อะไรที่คุณหญิงเจสสิกามี
ที่จะจรรโลงเธอไว้ได้ในเวลาทดสอบของเธอนี้หรือ?
คิดว่าท่านคงตรวจตราไปกับสุภาษิตนี้ของ เบเน เกสเสอริท และบางทีท่านจะเห็น: “ถนนสายใดเมื่อแค่ตามไปให้ถึงปลายสุดของมันแล้วย่อมนำไปสู่ไม่มีแห่งใดนั่นเอง.
ปีนขึ้นภูเขาแค่ทีละน้อยเพื่อทดสอบว่ามันเป็นภูเขา. จากยอดของภูเขา,
ท่านก็จะมองไม่เห็นภูเขาอีกต่อไป.”
---จาก “มวด’ดิบ: คำวิจารณ์ทั้งหลายของครอบครัว”
โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
ในปลายสุดของปีกด้านทิศใต้,
เจสสิกา พบบันไดโลหะเวียนขึ้นไปยังประตูรูปไข่. เธอเหลือบกลับลงไปยังห้องโถง,
อีกครั้งกลับไปที่ประตู.
รูปไข่?
เธอสงสัย. ช่างเป็นรูปทรงแปลกสำหรับประตูในทำเนียบนี้..
ผ่านหน้าต่างใต้บันไดเวียนเธอสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์สีขาวมหึมาของ
อาร์ราคิส กำลังเคลื่อนไปสู่ยามอัสดง. เงายาวทั้งหลายแทงผ่านลงมาที่โถง.
เธอหันกลับความสนใจของเธอมายังบันไดนั้น.
แสงไฟนำทางแสบตาผุดออกมาเล็กน้อยของงานโลหะสีดินแห้งของขั้นบันไดเหล่านั้น.
เจสสิกา
เอามือจับที่ราว, เริ่มปีนขึ้นไป. ราวนั้นรู้สึกเย็นเยียบใต้ฝ่ามือที่เลื่อนไปของเธอ.
เธอหยุดที่ประตู, มองเห็นว่ามันไม่มีมือจับ, แต่มีรอยกดจางๆบนผิวหน้าของมันตรงที่ควรจะได้มีมือจับติดตั้งไว้.
แน่เลยว่าไม่ใช่ปิดล็อคด้วยฝ่ามือ,
เธอบอกกับตนเอง. ปิดล็อคด้วยฝ่ามือนั้นต้องเป็นกุญแจสำหรับรอยเส้นและรูปทรงของมือของผู้ใดผู้หนึ่ง.
แต่มันดูเหมือนปิดล็อคด้วยฝ่ามือ.
และก็มีวิธีทั้งหลายมราจะเปิดล็อคด้วยฝ่ามือใดๆ---ดังที่เธอได้เรียนรู้มาที่โรงเรียน.
เจสสิกา
เหลียวกลับมามองเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ถูกเฝ้าดูอยู่,
วางฝ่ามือของเธอเข้ากับรอยกดที่บานประตูนั้น. กดลงไปอย่างแผ่วเบามากที่สุดเพื่อบิดรูปรอยของเส้นทั้งหลาย—และหมุนข้อมือ,
หมุนอีกครั้ง, บิดเลื่อนไปของฝ่ามือข้ามผิวหน้า.
เธอรู้สึกถึงเสียงคลิ๊ก.
แต่มีเสียงฝีเท้ารีบเร่งอยู่ในห้องโถงใต้ร่างของเธอ.
เจสสิกา ยกมือของเธอออกจากประตูนั้น, หันกลับมา, เห็น มาเพส มาถึงยังตีนบันได.
“มีพวกทหารในโถงใหญ่บอกว่าพวกเขาถูกส่งมาโดยท่านดยุคเพื่อตามตัวนายน้อย
พอล,” มาเพส พูด.
“พวกนั้นมีแหวนตราของท่านดยุคและยามรักษาการณ์ได้ตรวจยืนยันพวกนั้น.”
เธอชำเลืองมองไปที่ประตู, ที่ด้านหลังของ เจสสิกา.
ช่างระแวดระวังคนหนึ่ง,
มาเพส ผู้นี้, เจสสิกา คิด. นั่นเป็นสัญญานที่ดี.
“เขาอยู่ที่ห้องที่ห้าจากปลายสุดนี้ของโถง, ห้องนอนเล็กๆ,” เจสสิกา บอก.
“ถ้าเธอลำบากที่จะปลุกเขา, ก็เรียก ดร.หยัว ในห้องถัดไป. พอล
อาจต้องเขย่าตัวปลุกให้ตื่น.”
อีกครั้ง,
มาเพส จ้องมองรุกตรงมาที่ประตูรูปไข่นั้น, และ เจสสิกา คิดว่าเธอได้ตรวจพบความเกลียดชังในการแสดงออกนั้น.
