้าแรงดันสูงประยุกต์แบบแยกออกจากกันในแต่ละส่วนวงแหวนเป็นเพียงวิธีเดียวที่รู้กันเท่านั้นของการฆ่าและเก็บรักษาตัวหนอนทรายได้.”
คายนิ์ส พูด. “พวกมันสามารถถูกหยุดยั้งและแตกกระจายได้ด้วยการระเบิด,
แต่แต่ละส่วนวงแหวนของหนอนทรายนั้นมีชีวิตด้วยตนเอง. นอกเสียจากระเบิดปรมาณู, ข้ารู้แต่ว่าไม่มีอำนาจการระเบิดใดมีพลังเพียงพอที่จะทำลายหนอนทรายขนาดใหญ่โตได้เลยทั้งหมด.
พวกมันแข็งแรงทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ.”
“ทำไมถึงไม่มีการพยายามที่จะกำจัดกวาดล้างพวกมันออกไปให้หมดเลยล่ะ?”
พอล ถาม.
“แพงมากเกินไป,”
คายนิ์ส พูด. “พื้นที่มากเกินไปที่จะควบคุมได้.”
พอล
เอนร่างกลับมาในมุมของตน. สัมผัสสัจจะ ของเขา, การรับรู้ถึงภาพแลเงาของน้ำเสียง,
บอกเขาว่า คายนิ์ส กำลังโกหกและกำลังบอกความจริงครึ่งเดียว. และเขาคิดว่า: ถ้ามีความสัมพันธ์ใดระหว่างเครื่องเทศและหนอนทรายทั้งหลายนั้น,
การฆ่าทำลายหนอนทรายก็จะทำลายเครื่องเทศนั้นด้วย.
“ไม่มีใครจะต้องเดินออกไปในทะเลทรายเร็วๆนี้หรอก,”
ดยุค พูด. “การเดินทางด้วยเครื่องส่งสัญญาณเล็ก ๆที่ต้นคอของเราเหล่านี้และวิธีการช่วยเหลือกำลังอยู่ในเส้นทางของมัน.
คนงานทั้งหมดของเราจะได้สวมติดเครื่องมันในไม่นานนี้.
เรากำลังจัดตั้งหน่วยช่วยเหลือพิเศษอยู่ด้วย.”
“น่ายกย่องมาก,”
คายนิ์ส พูด.
“น้ำเสียงของท่านบอกว่าท่านไม่เห็นด้วย,”
ดยุค พูด.
“เห็นด้วย?
แน่นอนข้าเห็นด้วย, แต่มันจะใช้ได้ไม่มากประโยชน์นัก.
ประจุไฟฟ้าสถิตจากพายุทรายจะปิดบังสัญญาณของเราทั้งหลาย.
เครื่องส่งสัญญาณจะถูกลัดวงจรปิด. พวกเขาได้พยายามที่นี่มาก่อนแล้ว, ท่านทราบไหม.
อาร์ราคิส นี้ยากลำบากมากสำหรับเครื่องมืออุปกรณ์, และถ้าหนอนทรายนั้นกำลังตามล่าท่านก็ไม่มีเวลามากนัก.
บ่อยครั้ง, ท่านมีไม่มากกว่าสิบห้าหรือยี่สิบนาที.”
“ท่านจะแนะนำว่าอย่างไรล่ะ?”
ดยุค ถาม.
“ท่านขอคำแนะนำของข้าหรือ?”
“ในฐานะ
นักดาวเคราะห์วิทยา, ใช่.”
“ท่านจะทำตามคำแนะนำของข้าหรือ?”
“ถ้าข้าพบว่ามันมีเหตุผล.”
“เอาละ,
ฝ่าบาท. อย่าได้เดินทางตามลำพัง.”
ดยุค
หันความสนใจของเขาจากการควบคุมยาน. “แค่นั้นรึ?”
“แค่นั้นขอรับ.
อย่าเดินทางคนเดียว.”
“แล้วถ้าเกิดท่านถูกแยกออกไปด้วยพายุทรายและถูกบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้นล่ะ?”
ฮัลเล็ค ถาม. “ไม่มีอะไรที่ท่านจะสามารถทำได้เลยรึ?”
“อะไรก็ตาม ต้องมีการครอบคลุมขอบเขตของมัน,”
คายนิ์ส พูด.
“แล้วท่านจะทำเช่นไร?”
คายนิ์ส
หันมาจ้องเขม็งยังเด็กชาย, แล้วดึงความสนใจของเขากลับไปยัง ดยุค.
“ข้าจะจดจำถึงการปกป้องความสมบูรณ์ของสติลล์สูทของข้า.
ถ้าข้าอยู่ข้างนอกเขตหนอนทรายหรือในกลุ่มหิน, ข้าควรจะอยู่กับยาน.
ถ้าข้าลงไปในทะเลทรายเปิด,
ข้าจะออกไปให้ไกลจากยานอย่างเร็วที่สุดที่ข้าสามารถทำได้.
ราวสักหนึ่งพันเมตรน่าจะไกลเพียงพอ. แล้วข้าก็จะหลบซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมของข้า.
หนอนทรายจะมุ่งไปหายาน, แต่มันอาจจะไม่เจอข้า.”
“แล้วอย่างไร?”
ฮัลเล็ค ถาม.
คายนิ์ส
ยักไหล่. “รอให้หนอนทรายจากไป.”
“แค่นั้นเองหรือ?” พอล
ถาม.
“เมื่อหนอนทรายได้จากไปแล้ว,
ใครก็อาจพยายามเดินหนีออกมาได้,” คายนิ์ส พูด. “ท่านต้องเดินออกมาอย่างแผ่วเบา,
หลีกเลี่ยงการเคาะทรายเป็นจังหวะ, หลีกคลื่นในแอ่งฝุ่นทราย---มุ่งหน้าไปหาเขตพื้นที่ก้อนหินที่ใกล้ที่สุด.
มีเขตพื้นที่เช่นนั้นอยู่มากมาย. ท่านต้องทำเช่นนี้ให้ได้.”
“เคาะทรายเป็นจังหวะรึ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“สภาวะของทรายที่อัดแน่น.”
คายนิ์ส พูด. “แค่ก้าวเดินที่เบามากที่สุดก็เป็นการกำลังตีเคาะมัน.
หนอนทรายมักจะมาหามันเสมอ.”
“และคลื่นในแอ่งฝุ่นทรายล่ะ?”
ดยุค ถาม.
