หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (8)

 

อะไรที่คุณหญิงเจสสิกามี ที่จะจรรโลงเธอไว้ได้ในเวลาทดสอบของเธอนี้หรือ? คิดว่าท่านคงตรวจตราไปกับสุภาษิตนี้ของ เบเน เกสเสอริท และบางทีท่านจะเห็น: “ถนนสายใดเมื่อแค่ตามไปให้ถึงปลายสุดของมันแล้วย่อมนำไปสู่ไม่มีแห่งใดนั่นเอง. ปีนขึ้นภูเขาแค่ทีละน้อยเพื่อทดสอบว่ามันเป็นภูเขา. จากยอดของภูเขา, ท่านก็จะมองไม่เห็นภูเขาอีกต่อไป.”

         ---จาก “มวดดิบ: คำวิจารณ์ทั้งหลายของครอบครัว”

             โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

 

         ในปลายสุดของปีกด้านทิศใต้, เจสสิกา พบบันไดโลหะเวียนขึ้นไปยังประตูรูปไข่. เธอเหลือบกลับลงไปยังห้องโถง, อีกครั้งกลับไปที่ประตู.

         รูปไข่? เธอสงสัย. ช่างเป็นรูปทรงแปลกสำหรับประตูในทำเนียบนี้..

         ผ่านหน้าต่างใต้บันไดเวียนเธอสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์สีขาวมหึมาของ อาร์ราคิส กำลังเคลื่อนไปสู่ยามอัสดง. เงายาวทั้งหลายแทงผ่านลงมาที่โถง. เธอหันกลับความสนใจของเธอมายังบันไดนั้น. แสงไฟนำทางแสบตาผุดออกมาเล็กน้อยของงานโลหะสีดินแห้งของขั้นบันไดเหล่านั้น.

         เจสสิกา เอามือจับที่ราว, เริ่มปีนขึ้นไป. ราวนั้นรู้สึกเย็นเยียบใต้ฝ่ามือที่เลื่อนไปของเธอ. เธอหยุดที่ประตู, มองเห็นว่ามันไม่มีมือจับ, แต่มีรอยกดจางๆบนผิวหน้าของมันตรงที่ควรจะได้มีมือจับติดตั้งไว้.

         แน่เลยว่าไม่ใช่ปิดล็อคด้วยฝ่ามือ, เธอบอกกับตนเอง. ปิดล็อคด้วยฝ่ามือนั้นต้องเป็นกุญแจสำหรับรอยเส้นและรูปทรงของมือของผู้ใดผู้หนึ่ง. แต่มันดูเหมือนปิดล็อคด้วยฝ่ามือ. และก็มีวิธีทั้งหลายมราจะเปิดล็อคด้วยฝ่ามือใดๆ---ดังที่เธอได้เรียนรู้มาที่โรงเรียน.

         เจสสิกา เหลียวกลับมามองเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ถูกเฝ้าดูอยู่, วางฝ่ามือของเธอเข้ากับรอยกดที่บานประตูนั้น. กดลงไปอย่างแผ่วเบามากที่สุดเพื่อบิดรูปรอยของเส้นทั้งหลาย—และหมุนข้อมือ, หมุนอีกครั้ง, บิดเลื่อนไปของฝ่ามือข้ามผิวหน้า.

         เธอรู้สึกถึงเสียงคลิ๊ก.

         แต่มีเสียงฝีเท้ารีบเร่งอยู่ในห้องโถงใต้ร่างของเธอ. เจสสิกา ยกมือของเธอออกจากประตูนั้น, หันกลับมา, เห็น มาเพส มาถึงยังตีนบันได.

         “มีพวกทหารในโถงใหญ่บอกว่าพวกเขาถูกส่งมาโดยท่านดยุคเพื่อตามตัวนายน้อย พอล,” มาเพส พูด. “พวกนั้นมีแหวนตราของท่านดยุคและยามรักษาการณ์ได้ตรวจยืนยันพวกนั้น.” เธอชำเลืองมองไปที่ประตู, ที่ด้านหลังของ เจสสิกา.

         ช่างระแวดระวังคนหนึ่ง, มาเพส ผู้นี้, เจสสิกา คิด. นั่นเป็นสัญญานที่ดี.

         “เขาอยู่ที่ห้องที่ห้าจากปลายสุดนี้ของโถง, ห้องนอนเล็กๆ,” เจสสิกา บอก. “ถ้าเธอลำบากที่จะปลุกเขา, ก็เรียก ดร.หยัว ในห้องถัดไป. พอล อาจต้องเขย่าตัวปลุกให้ตื่น.”