ก่อนที่ เจสสิกา จะสามารถถามเรื่องประตูนี้และอะไรที่มันปกปิดเอาไว้ได้, มาเพส
ก็หันร่างจากไป, รีบเร่งกลับลงไปตามห้องโถง.
ฮาวัต
ได้รับประกันสถานนี้, เจสสิกา คิด. ไม่อาจมีอะไรที่น่ากลัวเกินไปในที่นี่.
เธอผลักประตูนั้น. มันเหวี่ยงเปิดเข้าไปข้างในสู่ห้องเล็กๆด้วยประตูรูปไข่อีกบานในด้านตรงข้าม.
ประตูอีกบานนั้นมีมือจับวงล้อหมุน.
ประตูล็อคอากาศ! เจสสิกา คิด. เธอเหลือบตาลงมอง,
เห็นที่ค้ำประตูหล่นอยู่ที่พื้นห้องเล็กๆนั้น.
ที่ค้ำยันนั้นมีเครื่องหมายส่วนตัวของ ฮาวัต. ประตูถูกทิ้งค้ำยันเปิดออก, เธอคิด.
ใครบางคนอาจได้กระแทกที่ค้ำยันนี้ร่วงลงโดยอุบัติเหตุ,
ไม่ใช่ตระหนักรู้ว่าประตูด้านนอกจะปิดลงด้วยล็อคฝ่ามือ.
เธอก้าวข้ามริมขอบเข้าไปในห้องเล็กๆ.
ทำไมมีล็อคอากาศในทำเนียบ?
เธอถามตนเอง.
และเธอคิดในทันทีทันใดถึงสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นถูกปิดขังไว้ในภูมิอากาศพิเศษ.
ประตูด้านหลังของเธอเริ่มต้นเหวี่ยงตัวปิดกลับ.
เธอจับมันและค้ำมันเปิดปลอดภัยไว้ด้วยก้านยันของ ฮาวัต ที่ทิ้งไว้. อีกครั้ง,
เธอเผชิญหน้าวงล้อล็อคของประตูด้านใน,
มองเห็นตอนนี้รอยแกะจารึกจางๆอยู่ในโลหะเหนือมือจับ. เธอจำคำ กาลัค
นั้นได้, อ่านว่า:
“โอ,
คน! นี่คือมรดกแห่ง การรังสรรค์ของพระเจ้า, กระนั้น,
จงยืนตรงหน้ามันและเรียนรู้ที่จะรักความสมบูรณ์ของ สหายผู้สูงสุดของสูเจ้า.”
เจสสิกา
ทุ่มน้ำหนักตัวลงไปที่วงล้อ. มันหมุนไปทางด้านซ้ายและประตูด้านในก็เปิดออก.
กระแสลมเบาๆลูบไล้แก้มของเธอ, สะพัดผมของเธอ. เธอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในอากาศ,
กลิ่นรสที่อุดมกว่า. เธอเหวี่ยงประตูออกกว้าง, มองผ่านเข้าไปในมวลพืชผักสีเขียวด้วยแสงสีเหลืองของแดดที่ไหลหลั่งข้ามผ่านมัน.
ดวงอาทิตย์สีเหลืองรึ?
เธอถามตนเอง. แล้ว: กระจกกรองแสง!
เธอก้าวข้ามธรณีประตูและประตูก็เหวี่ยงปิดตามหลัง.
“เรือนกระจกแบบโลกเปียกชื้น,”
เธอสูดหายใจ.
พืชกระถาง, ต้นไม้ตัดแต่งเตี้ยวางเรียงเต็มไปหมด. เธอจำได้ถึง ไมยราพ,
ไม้ดอกมะตูม, ต้นซอนดาจี, ไม้ดอกเขียวหอมเพลนิสเซนตา, แถบเขียวและขาวของดอกอะการโซ.....กุหลาบ...
มีกระทั่งกุหลาบ!
เธอค้อมกายลงเพื่อสูดกลิ่นหอมของดอกผลิบานชมพูใหญ่นั้น,
แล้วยืดกายขึ้นมองไปรอบห้อง.
เสียงเป็นจังหวะบุกเข้ามาในสัมผัสของเธอ.
เธอแหวกป่าที่ทับซ้อนกันไว้ด้วยใบไม้ต่างๆ,
มองผ่านไปยังศูนย์กลางของห้อง. มีน้ำพุเตี้ยตั้งอยู่ที่นั่น, เล็กด้วยขอบยื่นปาก.
เสียงเป็นจังหวะนั้นคือหลอดม้วนเปลือยปลอกโค้งของน้ำหล่นเป็นจังหวะควบม้าเมื่อกระทบลงบนชามอ่างโลหะ.