“ความยุบตัวในทะเลทรายได้เต็มไปด้วยฝุ่นมากว่าหลายศตวรรษแล้ว.
บางที่กว้างใหญ่มากเหลือเกินจนพวกมันมีกระแสทางและคลื่น.
ทั้งหมดจะกลืนผู้ที่สะเพร่าก้าวเข้าไปในมัน.”
ฮัลเล็ค
เอนกายกลับ, ดีดพิณบาลิเส็ทของตนต่อไป. ทันที, เขาก็ร้องเพลงออกมา:
“สัตว์เถื่อนร้ายของทะเลทรายทำการไล่ล่านั่น,
รอคอยต่อเหยื่อผู้ไร้เดียงสาทั้งหลายที่ผ่านมา
โอ-ว-ว,
จงอย่าได้ยั่วหลอกเหล่าเทพแห่งทะเลทรายนี้,
นอกเสียจากว่าเจ้าจะเสาะหาคำจารึกบนป้ายหลุมศพอันว้าเหว่.
ภยันตรายแห่ง---“
เขาหยุดลงพลัน,
โน้มร่างไปข้างหน้า. “เมฆฝุ่นอยู่ข้างหน้า, ฝ่าบาท.”
“ข้าเห็นแล้ว,
เกอร์นีย์.”
“นั่นคืออะไรที่เรากำลังเสาะหาอยู่,”
คายนิ์ส พูด.
พอล
หยัดร่างขึ้นตรงในที่นั่งเพื่อจ้องมองไปเบื้องหน้า,
เห็นเมฆสีเหลืองกำลังม้วนต่ำอยู่บนผิวหน้าของทะเลทรายราวสามสิบกิโลเมตรข้างหน้า.
“หนึ่งในโรงงานคราวเลอร์*ทั้งหลายของพวกท่าน,” คายนิ์ส พูด.
“มันอยู่ที่บนผิวพื้นและนั่นหมายความว่ามันกำลังกวาดเก็บเครื่องเทศอยู่.
เมฆนั่นคือลมทรายที่ถูกขับออกมาหลังจากที่เครื่องเทศได้ถูกดูดหมุนเข้าศูนย์กลางแยกออกแล้ว.
ไม่มีเมฆอื่นใดที่จะเป็นเช่นนี้อีก.”
“ยานอกาศอยู่เหนือมัน,”
ดยุค บอก.
“ข้ามองเห็น
สอง....สาม...สี่ ยานเฝ้าสังเกตการณ์,” คายนิ์ส บอก.
“พวกนั้นกำลังเฝ้าดูมองหาสัญญาณหนอนทราย.”
“สัญญาณหนอนทราย
รึ?” ดยุค ถาม.
“คลื่นทรายที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหายานคลานเคลื่อนนั้น.
พวกเขาจะใช้เครื่องเจาะตรวจหา(seismic probs)บนพื้นผิว,
ด้วย. พวกนอนทรายบางทีจะเดินทางในระดับลึกเกินไปกว่าจะสร้างคลื่นทรายเกิดขึ้นให้เห็น.”
คายนิ์ส เหวี่ยงกวาดมองไปรอบท้องฟ้า. “น่าจะมียานลำเลียง*บินอยู่รอบ
ๆสักลำหนึ่ง, แต่ข้าไม่เห็นมัน.”
*https://dune.fandom.com/wiki/Carryall
“หนอนทรายมักจะมาหาเสมอ,
รึ?” ฮัลเล็ค ถาม.
“เสมอ.”
พอล
เอนกายไปข้างหน้า, แตะบ่าของ คายนิ์ส.
“พื้นที่ใหญ่ขนาดไหนที่หนอนทรายแต่ละตัวคอยเฝ้าอาณาเขตตน?”
คายนิ์ส
ขมวดคิ้ว. เด็กผู้นี้คอยแต่ตั้งคำถามแบบผู้ใหญ่.
“นั่นขึ้นอยู่กับขนาดของหนอนตัวนั้น.”
“ความผันแปรแตกต่างกันเป็นเช่นไรบ้าง?”
“พวกตัวขนาดใหญ่อาจจะควบคุมสามหรือสี่ร้อยตารางกิโลเมตร.
พวกขนาดเล็ก---” เขาหยุดชะงักลงเมื่อดยุคเตะลงที่เบรกของยาน. เรือยานกระโจนขณะที่ฝักหางของมันกระซิบแผ่วลงเงียบ.
โคนปีกทั้งหลายยืดยาวออก, ตักเอาอากาศ. ยานนั้นกลายร่างเป็นยาน’ธ็อปเตอร์อย่างเต็มที่ขณะที่ดยุคเอียงมัน, ควบคุมปีกทั้งหลายต้านสู้แรงกระหน่ำอย่างนุ่มนวล,
ชี้ด้วยมือซ้ายของเขาออกไปยังทิศตะวันออกดพ้นเลยจากยานคลานเคลื่อนไป.
“นั่นเป็นสัญญาณของหนอนทรายหรือ?”
คายนิ์ส
เอนร่างข้าม ดยุค เพื่อจ้องมองไปยังที่ห่างไกลนั้น.
พอล
และ ฮัลเล็ค ถูกสุมรุมเข้าหากัน, มองไปในทิศทางเดียวกันนั้น, และ พอล
สังเกตเห็นได้ว่ายานคุ้มกันของพวกเขา, จับได้ถึงกลยุทธ์กะทันหันนี้,
ที่ได้เร่งนำหน้าไปอยู่ข้างหน้า, ตอนนี้ตีวงกลับมา. โรงงานคลานเคลื่อนทอดตัวอยู่ข้างหน้าของพวกเขา,
ยังคงห่างไปราวสามกิโลเมตร.
ที่ดยุคได้ชี้ไปนั้น,
รอยนูนทรายรูปเดือนเสี้ยวแผ่เงาออกเป็นริ้วระลอกกระเพื่อมไปยังเส้นขอบฟ้าและ, กำลังวิ่งทะลุผ่านพวกเขาไปราวกับเส้นระดับเหยียดยืดเข้าไปในราวสันเขาเดือนเสี้ยวของทรายอันห่างไกลนั้น.
มันเตือนให้ พอล
นึกถึงวิธีที่ปลาตัวโตก่อกวนผิวน้ำเมื่อมันกำลังว่ายอยู่แค่ใต้ผิวนั้น.