         อีกครั้ง, มาเพส จ้องมองรุกตรงมาที่ประตูรูปไข่นั้น, และ เจสสิกา คิดว่าเธอได้ตรวจพบความเกลียดชังในการแสดงออกนั้น. ก่อนที่ เจสสิกา จะสามารถถามเรื่องประตูนี้และอะไรที่มันปกปิดเอาไว้ได้, มาเพส ก็หันร่างจากไป, รีบเร่งกลับลงไปตามห้องโถง.

         ฮาวัต ได้รับประกันสถานนี้, เจสสิกา คิด. ไม่อาจมีอะไรที่น่ากลัวเกินไปในที่นี่.

         เธอผลักประตูนั้น. มันเหวี่ยงเปิดเข้าไปข้างในสู่ห้องเล็กๆด้วยประตูรูปไข่อีกบานในด้านตรงข้าม. ประตูอีกบานนั้นมีมือจับวงล้อหมุน.

         ประตูล็อคอากาศ! เจสสิกา คิด. เธอเหลือบตาลงมอง, เห็นที่ค้ำประตูหล่นอยู่ที่พื้นห้องเล็กๆนั้น. ที่ค้ำยันนั้นมีเครื่องหมายส่วนตัวของ ฮาวัต. ประตูถูกทิ้งค้ำยันเปิดออก, เธอคิด. ใครบางคนอาจได้กระแทกที่ค้ำยันนี้ร่วงลงโดยอุบัติเหตุ, ไม่ใช่ตระหนักรู้ว่าประตูด้านนอกจะปิดลงด้วยล็อคฝ่ามือ.

         เธอก้าวข้ามริมขอบเข้าไปในห้องเล็กๆ.

         ทำไมมีล็อคอากาศในทำเนียบ? เธอถามตนเอง. และเธอคิดในทันทีทันใดถึงสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นถูกปิดขังไว้ในภูมิอากาศพิเศษ.

         ประตูด้านหลังของเธอเริ่มต้นเหวี่ยงตัวปิดกลับ. เธอจับมันและค้ำมันเปิดปลอดภัยไว้ด้วยก้านยันของ ฮาวัต ที่ทิ้งไว้. อีกครั้ง, เธอเผชิญหน้าวงล้อล็อคของประตูด้านใน, มองเห็นตอนนี้รอยแกะจารึกจางๆอยู่ในโลหะเหนือมือจับ. เธอจำคำ กาลัค นั้นได้, อ่านว่า:

         “โอ, คน! นี่คือมรดกแห่ง การรังสรรค์ของพระเจ้า, กระนั้น, จงยืนตรงหน้ามันและเรียนรู้ที่จะรักความสมบูรณ์ของ สหายผู้สูงสุดของสูเจ้า.”

         เจสสิกา ทุ่มน้ำหนักตัวลงไปที่วงล้อ. มันหมุนไปทางด้านซ้ายและประตูด้านในก็เปิดออก. กระแสลมเบาๆลูบไล้แก้มของเธอ, สะพัดผมของเธอ. เธอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในอากาศ, กลิ่นรสที่อุดมกว่า. เธอเหวี่ยงประตูออกกว้าง, มองผ่านเข้าไปในมวลพืชผักสีเขียวด้วยแสงสีเหลืองของแดดที่ไหลหลั่งข้ามผ่านมัน.

         ดวงอาทิตย์สีเหลืองรึ? เธอถามตนเอง. แล้ว: กระจกกรองแสง!

         เธอก้าวข้ามธรณีประตูและประตูก็เหวี่ยงปิดตามหลัง.

         “เรือนกระจกแบบโลกเปียกชื้น,” เธอสูดหายใจ.

         พืชกระถาง, ต้นไม้ตัดแต่งเตี้ยวางเรียงเต็มไปหมด. เธอจำได้ถึง ไมยราพ, ไม้ดอกมะตูม, ต้นซอนดาจี, ไม้ดอกเขียวหอมเพลนิสเซนตา, แถบเขียวและขาวของดอกอะการโซ.....กุหลาบ...

         มีกระทั่งกุหลาบ!

         เธอค้อมกายลงเพื่อสูดกลิ่นหอมของดอกผลิบานชมพูใหญ่นั้น, แล้วยืดกายขึ้นมองไปรอบห้อง.

         เสียงเป็นจังหวะบุกเข้ามาในสัมผัสของเธอ.

         เธอแหวกป่าที่ทับซ้อนกันไว้ด้วยใบไม้ต่างๆ, มองผ่านไปยังศูนย์กลางของห้อง. มีน้ำพุเตี้ยตั้งอยู่ที่นั่น, เล็กด้วยขอบยื่นปาก. เสียงเป็นจังหวะนั้นคือหลอดม้วนเปลือยปลอกโค้งของน้ำหล่นเป็นจังหวะควบม้าเมื่อกระทบลงบนชามอ่างโลหะ.