เจสสิกา ส่งตนเองผ่านการควบคุมประสาทสัมผัสที่กระจ่างชัด, เริ่มตรวจสอบตามกรรมวิธียังอาณาเขตของห้องนี้.
มันปรากฏว่าเป็นราวสิบตารางเมตร.
จากการติดตั้งของมันอยู่เหนือตอนปลายสุดของห้องโถงและจากโครงสร้างบอบบางต่างออกไป,
เธอเดาว่ามันได้ต่อเติมขึ้นบนส่วนหลังคาของปีกนี้ยาวต่อไปตามอาคารเดิมที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ไว้แล้ว.
เธอหยุดที่สุดด้านทิศใต้ของห้องตรงหน้าของกระจกกรองแสงกว้างสุดเอื้อม,
จ้องมองไปรอบๆ. ทุกที่ว่างที่ใช้การได้ในห้องถูกคับคั่งไว้ด้วยพืชของภูมิอากาศชื้นต่างถิ่น.
บางอย่างส่งเสียงกรอบแกรบในหมู่พฤกษชาติ. เธอเขม็งตน,
แล้วชำเลืองไปยังเครื่องเซอร์ว็อคตั้งเวลาขนาดเล็กง่ายๆที่มีท่อและหัวแขนฉีดทั้งหลายนั้น.
แขนนั้นยกขึ้น, และส่งพ่นความชื้นละเอียดออกมาที่เป็นหมอกกระทบแก้มของเธอ.
แขนนั้นหดกลับไปและเธอมองไปที่อะไรที่มันได้รดน้ำ: เป็นต้นเฟิร์น.
น้ำมีอยู่ทุกแห่งในห้องนี้---บนดาวเคราะห์ที่ซึ่งน้ำเป็นของเหลวที่ล้ำค่ายิ่งของชีวิต.
น้ำได้ถูกทำเสียเปล่าอย่างชัดเจนนั้นมันทำให้เธอตื่นตกใจกับความนิ่งภายใน.
เธอเหลือบมองออกไปยังดวงอาทิตย์ที่ถูกกรองแสงเป็นสีเหลือง.
มันแขวนลอยอยู่เส้นตัดขอบฟ้าเหนือเชิงผาที่ก่อรูปเป็นส่วนหนึ่งของหินใหญ่โตยกตัวสูงขึ้นที่รู้จักว่าคือ
กำแพงโล่ห์.
กระจกกรองแสง,
เธอคิด. เพื่อเปลี่ยนดวงอาทิตย์สีขาจ้าวให้ไปเป็นอะไรบางอย่างที่นุ่มอ่อนลงและคุ้นเคยมากขึ้น.
ใครที่สามารถสร้างสถานที่เช่นนี้ขึ้นมาได้นะ? ลีโต?
มันน่าจะเป็นเขาที่ทำให้ฉันประหลาดใจด้วยของขวัญเช่นนี้,
แต่มันไม่มีเวลาพอที่จะทำเช่นนี้ได้. แล้วเขาก็ยุ่งอยู่แต่กับปัญหาที่เคร่งเครียดยิ่งกว่า.
เธอระลึกถึงรายงานนั้นที่ว่า
บ้านของอาร์ราคีนมากมายถูกปิดผนึกด้วยล็อคอากาศที่ประตูและหน้าต่างทั้งหลายเพื่อเก็บรักษาและเรียกคืนความชื้นภายใน.
ลีโต ได้บอกว่ามันเป็นแถลงประกาศอย่างรอบคอบของอำนาจและความมั่งคั่งของราชสำนักนี้ที่จะเพิกเฉยต่อการเตรียมระวังเช่นนั้น,
ประตูและหน้าต่างทั้งหลายของมันถูกปิดผนึกก็แต่เพียงต่อฝุ่นที่มีอยู่เต็มทั่วไปหมดเท่านั้นเอง.
แต่ห้องนี้ปรากฏในรูปร่างประกาศนั้นสำคัญไกลยิ่งไปกว่าการขาดสิ่งปิดผนึกทังหลายของประตูด้านนอก.
เธอประมาณว่าห้องรื่นรมย์นี้ใช้น้ำเพียงพอพี่จะรองรับผู้คนหนึ่งพันบน อาร์ราคิส—เป็นไปได้ว่ามากกว่านั้น.
เจสสิกา เคลื่อนตัวไปตามหน้าต่างนั้น, ยังคงจ้องมองต่อไปยังในห้อง. การเคลื่อนที่ทำให้มองเห็นไปสู่พื้นผิวโลหะที่โต๊ะสูงข้างน้ำพุนั้นและเธอสะดุดตาที่แผ่นจดบันทึกสีขาวและปากกา
สไตลัสที่ถูกปิดไว้บางส่วนโดยใบไม้ที่คลี่พัดคลุมอยู่เหนือนั้น. เธอข้ามไปยังโต๊ะ,
สังเกตเห็นตราประจำวันของ ฮาวัต บนมัน, และศึกษาข้อความที่เขียนบนบันทึกนั้น:
“ถึง
ท่านหญิง เจสสิกา---
ขอสถานที่นี้ได้ให้เธอซึ่งความรื่นรมย์ได้มากเท่าที่มันได้ให้กับฉัน.