“หนอนทราย,”
คายนิ์ส พูด. “ตัวใหญ่.” เขาเอนร่างกลับคืน, ตะครุบไมโครโฟนขึ้นจากแผง,
กดเปลี่ยนคลื่นความถี่เลือกใหม่. เหลือบไปยังตารางพิกัดบนลูกกลิ้งเหนือศีรษะทั้งหลายของพวกเขา,
เขาพูดเข้าไปในไมโครโนนั้น: “เรียกยานคราวเลอร์ เดลต้า
เอแจ็กซ์ ไนเนอร์. เตือน สัญญาณหนอนทราย. ทราบแล้วเปลี่ยน, ได้โปรด.”
เขารอ.
ลำโพงที่แผงส่งเสียงประจุไฟฟ้าสถิตแกรกกรากออกมา,
แล้วก็มีเสียงว่า: “ใครเรียก เดลต้า อาแจ็กซ์ ไนเนอร์
มาไม่ทราบ, เปลี่ยน?”
“พวกนั้นดูสงบนิ่งกับเรื่องของมันอยู่นะ,”
ฮัลเล็ค พูด.
คายนิ์ส
พูดใส่ไปในไมโครโฟน:
“เที่ยวบินไม่อยู่ในรายการ---ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเจ้าราวสามกิโลเมตร.
สัญญาณหนอนทราย กำลังเข้ามาสอดขวาง, ตำแหน่งของเจ้า,
ถูกประเมินว่าจะถูกปะทะในยี่สิบ-ห้านาที.”
มีเสียงอีกอันหนึ่งพึมพัมรัวต่ำๆออกมาจากลำโพง:
“นี่ สป็อตเตอร์ คอนโทรล(ผู้ควบคุมชี้เป้า). ภาพทัศน์ถูกยืนยัน.
เตรียมพร้อมรับการปะทะเขาที่แล้ว.” และหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง, แล้วก็: “ปะทะในยี่สิบ-หกนาทีลบ. นั่นเป็นการประเมินได้เฉียบคมมาก.
ใครอยู่ในเที่ยวบินนอกรายการนี้หรือขอรับ? เปลี่ยน.”
ฮัลเล็ค
ถอดสายสะพายรัดตัวออกและพรวดไปข้างหน้าแทรกระหว่าง คายนิ์ส กับ ดยุค.
“นี่เป็นคลื่นความถี่ผู้ทำงานตามปกติหรือ,
ท่านคายนิ์ส?”
“ใช่.
ทำไมรึ?”
“ใครกำลังฟังอยู่?”
“แค่กลุ่มคนทำงานในพื้นที่นี้.
ตัดการกวนแทรกไป.”
อีกครั้ง,
ลำโพงส่งเสียงแกรกกราก, แล้ว: “นี่ เดลต้า
เอแจ็กซ์ ไนเนอร์. ใครควรได้โบนัสเครดิตสำหรับการชี้จุดครั้งนี้? เปลี่ยน.”
ฮัลเล็ค
เหลียวมองมาที่ดยุค.
คายนิ์ส
พูด: “มีโบนัสที่ขึ้นอยู่กับจำนวนที่เครื่องเทศที่บรรทุกได้
สำหรับกับใครก็ตามที่ให้สัญญานหนอนทรายคนแรก. พวกเขาต้องการจะทราบว่า---”
“บอกพวกเขาว่าใครที่ได้เห็นหนอนทรายนั้นคนแรก,”
ฮัลเล็ค พูด.
ดยุค
พยักหน้าเห็นด้วย.
คายนิ์ส
ลังเล, แล้วยกไม่โครโฟนขึ้น. “เครดิตผู้ชี้จุดเป็นของท่านดยุค ลีโต อะไทรดิส. ดยุค
ลีโต อะไทรดิส. เปลี่ยน.”
เสียงจากลำโพงลดต่ำลงราบเรียบและบางส่วนผิดเพี้ยนจากการปะทุของไฟฟ้าสถิต:
“เราเข้าใจแล้วและขอบคุณ.”
“ทีนี้,
บอกให้พวกเขาแบ่งโบนัสกันในหมู่พวกเขา,” ฮัลเล็ค สั่ง.
“บอกพวกเขาว่าเป็นความประสงค์ของท่านดยุค.”
คายนิ์ส
สูดหายใจลึก, แล้ว: “เป็นท่านดยุคมีประสงค์ให้พวกเจ้าแบ่งโบนัสกันในหมู่ผู้ทำงานของเจ้ากันเอง.
เจ้าเข้าใจไหม? เปลี่ยน.”
“เข้าใจแล้วและขอขอบพระคุณ,”
เสียงลำโพงตอบกลับมา.
ดยุค
พูด: “ข้าที่จะเอ่ยถึงเช่นนั้น
เกอร์นีย์ยังคงปราดเปรื่องในเรื่องมวลชนสัมพันธ์.”
คายนิ์ส
หันย่นคิ้วปริศนามายัง ฮัลเล็ค.
“เรื่องนี้ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าท่านดยุคได้ใส่ใจเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของพวกเขา,”
ฮัลเล็ค บอก. “คำพูดจะกระจายไปรอบๆ. มันเป็นพื้นที่คลื่นความถี่ของคนทำงานนี้---ไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกฮาร์คอนเนนส์ได้ยิน.”
เขาเหลียวมองออกไปที่การคุ้มกันทางอากาศ.
“และเราค่อนข้างเป็นกองกำลังที่แข็งแรงดี. มันน่าจะเสี่ยงไปได้.”
ดยุค
เอียงยานของพวกเขาไปยังกลุ่มเมฆทรายที่พ่นออกมาจากยานคลานเคลื่อนนั้น. “”ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหรือ?”
“มียานแครี่ออล์*(ยานขนส่งลำเลียง)อยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆนี้,” คายนิ์ส พูด.
“มันจะเข้ามาและยกเครื่องคราวเลอร์นี้ขึ้นมา.”
“แล้วถ้าเกิดยานแครี่ออล์พังล่ะ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“บางอุปกรณ์ก็ได้สูญเสียไป,”
คายนิ์ส พูด. “เข้าไปใกล้เหนือเครื่องคราวเลอร์นั่น, ฝ่าบาท,
ท่านจะได้เห็นอะไรที่กำลังน่าสนใจ.”
ดยุค
ขมวดคิ้ว, ยุ่งตนเองกับการควบคุมยานขณะที่พวกเขาเข้าไปสู่อากาศแปรปรวนเหนือเครื่องคราวเลอร์นั้น.