         เจสสิกา ส่งตนเองผ่านการควบคุมประสาทสัมผัสที่กระจ่างชัด, เริ่มตรวจสอบตามกรรมวิธียังอาณาเขตของห้องนี้. มันปรากฏว่าเป็นราวสิบตารางเมตร. จากการติดตั้งของมันอยู่เหนือตอนปลายสุดของห้องโถงและจากโครงสร้างบอบบางต่างออกไป, เธอเดาว่ามันได้ต่อเติมขึ้นบนส่วนหลังคาของปีกนี้ยาวต่อไปตามอาคารเดิมที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ไว้แล้ว.

         เธอหยุดที่สุดด้านทิศใต้ของห้องตรงหน้าของกระจกกรองแสงกว้างสุดเอื้อม, จ้องมองไปรอบๆ. ทุกที่ว่างที่ใช้การได้ในห้องถูกคับคั่งไว้ด้วยพืชของภูมิอากาศชื้นต่างถิ่น. บางอย่างส่งเสียงกรอบแกรบในหมู่พฤกษชาติ. เธอเขม็งตน, แล้วชำเลืองไปยังเครื่องเซอร์ว็อคตั้งเวลาขนาดเล็กง่ายๆที่มีท่อและหัวแขนฉีดทั้งหลายนั้น. แขนนั้นยกขึ้น, และส่งพ่นความชื้นละเอียดออกมาที่เป็นหมอกกระทบแก้มของเธอ. แขนนั้นหดกลับไปและเธอมองไปที่อะไรที่มันได้รดน้ำ: เป็นต้นเฟิร์น.

         น้ำมีอยู่ทุกแห่งในห้องนี้---บนดาวเคราะห์ที่ซึ่งน้ำเป็นของเหลวที่ล้ำค่ายิ่งของชีวิต. น้ำได้ถูกทำเสียเปล่าอย่างชัดเจนนั้นมันทำให้เธอตื่นตกใจกับความนิ่งภายใน.

         เธอเหลือบมองออกไปยังดวงอาทิตย์ที่ถูกกรองแสงเป็นสีเหลือง. มันแขวนลอยอยู่เส้นตัดขอบฟ้าเหนือเชิงผาที่ก่อรูปเป็นส่วนหนึ่งของหินใหญ่โตยกตัวสูงขึ้นที่รู้จักว่าคือ กำแพงโล่ห์.

         กระจกกรองแสง, เธอคิด. เพื่อเปลี่ยนดวงอาทิตย์สีขาจ้าวให้ไปเป็นอะไรบางอย่างที่นุ่มอ่อนลงและคุ้นเคยมากขึ้น. ใครที่สามารถสร้างสถานที่เช่นนี้ขึ้นมาได้นะ? ลีโต? มันน่าจะเป็นเขาที่ทำให้ฉันประหลาดใจด้วยของขวัญเช่นนี้, แต่มันไม่มีเวลาพอที่จะทำเช่นนี้ได้. แล้วเขาก็ยุ่งอยู่แต่กับปัญหาที่เคร่งเครียดยิ่งกว่า.

         เธอระลึกถึงรายงานนั้นที่ว่า บ้านของอาร์ราคีนมากมายถูกปิดผนึกด้วยล็อคอากาศที่ประตูและหน้าต่างทั้งหลายเพื่อเก็บรักษาและเรียกคืนความชื้นภายใน. ลีโต ได้บอกว่ามันเป็นแถลงประกาศอย่างรอบคอบของอำนาจและความมั่งคั่งของราชสำนักนี้ที่จะเพิกเฉยต่อการเตรียมระวังเช่นนั้น, ประตูและหน้าต่างทั้งหลายของมันถูกปิดผนึกก็แต่เพียงต่อฝุ่นที่มีอยู่เต็มทั่วไปหมดเท่านั้นเอง.

         แต่ห้องนี้ปรากฏในรูปร่างประกาศนั้นสำคัญไกลยิ่งไปกว่าการขาดสิ่งปิดผนึกทังหลายของประตูด้านนอก. เธอประมาณว่าห้องรื่นรมย์นี้ใช้น้ำเพียงพอพี่จะรองรับผู้คนหนึ่งพันบน อาร์ราคิส—เป็นไปได้ว่ามากกว่านั้น.

         เจสสิกา เคลื่อนตัวไปตามหน้าต่างนั้น, ยังคงจ้องมองต่อไปยังในห้อง. การเคลื่อนที่ทำให้มองเห็นไปสู่พื้นผิวโลหะที่โต๊ะสูงข้างน้ำพุนั้นและเธอสะดุดตาที่แผ่นจดบันทึกสีขาวและปากกา สไตลัสที่ถูกปิดไว้บางส่วนโดยใบไม้ที่คลี่พัดคลุมอยู่เหนือนั้น. เธอข้ามไปยังโต๊ะ, สังเกตเห็นตราประจำวันของ ฮาวัต บนมัน, และศึกษาข้อความที่เขียนบนบันทึกนั้น:

         “ถึง ท่านหญิง เจสสิกา---

          ขอสถานที่นี้ได้ให้เธอซึ่งความรื่นรมย์ได้มากเท่าที่มันได้ให้กับฉัน.