โปรดอนุญาตให้ห้องนี้แสดงถึงบทเรียนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากบรรดา
ครูทั้งหลายเดียวกัน: ความใกล้เคียงในสิ่งกิเลสทั้งหลายอันน่าปรารถนา
อันหนึ่งที่มากเกินไป.
บนวิถีนั้นทอดวางไว้ซึ่งอันตราย.
ด้วยความปรารถนาดีจากฉัน,
มาร์กอต เลดี้ เฟนริง”
เจสสิกา พยักหน้า, จำได้ว่า ลีโต
ได้เอ่ยถึงต่ออดีตผู้แทนจักรพรรดิที่นี่คือ เคานท์ เฟนริง.
แต่ข่าวสาส์นที่ซ่อนไว้ของบันทึกนี้เรียกร้องให้ต้องถูกใส่ใจในทันที,
หมอบซุ่มอยู่ราวกับเป็นวิธีเดียวที่จะแจ้งต่อเธอว่าผู้เขียนนั้นเป็น เบเน
เกสเสอริท ด้วยอีกราย. ความคิดอันขื่นขมสัมผัสต่อ เจสสิกา ชั่วแล่น: ท่านเคานท์นี้ได้สมรสกับท่านหญิงของเขา.
แม้ว่าความคิดนี้จะแวบผ่านเข้ามาในจิตใจของเธอ,
เธอก็หันเหมันไปมองหาข่าวสารที่ซ่อนในนัยอยู่. มันต้องอยู่ที่นั่น.
บันทึกที่มองเห็นได้บรรจุวลีรหัสที่ทุก เบเน เกสเสอริท ไม่ผูกพันกับ ข้อห้ามของสำนัก
นั้นมีเพื่อให้ต่อ เบเน เกสเสอริท ผู้อื่นอีกรายเมื่อสถานการณ์เรียกร้องมัน: “บนวิถีนั้นทอดวางไว้ซึ่งอันตราย.”
เจสสิกา
รู้สึกยังด้านหลังของบันทึก, ถูกผิวหน้าของมันเพื่อหารหัสที่จุดเอาไว้. ไม่มีอะไร.
ขอบมุมของแผ่นบันทึกอยู่ใต้การไล่ตรวจสอบของนิ้วเธอ. ไม่มีอะไร.
เธอวางแผ่นนั้นกลับไปที่เดิมที่เธอได้พบมัน, รู้สึกสัมผัสได้ถึงความรีบด่วน.
อะไรบางอย่างในตำแหน่งของแผ่นบันทึกนี้รึ?
เธอสงสัย.
แต่
ฮาวัต ได้เคยตรวจตราห้องนี้จนทั่วแล้ว,
ไร้ข้อสงสัยว่าเคยได้เคลื่อนย้ายแผ่นบันทึกนี้. เธอมองที่ใบไม้เหนือแผ่นบันทึก.
ใบไม้!อเธอปัดนิ้วไปตามใต้ผิวใบนั้น, ไล่ตามริมขอบ,
ตามก้านใบลงไป. มันอยู่ที่นั่น! นิ้วของเธอตรวจพบจุดรหัสบางเบาเหล่านั้น,
สแกนพวกนั้นออกเป็นหนึ่งข้อความ.
“บุตรของฉันและท่านดยุคอยู่ในอันตรายเฉียบพลัน.
ห้องนอนได้ถูกออกแบบไว้เพื่อจู่โจมบุตรของท่าน. พวก ฮ
บรรจุใส่มันไว้ด้วยกับดักมรณะเพื่อให้ถูกค้นพบ, จนละเลยอันหนึ่งที่อาจหลบการตรวจหาไปได้.”
เจสสิกา วางแรงกระตุ้นที่จะวิ่งกลับไปหา พอล ลง:
ข่าวสาส์นทั้งหมดนี้ต้องได้ถูกเรียนรู้ก่อน. นิ้วของเธอไล่เร่งไปตามจุดเหล่านั้น: “ฉันไม่รู้ถึงธรรมชาติที่แน่ชัดของภัยอันตรายนี้, แต่มันมีอะไรบางอย่างที่จะทำด้วยเตียงนอน.
การคุกคามต่อท่านดยุคของเธอเกี่ยวข้องกับการเอาใจออกห่างของเหล่าสหายที่ไว้วางใจหรือทหารใกล้ชิด.