พอล
ก้มมองลงไป, เห็นทรายยังคงพ่นออกมาจากเจ้าเครื่องโลหะและพลาสติกสัตว์ร้ายยักษ์ที่อยู่ใต้ล่างของพวกเขา.
มันดูเหมือนแมลงเต่าสีน้ำตาลไหม้และสีฟ้าขนาดมหึมามีแขนยาวยื่นอยู่โดยรอบตัวมัน.
เขาเห็นกรวยยักษ์กลับด้านยื่นเข้าปในทรายมืดที่อยู่ตรงหน้าของมัน.
“เป็นชั้นแนวของเครื่องเทศที่อุดมสมบูรณ์ดูจากสีสันนั่น,”
คายนิ์ส พูด. “พวกเขาจะยังทำงานกันไปจนถึงนาทีสุดท้ายเลยล่ะ.”
ดยุค
ป้อนพลังงานมากขึ้นอีกให้กับปีกยานทั้งหลาย,
ทำให้พวกมันแข็งนิ่งสำหรับการเคลื่อนลงลาดชันขณะที่เขาปักหลักต่ำลงในลักษณะร่อนเป็นวงกลมเหนือเครื่องคลานเคลื่อนนั้น.
เหลือบมองไปทางด้านซ้ายและขวาแสดงการรักษาระดับความสูงครอบคลุมของเขาและบินวนอยู่เหนือมัน.
พอล
ศึกษากลุ่มเมฆสีเหลืองเรอพ่นออกมาจากท่อระบายอากาศของเครื่องคราวเลอร์, มองออกไปเหนือทะเลทรายยังร่องรอยที่หนอนกำลังมุ่งเข้ามา.
“เราไม่ได้ยินที่พวกเขาเรียกหายานแครี่ออล์หรอกรึ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“พวกเขามักจะติดต่อยานนั่นในอีกคลื่นความถี่,”
คายนิ์ส พูด.
“พวกเขาไม่ทียานแครี่ออล์สองลำเตรียมพร้อมรอสำหรับเครื่องคราวเลอร์นี้หรอกหรือ?”
ดยุค ถาม. “น่าจะมีราวยี่สิบหกคนบนเครื่องจักรข้างล่างนั่น,
ไม่ต้องพูดถึงราคาของเครื่องมือนั่นอีก.”
คายนิ์ส
พูด: “ท่านไม่ได้มีเพียงพอกับ---”
เขาหยุดชงักเมื่อลำโพงดังแทรกขึ้นด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว: “มีใครของพวกท่านมองเห็นยานนั่นไหม? เขาไม่ได้ตอบกลับมา.”
เสียงครืดคราดสับสนดังออกมาจากลำโพง,
จมลงไปในสัญญาณทับซ้อนฉับพลัน, แล้วก็นิ่งเงียบและเสียงแรกดังขึ้นว่า: “รายงานเป็นตามหมายเลขด้วย! เปลี่ยน.”
“นี่
หน่วยควบคุมชี้จุด. สุดท้ายที่ฉันเห็น, ยานอยู่ค่อนข้างสูงและตีวงไปทางตะวันตก.
ฉันไม่เห็นเขาแล้วในตอนนี้. เปลี่ยน.”
“ชี้จุด
หนึ่ง:
ผลลบ. เปลี่ยน.”
“ชี้จุด
สอง: ผลลบ. เปลี่ยน.”
“ชี้จุด
สาม: ผลลบ. เปลี่ยน.”
เงียบ.
ดยุค
มองลงไป. เงาของยานพวกเขากำลังวิ่งผ่านไปเหนือเครื่องคราวเลอร์นั้น. “มียานสป็อตเตอร์เพียงแค่สี่,
นั่นถูกต้องไหม?”
“ถูกต้อง,”
คายนิ์ส พูด.
“มีอยู่ห้าของคณะของเรา,”
ดยุค พูด. “ยานเราใหญ่กว่า. เราสามารถรับเพิ่มเข้ามาได้อีกสามในแต่ละยาน.
ยานชี้จุดของพวกนั้นน่าจะรับได้เพิ่มอีกสองในแต่ละลำ.”
พอล
คำนวณตัวเลขในใจ, พูด:
“นั่นยังขาดอยู่อีกสาม.”
“ทำไมพวกเขาไม่มียานแครี่ออล์สองลำต่อเครื่องคราวเลอร์นะ?”
ดยุค คำราม.
“ท่านไม่มีเครื่องมือพิเศษเพียงพอ,”
คายนิ์ส พูด.
“ทั้งหมดนั่นยิ่งเป็นเหตุผลที่เราควรจะปกป้องอะไรที่เรามีอยู่!”
“ยานคราวเลอร์นั่นไปที่ไหนล่ะ?”
ฮัลเล็ค ถาม.
“น่าจะถูกบีบให้ร่อนลงที่ไหนสักแห่งพ้นจากสายตาเราไป,”
คายนิ์ส พูด.
ดยุค
ตะครุบไม่โครโฟน, ลังเลใจโดยมีนิ้วหัวแม่มือค้างอยู่ที่สวิทช์. “พวกเขาพลาดมองยานแครี่ออล์นั่นไปได้อย่างไร?”
“พวกเขาคอยมุ่งสนใจอยู่แต่ที่พื้นดินมองหาสัญญาณหนอนทราย,”
คายนิ์ส พูด.
ดยุค กดนิ้วหัวแม่มือเปิดสวิทช์,
พูดเข้าในไมโครโฟน. “นี่คือ ดยุค ของพวกเจ้า. เรากำลังลงไปหาเพื่อรับลูกเรือทำงานของ
เดลต้า เอแจ็กซ์ ไนเนอร์. ยานสป็อตเตอร์ทั้งหลายถูกสั่งให้ทำตามด้วย. ยานสป็อตเตอร์ทั้งหลายจะลงจอดทางด้านทิศตะวันออก.
เราจะใช้ทางตะวันตกเอง. เปลี่ยน.” เขาเอื้อมลงไป,
กระแทกเปิดช่องความถี่บัญชาการของเขา, ทวนซ้ำคำสั่งนั้นกับยานอากาศคุ้มกันทั้งหลายของเขา,
ส่งไมโครโฟนกลับไปให้ คายนิ์ส.
คายนิ์ส
กลับไปที่ความถี่ผู้ทำงานและมีเสียงระเบิดออกมาจากลำโพง:
“.....เกือบจะขนย้ายเครื่องเทศได้เต็มแล้ว!