         โปรดอนุญาตให้ห้องนี้แสดงถึงบทเรียนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากบรรดา

ครูทั้งหลายเดียวกัน: ความใกล้เคียงในสิ่งกิเลสทั้งหลายอันน่าปรารถนา

อันหนึ่งที่มากเกินไป. บนวิถีนั้นทอดวางไว้ซึ่งอันตราย.

                                                      ด้วยความปรารถนาดีจากฉัน,

                                                        มาร์กอต เลดี้ เฟนริง”

          เจสสิกา พยักหน้า, จำได้ว่า ลีโต ได้เอ่ยถึงต่ออดีตผู้แทนจักรพรรดิที่นี่คือ เคานท์ เฟนริง. แต่ข่าวสาส์นที่ซ่อนไว้ของบันทึกนี้เรียกร้องให้ต้องถูกใส่ใจในทันที, หมอบซุ่มอยู่ราวกับเป็นวิธีเดียวที่จะแจ้งต่อเธอว่าผู้เขียนนั้นเป็น เบเน เกสเสอริท ด้วยอีกราย. ความคิดอันขื่นขมสัมผัสต่อ เจสสิกา ชั่วแล่น: ท่านเคานท์นี้ได้สมรสกับท่านหญิงของเขา.

          แม้ว่าความคิดนี้จะแวบผ่านเข้ามาในจิตใจของเธอ, เธอก็หันเหมันไปมองหาข่าวสารที่ซ่อนในนัยอยู่. มันต้องอยู่ที่นั่น. บันทึกที่มองเห็นได้บรรจุวลีรหัสที่ทุก เบเน เกสเสอริท ไม่ผูกพันกับ ข้อห้ามของสำนัก นั้นมีเพื่อให้ต่อ เบเน เกสเสอริท ผู้อื่นอีกรายเมื่อสถานการณ์เรียกร้องมัน: “บนวิถีนั้นทอดวางไว้ซึ่งอันตราย.”

         เจสสิกา รู้สึกยังด้านหลังของบันทึก, ถูกผิวหน้าของมันเพื่อหารหัสที่จุดเอาไว้. ไม่มีอะไร. ขอบมุมของแผ่นบันทึกอยู่ใต้การไล่ตรวจสอบของนิ้วเธอ. ไม่มีอะไร. เธอวางแผ่นนั้นกลับไปที่เดิมที่เธอได้พบมัน, รู้สึกสัมผัสได้ถึงความรีบด่วน.

         อะไรบางอย่างในตำแหน่งของแผ่นบันทึกนี้รึ? เธอสงสัย.

         แต่ ฮาวัต ได้เคยตรวจตราห้องนี้จนทั่วแล้ว, ไร้ข้อสงสัยว่าเคยได้เคลื่อนย้ายแผ่นบันทึกนี้. เธอมองที่ใบไม้เหนือแผ่นบันทึก. ใบไม้!อเธอปัดนิ้วไปตามใต้ผิวใบนั้น, ไล่ตามริมขอบ, ตามก้านใบลงไป. มันอยู่ที่นั่น! นิ้วของเธอตรวจพบจุดรหัสบางเบาเหล่านั้น, สแกนพวกนั้นออกเป็นหนึ่งข้อความ.

         “บุตรของฉันและท่านดยุคอยู่ในอันตรายเฉียบพลัน. ห้องนอนได้ถูกออกแบบไว้เพื่อจู่โจมบุตรของท่าน. พวก บรรจุใส่มันไว้ด้วยกับดักมรณะเพื่อให้ถูกค้นพบ, จนละเลยอันหนึ่งที่อาจหลบการตรวจหาไปได้.” เจสสิกา วางแรงกระตุ้นที่จะวิ่งกลับไปหา พอล ลง: ข่าวสาส์นทั้งหมดนี้ต้องได้ถูกเรียนรู้ก่อน. นิ้วของเธอไล่เร่งไปตามจุดเหล่านั้น: “ฉันไม่รู้ถึงธรรมชาติที่แน่ชัดของภัยอันตรายนี้, แต่มันมีอะไรบางอย่างที่จะทำด้วยเตียงนอน. การคุกคามต่อท่านดยุคของเธอเกี่ยวข้องกับการเอาใจออกห่างของเหล่าสหายที่ไว้วางใจหรือทหารใกล้ชิด. พวก วางแผนที่จะให้ท่านเป็นของขวัญต่อบริวารผู้หนึ่ง. กับความรู้ที่ดีทีสุดของฉัน, เรือนกระจกนี้ปลอดภัย. อภัยด้วยที่ฉันไม่สามารถบอกได้มากกว่านี้. แหล่งข่าวของฉันนั้นมีน้อยนิดด้วยเคานท์ของฉันนั้นไม่ได้อยู่ในบทละครนี้ของพวก . จงถี่ถ้วนไว้. มฟ.”