พวก ฮ วางแผนที่จะให้ท่านเป็นของขวัญต่อบริวารผู้หนึ่ง.
กับความรู้ที่ดีทีสุดของฉัน, เรือนกระจกนี้ปลอดภัย.
อภัยด้วยที่ฉันไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้.
แหล่งข่าวของฉันนั้นมีน้อยนิดด้วยเคานท์ของฉันนั้นไม่ได้อยู่ในบทละครนี้ของพวก ฮ.
จงถี่ถ้วนไว้. มฟ.”
เจสสิกา
ดันใบไม้นั้นไปด้านข้าง, หมุนตัวพุ่งกลับไปหา พอล. ในทันทีนั้น,
ประตูล็อคอากาศก็เปิดกระแทกออก. พอล กระโจนผ่านมันเข้ามา,
ถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือขวาของเขา., เหวี่ยงประตูปิดตามหลังของเขา.
เขามองเห็นมารดาของตน, แหวกผ่านใบ้ไม้เหล่านั้นไปหาเธอ, เหลือบมองน้ำพุ,
กดมือของเขาและให้สิ่งนั้นก็ยันค้ำอยู่ภายใต้น้ำที่กำลังตกลงมา.
“พอล!” เธอตะครุบไหล่ของเขา, จ้องมองที่มือนั้น. “นั่นอะไรน่ะ?”
เขาพูดตามปกติ,
แต่เธอจับได้ถึงความพยายามในเบื้องหลังน้ำเสียง: “เครื่องล่า-สังหาร.
จับมันได้ที่ในห้องของผมและฟาดจมูกมันแหลกไปแล้ว, แต่ผมอยากให้แน่ใจน่ะ.
น้ำน่าจะทำให้ลัดวงจรมันได้.”
“จุ่มมันลงไปเลย!”
เธอสั่ง.
เขาทำตามนั้น.
ทันทีนั้น,
เธอบอก. “ดึงมือของลูกกลับมาได้. ปล่อยให้เจ้าสิ่งนั้นจมอยู่ในน้ำ.”
เขาดึงมือกลับออกมา,
สะบัดน้ำออกจากมัน, จ้องไปยังโลหะที่นอนสงบนิ่งอยู่ในน้ำพุนั้น. เจสสิกา
หักก้านกิ่งไม้ออกมาจาหต้น, แหย่แยงไปที่โลหะมรณะสีเงินนั้น.
มันตายไปแล้ว.
เธอทิ้งกิ่งไม้ลงไปในน้ำ,
มองที่ พอล. ดวงตาของเขากำลังศึกษาห้องนี้ด้วยการเสาะค้นอย่างละเอียดเข้มที่เธอคุ้นเคย---วิถีของ
บ.ก.
“ที่นี้น่าจะสามารถอะไรก็ได้,”
เขาพูด.
“แม่มีเหตุผลว่ามันเป็นที่ปลอดภัย,”
เธอบอก.
“ห้องของผมก็คาดว่าน่าจะปลอดภัย,
ด้วยเหมือนกัน. ฮาวัต บอกว่า---“
“มันคือเครื่องล่า-สังหาร,”
เธอเตือนเขา. “นั่นหมายความว่าใครบางคนในทำเนียบนี้ได้ควบคุมมัน.
ลำแสงสัญญานเครื่องล่านี้มีพิสัยจำกัด.
เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มาสิงสถิตเองอยู่ในที่นี่หลังจากการตรวจตราของ ฮาวัต.”
แต่เธอหวนคิดไปถึงข่าวสาส์นที่ใบไม้นั่น: “...การเอาใจออกห่างของสหายที่ไว้วางใจหรือทหารใกล้ชิด.” ไม่ใช่ ฮาวัต,
แน่นอน. โอ, แน่นอนว่าไม่ใช่ ฮาวัต นะ.
“คนของ
ฮาวัตกำลังตรวจค้นทำเนียบอยู่ใสตอนนี้,” เขาพูด.
“เจ้าเครื่องล่านั่นเกือบจัดการหญิงชราที่เข้าไปปลุกผมให้ตื่น.”
“ชาเดาท์
มาเพส,” เจสสิกา พูด, นึกถึงตอนที่พบกันที่บันได. “มีคำสั่งเรียกหาจากบิดาของลูก ให้---”
“นั่นสามารถรอไปก่อนได้,”
พอล พูด. “ทำไมแม่ถึงคิดว่าห้องนี้ปลอดภัยล่ะ?”
เธอชี้ไปที่บันทึกนั้น, อธิบายเรื่องของมัน.
เขาค่อยๆผ่อนคลายลง.
แต่
เจสสิกา ยังคงตึงเครียดอยู่ภายใน, คิดว่า: เครื่องล่า-สังหาร!