เราไม่สามารถทิ้งนี่ไปได้เพราะเจ้าหนอนทรายห่านั่น!
เปลี่ยน.”
“ช่างหัวเครื่องเทศห่านั่น!” ดยุค ตะโกนใส่. เขาตะครุบไมโครโฟนกลับคืนมา, พูด:
“เราสามารถหาเก็บเครื่องเทศนี่ได้มากกว่านี้เสมอแหละ.
มีที่นั่งในยานของเราสำหรับทั้งหมดยเว้นอีกสามคนของพวกเจ้า. จับไม้สั้นไม้ยาวหรือตัดสินใจในทางใดที่พวกเจ้าชอบเสียว่าใครจะไปกับเรา.
แต่เจ้าต้องไป, และนี่คือคำสั่ง!”
เขาเหวี่ยงไมโครโฟนกลับเข้าไปยังมือของ คายนิ์ส, บ่นพึม: “ขออภัย,”
ขณะที่ คายนิ์ส สะบัดนิ้วที่บาดเจ็บ.
“มีเวลาอยู่มากเท่าไหร่?”
พอล ถาม.
“เก้านาที,”
คายนิ์ส พูด.
ดยุค
พูด: “ยานลำนี้มีกำลังมากกว่าลำอื่น. ถ้าเราบินขึ้นโดยใช้สามส่วนสี่ของปีกทั้งหลาย,
เราก็รับคนได้เพิ่มมากขึ้นอีก.”
“ทรายนั้นนิ่ม,”
คายนิ์ส บอก.
“กับอีกสี่คนเพิ่มขึ้นมาบนยานตอนบินขึ้น,
เราอาจพังปีกทั้งหลายนั่นได้, ฝ่าบาท,” ฮัลเล็ค พูด.
“ไม่ใช่บนยานนี้,”
ดยุค บอก. เขาดึงคันบังคับกลับบนแผงควบคุมขณะที่ยาน’ธ็อปเตอร์ไถลเลื่อนเข้าไปใกล้เครื่องคลานเคลื่อนนั้น. ปีกกระดกขึ้น,
ชะลอยาน’ธ็อปเตอร์ให้ไหลลื่นหยุดลงในระยะห่างยี่สิบเมตรจากโรงงาน.
เครื่องคลานเคลื่อนหยุดเสียงเงียบลงแล้วในตอนนี้,
ไม่มีทรายถูกพ่นออกมาจากช่องระบายของมัน.
มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ดังหึ่งๆเบาๆดังออกมาจากมัน, กลายเป็นเสียงดังมากขึ้นเมื่อ
ดยุค เปิดประตูยานของเขาออก.
ทันทีนั้น,
ช่องจมูกของพวกเขาก็ถูกโจมตีด้วยกลิ่นของอบเชย---นักหน่วงและฉุน.
ด้วยเสียกระพือดังลั่น,
ยานสป็อตเตอร์ไถลเลื่อนลงไปกับทรายบนอีกด้านของเครื่องคราวเลอร์. ยานคุ้มกันของ
ดยุค ก็ตีวงถลาลงในแนวเดียวกับเขา.
พอล,
กำลังมองออกไปที่โณงงาน, เห็นได้ว่ายาน’ธ็อปเตอร์ทั้งหลายเป็นเหมือนคนแคระเทียบกับมัน---ยุงทั้งหลายข้างๆแมลงเต่านักรบ.
“เกอร์นีย์,
เจ้าและ พอล เลื่อนออกไปนั่งที่ข้างหลัง,” ดยุค บอก.
เขากำลังจัดการหมุนเหวี่ยงปีกทั้งหลายออกไปให้เหลือเพียงสาม-ส่วนสี่,
ปรับมุมพวกมัน, ตรวจสอบฝักไอพ่นควบคุมทั้งหลาย.
“ทำไมห่าเหวอะไรพวกเขาถึงไม่ออกมาจากเครื่องจักรนั่นล่ะ?”
“พวกเขาคงกำลังหวังว่ายานแครี่ออล์จะโผล่มาให้เน,”
คายนิ์ส บอก. “พวกเขายังคงมีเวลาอีกสองสามนาที.” เขาเหลือบมองไปทางทิศตะวันออก.
ทั้งหมดหันไปมองทิศทางนั้นเหมือนกัน,
ยังมองไม่เห็นสัญญาณของหนอนทรายปรากฏขึ้นแต่มีความรู้สึกหนักหน่วงอารมณ์ของความกังวลลอยอยู่ในอากาศ.
ดยุค
หยิบไมโครโฟนมา, กดไปที่ปุ่มความถี่บัญชาการของเขา, พูด: “พวกเจ้าสองลำทิ้งเครื่องกำเนิดโล่ห์พลังของตนออก. ตามหมายเลข.
เจ้าสามารถแบกรับคนเพิ่มได้อีกโดยวิธีนี้ง
เราจะไม่ทิ้งใครไว้ให้กับเจ้าสัตว์ร้ายนั่น.”
เขากดเปลี่ยนกลับมายังความถี่ทำงานตามเดิม, แล้วตะโกนใส่:
“พวกเจ้าใน เดลต้า เอแจ็กซ์ ไนเนอร์! ออกมา! เดี๋ยวนี้! นี่เป็นคำสั่งจาก ดยุค ของเจ้า! แถวเรียงสอง
หรือไม่ข้าจะหั่นเครื่องคราวเลอร์นี่ออกเป็นสองท่อนด้วยปืนเลซ!”
ประตูเหวี่ยงเปิดออกใก้ลกับทางด้านหน้าของดรงงาน, อีกอันทางด้านหลังล อีกอันทางด้านบน. ผู้คนฮือกันออกมา,
ไถลตัวและตะกายลงสู่พื้นทราย.
ชายร่างสูงคนหนึ่งในเสื้อคลุมทำงานปุปะด่างเป็นรายสุดท้ายที่พุ่งตามออกมา.
เขากระโดดลงไปบนรางและแล้วค่อยลงสู่พื้นทราย.
ดยุค
แขวนไมโครโนลงที่แผง, เหวี่ยงตัวออกไปบนบันไดปีกยาน, ตะโกนบอก: “สองคนเข้าไปในแต่ละยานสป็อตเตอร์ของเจ้า.”
ชายในชุดเสื้อคลุมปุปะเริ่มจัดแถวจับคู่ลูกเรือของเขา,
ผลักดันพวกนั้นไปยังยานที่รออยู่บนอีกด้าน.