         เจสสิกา ดันใบไม้นั้นไปด้านข้าง, หมุนตัวพุ่งกลับไปหา พอล. ในทันทีนั้น, ประตูล็อคอากาศก็เปิดกระแทกออก. พอล กระโจนผ่านมันเข้ามา, ถืออะไรบางอย่างอยู่ในมือขวาของเขา., เหวี่ยงประตูปิดตามหลังของเขา. เขามองเห็นมารดาของตน, แหวกผ่านใบ้ไม้เหล่านั้นไปหาเธอ, เหลือบมองน้ำพุ, กดมือของเขาและให้สิ่งนั้นก็ยันค้ำอยู่ภายใต้น้ำที่กำลังตกลงมา.

         “พอล!” เธอตะครุบไหล่ของเขา, จ้องมองที่มือนั้น. “นั่นอะไรน่ะ?”

         เขาพูดตามปกติ, แต่เธอจับได้ถึงความพยายามในเบื้องหลังน้ำเสียง: “เครื่องล่า-สังหาร. จับมันได้ที่ในห้องของผมและฟาดจมูกมันแหลกไปแล้ว, แต่ผมอยากให้แน่ใจน่ะ. น้ำน่าจะทำให้ลัดวงจรมันได้.”

         “จุ่มมันลงไปเลย!” เธอสั่ง.

         เขาทำตามนั้น.

         ทันทีนั้น, เธอบอก. “ดึงมือของลูกกลับมาได้. ปล่อยให้เจ้าสิ่งนั้นจมอยู่ในน้ำ.”

         เขาดึงมือกลับออกมา, สะบัดน้ำออกจากมัน, จ้องไปยังโลหะที่นอนสงบนิ่งอยู่ในน้ำพุนั้น. เจสสิกา หักก้านกิ่งไม้ออกมาจาหต้น, แหย่แยงไปที่โลหะมรณะสีเงินนั้น.

         มันตายไปแล้ว.

         เธอทิ้งกิ่งไม้ลงไปในน้ำ, มองที่ พอล. ดวงตาของเขากำลังศึกษาห้องนี้ด้วยการเสาะค้นอย่างละเอียดเข้มที่เธอคุ้นเคย---วิถีของ บ.ก.

         “ที่นี้น่าจะสามารถอะไรก็ได้,” เขาพูด.

         “แม่มีเหตุผลว่ามันเป็นที่ปลอดภัย,” เธอบอก.

         “ห้องของผมก็คาดว่าน่าจะปลอดภัย, ด้วยเหมือนกัน. ฮาวัต บอกว่า---“

         “มันคือเครื่องล่า-สังหาร,” เธอเตือนเขา. “นั่นหมายความว่าใครบางคนในทำเนียบนี้ได้ควบคุมมัน. ลำแสงสัญญานเครื่องล่านี้มีพิสัยจำกัด. เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มาสิงสถิตเองอยู่ในที่นี่หลังจากการตรวจตราของ ฮาวัต.”

         แต่เธอหวนคิดไปถึงข่าวสาส์นที่ใบไม้นั่น: “...การเอาใจออกห่างของสหายที่ไว้วางใจหรือทหารใกล้ชิด.” ไม่ใช่ ฮาวัต, แน่นอน. โอ, แน่นอนว่าไม่ใช่ ฮาวัต นะ.

         “คนของ ฮาวัตกำลังตรวจค้นทำเนียบอยู่ใสตอนนี้,” เขาพูด. “เจ้าเครื่องล่านั่นเกือบจัดการหญิงชราที่เข้าไปปลุกผมให้ตื่น.”

         “ชาเดาท์ มาเพส,” เจสสิกา พูด, นึกถึงตอนที่พบกันที่บันได. “มีคำสั่งเรียกหาจากบิดาของลูก ให้---”

         “นั่นสามารถรอไปก่อนได้,” พอล พูด. “ทำไมแม่ถึงคิดว่าห้องนี้ปลอดภัยล่ะ?”

         เธอชี้ไปที่บันทึกนั้น, อธิบายเรื่องของมัน.

         เขาค่อยๆผ่อนคลายลง.

         แต่ เจสสิกา ยังคงตึงเครียดอยู่ภายใน, คิดว่า: เครื่องล่า-สังหาร! พระมารดาทรงเมตตา! มันใช้การฝึกฝนมาทั้งหมดของเธอที่จะป้องกันความพอดีพอควรของการตีโพยตีพายตัวสั่น.