พระมารดาทรงเมตตา! มันใช้การฝึกฝนมาทั้งหมดของเธอที่จะป้องกันความพอดีพอควรของการตีโพยตีพายตัวสั่น.
พอล พูดถึงแก่นของความสัจจริง: “มันเป็นฝีมือพวก
ฮาร์คอนเนส์, แน่นอน. เราจะต้องทำลายพวกมัน.”
เสียงตบที่ประตูล็อคอากาศดังมา---เป็นรหัสเคาะของหนึ่งในกองกำลังของ
ฮาวัต.
“เข้ามา,”
พอล เรียก.
ประตูเหวี่ยงเปิดออกกว้างและชายร่างสูงคนหนึ่งในเครื่องแบบอะไทรดิสมีตราของ
ฮาวัต บนหมวกแก็ปของเขาโน้มร่างเข้ามาในห้อง. “ท่านอยู่ที่นี่เอง, ขอรับ,” เขาพูด.
“หญิงแม่บ้านนั่นบอกว่าท่านน่าจะอยู่ที่นี่.” เขาเหลือบมองไปรอบๆห้อง. “เราพบ
คาอิม(caim)หนึ่งในห้องใต้ดินและพบชายคนหนึ่งอยู่ในมัน.
เขามีที่ควบคุมเครื่องล่า-สังหาร.”
“ข้าจะต้องการมีส่วนในการสอบสวนนั้นด้วย,”
เจสสิกา พูด.
“ขออภัย,
ท่านหญิง. เราทำไม่เรียบร้อยในการจับกุมเขา. เขาตายแล้ว.”
“ไม่มีอะไรระบุตัวของเขาได้หรือ?”
เธอถาม.
“เรายังไม่พบอะไรเลยขอรับ,
ท่านหญิง.”
“เขาเป็นชนพื้นเมืองอาร์ราคีนหรือ?”
พอล ถาม.
เจสสิกา
พยักหน้าเห็นด้วยกับความฉลาดในคำถามนั้น.
“เขามีท่าทางเป็นคนพื้นเมือง,”
ชายผู้นั้นบอก. “เอาใส่ไว้ในคาอิมนั้นมากกว่าหนึ่งเดือนมาแล้ว, ดูด้วยสายตาแล้ว,
และถูกทิ้งไว้ที่นั่นรอการมาถึงของเรา. หินและปูนฉาบที่ที่เขาผ่านทะลุเข้ามายังห้องใต้ดินยังไม่ถูกแตะต้องเมื่อตอนเราตรวจสอบสถานที่นั้นเมื่อวานนี้.
ข้าเอาเกียรติของตนยืนยันในเรื่องนี้ได้.”
“ไม่มีใครสงสัยในความละเอียดถี่ถ้วนของเจ้า,”
เจสสิกา พูด.
“ข้ายอมรับว่าผิดพลาดกับมัน,
ท่านหญิง. เราน่าจะใช้เครื่องสืบสวนโซนิคที่ข้างล่างนั่น.”
“ข้าว่านั่นคืออะไรที่เจ้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้นะ,”
พอล พูด.
“ช่วยแจ้งแก่บิดาของข้าด้วยว่าเราอาจจะเลื่อนออกไปหาท่านช้านิดหน่อย.”
“ทันที,
ขอรับ.” เขาเหลือบมองมาที่ เจสสิกา. “เป็นคำสั่งของท่านฮาวัตว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นายหนุ่มท่านต้องถูกคุ้มกันอยู่ในสถานที่ปลอดภัย.”
อีกครั้ง, ดวงตาของเขากวาดไปรอบห้อง. “นี้เป็นสถานที่เช่นไรหรือ?.”
“ข้ามีเหตุผลที่จะเชื่อว่ามันปลอดภัย,”
เธอพูด. “ทั้ง ฮาวัต และข้าได้ตรวจสอบมันแล้ว.”
“งั้นข้าจะวางยามไว้ที่ด้านนอกที่นี้,
ท่านหญิง, จนกว่าเราจะตรวจทั่วทั้งทำเนียบนี้อีกครั้ง.” เขาโค้งคำนับ,
แตะหมวกของเขาให้กับ พอล, กลับออกไปและเหวี่ยงประตูปิดตามหลังของเขา.
พอล
ทำลายความเงียบทันทีนั้นขึ้น, พูดว่า:
“เราน่าจะได้ไปดูทั่วทำเนียบนี้ในภายหลังอีกครั้งด้วยตัวเราเองไหมครับ? ตาของแม่น่าจะเห็นอะไรอื่นที่น่าจะพลาดหลงกันไป.”
“ปีกด้านนี้เป็นที่ที่แม่ยังไม่ได้ตรวจสอบ,”
เธอบอก. “แม่เอาไว้ท้ายสุดเพราะว่า.....”