“สี่คนมาทางนี้!” ดยุค ตะโกน บอก. “สี่คนไปที่ยานลำทางด้านหลังนั่น!”
เขาจิ้มนิ้วหนึ่งไปที่ยาน’ธ็อปเตอร์คุ้มกันทางด้านหลังของเขา.
พวกยามรักษาการณ์กำลังปล้ำถอดเครื่องกำเนิดโล่ห์พลังออกจากมันอยู่. “แล้วอีกสี่คนเข้าไปในยานเรือตรงโน้น!” เขาชี้ไปยังยานคุ้มกันอีกลำที่ยังคงมีเครื่องกำเนิดโล่ห์พลังติดอยู่.
“สามคนเข้าไปในยานลำอื่นๆ! วิ่งเร็ว, เจ้าสุนัขทะเลทราย!”
ชายร่างสูงเร็จจากการนับจำนวนลูกเรือของเขา,
เดินลุยทรายข้ามมาติดตามมาด้วยอีกสามเพื่อนร่วมงาม.
“ข้าได้ยินหนอนทราย,
แต่ข้าม่สามารถเห็นมัน,” คายนิ์ส พูด.
คนอื่นๆได้ยินแล้ว---เสียงเสียดสีเลื่อนไถล,
ห่างไกลและดังขึ้นเรื่อยๆ.
ยานบินเริ่มกระพือบินขึ้นจากทรายรอบๆพวกเขา.
มันทำให้ ดยุค หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในป่าไพรของดาวเคราะห์บ้านเกิด,
รโผล่พรสดออกมาสู่ที่โล่งปลอดโปร่ง, และนกกินซากทั้งหลายบินฮือขึ้นจากซากวัวป่า.
คนงานเครื่องเทศเดินลากขาลุยทรายขึ้นมายังด้านข้างของยาน’ธ็อปเตอร์, เริ่มปีเข้าไปข้างในทางด้านหลังของ ดยุค. ฮัลเล็ค ช่วยดึง,
และลากพวกเขาเข้ามาในตอนหลังของยาน.
“เข้ามาข้างในเลย,
เจ้าหนู!” เขาบอก. “แถวคู่!”
พอล,
ถูกรุมอัดอยู่ที่มุมหนึ่งโดยพวกคนงานเหงื่อท่วม,
ได้กลิ่นเงื่อถั่งออกมาจากความกลัว, มองเห็นสองคนของพวกนั้นมีการจัดแจงที่ต้นคอของชุดสติลล์สูทของพวกเขาที่ย่ำแย่.
เขาบันทึกแฟ้มข้อมูลลงในความทรงจำของเขาสำหรับการกระทำในอนาคต.
บิดาของเขาน่าจะออกคำสั่งเรื่องการสวมสติลล์สูทให้แน่นกระชับขึ้นเป็นกฏวินัย.
ผู้คนมักจะโน้มเอียงไปในทางหละหลวมถ้าท่านหย่อนยานไม่เฝ้าตรวจตราเรื่องทั้งหลายนี้.
ชายคนสุดท้ายหอบหายใจเข้ามาในทางตอนกลังของยาน,
พูด. “หนอนทราย! มันเกือบจะซัดเราแล้ว! เผ่นกันเร็ว!”
ดยุค
เลื่อนเข้าไปในที่นั่งของเขา, ย่นหน้า, พูด:
“เรายังมีเวลาเกือบสามนาทีในการถูกเข้าปะทะจากการประเมินดั้งเดิม. นั่นถูกต้องไหม,
คายนิ์ส?” เขาปิดประตูของเขา, และตรวจสอบมัน.
“ถูกต้องราวนั้นล่ะ,
ฝ่าบาท,” คายนิ์ส, และเขาคิด: เป็นคนที่เยือกเย็นรายหนึ่งล่ะ,
ดยุคผู้นี้.
“ทั้งหมดเรียบร้อยดีแล้วในนี้,
ขอรับ,” ฮัลเล็ค พูด.
ดยุค พยักหน้ารับ,
เฝ้าดูยานคุ้มกันของเขาลำสุดท้ายบินขึ้น. เขาปรับแต่งเครื่องจุดระเบิดเครื่องยนต์,
เหลือบมองอีกครั้งไปยังปีกทั้งหลายของยานและอุปกรณ์ต่างๆ,
กดปุ่มเปิดไอพ่นตามลำดับ.
การยกตัวขึ้นของยานกดร่างของ
ดยุค และ คายนิ์ส จมลงไปกับที่นั่งของพวกเขา,
แรงส่งดันร่างที่เหลือของผู้คนในทางด้านหลังยาน. คายนิ์ส เฝ้าดูวิธีที่ ดยุค
จัดการเครื่องควบคุมบังคับนั้น---อย่างนุ่มนวล, อย่างแน่นอน. ยาน’ธ็อปเตอร์ขึ้นสู่อากาศอย่างเต็มที่แล้วในตอนนี้, และ ดยุค
ศึกษาเครื่องมือของเขา, เหลือบไปทางซ้ายมือและขวามือของเขายังปีกของยานเหล่านั้น.
“เธอค่อนข้างหนักนะ,
ขอรับ,” ฮัลเล็ค พูด.
“ไปได้ดีอยู่ในความทนทานของยานลำนี้,”
ดยุค พูด. “ท่านไม่ได้คิดจริง ๆว่าข้ากำลังเสี่ยงอยู่กับยานขนส่งนี้หรอกนะ,
เกอร์นีย์?”
ฮัลเล็ค ยิ้ม, พูด:
“ไม่แม้แต่นิดเดียว, ฝ่าบาท.”
ดยุค
เอียงยานของเขาตีวงโค้งยาวอย่างง่าย---ไต่ขึ้นไปอยู่เหนือเครื่องคราวเลอร์ด้านล่าง.
พอล, ที่ถูกบีบอัดเข้าไปติดที่มุมข้างหน้าต่าง,
จ้องมองลงไปยังเครื่องจักรที่นิ่งเงียบอยู่บนทราย.
สัญญาณหนอนได้หยุดชงักลงราวสี่ร้อยเมตรจากเครื่องคราวเลอร์. และตอนนี้,
ปรากฏมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในทรายที่อยู่รอบ ๆโรงงานนั้น.
“เจ้าหนอนนั่นในตอนนี้อยู่ใต้เครื่องคราวเลอร์นี้แล้ว,”
คายนิ์ส พูด.