         พอล พูดถึงแก่นของความสัจจริง: “มันเป็นฝีมือพวก ฮาร์คอนเนส์, แน่นอน. เราจะต้องทำลายพวกมัน.”

         เสียงตบที่ประตูล็อคอากาศดังมา---เป็นรหัสเคาะของหนึ่งในกองกำลังของ ฮาวัต.

         “เข้ามา,” พอล เรียก.

         ประตูเหวี่ยงเปิดออกกว้างและชายร่างสูงคนหนึ่งในเครื่องแบบอะไทรดิสมีตราของ ฮาวัต บนหมวกแก็ปของเขาโน้มร่างเข้ามาในห้อง. “ท่านอยู่ที่นี่เอง, ขอรับ,” เขาพูด. “หญิงแม่บ้านนั่นบอกว่าท่านน่าจะอยู่ที่นี่.” เขาเหลือบมองไปรอบๆห้อง. “เราพบ คาอิม(caim)หนึ่งในห้องใต้ดินและพบชายคนหนึ่งอยู่ในมัน. เขามีที่ควบคุมเครื่องล่า-สังหาร.”

         “ข้าจะต้องการมีส่วนในการสอบสวนนั้นด้วย,” เจสสิกา พูด.

         “ขออภัย, ท่านหญิง. เราทำไม่เรียบร้อยในการจับกุมเขา. เขาตายแล้ว.”

         “ไม่มีอะไรระบุตัวของเขาได้หรือ?” เธอถาม.

         “เรายังไม่พบอะไรเลยขอรับ, ท่านหญิง.”

         “เขาเป็นชนพื้นเมืองอาร์ราคีนหรือ?” พอล ถาม.

         เจสสิกา พยักหน้าเห็นด้วยกับความฉลาดในคำถามนั้น.

         “เขามีท่าทางเป็นคนพื้นเมือง,” ชายผู้นั้นบอก. “เอาใส่ไว้ในคาอิมนั้นมากกว่าหนึ่งเดือนมาแล้ว, ดูด้วยสายตาแล้ว, และถูกทิ้งไว้ที่นั่นรอการมาถึงของเรา. หินและปูนฉาบที่ที่เขาผ่านทะลุเข้ามายังห้องใต้ดินยังไม่ถูกแตะต้องเมื่อตอนเราตรวจสอบสถานที่นั้นเมื่อวานนี้. ข้าเอาเกียรติของตนยืนยันในเรื่องนี้ได้.”

         “ไม่มีใครสงสัยในความละเอียดถี่ถ้วนของเจ้า,” เจสสิกา พูด.

         “ข้ายอมรับว่าผิดพลาดกับมัน, ท่านหญิง. เราน่าจะใช้เครื่องสืบสวนโซนิคที่ข้างล่างนั่น.”

         “ข้าว่านั่นคืออะไรที่เจ้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้นะ,” พอล พูด.

         “ช่วยแจ้งแก่บิดาของข้าด้วยว่าเราอาจจะเลื่อนออกไปหาท่านช้านิดหน่อย.”

         “ทันที, ขอรับ.” เขาเหลือบมองมาที่ เจสสิกา. “เป็นคำสั่งของท่านฮาวัตว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นายหนุ่มท่านต้องถูกคุ้มกันอยู่ในสถานที่ปลอดภัย.” อีกครั้ง, ดวงตาของเขากวาดไปรอบห้อง. “นี้เป็นสถานที่เช่นไรหรือ?.”

         “ข้ามีเหตุผลที่จะเชื่อว่ามันปลอดภัย,” เธอพูด. “ทั้ง ฮาวัต และข้าได้ตรวจสอบมันแล้ว.”

         “งั้นข้าจะวางยามไว้ที่ด้านนอกที่นี้, ท่านหญิง, จนกว่าเราจะตรวจทั่วทั้งทำเนียบนี้อีกครั้ง.” เขาโค้งคำนับ, แตะหมวกของเขาให้กับ พอล, กลับออกไปและเหวี่ยงประตูปิดตามหลังของเขา.

         พอล ทำลายความเงียบทันทีนั้นขึ้น, พูดว่า: “เราน่าจะได้ไปดูทั่วทำเนียบนี้ในภายหลังอีกครั้งด้วยตัวเราเองไหมครับ? ตาของแม่น่าจะเห็นอะไรอื่นที่น่าจะพลาดหลงกันไป.”

         “ปีกด้านนี้เป็นที่ที่แม่ยังไม่ได้ตรวจสอบ,” เธอบอก. “แม่เอาไว้ท้ายสุดเพราะว่า.....”