เพราะว่า
ฮาวัต ได้ทำการมันด้วยตนเองไปแล้ว,” เขาพูด.
เธอชำเลืองมองยังที่ใบหน้าของเขาอย่างเร็ว,
อย่างสงสัย.
“ลูกไม่ไว้ใจ
ฮาวัต หรือ?” เธอถาม.
“ไม่ใช่เช่นนั้นครับ, แต่เขาเริ่มชราแล้ว.....เขารับภาระมากเกินไป.
เราควรจะแบ่งเบาภาระจากเขาบ้าง.”
“นั่นเพียงแต่ทำให้เขาละอายใจและทำให้ประสิทธิภาพของเขาลดลง,”
เธอพูด.
“แมลงพลัดหลงสักตัวหนึ่งจะไม่อาจเข้ามาในปีกด้านนี้ได้หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องนี้แล้ว.
เขาจะละอายที่.....”
“เราต้องใช้วิธีการประเมินของเราเอง,”
เขาพูด.
“ฮาวัต
ได้รับใช้มาสามรุ่นของตระกูลอะไทรดิสด้วยเกียรติ,” เธอพูด.
“เขาสมควรได้รับทุกความนับถือและความไว้วางใจจากที่เราจะสามารถายให้เขาได้.....หลายต่อหลายครั้งทั้งหมด.”
พอล
พูด: “เมื่อบิดาของลูกได้ถูกรบกวนโดยบางอย่างที่แม่ได้ทำเขาก็จะพูดว่า
‘เบเน เกสเสอริทนั่น! เหมือนกับคำสบถสาบาน.”
“แล้วอะไรเกี่ยวกับแม่ล่ะหรือที่กวนใจพ่อของลูก?”
“เมื่อแม่เถียงเขา.”
“ลูกไม่ใช่พ่อของลูกนะ,
พอล.”
แล้ว
พอล ก็คิด: มันจะทำให้แม่กังวลใจ,
แต่ฉันต้องบอกเธอว่าอะไรที่ ผู้หญิงมาเพส นั้นพูดเกี่ยวกับคนทรยศในหมู่พวกเรา.
“ลูกสะกดอะไรกลับไปเอาไว้หรือ?”
เจสสิกา ถาม. “นี่ไม่เหมือนอย่างที่ลูกเป็นเลยนะ, พอล.”
เขายักไหล่,
เล่าทวนถึงคำแลกเปลี่ยนกับ มาเพส นั้น.
และ
เจสสิกา คิดถึงข่าวสาส์นที่ใบไม้. เธอมาถึงการตัดสินใจในทันใดอีก,
แสดงใบไม้นั้นให้ พอล ดู, บอกเขาถึงข่าวสาส์น.
“พ่อของผมต้องเรียนรู้เรื่องนี้ในทันที,”
เขาพูด. “ผมจะถ่ายเรดิโอกราฟมันเข้ารหัสไว้แล้วเด็มันทิ้งไปเสีย.”
“ไม่,”
เธอพูด. “ลูกจะต้องรอจนกว่าลูกสามารถเห็นเขาอยู่ตามลำพัง.
น้อยคนเท่าที่เป็นไปได้ที่ต้องเรียนรู้เรื่องมัน.”
“แม่หมายความว่าเราควรที่จะไม่ไว้ใจใครหรือ?”
“มีความเป็นไปได้อีกอย่าง,”
เธอพูด. “ข่าวสาส์นนี้อาจจะถูกหมายให้มาถึงเรา.
ผู้คนที่ให้มันกับเราอาจเชื่อว่ามันเป็นจริง,
แต่บางทีนั่นเป็นเพียงจุดประสงค์แค่เอาสาส์นนี้ให้แก่เรา.”
ใบหน้าของ พอล ยังคงหมองคล้ำมุ่งมั่น.
“เพื่อกระจายความไม่ไว้ใจและสงสัยกันและกันในหมู่ชนชั้นของเรา,
เพื่อทำให้เราอ่อนแอลงวิธีนั้น,” เขาพูด.
“ลูกต้องบอกพ่อของลูกเป็นการส่วนตัวและเตือนเขาเกี่ยวกับแง่มุมในเรื่องนี้ของมัน,”
เธอบอก.
“ผมเข้าใจ.”
เธอหันไปยังกระจกกรองสูงเอื้อมนั้น,
จ้องมองออกไปยังด้านตะวันตกเฉียงใต้ที่ซึ่งดวงอาทิตย์ของ อาร์ราคิส
กำลังอัสดง---ลูกกลมสีเหลืองลอยอยู่เหนือหน้าผานั้น.
พอล
หันตามเธอไป, พูด: “ผมไม่คิดว่าเป็น ฮาวัต, ด้วยเหมือนกัน.
มันเป็นไปได้ว่าจะเป็น หยัว?”