“พวกท่านกำลังจะได้เป็นประจักษ์พยานสิ่งหนึ่งที่น้อยนักจะได้เห็นกัน.”
จุดเงาหลุมของทรายฝุ่นเป็นอยู่รอบเครื่องคราวเลอร์ในตอนนี้.
เครื่องจักใหญ่โตนั้นเริ่มที่จะจมเอียงไปทาด้านขวา. แอ่งทรายไหลวนมหึมาเริ่มต้นก่อเป็นรูปร่างที่นั่นกับทางด้านขวามทือของเครื่องจักรคราวเลอร์.
มันเคลื่อนที่เร็วและเร็วขึ้น. ทรายและฝุ่นลอยขึ้นมาในอากาศเต็มไปหมดในตอนนี้ราวหลายร้อยเมตรรอบๆ.
แล้วพวกเขาก็เห็นมัน.
รูกว้างหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาจากทรายนั้น.
แสงอาทิตย์แว่บวาบจากซี่ขาวมันวาวภายในของมัน.
เส้นผ่าศูนย์กลางรูนั้นอย่างน้อยก็ราวสองเท่าของขนาดเครื่องคราวเลอร์. พอล ประมาณ.
เขาเฝ้าดูขณะที่เครื่องจักรนั้นไหลเลื่อนเข้าไปในรูเปิดนั้นตามเกลียวคลื่นของฝุ่นและทราย.
รูนั้นก็ดึงถอยกลับไป.
“พระเจ้า! ช่างใหญ่โตอะไรขนาดนั้น!” ชายข้าง พอล พึมพำ.
“มันเอาเครื่องเทศของเราไปหมดเลย!” อีกรายกร่นคำราม.
“ใครสักคนจะต้องจ่ายชดใช้ให้สำหรับการนี้,”
ดยุค พูด. “ข้าให้สัญญากับพวกเจ้านั่นได้เลย.”
ด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างยิ่งของบิดาของเขา,
พอล สัมผัสได้ถึงความโกรธอย่างลึกล้ำ. เขาพบว่าตนเองก็รู้สึกร่วมไปกับมันด้วย.
นี่เป็นการสูญเสียที่เป็นอาชญากรรม.
“ขอสรรเสริญต่อพระผู้สร้างและน้ำของพระองค์,”
คายนิ์ส พึมพำ. “ขอสรรเสริญต่อการมาและจากไปของพระองค์. ขอให้หนทางของพระองค์ทำโลกนี้ให้สะอาด.
ขอพระองค์ปกปักษ์โลกนี้ไว้เพื่อผู้คนของพระองค์.”
“ท่านกำลังพูดอะไรอยู่รึ?”
ดยุค ถาม.
แต่ คายนิ์ส
คงอยู่ในความเงียบ.
พอล
เหลือบมองยังกลุ่มคนที่อัดกันอยู่รายรอบตัวเขา. พวกเขากำลังจ้องมองด้วยความหวาดกลัวไปที่ด้านหลังศีรษะของ
คายนิ์ส. หนึ่งในพวกนั้นกระซิบ: “เลียต.”
คายนิ์ส หันมา, ทำหน้าบึ้งตึงใส่.
ชายผู้นั้นหดร่างถอย, อายเขิน.
อีกรายหนึ่งของพวกที่ถูกช่วยขึ้นมาเริ่มต้นไอ---แห้งและแหบแห้ง.
ในทันทีนั้น, เขาระล่ำระลัก: “ข้าขอสาปแช่งไอ้รูนรกนั่น!”
ชายดูนร่างสูงผู้ที่ได้ปีนออกมาจากเครื่องคราวเลอร์เป็นคนสุดท้าย
พูด: “เจ้าอยู่นิ่งไว้เถิด, คอสส์. มีแต่ยิ่งทำให้ไอของเจ้าแย่ลง.”
เขาขยับตัวยุกยิกอยู่ในหมู่คนของเขาจนกระทั่งเขาสามารถมองผ่านพวกนั้นไปยังด้านหลังศีรษะของดยุคได้.
“ท่านคือ ดยุค ลีโต, ข้ารับประกันได้เลย,” เขาพูด.
“สำหรับท่านเราขอมอบคำขอบคุณสำหรับชีวิตทั้งหลายของพวกเรา.
เราได้พร้อมที่จะสิ้นสุดมันลงไปกันแล้วจนกระทั่งท่านผ่านเข้ามาหา.”
“เงียบเถอะ, พวก,
ปล่อยให้ท่านดยุคบินยานของท่าน,” ฮัลเล็ค พึมพำ.
พอล เหลือบมองที่
ฮัลเล็ค. เขา, ด้วยเช่นกัน, ได้มองเห็นความตึงเครียดเขม็งขึ้นที่มุมหนึ่งของกรามของบิดา.
ใครก็ต้องเดินอย่างเบาเลยล่ะเมื่อท่านดยุคอยู่ในความคุคั่ง.
ลีโต เริ่มต้นผ่อนยาน’ธ็อปเตอร์ของเขาออกจากการเอียงตีวงขนาดใหญ่ของมัน,
หยุดลงที่สัญญาณใหม่ของการเคลื่อนไหวของทะเลทราย. หนอนทรายนั้นได้ถอนตัวลงไปสู่ส่วนลึกแล้วในตอนนี้,
ใกล้กับที่เครื่องคราวเลอร์เคยอยู่,
สองร่างสามารถถูกมองเห็นได้กลังเคลื่อนอยู่ทางเหนือห่างออกไปจากทรายที่เป็นหลุมนั้น.
พวกเขาปรากฏให้เห็นได้ไถลเลื่อนไปเหนือผิวพื้นโดยแทบจะไม่ได้ตีฝุ่นขึ้นหมาหรือปรากฏรอยเส้นทางของพวกเขาเลย.
“ใครอยู่ที่ข้างล่างนั่นน่ะ?”
ดยุค ตะโกนถาม.
“สองจอหนนี่ที่ผ่านมาเพื่อขี่เล่น,
สูร,” ชายดูนนั้นตอบ.
“ทำไมไม่มีอะไรสักอย่างพูดถึงพวกเขาเลย?”
“มันเป็นโอกาสพอดีที่พวกนั้นฉกฉวย,
สูร.” ชายดูนพูด.
“ฝ่าบาท,” คายนิ์ส
พูด, “คนพวกนี้รู้เพียงเล็กน้อยที่จะทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับคนติดกับดักอยู่บนทะเลทรายในประเทศของหนอนทรายนี้.”