         เพราะว่า ฮาวัต ได้ทำการมันด้วยตนเองไปแล้ว,” เขาพูด.

         เธอชำเลืองมองยังที่ใบหน้าของเขาอย่างเร็ว, อย่างสงสัย.

         “ลูกไม่ไว้ใจ ฮาวัต หรือ?” เธอถาม.

         “ไม่ใช่เช่นนั้นครับ, แต่เขาเริ่มชราแล้ว.....เขารับภาระมากเกินไป. เราควรจะแบ่งเบาภาระจากเขาบ้าง.”

         “นั่นเพียงแต่ทำให้เขาละอายใจและทำให้ประสิทธิภาพของเขาลดลง,” เธอพูด. “แมลงพลัดหลงสักตัวหนึ่งจะไม่อาจเข้ามาในปีกด้านนี้ได้หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องนี้แล้ว. เขาจะละอายที่.....”

         “เราต้องใช้วิธีการประเมินของเราเอง,” เขาพูด.

         “ฮาวัต ได้รับใช้มาสามรุ่นของตระกูลอะไทรดิสด้วยเกียรติ,” เธอพูด. “เขาสมควรได้รับทุกความนับถือและความไว้วางใจจากที่เราจะสามารถายให้เขาได้.....หลายต่อหลายครั้งทั้งหมด.”

         พอล พูด: “เมื่อบิดาของลูกได้ถูกรบกวนโดยบางอย่างที่แม่ได้ทำเขาก็จะพูดว่า เบเน เกสเสอริทนั่น! เหมือนกับคำสบถสาบาน.”

         “แล้วอะไรเกี่ยวกับแม่ล่ะหรือที่กวนใจพ่อของลูก?”

         “เมื่อแม่เถียงเขา.”

         “ลูกไม่ใช่พ่อของลูกนะ, พอล.”

         แล้ว พอล ก็คิด: มันจะทำให้แม่กังวลใจ, แต่ฉันต้องบอกเธอว่าอะไรที่ ผู้หญิงมาเพส นั้นพูดเกี่ยวกับคนทรยศในหมู่พวกเรา.

         “ลูกสะกดอะไรกลับไปเอาไว้หรือ?” เจสสิกา ถาม. “นี่ไม่เหมือนอย่างที่ลูกเป็นเลยนะ, พอล.”

         เขายักไหล่, เล่าทวนถึงคำแลกเปลี่ยนกับ มาเพส นั้น.

         และ เจสสิกา คิดถึงข่าวสาส์นที่ใบไม้. เธอมาถึงการตัดสินใจในทันใดอีก, แสดงใบไม้นั้นให้ พอล ดู, บอกเขาถึงข่าวสาส์น.

         “พ่อของผมต้องเรียนรู้เรื่องนี้ในทันที,” เขาพูด. “ผมจะถ่ายเรดิโอกราฟมันเข้ารหัสไว้แล้วเด็มันทิ้งไปเสีย.”

         “ไม่,” เธอพูด. “ลูกจะต้องรอจนกว่าลูกสามารถเห็นเขาอยู่ตามลำพัง. น้อยคนเท่าที่เป็นไปได้ที่ต้องเรียนรู้เรื่องมัน.”

         “แม่หมายความว่าเราควรที่จะไม่ไว้ใจใครหรือ?”

         “มีความเป็นไปได้อีกอย่าง,” เธอพูด. “ข่าวสาส์นนี้อาจจะถูกหมายให้มาถึงเรา. ผู้คนที่ให้มันกับเราอาจเชื่อว่ามันเป็นจริง, แต่บางทีนั่นเป็นเพียงจุดประสงค์แค่เอาสาส์นนี้ให้แก่เรา.”

         ใบหน้าของ พอล ยังคงหมองคล้ำมุ่งมั่น. “เพื่อกระจายความไม่ไว้ใจและสงสัยกันและกันในหมู่ชนชั้นของเรา, เพื่อทำให้เราอ่อนแอลงวิธีนั้น,” เขาพูด.

         “ลูกต้องบอกพ่อของลูกเป็นการส่วนตัวและเตือนเขาเกี่ยวกับแง่มุมในเรื่องนี้ของมัน,” เธอบอก.

         “ผมเข้าใจ.”

         เธอหันไปยังกระจกกรองสูงเอื้อมนั้น, จ้องมองออกไปยังด้านตะวันตกเฉียงใต้ที่ซึ่งดวงอาทิตย์ของ อาร์ราคิส กำลังอัสดง---ลูกกลมสีเหลืองลอยอยู่เหนือหน้าผานั้น.

         พอล หันตามเธอไป, พูด: “ผมไม่คิดว่าเป็น ฮาวัต, ด้วยเหมือนกัน. มันเป็นไปได้ว่าจะเป็น หยัว?”