“เขาไม่ใช่ทั้งนายร้อยทหารและสหาย,”
เธอพูด.
“และแม่สามารถทำให้เชื่อใจได้ว่าเขานั้นเกลียดพวกฮาร์คอนเนนส์อย่างขื่นขมเท่าๆกับที่เราเป็น.”
พอล
พุ่งความสนใจไปยังหน้าผาเหล่านั้น, กำลังคิด: และมันก็เป็น
เกอร์นีย์ ไม่ได้...หรือ ดันแคน. มันอาจจะเป็นหนึ่งในรองผู้หมวดเหล่านั้น?
เป็นไปไม่ได้.
พวกนั้นทั้งหมดมาจากตระกูลทั้งหลายที่ได้จงรักภักดีต่อเรามาหลายชั่วรุ่น---ด้วยเหตุผลที่ดี.
เจสสิกา
ถูหน้าผากของเธอ, รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของเธอเอง. ภัยอันตรายมากมายเกินไปในที่นี่!
เธอมองไปที่ภูมิทัศน์สีเหลืองด้วยกระจกกรอง, ศึกษามัน. โพ้นเลยจากผืนดินของ
ดยุคออกไปแผ่อยู่ด้วยรั้วสูงกั้นลานโกดังเอาไว้---แถวของไซโลเครื่องเทศอยู่ที่ในลานนั้นด้วยเสาค้ำขายันเป็นหอคอยกำลังยืนอยู่รอบๆมันดุจแมงมุมทั้งหลายตื่นตกใจ.
เธอสามารถมองเห็นได้อย่างน้อยยี่สิบลานโกดังของไซโลเหล่านั้นเรียงไปถึงหน้าผานั้นของกำแพงโล่ห์ป้องกัน---ไซโลซ้ำๆกัน,
ตะกุกตะกักอยู่ในแอ่งนั้น.
อย่างช้าๆ,
ดวงอาทิตย์ที่ถูกกรองแสงฝังตัวเองอยู่ใต้เส้นขอบฟ้า. ดวงดาวทั้งหลายกระโจนออกมา.
เธอมองเห็นดาวดวงหนึ่งเจิดจ้าต่ำอยู่แนวขอบฟ้าที่กระพริบด้วยจังหวะที่แน่นอน,
ชัดเจน---แสงสว่างที่สั่นรัว: กะพริบ แวบ-แวบ-แวบ-แวบ.....
พอล
กระสับกระส่ายอยู่ข้างเธอในห้องมืดสลัว.
แต่
เจสสิกา เพ่งความสนใจไปที่ดาวเดี่ยวสว่างจ้านั้น, ตระหนักว่ามันอยู่ต่ำเกินไป,
นั่นต้องมาจากหน้าผา กำแพงโล่ห์ป้องกัน.
บางคนกำลังส่งสัญญาณ.
เธอพยายามที่จะอ่านข่าวสารนั้น,
แต่มันไม่ได้อยู่ในรหัสที่เธอได้เคยเรียนรู้---
แสงอื่นมาจากตอนล่างของทุ่งราบใต้หน้าผาเหล่านั้น,
แสงสีเหลืองทั้งหลายเป็นระยะผุดออกมาจากความมืดสีฟ้า.
และแสงหนึ่งทางด้านซ้ายเหลืออยู่ที่เติบโตสว่างขึ้น, เริ่มกระพริบตอบโต้กับแสงจากหน้าผานั้น---เร็วมาก: ฉีดพุ่ง, หรี่ลง, กะพริบ!
แล้วมันก็จากไป.
ดาวปลอมที่หน้าผานั้นก็หยุดกะพริบลงในทันทีนั้น.
สัญญาณ.....และพวกนั้นเติมให้เธอด้วยการเตือนล่วงหน้าตามสังหรณ์ใจ.
ทำไมใช้แสงเป็นสัญญาณข้างแอ่งทุ่งนั้น?
เธอถามตนเอง. ทำไมพวกเขาถึงไม่อาจใช้เครือข่ายการสื่อสารได้?
คำตอบนั้นชัดเจน:
ข่ายการสื่อสารเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ถูกดักเจาะแล้วด้วยเจ้าหน้าที่ของ ดยุค
ลีโต. สัญญาณแสงทั้งหลายสามารถหมายความได้แต่เพียงว่าข่าวสารนี้ถูกส่งระหว่างกันโดยศัตรูของเขา---ระหว่างเจ้าหน้าที่ของฮาร์คอนเนนส์.
มีเสียงตบประตูมาทางเบื้องหลังของพวกเขาและเสียงของคนของฮาวัต: “กวาดล้างทั้งหมดแล้ว, ขอรับ......ท่านผู้หญิง.
ถึงเวลาต้องนำท่านนายน้อยไปพบบิดาของท่านแล้ว.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น