“เราจะส่งเรือยานจากฐานมารับพวกนั้น!” ดยุค ตะคอก.
“ตามแต่ท่านปรารถนา,
ฝ่าบาท,” คายนิ์ส พูด.
“แต่ดูเหมือนว่าเมื่อเรือยานมาถึงก็ไม่มีใครให้ช่วยเหลือได้แล้ว.”
“เราจะส่งเรือยานมาอยู่ดีล่ะ,”
ดยุค บอก.
“พวกนั้นอยู่ตรงข้างที่ซึ่งหนอนทรายขึ้นมาแล้ว.”
พอล พูด. “พวกเขาจะหนีออกมาได้อย่างไรล่ะ?”
“ขอบข้างของรูนั้นหดเข้าและทำให้ระยะห่างนั้นหลอกตา,”
คายนิ์ส์ บอก.
“ท่านสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไปเปล่าๆที่นี่ขอรับ,
ฝ่าบาท,” ฮัลเล็ค เสี่ยงพูด.
“อ๊าย, เกอร์นีย์”
ดยุค
ดึงยานของเขาหันไปสู่แนวกำแพงโล่. ยานคุ้มกันของเขาลงมาจากสถานีบินวน,
เข้าสู่ตำแหน่งเหนือและด้านข้างทั้งสอง.
พอล คิดไปถึงอะไรที่
ชายดูน และ คายนิ์ส ได้พูดถึงง เขาสัมผัสได้ถึงความสัจจริงเพียงกึ่งหนึ่ง,
การโกหกอย่างตรงไปตรงมา. พวกคนที่อยู่บนทรายได้ไถลข้ามพื้นผิวไปอย่างมั่นใจ,
เคลื่อนไหวในวิธี่ที่ชัดเจนว่าได้คำนวณมาแล้วเพื่อคอยหลอกล่อยั่วหนอนทรายนั้นที่ถอยกลับลงไปในส่วนลึกของมัน.
พวกฟรีเมน! พอล คิด. ใครอื่นได้อีกล่ะที่จะมั่นใจตนเองขนาดนั้นบนทราย?
ใครอื่นอีกได้ที่ไม่สนใจความกังวลใดทั้งหลายของท่านในเรื่องราวโดยปกติทั่วไป---เพราะว่พวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย?
พวกเขารู้ว่าจะดำรงชีวิตอย่างไรที่นี่! พวกเขารู้ว่าเอาชนะด้วยสติปัญญาอย่างไรกับหนอนทรายนั้น!
“พวกหรีเมนไปทำอะไรกับเครื่องคราวเลอร์นั่น?”
พอล ถาม.
คายนิ์ส
หันร่างมา.
ชายดูนร่างสูงนั้นหันดวงตาเบิกกว้างมายัง
พอล---สีฟ้าอยู่ในสีฟ้าในสีฟ้าง “หนุ่มนี่คือใครหรือ?” เขาถาม.
ฮัลเล็ค
ขยับร่างเข้ามาอยู่ระหว่างชายผู้นั้นกับ พอล, บอก: “นี่คือ พอล อะไทรดิส, รัชทายาทของท่ายดยุค.”
“ทำไมพูดโดยเขาว่ามีฟรีเมนอยู่บนเครื่องสะเทือนของเรา?”
ชายผู้นั้นถาม.
“พวกนั้นเข้ากันกับคำบรรยายลักษณะไว้,”
พอล พูด.
คายนิ์ส
กรนพูด. “ท่านระบุฟรีเมนเอาจากแค่การมองพวกเขาไม่ได้หรอก!” เขามองมาที่ชายดูนผู้นั้น. “เจ้า. คนพวกนั้นเป็นใครรึ?”
“เพื่อนๆของหนึ่งในคนอื่น,”
ชายดูนนั่นพูด. “แค่เพื่อนๆจากหมู่บ้านที่อยากมาเห็นทรายเครื่องเทศ.”
คายนิ์ส
หันกลับไป. “ฟรีเมน!”
แต่เขาจำได้ถึงคำทั้งหลายของตำนาน: “ไลซาน อัล-กาอิบ จะมองทะลุได้ในบรรดาคำพูดหลบเลี่ยงทั้งหลาย.”
“พวกนั้นจะตายไปแล้ว,
ตอนนี้, เป็นส่วนใหญ่, สูรอ่อนหัด,” ชายดูนนั่นพูด.
“เราไม่ควรพูดไร้เมตตาต่อพวกเขา.”
แต่
พอล ได้ยินคำหลอกลวงอยู่ในน้ำเสียงของพวกเขา, รู้สึกภยันตรายที่ได้ดึงเอา ฮัลเล็ค
ตามสัญชาตญานเข้ามาในอยู่ในตำแหน่งคุ้มกัน.
พอล
พูดอย่างแห้งแล้ง: “เป็นที่ที่แย่มากที่พวกเขาจะตาย.”
โดยไม่หันกลับมา,
คายนิ์ส พูด:
“เพื่อพระเป็นเจ้าบัญชาให้สัตว์โลกต้องตายในสถานที่เฉพาะใด.
พระองค์จึงทรงดลใจให้สัตว์โลกผู้นั้นต้องการจะคุมตนเองไปยังที่แห่งนั้น.”
ลีโต
หันการจ้องเขม็งมายัง คายนิ์ส.
และ
คายนิ์ส, จ้องตอบกลับไป,
พบว่าตนเองได้ยุ่งยากโดยความจริงที่เขาได้สังเกตเห็นในที่นี้: ดยุคผู้นี้ได้กังวลมากมายต่อผู้คนที่เขาได้ส่งมาทำงานเครื่องเทศ. เขาเสี่ยงชีวิตของตนเองและของบุตรชายตนเพื่อช่วยชีวิตคนพวกนี้.
เขาเมินเฉยต่อการสูญเสียเครื่องคราวเลอร์เก็บเกี่ยวเครื่องเทศนั้นโดยไม่พูดถึงเลย.
การคุกคามต่อชีวิตคนทำให้เขาเดือดดาล.
ผู้นำเช่นนี้ที่จะบัญชากลุ่มผู้ทุ่มเทจงรักภักดีให้ได้. เขาจะเป็นที่ยากลำบากในการเอาชนะ.
โต้แย้งต่อเจตจำนงของตัวเขาเองและความเห็นทั้งหมดก่อนหน้านี้,
คายนิ์ส ยอมรับต่อตนเอง: ข้าชอบ ดยุค ผู้นี้.