         “เขาไม่ใช่ทั้งนายร้อยทหารและสหาย,” เธอพูด. “และแม่สามารถทำให้เชื่อใจได้ว่าเขานั้นเกลียดพวกฮาร์คอนเนนส์อย่างขื่นขมเท่าๆกับที่เราเป็น.”

         พอล พุ่งความสนใจไปยังหน้าผาเหล่านั้น, กำลังคิด: และมันก็เป็น เกอร์นีย์ ไม่ได้...หรือ ดันแคน. มันอาจจะเป็นหนึ่งในรองผู้หมวดเหล่านั้น? เป็นไปไม่ได้. พวกนั้นทั้งหมดมาจากตระกูลทั้งหลายที่ได้จงรักภักดีต่อเรามาหลายชั่วรุ่น---ด้วยเหตุผลที่ดี.

         เจสสิกา ถูหน้าผากของเธอ, รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าของเธอเอง. ภัยอันตรายมากมายเกินไปในที่นี่!  เธอมองไปที่ภูมิทัศน์สีเหลืองด้วยกระจกกรอง, ศึกษามัน. โพ้นเลยจากผืนดินของ ดยุคออกไปแผ่อยู่ด้วยรั้วสูงกั้นลานโกดังเอาไว้---แถวของไซโลเครื่องเทศอยู่ที่ในลานนั้นด้วยเสาค้ำขายันเป็นหอคอยกำลังยืนอยู่รอบๆมันดุจแมงมุมทั้งหลายตื่นตกใจ. เธอสามารถมองเห็นได้อย่างน้อยยี่สิบลานโกดังของไซโลเหล่านั้นเรียงไปถึงหน้าผานั้นของกำแพงโล่ห์ป้องกัน---ไซโลซ้ำๆกัน, ตะกุกตะกักอยู่ในแอ่งนั้น.

         อย่างช้าๆ, ดวงอาทิตย์ที่ถูกกรองแสงฝังตัวเองอยู่ใต้เส้นขอบฟ้า. ดวงดาวทั้งหลายกระโจนออกมา. เธอมองเห็นดาวดวงหนึ่งเจิดจ้าต่ำอยู่แนวขอบฟ้าที่กระพริบด้วยจังหวะที่แน่นอน, ชัดเจน---แสงสว่างที่สั่นรัว: กะพริบ แวบ-แวบ-แวบ-แวบ.....

         พอล กระสับกระส่ายอยู่ข้างเธอในห้องมืดสลัว.

         แต่ เจสสิกา เพ่งความสนใจไปที่ดาวเดี่ยวสว่างจ้านั้น, ตระหนักว่ามันอยู่ต่ำเกินไป, นั่นต้องมาจากหน้าผา กำแพงโล่ห์ป้องกัน.

         บางคนกำลังส่งสัญญาณ.

         เธอพยายามที่จะอ่านข่าวสารนั้น, แต่มันไม่ได้อยู่ในรหัสที่เธอได้เคยเรียนรู้---

         แสงอื่นมาจากตอนล่างของทุ่งราบใต้หน้าผาเหล่านั้น, แสงสีเหลืองทั้งหลายเป็นระยะผุดออกมาจากความมืดสีฟ้า. และแสงหนึ่งทางด้านซ้ายเหลืออยู่ที่เติบโตสว่างขึ้น, เริ่มกระพริบตอบโต้กับแสงจากหน้าผานั้น---เร็วมาก: ฉีดพุ่ง, หรี่ลง, กะพริบ!

         แล้วมันก็จากไป.

         ดาวปลอมที่หน้าผานั้นก็หยุดกะพริบลงในทันทีนั้น.

         สัญญาณ.....และพวกนั้นเติมให้เธอด้วยการเตือนล่วงหน้าตามสังหรณ์ใจ.

         ทำไมใช้แสงเป็นสัญญาณข้างแอ่งทุ่งนั้น? เธอถามตนเอง. ทำไมพวกเขาถึงไม่อาจใช้เครือข่ายการสื่อสารได้?

         คำตอบนั้นชัดเจน: ข่ายการสื่อสารเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้ถูกดักเจาะแล้วด้วยเจ้าหน้าที่ของ ดยุค ลีโต. สัญญาณแสงทั้งหลายสามารถหมายความได้แต่เพียงว่าข่าวสารนี้ถูกส่งระหว่างกันโดยศัตรูของเขา---ระหว่างเจ้าหน้าที่ของฮาร์คอนเนนส์.

         มีเสียงตบประตูมาทางเบื้องหลังของพวกเขาและเสียงของคนของฮาวัต: “กวาดล้างทั้งหมดแล้ว, ขอรับ......ท่านผู้หญิง. ถึงเวลาต้องนำท่านนายน้อยไปพบบิดาของท่านแล้ว.”

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น